บทที่ ๗
[/size]
“สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว”“อสุเรนทร์!”
“ถ้าฉันเห็นนายทำร้ายคนของฉันอีก...หึ เอาเถอะ เรายังเวลาคุยกันอีกนาน”
ราเมนทร์เซไปตามแรงชน ทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเงียบ ก้มลงมองมือของตัวเองที่สั่นเทาเพราะเผลอผลักเปรมจนล้มไปกองกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ มันให้ทั้งความรู้สึกโมโหและเสียหน้าไปพร้อมๆกัน อึดอัด...แน่นภายในอก เขาเหมือนตัวประกอบที่มีหน้าที่แค่เดินผ่านไปมาไม่มีบทบาทอะไรให้น่าจดจำ นอกจากยืนมองดูตัวหลักสองตัวเดินผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย ดวงตาดำคมปลาบฉายแต่แววเคียดแค้น
“น่าสงสารจัง แพ้อีกแล้ว” รณพักตร์ยิ้มเหยียดอย่างดูแคลน “รักเขา แต่ก็ทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ใครไหนเลยจะรักคนพรรณนั้นได้ลง คุณราเมนทร์ว่าจริงไหมครับ”
“คนนอกอย่างนายเกี่ยวอะไรด้วย”
“ผมน่ะเหรอคนนอก รู้ๆกันอยู่ สงสัยอยู่มานานสติเลยเลอะเลือน ว่างๆไปโรงพยาบาลก็ดีนะ ผมรู้จักแพทย์เฉพาะทางคนหนึ่งเก่งมาก ถ้ายังไงสนใจลองตรวจสมองหน่อยไหม มีบัตรส่วนลดให้ด้วยนะ”
“ไม่มากไปหน่อยหรือไง”
“อะไรที่ว่ามากหรือครับคุณราเมนทร์ ถ้าสิ่งที่ผมแนะนำมันทำให้คุณไม่พอใจ ก็...sorry”
“หึ ต่อให้เวลาผ่านมานานแค่ไหน ก็ยังไม่เลิกใช้นิสัยต่ำๆเหมือนคนพ่อสักที”
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ได้ยินไม่ค่อยถนัดหูเลย” รณพักตร์แกล้งทวน ทั้งที่แขนขาเริ่มอยากยกขึ้นมาฟาดร่างสูงตรงหน้าให้จมดิน
“
ชั้น – ต่ำ ชัดพอหรือยัง”
คำสองคำ ชัดเจน หนักแน่น กระแทกเต็มสองรูหูอย่างไม่ต้องพยายามตั้งใจฟังแม้แต่น้อย ใบหน้าสวยพ่นลมหายใจออกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงเต็มๆตา “ด่าฉันด่าได้แต่อย่าลามปามถึงพ่อบังเกิดเกล้า ก่อนพูดอะไรที่มันแย่ๆขัดกับหนังหน้า ช่วยไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์ดูตัวเองสักนิดเถอะ เพราะสิ่งที่แกพูดออกมา มันกำลังบอกด้วยตัวมันเองว่าคนพูดน่ะต่ำกว่าคนโดนว่าเสียอีก”
“!!!”
“ผู้ที่
จิตใจต่ำต่อให้แปลงกายเป็นพ่อพระผู้ประเสริฐสุดในสามโลก มันก็กลบ
สันดานต่ำๆไม่มิดหรอก”
“เจ้า!”
ร่างเล็กฉีกยิ้มหวาน หากดวงตาของเขากลับลุกโชนไปด้วยโทสะ “พ่อใครใครก็รัก คงไม่มีใครยิ้มกว้างเวลามีคนมาด่าบุพการีตัวเองหรอก อย่าให้ผมได้ยินคุณรามเมนทร์ ผู้แสนประเสริฐพูดเป็นครั้งที่สอง เพราะผมคงไม่ใจดีเหมือนอย่างในวันนี้”
รณพักตร์ตบบ่ากว้างราวกับต้องการย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาพูด ก่อนเดินไปก็ยังมิวายกระซิบประโยคหนึ่งที่แทบทำให้คนเลือดเย็น
อย่างราเมนทร์เกือบสติแตกกลางคัน ท่ามกลางวงล้อมของคนในโรงละครโขนที่แอบยืนฟังบทสนทนาของพวกเขานับสิบ "ยอมรับเสียเถอะคุณมาไกลได้แค่นี้ ถ้าฉลาดก็น่าจะดูออกนะ ว่าตอนนี้ใจของพ่อเปรมคนสวยเอนเอียงไปทางใคร”
“อินทรชิต!”
“ถึงชาติก่อนคุณได้นางสีดาเป็นคู่ครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาตินี้คุณจะต้องได้พ่อเปรมมาเป็นเมียเสียหน่อย ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหัวใจของคนกลาง การตัดสินใจของเขาคือข้อยุติ ผมคงไม่เห็นคุณเล่นลูกไม้สกปรกอย่างคราวที่ผ่านมาอีกนะ ไม่งั้นคงดูน่าสมเพชแย่...ไม่ขออวยพรให้นะเพราะไม่จำเป็น”
ราเมนทร์ทำได้แค่ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน จะแสดงความโกรธโจ่งแจ้งก็ไม่ได้ แค่หายใจก็โดนนินทาแล้วกระมัง คาดว่าเรื่องเมื่อครู่คงกลายเป็นเป็นข่าวฉาวโฉ่ข่าวใหม่ให้คนวงในส่งเสียงนินทากันสนุกสนาน ผู้ชายหน้าตาดีสองคนห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดถึงขึ้นเลือดตกยางออกเพราะคิดจะแย่งนักแสดงหนุ่มหน้าหวานคนเดียวกัน!
ปลายนิ้วเลื่อนหาเบอร์โทรจากในโทรศัพท์ ก่อนกดโทรออก...รอไม่นานนักปลายสายจึงรับ
‘ครับพี่ราม’
“ลักษณ์ ส่งคนมารับพี่ที่โรงละครด่วน เราต้องหาลือกันเสียหน่อย”
อสุเรนทร์วางร่างบางลงบนโต๊ะยาวโต๊ะหนึ่งในห้องซ้อมวงดนตรีไทย ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อเมื่อร่างสูงที่อุ้มเขาเข้ามาในนี้เอาแต่นิ่งเงียบผิดปกติ นั่งหันหน้าหาบานหน้าต่างมองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอก ทั้งๆที่ปกติจะชอบส่งยิ้มคุยอ้อร้อให้เขายิ้มเขินอายตลอดเวลา
นี่เขาทำอะไรผิดหรือเปล่า
“คุณทศ”
“...”
“คุณทศครับ...”
“...”
เปรมเริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดเสียที “ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ...”
“ฉันบอกตอนไหนว่าฉันไม่พอใจเธอ”
“...” ความรู้สึกคันยุบยิบในอกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อสบสายตาคมสีเข้มของร่างสูง เปรมครุ่นคิด มีเรื่องอะไรให้น่าทุกข์ใจถึงขนาดต้องทำหน้าเครียดขึงขังอย่างนั้นด้วย อยากเอ่ยถามก็เกรงไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่พอไม่ถามใจก็ดันมาอึดอัดเพราะต้องการคำตอบเสียนี่
“อยากถามอะไรก็ถามมาสิ”
เปรมเม้มปาก มือที่วางอยู่บนตักบีบกันแน่น “ผมถามได้หรือครับ แต่มัน...”
“ถามมาเถอะ”
“คุณทศกับพี่รามมีเรื่องผิดใจกันหรือครับ”
“หึ พี่ราม” ร่างสูงยิ้มเหยียด “สนิทกันถึงขั้นใช้สรรพนามว่าพี่เลยเหรอ”
“ก็เขาแก่กว่าผม”
“ฉันก็แก่กว่า แต่เธอไม่เคยเรียกแบบนี้สักครั้ง”
“...”
“บางที มันก็น่าน้อยใจไม่น้อย” สำหรับคนที่มาก่อนอย่างเขา แต่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม
“คุณจะให้ผมเรียกคุณว่าพี่ก็ได้ถ้าคุณ...”
“ถ้ามันไม่ได้มาเพราะความเต็มใจก็อย่าเลย ฉันไม่ต้องการหรอก”
“คุณทศ”
“...”
“ขอโทษครับ” เปรมเอ่ยเสียงเบาหวิว
“ขอโทษทำไม”
“เอ่อ...”
อสุเรนทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เขาหวงและโหยหามากที่สุดในตอนนี้ มือหนากุมอยู่รอบลำคอเล็ก บีบเบาๆให้อีกคนโน้มตัวลงมา แล้วดวงตาคู่สวยก็สบกับดวงตาของจอมวายร้ายที่มักพาใจเขาเต้นกระหน่ำทุกครั้งที่เจอหน้า รู้สึกเหมือนหายใจติดขัดผิดจังหวะไปหมด ใบหน้าเห่อร้อนเสียยิ่งกว่าโดนพิษไข้เล่นงาน อยากจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางแต่กลับทำไม่ได้
“เธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า รู้ตัวบ้างไหมเปมทัต”
“ผมเหรอครับ”
“อย่าแกล้งโง่”
“ครับ?” อะไรคือการมาด่าเขาว่าแกล้งโง่ งงงวย ไม่เข้าใจสักนิด
“เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดในโรงซ้อมหรือไง”
‘สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว’
อ่า...นึกออกทันที
“คุณทะเลาะกับพี่รามเพราะเรื่องของผมเหรอ”
“เปรม...เฮ้อ เธอนี่มัน” เปรมทอดถอนหายใจกับความซื่อของอีกฝ่าย “ใช่...ฉันทะเลาะกับมันเพราะหวงเธอไง แล้วก็นะ อย่าได้ไปทำหน้าตาน่ารักแบบนี้ให้ใครเห็นอีกนอกจากฉัน ขี้เกียจตามหึงทุกวัน”
“หวงทำไม อีกอย่างผมไม่น่ารักนะ” เปรมเถียงทันควัน
“ยังจะเถียงอีก”
“แล้วคุณจะมาหึงหวงผมทำไมเล่า”
“เพราะรักไง เข้าใจหรือยัง”
“!!” คนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี เผยอปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบลงแล้วเปลี่ยนงอง้ำแทน อสุเรนทร์อดไม่ได้ที่จะหยิบพวงแก้มน้อยเบาๆ
“น่ารัก”
“ผมไม่...อื้อ” แล้วเสียงหวานใสก็หายไปเมื่อริมฝีปากอวบอิ่มประทับลงบนริมฝีปากเขารวดเร็ว ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดมองอีกฝ่ายที่กล้าขโมยจูบเขาเป็นครั้งที่สอง แม้จะแค่แตะปากกันเบาๆไม่ได้รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากเหมือนคราวก่อนก็เถอะ ยังไงก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้อยู่ดี
“คุณทศ!” รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าที่เห่อร้อนและแดงซ่านของตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ ร้ายกาจที่สุดเลย คนบ้า!
“หวาน”
“คุณทศ!”
“ถ้าเธอเรียกชื่อฉันแล้วได้ทำแบบนี้ตลอด ฉันก็ยอมนะ”
“ผมเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ”
“แล้วไง...พ่อกับแม่ก็รับรู้เรื่องของเราแล้วนี่ พวกท่านน่าจะดูออกนะว่าฉันคิดยังไงกับลูกชายของเขา”
“คุณ...ฮื่อ...ผมไม่พูดกับคุณแล้ว”
อสุเรนทร์หลุดยิ้มดีใจเมื่อเปรมหลุดทำนิสัยแบบเด็กๆออกมา ทำไม...ทำไมกันนะ เจ้าอินก็ชอบทำแบบนี้กับเขาเป็นประจำ แต่ไม่เห็นน่ารักน่าเอ็นดูเท่าคนตรงหน้าสักเศษเสี้ยวเดียว รู้สึกอยากลักพาไปเก็บไว้ที่บ้านแล้วขังไม่ให้ออกไปไหนได้อีก พ่อเปรมจ๋า...พี่ทศชักทนไม่ไหวกับความน่ารักของน้องแล้วนะ
อยากขยี้เจ้าเหลือเกิน...
“เปรม”
“...”
“เปรมครับ มองหน้าพี่หน่อย”
สายตาเว้าวอน และเสียงอ้อน...
เปรมเอามือลงแล้วค่อยช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเจ้าของเสียงนุ่มอย่างแช่มช้า คนที่ไม่เคยรู้จักความรักมาทั้งชีวิตอย่างเขาทำไมถึงยอมให้ใครคนๆหนึ่งเข้ามาอิทธิพลต่อหัวใจได้โดยง่ายกันนะ
อยากจะเอาหัวตัวเองโขกเสาห้องให้สลบไปเสีย
“พ่อเปรม...”
“เรียกทำไมอีกครับ ก็มองแล้วไง”
“ที่ฉันบอกรักเธอ สนแค่เธอคนเดียว ฉันพูดจริงนะ”
“คุณทศ!” อุตส่าห์พยายามไม่คิดถึงมันแล้วเชียว ทำไมต้องเปิดประเด็นพูดขึ้นมาอีก แค่ป่าวประกาศในโรงละครเล็กให้คนเขาได้ยินโดยทั่วกัน เปรมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่ฉันอยากให้เธออยู่ห่างราเมนทร์ซะ”
“พี่รามเหรอครับ”
“เธอกำลังทำให้ฉันอารมณ์เสียอีกรอบนะเปรม” เวลาได้ยินเสียงหวานๆเอ่ยเรียกพี่ทศ รู้สึกคันหูพิกล อยากตัดหูออกแล้วโยนใส่หน้าเจ้าขี้เก๊กนั่นซะ ให้เรียกพี่ กล้ามาก...กล้าเหลือเกินไอ้พระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าว “ช่างเถอะ ฉันแค่จะบอกบางทีสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เธอคิด มีสามข้อสำคัญให้เธอทำตามและจำให้ขึ้นใจ หนึ่ง อย่ามองคนแค่เปลือกนอก สอง อย่าเชื่อคนง่าย และสาม ข้อสำคัญที่สุด...”
“...”
เปรมกระพริบตาตั้งใจฟังอย่างดี
“
อย่าใจเต้นกับใคร หากคนนั้นไม่ใช่ฉัน”
“!!!”
“ข้อสุดท้ายเธอต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ห้ามละเลยโดยเด็ดขาด และต่อให้มีใครหน้าไหนมาบอกเธอว่าฉันเลว ฉันชั่ว แต่ขอให้เธอจำเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง” อสุเรนทร์ยิ้มพลางกุมมือบางที่สั่นเทาขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวล ความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดลงสู่กลางใจเล็กๆของร่างบาง “
ฉันเนี่ยแหละจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่คิดทำร้ายเธอ”
งานแถลงข่าวเปิดตัวผู้จัดและนักแสดงละครโขนเรื่องหทัยทศกัณฐ์มาเร็วกว่าที่คิด เสียงอื้ออึงจากด้านนอกเข้ามาภายในห้องแต่งตัวทำให้เปรมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม มือเรียวบางเย็นเฉียบราวกับเอาไปวางไว้ในช่องแช่แข็ง มันเย็นเสียจนแทบขยับไม่ได้ ครูจันทร์เลยต้องมาช่วยกุมมือให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง
“อยากดื่มน้ำอุ่นสักหน่อยไหมพ่อเปรม”
“ไม่ครับครู ขอบคุณมาก”
“แต่เรามือเย็นมากเลยนะ ครูกลัวเราจะเป็นอะไรไปเสียก่อนขึ้นไปโชว์ตัวบนเวทีน่ะสิ”
“ผมไหวครับ” แสร้งทำเป็นยิ้มรับ ทั้งที่ในใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามหลับตานิ่งๆให้ช่างแต่งหน้าบรรจงขีดเขียนงานศิลปะบนใบหน้าให้เสร็จโดยเร็ว ทว่าไม่ได้รับรู้เลยว่าใครต่อใครหลายคนในห้องแต่งตัวกำลังจ้องมองถึงความเปลี่ยนแปลงของนักแสดงรุ่นน้องคนใหม่ล่าสุดอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมยังว่าหวาน หากพอได้แต่งแต้มความจัดจ้านทับลงไปยิ่งผลักให้ใบหน้าเรียวนั้นงดงาม...หวานหยดย้อยชนิดโลกตะลึงเข้าไปอีก
วงหน้าผุดผาดงดงามไปทุกสัดส่วน คิ้วเรียวเข้มรับกับดวงตาเรียวทว่าไม่เล็ก ขนตางอนยาวเป็นแพยิ่งเสริมให้ดวงตาดูหวานล้ำลึกน่าค้นหากว่าเดิม จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอิ่มตึงดูเย้ายวนเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสด งาม...งามมากจริงๆ งามราวกับชายหนุ่มคนนี้คือตัวนางสีดาเอง
“ครูจันทร์ขา น้อยหน่ากำลังฝันไปหรือเปล่าคะ” ช่างทำผมใจหญิงทาบอกอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พระพุทธองค์สร้างชายผู้นี้เพื่อมากำจัดผู้หญิงทั้งโลกหรืออย่างไร จากชายหนุ่มหน้าหวานคน (ไม่) ธรรมดาพอแต่งหน้ากลับโดดเด่น ชวนเคลิบเคลิ้ม อ่อนระทวย น่าหลงใหลเหลือเกิน เขาดูเหมือนรูปปั้นที่ไม่ว่าจะหันมองทางซ้าย มองทางขวา ก็ยังงดงามไร้ที่ติ
ใจผู้หญิงข้ามเพศอย่างน้อยหน่า สั่นไหวไปถึงมดลูกเทียม
“ไม่ฝันจ๊ะน้อยหน่า ของจริงเลยล่ะ”
“ไปหามาจากไหนคะเนี่ยครูจันทร์”
“ไม่ได้หาจ๊ะ พ่อเปรมเขามาหาพวกครูเอง”
“เฮ้อ...ถ้ามีแฟน แฟนคงหวงน่าดู หน้าตาชวนดึงดูดขนาดนี้ น้อยหน่าอยากโดนเสียบ”
ครูจันทร์ยิ้ม ขนาดไม่มีแฟนยังมีคนหวงออกหน้าออกตาราวกับงูจงอางหวงไข่ แถมเมื่อไม่นานก็มีคนเข้ามาตีสนิทหวังสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์เกินเพื่อนร่วมงานเพิ่มตั้งหลายคน ใครหน้าไหนจะทนไหวกับรอยยิ้มสว่างไสวกับความไร้เดียงสา มองโลกในแง่ดีแบบสุดโต่งของเจ้าตัวได้บ้าง
ครูจันทร์ชักไม่แน่ใจว่าควรอิจฉาหรือสงสารพ่อหนุ่มน้อยเปมทัตดี
เครื่องทรงนางถูกยกออกมาเมื่อจัดการในส่วนหน้าและผมเรียบร้อย เปรมลุกขึ้นปล่อยให้ครูจันทร์และหญิงสาวอีกสองคนจับเขาแต่งเครื่องพัสตราภรณ์ และถนิมพิมพาภรณ์ ครบชุด
ผืนภูษาสีเขียวดิ้นทองผืนงามโอบรัดเอวคอดกิ่วแล้วบรรจงจับจีบอย่างประณีต ทับผ้าห่มนางที่สวมทับรอไว้อย่างดี คาดเข็มขัดและปั้นเหน่งที่ส่องแสงเรืองยามต้องแสงไฟ สวมจี้นางหรือตาบทับ ตามด้วยเครื่องประดับชิ้นอื่นจนเต็ม เสียงกระทบของกำไลมือและกำไลข้อเท้าดัง กรุ๊งกริ๊ง ยามร่างเพรียวบางขยับ ทุกคนมองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ บางคนถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายเก็บเป็นที่ระลึกทีเดียว
ครูจันทร์พยักหน้าพึงพอใจก่อนจะหยิบ
บางสิ่ง ในกล่องไม้กล่องหนึ่งที่มีคนฝากเอามาให้เปรมใส่วันนี้โดยเฉพาะขึ้นมาพร้อมสวมมันบนข้อมือเล็กอย่างบรรจง
“อะไรหรือครับครู”
“ของเก่าแก่ที่ตกทอดกันมา ครูยกให้และอยากให้เราใส่เอาไว้”
“แต่ครูครับ ของมีค่าขนาดนี้ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”
“ผู้ใหญ่ให้ของก็ควรรับไว้ อย่าปฏิเสธความตั้งใจของคนแก่สิจ๊ะ ถือเสียว่าครูให้เป็นของขวัญต้อนรับนักแสดงคนใหม่แล้วกัน”
“ผมจะเก็บมันไว้อย่างดี”
“ดีจ๊ะ”
มืออันอบอุ่นของครูจันทร์ลูบไปที่กลุ่มเส้นผมนุ่มเบาๆ นึกสงสัยคนให้มิใช่น้อย มีเหตุผลมากน้อยเพียงใดถึงมอบสมบัติล้ำค่ายาวนานหลายร้อยปี...หรืออาจมากกว่านั้น ให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองเดือน แต่ยังไงเสีย ในเมื่อคนให้ไม่ต้องการบอกเหตุผลที่แท้จริงเธอก็จะไม่ถามให้มากความ หน้าที่ของเธอคือส่งกำไลชิ้นนี้ให้ถึงมือผู้รับ
ฉันมอบมันให้พ่อเปรมแล้วนะคะ
เปรมยกแขนข้างที่สวมกำไลวงใหม่ขึ้น หากเขาไม่ตาฝาดหรือมึนเบลอแสงจากหลอดนีออนมากเกินไป กำไลทองฉลุลายงดงามวิจิตรกำลังส่องแสงเรืองรองออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาราวกับมันได้กลับคืนสู่เจ้าของเดิมอีกครั้ง เปรมลูบเส้นสีทองเบามือ คุ้นเคย...คุ้ยเคยเหลือเกิน
‘พี่ให้เจ้าเพราะอยากให้’
‘น้องมีเครื่องประดับมากมาย แค่ที่ใส่อยู่ก็หนักหนานัก’
‘ถอดชิ้นอื่นแลใส่กำไลของพี่สิเจ้า พี่ปรารถนาให้ผู้คนได้รู้โดยทั่วกันน้องคือยอดหัวใจของพี่...สีดา’
‘น้องจักเก็บรักษามันอย่างดีจนกว่าชีวิตน้องจักหาไม่เพคะ’“พ่อเปรม! ร้องไห้ทำไม” เสียงครูจันทร์เรียกให้เขารู้สึกตัว กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำใสที่กำลังจะไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่รู้ตัว นี่เขาร้องไห้...ตั้งแต่เมื่อไหร่
“มะ...ไม่มีอะไรครับครู แค่ผงเครื่องสำอางมันเข้าตา”
“ไม่มีก็ไม่มีจ๊ะ นุช พาน้องไปนั่งรอตรงนู้นกับนักแสดงคนอื่นหน่อย น้องจะได้ไม่ต้องรีบเดินมากนักเวลาที่ต้องขึ้นไปบนเวที”
“ค่ะครู”
“ครูจันทร์จะไปไหนหรือครับ”
“ไปหาท่านปู่สิจ๊ะ นั่งรออยู่ทางนู้นคนเดียวคงเหงาแย่ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ครูจะคอยให้กำลังใจเราอยู่ตรงหน้าเวที อย่าตื่นเวทีจนเผลอลืมบทพูดล่ะพ่อคุณ”
“อ่า ครับ”
เปรมประนมมือไหว้ผู้สอนสั่งอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนเดินตามรุ่นพี่ไปนั่งรออยู่ด้านข้างเวที มีพี่นักแสดงหลายคนที่เข้าร่วมงานโบกไม้โบกมือทักทายและสนทนากับเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปท่องสคริปของตนตามเดิม พอใกล้ถึงเวลาแถลงข่าวหัวใจยิ่งเต้นแรง เปรมทาบมือลงกับหน้าอกข้างซ้าย เมื่อไม่มีคนให้คุยเลยทำได้แค่นั่งหายใจเข้า...หายใจออก...หายใจเข้า...ถอนหายใจ...
ไหนใครบอกหายใจเข้า-ออกช่วยคลาดความตื่นเต้นได้ไง ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยสักนิด!
“หายใจเร็วขนาดนั้นคงหายตื่นเต้นหรอกนะ”
เปรมชะงักเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่วางลงบนศีรษะของเขา เปรมค่อยหันไปทางด้านหลังก่อนจะเห็นอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มอ่อนมาให้
“คุณทศ”
อสุเรนทร์ในวันนี้สวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีสีน้ำเงินเรียบหรู ทรงผมดัดลอนตั้งแต่โคนจรดปลายถูกจัดแต่งทรงให้เข้าใบหน้าคมอย่างดิบดี ดูหล่อนะ แต่เสียอย่างเดียวมันดูเหมือนคนเพิ่งสระผมเสร็จแล้วไม่เช็ดให้แห้งก่อนออกจากบ้านอย่างไรอย่างนั้น เปรมยิ้มขำขณะอีกฝ่ายลากเก้าอี้มานั่งคุยด้วย
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากสำหรับเปรมเลยก็ว่าได้เพราะทั้งงานที่รัดตัว ต้องซ้อมโขนติดต่อกันหลายชั่วโมงแบบไม่มีพัก ทั้งครอบครัวที่ต้องคอยแวะไปเยี่ยมเยียนบางครั้งบางคราว และไหนจะ...เรื่องของหัวใจที่สั่นไหวตลอดเวลาเจอหน้าชายหนุ่มใหญ่ทั้งสองคนอย่างอสุเรนทร์และราเมนทร์
และไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตเห็น ทั้งคู่มักแวะเวียนมาหาเขาบ่อยครั้งที่โรงละครโขน ผลัดกันมาดูเขาซ้อมคนละวันราวกันนัดแนะกันไว้แล้วล่วงหน้า ผลัดกันขายขนมจีบ เอาอกเอาใจเสียจนเปรมคิดไม่ตกว่าพวกผู้ใหญ่สองคนคิดเล่นอะไรแผลงๆกันหรือเปล่า
เปรมไม่เข้าใจความคิดพวกเขาสองคนเลย
“ยู้ฮู...บราเทอร์ ผมยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือกลายเป็นธาตุอากาศไปเสียแล้ว” รณพักตร์เบ้ปากใส่พ่อของตนอย่างหมั่นไส้ เจอหน้าคนรักหน่อยล่ะทำเป็นลืมลูกเต้าเชียว
“น้อยๆหน่อยเจ้าอิน”
“สวัสดีครับ คุณใช่คนที่ช่วยผมเมื่อคราวที่แล้วหรือเปล่า” เปรมเอ่ยทักทายร่างเล็กที่เพิ่งเห็น เปรมจำได้เขาคือคนที่ช่วยตอนที่เซหกล้มในวันนั้น
“ดีใจที่ยังจำกันได้ ผมรณพักตร์ครับ เรียกอินก็ได้สั้นกว่ากันเยอะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณอิน ผมเปรม เปมทัต”
“ขวัญใจคนแก่นี่เอง” รณพักตร์หัวเราะคิกคัก “ผมกับคุณน่าจะรุ่นเดียวกัน ถ้ายังไงอย่าเรียกคุณเลยครับ คุยกันแบบธรรมดาดีกว่าจะได้สนิทกันไวขึ้น”
“อ่า...แล้วแต่คุณ...เอ่ออินเลย ผมยังไงก็ได้”
“เยี่ยม ต้องอย่างนี้สิ” พยักหน้า ชูนิ้วโป้งให้เพื่อนใหม่
“อิน ไปซื้อน้ำมาให้พ่...พี่สองขวดหน่อย หิว”
อสุเรนทร์ที่เห็นลูกชายคุยหยอกล้อกับคนที่หมายตาเอาไว้อย่างสนิทสนมก็เริ่มทนไม่ไหว ต้องโพล่งปากพูดแทรกทั้งคู่เพื่อขอพื้นที่ให้ตนพูดบ้าง รู้อย่างนี้ปล่อยให้ไปทำงานกับเจ้ากฤตอย่างดีเสียกว่า ถึงจะเป็นลูกแต่มาหยอกเย้าแม่ใหม่ (?) อย่างนี้ สองขาก็พร้อมกระโดดถีบให้ลอยไกลไปถึงป่าหิมพานต์ได้นะ
“ซื้อเองสิ”
“เป็นก้างขวางคอความรักคนอื่นมันบาปหนักนะ อยากไร้คู่ตลอดชีวิตหรือไง”
“โห เล่นแรงอ่ะ ใช่สิ ผมมันคนไม่สำคัญในสายตาพี่ชายทศแล้วนี่ครับ...เชิญอยู่คุยหวานแหวกันตามสบาย เปรมช่วยเข้าใจอารมณ์พี่เราหน่อยนะ คนแก่ก็แบบนี้แหละ”
“อิน เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งไป...” อยากเอ่ยเรียกให้กลับมาก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายเดินหายไปทางอื่นเร็วมาก แถมคนแก่ที่รณพักตร์บอกยังดึงมือเขาไปกุมไม่ยอมปล่อย ขนาดทั้งหยิก ทั้งทุบ ทั้งตีจนแดงช้ำก็ยังยิ้มหน้าระรื่น จับมันอยู่อย่างนั้น
“ปล่อยผม คนอื่นมองกันหมดแล้ว”
“ก็เรื่องของเขาสิ ขอให้ฉันได้นั่งมองหน้าเธอใกล้ๆก็พอ อย่างอื่นฉันไม่สน”
“
เอาแต่ใจที่สุด”
“อยาก
เอาเธอด้วยนะ”
“คุณทศ!”
เพี๊ยะ!
ตีแขนแรงๆสักหนึ่งฉาดเป็นบทลงโทษ
“เอาใจเธอไง นี่แอบคิดลึกไปถึงไหนครับพ่อเปรมของพี่ทศ”
“พี่ทศอะไร ไม่เอาไม่คุยด้วยแล้ว”
อสุเรนทร์ยิ้มขำ เอื้อมมือประคองใบหน้าสวยหวานให้หันกลับมาสบตาเขาอย่างสื่อความหมายพร้อมทั้งใช้นิ้วเกลี่ยแก้มอมชมพู กลิ่นหอมจากเรือนกายบางวันนี้ส่งกลิ่นแรงกว่าทุกๆวัน มันหอมเสียจนอดไม่ได้ที่จะสูดให้ชุ่มปอด
ถ้าได้ดอมดมจากกลีบเกสรโดยตรง ไม่ใช่กลิ่นที่ลอยตามอากาศคงรู้สึกดีกว่านี้
“สวย”
“ครับ?”
“ขอหอมได้ปะ”
“บ้าเหรอคุณ พูดจาน่าเกลียด”
“จีบมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วก็ยอมให้หน่อยไม่ได้หรือไง” นี่เหรอคำพูดของผู้ชายที่บอก ฉันเป็นสุภาพบุรุษมากพอถ้าหากอีกฝ่ายไม่เต็มใจให้กระทำ ฟังดูขัดๆยังไงพิกล
“ผมไม่เล่นนะ”
“ใครว่าฉันเล่นล่ะ ขอสักฟอดหนึ่งก็ยังดี”
“ผู้ใหญ่เอาแต่ใจอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่ทุกคนชอบเอาแต่ใจอย่างนี้หรือเปล่า แต่ถ้าหมายถึงฉันคนเดียวก็คงต้องบอกฉันอยากเอาแต่ใจกับพ่อเปรมคนเดียว”
“...”
พูดไม่ออกอีกแล้ว...
“น่ารัก ฮ่าๆ”
“อย่าขำเชียว”
“นักแสดงเตรียมตัวขึ้นเวทีครับ คุณอสุเรนทร์ด้วยนะครับ”
เสียงประกาศจากทีมงานดังขึ้น อสุเรนทร์ยิ้มและดึงข้อมือเล็กมาหลบตรงมุมอับของหลังเวที หันมองซ้ายขวารีบยื่นหน้าเข้าไปจูบปากหวานทันทีก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว แล้วกดประทับเข้าไปใหม่ เปรมยกมือตีไหล่กว้างแรงๆ เผลอทีไร เป็นจูบทุกที ช่างร้ายกาจนัก
“ฮื่อ...คุณทศ!”
“ฮ้า...รู้สึกกำลังใจเต็มเปี่ยม ขอบคุณนะแม่สาวน้อย” อสุเรนทร์ยักคิ้วหลิ่วตา มองใบหน้าขาวแดงเห่อขึ้นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะมองกี่ทีต่อกี่ทีก็ยังน่ารักสม่ำเสมอ ถึงว่าช่วงนี้ราเมนทร์ขยันมาตามตื้อพ่อเปรมของเขาเหมือนพวกพนักงานขายท่อกรองน้ำแถวซอยบ้านอยู่บ่อยๆ บอกตามตรงยิ่งรู้จักเปรม ท่าทาง กิริยา กลิ่นอายของนางสีดาเมื่อพันปีก่อนก็ยิ่งแสดงออกมาชัดเจนจนบางครั้งถึงขึ้นแยกไม่ออกว่าคนไหนคือสีดาและคนไหนคือเปมทัต ทว่าในความคิดของอสุเรนทร์ไม่ว่าเป็นสีดาหรือพ่อเปรม เขาก็รักทั้งคู่สุดหัวใจเหมือนกัน “อย่าให้รู้ว่ามีใครมาทับรอยจูบของฉันเชียว”
“คิดว่ากลัวเหรอครับ”
ร่างสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มหน้ากระซิบแผ่วแล้วขบกัดติ่งหูเบาๆ
“กลัวก็ดีนะ เพราะถ้าถึงเวลานั้นฉันจะไม่หยุดที่จูบปากเธออย่างเดียวแน่นอน”
ต่อด้านล่างเหมือนเดิมนะคะ ไม่พอ TT