แมวเถื่อนกับปลอกคอ 5 : บทส่งท้าย
“ดูอะไรอยู่”
ผมส่งเสียงทักคนที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือไม่วางตา ขนาดผมกลับมาถึงห้อง เดินเข้ามาใกล้โซฟาเกือบประชิดตัวขนาดนี้ แมวเถื่อนกลับยังไม่รู้ตัวอีก
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”
ข้าวยำละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ พร้อมกับส่งยิ้มที่ผมชอบที่สุดมาให้ เป็นยิ้มจริงใจและยินดีที่ได้เจอกันจากใจจริง แค่ได้เห็นก็ชื่นใจแล้ว
“ไปทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง?”
“เหนื่อย”
บอกได้แค่นี้จริงๆ ตอนนี้ขอชาร์จพลังด้วยการล้มตัวนอนหนุนตักคนบนโซฟาก่อนดีกว่า
“นี่ๆ” คนถูกหนุนตักกะทันหันทำท่าเหมือนจะพูดประท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทั้งยินยอมปล่อยตักให้ผมนอนหนุนโดยดี มีย้ำแค่ว่า “ให้แค่ครั้งเดียวนะ”
แต่เชื่อเถอะ มันต้องมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า...จนนับไม่ถ้วนแน่ๆ
“กำลังดูอะไรอยู่” ถามพาเข้าเรื่องชวนสงสัยตั้งแต่ผมกลับมาอีกรอบ
“คลิปที่กูพลาดไปไง”
ข้าวยำหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมเห็นภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เห็นแค่แวบเดียวก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ มันเป็นเหตุการณ์ของเช้าวันหนึ่ง ก่อนที่พวกเราทั้งหมดต้องกลับออกจากเกาะกะทันหัน...แค่นึกถึงก็อยากถอนหายใจออกมาสักเฮือก
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่า แค่ผู้หญิงตัวคนเดียวโผล่มาที่เกาะกะทันหัน จะทำให้เกิดเรื่องเยอะแยะไปหมดแบบนี้”
ผมมองบุคคลที่ถูกแมวเถื่อนพูดถึงผ่านหน้าจอโทรศัพท์ เธอเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติที่กำลังยืนข้างๆ พาร์ในคลิปวิดีโอ
“ทำพวกเราเกมล่ม ทำพาร์กับทีทะเลาะกัน ทำเทมกับพาร์ไม่ลงรอยกัน ทำวินตกใจจนหน้าซีด แล้วยังทำให้พวกเราต้องเก็บของกลับจากเกาะก่อนกำหนดด้วย”
นั่นสินะ ถ้ามองจากในมุมของเราล่ะก็นะ
ผมคิดมองพาร์กำลังเป็นล่ามแปลภาษาเอาความจริงมาตีแผ่ให้ทุกคนรู้อยู่ในคลิป จนรู้ว่าสาวเจ้าโดนส่งตัวมาที่นี่เพื่อให้ได้เจอหน้าว่าที่คู่หมั้นอย่างวิน
...ที่จริงเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรือข้าวยำเลยสักนิดเดียว แถมมันยังเป็นโอกาสดี เพราะใครๆ ก็หันไปสนใจเหตุการณ์พวกนั้นกันหมด ผมถึงได้ทางสะดวกลักพาตัวแมวเถื่อนไปทำเรื่องดีงามกันสองต่อสอง จนกระทั่งแมวบางตัวหอบถุงนอนหนีหายไปตอนไหนไม่รู้ นึกถึงแล้วยังเคืองไม่หายอยู่เลยเนี่ย
ก็ใครจะชอบให้เมียหนีหายไปนอนที่ไหนกับใครไม่รู้ทั้งคืนล่ะ!
“นับรวมกับที่ทำมึงหนีกูไปนอนบ้านเดียวกับทีด้วยหรือเปล่า”
แสร้งถามอย่างจงใจ ฝ่ายแมวเถื่อนก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน
“ไม่นับ! นั่นนะมึงหื่นเอง กูแค่รับไม่ไหวถึงได้หนีไปนอนอย่างสงบสุขกับเพื่อนหรอก”
“สงบจนพลาดเรื่องสำคัญ ต้องมาดูคลิปย้อนหลังเองสินะ”
คราวนี้ข้าวยำไร้คำโต้เถียงกลับมา มีเพียงทำหน้าบูดบึ้ง เพราะถูกพูดแทงใจดำ แล้วพอสบตากัน เจ้าของตักก็เริ่มยันตัวผมออกจากต้นขา
“ปากดีขนาดนี้ หายเหนื่อยแล้วมั้ง ลุกออกไปเลย!”
มองท่าทางต้องการเอาคืนนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา ทั้งยอมผละออกเอง ไม่งั้นคงถูกแฟนผลักกลิ้งตกจากโซฟาแน่
หรือจะเล่นบทเจ็บตัวจากการตกโซฟาอ้อนแฟนดี?
...ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานกับพี่วีอีก รายนั้นไม่เห็นผมเป็นน้องในไส้หรอก ดูจากวันนี้ก็ได้ เห็นเป็นเบ๊เฉพาะกิจชัดๆ ดังนั้นผมควรรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์เข้าไป จะได้มีแรงไปรับมืองานเบ๊ในวันพรุ่งนี้ต่อได้
“แล้วข้าวเย็นนี่จะเอายังไง? จะออกไปกินข้างนอกหรือจะสั่งให้มาส่ง?”
“สั่งเอาแล้วกัน” ผมตอบอย่างคนขี้เกียจขับรถออกไปไหนแล้ว “อยากกินอะไรมึงสั่งเลย กูขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”
พูดจบก็ฉวยโอกาสตอนแมวเถื่อนไม่ทันตั้งตัวหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง แล้วรีบเผ่นหนีคนตั้งท่าจะเอาเรื่องด้วยการหลบเข้าห้องนอนก่อน หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยค่อยออกมาหาใหม่ ถึงตอนนั้นคนโกรธง่ายหายเร็วคงลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วล่ะ
ผ่านไปราวๆ ยี่สิบกว่านาที ผมเปิดประตูห้องนอนออกมา พบแมวเถื่อนยังนั่งแหมะอยู่บนโซฟาที่เดิม ดูท่าคงไม่ได้ขยับไปไหนเลย พอสบตากัน ฝ่ายนั้นก็พูดขึ้นมาก่อน
“กูโทรไปสั่งข้าวเย็นมาให้แล้วนะ”
ผมพยักหน้ารับคำ กลับไปทิ้งตัวนอนตักแฟนอีกรอบ เจ้าของตักเหล่มองกันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเดียว คงลืมเรื่องที่ตัวเองบอกว่าให้แค่ครั้งเดียวแล้วแหงๆ คิดพลางกลั้นยิ้มอยู่ในใจ ไม่คิดพูดทักไปหรอก เดี๋ยวอดได้หนุนตักแหนขึ้นมาจะแย่เอา
“พี่ปุ้นเป็นไงบ้าง” ข้าวยำถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“ก่อนกูถูกปล่อยตัวกลับบ้าน มีโอกาสได้เห็นปุ้นทำงานจนหัวฟูอยู่แวบหนึ่ง”
ผมพูดขำๆ ความจริงสภาพของปุ้นโทรมสุดๆ เพราะรายนั้นต้องไปเป็นเบ๊ให้เลขาของพี่วีที่งานเยอะยิ่งกว่าท่านประธานอย่างพี่วีอีก คาดว่าทางปุ้นคงโดนโขกสับยิ่งกว่าผมอีกมั้ง เชื่อเถอะ อีกสองหรือสามวันจากนี้ เพื่อนผมต้องโทรมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แฟนอย่างปุ้นแน่
แต่เสียใจด้วยนะ ผมที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันไม่มีอำนาจไปช่วยใครได้หรอก
“กูควรไปดูแลพี่” ข้าวยำพึมพำออกมา แล้วกำหมัดพูดออกมากะทันหัน “ตัดสินใจล่ะ พรุ่งนี้กูจะไปค้างคอนโดพี่สักสองสามวัน!”
อะไรนะ!
ผมรีบพูดเบรคทันที “ปล่อยกังหันดูแลไปสิ! มันเป็นแฟนของพี่มึงนี่!”
“ได้ไง นั่นพี่ชายของกูนะ กูเป็นน้องก็ต้องไปดูแลพี่ตัวเองบ้างสิ”
เป็นเรื่องจริงที่พูดแย้งไม่ออก แต่ผมยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ
“หรือมึงอยากไปขัดคอสองคนนั้นล่ะ? โอกาสได้อยู่กับแฟนสองต่อสองแบบนี้ เปิดเทอมเมื่อไหร่สำหรับคู่นั้นคงหาโอกาสได้ยากแล้ว”
คราวนี้แมวเถื่อนเริ่มคล้อยตามให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าถ้าปล่อยข้าวยำกลับคืนอ้อมอกพี่ชาย คนของผมคงถูกรั้งตัวไว้ยันใกล้เปิดเทอมนั่นแหละถึงจะได้ตัวคืนมา เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้เด็ดขาด!
“...กูก็อยากไปทำงานพิเศษเหมือนมึงกับพี่ปุ้นบ้าง”
จู่ๆ ข้าวยำพูดออกมาด้วยเสียงหงอยๆ ทำผมที่เพิ่งหายใจหายคอสะดวก เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกหน เพราะหัวข้อนี้อันตรายพอๆ กับเรื่องเมื่อกี้เลย!
“มึงเพิ่งได้เกมใหม่จากเพื่อนมาเมื่อวานไม่ใช่เรอะ อยากบอกนะว่าเบื่อแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับเกมสักหน่อย! แล้วกูก็ไม่ได้เหงา! แต่กูอยากทำงานหาเงินบ้าง เข้าใจไหม?!”
จะว่าเข้าใจ...ก็พอเข้าใจอยู่หรอก
...แมวเถื่อนไม่อยากแบมือขอตังค์จากพี่ชายเท่าไหร่ แต่ทางผมเองก็ไม่อยากปล่อยแมวเถื่อนไปทำงานที่ไหนไกลหูไกลตา อาจเป็นความเห็นแก่ตัวที่ไม่ต้องการให้แมวเถื่อนไปเจอมิตรภาพใหม่ๆ ในช่วงนี้ก็ได้
บางทีผมอาจจะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนก็ได้ อย่างน้อยๆ ขอให้ผ่านพ้นสองหรือสามเดือนนี้ไปก่อน ให้ผมได้มั่นใจว่าต่อให้มีปัจจัยภายนอกโผล่เข้ามา สายสัมพันธ์ของเราก็ยังคงเหนี่ยวแน่นอยู่ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่แมวเถื่อนอยากทำอะไรจะไม่ห้าม...
ไม่สิ! ควรพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไปจะดีกว่า!
“ภูๆ ฟังอยู่ไหมเนี่ย”
“ฟังสิ”
“แล้วทำไมเงียบ”
“กำลังคิดตามอยู่ไง”
ผมพูดจริงนะ แต่คิดสวนทางกับคนที่กำลังมองหางานอย่างมีคาดหวังว่าผมจะแนะนำงานเหมือนปุ้นให้บ้าง ให้ตายเหอะ! ลำบากใจสัดๆ จนผมต้องแสร้งถามเรื่องอื่นก่อน
“แล้วไอ้ที่บอกว่าจะขอให้เพื่อนๆ มาเล่นเกมที่นี่ในช่วงที่กูไปทำงานล่ะ”
ข้าวยำถอนหายใจออกมาทันที “กูอยากทำอยู่หรอกนะ แต่หลังจากวินทักเรื่องหาคนช่วยแกล้งทำเป็นแฟนแล้ว ตอนนี้ในไลน์กลุ่มก็เงียบมาก ปกติถ้าเงียบแบบนี้แสดงว่าแต่ละคนไม่ว่าง หรือไม่ก็มีเรื่องของตัวเองต้องไปจัดการ แล้วถ้ากูทักชวนเล่นไปตอนนี้ พวกเขาต้องหาเวลามาแบ่งให้กูอีก”
ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งหงอยเหงาหนักกว่าเก่า จนผมชักทนฟังไม่ไหว สรุปว่าแมวของผมโดนเพื่อนเทเลยกำลังเหงาอย่างหนัก ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ในคอนโดคนเดียวสินะ
“เอางี้” ผมพูดออกมาในที่สุด “พรุ่งนี้ตามกูไปที่ทำงานก่อน แล้วค่อยดูว่ามีงานอะไรให้มึงทำได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีมึงห้ามผิดหวังนะ”
แววตาคนฟังเปล่งประกายขึ้นทันที “ได้เลย!”
“และถ้ามึงตื่นสาย กูจะไม่พาไป”
“ไม่สายๆ” ยืนยันหนักแน่น แต่สักพักก็เริ่มอ้อนต่อ “แต่ถ้ามึงตื่นแล้วปลุกกูด้วยนะ ต้องปลุกให้ได้นะ!”
หึ ผมหัวเราะในลำคอ อยากแกล้งไม่ปลุกอยู่หรอก แต่กลัวว่าถ้าทำจริง แมวบางตัวอาจหอบเสื้อผ้าหนีไปนอนกับพี่ชายก็ได้ เอาวะ พาไปก่อน แล้วคืนนี้ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำยังไงดี
-------------
คืนนี้แมวเถื่อนเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ ส่วนผมที่นอนคิดอยู่ค่อนคืน ตอนนี้ทำเป็นลุกมาเข้าห้องน้ำ เพื่อแอบแชทกับพี่วีผ่านไลน์เงียบๆ
วาวี: จะพาแมวของมึงมาที่บริษัท? ไม่ดีหรอกมั้ง ขนาดกูยังไม่กล้าเอามาเลย
Phu: มันกำลังเหงา กูไม่อยากให้อยู่ตามลำพัง หรือว่าพาไปอยู่บ้านดี?
วาวี: อ้าว ไม่คิดเลี้ยงต่อแล้วเหรอ
Phu: เลี้ยง! แค่พาไปอยู่ตอนเช้า เย็นก็พากลับ
Phu: หรือบางวันเหนื่อยมาก อาจติดรถมึงกลับไปค้างที่บ้านด้วย
วาวี: ดีๆ แต่แมวของมึงจะเข้ากับแมวที่บ้านได้ไหม หรือแยกไปเลี้ยงในห้องนอนของมึงดี?
ประโยคนี้ของพี่วีทำให้ผมนึกไอเดียดีๆ ออก จึงรีบพิมพ์ตอบไปทันที
Phu: ให้เวลาหน่อย เดี๋ยวก็เข้ากันได้เองแหละ
วาวี: งั้นพามาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพากลับไปอยู่บ้านให้ หรือจะตามแมวกลับบ้านด้วยก็แล้วแต่มึง
Phu: โอเค แต่มึงเห็นแมวกูแล้วอย่าอึ้งออกนอกหน้านักล่ะ
วาวี: ทำไมกูต้องอึ้งด้วยวะ!
Phu: สติกเกอร์หัวเราะหึๆ อย่างชั่วร้าย
วันต่อมาผมพาแมวเถื่อนที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติไปบริษัทด้วย ข้าวยำดูตื่นเต้นตลอดทาง เข้ามาด้านในตึกก็เอาแต่มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจให้ผมแอบขำ
กระทั่งพาเข้าห้องประธานถึงพากันผงะ เพราะคาดไม่ถึงว่า บริเวณมุมห้องข้างประตูจะกลายเป็นพื้นที่มีรั้วกั้นทำเป็นคอกสัตว์เลี้ยงชั่วคราว ข้างในรั้วมีทั้งของเล่น เบาะนอน ส้วมแมวเตรียมไว้พร้อมสรรพ ส่วนด้านนอกรั้วมีถุงอาหารแมวพร้อมชามใส่น้ำใส่ข้าวเตรียมไว้รอท่า
...ดูก็รู้ว่าพี่วีหวังดีกับแมวเถื่อนสุดๆ แต่ว่านะ
“เอ่อ พี่วี...”
“กูเตรียมที่ให้แมวของมึงตรงมุมห้องแล้ว พาไปไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน”
เจ้าของห้องพูดสวนกลับมาทั้งที่ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารในแฟ้มต่อ โดยไม่รู้เลยว่า ฝ่ายแมวผู้ถูกเอ่ยถึงกำลังมองผมตาขวางเลยล่ะ
ผมรีบส่ายหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่รู้เรื่องนี้นะ แล้วรีบคว้าข้อมือคนกำลังอารมณ์เสียดึงตัวไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของพี่ชาย ยกมือตบโต๊ะเรียกคนสนใจงานให้เงยหน้าขึ้นมามองกันก่อน ก่อกวนจนเจ้าของโต๊ะจำต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“อะไรอีก...”
น้ำเสียงขุ่นๆ ของท่านประธานหยุดค้างกะทันหัน หลังเห็นว่าไม่ได้มีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ และนี่คือโอกาสให้ผมผายมือแนะนำตัวให้คนข้างๆ ให้พี่ชายรู้จักอย่างเป็นทางการ
“นี่ข้าวยำ แฟนกูเอง”
แววตาพี่วีบอกชัดว่า รู้แล้ว แล้วไง? พามาทำไม? ไหนแมวของมึง?
“และเป็นแมวเถื่อนของกูด้วย”
คนกำลังนั่งอยู่ค่อยๆ เผยปากขึ้นเหมือนคาดไม่ถึงว่า แมวเถื่อนที่คุยกันมาตลอดจะเป็นคน ไม่ใช่แมวอย่างที่คิด ส่วนคนข้างๆ ตอนแรกที่ถูกแนะนำว่าเป็นแฟนก็ทำหน้าไปไม่ค่อยถูก แต่ตอนนี้กลับหันควับทำท่าจะงับหัวกันแล้ว แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วพูดต่อ
“เห็นมึงกำลังหาคนไว้ใจได้ช่วยดูแลลูกๆ ของมึงอยู่นี่ กูเลยพาแฟนมาสมัครงานพิเศษตามที่บอกไว้เมื่อคืนไง”
บอกเป็นนัยๆ ให้คนเป็นพี่ชายรู้ว่ากำลังหมายถึงงานอะไร แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับบรรดาเหมียวๆ ของที่บ้านอยู่แล้ว พี่วีถึงกับมองค้อนใส่ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ
“เรื่องงาน...เดี๋ยวกูคุยให้เอง ส่วนมึงน่ะไปทำงานได้แล้วไป๊”
ผมขานรับคำสั่ง ก่อนไปก็ยกมือลูบหัวคนที่ส่งสายตาอยากงับกันใจจะขาดเป็นการให้กำลังใจครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
แมวเถื่อนได้งาน ผมได้คนไว้ใจได้ช่วยดูแลแมวให้อีกที วินๆ กันทั้งสองฝ่าย ว่าไหม?
-------------
หลังจากนั้นมาบ้านแมวที่สร้างไว้รองรับบรรดาเหมียวๆ ที่พี่วีรับมาเลี้ยงที่บ้านก็มีแมวตัวใหม่เข้ามาอยู่ด้วยอีกหนึ่งชีวิต เป็นแมวที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ เพราะตัวนี้พี่วีต้องจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายวัน หึๆๆ
วันแรกที่ไปรับตัวกลับคอนโด ผมโดนแมวตัวนั้นทั้งกัดทั้งข่วนซะยับเยิน
“มึงโคตรนิสัยเสีย!”
ผมถูกด่าไปแบบนั้นจนคิดว่าวันต่อมา มันคงไม่ไปทำงานแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าข้าวยำอดทนมากกว่าที่คิด
ผ่านไปหลายๆ วันก็เห็นข้าวยำเข้ากับทั้งคนทั้งแมวที่บ้านผมได้ดี แลดูได้รับความเอ็นดูจากคนด้วยกันเกินหน้าเกินตาผมที่อยู่ที่นี่มาก่อนด้วยซ้ำ จนใครบางคนแสดงอาการเหนือชั้นกว่าทุกทีที่ได้รับการเอาอกเอาใจ หรือได้รับความเอ็นดูของคนในบ้าน
อิจฉาล่ะสิ อิจฉาให้ตายไปเลย!
ผมทำแค่ยิ้มรับแววตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายชัดเจน ในใจน่ะอยากกู่ร้องบอกไปด้วยซ้ำว่า เอาเลย แย่งความรักความเอ็นดูให้เต็มที่ ตอนพาตัวมาอยู่ที่นี่ในอนาคต มึงจะได้กล้าอยู่ด้วยกันไปนานๆ
“คุณภู”
ผมละจากเกมจ้องตาหันไปมองคนเรียก เห็นคนเก่าคนแก่ของบ้านวางถ้วยขนมหวานให้ตรงหน้าพร้อมคำถาม
“คุณวีให้มาถามว่าวันนี้จะอยู่ค้างไหมครับ”
ผมเหลือบมองแมวเถื่อนกำลังตักขนมบัวลอยกะทิใส่ไข่เข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆ ไม่รู้ว่าสุขเพราะขนมอร่อย หรือเพราะอวดเรื่องเมื่อกี้ชนะผมกันแน่
“คุณภู”
เมื่อถูกเรียกกระตุ้นให้สนใจอีกครั้ง ก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ถูกถามว่าอะไร จึงพยักหน้าให้เห็นว่าจะอยู่ค้าง คนมาถามจึงถามเพิ่ม
“พรุ่งนี้เช้าคุณภูอยากทานอะไรครับ”
“ของผมอะไรก็ได้ ไปตามใจคนนั้นเถอะ”
บุ้ยใบ้ไปทางใครบางคนที่กำลังขอเติมขนมหวานถ้วยที่สอง โดยมีป้าน้อย เจ้าของฝีมือทำขนมกำลังยืนยิ้มปลื้มปริ่มอยู่ใกล้ๆ ทั้งช่วยตักเติมให้อย่างยินดีสุดๆ
...น่ากลัวว่าอีกไม่นานน้ำหนักของแมวเถื่อนคงได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ
“น่ารักนะครับ” เหมือนเป็นคำพูดเปรยๆ กับอากาศ “ถ้าเป็นคนนี้ พวกผมจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี คุณภูวางใจได้”
ผมมองลุงสุข ผู้เป็นเหมือนเป็นพ่อบ้าน และหัวหน้าลูกจ้างของคนที่นี่เดินจากไปด้วยสายตาประหลาดใจ ถึงไม่ได้ปิดบังความสัมพันธ์ของผมกับแมวเถื่อน แต่ก็ไม่นึกว่าเพียงเวลาไม่นาน คนที่นี่จะยอมรับแฟนของผมได้เร็วขนาดนี้
“ทำหน้าประหลาดใจอะไรเล่า พวกเขายอมรับง่ายๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนี่”
ผมหันไปมองตามเสียง เห็นพี่วีเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับคว้าถ้วยขนมของผมไปตักกินดื้อๆ พอหยุดคิดตามที่พี่วีบอกก็รู้สึกว่า ‘นั่นสิ’ ทั้งยังเผลอยิ้มออกมา มันดีแล้วจริงๆ นั่นแหละ
“จะเปิดเทอมเมื่อไหร่?” พี่วีถามกะทันหัน
“อาทิตย์หน้า”
“เร็วชะมัด” พี่วีพึมพำเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผมใหม่ “ของที่มึงสั่งทำเสร็จแล้วนะ”
ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับมาทำผมสนใจทันที “จะได้ของเมื่อไหร่?”
“ได้มาแล้วเมื่อกี้ เลขาของกูเพิ่งเอามาให้”
ผมแบมือออกมารอรับของทันที ฝ่ายคนถือถ้วยขนมอยู่ขมวดคิ้วใส่
“วางอยู่บนห้องหนังสือนู้น อยากได้ก็ขึ้นไปเอาเอง ว่าแต่คิดดีแล้วเหรอที่จะให้ของในกล่องกับน้องสะใภ้กูเนี่ย”
“มึงเปิดดูแล้ว?”
“กูเห็นสายตาคนเอามาส่งให้ มันดูน่าสงสัยหรอกถึงได้ลองเปิดดู ป่านนี้เลขาของกูคงนึกว่าความคิดในกล่องนั่นเป็นของกูแหงๆ”
ผมหัวเราะกับคำบ่นนั้นเบาๆ “งั้นกูไปเอาของก่อนนะ”
“เออๆ” พี่วีโบกช้อนไล่
ตอนผมลงมาชั้นล่างอีกครั้งพบแต่ถ้วยขนมว่างเปล่า ตัวพี่วีหายไปแล้ว เดาว่าคงไปหาพวกร้องเหมียวๆ ล่ะมั้ง ส่วนเป้าหมายของผมกำลังวางถ้วยขนมว่างเปล่าลง แล้วเริ่มลูบพุงด้วยท่าทางความอิ่มหนำสำราญใจ
…แต่ดูจากที่ป้าน้อยยกโถขนมออกไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี คาดว่าขนมหวานในนั้นคงหายไปเกินครึ่งแหงๆ คิดแล้วก็ส่ายหน้า ก้าวเท้าเข้าไปหาตัวกินจุ จัดการอุ้มอีกฝ่ายขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพาตัวเองลงไปนั่งแทน โดยมีเจ้าของเก้าอี้ก่อนหน้านี้มานั่งตักอีกทอดหนึ่ง
“เก้าอี้ตัวอื่นก็มี จะมาแย่งกูนั่งทำไมเนี่ย!”
แมวเถื่อนโวยวายตามคาด ส่วนผมเริ่มกังวลนิดๆ ว่าต่อไปจะอุ้มใครบางคนไหวหรือเปล่า
“แล้วนั่นอะไร? ของกูใช่มะ”
ผมรีบยกของในมือหลบ “กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้”
“แต่มันมีชื่อกูเขียนไปอยู่นี่!”
ใช่ บนกล่องกระดาษแข็งสีน้ำเงินดูเรียบหรู มีอักษรสีเงินคำว่า Khaoyam อยู่จริงๆ
“อยากรู้ไหมว่าในนี้มีอะไร?”
“มีชื่อกูอยู่บนนั้นก็ต้องอยากรู้สิวะ!”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ยอมส่งกล่องขนาดเท่าฝามือให้ แล้วบอกเสียงดังฟังชัด
“เจ้านี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากแฟนอย่างกู”
ข้าวยำอึ้งไปแล้ว มันคงไม่ได้เตรียมใจมาเจอเรื่องเซอร์ไพร์สแบบนี้
“เป็นของที่กูให้ด้วยใจ และอยากให้มึงใส่ติดตัวไปด้วยทุกที่...พอจะทำให้กูได้ไหม?”
คนฟังเริ่มออกอาการเขินให้เห็น แมวเถื่อนนั่งก้มหน้าเม้มปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าหงึกๆ แสดงออกว่าตอบรับ ท่าทางน่ารักซะจนสะกิดต่อมอยากแกล้งขึ้นมา
“พยักหน้านี่หมายความว่ายังไง?” ผมแสร้งถาม
“ม...มึงก็รู้นี่!”
“พอดีว่ากูไม่รู้”
“ภู!” คนถูกแกล้งเงยหน้าขึ้นมามองกันตาวาววับ
“หืม?”
“กูไม่ได้เรียก!”
“คำตอบล่ะ?”
“เออ!”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยสื่อว่ายังไม่เข้าใจ ฝ่ายคนที่เขินก่อนหน้านี้สลัดภาพพวกนั้นทิ้งไปนานแล้ว ทั้งยังจ้องมองกันอย่างดุเดือดอีกต่างหาก
“ก็บอกว่าเออไง!”
“เออนี่คือ?”
“ก็ได้ยังไงเล่า!”
“เราได้กันแล้วนี่”
“โว้ย! กูหมายถึงตกลง! ชัดพอไหม!”
ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “โอเค ชัดพอแล้วว่ามึงตกลงจะใส่ติดตัวตลอด แต่ถ้ากูเห็นว่าถอนออกวางทิ้งไว้ล่ะก็...ได้มีคนโดนทำโทษแน่”
“เออน่า!”
คนถือกล่องอยู่ส่งเสียงรำคาญกลับมา แต่แววตานี่จ้องของเพิ่งได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
ผมมองข้าวยำค่อยๆ ดึงฝากล่องออก ด้านในกล่องมีสร้อยคอเส้นหนึ่งกับมีการ์ดหนึ่งใบที่เป็นนามบัตรของทางร้าน แมวเถื่อนเห็นการ์ดเข้าก็เริ่มออกอาการตื่นเต้นอย่างหนัก
“ร...ร้านนี้ดังมากเลยนี่”
ผมกระชับกอดรอบเอวแมวเถื่อนมากขึ้น ทั้งยังวางคางลงบนไหล่ มองคนบนตักหยิบนามบัตรใบนั้นออกมา สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้จึงเผยโฉมให้เห็นชัดๆ เป็นครั้งแรก
“...นี่...นี่มัน...”
ผมหยิบสร้อยคอสีเงินขึ้นจากกล่อง พร้อมกับสวมให้ข้าวยำที่นั่งตัวแข็งทื่อคล้ายตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนพูดมากกว่าสองคำไม่ออก
“สวยใช่ไหมล่ะ กูออกแบบเองเลยนะ”
มือของยำที่ถือกล่องค้างไว้อยู่เริ่มสั่นระริก ก่อนที่กล่องเปล่าใบนั้นจะถูกปาใส่อก
“ภู!! มึงอยากตายคาตีนกูใช่ไหม ถึงได้กล้าเอาไอ้นี่มาให้กูใส่!”
“มึงไม่ชอบ?”
“มึงคิดว่ากูจะชอบปลอกคอแมวไหมล่ะ!”
“นี่ของคนนะ” ผมพูดแย้งทันที “กูสั่งทำจากร้านดีมากด้วยมึงก็เห็น”
“ใครสนใจเรื่องนั้นวะ!”
“งั้นดูนี่ สร้อยบนคอมึงทำจากเงินชุบทองคำขาว รับรองว่าไม่เป็นสนิม ต่อให้ใส่ทุกวันก็ไม่คันแน่นอน”
คนฟังทำหน้าทนไม่ไหวรีบจับสร้อยเป็นคอชูขึ้นบ้าง และนิ้วชี้อีกข้างยกจ่อตรงตัวจี้ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งขอบมนทั้งสี่มุมอย่างเฉพาะเจาะจงสุดๆ
“ไอ้นี่น่ะ บ้านกูเรียก dog tag ลายแบบที่สวยๆ หรือเท่ๆ มีให้เห็นตั้งเยอะแยะ แต่ของมึงน่ะ มีรูปแมวหน้าบึ้งไม่พอ ยังกล้าสลักชื่อกูลงไปอีก! และดูนี่มีตัวสะกดอังกฤษไม่พอ มึงยังเอาเส้นประมาคั่น แล้วใส่อักษรภาษาไทยให้กูอีก อย่างกับกลัวใครสะกดชื่ออังกฤษของกูไม่ออกอย่างนั้นแหละ!”
“พูดมีเหตุผล”
“เหตุผลบ้าบออะไร ดีแค่ไหนแล้วที่มึงไม่อุตริใส่เบอร์โทรเจ้าของลงไปด้วยนะ!”
“อ้อ มีนะ” ผมตอบหน้าตาย “พลิกด้านหลังดูสิ”
ข้าวยำรีบพลิกทันที ปรากฏตัวภาษาอังกฤษสลักอย่างประณีตว่า
Call My Husband Phone
081596xxxx
ไม่จบเท่านั้น ด้านล่างยังมี QR Code ด้วย รับรองว่าใครแสกนเจ้านี้จะสามารถติดต่อกับผมผ่านทางไลน์ได้แน่นอน
“ไอ้พี่ภู!!!”
เจ้าของสร้อยตะโกนด่าผมดังลั่นบ้าน ตามด้วยสารพัดคำด่าที่ไม่ได้ยินมานานมาก พอได้ฟังแบบนี้รู้สึกคิดถึงสุดๆ ไม่เพียงแค่วาจา กระทั่งสองมือยังระดมทุบระบายความเครียดแค้นภายในใจไม่มีหยุด จนเหนื่อยแล้วนั่นแหละถึงได้หยุด ทิ้งแค่คำพูดทิ้งท้ายว่า
“โว๊ย! นี่มันเวรกรรมอะไรของกูเนี่ย ถึงได้ต้องมาเจอกับมึง!”
“...แล้วรักไหมล่ะ?”
คนถูกถามตวัดตามองเคืองใส่กันทันที “เพราะรักเนี่ยแหละ กูถึงได้โกรธตัวเองมากกว่ามึงอยู่เนี่ย!”
ผมหัวเราะพรืด พร้อมกับรั้งตัวคนกำลังโกรธจัดจนควันแทบออกหูเข้ามากอดแน่นๆ พลางกระซิบถ้อยคำที่อยากบอกให้คนๆ นี้ได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้นว่า
“รักกูเนี่ย รับรองว่าไม่ผิดหวังหรอกนะ”
“ไม่ผิดหวัง แต่ชอบทำแฟนหัวเสียเนี่ย ไม่ไหวหรอกนะ!”
ผมจูบขมับไปหนึ่งทีอย่างเอ็นดูคนพูดท้วงอย่างที่สุด “สีสันชีวิตดีออก”
“สีสันบ้านมึงสิ! นี่ถ้าไม่รักนะ กูจะไม่ทน!”
“โอ๋ๆ เพราะรักเหมือนกันหรอก ถึงได้ชอบแกล้งชอบแหย่ และยิ่งรักมาก กูก็ยิ่งชอบแกล้งมาก”
“เหรอ...” คนฟังไม่เชื่อเลยสักนิดเดียว “ดูจากระดับความหึงหวงของมึงยังชัดเจนมากกว่าอีก”
“นั่นด้วย”
“นี่ เอาปากของมึงออกไปห่างๆ คอกูหน่อย”
“คงไม่ได้หรอก...รักนะ แมวเถื่อนของกู”
แม้มีคนเถียงกลับมาว่าไม่ใช่แมวโว้ย แต่สำหรับผม ข้าวยำเป็นทั้งคนทั้งแมวที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี
------------------- จบบริบูรณ์ -------------------
############
และแล้วสำหรับเรื่องนี้ก็มาถึงปลายทางสุดท้าย...
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
นอกจากนี้เรามีเรื่องแจ้งให้ทราบก่อนจากดังนี้ค่ะ
1. ตอนพิเศษของเรื่องนี้จะมีแค่ในหนังสือนะ
2. ถ้าทางสนพ.พบรัก เริ่มเปิดพรีออเดอร์เมื่อไหร่ เราจะมาแจ้งให้ทุกท่านทราบข่าวค่ะ
3. ใครที่รออ่านข้อความลับอยู่ คุณกำลังจะมีข่าวดีค่ะ เพราะคนเขียนใกล้จะเปิดไหแล้วนั่นเอง (ทางเล้าเป็ดเราจะเอามาลงให้หลังเปิดไหดองอย่างเป็นทางการนะ)
มีเพียงเท่านี้ค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ~
KatzeP
-------------------
สามารถติดตามข่าวสารของเราได้ที่
https://www.facebook.com/KatzePalm/