ปานตะวัน
บทที่ ๑๕
ครอบครัวและคำสัญญา
“โอ้โห น้าตะวัน คนเยอะจังเลย” เสียงเล็กๆ ของหนูเจียดังขึ้นพร้อมกับดวงตากลมโตที่สอดส่ายมองสภาพแวดล้อมรอบกายด้วยความสนอกสนใจ ปานตะวันจุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะช้อนตัวหลานชายขึ้นมาอุ้ม เบียดแก้มของตัวเองเข้ากับแก้มนิ่มหยุ่นของเจ้าตัวเล็ก ส่วนราเมศที่อุ้มเกล้าอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ครับ วันนี้คนเยอะมากดังนั้นหนูเจียกับน้องเกล้าต้องอยู่ติดกับน้าเมศและน้าตะวันเข้าไว้นะครับ อย่าซนแล้วก็อย่าวิ่งไปไหนมาไหนเอง เดี๋ยวจะหลงทาง เข้าใจไหมเด็กๆ”
“เข้าใจคับ”
เสียงเล็กๆ สองเสียงตอบขึ้นพร้อมกันเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ปกครองทั้งสองได้เป็นอย่างดี
ปานตะวันมองเด็กชายสองคนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับเอี๊ยมยีนเข้าคู่กันซึ่งกำลังแสดงท่าทางตื่นเต้นเหมือนๆ กันแล้วก็อมยิ้ม คิดถูกจริงๆ ที่พาเด็กทั้งคู่ออกมาเที่ยวข้างนอก
เมื่อคืนก่อนเขากับราเมศนั่งวางแผนกันว่าจะพาหนูเจียและน้องเกล้าไปเที่ยวที่ไหนดีในวันหยุด เป็นการให้น้องเกล้าได้ผ่อนคลายหลังเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วย แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกสุดท้ายจึงมาจบลงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์คนที่มาเดินห้างย่อมเยอะเป็นธรรมดา
ปานตะวันกับราเมศที่เป็นห่วงว่าหลานจะมัวแต่ดูนู่นดูนี่จนหลงทางเลยพร้อมใจกันอุ้มเด็กๆ ขึ้นมา
“ไปที่ไหนก่อนดีนะ” ปานตะวันพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ ที่มีแต่คน คน แล้วก็คน ชายหนุ่มย่นจมูกเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าควรเดินไปตรงไหนก่อนดี เขาเพิ่งเคยมาห้างนี้ครั้งแรกด้วยสิ บริเวณชั้นหนึ่งที่พวกเขาอยู่ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์ต่างๆ
“ที่ชั้นสองกับเป็นโซนร้านอาหารส่วนโซนเด็กอยู่ชั้นสี่ นายจะไปไหนก่อนล่ะ”
“ไปชั้นสี่ก่อนก็ได้มั้งพี่ ให้เด็กๆ ไปเล่นกันก่อนแล้วเราค่อยไปกินขนม”
ปานตะวันตัดสินใจเสร็จสรรพแต่แล้วแผนการก็เป็นอันต้องพับเก็บเมื่อจู่ๆ หนูเจียที่หูไวได้ยินคำว่าขนมก็หันมายิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่าย ดวงตากลมวิบวับเป็นประกาย ปานตะวันคล้ายจะเห็นดอกไม้และออร่าวิ้งๆ เบ่งบานเป็นฉากหลังให้หลานชาย
“ขนม!” เจียหลินพูดด้วยใบหน้าเป็นประกาย “หนูเจียอยากกินขนม ไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน น้าๆ”
ปานตะวันอมยิ้มแก้มตุ่ย รู้สึกดีที่หลานชายมาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวเล็กแบบนี้
“แต่ก่อนออกจากบ้านมาเราก็เพิ่งกินมาเองนะครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูด หนูเจียที่ได้ฟังก็ทำหน้ายุ่ง เจ้าตัวเล็กซบแก้มนิ่มหยุ่นลงกับบ่าน้าชายของตนแล้วก็ช้อนตากลมเหมือนลูกแมวขึ้นมอง
“แต่หนูเจียอยากกินอีกนี่นา ไม่ได้เหรอคับ”
“เสร็จแน่ตะวัน” ราเมศกลั้นหัวเราะ ขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปนั้นเก็บไว้
ปานตะวันแสร้งทำหน้าครุ่นคิด “หนูเจียลองหันไปถามน้าเมศกับน้องเกล้าดูสิครับ ถ้าทั้งสองคนอยากไปกินขนมเราก็จะไปกินขนม”
เจียหลินหันไปหาน้าชายอีกคนทันที รายนี้แค่เห็นสายตาปิ๊งๆ ของเด็กน้อยก็ใจอ่อนยวบ พยักหน้าตกลง เป็นอันว่าเสร็จไปหนึ่ง
“เกล้า” เจียหลินเรียกชื่อเพื่อน เอื้อมมือไปเขย่าสายเอี๊ยมอีกฝ่ายพลางส่งยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายให้ “ไปกินขนมกันนะ”
“น้องเกล้าตอบตามที่อยากตอบเลยนะครับ ถ้ายังไม่อยากไปกินขนมก็ไม่เป็นไร”
เกล้าอ้ำอึ้ง ใจจริงเด็กชายน่ะยังไงก็ได้ไปเล่นก่อนก็ฟังดูน่าสนุก ไปกินขนมก็ฟังดูน่าอร่อย
“เกล้า...”
“เอาที่น้องเกล้าทำแล้วมีความสุขเลยครับ”
ที่เขาทำแล้วมีความสุขงั้นหรือ...
สิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุขคือการได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของน้าเมศหรือไม่ก็น้าตะวัน ซุกตัวในอ้อมกอดอบอุ่นที่มีกลิ่นอายของแสงแดด ได้นั่งทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ไปเล่นกับเจียหลินที่โรงเรียนทุกวัน
สำหรับเกล้าแล้วแค่ได้อยู่กับน้าๆ และเจียหลินเขาก็ความสุขมากแล้ว
“เกล้าตามใจเจียคับ” เด็กชายยิ้ม จับนิ้วมือเล็กๆ ของเพื่อนสนิทเอาไว้ “เราไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน”
“เย้! เจียรักเกล้าที่สุดเล้ย”
หนูเจียที่ดีใจยิ้มแก้มแทบแตก โถมตัวไปกอดรัดเพื่อนสนิททันทีทำเอาปานตะวันต้องรีบประคองหลานชายเอาไว้พร้อมดุว่า “หนูเจียอย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวตกนะครับ”
เจียหลินแทนที่จะสลด เด็กชายกลับยิ้มแป้น จุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวาน้าตะวันเป็นการเอาใจ หันไปยิ้มหวานให้น้าเมศและเกล้าอีกต่างหาก “กินขนมมม”
“เฮ้อ ลูกหมูเอ๊ย”
ราเมศหัวเราะเบาๆ กับคำบ่นนั้น ชายหนุ่มแตะแผ่นหลังของปานตะวันให้ออกเดิน ท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนที่เดินผ่านไปมา
ทั้งสี่คนไม่รู้หรอกว่าในสายตาของคนนอกแล้วพวกเขาช่างดูเหมือน ‘ครอบครัว’ เหลือเกิน
หลังเดินวนไปวนมาอยู่สามสี่รอบพวกเขาก็เจอร้านขนมที่หนูเจียอยากกิน ร้านนั้นเป็นร้านเค้ก ตั้งอยู่ที่ชั้นสองของห้าง ภายในร้านมีลูกค้าจับจองอยู่เกือบทุกโต๊ะแต่โชคดีที่ยังมีที่ว่าง
พนักงานนำทางพวกปานตะวันไปที่โต๊ะด้านในสุดของร้านซึ่งตั้งติดกับผนังสีน้ำตาลอ่อนวาดลวดลายดอกไม้และใบไม้รวมถึงตัวการ์ตูน บนโต๊ะสีขาวมีตะกร้าดอกไม้วางประดับอยู่ เก้าอี้ดัดลวดลายเข้ากับโต๊ะถูกปูทับด้วยเบาะรองนั่งนุ่มนิ่ม ปานตะวันต้องคอยระวังไม่ให้หลานชายดึงดอกไม้ในตะกร้าออกมาเล่น
พนักงานเสิร์ฟยิ้มหวานให้ก่อนจะหยิบเมนูออกมา หนูเจียทำตาโตแล้วก็จิ้มทุกเค้กมาเกือบทุกรสชาติแต่ปานตะวันรีบห้ามไว้ ให้สั่งมาได้แค่สองชิ้นก่อน
“สั่งมาเยอะแล้วกินไม่หมดมันเปลืองเงินนะครับหนูเจีย แล้วก็น่าเสียดายด้วย เอาไว้ถ้าหนูเจียกินหมดแล้วไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มนะ”
“ก็ได้คับ”
“น้องเกล้ากินอะไรดีครับ”
ราเมศหันไปถามเกล้าบ้าง เด็กชายนั่งมองเมนูขนมและน้ำหวานนิ่ง พอเห็นราคาก็รู้สึกเกรงใจผู้ปกครองชั่วคราวทั้งสอง รวมถึงไม่รู้จะสั่งอะไรด้วย...บางอย่างในเมนูนี้เด็กชายยังไม่รู้จักเลย
“น้องเกล้าครับ” ราเมศเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพนักงานชักจะรอนานแล้ว
“เกล้า...เกล้าไม่รู้จะกินอะไรคับ”
“ไม่มีอันที่ชอบเหรอครับ” เด็กชายเม้มริมฝีปากแล้วก็อ้อมแอ้มออกมาว่า “เกล้าเกรงใจ...”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องเกล้า พี่เมศเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย” ปานตะวันหัวเราะแล้วก็หันไปสั่งน้ำหวานให้เด็กๆ และตัวเอง ส่วนของราเมศเป็นคาปูชิโน่หนึ่งแก้ว
“เกล้า...เกล้าไม่รู้จะสั่งอะไร”
เด็กชายอึกอัก กลัวว่าจะถูกดุเพราะตัวเองคิดช้าและทำให้พนักงานเสิร์ฟต้องรอแต่นอกจากราเมศกับปานตะวันจะไม่ดุด่าแล้ว ทั้งคู่ยังยิ้มแล้วก็ช่วยสั่งขนมให้ด้วย
พนักงานเสิร์ฟอ่านทวนรายการอีกรอบก่อนจะจากไป พอคล้อยหลังหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของร้านแล้วเกล้าก็ก้มหน้าพลางพึมพำว่า “ขอโทษนะคับ”
ราเมศลูบผมเด็กชายอย่างเบามือ “ขอโทษทำไมครับ”
“เกล้าคิดช้า ทำให้ทุกคนรอ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับน้องเกล้า อย่าคิดมากเลยนะ”
“ไม่...ไม่โกรธเหรอคับ”
คราวนี้ปานตะวันเอื้อมมือไปลูบแก้มเด็กชายบ้าง ริมฝีปากบางผลิรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่ว่าเกล้าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ “ไม่มีใครโกรธน้องเกล้าหรอกนะ เด็กดี”
เป็นครั้งแรก...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นเด็กดี
“พวกเรารักน้องเกล้านะ”
“อื้ม เจียก็รักเกล้านะ”
เป็นครั้งแรกหลังเวลานานหลายปี...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นที่รัก
มุมปากของเด็กชายยกขึ้น ตอนแรกแค่เล็กน้อยก่อนที่น้องเกล้าจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ยิ้มทั้งปากทั้งตา ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกายอย่างมีความสุข
“น้องเกล้าก็รักน้าเมศ น้าตะวันแล้วก็เจียเหมือนกัน”
หลังจากนั้นไม่นานขนมและน้ำหวานที่สั่งก็มาถึง ปานตะวันที่ตอนแรกรับปากราเมศเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยดูหลานแต่เอาเข้าจริงพอเครปเค้กมาวางตรงหน้าอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตากิน แถมครีมยังเลอะปากไม่ต่างอะไรกับหลานชายเลย สุดท้ายราเมศก็ต้องเป็นคนเช็ดปากให้ทั้งแฟนและหลาน
นี่มันเหมือนกับเขาพาเด็กน้อยสามคนมาเที่ยวเลยแฮะ
“ยิ้มอะไรพี่เมศ” ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมาจากเค้กช็อกโกแลต ดูเอาเถอะ บอกหลานว่าอย่าสั่งเยอะแต่ตัวเองนี่ทั้งเครปเค้กทั้งฮันนี่โทสต์ทั้งเค้กช็อกโกแลต
“เปล่า แค่รู้สึกเหมือนตัวเองพาเด็กสามคนมาเที่ยว”
ราเมศว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ปานตะวันย่นจมูก เจ้าตัวดูจะไม่ชอบคำว่าเด็กสักเท่าไหร่แต่แล้วดวงตากลมพลันฉายประกายซุกซนออกมา
“ใช่ ตะวันเป็นเด็ก งั้นวันนี้ผู้ใหญ่ต้องเลี้ยง”
“ทำตัวเป็นเด็กป๋าเหรอ”
มือที่กำลังจะส่งขนมเค้กเข้าปากพลันชะงัก ปานตะวันเงยหน้ามาแลบลิ้นใส่ราเมศก่อนยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวนประสาทเบาๆ
“แล้วป๋ามีเงินเลี้ยงไหมล่ะ”
“ทุกวันนี้ใครจ่ายเงินเดือนให้ล่ะครับเด็กน้อย”
ราเมศดึงแก้มอีกฝ่ายจนยืด ชายหนุ่มถือโอกาสปาดเช็ดครีมที่ติดบนริมฝีปากปานตะวันออกไปด้วย เจ้าลูกแมวของเขาที่เมื่อครู่ยังทำท่ากวนประสาทอยู่เลย แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับเขินจนหูแดง...
แดงพอๆ กับสตรอเบอรี่บนจานฮันนี่โทสต์ตรงหน้าเลยล่ะ
“น้าตะวันๆ เด็กป๋าคืออะไรเหรอคับ”
หนูเจียตัวน้อยที่เมื่อได้ยินคำศัพท์ไม่คุ้นก็หันไปกระตุกชายเสื้อน้าชายแล้วถามตาแป๋ว ส่วนผู้ปกครองทั้งสองก็สำลักน้ำสำลักขนมกันถ้วนหน้า
“แค่กๆ หนูเจีย อย่าไปพูดแบบนี้กับใครเขานะครับ”
ปานตะวันที่หายจากอาการไอจนหน้าดำหน้าแดงแล้วก็รีบก้มหน้าไปสั่งสอนหลาน หนูเจียอ้าปากงับขนมปังทาแยมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องก่อนจะถามอีกรอบ
“ทำไมละคับ เป็นคำไม่ดีเหรอ”
“เอ่อ...มันไม่เหมาะกับเด็กน่ะครับ”
“แล้วทำไมถึงได้ไม่เหมาะล่ะคับ”
พระเจ้า ทำไมหลานชายของเขาถึงได้ช่างสงสัยแบบนี้นะ!
ปานตะวันมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายหนุ่มส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีเขา
ไอ้พี่เมศ เห็นนะว่ากำลังแอบขำน่ะ!
“น้าตะวันนน ทำไมมันไม่ดีล่ะคับ”
หนูเจีย...หนูอย่าเพิ่งถามเลยนะลูก น้าตะวันกำลังจะประสาทกินแล้ว
ปานตะวันร่ำไห้ในใจพลางก่นด่าความพูดไม่คิดของตัวเองไปด้วย ราเมศเองก็มีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งมาในแชทของปานตะวัน
P’เมศ : ดูเหมือนว่าคราวหลังเราจะต้องระวังคำพูดมากกว่านี้แล้วล่ะ 11:30 AM
Pantawan : ตะวันขอโทษนะพี่ 11:30 AM Read
P’เมศ : พี่เองก็ผิดเหมือนกัน คราวหลังเราต้องระวังคำพูดต่อหน้าหลานแล้วล่ะ ลืมไปเลยว่าหนูเจียน่ะขี้สงสัย 11:31 AM ปานตะวันส่งสายตาสำนึกผิดให้อีกฝ่ายทันที ราเมศเองก็ขยับปากเป็นคำว่าขอโทษมาให้เหมือนกัน
P’เมศ : เอาเป็นว่าเรารีบหาคำตอบดีๆ ให้หลานก่อนก็แล้วกัน 11:32 AM ในระหว่างที่สมองของเขากำลังปั่นเร็วจี๋เพื่อหาคำตอบผู้ช่วยชีวิตที่ปานตะวันไม่คาดคิดก็เข้ามาขัดจังหวะทัน
“เจีย ลองกินอันนี้สิ อร่อยมากเลยนะ” เกล้าเลื่อนเอแคลร์ไปตรงหน้าเจียหลิน “เราอยากให้เจียลองกินดู”
“ขอบคุณนะเกล้า” เจียหลินยิ้มแก้มป่องก่อนจะหยิบเอแคลร์มางับเข้าเต็มคำ รสชาติหวานหอมกระจายไปทั่วทั้งปาก ประกอบกับเนื้อครีมนุ่มลิ้นทำให้เด็กน้อยตาเป็นประกาย “อร่อยจริงๆ ด้วย”
“เนอะ”
“กินอีกได้ไหม”
“ได้สิ”
“หนูเจียครับ แบ่งให้เพื่อนกินด้วย ห้ามกินคนเดียวหมด”
“คับน้าเมศ เกล้า มากินด้วยกันนะ”
เจียหลินที่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปไปหาขนมลืมคำถามก่อนหน้านี้ไปสิ้น ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มหันไปสบตากับน้องเกล้าที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
...เด็กฉลาด...
ปานตะวันขยับปากเป็นคำว่า ‘เก่งมาก’ พร้อมกับชูนิ้วโป้งให้เด็กชาย อีกฝ่ายหัวเราะแล้วก็หันกลับไปกินเอแคลร์กับหนูเจียต่อ
ครึ่งชั่วโมงต่อมาปานตะวันก็เรียกคิดเงิน ถึงแม้เขาจะแกล้งพูดให้ราเมศเลี้ยงแต่พอตอนจ่ายก็หารกันอยู่ดี
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะว่าปานตะวันเป็นคนที่กินเยอะเป็นอันดับสองรองจากหนูเจียน่ะสิ กินเยอะแล้วยังให้คนอื่นจ่ายให้ก็ดูไม่ดี เขาไม่ได้หน้าหนาขนาดนั้น
“พี่เมศ...จุก”
ระหว่างรอเงินทอนเจียหลินก็ขอสลับที่กับราเมศไปนั่งเล่นกับเกล้า ปานตะวันเลยได้โอกาสเอนหัวไปพิงไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับโอดครวญ
“ก็กินเยอะ จะไม่จุกได้ยังไง” ราเมศพูด ตอนเห็นปานตะวันกินขนมลงท้องนี่เขายังนึกเลี่ยนแทน ชายหนุ่มเป็นคนที่กินน้อยที่สุด น้องจากเค้กหนึ่งชิ้นกับกาแฟหนึ่งแก้วแล้วเขาก็ไม่ได้กินอะไรเพิ่มอีก
แค่มองหลานกับแฟนกินก็อิ่มแล้วเอาจริงๆ
“มันอร่อยนี่นา”
“เดี๋ยวก็ปวดท้อง”
“มาพูดตอนนี้มันสายไปไหม”
ราเมศยิ้มมุมปาก ขยี้ผมสีน้ำตาลของไอ้แมวแสบเล่น ปานตะวันก็เอียงศีรษะเข้าหามืออีกฝ่าย ชายหนุ่มชอบเวลาราเมศลูบผมเขาเล่นเอามากๆ
“แต่เค้กร้านนี้อร่อยดีนะ”
“ถ้าชอบจะพามากินอีกดีไหม”
“ดีเลยพี่เมศ/ดีคับน้าเมศ!”
แมวเล็กกับแมวใหญ่ตอบขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มเปี่ยม...ราเมศเองก็กำลังคิดว่าดูเหมือนหลังจากนี้ร้านขนมร้านนี้จะกลายเป็นเจ้าประจำของพวกเขาไปเสียแล้วล่ะ
หลังจากกินขนมพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเล่นกันสักพัก ราเมศกับปานตะวันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนูเจียกับน้องเกล้าอีกคนละสองสามชุด ปานตะวันสนุกกับการจับหลานชายทั้งสองแต่งตัวให้เข้ากันมากทีเดียวจนราเมศต้องสะกิดเตือนเพราะหนูเจียเริ่มหน้ามุ่ยแล้ว
ถัดจากซื้อเสื้อผ้าราเมศกับปานตะวันก็พาหนูเจียและเกล้าไปยังโซนเด็กเล่น บริเวณนั้นมีผู้ปกครองร่วมทั้งลูกเด็กเล็กแดงส่งเสียงกันเซ็งแซ่ หนูเจียดูจะตื่นเต้นมาก เจ้าตัวเล็กทำท่าจะพุ่งเข้าไปหากองลูกบอลและบ้านลมแล้วถ้าไม่ใช่ปานตะวันคว้าคอเสื้อเอาไว้ทัน
“หนูเจีย” ปานตะวันพูดพลางติดเข็มกลัดที่ได้รับมาจากพนักงานเข้าที่หน้าอกหนูเจียส่วนราเมศก็โน้มตัวลงติดให้เกล้า “น้าตะวันให้เวลาหนึ่งชั่วโมงนะครับ จะไปเข้าห้องน้ำหรือจะไปไหนต้องมาบอกน้าตะวัน อย่าตามคนแปลกหน้า อย่าเล่นแรงๆ จนเจ็บตัวเข้าใจไหมครับ”
แม้ด้านในจะมีพนักงานโซนเด็กเล่นคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดแต่ปานตะวันก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เข้าใจแล้วคับน้าตะวัน หนูเจียจะเป็นเด็กดี”
“ดีมากหนูน้อยของน้า”
ปานตะวันหอมแก้มหลานไปสองฟอดใหญ่ ก่อนจะหันไปกำชับน้องเกล้าด้วยประโยคแบบเดียวกัน จากนั้นผู้ใหญ่สองคนก็ถอยออกมาปล่อยให้เด็กๆ จูงมือเข้าไปเล่นกันด้านใน
หนูเจียตรงดิ่งไปหาสไลเดอร์ทันที เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าตรงนู้นออกตรงนี้โดยมีเกล้าตามติดไม่ห่าง เด็กชายทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ของเจียหลินอย่างไรอย่างนั้นแถมยังเป็นผู้พิทักษ์ที่ตามใจขั้นสุดยอดเพราะไม่ว่าหนูเจียจะชี้ไปทางไหน เกล้าเป็นต้องพยักหน้ารับแล้วก็ตามไปเล่นด้วยทุกครั้ง
“มีแต่คนตามใจแบบนี้หลานเราจะเสียคนไหมเนี่ยพี่ ดูสิ น้องเกล้าเดินตามหนูเจียต้อยๆ เชียว ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้”
ราเมศเหลือบตามองคนบ่นที่ยังรัวกดถ่ายรูปไม่หยุดด้วยแววตาขบขันระคนเอ็นดู
“ไม่รู้ตัวหรือไงว่าคนตามใจหลานที่สุดน่ะมันนาย”
“อย่ามาใส่ความผม พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
อันนี้ก็ไม่เถียงหรอกนะ
“พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่เป็นทาสแมว” ราเมศคลี่ยิ้มบางหากแต่ดวงตาสีนิลกลับพราวระยับแล้วยังแฝงไปด้วยอาการซุกซน มือใหญ่หยิกแก้มคนข้างกายไปหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู
“แมวของพี่พี่ก็ต้องตามใจสิ”
“อย่าตามใจมาก เดี๋ยวหลานจะเสียคน”
“อืม ดูสิ ขนาดผู้ใหญ่ตรงหน้ายังโดนตามใจจนจะเสียผู้ใหญ่อยู่แล้ว”
“ไอ้พี่เมศ! ใครเป็นแมวของพี่กันหา!”
ราเมศขยับเท้าเข้าไปชิดปานตะวันจากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มผมน้ำตาล น้ำเสียงทุ้มเปล่งออกมาเป็นประโยคสั้นๆ หากแต่อานุภาพเขย่าใจคนฟังได้อย่างร้ายกาจ
“นายไง...เป็นแมวที่พี่ตามใจมากที่สุดแล้ว” ตุบ
“เฮ้ย ลูกพ่อ!”
ปานตะวันอุทานเมื่อโทรศัพท์ที่ถืออยู่พลันหลุดจากมือไปนอนแอ้งแม้งที่พื้น ชายหนุ่มรีบก้มลงเก็บทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่ราเมศเองก็ก้มลงไปช่วยหยิบมือถือให้ ขอบอกเลยว่าปานตะวันดูละครหลังข่าวไม่บ่อยแต่เท่าที่รู้มาร้อยทั้งร้อยมันต้องมีฉากที่พระเอกกับนางเอกสบตากันตอนที่มือบังเอิญแตะโดน...
เปรี๊ยะ
“เชี่ย ไฟฟ้าสถิต”
ปานตะวันสบถพลางรีบชักมือกลัวมาสะบัดๆ ประโยคนั้นทำเอาบรรยากาศโรแมนติกที่ควรจะเกิดพังครืนไม่เป็นท่า
ราเมศกลอกตาพลางส่งโทรศัพท์ให้ปานตะวัน “ไม่คิดว่ามันจะเป็นเหมือนในนิยายบ้างเหรอ...ที่แบบว่าพระเอกนางเอกแตะมือกันแล้วก็มีกระแสไฟฟ้าสิ่งปราดเข้าไปในร่างงี้”
“อ่านนิยายมากไปแล้วพี่ เมื่อกี้ไฟฟ้าสถิตชัดๆ กระแสไฟแล่นปราดทั่วร่างจนใจเต้นอะไรกัน” ปานตะวันถูมือตัวเองไปมา
“ไม่โรแมนติกเลย”
“คนหน้าตายแบบพี่เมศไม่มีสิทธิ์มาว่าคนอื่นนะครับ”
ปานตะวันหัวเราะชอบใจก่อนจะลากชายหนุ่มร่างยักษ์เข้าไปในร้านกาแฟไม่ไกลจากโซนเด็กเล่นนัก ในร้านมีผู้ปกครองหลายคนเข้ามานั่งรอลูกหลานเช่นกัน ปานตะวันสั่งชาเขียวมาสองแก้วก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะ เขาเลื่อนแก้วชาไปให้ราเมศแก้วหนึ่ง
“ขอบใจ”
“ด้วยความยินดีครับผม”
ปานตะวันกับราเมศนั่งกันอยู่เงียบๆ โต๊ะที่ทั้งคู่เลือกอยู่ติดกระจกทำให้มองเห็นหนูเจียกับเกล้าผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้นตรงนี้ได้ มือของเด็กทั้งสองจับกันไว้แน่น มีหนหนึ่งที่หนูเจียหันออกมาข้างนอกแล้วไม่เห็นปานตะวัน เด็กน้อยเลยทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้แต่เกล้าก็รีบปลอบจากนั้นก็ชี้ตรงมาที่ร้านกาแฟ ปานตะวันโบกมือให้หลานชายที่มีสีหน้าดีขึ้น หนูเจียยิ้มร่าให้ผู้ปกครองแล้วก็หันกลับไปวิ่งเล่นต่อ
“ตะวันชอบบรรยากาศแบบนี้จัง” ปานตะวันเปรยขึ้น เรียกนัยน์ตาสีนิลของคนฝั่งตรงข้ามให้เบนกลับมาที่เขา “มีพี่ มีผม มีเด็กๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ตะวันชอบพี่ด้วยเหรอ นึกว่าชอบแต่คนโรแมนติกอะไรแบบนี้”
คนถูกแซะแทบจะพ่นชาเขียวออกมา อะไรกัน นี่กำลังงอนที่เขาหาว่าเจ้าตัวไม่โรแมนติกเมื่อครู่นี้เหรอ
“โถๆ”
“ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นเลย เดี๋ยวก็ดีดเหม่งเข้าให้หรอก”
“ฮ่าๆ ไม่เอาน่าพี่เมศอย่าน้อยใจสิ” ปานตะวันเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ยกขึ้นมาทาบกัน เกาะเกี่ยวปลายนิ้วเล่น ราเมศเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง ปานตะวันจับมืออีกฝ่ายให้วางหงายลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบเอาปากกามาจากในกระเป๋าของตน ชายหนุ่มวาดรูปหัวใจดวงเบ้อเริ่มลงไปที่ใจกลางฝ่ามือของราเมศ
ปานตะวันรู้ว่าราเมศเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แสดงความรู้สึกทางสีหน้าก็ไม่เก่งเหมือนกัน มีแค่กับคนสนิทเท่านั้นที่เขาจะยิ้มแล้วก็พูดจาดีด้วย พวกพนักงานที่ร้านบางคนถึงได้กลัวราเมศนักเพราะคิดว่าอีกฝ่ายดุ ปานตะวันเองตอนแรกก็ไม่ชอบไอ้น้ำเสียงห้วนๆ ตาขวางๆ กับหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายเลย แต่พอมาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าภายใต้กิริยาเหล่านั้นคือความหวังดี ทุกสิ่งที่ราเมศทำก็เพื่อเขาและหนูเจียทั้งนั้น...แถมพอหลังจากตกลงคบกันอีกฝ่ายก็ดูจะ...รุกเข้าหามากขึ้น คำพูดหวานๆ มีทั้งออกมาแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
จากไม่ชอบกลายเป็นว่าตอนนี้ตะวันชอบทุกอย่างที่เป็นราเมศ
ผู้ชายทื่อๆ แข็งๆ ที่โคตรจะไม่โรแมนติก...แต่กลับน่ารักมากในสายตาปานตะวัน
“ถึงไม่โรแมนติกก็รักนะครับ”
ราเมศชะงักค้าง...นิ่ง...เหมือนโดนสาปให้เป็นหิน ปานตะวันปล่อยมือของอีกฝ่ายออกแล้วก็หันไปมองนอกกระจกอีกรอบพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
เท่านี่ก็ถือว่าเอาคืนที่อีกฝ่ายทำให้เขาเขินจนโทรศัพท์ตกได้แล้วนะ!
“แล้ว...จากนี้จะไปไหนต่อไหม” ราเมศกระแอม ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองแต่แมวแสบก็ยิ้มรู้ทันมาให้อยู่ดี
“ไม่รู้สิครับ บางทีเด็กๆ อาจอยากกลับบ้าน”
“งั้นเดี๋ยวเรากลับบ้านกันเลยก็ได้”
ปานตะวันพยักหน้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไปหนูเจียกับเกล้าก็เหนื่อยจนหมดแรง ปานตะวันจึงเดินไปรับเด็กชายทั้งสองออกมาจากโซนเด็กเล่น
“เหนื่อยไหมเด็กๆ กลับกันเลยดีหรือเปล่า”
เจียหลินกับเกล้าไม่คัดค้าน ขากลับหนูเจียยืนยันจะเดินเองปานตะวันจึงเป็นคนจูงมือหลานไว้ ส่วนราเมศก็จูงมือเกล้า เด็กทั้งสองจับมือกันเองอีกต่อหนึ่ง ภาพทั้งสี่ในสายตาคนนอกจึงกลายเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์สุดน่ารักที่ทำให้คนเห็นยิ้มตามอย่างมีความสุขแกมเอ็นดู
เมื่อออกมานอกห้างสรรพสินค้าพวกเขาก็มุ่งตรงไปยังลานจอดรถ แต่ก่อนหน้านั้นตรงประตูห้างมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนแจกใบปลิวอยู่ ปานตะวันรับมาหนึ่งใบ พอก้มลงอ่านรายละเอียดคร่าวๆ ก็พบว่าเป็นใบปลิวโปรโมตอควาเรียมแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ที่สำคัญมันยังอยู่ไม่ไกลจากห้างนี้อีกด้วย
(มีต่อค่ะ)