นายพรานวางกับดัก3: กับดักในน้ำผลไม้
เพราะเมื่อวานผมกลับไปนอนบ้านมาคืนหนึ่ง แต่แทนที่จะได้อยู่อย่างสงบ กลับโดนพี่ชายลากตัวไปช่วยงานเอกสารกองสูงเป็นตั้ง กว่าโดนปล่อยตัวกลับมหาวิทยาลัยเวลาก็ปาไปช่วงเย็นของวันนี้แล้ว
ผมเดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังขึ้นหอพักนักศึกษา ของในมือพวกนี้ขนมาจากบ้านโดยตรง เป็นของกินทั้งนั้น มีทั้งอาหารเย็น แล้วก็พวกขนมทั้งหลายที่พี่วีให้เอาไปกินกับเพื่อนๆ อ้อ มีผลิตภัณฑ์จากกิจการที่บ้านด้วย พี่วีอีกนั่นแหละที่ฝากมาให้ทดลองชิมกันดู ถ้ากระแสตอบรับดีอาจได้ไวน์ผลไม้แบบใหม่ไปวางขายเพิ่ม
ในฐานะหุ้นส่วนคนหนึ่ง เมื่อมันเป็นผลดีผมก็ไม่ขัดอยู่แล้ว
ปัญหามาเกิดเมื่อมาถึงหน้าห้อง สองมือไม่ว่างแบบนี้ แถมผมขี้เกียจวางของลง เลยใช้เข่ากระแทกประตูห้องแทนการเคาะ เสี่ยงดวงเอาว่ารูมเมทน่าจะอยู่ห้อง แล้วโชคก็เข้าข้างเมื่อประตูเปิดออกมา
นัทเลิกคิ้วเล็กน้อย มองข้าวของในมือรอบหนึ่งแล้วถามสั้นๆ “ให้กูช่วยไหม?”
“ช่วยเปิดประตูกว้างๆ แล้วอย่าแกล้งขวางทางก็พอ”
มันหัวเราะเบาๆ ยอมทำตามที่ผมบอกโดยดี ผมเดินเข้าห้อง จัดการวางข้าวของลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วหันไปหารูมเมท กะจะบอกให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่กลับเห็นนัทนั่งขอบเตียง เก็บของลงเป้เข้าก่อน
...จะว่าไปช่วงนี้สิ่งของในห้องก็ดูหายไปเยอะเหมือนกัน
พอกวาดตามองรอบห้องอย่างสังเกตอีกครั้งก็พบว่าข้าวของเพื่อนแทบไม่เหลือทิ้งไว้ในห้องแล้ว
“นี่มึงกะย้ายไปอยู่หอแฟนเลยเหรอวะ”
“...มึงกลับมาตอนนี้ก็ดีแล้ว มีคนฝากชวนมึงไปงานวันเกิดที่จะจัดในคืนนี้วะ”
ในเมื่อมันอยากเปลี่ยนเรื่องคุย ผมเลยยอมเปลี่ยนตาม
“วันเกิดใครวะ?”
“ถั่วที่อยู่สาขาโยธา”
ใบหน้าเจ้าของชื่อโผล่เข้ามาในหัวพร้อมกับตัวอักษรเหนือหัวที่เป็นประโยคสโลแกนประจำตัว
“อ้อ ถั่ว ผู้มีสโลแกน ‘น้ำผลไม้ก็เมาได้’ คนนั้นน่ะเหรอ”
“ก็มีอยู่ถั่วเดียวที่ลุกมาค้านรุ่นพี่หัวชนฝาตอนปีหนึ่งว่ายังไงก็ไม่ยอมเอาน้ำที่มีแอลกอฮอล์เข้าปาก...พูดถึงเรื่องนี้กูยังขำอยู่เลย แต่ก็นะ มันแพ้แอลกอฮอล์นี่หว่า แค่มันดื่มน้ำผลไม้แล้วแสร้งทำตัวรั่วเหมือนคนกินเหล้าเมาได้ กูก็ยอมใจมันแล้ว”
นัทขำใหญ่ ผมเองก็ยิ้มตามกับความบ้าที่เป็นรองแค่สามใบเถา...จะว่าไปเหมือนสองอาทิตย์ก่อนถั่วเดินมาพูดเปรยๆ เรื่องงานวันเกิดให้ฟังเหมือนกัน แต่เพราะยังไม่แน่ไม่นอนว่าจะจัดงานดีไหมเลยไม่ได้พูดชวนตอนนั้นนี่หว่า
“แล้วงานนี้ชวนใครไปบ้างล่ะ”
“ก็ชวนหมด” นัทว่า “ใครอยากไปก็ไป อ้อ ยกเว้นปีหนึ่งที่อด เพราะคืนนี้ถือเป็นงานเฉพาะรุ่นพี่วะ”
“ทำไมวะ”
“เห็นว่าถ้าชวนปีหนึ่งมา พวกกลุ่มพี่ว๊ากก็คงอดมาร่วมสนุก”
ผมทำหน้าเข้าใจทันที พลางถามต่อ “แล้วมึงจะไปด้วยไหม?”
“ไปสิ แต่คงโผล่หน้าไปช่วงกลางๆ งาน”
ผมมองนัทรูดซิบปิดกระเป๋าเป้ แล้วถือโอกาสนี้วกกลับมาถามเรื่องเดิมอย่างไม่ยอมแพ้
“มึงจะไม่อยู่หอแล้วเหรอ”
คนถูกถามเงยหน้ามองผม “เทอมหน้ามึงคิดจะย้ายออกจากหอในใช่ไหมล่ะ กูเลยว่าจะออกเหมือนกัน นี่ก็พยายามมองหาห้องพักไว้ก่อน...ไม่คิดว่าจะได้ห้องเร็ว”
ผมทำหน้าประหลาดใจทันที ในเมื่อช่วงเวลาแบบนี้ไม่น่าจะหาห้องพักแถวมหาวิทยาลัยได้แน่ๆ เดี๋ยวก่อนนะ...ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจะผุดเข้ามาในหัว บวกกับบทสนทนาที่เคยคุยกันไว้ แต่ยังไม่มั่นใจเลยลองพูดลองเชิงไป
“นี่มึงคิดจริงจังกับแฟนคนปัจจุบันถึงขั้นขนข้าวของไปอยู่ด้วยเลยเหรอวะ”
นัทแค่ยักไหล่ไม่ได้ปฏิเสธ ผิดกับนิสัยปกติที่ไม่ชอบให้เพื่อนพูดอะไรที่มันดูผูกมัดแบบนี้ให้ได้ยิน
...สรุปว่าผมเดาถูกสินะ แล้วการที่มันขนข้าวของออกไปจนเกือบหมดแบบนี้ คาดเดาได้เลยว่าคงคิดไปอยู่ที่นั่นแบบถาวรแน่แล้ว
“เกินคาดวะ ไม่คิดว่ามึงจะคิดจริงจังกับผู้หญิงสักคนเร็วแบบนี้”
“แล้วมึงล่ะ ช่วงนี้เห็นมีพฤติกรรมแปลกๆ หงุดหงิดก็บ่อย ไปมีปัญหาอะไรกับใครมาหรือไง”
“สังเกตด้วยเหรอวะ”
“ถึงไม่ได้เจอมึงบ่อยเหมือนแต่ก่อน กูก็มองเห็นเหอะ”
“นึกว่าความรักจะทำให้มึงตาบอดมองไม่เห็นเพื่อนไปแล้วซะอีก”
คนโดนแซวขมวดคิ้วเหมือนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมเลยยอมบอกข้อมูลของตัวเองแทนคำขอโทษ
“มีกับแมววะ ทำกูอารมณ์เสียได้ตลอดจนอยากจับบีบคอเขย่าสักหลายๆ ที”
“แมวที่ไหนอีกวะ” นัททำหน้าสงสัย แต่เห็นผมไม่ยอมตอบสักทีก็เลิกสนใจ “ช่างเถอะ กูไปล่ะ”
มองเพื่อนแบกเป้ตรงไปทางประตูแล้วรู้สึกใจหายชอบกล ยังไงก็พักอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงตอนนี้ แล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไรจึงได้แต่เรียกเพื่อนไว้ก่อน
“นัท” คนถูกเรียกหันมามอง “ถ้าคืนนี้กูไม่กลับเร็วคงได้มานั่งดื่มด้วยกัน”
นัทยิ้มให้ทันที “จะดวลกับกูเหมือนตอนปีหนึ่งเรอะ”
“มึงจะท้ากูไหมล่ะ”
พวกผมจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันทันที เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ใครๆ มักบอกว่าเสมอกันอยู่เรื่อย
“กูไปล่ะนะ”
“...เออ” ตอบรับแล้วก็อดอวยพรให้มันไม่ได้ “ขอให้โชคดีนะโว้ย”
“มึงก็ด้วย”
หลังนัทออกไปไม่นาน ประตูห้องผมก็ถูกทุบรัวๆ พอเปิดไปดูหน้าผู้มาเยือนก็เจอกลมยืนหอบอยู่หน้าห้อง ผมเลิกคิ้วรอให้เพื่อนสูดลมหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดพักหนึ่ง ถึงได้ยินธุระที่ทำให้กลมรีบร้อนแบกร่างใหญ่ๆ มาหา
“เกิดเรื่องแล้วโว้ยภู งานนี้ไอ้ถั่วแย่แน่ๆ”
“เดี๋ยวๆ” ผมชักงงว่าคนมีงานวันเกิดคืนนี้จะไปแย่อะไร “มึงค่อยๆ เล่าให้กูรู้เรื่องหน่อย”
กลมดันตัวผมให้เข้าไปในห้อง หลังปิดประตูเรียบร้อย มันก็ลดเสียงพูดลงเหลือแค่ดังกว่ากระซิบเล็กน้อย
“ก็งานวันนี้มันเฉพาะรุ่นพี่ใช่ไหมล่ะ แต่ดันมีคนไม่รู้เรื่องนี้เอาเด็กปีหนึ่งกลุ่มใหญ่ไปช่วยจัดสถานที่น่ะสิ แล้วข่าวมันก็กระจายในหมู่รุ่นน้อง จะให้บอกน้องมันว่างานนี้ไม่ต้อนรับปีหนึ่งก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าให้น้องมันมาแล้วพวกพี่ว๊ากล่ะจะทำยังไง ตอนนี้ไอ้ถั่วเครียดใหญ่ กูเลยโดนเพื่อนมันวานให้มาหามึงนี่แหละ มึงสนิทกับพวกพี่ว๊ากที่สุดแล้ว ไปช่วยหาทางออกให้เพื่อนหน่อยสิ”
ผมขมวดคิ้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้มาให้ช่วย
“แล้วตอนนี้ถั่วอยู่ไหน?”
-------------
ทันทีที่ผมกับกลมมาถึงร้านนั่งดื่มประจำถิ่นเด็กวิศวะ ก็เจอเจ้าของวันเกิดนั่งห่อไหล่ท่าทางทุกข์ใจอยู่ที่ม้านั่งด้านหน้าร้าน โดยมีเพื่อนที่ผมพอคุ้นหน้า แต่ไม่ได้สนิทอะไรนักอีกคนค่อยนั่งทำหน้ารู้สึกผิดอยู่ข้างๆ
“ตัวการเอาน้องมาก็ไอ้คนที่นั่งสำนึกผิดอยู่ข้างๆ เจ้าของวันเกิดนั่นแหละ”
กลมกระซิบบอก แต่ผมละสายตาจากสองคนด้านหน้าไปมองผ่านประตูที่เปิดอ้าทิ้งไว้ ได้เห็นความวุ่นวายชัดเจน มีแบ่งกำลังคนและงานเป็นกลุ่มๆ ด้วย มองจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครในนั้นสนใจพวกผมที่อยู่ด้านนอกแน่แล้วเลยหันกลับมามองเจ้าของงานอีกครั้ง
“ถั่ว” คนถูกเรียกเงยหน้ามองผม “มึงคิดจะทำยังไงต่อ”
“...ไม่รู้วะ”
ถั่วบอกเสียงแผ่ว แล้วก็ก้มหน้ามองพื้นต่อ ปล่อยให้เสียงพูดขอโทษซ้ำๆ ของตัวต้นเหตุลอยผ่านหู
ผมมองเพื่อนต่างสาขาทั้งสองสลับไปมา แล้วอดถอนหายใจไม่ได้
“ก่อนอื่นมึงโทรไปบอกใครสักคนในกลุ่มพี่ว๊ากก่อนดีกว่า” พอผมเริ่มพูดเสียงจริงจัง ทั้งสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็พร้อมใจหันมองมา “พวกเขาจะได้ไม่โผล่มาที่นี่ให้รุ่นน้องเราเห็น”
“กู...ไม่กล้าโทรบอกวะ”
ผมมองเจ้าของวันเกิดแวบหนึ่งก็เป็นฝ่ายหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรไปเอง แต่โดนถั่วรั้งแขนไว้ซะก่อน
“กูอยากให้พวกพี่เขามาคลายเครียดนะ เพราะตั้งแต่เข้าช่วงรับน้องมา พวกพี่ว๊ากต่างเก็บตัวกันมาตลอด”
ถั่วพูดหงอยๆ ผมพอเข้าใจบ้างล่ะนะ ยังไงก็เป็นสายรหัสว๊ากเหมือนกัน ปีหน้าผมกับมันก็ต้องไปเก็บตัวแบบนี้เหมือนกัน เพราะงั้นความเห็นใจของมันเลยเพิ่มระดับเป็นสองเท่าล่ะมั้ง
“แต่เรื่องก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว กูจะทำยังไงดีวะภู”
“...มึงกล้าไล่รุ่นน้องออกจากงานไหมล่ะ?”
ถั่วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนส่ายหน้าช้าๆ ให้ผมเห็น “น้องมันไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังมาช่วยตกแต่งสถานที่ให้อีก กูไล่ไม่ลงหรอกวะ”
“กูขอโทษนะถั่ว กูไม่รู้จริงๆ ว่ามึงเชิญพวกพี่ว๊ากเอาไว้ก่อนอ่ะ”
“มึงหุบปากไปก่อน” ผมหันไปมองคนพูดที่ปกติก็คุยสนุกอยู่หรอก แต่วันนี้ดันทำตัวน่ารำคาญด้วยการพูดขอโทษอยู่ได้ พอเห็นมันหงอยไปอีกคนก็พูดเสียงอ่อนลงอีกหน่อย “กูรู้ว่ามึงสำนึกผิด แต่มาพูดขอโทษตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะแก้ปัญหายังไง”
“กูคิดไม่ออกวะ” เจ้าของงานซึมไปเลย
ผมเลยหันมองเพื่อนอีกสอง พวกมันต่างส่งยิ้มแห้งๆ มาให้คล้ายกับบอกว่าคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน...พึ่งพาไม่ได้เลยสักคนเดียว มองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
หันมาพึ่งพาตัวเองคงจะดีกว่าล่ะนะ
ผมยืนครุ่นคิดหาทางออกอยู่นาน จนกระทั่งได้ไอเดียมาอย่างหนึ่ง แต่จะบอกไปเลยก็ยังไงอยู่ อืม..ถามเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มอีกหน่อยน่าจะดีกว่า
“งั้นกูขอถามหน่อย ถ้าปีหนึ่งมาแบบนี้ พวกพี่ว๊ากต้องไม่มาแน่ๆ เรื่องนี้มึงคงรู้อยู่แล้ว” ผมเว้นวรรคเล็กน้อยรอให้ถั่วคิดประมวลผลตามก่อน ค่อยพูดถามออกไป “มึงจะยอมให้ปีหนึ่งมาร่วมงานคืนนี้หรือเปล่าล่ะ”
“...กูมีทางเลือกด้วยเหรอ”
“สรุปว่ามึงเลือกปีหนึ่ง?”
ถั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูหมดสิทธิ์เลือกไปแล้วต่างหาก”
เมื่อแน่ใจว่าปีหนึ่งได้ร่วมงานแน่ๆ ผมเลยเสนอทางออกที่คิดไว้สักพักให้ฟัง
“งั้นทำไมมึงไม่แบ่งของกินในงานวันเกิดไปให้กลุ่มพี่ว๊ากล่ะ พวกเขาจะตั้งวงฉลองกันเองได้โดยไม่ต้องมางานของมึง”
คนฟังทั้งสามเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ครู่ต่อมากลมรีบพูดสนับสนุนทันที
“จริงด้วย แบบนี้พวกพี่เขาก็ได้คลายเครียดอย่างที่มึงต้องการเหมือนกันนะโว้ยถั่ว”
เจ้าของวันเกิดลุกพรวดขึ้นยืน แถมเผยรอยยิ้มให้ผมเห็นทันที “ขอบใจนะภู”
ผมรีบตะโกนไล่หลังถัวที่รีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในร้าน
“กูเอาของกินมาจากบ้านด้วยนะ! เดี๋ยวจะเอาเข้าไปสมทบในงาน”
“ได้ๆ” เสียงถั่วตะโกนกลับมา “มึงขนมาฝากไว้ในครัวได้เลย”
ผมละสายตาจากแผ่นหลังถั่ว กำลังจะดึงสายตากลับทางที่อื่นกลับเห็นคนที่ไม่คาดคิดกำลังช่วยคนอื่นติดของตกแต่งอยู่
...มาด้วยหรือเนี่ย
มองน้องรหัสเพื่อนอีกครู่หนึ่ง คำพูดที่ไม่อยากจะจำก็ผุดเข้ามาในหัวให้หงุดหงิดเลยรีบละสายตามาที่คนใกล้ตัวทั้งสอง ทันเห็นคู่นี้กำลังผละเดินไปทางอื่นเลยรีบคว้าไหล่พวกมันคนละข้างทันที สองคนถูกรั้งชะงักกึกแทบจะพร้อมกัน เป็นกลมที่หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
“เอ่อ...มึงรั้งพวกกูไว้ทำไมเหรอ”
ผมยกยิ้มนิดๆ แต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วย ในใจก็เดาได้เลยว่าพวกมันคงเห็นสีหน้าหงุดหงิดของผมเข้า เลยกะจะชิ่งออกห่างแบบเนียนๆ แต่ดันโดนผมจับตัวไว้ซะก่อน ในเมื่ออยากกลัวกันนัก ผมเลยสงเคราะห์ให้ด้วยการพูดเสียงโหดใส่
“ตามกูมาช่วยหิ้วของที่รถหน่อย...ได้ใช่ไหม”
ไม่ต้องรอนาน ผมก็ได้ยินคำว่า ‘ได้’ ชัดเจนเต็มปากเต็มคำทีเดียว
-------------
งานวันเกิดของถั่วเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่มตรง พี่พลเจ้าของร้านใจดีกับรุ่นน้องคณะเดียวกันเป็นพิเศษถึงขนาดยอมให้พวกผมเหมาร้านในราคาเป็นกันเอง แน่นอนว่าคนจ่ายคือเจ้าของงาน แต่ความจริงแล้วคนมางานก็มักให้เงินใส่ซองเป็นของขวัญวันเกิดอยู่ดี เจ้าของงานก็จะเอาเงินที่ได้ไปจ่ายค่าเหมาร้าน ขาดเท่าไหร่ก็ควักของตัวเองไปโปะเพิ่ม
“เพื่อน พี่ น้องทุกคนชูแก้วอวยพรให้เจ้าของงานหน่อยเร็ว!”
เมื่อมีเสียงตะโกนนำ คนได้ยินก็ทำตาม ผมชูแก้วขึ้น พูดประสานเสียงไปกับเพื่อนและรุ่นพี่อย่างเคยชิน
“ยินดีด้วยที่แก่ขึ้นอีกปีแล้ว!”
เหล่ารุ่นน้องที่เพิ่งได้มาร่วมงานวันเกิดที่นี่ครั้งแรกเพียงแค่ชูแก้วขึ้นอย่างเดียว แล้วมองกันเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินเสียงตะโกนตามหลัง เห็นภาพแบบนี้แล้วผมก็อดย้อนนึกถึงตอนตัวเองอยู่ปีหนึ่งไม่ได้ และผมกล้าบอกได้เลยว่าครั้งหน้าที่มีงานแบบนี้อีก เด็กพวกนี้จะสามารถพูดประสานเสียงไปพร้อมรุ่นพี่อย่างพวกผมได้แน่นอน
งานเลี้ยงวันเกิดเป็นไปอย่างสนุกสนาน เฮฮาตามประสาเพื่อน พี่ น้องพบปะสังสรรค์กัน และยังเปิดโอกาสให้รู้จักกันมากขึ้นด้วย เจ้าของงานวันเกิดอย่างถั่วถึงกับถือแก้วน้ำผลไม้เดินไปชนโต๊ะนู้นที มาโต๊ะนี้ที ดื่มไปมากๆ ถั่วก็เริ่มออกอาการเดินเซไปมาให้คนเห็นหัวเราะขำ
“อย่ามอมเจ้าภาพอย่างกูเยอะ~ เดี๋ยวจะไม่มีสติไปจ่ายเงินหลังจบงาน~”
ถั่วพูดยางคางจนเรียกเสียงหัวเราะดังกว่าเดิม
เพื่อนของผมคนนี้แสดงออกได้เหมือนคนกำลังเมาน้ำผลไม้จริงๆ จนพวกรุ่นน้องเชื่อสนิทใจ ซึ่งอาการของเด็กปีหนึ่งที่มองรุ่นพี่ของพวกเขาด้วยสีหน้าอึ้ง ทึ่ง ตะลึง งงก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับรุ่นพี่ทั้งหลายไม่มีหยุด แต่เหล่าคนโดนหัวเราะกลับเข้าใจว่ารุ่นพี่หัวเราะคนเมาน้ำผลไม้เลยหัวเราะตามโดยไม่รู้อะไรเลย แต่น้องบางคนก็ขี้สงสัยถึงกับตั้งวงถกกันอย่างจริงจัง
“กูว่าในน้ำผลไม้ต้องมีเหล้าผสมไว้แน่ๆ เลยวะ ไปลองชิมกันเถอะ”
เอกับกังหันที่ได้ยินปีหนึ่งพูดพร้อมผมถึงกลับยกแก้วเหล้ามาบังรอยยิ้มขันบนหน้าพวกมันทันที
“เด็กพวกนี้ทำให้กูหวนนึกถึงอดีตเลยวะ ตอนกูก็ไปขอชิมน้ำผลไม้จากแก้วในมือถั่ว แล้วพอรู้ว่าเป็นน้ำผลไม้จริงๆ นี่กูติดสตันเลยนะ ฮ่าๆๆ” เอหัวเราะร่วน
“ถั่วดันแสดงสมบทบาทเกินไปน่ะสิ ใครเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”
ผมยิ้มตามเห็นด้วยกับคำพูดกังหัน เพราะตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปพิสูจน์เช่นกัน...
เดี๋ยวสิ แบบนี้แมวเถื่อนก็น่าจะ...
ผมรีบหันไปมองหาน้องรหัสเพื่อน ตามคาดข้าวยำเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ลุกไปชิมน้ำผลไม้ที่วางไว้ที่โต๊ะตัวหนึ่งเช่นกัน แผนชั่วบางอย่างวูบเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน ผมรีบวางแก้วลง บอกไปสั้นๆ
“เดี๋ยวกูมานะ”
ไม่มีเพื่อนคนไหนถามว่าไปไหน สงสัยคงนึกว่าไปห้องน้ำล่ะมั้ง ผมเลยได้ลุกออกไปอย่างสะดวก เป้าหมายของผมไม่ใช่ห้องน้ำ แต่เป็นเจ้าของงานวันเกิดต่างหาก เจอตัวมันปุ๊บก็ดึงมันออกห่างจากคนอื่นเล็กน้อย พลางก้มกระซิบบอกคนแกล้วเมาที่ทำเป็นยืนเซไปมา
“ช่วยอะไรกูหน่อยสิถั่ว”
คนแสร้งเมาทำหน้างง แต่ครู่เดียวก็ตอบรับโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น น้ำเสียงของมันไม่มีอาการของคนเมาเลยสักนิด ต่างกับตอนพูดยานคางแกล้งทำเป็นเมาโดยสิ้นเชิง
“ได้สิ ตอบแทนที่วันนี้มึงช่วยกู”
“ถ้าข้าวยำมาหามึงก็เอาน้ำผลไม้ผสมเหล้าดีกรีแรงๆ ให้น้องมันกินหน่อยสิ ทำให้มันชอบจนกินได้หลายๆ แก้วยิ่งดี”
ถั่วทำหน้าแปลกใจทันที “ไหงมึงคิดอยากแกล้งน้องคนนี้ล่ะ”
“ก็เด็กมันทำกูหงุดหงิดเลยอยากแกล้งสักหน่อย แต่กูไม่ไร้ความรับผิดชอบหรอกน่า ถ้าน้องเมาจริงก็ว่าจะพาไปส่งถึงหออยู่แล้ว”
ถั่วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่กว่ายอมผงกหัวให้ “ก็ได้ แต่มึงอย่าลืมพาน้องไปส่งด้วยล่ะ”
ผมยิ้มรับคำด้วยความสมใจ ถั่วคงยังไม่วางใจถึงได้ย้ำมาอีก
“ต้องพาไปส่งจริงๆ ห้ามทิ้งน้องนอนที่นี่จนโดนยุงหามนะโว้ย”
“กูรับปาก”
พอดีมีรุ่นพี่เข้ามาคุยกับถั่ว ผมเลยผละกลับมานั่งที่โต๊ะ แต่ก่อนกลับถึงโต๊ะก็แวะเอาแก้วเหล้าไปเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้เย็นๆ แทน
“มึงลุกไปไหนมาวะ กลับมานี่อารมณ์ดีเชียว” เอเอนตัวมาพาดแขนกับไหล่ซ้ายผม
“ก็นิดหน่อย”
“ไหงเปลี่ยนมากินน้ำผลไม้แล้วล่ะ”
“กูมีเรื่องต้องทำเลยไม่อยากเมา”
“ทำอะไรวะ?”
“ขับรถไปส่งใครบางคน”
เอนิ่งเหมือนกำลังใช้สมองที่เริ่มแล่นช้าลงประมวลคำพูดของผมอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลากเสียงร้องอย่างเข้าใจออกมายาวๆ แล้วปล่อยแขนจากคอผมทันที
“มึงนี่ทำตัวเป็นพี่ที่ดีจริ๊งจริง”
“คิดอย่างนั้นเหรอ”
“เออ! เดี๋ยวกูไปบอกเต้ให้ว่ามึงโคตรพึ่งพาได้เลย”
ผมมองคนกำลังกรึ่มได้ทีแล้วยิ้มเล็กๆ เพราะในใจรู้ดีว่าตัวผมไม่ได้ดีอย่างที่เพื่อนว่ามาเลย โดยเฉพาะคืนนี้...
“สำหรับยำ กูไม่ใช่รุ่นพี่ที่ดีเหรอนะ”
พึมพำเสียงแผ่ว แล้วยกแก้วน้ำผลไม้เย็นๆ รสหวานอมเปรี้ยวขึ้นจิบช้าๆ สายตามองไปทางเหยื่อของตัวเองที่กำลังเดินไปหาเจ้าของงานวันเกิด
มองทุกกิริยาบทตั้งแต่แมวเถื่อนถามเรื่องน้ำผลไม้ในแก้ว มองเจ้าของวันเกิดที่พาแมวเถื่อนไปโต๊ะเครื่องดื่ม แม้ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นสีหน้าชัดๆ เห็นเพียงท่าทางก็รุ้ว่าเพื่อนผสมเหล้ากับน้ำผลไม้ให้ข้าวยำดื่ม ดูเหมือนเหยื่อของผมจะชื่นชอบของที่ดื่มไปไม่น้อย เพราะหลังจากนั้นข้าวยำก็เดินยิ้มแย้มกลับมาที่โต๊ะแล้วจัดการผสมเหล้ากับน้ำผลไม้เอง
ผมหัวเราะในลำคอ มองดูเหยื่อติดกับดักที่กำลังพูดแนะนำเครื่องดื่มให้เพื่อนฟัง หลังจากนั้นก็เห็นมันกระดกดื่มเข้าไปหลายแก้วทีเดียว
นั่งรอให้ถึงเวลาพาใครบางคนกลับอย่างใจ ตาก็คอยมองไปทางเหยื่อขอตัวเองเป็นระยะ จนกระทั่งคนเมาเริ่มออกอาการไม่ไหว ผมถึงลุกเดินไปหาทันเวลาที่เพื่อนของผมกำลังจะพาตัวข้าวยำกลับออกไปพอดี
“เดี๋ยวพี่พากลับเอง”
ทั้งกลุ่มมองมึนๆ เมาๆ มาทางผม เพ่งหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ประคองข้าวยำอยู่ก็ส่งตัวเพื่อนมาให้
“ฝากด้วยนะครับพี่ภู”
นี่คงเป็นอนิสงค์ของการไปส่งมันบ่อยๆ เพื่อนของมันถึงยินยอมพร้อมใจให้ผมอุ้มแมวเถื่อนติดมือมาแบบไม่เปลืองแรงพูดชักแม่น้ำทั้งห้า พออุ้มคนเมาตาปรือขึ้นรถได้เรียบร้อย ผมยิ้มร้ายส่งให้เหยื่อตัวน้อยที่ตาปรือทำท่าจะหลับทุกเวลา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูของมัน
“มาดูกันว่าร่างกายของมึงจดจำกูได้ดีแค่ไหน แต่ถ้ายังจำไม่ได้ กูจะทำให้มึงจำได้ไม่มีทางลืมให้ดู”
-------------
ผมเลือกพาแมวเถื่อนมาคอนโดของพี่วี คนเมาหลับสบายไม่มีทีท่าจะตื่น ซึ่งเป็นเรื่องดีแล้ว พอเอาข้าวยำขึ้นหลังได้ก็แบกพาขึ้นห้องทั้งอย่างนั้น จากนั้นก็พยายามปลุกให้มันตื่นในห้องน้ำจนสำเร็จ แลกกับต้องเสียเวลาปราบแมวจอมยั่วไปหนึ่งยก สุดท้ายก็ต้องอุ้มคนหลับไปอีกรอบเพราะเหนื่อยออกมาเช็ดตัวจนแห้งถึงจับนอนลงเตียงห่มผ้าให้ดีๆ ก่อนผละมาจัดการตัวเองบ้าง
เรียบร้อยแล้วก็พาร่างที่ไร้เสื้อผ้ามุดผ้าห่ม ขึ้นคร่อมคนกำลังหลับสบาย แล้วเริ่มต้นปลุกอีกครั้งด้วยการค่อยๆ ก่อกองไฟให้อีกคนรุ่มร้อน
“อือ...”
คนหลับหอบหายใจแรง ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาให้ผมลุ้นว่ามันจะเป็นแมวเหมียวจอมยั่วหรือเป็นแมวเถื่อนของผม แน่นอนว่าผมหวังอย่างหลังมากกว่า เราสบตากันในระยะประชิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงงึมงำคล้ายคนยังไม่ตื่นจากฝันดี
“มึง...ภู...”
ผมคลี่ยิ้มอย่างสมใจ “พี่ภูต่างหาก”
พูดจบก็ก้มหน้าลงไปชิมรสริมฝีปากคนใต้ร่าง เป็นทั้งการทำโทษและให้รางวัลไปพร้อมกัน จูบของเราค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นตามลำดับ สองมือของผมก็ไม่อยู่เฉยช่วยเตรียมความพร้อมไปด้วย จนถึงจุดที่ข้าวยำเคลิ้มอย่างลืมตัวจึงถือโอกาสแทรกตัวตนเข้าไปช้าๆ จนคนรองรับสัตว์ร้ายของผมสะดุ้งโหยง แล้วเริ่มใช้มือดันอกผมกลับมา
“อย่า...”
“ร่างกายมึง...ยอมให้กูเข้าไปแล้วนะ”
ผมพูดเสียงแหบพร่าตามแรงอารมณ์ที่ทะยานขึ้นสูง อาจเพราะทำกันมารอบหนึ่งแล้ว ต่อให้ตอนนี้ข้าวยำออกอาการเกร็งแค่ไหน ตัวตนของผมก็ยังผ่านเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผมครางเบาๆ ในคอกับสัมผัสโอบรัดที่แน่นกว่าตอนอยู่ในห้องน้ำอีก พอเข้าไปได้ทั้งหมด สีหน้าข้าวยำดูอึดอัดผสมปนเปกับความสับสนอย่างเห็นได้ชัดจนผมอดถามไม่ได้
“เจ็บไหม”
คนถูกถามเงียบกริบ ผมเลยก้มหน้าจูบหน้าผากมันไปหนึ่งทีเป็นการปลอบ แล้วเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบข้างหู
“กูจะเริ่มล่ะนะ”
ยกสองของเราเป็นไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปจนข้าวยำเริ่มชินกับผมมากขึ้น ความต้องการของเราถึงได้แรงร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องกระท่อนกระแท่นของข้าวยำเหมือนในคืนแรกของเราไม่มีผิด ยิ่งได้ยินก็ยิ่งกระตุ้นสัตว์ร้ายในตัวผมมากขึ้นจนอยากทำให้มากกว่านี้
“มึงคง...ต้องรับ...ศึกหนักหน่อย”
ผมบอกทั้งที่หอบหายใจแรงไม่ต่างจากใครอีกคน ไม่รู้อีกฝ่ายได้ยินคำพูดของผมบ้างหรือเปล่า เพราะมันเล่นตวัดสองแขนโอบรอบคอผมพร้อมกับร้องเรียกกันเสียงดังฟังชัด
“อ๊ะ ภู!”
แถมยังปลดปล่อยก่อนอีก
ผมกัดฟันกับความเย้ายวนตรงหน้า นึกรู้อยู่ในใจทันทีว่าคืนนี้คนใต้ร่างผมไม่มีโอกาสได้นอนแน่ๆ
-------------
แสงแดดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้ตื่น ผมลืมตาขึ้นมาก็พบแมวเปื่อยลุกไปไหนไม่รอดนอนอยู่ในอยู่ในอ้อมกอด เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ข้าวยำก็รู้สึกตัวตาม แต่มันทำได้แค่ปรือแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นจนผมเอะใจกับอุณหภูมิของคนในอ้อมกอด เลยยกมือทาบบนหน้าผาก
ข้าวยำยอมให้จับโดยง่ายผิดกับนิสัยปกติ
“...มึงตัวร้อน”
แต่คนที่พยายามฝืนลืมตามองผมเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ปิดเปลือกตาลงซะแล้ว สติของผมที่ยังง่วงไม่แพ้กลับกลับคืนมาอีกหน่อย พร้อมสำนึกผิดชอบชั่วดีที่บอกตัวเองว่า
ผมทำแมวป่วย...อีกแล้ว
หลังอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ก็ยอมผละจากแมวตัวร้อน ลงจากเตียงตรงไปเปิดตู้เย็นหยิบแผ่นเจลลดไข้ออกมา หลังแปะแผ่นเจลบนหน้าผากคนป่วยแล้ว ผมก็คิดว่าควรเอายามาให้มันกินสักหน่อย แต่ถ้ากินยาตอนนี้คงกัดกระเพาะแย่
...ต้องไปซื้อข้าวให้มันอีกสินะ
ผมหันไปมองนอกหน้าต่าง จำต้องหรี่ตาสู้แสงแดดแรงจัด ปรับสภาพสายตาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เห็นท้องฟ้าสีแปลกๆ นึกรู้อยู่แก่ใจทันทีว่าตัวเองเสียน้ำจากสงครามบนเตียงไปเยอะพอดูเหมือนกัน
มิน่าถึงรู้สึกง่วงๆ เพลียๆ อยากนอนมากมาย แต่แสงเข้าห้องแบบนี้คงหลับไม่สบายนัก ผ้าม่านเลยถูกรูดปิดจนภายในห้องกลับมามืดสลัวอีกครั้ง เป้าหมายต่อไปคือออกไปซื้อข้าว...
สมองคิดอย่าง แต่ร่างกายกลับแสดงออกอีกอย่าง รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองปีนขึ้นมาบนเตียง แถมยังล้มตัวนอนไปแล้ว...เอาเถอะ ตื่นมาแล้วค่อยไปก็แล้วกัน หลังตัดสินใจได้ สองมือก็ดึงรั้งแมวตัวร้อนมานอนกอด ปากก็พูดงึมงำทั้งที่เปลือกตาพร้อมจะปิดทุกเมื่อให้แมวฟัง
“ขอนอนสักสองสามชั่วโมง แล้วจะออกไปหาอะไรให้กินแล้วกัน”
-------------
“มึงมันเลว”
“อืม” ผมขานรับ ยื่นช้อนที่ตักโจ๊กหมูสับไปตรงปากข้าวยำ มันอ้าปากรับไปกลืนแล้วด่าผมต่อ
“มึงแม่งชั่ว”
ด่าจบอีกประโยคก็อ้าปากรับโจ๊กอีกช้อน
“ทำไมกูต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ!”
ผมลองยื่นช้อนไปให้ มันก็อ้าปากงับกินโดยดี แล้วก็พูดระบายต่อ
“กูอุตส่าห์รอดพ้นคราวเคราะห์มาตั้งสองหนแท้ๆ แต่ทำไมถึงคราวมึง กูถึงไม่รอดล่ะ! หรือเพราะเพื่อนกูไม่อยู่ด้วยวะ กูเลยไม่มีคนมาช่วย!!”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกถึงตอนเพื่อนมันส่งตัวข้าวยำมาให้ง่ายๆ ก็บอกสั้นๆ
“คิดว่าไม่น่าใช่นะ”
“กูไม่ได้ต้องการคำตอบจากมึง!”
ผมมองสีหน้าคนอยากร้องไห้เงียบๆ มือก็ขยับป้อนโจ๊กให้อีกคำ คนป่วยยอมกินโดยดี แล้วพูดต่อด้วยเสียงอ่อนแรง
“หรือเพราะเป็นเวรกรรมของกู...ใช่สินะ ไปทำเขาเลือดตกยางออก ลุกจากเตียงไม่รอด ต้องนอนซมแบบนั้น” น้ำเสียงข้าวยำเริ่มเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นปนเจ็บใจกะทันหัน “แล้วทำไมต้องให้กูมาชดใช้กรรมกับมึงด้วย!!”
“...อยากร้องไห้นักก็ร้องออกมา”
“ใครอยากร้องกัน!”
แล้วที่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆ มันไม่ใช่เรียกว่าร้องไห้อยู่หรือไง
“มึงไม่ควรทำแบบนั้นกับกู...กูมีแฟนแล้วแท้ๆ”
“แล้วไง” ผมย้อนถามกลับเสียงเรียบนิ่ง “ก็แค่แฟน”
“ไม่ใช่แค่แฟน” แมวเถื่อนเถียงกลับมาทันที “เขาเป็นเมียกู!”
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง แอบประหลาดใจนิดๆ “อ้าว กูนึกว่ามึงมีแฟนแบบป๊อปปี๊เลิฟ อารมณ์แบบรักใสๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่นี่เมียกูมีเมียหรือเนี่ย”
“มึงพูดใหม่อีกทีดิ!”
ผมมองท่าทางเอาเรื่องของคนเพิ่งฟื้นไข้ เรี่ยวแรงยังไม่กลับมาแท้ๆ ดันซ่าทำท่าหาเรื่องกันด้วยการถลกแขนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ขึ้น เห็นแล้วก็ทั้งน่ารักน่าถีบรวมๆ กันไป
“กูบอกว่า เมีย-ของ-กู-มีเมีย ฟังชัดพอไหม”
--------------------------------
(มีต่อค่ะ)