5 ปีต่อมา...
รถทรงยุโรปคันหรูเคลื่อนเข้าจอดสนิทใกล้ต้นไทรสูงใหญ่ภายในวัดมีชื่อแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดอยุธยา ชินกฤตและคริสก้าวลงจากรถส่วนตัวพร้อมสำรับอาหารคาวหวานที่เตรียมมาถวายหลวงพ่อเจ้าอาวาส ทั้งสองก้าวไปยังศาลาเบื้องหน้าเฉกผู้คุ้นเคยสถานที่ ขณะจะก้าวบันไดพลันต้องชะงักกึก เพราะมีเสียงใครมาบางคนดังขึ้น
“มาแล้วรึโยมกฤต โยมคริส”
“สวัสดีครับ หลวงพ่อ” ชินกฤตหันไปยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมขณะมองเห็นภิกษุวัยชรายืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “ทำไมมายืนตรงนี้ล่ะครับ?”
ผู้ครองเพศบวชอมยิ้มอ่อนโยน ลอบมองชายหนุ่มต่างชาติต่างถิ่นที่เดี๋ยวนี้แวะมาเยี่ยมเยียนตนพร้อมกับบุคคลร่างสูงสันทัดเป็นประจำ
“รอพวกโยมอยู่น่ะสิ”
“รอพวกผมหรือครับ” คริส อู๋ที่ตอนนี้พูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้ภาษาบ้านเกิดของตนเอง เกิดความสงสัยจึงเลือกที่จะเอ่ยถามหลวงพ่อไม่ได้
“ใช่น่ะสิ...อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะฉันเพล เข้าไปคุยกันในกุฏิหลวงพ่อก่อนดีกว่าไหม?”
“ได้ครับหลวงพ่อ” ผู้มาเยือนรีบตอบรับคำ ขณะผู้ทรงศีลหันกายกลับ สาวเท้าไปยังกุฏิที่พำนัก ซึ่งห่างจากจุดสนทนาในตอนนี้ไม่เท่าใดนัก
ชายหนุ่มทั้งสองก้าวตามภิกษุวัยชราด้วยศรัทธาแรงกล้า แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้มากราบนมัสการ หากมากครั้งกว่าที่เคยมา นอกจากธรรมะลึกซึ้งที่ผ่านออกจากปากของท่านด้วยภาษาที่เรียบง่ายกับกระแสแห่งความเมตตาจิตที่แผ่ออกมาให้ทุกคนได้รับรู้ หลวงพ่อผู้นี้ก็มิเคยแสดงอำนาจฤทธิ์ใดๆ ให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว
ส่วนใหญ่ที่หลวงพ่อมักจะกล่าวแก่ญาติโยมคือ ผลของกรรม ท่านมักเน้นย้ำเสมอว่า “กรรมดีทำยากแต่ก็ควรกระทำเป็นนิจ ส่วนความชั่ว หากตัดมันไปเสีย ชีวิตก็จะเป็นสุขหลายเท่า”
ชินกฤตกวาดสายตามองรอบๆตัว หลังจากเข้าไปข้างในกุฏิ ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นครั้งก่อนๆที่เห็นเคย ไม่มีสิ่งของเกินความจำเป็น และมากไปกว่าสถานที่ผู้ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรมดี ปฏิบัติตน สู่มรรคผล...นิพพานตามรอบพระบาทของพระบรมศาสดา
“หลวงพ่อไม่ได้ใช้พัดลมหรือครับ?” คนเป็นลูกศิษย์เอ่ยถามเพราะจำได้ว่าครั้งก่อนที่มายังเห็นแขวนไว้อยู่บนเพดาน แต่ทว่าตอนนี้กลับไร้ซึ่งสิ่งของสิ่งนั้น
“เมื่อก่อนก็ใช้บ้าง ฉลองศรัทธาญาติโยมที่ซื้อมาถวาย” ผู้ตอบหัวเราะหึๆ ในลำคอ “แต่หลวงพ่อเพิ่งจะถวายให้พระลูกวัดไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนโยมมานี่เอง”
“อ้าว” คริสทำตาโต “แล้วหลวงพ่อไม่ร้อนแย่หรือครับ ขนาดผมเปิดเครื่องปรับอากาศนอนเล่นในบ้าน ยังร้อนอยู่เลย”
“ก็ช่างมันเสียสิ ร้อนกายนิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร สู้อย่าร้อนใจเป็นพอ”
“แหะๆ นั่นสิครับ”
“วันนี้คนในครอบครัวโยมกฤตไม่มาทำบุญด้วยกันที่นี่หรอกหรือ”
“ก่อนหน้าราวครึ่งชั่วโมงผมโทรไปเห็นบอกเข้าสู่เขตจังหวัดอยุธยาแล้ว อีกไม่นานก็คงถึง” อดีตรากษสหนุ่มผู้เคยใช้ชีวิตเป็นดั่งอมตะมาหลายภพชาติ บัดนี้กลับละทิ้งจากสิ่งที่เป็น และหันมาใช้ชีวิตธรรมดาเฉกเช่นมนุษย์เดินดินทั่วไป ที่สามารถเกิด แก่ เจ็บและตายได้ตาม วัฏจักรของธรรมชาติ เจ้าตัวเว้นวรรคหายใจเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ...
“หลวงพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ตัวหลวงพ่อน่ะไม่มี แต่พระหนุ่มอีกรูปเขาอยากเจอพวกโยม โดยเฉพาะคนที่ยังเดินทางมาไม่ถึง”
“นั่นสิครับ อย่าว่าแต่หลวงพี่เลย พวกผมเองก็อยากเจออยากพูดคุยกับหลวงพี่ท่านเหมือนกัน ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งหลายเดือน ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าของกุฏิทอดสายตามองผู้มาเยือนทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยน ท่านเอ่ยวาจานุ่มนวลเสนาะหูยิ่งนัก
“ไม่ต้องห่วง หลวงพี่ของโยมก็สบายดีตามภาษาผู้รู้แจ้งในธรรมนั่นล่ะ ถ้าพวกโยมสองคนอยากจะไปหาหลวงพี่ของโยมก่อนก็ไปนะ ไว้เจรจากันเสร็จค่อยมาคุยกับหลวงพ่อหลังจากฉันเพลต่อก็ได้”
“ได้หรือครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“งั้นหลวงพ่อพอทราบไหมครับว่าหลวงพี่ท่านอยู่ไหน”
แดดอ่อนยามสาย สาดส่องทะลุใบไม้ลงมาเป็นดวงพราวบนพื้นอิฐเทาและแดงสลับกันไป เสียงระฆังใบโพธิ์ตามชายคาวิหาร อุโบสถ และกุฏิส่งเสียงกรุ้งกริ้งตามสายลม
ร่างของพระภิกษุสงฆ์รูปงาม ผิวพรรณเรือนรองปรากฏอยู่ในสายตาของทั้งสอง ก่อนจะกลายเป็นสี่เมื่อคู่รักหวานแหววแห่งปีเดินเข้ามาสมทบ
“มานานหรือยังครับอากฤต” รณพักตร์เอ่ยกระซิบถามขณะเขย่งปลายเท้ามองพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกำลังกวาดเศษใบไม้บนลานกว้างบริเวณพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานองค์พระประธานสีทองสุกใสสูงเด่นเป็นสง่า แม้จะมองจากทางด้านนอกก็ตามที “แล้วทำไมไม่เข้าไปคุยกับท่านล่ะครับ มายืนมองอะไรเงียบๆกันอยู่ตรงนี้”
“อาอยากจะรอให้คนมาครบก่อน”
“เอาจริงเหรอครับ แต่อีกนานไหมกว่าพวกเขาจะมา โทรไปถามไหม...คืออินไม่ได้รีบนะ แค่อินกับลักษณ์อยากจะเข้าไปเม้าท์มอยกับหลวงพี่ท่านเฉยๆ”
“ขนาดไม่รีบนะเจ้าอิน...คงอีกสักพักแหละกว่าพวกเขาจะมาถึง ถ้าเจ้ากับลักษณ์รอไม่ไหวก็รุดหน้าเข้าไปหาท่านก่อนเลย ไว้คนที่เหลือมาถึงเมื่อไหร่อาค่อยตามไปสมทบ...ว่าแต่กบินทร์อยู่ไหนเสียล่ะ ตามมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ครับอากฤต ไอ้ลิงนั่นมันบินไปจีน ไม่ได้กลับมาอยู่ที่ไทยราวหกเดือนเห็นจะได้แล้ว” ศุภลักษณ์อมยิ้มกับคำพูดของรณพักตร์ “เห็นว่าจะไปหาใครสักคนเนี่ยแหละ”
“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างเจ้านั่นมีคนรู้จักอยู่ที่จีนด้วย”
“หูย ที่จริงไม่ได้รู้จักอะไรกับใครเขาหรอก ที่มันไปจีนเพราะมันอยากได้แม่นักแสดงตากวางเป็นเมียต่างหาก”
“ดังไหมอิน...แล้วชื่ออะไร เผื่อผมจะรู้จัก”
“ก็ดังพอตัวว่ะคริส เป็นผู้หญิงหน้าสวย ตากลม ไอ้ฉันก็จำไม่ได้ว่าชื่อว่าอะไร รู้แค่ใช้นามสกุลละ...” ยังไม่ทันที่รณพักตร์จะเอ่ยจบประโยค เสียงทุ้มนุ่มลึกน่าฟังก็ดังแทรกบทสนทนาเข้ามาเสียก่อน ภิกษุหนุ่มพิงไม้กวาดกับผนังอุโบสถสีขาวพิสุทธิ์ และหันมองพวกเขาเต็มตา
“อ้าว มากันแล้วเหรอโยมลักษณ์ โยมอิน โยมกฤต โยมคริส...”
รณพักตร์อดีตรากษสผู้ชนะองค์อินใช้ศอกกระทุ้งสีข้างคนตัวสูงกว่าเบาๆ “ไว้กลับบ้านฉันค่อยเอารูปไปให้นายดูก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปหาหลวงพี่กันก่อนเถอะ”
คนทั้งสี่ก้มลงกราบพระภิกษุเบื้องหน้าด้วยจิตเลื่อมใส ริมฝีปากผู้ทรงศีลยกยิ้มบางเบา ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นสุขไร้ซึ่งกิเลสและทุกข์ตรม...นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อนสิ้นสุดลง ราเมนทร์ก็ตัดสินใจ ขอละทิ้งจากทางโลก ละทิ้งความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาที่มนุษย์ส่วนใหญ่เพิ่งมี ปลดเปลื้องชีวิตนิรันดร์ออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาตลอดช่วงชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่ โดยใช้นามในทางพระพุทธศาสนาว่า
ฉินฺนาลโย (ฉิน-นา-ละ-โย) ที่แปลว่า ผู้ตัดความอาลัยแล้ว
“มากันนานหรือยังล่ะพวกโยมทั้งหลาย”
“ก็สักพักล่ะครับหลวงพี่ราม” เป็นศุภลักษณ์ที่ตอบคำถามแทนทุกคน “พวกผมไม่ได้มาหาหลวงพี่หลายเดือน ไม่ทราบหลวงพี่ยังสบายดีหรือไม่”
“ช่วงนี้เราสบายดี”
“หมายความว่าช่วงก่อนหน้าไม่สบายดีรึ?”
“โยมกับพระมันก็คล้ายกันนั่นแหละ มีทั้งสุขให้สบายใจและทุกข์ให้ครุ่นคิดหนักเป็นเรื่องธรรมดา” พระภิกษุวัยหนุ่มกล่าวคำหลังจากทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หินอ่อน ก่อนจะไล่สายตามองไปบริเวรรอบๆ “ทุกอย่างมันก็มาจากที่เดียวกันทั้งนั้นแหละ”
“แต่พระก็น่าจะดีกว่าคนธรรมดาอย่างพวกผมกระมังครับ มีทุกข์เข้ามาหาไม่เว้นวัน” รณพักตร์พูดปนยิ้มน้อยๆ หากอีกฝ่ายส่ายหน้าน้อย ๆ...
“ถ้าเป็นแค่สมมติสงฆ์ หรือบวชมาเพื่อห่มผ้าเหลืองทดแทนบุญพ่อแม่มันไม่กี่เดือน มันก็ไม่ต่างกันเท่าใดหรอกโยม” วิธีพูดเนิบนาบหากน้ำเสียงจริงจัง
“สำหรับตัวเราที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตขอหันหน้าพึ่งบารมีของพระพุทธเจ้า ก็เพิ่งจะรู้บางอย่าง...ยิ่งบวชเรียนมากเท่าไหร่ ทุกข์มันก็ยิ่งมากขึ้น”
“ยังไงหรือครับ อะไรที่ออกแนวปรัชญาชีวิต ธรรมะผมฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
“ทุกข์กับกิเลสมันมีหลายระดับ ถ้านักบวชยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะต้องตัดอุปาทานขาดออกจากจิตได้ ก็ต้องเผชิญทุกข์ ปะกับเวทนาที่ปะปนมากับความคิดความปรุงแต่งที่ยังคงหลอกหลอนเราอยู่ตลอดนั่นแหละ” หลวงพี่หนุ่มหลับตา ถอนใจลึกเนิ่นนาน จึงเอ่ยคำเบา ๆ...
“แต่กระนั้นถึงเราจะออกบวชมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจพวกมันอีกมาก” หลับตาแล้วเบือนมองน้องชายของตน “เพราะเมื่อใดมนุษย์ไร้ซึ่งความรัก โลภ โกรธ หลง มนุษย์ก็จะมีแต่ความสุข ปลอดภัย”
“
งั้นถ้าผมไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ต้องออกบวชตามหลวงพี่รามใช่ไหมครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับวงหน้างามแฉล้มเช่นอิสตรี มือทั้งสองข้างจับจูงเด็กน้อย หนึ่งหญิง หนึ่งชาย อายุอานามราวสามสี่ขวบเห็นจะได้ กำลังคลี่ยิ้มหวาน โบกมือหย็อยๆไปมาน่าเอ็นดู
“กฤต อิน! งื้อ...เรามาหา...มาแล้วนะ”
“จันทร์ก็มา...มาหาคุณพระตัวฉูง...”
เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยแว่วมาอย่างชัดเจนในโสตประสาทของบุคคลทั้งห้า รณพักตร์เป็นคนแรกที่วิ่งตัวลอยเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนที่มีโครงหน้าเหมือนกันราวกับแกละ ดวงตารีเรียวน้ำตาลทอเขียวอ่อนๆ จมูกเล็กจิ๋ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังยกฉีกยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆทั้งสองข้างของตนเองอย่างน่ารักน่าชัง...เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจะต่างก็ที่เพศชายและเพศหญิงเท่านั้น
“อิน...อินจ๋า...จันทร์คิดถึงจังเลย”
“ทิตด้วย ทิตก็คิดถึงอินเหมือนกัน”
“คิดถึงพี่อินจริงเหรอ ไหนพี่อินขอหอมแก้มชายอาทิตย์สุดหล่อกับคุณหนูจันทร์คนสวยให้ชื่นใจหน่อยสิ” เด็กฝาแฝดชายหญิงยื่นแก้มให้พี่ชายใหญ่อย่างรู้งาน รณพักตร์จัดการรวบร่างป้อมของทั้งคู่หอมแก้มซ้าย ของแก้มขวาไปมาจนเรียกเสียงหัวเราะกังวานใสดั่งระฆังแก้วให้ทุกคนที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูและหลงรักเด็กน้อยผู้มีใบหน้างดงามราวเทวา นางอัปสรบนสรวงสรรค์เต็มหัวใจ
“แล้วไม่คิดถึงอากฤตบ้างเลยหรอ”
เด็กชายรังสิมันต์ส่ายหน้าพัลวันพลางยกมือเอื้อมแตะปลายคางของผู้เป็นอาทันทีที่อีกฝ่ายย่อตัวลงมาเพื่อให้ระดับสายตาตรงกัน “คิดถึงสิ อาทิตย์คิดถึงอากฤตเหมือนกัน”
“แล้วอาคริสล่ะครับ” เมื่อไม่เห็นหลานชายพูดถึงตนก็ทักท้วง
“อ้าวไหนอาคริสบอกอาทิตย์ว่า อาคริสกับอากฤตคือคนคนเดียวกัน ถ้าอาทิตย์คิดถึงใครก็หมายถึงอาทิตย์คิดถึงอีกคนด้วย”
“โอ้ มาย ลอร์ด...วาย ยู โซ สมาร์ทอย่างนี้ล่ะ กฤตจ๊ะว่างๆเรามาหาเวลาสร้างครอบครัวกันสองต่อเถอะ คริสอยากมีลูกแบบซันนี่อ่ะ ต้องมีให้หล่อให้ฉลาดพูดแบบนี้เลยนะ อยากได้...อยากได้สุดๆโอ้ย!” ฝ่ามือเล็กกว่าทว่าแรงดีแสนหนักหน่วงฟาดเข้าเต็มไหล่กว้าง เจ็บ...แสบไปถึงทรวงใน
“ที่รักตีผมอีกแล้วนะ”
“ก็มันน่าตีไหมล่ะ อยู่ในวัดใครเขาให้พูดจาน่าเกลียดแบบนี้”
“แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในวัด...อย่างอยู่ในห้องกันสองต่อก็พูดได้ใช่ปะ” ยื่นหน้ากระซิบแผ่วให้ได้ยินกันแค่สองคน ชินกฤตเม้มปากไม่ได้ลงมือตีเหมือนเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้ตอบรับคำ คริสยิ้มกริ่ม ตะโกนร้อง เยสๆๆๆ อยู่ในใจ
“สรุปคืนนี้เลยนะ”
“อย่ามาไอ้นกโรคจิต”
“ถึงผมจะขึ้นชื่อว่าเป็นนก แต่ผมไม่เคยนกกับคุณเลยนะ ได้เกือบทุกคืน... โอ้ย!” ถึงกับร้องเสียงดังลั่นอีกหนเมื่อหูทั้งสองข้างโดนบิดอย่างแรง “กฤตจ๋า คริสเจ็บนะ”
“บอกไม่นกใช่ไหม งั้นวันนี้คุณพญานกก็นอนนอกห้องแล้วกัน”
“เฮ้ย! ไม่....ไม่เอาดิที่รัก ได้โปรด...”
“อย่าให้รู้ว่าแอบย่องเข้ามานอนในห้องตอนดึกนะ ไม่งั้นจะไล่ให้ไปนอนที่ทำงานหนึ่งอาทิตย์ ห้ามโทรหา ห้ามกลับบ้าน ห้ามคุย ห้าม...”
“โอเค ยอมแล้วพ่อทูนหัวของไอ้บ่าวคริส” ได้แต่ร้องโฮอยู่ในใจเมื่อเมียรักทำกันได้ลงคอ
เอาน่า...มันต้องมีสักวันที่พระเจ้าเห็นใจ และประทานลูกน้อยแก่พวกเขาอย่างแน่นอน
ภิกษุหนุ่มหันไปหาผู้เป็นมารดาของเด็กชายรังสิมันต์และเด็กหญิงศศิธร แสงตะวันและดวงจันทราที่เกิดมาเพราะโชคชะตานำพา มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่พวกเขาได้มีโอกาสเกิดมาบนโลกอีกครั้ง และยังเป็นบิดาและมารดาคนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
“นมัสการครับหลวงพี่”
“ดีที่ได้เจอนะ โยมเปรม...”
“อะแฮ่ม! ถึงจะเป็นพระแต่ถ้าเมียงมองเมียกระผมหวานหยดย้อยเสียขนาดนี้ เป็นพระผมก็ไม่ละเว้นนะครับหลวงพี่” ฝ่ามือใหญ่กระหวัดโอบรักเอวของผู้เป็นภรรยาของลูกน้อยทั้งสองอย่างหวงแหน ภิกษุหนุ่มเพียงอมยิ้ม ไม่มีกระแสความคิดเป็นอื่น
ดวงตาของผู้ครองเพศบวชประกายกล้า เอ่ยคำกับอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
“เราวางความวุ่นวายจากทางโลก ก้าวสู่ความสงบมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่เราจะต้องเลือกเดินเส้นทางนั้นอีก”
“พูดซะกระผมเป็นคนบาปหนาเลยนะครับหลวงพี่ราม” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะในลำคอ และกล่าวต่อ “แต่อย่างไรกระผมก็ขอให้ท่านจงสำเร็จเข้าถึงนิพพานได้ในเร็ววัน”
“ขอบใจมาก”
ไม่ว่าเรื่องราวอดีตจะเป็นเช่นไร เคยเป็นมิตรหรือศัตรูกันมาก่อน ก็คงไม่สำคัญเท่ากับวันนี้เราได้ปล่อยวาง ยุติมันลงด้วยหลักธรรมแห่งการให้อภัย...
“
อสุเรนทร์”
แสงนวลแห่งดวงแก้วรัตติกาลส่องสว่างมายังพื้นเบื้องล่าง เรือนไทยหลังกลาง ขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวอันประกอบไปด้วยบิดา มารดาและลูกน้อยอันเป็นที่รัก คนร่างบางนั่งนิ่ง แหงนมองพระจันทร์ที่สีเหลืองนวลงามตาดวงใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า มือก็คอยลูบหัวให้เด็กฝาแฝดชายหญิงที่นอนหลับสนิท ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆอย่างน่าเอ็นดู
เปรมปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับคืนสู่อดีตเมื่อห้าปีก่อนอย่างไม่รู้จบ เหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาและคนรอบข้างได้ประจักษ์ มันยังคงติดตราตรึงอยู่ในความทรงจำมิรู้ลืม...
เมื่อลมหายใจแห่งพญารากษสทศกัณฐ์แผ่วเบา...และดับสิ้นราวเปลวเทียนสิ้นเชื้อสิ้นแสง ม่านไหมโรงละครใหญ่ก็ถูกเลื่อนปิดลงกึ่งช้ากึ่งเร็วเพราะไม่อยากให้ผู้ชมที่นั่งดูอยู่สงสัยไปมากกว่านี้ นอกม่านอาจจะได้เสียงปรบมือตอบรับล้มหลาน แม้จะยังมีอาการมึนงงกับเนื้อเรื่องตอนสุดท้ายในตามที แต่ทว่าหลังม่านนั้นกลับอลหม่าน วุ่นวาย ปู่เหนือ ครูจันทร์ พรั่งพร้อมด้วยนักแสดงเกือบสิบชีวิตต่างตกอยู่ในความตกใจกันทั่วถ้วน
หญิงวัยสามสิบกว่าผู้เป็นครูถึงกับปิดปาก กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปหลังเห็นใบหน้าของลูกศิษย์คนโปรดอย่างเปรมนั่งนิ่งราวหุ่นปั้นไร้ชีวิตอยู่ในอ้อมแขนของอสุเรนทร์ที่ปราศจากการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเช่นกัน ชายชราที่ยังคงไว้ซึ่งสติมากกว่าคนหลายคนจึงออกปากเอ่ยถามในทันที
‘เกิดอะไรขึ้นคุณกฤต ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมเจ้าเปรมถึงฆ่าตัวตายแล้วไอ้รูปร่างคล้ายหัวใจที่คุณทศชูขึ้นมาในตอนสุดท้ายอีกมันคืออะไรกันแน่ คุณกฤตโปรดอธิบายให้กระผมเข้าใจที’
‘ท่านครูจะเชื่อไหม หากผมบอกว่าพวกเราล้วนแล้วแต่เคยรู้จักกันในอดีตชาติ และมีเวรกรรมร่วมกันมาก่อน ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้’ ชี้ไปที่ราเมนทร์ ‘เขาคือพระนารายณ์ที่อวตารลงมาเป็นพระราม ท่านพี่อสุเรนทร์คือทศกัณฐ์ ทั้งสองคือผู้ที่เลือกใช้ชีวิตผิดกฎธรรมชาติ ไม่มีวันตายเพื่อรอคอยนางอันเป็นที่รัก ส่วนเปรมคือนางสีดาที่ชะตาต้องด้วยกริช ก่อนจะกลับมาเกิดในภพชาติใหม่’
‘เดี๋ยวนะครับ คุณกฤต กระผม...’
‘จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่สิ่งที่ผมเล่าล้วนเป็นความสัจจริง’
‘ละ...แล้วทำไมเจ้าเปรมมันต้องเอากริชแทงตัวเองตายเหมือนนางสีดาในชาติก่อนด้วยล่ะ’
ชินกฤตไม่ได้ตอบคำถามของชายชราในทันที ด้วยนิมิตภาพเพิ่งปรากฏเด่นชัดทางความคิด ร่างโปร่งแสงของนางสีดาขยับปากเอื้อนเอ่ยบอกเล่าความในใจให้ฟัง น้ำตาทำนบหน้าด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิด...อดที่จะเคืองวิญญาณสาวไม่ได้ หากนางปรากฏตัวมาบอกเขาเร็วกว่านี้สักนิด เรื่องมันก็คงไม่จบลงอย่างน่าเศร้าสลดเช่นนี้
‘เปรมเขาไม่ได้เลือกครับ แต่เขาจำเป็นต้องทำ’ ชายหนุ่มละคำพูด สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ‘เคยใช้วิธีใดสร้างกรรมให้ตัวเอง ย่อมต้องแก้ไขด้วยวิธีนั้น’
‘แต่จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต’
‘เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้...มันมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะอธิบายท่านครูทั้งสองได้หมด เอาเป็นว่าถ้าเปรมไม่อาจหาญกระทำการเช่นนี้ เรื่องที่ยังเป็นปัญหาคาราคาซังก็คงไม่มีวันจบ ต่อให้แจ้งกระจ่างแล้วว่าคนกลางอย่างเปรมรักใคร แต่มันก็ไม่อาจเป็นตัวชี้ชัดว่าความรักสามเส้าของคนสามคนจะจบลงอย่างมีความสุข’
ในเมื่อต่างคนต่างรัก และยังยึดติดอยู่กับกิเลส ตัณหาความลุ่มหลง ความชิงชัง สุดท้ายถึงใครคนหนึ่งจะสมหวังกับรักที่ปรารถนา แต่มันจะเป็นรักที่มีความสุขแน่หรือ หากยังครุ่นคิด ติดอยู่กับหวาดระแวงเรื่อยไป
‘และสำหรับท่านพี่ทศ ทศกัณฐ์ที่ใครต่อใครมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต หลงใหลในกามราคะและอิสตรี หากในสายตาของคนที่อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลาเช่นผม...หัวใจรากษสผู้นี้ยิ่งใหญ่หาผู้ใดเสมอเหมือน ตลอดหนึ่งพันปีเขาที่ยึดมั่นในรักเดียวมาโดยตลอด ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขายอมเสียสละชีวิตของตนเพื่อให้อีกคนได้อยู่’
‘ฮึกๆ ฮือ พระบิดาขอรับ กลับมาเถิดพระบิดาแห่งข้า...’
ชินกฤตแยงยลไปยังหลานชายที่นั่งก้มหน้าร้องไห้ตัวโยนด้วยความเจ็บปวด โดยมีศุภลักษณ์คอยลูบหลังปลอบใจไม่ห่าง ก่อนกระหวัดมองร่างนิ่งไร้ลมหายใจไปนานสองนานของพี่ชาย
หืม...
สองคิ้วยกขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจความรู้สึกยินดี และโล่งใจที่ค่อยๆทะยานอัดแน่นเต็มอก
แม้จะแผ่วเบาหากเขากลับได้ยินมันชัดเจนจากแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของทั้งคู่ ราวเส้นด้ายแห่งชีวิตพันผูกร้อยรัดเข้าด้วยกันจนแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว
ตึก............ตึก..............
ตึกตึก......ตึกตึก
ด้วยอำนาจแห่งรักแท้ มีอำนาจเหนือเทวทัณฑ์ที่ต้องรับ เสียงกัมปนาทแห่งธาตุเคลื่อนไหวบังเกิดขึ้นอย่างเลือนลั่น
โซ่ตรวนแห่งกฎสวรรค์ขาดสะบั้นลง!
ความรักและเมตตาธรรมในดวงจิตแห่งพญารากษสผู้ครองกรุงลงกาช่วยค้ำจุนชะตาชีวิตของตนและคนที่รักปานฤทัย
ทุกอณูแห่งธาตุในอดีตจวบจนปัจจุบันคล้ายถอยวนกลับ...
จากร่างกายเปล่าไร้ซึ่งวิญญาณ สู่การกลับมาด้วยหัวใจหนึ่งเดียวกันตราบนานเท่านาน...
แม้ราตรีผ่านไปอย่างยาวนาน ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดก็คงยังนั่งอาบแสงจันทร์อยู่ตรงที่นั่งกว้างขวางนอกชานเรือน ไม่ขยับไปไหน คนรื้อฟื้นความทรงจำในอดีตยิ้มน้อย เขายังจำมันได้แม่นมั่นแม้วันเวลาจะผันผ่านมาราวห้าปีแล้วก็ตาม
ณ เวลานั้น วินาทีนั้นที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ หัวใจของพญารากษสพลันเต้นตึกตักอยู่ในอก ก่อเกิดความรู้สึกอบอุ่นราวกับมีเจ้าของของมันคอยตระกองกอดไม่ห่างหาย และ ณ เวลานั้นอีกเช่นกันที่หยาดน้ำใสของตนเอ่อท้น...รายริน เป็นสุขมากกว่าเป็นทุกข์ เมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยถ้อยคำหวานคลอเคลียข้างใบหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
และความทรงจำแห่งวันวานจะคงยังเล่นวนอยู่ในความคิด ถ้าเกิดไม่รู้สึกถึงแรงกอดกระทบเต็มแผ่นหลัง
“เปรมจ๋า...” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้นิรดาตื่นจากภวังค์ความคิด
“จ๋าพี่ทศ”
“มีใครบางคนฝากความคิดถึงมาถึงน้องด้วย” ประโยคพร้อมรอยยิ้มมาจากปากของอสุเรนทร์ พร้อมยื่นหน้าใช้ริมฝีปากประทับลงบนแก้มขาวเนียน
“ใครฝากมาครับเนี่ย”
“ทศกัณฐ์ฝากรอยจูบมาให้น้องน่ะ”
“แล้วคุณอสุเรนทร์ผู้นี้ไม่หึงหวงหรือครับ”
“หวงสิ แต่จะยอมอ่อนให้เจ้ายักษ์นั่นนิดหนึ่งก็ได้”
เปรมหัวเราะในลำคอ ประกายแห่งความสุขทอวูบในดวงตาหวาน ขณะวงแขนแข็งแรงกระชับกอดผู้เป็นภรรยาไว้แนบแน่น ใบหน้าซุกลงซอกคอหอมกรุ่ม จุดเดียวที่เคยปรากฏรอยปานกุหลาบสีแดง ทว่าบัดนี้กลับเลือนรางหายไปจนหมดสิ้น ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา อสุเรนทร์ก็ตระหนักได้ว่า...
ความรักที่เขาเคยมีต่อเปรมมันผิดแผกไป มิใช่ความรักที่หมายมั่น ยึดมั่น เช่นกาลก่อน...
หากเป็นสิ่งใหม่ที่เขาค้นพบ...และเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้
มันคือรักอันบริสุทธิ์...รักที่ไม่ได้เจือปนด้วยความอยากได้ อยากมี
เป็นรักที่ไม่หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน
อดีตพญายักษ์คลี่ยิ้มมีความสุขอันเปี่ยมล้นเต็มดวงหทัย มันไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึงจุดๆนี้ จุดที่เรื่องราวทุกอย่าง ข้อพิพาทที่เคยยืดเยื้อคาราคาซังกันมายาวนานถูกทลายลงมิเหลือซาก
เหลือเพียงประกายแสงแห่งความสุขที่ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีวันลดทอนหรือหมดลง
ของคนสองคน...กับอีกหนึ่งหัวใจ
มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบพระทรงธรรม เทิดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ แลแม่
เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้แก่ตัว
[/i]
แม้นลมหนาวโชยพรมผ่านสะท้านกาย หากแต่ใจคนสองคนกลับอบอุ่นเสียเหลือเกิน...ในดวงเนตรดำสนิท มิได้ฉายภาพผู้ใด นอกจากผู้ที่เป็นรักเดียวและรักสุดท้ายของชีวิต
โศกนาฏกรรมระหว่างพระราม ทศกัณฐ์และนางสีดาหลงเหลือทิ้งไว้เป็นเพียงความทรงจำอันบางเบาราวม่านหมอกในยามเช้า
ไม่มีความแค้น ริษยา ไม่มีการยึดติด
มีเพียงหัวใจพิสุทธิ์อสุเรนทร์ที่มอบให้แด่เปมทัต...ชั่วนิจนิรันดร์-จบบริบูรณ์-
จบจริงๆไม่ติงนังนะเออออออ
วู้วววว ในที่สุดก็มาถึงวันนี้
อยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้นมากๆเลย ขอบคุณจากหัวใจ
สิ่งที่คุณเขียนที่คุณบอกว่า มันทำให้เรายิ้มได้ตลอด
หลังจากนี้จะพยายามแต่งเรื่องต่อๆไปให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้อยากให้หลายๆคนเข้ามาเม้นกันเยอะๆนะคะ อยากจะรู้ว่าทุกคนรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง
ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องใหม่นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้นจ้าาาา