บทที่ 1
ก๊อกๆๆๆ
“เข้ามาครับ อ้าวพี่ดาร์กงานเสร็จแล้วรึครับทำไมมาเร็วจัง?”
“เร็วอะไร? พี่ก็มาตามเวลาปกติ งานพี่เคลียร์หมดแล้วคุนละงานใกล้เสร็จยังครับ?”
“งั้นพี่รอคุนแป้ปนึงนะคุนขอเคลียร์อันนี้อีกนิด”
หมับ ฟอด
“ให้พี่ช่วยไหมครับ?”
“พี่ดาร์กปล่อยคุณก่อนอย่าเพิ่งกอดคุนทำงานไม่ถนัด”
“ก็พี่คิดถึงนิ แล้วสรุปมีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ?”
“ไม่มีแล้วครับก็พี่อ่านกรองมาให้คุณหมดแล้วคุณก็เหลือแค่เซ็นนี่แหละ”
“แล้วทำไมแค่เซ็นยังช้าละ? ได้ข่าวว่าเลขาของคุนเอาเข้ามาให้ตั้งนานแล้วนิ”
“แหะ คุนมัวแต่ดูชุดสีน้ำเซ็ทใหม่ที่ต้องซื้อเข้าโรงเรียนนะพี่เลยช้า”
“อีกแล้วนะเรา”
“คุณขอโทษ”
เป็นธรรมรีบส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้กับคนที่มารับเขาหลังเลิกงาน มันก็จริงอย่างที่พี่ดาร์กว่าเลขาหน้าห้องยกงานเข้ามาให้เขาดูตั้งแต่ช่วงบ่ายแต่เขามัวแต่เอาเวลาไปเปรียบเทียบราคาของพวกเซ็ทสีน้ำจนทำให้ลืมไปเสียสนิทว่ามีงานหลักที่เป็นธุรกิจของครอบครัวกำลังรอให้เขาจัดการอยู่
“พี่บอกเรากี่ครั้งแล้วหึ ว่าอย่าทำสองงานในเวลาเดียวกัน งานโรงเรียนนะเอาไว้ก่อนก็ได้หรือไม่ถ้าไม่ทันก็บอกมาเดี๋ยวพี่ดูงานโรงงานให้ก็ได้”
“คุนไม่ได้ทำอะไรมากเลยครับพี่แค่เช็คราคา”
“แต่ทำ 2 อย่างด้วยกันเห็นไหมว่างานมันออกมาได้ไม่ดีนั้นก็ไม่เสร็จนี่ก็ช้า”
“ครับๆ รู้แล้ว”
เป็นธรรมส่ายหัวกับคำบ่นของพี่ดาร์กทั้งที่คนยืนบ่นก็เป็นคนที่ทำให้เขามีวันนี้ขึ้นมาเองทำไมมาตอนนี้ถึงขี้บ่นนักก็ไม่รู้ทำไงได้ก็ศิลปะเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ชอบเดินถือดินสอวาดรูปไปเรื่อยกำแพงบ้านมักจะต์มไปด้วยรอบขีดเขียนแต่กิจการของครอบครัวก็เป็นสิ่งที่เขาละทิ้งไม่ได้เขาจึงเลือกระหว่างมันไม่เคยได้เลย
“Youtube ก็มี กลัวอะไรครับ? วาดสวยๆ ลงเดี๋ยวก็มีคนรู้จัก”
“ถ้าทำมันก็ได้แค่วาดรูปทิ้งไปเปล่าๆ คุนไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม”
“แต่พี่เสียดายฝีมือของคุณ รู้ไหมพี่ชอบรูปของคุณมากเลยนะ”
“พูดไปก็เท่านั้นคุนทำอะไรกับมันไม่ได้หรอดพี่ คุนต้องช่วยแม่พี่ก็รู้”
บทสนทนานี้มันเกิดขึ้นตอนที่เป็นธรรมอยู่ปี 2 มันเป็นคำพูดที่จุดประกายไม่ทิ้งเรื่องการวาดรูปที่เขารักหลังจากที่เขาเคยทิ้งมันไปตอนที่ตัดสินใจเลือกเข้าคณะบริหารตามใจแม่ของเขา
“ถ้าแบบนี้...งั้นก็เปิดโรงเรียนสิครับ”
“หะ?”
“ก็ในเมื่อเราเป็นผู้สร้างสรรค์ไม่ได้แต่เราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนได้นิ?”
“แม่คงไม่ชอบ”
“เอางี้ถ้าในวันข้างหน้าคุนยังชอบศิลปะคุนแค่บอกแล้วพี่จะช่วยเอง”
และบทสนทนาเหล่านั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนสอนศิลปะของเป็นธรรมที่มีชื่อว่า ‘โรงเรียนศิลปธรรม’ ที่ทำให้เขาต้องนั่งวุ่นเรื่องซื้อของเข้าโรงเรียนอย่างในวันนี้
ตอนที่เขาเข้าไปพูดเรื่องขอเปิดโรงเรียนกับแม่ครั้งแรกตอนนั้นเป็นช่วงปีสี่เทอมหนึ่งแม่ไม่เห็นด้วยกับเขาเพราะท่านอยากให้ทุ่มเททุกอย่างกับโรงงานท่านกลัวว่าถ้าทั้งทำสองอย่างพร้อมกันมันจะไปไม่รอดสักอย่าง แต่ด้วยกำลังใจจากพี่ดาร์กที่เขาพกไปเต็มเปี่ยมเขาจึงกล้าให้คำสัญญากับแม่ไปว่าเขาจะทำให้มันได้ดีทั้งคู่แม้ว่าความจริงแล้วจะแอบวิตกว่ามันจะไม่รอดอย่างที่แม่บอกก็ตาม
ถึงจะรับปากแม่ไปแล้วแต่เป็นธรรมก็ยังอดหวั่นวิตกเพราะรู้ดีว่าถ้าทำไม่ได้แบบที่พูดแม่จะผิดหวังมากขนาดไหนหลังจากที่นั้นจึงขับรถออกจากบ้านไปห้องพักของพี่ดาร์กเพื่อระบายความทุกข์ใจ พี่ดาร์กยอมวางงานในมือของตัวเองก็จริงแต่ก็ไม่พูดอะไรปลอบใจให้เขารู้สึกดีหรือปลอบด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจแสนหวานพี่ดาร์กเอาแต่ลูบหัวของเขาเล่นแล้วพูดว่า ‘ทุกอย่างมีทางออก’
เวลาผ่านไปจนเป็นธรรมเองก็เริ่มถอดใจแล้วว่าคงไม่ได้มีโอกาสเปิดโรงเรียนสอนศิลปะอย่างที่อยากจะทำเขาจึงเริ่มเรียนรู้งานที่โรงงานอย่างจริงจังอีกครั้ง
“พี่มีอะไรเหรอทำไมนัดคุนมาร้านนี้ละข้ามไปหาคุนก็ได้แค่ฝั่งตรงข้ามเอง?”
“ก็พี่เป็นพนักงานของโรงงานฝั้งนั้น พี่ก็ต้องกินข้าวแถวนี้สิครับไปไกลเดี๋ยวกลับเข้าไปทำงานช่วงบ่ายไม่ทัน”
“พี่ดาร์ก!!”
“พี่เคยบอกแล้วถ้าแค่คุนชอบจริงๆ พี่จะอยู่ตรงนี้คอยช่วยคุนเอง”
“ขอบคุณพี่จริงๆ”
ถ้าไม่ใช่ว่าร้านนี้เต็มไปด้วยพนักงานของโรงงานของเขาเป็นธรรมคงกระโดดกอดทรงจำไปแล้ว จะไม่ให้เขารักผู้ชายตรงหน้านี้ได้อย่างไรเมื่อพี่ดาร์กยอมลาออกจากงานมาช่วยงานเขาที่โรงงานทั้งที่ที่ทำงานเก่าของพี่ดาร์กนั้นยังมีอนาคตอีกไกล
งานหลักในโรงงานของพี่ดาร์กคือดูฝ่ายการตลาดตามด้านที่ตัวเองถนัดส่วนงานสำรองที่ไม่ได้ถูกเขียนระบุเอาไว้ตอนสมัครงานก็คือการอ่านรายงานสรุปของฝ่ายต่างๆ แทนเขาเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาไปดูโรงเรียนศิลปะได้อย่างเต็มที่
“แค่คำขอบคุณมันไม่พอหรอกนะคุนมีรางวัลอะไรให้พี่บ้างครับ?” เย็นวันนั้นหลังเลิกงานเป็นธรรมดิ่งตรงไปหาพี่ดาร์กถึงห้องพักเพื่อที่จะขอบคุณอีกครั้ง
จุ้บ ในเมื่อคำขอบคุณอาจจะดูน้อยไปกับความใส่ใจที่พี่ดาร์กมีให้ เป็นธรรมจึงเขยิบเข้าไปใกล้กับพี่ดาร์กแล้วมอบการจูบที่ริมฝีปากเป็นการแทนคำขอบคุณ
“อื้มม”
“หน้าแดงหมดแล้วคุน”
แต่แล้วการมอบรางวัลให้กับคนเก่งนั้นกำลังทำให้เป็นธรรมหมดลมหายใจไม่ใช่ว่าไม่เคยจูบมาก่อนแต่ครั้งนี้พี่ดาร์กไม่ปล่อยเขาออกจากแรงอารมณ์เหมือนที่ผ่านมาแถมยังกดริมฝีปากมาให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม พี่ดาร์คไล่เล็มริมฝีปากของเขาไปโดยรอบแล้วในที่สุดพี่ดาร์กก็ขโมยลมหายใจไปจนเกือบหมดและก็เป็นครั้งนั้นนั่นแหละที่เขาได้ให้รางวัลกับพี่ดาร์กมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้มันเป็นวันที่เขาได้มอบความรักทั้งหมดให้กับพี่ดาร์ด
“คุนทำไมถึงหน้าแดงขนาดนี้ คิดอะไรทะลึ่งอยู่รึเปล่าครับ?”
“เปล่า ไปนั่งรอคุนก่อนไปพี่มากอดคุณเอาไว้แบบนี้งานไม่เสร็จกันพอดี”
“โอเคๆ เราก็เร็วๆ เข้าพี่หิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย”
ในที่สุดพี่ดาร์กก็ยอมปล่อยมือพร้อมทั้งยกมือขึ้นเสมอตัวเพื่อเป็นการยุติการก่อกวนเขา เป็นธรรมมองทุกการเคลื่อนไหวของพี่ดาร์กด้วยความหมั่นไส้กับอีแค่เดินถอยหลังไปนั่งรอเขาที่โซฟาที่ถูกตั้งเอาไว้อยู่อีกมุมห้องนึงทำไมจะต้องทำท่าทางให้ดูเท่ห์แบบนั้นด้วยนะ
“มองอะไรพี่ครับ?”
“ไม่ต้องเก๊กแล้วในห้องมีคุนกับพี่แค่ 2 คนไม่มีคนอื่นเห็นพี่แล้ว”
“แต่ก็ยังมองแสดงว่าพี่หล่อจนละสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม?”
พอได้ยินแบบนี้เป็นธรรมแอบชักอยากเห็นพี่ดาร์กเดินสะดุดขาของตัวเองกลางทางอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคนมาดเท่ห์แบบพี่ดาร์กต้องสะดุดล้มต่อหน้าแฟนจะทำท่าทางหน้าตาแบบไหนกันนะ
“อ้อ ให้พี่รอแบบนี้คุนต้องถูกทำโทษรู้ไหม?”
“ให้คุณเลี้ยงข้าว?”
“โห ไม่เอาหรอกไม่คุ้มจะให้คุ้มงานนี้คุนต้องไถ่โทษวาดรูปคู่ของเราเพิ่มอีกสักรูปด้วยนะ เพราะงานที่พี่สรุปให้เรางานนั้นนะพี่
หลังคดหลังแข็งนั่งทำมาสองวันเต็ม”
เป็นธรรมทำเป็นส่ายหน้าตามหลังให้พี่ดาร์คในขณะปากกำลังยิ้มกว้างที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนพี่ดาร์คก็ยังคงแสดงออกว่ารักงานศิลปะของเขามากแบบนี้
“ได้ๆ ครั้งนี้คุนจะวาดพี่ให้หล่อเลย เอาให้หล่อไม่เหมือนตัวจริงเลย”
แม่จะคอยเตือนเป็นธรรมอยู่เสมอว่าให้ระวังพี่ดาร์กให้ดีเพราะมาจากครอบครัวที่ไม่มีอะไรแม่กลัวว่าเขาจะถูกหลอก แต่จากความ
มั่นคงและความช่วยเหลือที่เขาได้รับมาตลอดจากผู้ชายคนนี้เขาจึงไม่เคยหวาดหวั่นไปกลับคำเตือนของแม่สักครั้งเพราะคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของความสำเร็จคนที่ทำให้แม่ภูมิใจว่ามีลูกชายที่ได้ดั่งใจแบบคนที่แม่บอกให้เขาจับตามอง จะว่าไปเป็นธรรมเองก็ยังนึกหน้าของแม่ไม่ออกเลยว่าถ้าท่านรู้ว่าพี่ดาร์กเป็นคนดูแลเอกสารทั้งหมดโดยมีเขาเป็นแค่คนเซ็นอณุมัตท่านจะว่ายังไง
“คุนเสร็จแล้วไปกัน อ้าว... พี่ดาร์ก”
เงยหน้ามองขึ้นไปที่นาฬิกาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองได้ปล่อยให้พี่ดาร์กรอนานถึง 2 ชั่วโมง จึงไม่แปลกที่พี่ดาร์กจะกลายร่างจากมาดหนุ่มเข้มเก๊กหล่อมาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนนึงที่นอนสลบสไลอยู่ที่โซฟา
“พี่ดาร์ก ตื่นเถอะครับพี่” เป็นธรรมก็อยากจะใจดีให้นอนต่อแต่จำได้ว่ามีใครสักคนบ่นหิวตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำงานจึงต้องยอมใจร้ายทำลายความสุขของคนง่วงเขย่าตัวคนที่กำลังกลับตาพริ้ม
“เอาตักมาให้พี่หนุนหน่อยสิ”
“ลุกกลับกันเถอะพี่”
“นะครับนะ พี่ขอนอนตักคุนสักห้านาทีแล้วจะรีบลุกขึ้นเลย”
“โอ๊ยๆๆ เจ็บจังเลยคุนทำร้ายพี่ทำไม”
เป็นธรรมเปลี่ยนจากมือที่เขย่าอยู่ที่แขนมาบิดจมูกคนขี้เซาไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้คนขี้อ้อนแล้วคนขี้อ้อนก็ส่งเสียงโอดโอยเสียยกใหญ่เหมือนกับว่าโดนกระชากจมูกจนหลุดติดมือออกมา
“เว่อร์ไปแล้วพี่ ลุกเลยๆ”
เมื่อเป็นธรรมไม่ยอมนั่งลงเพื่อให้ตักแทนหมอนกับคนขี้อ้อนก็เริ่มทำหน้างอใส่ เห็นสภาพหน้างอแบบนี้มันพาลทำให้นึกถึงหมาตัวใหญ่ที่กำลังพยายามอ้อนโดยการเลียนแบบลูกแมวและความคิดนั้นก็ทำให้เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะของเขาจะไม่เป็นที่ถูกใจของพี่ดาร์กสักเท่าไหร่เพราะจากหน้าที่งออยู่แล้วยิ่งงอหนักเพิ่มเข้าไปอีกเมื่อเห็นแบบนั้นเขาจึงยอมนั่งลงยกเอาหัวของพี่ดาร์กมาวางเอาไว้ที่ตักของเขา
“พี่ดาร์ก 5 นาทีแล้ว ลุกไปทานอะไรกันไหมพี่?”
“โอเคๆ ลุกๆๆ”
“พี่ดาร์ก คุนขอบคุณนะ”
“อยู่ๆ มาขอบคุณพี่เรื่องอะไรครับ?”
“ก็...ทุกอย่าง”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก...แค่คุนยอมให้พี่เข้ามาในชีวิตมันก็เป็นเรื่องที่พี่ยินดีที่สุดแล้ว”
“บอกไว้ก่อนว่าไม่เขินแล้วนะ ตอนนี้คุนมีภูมิต้านทานไม่หน้าแดงง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว”
เป็นธรรมรีบพูดดักคอเอาไว้ก่อนเพราะอีกนิสัยที่ไม่รู้ว่าสมควรจะนับว่าเป็นนิสัยเสียรึเปล่าของพี่ดาร์กก็คือการที่ชอบทำให้เขาเขินยิ่งถ้าเขินจนหน้าแดงได้ยิ่งเป็นอะไรที่สะใจพี่ดาร์กล่ะ
อย่างสมัยมาจีบกันจีบใหม่ๆ พี่ดาร์กถึงขนาดไม่อายสายตาใครแล้วเดินถือดอกไม้ช่อใหญ่มายืนรอเขาที่หน้าคณะทั้งที่วันนั้นไม่ใช่วันพิเศษอะไรสักนิด ถ้าเป็นวาเลนไทน์ก็ว่าไปอย่างเพราะใครๆ ก็ถือช่อดอกไม้กันพอเค้นถามเอาคำตอบมากๆ ว่าเอามาให้ทำไมก็ตอบมาว่า ‘อ่อ วันนี้พี่เบื่อนะเลยอยากแกล้งคน เป็นไงโดนแกล้งอายไหม?’
“ของเก่าก็งี้แหละพูดอะไรก็ไม่กินใจแล้ว ไปหาอะไรกินปลอบใจดีกว่า”
“หิวก็บอกคุนดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่แบบนี้เลย”
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เลือกเอาไว้สำหรับมื้อเย็นถูกเปลี่ยนเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่ตั้งเลยออกมาจากที่ทำงานได้ไม่ไกลนัก
“คุนขอโทษ”
เหตุผลที่เปลี่ยนร้านก็เพราะรถติดหนักเนื่องจากพวกเขาออกกันมาช้าแถมตอนที่ออกมาฝนก็ดันมาตกแบบไม่ลืมหูลืมตาเมื่อ 30 นาทีผ่านไปรถยังเคลื่อนออกมาได้แค่หน้าปากซอยของโรงงานพี่ดาร์กจึงตัดสินใจหักรถเข้าจอดข้างทางแทนที่จะมุ่งหน้าตรงไป
“คืนนี้ได้ไถ่โทษแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลยคุน หิวโอ๊ยหิว”
เป็นธรรมถึงกับต้องกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ได้แต่ลุ้นในใจให้ลุงที่ทำก๋วยเตี๋ยวยกอะไรก็ได้มาเสริ์ฟทีก่อนที่พี่ดาร์กจะกลายร่างเป็นชายผู้หิวโหยและพร้อมจะฆ่าคนได้ในพริบตา
“โอเคๆ ครับ คืนนี้ คุนจะยอมพี่ทุกอย่างเลย”
“คุนพูดเองนะ งั้นคืนนี้คุนก็อยู่ด้าน บะ…”
“เฮ้ยยยย พี่”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
เป็นธรรมรีบเอามือตะครุบปากพี่ดาร์กเอาไว้นี่พี่เขาลืมรึเปล่าว่าตอนนี้เขาสองคนอยู่ส่วนไหนของโลกถึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างสบายๆ เหมือนกำลังชวนคุยเรื่องผลบอลคืนนี้
กว่าจะถึงห้องของพี่ดาร์กก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มวันนี้ไม่มีใครเกี่ยงกันอาบน้ำเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเพราะอากาศข้างนอกมันอบอ้าวด้วยกลิ่นไอของฝนที่เทลงมาแป้ปเดียวแล้วก็หยุดไป โชคดีที่ห้องน้ำในคอนโดมีสองห้องเลยไม่ต้องรอกัน
“พร้อมให้พี่ลงโทษรึยัง?”
เป็นธรรมยิ้มรับคำทวงของพี่ดาร์กเขาดึงผ้าขนหนูที่พันรอบสอบเอวออกพร้อมกับเดินตรงไปหาคนที่นั่งรออยู่แล้วที่ปลายเตียง สายตาพี่ดาร์กที่ใช้มองมาที่ร่างกายของเขายังคงเป็นสายตาแห่งความต้องการและพึ่งพอใจเสมอทั้งๆ ที่ปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้วที่เราตกลงคบกัน
“พี่...ไม่เบื่อคุนบ้างเหรอ?”
แทนคำตอบพี่ดาร์กจับไหล่ของเขาให้นั่งลงที่พื้นทำให้ใบหน้าของเขาอยู่ส่วนที่แข็งขืนของพี่ดาร์กพอดี แม้ส่วนนั้นจะยังไม่ตื่นตัวเต็มที่แต่มันก็เป็นคำตอบได้อย่างดีว่าพี่ดาร์กเบื่อเขารึเปล่า เขาค่อยๆ อ้าปากเต็มใจรับเอาส่วนที่แข็งขืนนั้นเข้ามาแล้วค่อยๆ ลิ้มรสของมัน
“คุน”
ทันทีที่เขาแตะปลายลิ้นลงไปส่วนที่ไม่ตื่นตัวเต็มที่ก็เริ่มขยายขึ้นพี่ดาร์กเรียกชื่อเขาอยู่หลายครั้งแต่คราวนี้เขายอมเป็นเด็กไม่ดีไม่ยอมขานรับเพราะกำลังใช้ริมฝีปากมอบความพึงพอใจให้กับเจ้าของเสียงเรียก แทนคำพูดว่ารู้สึกดีเพียงใดพี่ดาร์กเอามือนวดศรีษะของเขาให้อย่างเอาใจและพยายามเกร็งตัวเองไม่ให้ยันตัวเข้ามาหามากขึ้น
“ฮึก คุน เก่งมากครับ”
พี่ดาร์กจับตัวเขาให้ยืนขึ้นแล้วก็เริ่มสำรวจร่างกายด้วยมือ มือของพี่ดาร์กเป็นมือที่อบอุ่นอยู่เสมอแต่ในช่วงเวลาแบบนี้มันมักจะเป็นมือที่อุ่นจนร้อนเพราะไม่ว่าพี่ดาร์กจะสัมผัสตรงส่วนไหนมันก็เหมือนว่าเขาก็พร้อมจะละลายตรงนั้น
“อะ”
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่พี่ดาร์คจับตัวของเขาให้ขึ้นนั่งอยู่บนตัวเองความล่องลอยกลับสู่ความจริงเมื่อพี่ดาร์กกำลังช่วยช่วยแตรียมตัวให้ สัมผัสความเย็นจากเจลนั้นมันกลายเป็นร้อนในทันทีตอนที่พี่ดาร์กใช้มัน
“คุณ... พร้อมแล้วพี่”
“งั้นพี่เข้าไปนะครับ พี่จะไม่ไหวแล้วแต่..” พี่ดาร์คมองเขาสลับไปมากับถุงยางที่ถูกวางอยู่บนเตียงเป็นการอ้อนเขาเป็นคนสวมถุงยางให้
“ไม่ใส่ได้ไหม? คุนอยากรับรู้ตัวตนของพี่”
“อย่าเลยครับเดี๋ยวคุนลำบาก”
“แต่...โอ๊ย...อ๊า”
“เก่งมากครับ”
พี่ดาร์กไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ต่อรองในเมื่อเขาไม่ยอมทำตามคำขอพี่ดาร์กก็จัดการกับร่างกายของตัวเองแบะบงโทษเขาที่ไม่เชื่อฟังด้วยการจับตัวเขากดลงเพื่อรับความแข็งขืนนั้นเพียงเท่านั้นสติของเขาก็หลุดลอยและมัวเมาไปกับความสุขที่ได้รับ
“ไปพร้อมกันนะครับ”
เวลาผ่านไปไม่นานสายธารอุ่นร้อนของพี่ดาร์กก็เข้ามาให้เขาได้รู้สึกแม้จะมีในถุงยางขวางเอาไว้พี่ดาร์กแช่ตัวรอให้เขาปรับลมหายใจแล้วจึงค่อยถอนตัวออกไป ความเหนื่อยทำให้เป็นธรรมล้มตัวลงนอนทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระผิดกับพี่ดาร์กที่ลุดเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่เขาเพิ่งถอดทิ้งเอาไว้เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมากลับมาเช็ดตัวทำความสะอาดให้ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนข้างกัน
“ขอบคุณครับพี่”
“นอนซะครับ”
พี่ดาร์กลูบหัวกล่อมเขาจนหลับไปแต่แล้วเสียงกระซิบของพี่ดาร์กก็ปลุกเขาจากผวังค์อีกครั้ง
“วันนี้ที่พี่พูด พี่พูดจริงๆ นะ อย่าขอบคุณที่พี่ดีกับคุนเพราะการที่คุนยอมให้พี่เข้ามาในชีวิตมันดีที่สุดแล้วจริงๆ”
“พี่ดาร์ก คุณรักพี่นะ”
ยิ่งได้ยินเสียงกระซิบนั้นความดีใจของเป็นธรรมมันยิ่งล้นเอ่อความรักของพี่ดาร์กมันมากจนเขารู้สึกว่าถ้านี่คือความฝันก็อย่าให้เขาได้ตื่นเลยขอบคุณอะไรก็ได้ไม่ว่าจะโชคชะตาหรือคนลิขิตที่ทำให้เขาได้มาเจอคนคนนี้
“ครับ พี่ก็รักคุณ”
เพราะความง่วงเข้าครอบงำทำให้เป็นธรรมได้ยินเสียงบอกรักของพี่ดาร์กแผ่วเบาลงทุกที อยากจะเซ้าซี้ให้พี่ดาร์กบอกรักให้ดังกว่านี้ แต่คิดไปคิดมาระหว่างเขากับพี่ดาร์กยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนานเดี๋ยววันต่อไปค่อยขอฟังคำว่ารักจากพี่ดาร์กใหม่ก็ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
ถึงคุณ Darinsaya

:-