พิมพ์หน้านี้ - Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sweetsky ที่ 24-11-2016 11:41:18

หัวข้อ: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 24-11-2016 11:41:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม           


หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทนำ 24/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 24-11-2016 11:57:53
บทนำ

“แม่ครับ เอาพ่อ ฮึก ออกมา นะครับ เอาพ่อออกมา ฮือออ”

“ไม่ร้องนะลูก”

ธิดายืนปลอบ ‘เป็นธรรม หรือ คุน’ ลูกชายคนเดียวของเธอที่ร้องไห้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า แม้เธอจะไม่ได้บอกลูกโดยตรงว่าวันนี้คือวันเผาคุณพ่อคนเก่งของลูกเธอแต่เหมือนว่าลูกของเธอจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ร่างกายของพ่อจะอยู่บนโลกใบนี้

“พ่อเขาต้องไปอยู่ในที่ของเขาแล้วลูก”

“แล้วอยู่ตรงนี้กับคุนไม่ได้เหรอครับ?”

   เป็นธรรมโตพอที่จะรู้ว่าความตายคือเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อไม่สามารถอยู่ตรงนี้กับเขาได้หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงพยายามทำตัวเข็มแข็งไม่ร้องไห้เสียงดัง ยิ่งทุกคืนหลังจากกลับจากวัดแม่เอาแต่พร่ำพูดกับรูปของพ่อภาพที่เขาเห็นอยู่ทุกวันมันทำให้เขารู้ว่าเขาจะต้องเข็มแข็งและไม่ทำให้แม่หนักใจแต่วันนี้วันที่เขาต้องเห็นกับตาว่าร่างของพ่อกำลังจะไหม้ไปกับไฟเขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นเข็มแข็งอย่างผ่านมาได้จริงๆ

“คุนจำไว้นะลูกว่าพ่อเขาจะมองดูเรามาจากข้างบนแม้พ่อเขาจะไม่อยู่ตรงนี้แต่พ่อเขาจะไม่ได้ทิ้งเราไปไหน”

   เป็นธรรมเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าตามนิ้วมือของแม่ นั้นสินะถ้าเกิดพ่อมองเห็นเขาเป็นแบบนี้พ่อจะจากไปอย่างมีความสุขได้ยังไง

“ครับแม่ ผมจะหยุดร้อง”

   ‘พ่อครับถ้าพ่อกำลังมองคุนอยู่ตามที่แม่บอก พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุนจะดูแลแม่แทนพ่อเองคุนสัญญาว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ’ และนี่คือประโยคที่เป็นธรรมพูดกับพ่อของเขาในใจเป็นครั้งสุดท้าย


   ในวันเดียวกันนั้นอีกมุมเมืองก็มีงานศพจัดขึ้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกันแต่ทั้งสองงานมันช่างแต่งต่างกันเหลือเกิน งานแรกเต็มไปด้วยผู้คนมาไว้อาลัยเด็กชายที่อยู่ในงานมีมารดามาคอยปลอบใจเวลาร้องไห้ ส่วนงานที่สองมีเพียงเด็กชายที่ชื่อ ‘ทรงจำ หรือ ดาร์ก’ ที่ยืนนิ่งอยู่ที่ดลงหน้าศพของพ่อและแม่ของเขา

   ทรงจำยืนมองร่างพ่อกับแม่ที่กำลังอยู่ในเตาเผาโดยที่ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดไม่มีใครรู้ว่าทรงจำเศร้าโศกกับความสูญเสียมากน้อยแค่ไหนไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกเล่าความเสียใจนี้ให้ใครฟังไม่ใช่ว่าเขาอยากที่จะเข็มแข็งแบบนี้แต่ตั้งแต่วันที่เขาเสียพ่อกับแม่ไปญาติที่มีสิทธิ์ในการดูแลเขายังไม่เคยมาดูหน้าเขาสักครั้ง

“พ่อครับ แม่ครับ ผมเหงา” ทรงจำพูดกับตัวเองเบาๆ หวังเอาไว้เพียงว่าลมจะช่วยพัดเสียงของเขาให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าให้พ่อกับแม่ของเขาได้ยิน

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทนำ 24/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-11-2016 18:58:22
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทนำ 24/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 26-11-2016 11:06:11
บทที่ 1

ก๊อกๆๆๆ

“เข้ามาครับ อ้าวพี่ดาร์กงานเสร็จแล้วรึครับทำไมมาเร็วจัง?”

“เร็วอะไร? พี่ก็มาตามเวลาปกติ งานพี่เคลียร์หมดแล้วคุนละงานใกล้เสร็จยังครับ?”

“งั้นพี่รอคุนแป้ปนึงนะคุนขอเคลียร์อันนี้อีกนิด”

หมับ ฟอด

“ให้พี่ช่วยไหมครับ?”

“พี่ดาร์กปล่อยคุณก่อนอย่าเพิ่งกอดคุนทำงานไม่ถนัด”

“ก็พี่คิดถึงนิ แล้วสรุปมีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ?”

“ไม่มีแล้วครับก็พี่อ่านกรองมาให้คุณหมดแล้วคุณก็เหลือแค่เซ็นนี่แหละ”

“แล้วทำไมแค่เซ็นยังช้าละ? ได้ข่าวว่าเลขาของคุนเอาเข้ามาให้ตั้งนานแล้วนิ”

“แหะ คุนมัวแต่ดูชุดสีน้ำเซ็ทใหม่ที่ต้องซื้อเข้าโรงเรียนนะพี่เลยช้า”

“อีกแล้วนะเรา”

“คุณขอโทษ”

   เป็นธรรมรีบส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้กับคนที่มารับเขาหลังเลิกงาน มันก็จริงอย่างที่พี่ดาร์กว่าเลขาหน้าห้องยกงานเข้ามาให้เขาดูตั้งแต่ช่วงบ่ายแต่เขามัวแต่เอาเวลาไปเปรียบเทียบราคาของพวกเซ็ทสีน้ำจนทำให้ลืมไปเสียสนิทว่ามีงานหลักที่เป็นธุรกิจของครอบครัวกำลังรอให้เขาจัดการอยู่

“พี่บอกเรากี่ครั้งแล้วหึ ว่าอย่าทำสองงานในเวลาเดียวกัน งานโรงเรียนนะเอาไว้ก่อนก็ได้หรือไม่ถ้าไม่ทันก็บอกมาเดี๋ยวพี่ดูงานโรงงานให้ก็ได้”

“คุนไม่ได้ทำอะไรมากเลยครับพี่แค่เช็คราคา”

“แต่ทำ 2 อย่างด้วยกันเห็นไหมว่างานมันออกมาได้ไม่ดีนั้นก็ไม่เสร็จนี่ก็ช้า”

“ครับๆ รู้แล้ว”

   เป็นธรรมส่ายหัวกับคำบ่นของพี่ดาร์กทั้งที่คนยืนบ่นก็เป็นคนที่ทำให้เขามีวันนี้ขึ้นมาเองทำไมมาตอนนี้ถึงขี้บ่นนักก็ไม่รู้ทำไงได้ก็ศิลปะเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ชอบเดินถือดินสอวาดรูปไปเรื่อยกำแพงบ้านมักจะต์มไปด้วยรอบขีดเขียนแต่กิจการของครอบครัวก็เป็นสิ่งที่เขาละทิ้งไม่ได้เขาจึงเลือกระหว่างมันไม่เคยได้เลย


“Youtube ก็มี กลัวอะไรครับ? วาดสวยๆ ลงเดี๋ยวก็มีคนรู้จัก”

“ถ้าทำมันก็ได้แค่วาดรูปทิ้งไปเปล่าๆ คุนไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม”

“แต่พี่เสียดายฝีมือของคุณ รู้ไหมพี่ชอบรูปของคุณมากเลยนะ”

“พูดไปก็เท่านั้นคุนทำอะไรกับมันไม่ได้หรอดพี่ คุนต้องช่วยแม่พี่ก็รู้”

   บทสนทนานี้มันเกิดขึ้นตอนที่เป็นธรรมอยู่ปี 2 มันเป็นคำพูดที่จุดประกายไม่ทิ้งเรื่องการวาดรูปที่เขารักหลังจากที่เขาเคยทิ้งมันไปตอนที่ตัดสินใจเลือกเข้าคณะบริหารตามใจแม่ของเขา

 “ถ้าแบบนี้...งั้นก็เปิดโรงเรียนสิครับ”

“หะ?”

“ก็ในเมื่อเราเป็นผู้สร้างสรรค์ไม่ได้แต่เราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนได้นิ?”

“แม่คงไม่ชอบ”

“เอางี้ถ้าในวันข้างหน้าคุนยังชอบศิลปะคุนแค่บอกแล้วพี่จะช่วยเอง”


 และบทสนทนาเหล่านั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนสอนศิลปะของเป็นธรรมที่มีชื่อว่า ‘โรงเรียนศิลปธรรม’ ที่ทำให้เขาต้องนั่งวุ่นเรื่องซื้อของเข้าโรงเรียนอย่างในวันนี้

ตอนที่เขาเข้าไปพูดเรื่องขอเปิดโรงเรียนกับแม่ครั้งแรกตอนนั้นเป็นช่วงปีสี่เทอมหนึ่งแม่ไม่เห็นด้วยกับเขาเพราะท่านอยากให้ทุ่มเททุกอย่างกับโรงงานท่านกลัวว่าถ้าทั้งทำสองอย่างพร้อมกันมันจะไปไม่รอดสักอย่าง แต่ด้วยกำลังใจจากพี่ดาร์กที่เขาพกไปเต็มเปี่ยมเขาจึงกล้าให้คำสัญญากับแม่ไปว่าเขาจะทำให้มันได้ดีทั้งคู่แม้ว่าความจริงแล้วจะแอบวิตกว่ามันจะไม่รอดอย่างที่แม่บอกก็ตาม

ถึงจะรับปากแม่ไปแล้วแต่เป็นธรรมก็ยังอดหวั่นวิตกเพราะรู้ดีว่าถ้าทำไม่ได้แบบที่พูดแม่จะผิดหวังมากขนาดไหนหลังจากที่นั้นจึงขับรถออกจากบ้านไปห้องพักของพี่ดาร์กเพื่อระบายความทุกข์ใจ พี่ดาร์กยอมวางงานในมือของตัวเองก็จริงแต่ก็ไม่พูดอะไรปลอบใจให้เขารู้สึกดีหรือปลอบด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจแสนหวานพี่ดาร์กเอาแต่ลูบหัวของเขาเล่นแล้วพูดว่า ‘ทุกอย่างมีทางออก’
เวลาผ่านไปจนเป็นธรรมเองก็เริ่มถอดใจแล้วว่าคงไม่ได้มีโอกาสเปิดโรงเรียนสอนศิลปะอย่างที่อยากจะทำเขาจึงเริ่มเรียนรู้งานที่โรงงานอย่างจริงจังอีกครั้ง

“พี่มีอะไรเหรอทำไมนัดคุนมาร้านนี้ละข้ามไปหาคุนก็ได้แค่ฝั่งตรงข้ามเอง?”

“ก็พี่เป็นพนักงานของโรงงานฝั้งนั้น พี่ก็ต้องกินข้าวแถวนี้สิครับไปไกลเดี๋ยวกลับเข้าไปทำงานช่วงบ่ายไม่ทัน”

“พี่ดาร์ก!!”

“พี่เคยบอกแล้วถ้าแค่คุนชอบจริงๆ พี่จะอยู่ตรงนี้คอยช่วยคุนเอง”

“ขอบคุณพี่จริงๆ”

   ถ้าไม่ใช่ว่าร้านนี้เต็มไปด้วยพนักงานของโรงงานของเขาเป็นธรรมคงกระโดดกอดทรงจำไปแล้ว จะไม่ให้เขารักผู้ชายตรงหน้านี้ได้อย่างไรเมื่อพี่ดาร์กยอมลาออกจากงานมาช่วยงานเขาที่โรงงานทั้งที่ที่ทำงานเก่าของพี่ดาร์กนั้นยังมีอนาคตอีกไกล
งานหลักในโรงงานของพี่ดาร์กคือดูฝ่ายการตลาดตามด้านที่ตัวเองถนัดส่วนงานสำรองที่ไม่ได้ถูกเขียนระบุเอาไว้ตอนสมัครงานก็คือการอ่านรายงานสรุปของฝ่ายต่างๆ แทนเขาเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาไปดูโรงเรียนศิลปะได้อย่างเต็มที่

“แค่คำขอบคุณมันไม่พอหรอกนะคุนมีรางวัลอะไรให้พี่บ้างครับ?” เย็นวันนั้นหลังเลิกงานเป็นธรรมดิ่งตรงไปหาพี่ดาร์กถึงห้องพักเพื่อที่จะขอบคุณอีกครั้ง

จุ้บ ในเมื่อคำขอบคุณอาจจะดูน้อยไปกับความใส่ใจที่พี่ดาร์กมีให้ เป็นธรรมจึงเขยิบเข้าไปใกล้กับพี่ดาร์กแล้วมอบการจูบที่ริมฝีปากเป็นการแทนคำขอบคุณ

“อื้มม”

“หน้าแดงหมดแล้วคุน”

แต่แล้วการมอบรางวัลให้กับคนเก่งนั้นกำลังทำให้เป็นธรรมหมดลมหายใจไม่ใช่ว่าไม่เคยจูบมาก่อนแต่ครั้งนี้พี่ดาร์กไม่ปล่อยเขาออกจากแรงอารมณ์เหมือนที่ผ่านมาแถมยังกดริมฝีปากมาให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม พี่ดาร์คไล่เล็มริมฝีปากของเขาไปโดยรอบแล้วในที่สุดพี่ดาร์กก็ขโมยลมหายใจไปจนเกือบหมดและก็เป็นครั้งนั้นนั่นแหละที่เขาได้ให้รางวัลกับพี่ดาร์กมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้มันเป็นวันที่เขาได้มอบความรักทั้งหมดให้กับพี่ดาร์ด

 
“คุนทำไมถึงหน้าแดงขนาดนี้ คิดอะไรทะลึ่งอยู่รึเปล่าครับ?”

“เปล่า ไปนั่งรอคุนก่อนไปพี่มากอดคุณเอาไว้แบบนี้งานไม่เสร็จกันพอดี”

“โอเคๆ เราก็เร็วๆ เข้าพี่หิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย”

   ในที่สุดพี่ดาร์กก็ยอมปล่อยมือพร้อมทั้งยกมือขึ้นเสมอตัวเพื่อเป็นการยุติการก่อกวนเขา เป็นธรรมมองทุกการเคลื่อนไหวของพี่ดาร์กด้วยความหมั่นไส้กับอีแค่เดินถอยหลังไปนั่งรอเขาที่โซฟาที่ถูกตั้งเอาไว้อยู่อีกมุมห้องนึงทำไมจะต้องทำท่าทางให้ดูเท่ห์แบบนั้นด้วยนะ

“มองอะไรพี่ครับ?”

“ไม่ต้องเก๊กแล้วในห้องมีคุนกับพี่แค่ 2 คนไม่มีคนอื่นเห็นพี่แล้ว”

“แต่ก็ยังมองแสดงว่าพี่หล่อจนละสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม?”

พอได้ยินแบบนี้เป็นธรรมแอบชักอยากเห็นพี่ดาร์กเดินสะดุดขาของตัวเองกลางทางอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคนมาดเท่ห์แบบพี่ดาร์กต้องสะดุดล้มต่อหน้าแฟนจะทำท่าทางหน้าตาแบบไหนกันนะ

“อ้อ ให้พี่รอแบบนี้คุนต้องถูกทำโทษรู้ไหม?”

“ให้คุณเลี้ยงข้าว?”

“โห ไม่เอาหรอกไม่คุ้มจะให้คุ้มงานนี้คุนต้องไถ่โทษวาดรูปคู่ของเราเพิ่มอีกสักรูปด้วยนะ เพราะงานที่พี่สรุปให้เรางานนั้นนะพี่
หลังคดหลังแข็งนั่งทำมาสองวันเต็ม”

   เป็นธรรมทำเป็นส่ายหน้าตามหลังให้พี่ดาร์คในขณะปากกำลังยิ้มกว้างที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนพี่ดาร์คก็ยังคงแสดงออกว่ารักงานศิลปะของเขามากแบบนี้

“ได้ๆ ครั้งนี้คุนจะวาดพี่ให้หล่อเลย เอาให้หล่อไม่เหมือนตัวจริงเลย”

 แม่จะคอยเตือนเป็นธรรมอยู่เสมอว่าให้ระวังพี่ดาร์กให้ดีเพราะมาจากครอบครัวที่ไม่มีอะไรแม่กลัวว่าเขาจะถูกหลอก แต่จากความ
มั่นคงและความช่วยเหลือที่เขาได้รับมาตลอดจากผู้ชายคนนี้เขาจึงไม่เคยหวาดหวั่นไปกลับคำเตือนของแม่สักครั้งเพราะคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของความสำเร็จคนที่ทำให้แม่ภูมิใจว่ามีลูกชายที่ได้ดั่งใจแบบคนที่แม่บอกให้เขาจับตามอง จะว่าไปเป็นธรรมเองก็ยังนึกหน้าของแม่ไม่ออกเลยว่าถ้าท่านรู้ว่าพี่ดาร์กเป็นคนดูแลเอกสารทั้งหมดโดยมีเขาเป็นแค่คนเซ็นอณุมัตท่านจะว่ายังไง

“คุนเสร็จแล้วไปกัน อ้าว... พี่ดาร์ก”

   เงยหน้ามองขึ้นไปที่นาฬิกาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองได้ปล่อยให้พี่ดาร์กรอนานถึง 2 ชั่วโมง จึงไม่แปลกที่พี่ดาร์กจะกลายร่างจากมาดหนุ่มเข้มเก๊กหล่อมาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนนึงที่นอนสลบสไลอยู่ที่โซฟา

   “พี่ดาร์ก ตื่นเถอะครับพี่” เป็นธรรมก็อยากจะใจดีให้นอนต่อแต่จำได้ว่ามีใครสักคนบ่นหิวตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำงานจึงต้องยอมใจร้ายทำลายความสุขของคนง่วงเขย่าตัวคนที่กำลังกลับตาพริ้ม

“เอาตักมาให้พี่หนุนหน่อยสิ”

“ลุกกลับกันเถอะพี่”

“นะครับนะ พี่ขอนอนตักคุนสักห้านาทีแล้วจะรีบลุกขึ้นเลย”

“โอ๊ยๆๆ เจ็บจังเลยคุนทำร้ายพี่ทำไม”

   เป็นธรรมเปลี่ยนจากมือที่เขย่าอยู่ที่แขนมาบิดจมูกคนขี้เซาไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้คนขี้อ้อนแล้วคนขี้อ้อนก็ส่งเสียงโอดโอยเสียยกใหญ่เหมือนกับว่าโดนกระชากจมูกจนหลุดติดมือออกมา

“เว่อร์ไปแล้วพี่ ลุกเลยๆ”

เมื่อเป็นธรรมไม่ยอมนั่งลงเพื่อให้ตักแทนหมอนกับคนขี้อ้อนก็เริ่มทำหน้างอใส่ เห็นสภาพหน้างอแบบนี้มันพาลทำให้นึกถึงหมาตัวใหญ่ที่กำลังพยายามอ้อนโดยการเลียนแบบลูกแมวและความคิดนั้นก็ทำให้เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะของเขาจะไม่เป็นที่ถูกใจของพี่ดาร์กสักเท่าไหร่เพราะจากหน้าที่งออยู่แล้วยิ่งงอหนักเพิ่มเข้าไปอีกเมื่อเห็นแบบนั้นเขาจึงยอมนั่งลงยกเอาหัวของพี่ดาร์กมาวางเอาไว้ที่ตักของเขา

“พี่ดาร์ก 5 นาทีแล้ว ลุกไปทานอะไรกันไหมพี่?”

“โอเคๆ ลุกๆๆ”

“พี่ดาร์ก คุนขอบคุณนะ”

“อยู่ๆ มาขอบคุณพี่เรื่องอะไรครับ?”

“ก็...ทุกอย่าง”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก...แค่คุนยอมให้พี่เข้ามาในชีวิตมันก็เป็นเรื่องที่พี่ยินดีที่สุดแล้ว”

“บอกไว้ก่อนว่าไม่เขินแล้วนะ ตอนนี้คุนมีภูมิต้านทานไม่หน้าแดงง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว”

   เป็นธรรมรีบพูดดักคอเอาไว้ก่อนเพราะอีกนิสัยที่ไม่รู้ว่าสมควรจะนับว่าเป็นนิสัยเสียรึเปล่าของพี่ดาร์กก็คือการที่ชอบทำให้เขาเขินยิ่งถ้าเขินจนหน้าแดงได้ยิ่งเป็นอะไรที่สะใจพี่ดาร์กล่ะ
อย่างสมัยมาจีบกันจีบใหม่ๆ พี่ดาร์กถึงขนาดไม่อายสายตาใครแล้วเดินถือดอกไม้ช่อใหญ่มายืนรอเขาที่หน้าคณะทั้งที่วันนั้นไม่ใช่วันพิเศษอะไรสักนิด ถ้าเป็นวาเลนไทน์ก็ว่าไปอย่างเพราะใครๆ ก็ถือช่อดอกไม้กันพอเค้นถามเอาคำตอบมากๆ ว่าเอามาให้ทำไมก็ตอบมาว่า ‘อ่อ วันนี้พี่เบื่อนะเลยอยากแกล้งคน เป็นไงโดนแกล้งอายไหม?’

“ของเก่าก็งี้แหละพูดอะไรก็ไม่กินใจแล้ว ไปหาอะไรกินปลอบใจดีกว่า”

“หิวก็บอกคุนดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่แบบนี้เลย”

   ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เลือกเอาไว้สำหรับมื้อเย็นถูกเปลี่ยนเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่ตั้งเลยออกมาจากที่ทำงานได้ไม่ไกลนัก

“คุนขอโทษ”

   เหตุผลที่เปลี่ยนร้านก็เพราะรถติดหนักเนื่องจากพวกเขาออกกันมาช้าแถมตอนที่ออกมาฝนก็ดันมาตกแบบไม่ลืมหูลืมตาเมื่อ 30 นาทีผ่านไปรถยังเคลื่อนออกมาได้แค่หน้าปากซอยของโรงงานพี่ดาร์กจึงตัดสินใจหักรถเข้าจอดข้างทางแทนที่จะมุ่งหน้าตรงไป

“คืนนี้ได้ไถ่โทษแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลยคุน หิวโอ๊ยหิว”

   เป็นธรรมถึงกับต้องกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ได้แต่ลุ้นในใจให้ลุงที่ทำก๋วยเตี๋ยวยกอะไรก็ได้มาเสริ์ฟทีก่อนที่พี่ดาร์กจะกลายร่างเป็นชายผู้หิวโหยและพร้อมจะฆ่าคนได้ในพริบตา

“โอเคๆ ครับ คืนนี้ คุนจะยอมพี่ทุกอย่างเลย”

“คุนพูดเองนะ งั้นคืนนี้คุนก็อยู่ด้าน บะ…”

“เฮ้ยยยย พี่”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

   เป็นธรรมรีบเอามือตะครุบปากพี่ดาร์กเอาไว้นี่พี่เขาลืมรึเปล่าว่าตอนนี้เขาสองคนอยู่ส่วนไหนของโลกถึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างสบายๆ เหมือนกำลังชวนคุยเรื่องผลบอลคืนนี้

   กว่าจะถึงห้องของพี่ดาร์กก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มวันนี้ไม่มีใครเกี่ยงกันอาบน้ำเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเพราะอากาศข้างนอกมันอบอ้าวด้วยกลิ่นไอของฝนที่เทลงมาแป้ปเดียวแล้วก็หยุดไป โชคดีที่ห้องน้ำในคอนโดมีสองห้องเลยไม่ต้องรอกัน

“พร้อมให้พี่ลงโทษรึยัง?”

   เป็นธรรมยิ้มรับคำทวงของพี่ดาร์กเขาดึงผ้าขนหนูที่พันรอบสอบเอวออกพร้อมกับเดินตรงไปหาคนที่นั่งรออยู่แล้วที่ปลายเตียง สายตาพี่ดาร์กที่ใช้มองมาที่ร่างกายของเขายังคงเป็นสายตาแห่งความต้องการและพึ่งพอใจเสมอทั้งๆ ที่ปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้วที่เราตกลงคบกัน

“พี่...ไม่เบื่อคุนบ้างเหรอ?”

   แทนคำตอบพี่ดาร์กจับไหล่ของเขาให้นั่งลงที่พื้นทำให้ใบหน้าของเขาอยู่ส่วนที่แข็งขืนของพี่ดาร์กพอดี แม้ส่วนนั้นจะยังไม่ตื่นตัวเต็มที่แต่มันก็เป็นคำตอบได้อย่างดีว่าพี่ดาร์กเบื่อเขารึเปล่า เขาค่อยๆ อ้าปากเต็มใจรับเอาส่วนที่แข็งขืนนั้นเข้ามาแล้วค่อยๆ ลิ้มรสของมัน

“คุน”

ทันทีที่เขาแตะปลายลิ้นลงไปส่วนที่ไม่ตื่นตัวเต็มที่ก็เริ่มขยายขึ้นพี่ดาร์กเรียกชื่อเขาอยู่หลายครั้งแต่คราวนี้เขายอมเป็นเด็กไม่ดีไม่ยอมขานรับเพราะกำลังใช้ริมฝีปากมอบความพึงพอใจให้กับเจ้าของเสียงเรียก แทนคำพูดว่ารู้สึกดีเพียงใดพี่ดาร์กเอามือนวดศรีษะของเขาให้อย่างเอาใจและพยายามเกร็งตัวเองไม่ให้ยันตัวเข้ามาหามากขึ้น

“ฮึก คุน เก่งมากครับ”

 พี่ดาร์กจับตัวเขาให้ยืนขึ้นแล้วก็เริ่มสำรวจร่างกายด้วยมือ มือของพี่ดาร์กเป็นมือที่อบอุ่นอยู่เสมอแต่ในช่วงเวลาแบบนี้มันมักจะเป็นมือที่อุ่นจนร้อนเพราะไม่ว่าพี่ดาร์กจะสัมผัสตรงส่วนไหนมันก็เหมือนว่าเขาก็พร้อมจะละลายตรงนั้น

“อะ”

   ไม่รู้ว่าตอนไหนที่พี่ดาร์คจับตัวของเขาให้ขึ้นนั่งอยู่บนตัวเองความล่องลอยกลับสู่ความจริงเมื่อพี่ดาร์กกำลังช่วยช่วยแตรียมตัวให้ สัมผัสความเย็นจากเจลนั้นมันกลายเป็นร้อนในทันทีตอนที่พี่ดาร์กใช้มัน

“คุณ... พร้อมแล้วพี่”

“งั้นพี่เข้าไปนะครับ พี่จะไม่ไหวแล้วแต่..” พี่ดาร์คมองเขาสลับไปมากับถุงยางที่ถูกวางอยู่บนเตียงเป็นการอ้อนเขาเป็นคนสวมถุงยางให้

“ไม่ใส่ได้ไหม? คุนอยากรับรู้ตัวตนของพี่”

“อย่าเลยครับเดี๋ยวคุนลำบาก”

“แต่...โอ๊ย...อ๊า”

“เก่งมากครับ”

พี่ดาร์กไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ต่อรองในเมื่อเขาไม่ยอมทำตามคำขอพี่ดาร์กก็จัดการกับร่างกายของตัวเองแบะบงโทษเขาที่ไม่เชื่อฟังด้วยการจับตัวเขากดลงเพื่อรับความแข็งขืนนั้นเพียงเท่านั้นสติของเขาก็หลุดลอยและมัวเมาไปกับความสุขที่ได้รับ

“ไปพร้อมกันนะครับ”

เวลาผ่านไปไม่นานสายธารอุ่นร้อนของพี่ดาร์กก็เข้ามาให้เขาได้รู้สึกแม้จะมีในถุงยางขวางเอาไว้พี่ดาร์กแช่ตัวรอให้เขาปรับลมหายใจแล้วจึงค่อยถอนตัวออกไป ความเหนื่อยทำให้เป็นธรรมล้มตัวลงนอนทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระผิดกับพี่ดาร์กที่ลุดเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่เขาเพิ่งถอดทิ้งเอาไว้เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมากลับมาเช็ดตัวทำความสะอาดให้ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนข้างกัน

“ขอบคุณครับพี่”

“นอนซะครับ”

   พี่ดาร์กลูบหัวกล่อมเขาจนหลับไปแต่แล้วเสียงกระซิบของพี่ดาร์กก็ปลุกเขาจากผวังค์อีกครั้ง

“วันนี้ที่พี่พูด พี่พูดจริงๆ นะ อย่าขอบคุณที่พี่ดีกับคุนเพราะการที่คุนยอมให้พี่เข้ามาในชีวิตมันดีที่สุดแล้วจริงๆ”

“พี่ดาร์ก คุณรักพี่นะ”

   ยิ่งได้ยินเสียงกระซิบนั้นความดีใจของเป็นธรรมมันยิ่งล้นเอ่อความรักของพี่ดาร์กมันมากจนเขารู้สึกว่าถ้านี่คือความฝันก็อย่าให้เขาได้ตื่นเลยขอบคุณอะไรก็ได้ไม่ว่าจะโชคชะตาหรือคนลิขิตที่ทำให้เขาได้มาเจอคนคนนี้

“ครับ พี่ก็รักคุณ”

   เพราะความง่วงเข้าครอบงำทำให้เป็นธรรมได้ยินเสียงบอกรักของพี่ดาร์กแผ่วเบาลงทุกที อยากจะเซ้าซี้ให้พี่ดาร์กบอกรักให้ดังกว่านี้ แต่คิดไปคิดมาระหว่างเขากับพี่ดาร์กยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนานเดี๋ยววันต่อไปค่อยขอฟังคำว่ารักจากพี่ดาร์กใหม่ก็ได้


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ


ถึงคุณ Darinsaya  :impress2: :-
หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทที่ 1 26/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 26-11-2016 16:38:27
ทำไมสองคนนี้มาเป็นแฟนกันได้

อ่านละงง แต่มันน่าติดตาม 555+

มาต่อบ่อยๆ นะ อยากรู้ว่ามันเป็นมายังไง
หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทที่ 1 26/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 27-11-2016 05:02:05
งงนิดๆตอนที่ใช้สรรพยนามบรรยายว่าเราค่ะ
ใช้แทนสองคนในขณะที่คุณรำพึงหรือเปล่าคะ?

ถ้าเป็นแบบนั้นอยากจะแนะนำว่าใช้คำอื่นผสมไปอีกนิดค่ะ
มีแต่เราๆๆๆมันจะซ้ำไปหน่อย

ดูเป็นแฟนที่เข้ากันได้ดีมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ทวง - รัก - ร้าย // บทที่ 1 26/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 28-11-2016 09:54:20
บทที่ 2

"ประชุมประจำปีปีนี้พี่ดาร์กอยากไปไหน?"

"แล้วคุนอยากไปที่ไหนละ?"

"คุนแล้วแต่พี่เลย"

"พี่ก็เลยแต่คุนเลย"

เป็นธรรมหันไปทำหน้าหงิกใส่คนที่ไม่ยอมช่วยเขาคิดก่อนที่จะหันหน้าเข้าหาหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเลือกสถานที่จัดงานอีกครั้งวันนี้เขาต้องเลือกสถานที่ตัดประชุมให้ได้เพราะทางฝ่ายบัญชีจะได้ทำงบประมาณได้ถูกปีที่ผ่านมาเขาเป็นคนเลือกเสมอปีนี้เขาเลยอยากให้อีกคนเป็นคนเลือกบ้างแต่ไงกลับมาโยนให้เขาเหมือนเดิมแบบนี้

 “ไม่ต้องทำหน้างอขนาดนั้นก็ได้มาๆ พี่ช่วยคิด งั้นปีนี้เราไปชลบุรีกันดีไหม?”

“พี่ดาร์กอยากไปทะเลเหรอ?”

“เปล่า พี่แค่อยากไปไหนที่ใกล้กับกรุงเทพฯ”

“โอเคครับพี่”

เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการเขาจึงเดินเอาเอกสารไปให้คุณสุวรรณีเลขาหน้าห้องเพื่อจะได้ไปดำเนินงานต่อ เดินกลับเข้ามาในห้องอีกทีก็เห็นพี่ดาร์กนอนเอาหัวพิงพนักเก้าอี้หมดสภาพกังนั้นจากที่จะเดินตรงกลับไปที่โต๊ะทำงานเขาจึงเดินอ้อมไปทางด้านหลังแล้วก็เริ่มลงมือนวดข้างขมับให้กับคนอดนอน

"เหนื่อยมากไหมพี่?"

   ปีนี้โรงงานมีโครงการจะขยายตลาดไปประเทศอื่นพี่ดาร์กที่ดูแลฝ่ายการตลาดโดนตรงเลยเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะแผนงานที่ต้องเตรียมเสนอให้แม่เพื่อการอนุมัตการขยายตลาดก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีก็ไม่แปลกที่พี่ดาร์กจะมีสภาพอย่างนี้

“ให้คุนช่วยดูงานบ้างดีไหม?”

“มานวดพี่บ่อยๆ ก็พอ”

“นี่คุนพูดจริงนะให้คุนช่วยดูก็ได้ คุนไม่อยากให้พี่เหนื่อยมากขนาดนี้”

“ไม่เป็นไร พี่โอเค”

“คุนก็บอกแต่แรกแล้ว ว่าอย่าเพิ่งทำเลยโครงการนี้”

   พี่ดาร์กดึงมือของเขาที่กำลังนวดให้มากุมเอาไว้อยู่ที่หน้าอกจึงทำให้หน้าของเขาเข้าใกล้มากขึ้นยิ่งมองจากมุมนี้เป็นธรรมก็ยิ่งรู้สึกผิดทั้งที่เป็นโรงงานของที่บ้านเขาแท้ๆ แต่คนที่ต้องทำงานหนักจนมีรอยคล้ำใต้ตาแล้วไหนจะเป็นรอยย่นที่อยู่ตรงหว่างคิ้วที่รู้สึกว่าจะย่นเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วกลับเป็นพี่ดาร์กไปได้

“พี่ก็แค่อยากทำให้สำเร็จ พี่อยากให้แม่ของคุนวางใจในตัวพี่มากขึ้น”

“คุนรู้พี่ คุนเลยอยากช่วย”

   พี่ดาร์กดึงให้เขาเดินมาทางด้านหน้าแล้วจับให้นั่งที่ขอบโต๊ะทำงานพี่ดาร์กยิ้มให้เขาทั้งที่สีหน้ายังหลงเหลือความเหนื่อยให้เห็น

“พี่โอเค คุนดูงานที่โรงเรียนศิลปะกับช่วยเซ็นเอกสารที่ต้องใช้ของที่นี่ก็พอที่เหลือเดี๋ยวพี่ทำเอง”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ครับ ไม่ต้องเครียดนะไว้พี่ไม่ไหวพี่จะบอก”

“ครับ”


   วันออกเดินทางโรงงานนัดพนักงานตอน 7 โมงตรงเพื่อที่จะขึ้นรถบัสมุ่งแล้วหน้าไปถึงชลบุรีในช่วง 9 โมง การไปประชุมประจำปีในครั้งนี้เป็นการไป 2 วัน 1 คืนเท่านั้น
เมื่อคืนเป็นธรรมนอนที่ห้องของพี่ดาร์กเพื่อความสะดวกอย่างน้อยตอนเช้าพี่ดาร์กก็ไม่ต้องขับรถย้อนไปรับเขาที่บ้านแต่สามารถตรงออกจากห้องมาที่โรงงานได้เลยเพราะไหนๆ ห้องของพี่ดาร์กก็ใกล้กับโรงงานมากกว่าที่บ้านของเขาอยู่แล้ว เป็นประจำทุกปีที่เขา 2 คนจะนั่งรถไปคันเดียวกับพนักงานคนอื่นเพราะพวกเขาเชื่อว่ามันจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้พนักงานสนิทกับเรามากขึ้นและเขาจะได้ทำงานให้บริษัทเหมือนทำงานให้กับคนในครอบครัว

“สวัสดีค่ะ//สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับทุกคน เรามากับครบหรือยังคุณสุวรรณี?”

“ครบแล้วค่ะ”

“งั้น ถ้ามากันพร้อมแล้วผมว่าเราเริ่มออกเดินทางกันเลยครับ”



“น่าอิจฉาคุณเป็นธรรมจังเลยนะคะ คุณทรงจำตามเอาใจตลอดเวลาเลย”

“ใช่ค่ะกี้เห็นนะคะ คุณทรงจำก็ไม่ยอมห่างกับคุณเป็นธรรมเลยค่ะ”

“หวานกันจังเลยนะคะ สรุปนี้ทริปของบริษัทหรือว่าทริปแอบไปเที่ยวกันเองค่ะเนี่ย”

   เป็นธรรมยิ้มให้กับคำแซวของคุณสุวรรณีและคุณกี้พนักงานที่เขาคุ้นเคยดีเพราะต้องปรึกษาเรื่องงานกันอยู่บ่อยครั้งทั้งสองเอ่ยแซวในช่วงจังหวะที่พี่ดาร์กเดินเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนรถพร้อมกับขอเปลี่ยนที่นั่งกับพนักงานคนอื่นเพื่อให้เขาได้นั่งด้านหน้าเนื่องจากอาการเมารถของเขา
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดคุยกับสาวๆ ที่มารุมแซวเขาพี่ดาร์กก็เดินกลับมาหาด้วยหน้าตาที่ยุ่งเหยิง

“มีอะไรรึเปล่าพี่?”

“พี่ลืมเอายาแก้เมามาด้วยนะสิเมื่อคืนพี่ว่าพี่เตรียมไว้แล้วงั้นเดี๋ยวพี่มาพี่ไปร้านขายยาก่อนยังไงคุนให้พนักงานขึ้นรถได้เลย คุณสุวรรณีผมฝากทางนี้ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะคุณทรงจำ”

 “ไม่ต้องก็ได้พี่ ไม่กี่ชั่วโมงคุนโอเค”

 “เดี๋ยวพี่มา ทันเวลาเชื่อพี่สิ”

“เราไปกันเถอะค่ะคุณกี้ พี่จะเป็นเบาหวานแล้ว”

   คุณสุวรรณียังไม่วายแซวทิ้งท้ายก่อนจะไปเช็ครายชื่อพนักงานพร้อมกับอธิบายกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณสุวรรณีและอีกหลายคนจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาสองคนเพราะมันไม่ใช่ความลับพวกเขาไม่เคยปฏิเสธถ้าใครเกิดมีใครในโรงงานสงสัยและเดินเข้ามาถาม

ช่วงแรกที่พี่ดาร์กเข้ามาทำงานพี่ดาร์กไม่อยากให้เขาบอกกับใครเพราะกลัวว่าเขาจะมีปัญหาในการคุมคนงานตอนนั้นเป็นธรรมยอมตามใจเพราะเข้าใจดีว่ามันอาจจะเกิดความอึดอัดใจขึ้นได้ แต่หลังจากที่เป็นธรรมได้ยินเหล่าพนักงานฝ่ายซ่อมบำรุงกับจัดซื้อพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็เลิกตามใจพี่ดาร์ก

วันที่เป็นธรรมตัดสินใจประกาศเรื่องส่วนตัวในโรงงานและเรียกพนักงานคนนึงเข้ามาตักเตือนคือวันที่เขาหมดความอดทนที่ต้องมานั่งได้ยินเรื่องนินทาซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งแล้วที่เขามักจะได้ยินพนักงานซุบซิบหาว่าพี่ดาร์กเข้ามาจีบเพราะต้องการมีอำนาจไม่งั้นจะเข้ามาทำงานที่นี่ทำไมหรือที่ได้ตำแหน่งมาไม่ใช่เพราะความรู้แต่เพราะใช้เรื่องอื่นได้ดี

    “ผมได้ยินมาคุณไม่พอใจที่ผมมีความสัมพันธ์กับคุณทรงจำใช่รึไม่ครับ?”

“เปล่าครับ”

“งั้นที่ผมได้ยินมาก็เป็นแค่ข่าวลือ?”

“คะ ครับ”

“งั้นก็ดีครับเพราะว่าคุณทรงจำเป็นแรงผลักดันหลักของโรงงานนี้ถ้าคุณเกิดมีปัญหากับเรื่องนี้ผมก็เสียดายที่จะต้องเสียเจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุงดีๆ ไปเพียงเพราะเขาทำงานร่วมกับคนสำคัญของโรงงานไม่ได้คุณว่าจริงไหมครับ?”

   จากวันนั้นเรื่องนินทาเกี่ยวกับพี่ดาร์กเริ่มซาลงจนกลายเป็นเงียบไปพี่ดาร์กคอยบอกขอบคุณเขาที่ปกป้องแต่เป็นธรรมไม่ได้คิดว่าเป็นแค่เพราะเขาที่ออกตัวแต่มันเป็นเพราะความจริงจังในการทำงานจนทำให้ผลงานของพี่ดาร์กกลายเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก


“เดี๋ยวขึ้นไปเช็คชื่อและเจอกันที่ห้องประชุมชั้นสองนะครับ”

   การเดินทางเป็นไปตามที่กำหนดเอาไว้ช่วงเช้าเป็นการสรุปผลงานของทุกแผนกทานอาหารเที่ยงที่โรงแรมแล้วตอนบ่ายก็จะต่อด้วยการอัพเดทข้อมูลใหม่ให้แก่พนักงานทุกคนเสร็จแล้วตอนเย็นค่อยออกไปทานอาหารทะเลข้างนอกด้วยกัน

“หายง่วงยังครับ?”

“ยังเลยขอเลื่อนประชุมไปก่อนได้ไหม?”

“งอแงนะเรา”

เพราะพี่ดาร์กกลัวว่าเขาจะเมารถเลยให้กินยาแก้เมากันไว้ก่อนแต่ยาดันมาออกฤทธิ์ช่วงก่อนถึงที่พักได้ไม่นานทำให้ตอนนี้เป็นธรรมยังไม่สร่างจากขี้ตา

“งั้นคุนขึ้นไปรอข้างบนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่อยู่ด้านล่างทำเรื่องเข้าพักเอง”

“ในห้องประชุม คุนต้องหลับแน่เลยพี่”

   พี่ดาร์กละความสนใจกับการเซ็นเอกสารการเข้าพักแล้วหันตัวเอามืออังเข้าที่ซอกคอกับที่หน้าผากของเขาสงสัยคงกลัวว่าเขาจะไข้ขึ้นแต่เปล่าเขาสบายดีเพียงแค่ง่วงนอนเท่านั้น

“งั้นเดี๋ยวพี่ขอให้เขาเปิดห้องให้คุนก่อน คุนขึ้นไปนอนพักเดี๋ยวพี่เข้าประชุมคนเดียวช่วงเช้าไปก่อน”

“ไม่เอามันดูไม่ดีอีกอย่างพี่ดาร์กทำงานคนเดียวอีกแล้ว...คุนดูเอาเปรียบไงไม่รู้ไม่เอาอะ”

“เถอะน่า ไปพักเถอะนะ”

   ไม่ใช่ว่าเป็นธรรมไม่พยายามที่จะฝืนลืมตาแต่ฤทธิ์ยามันมากเกินกว่าที่เขาจะสู้ได้จริงๆ เขาจึงยอมแพ้และรับกุญแจห้องพักมาจากพี่ดาร์ก

“แต่...”

“นอนนะครับ เดี๋ยวพี่เอาผลสรุปมาให้”

“ครับ”

“เดี๋ยวเที่ยงพี่มาปลุกไปกินข้าวนะ”

“ครับ”

   กว่าเป็นธรรมจะฟื้นตัวและสลัดความง่วงออกไปได้เวลาก็ผ่านไปขนถึงช่วงเที่ยงแล้วเขารีบลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่นอนมากๆ ก็ทำให้มึนหัวได้เหมือนกัน

“อ้าว ประชุมเสร็จแล้วเหรอพี่? เร็วจัง” ไม่คิดว่าพออกมาจากห้องน้ำจะเจอพี่ดาร์กนั่งรอเขาอยู่แล้วทั้งทีเวลาก็ยังไม่ถึงเที่ยงครึ่งเลยด้วยซ้ำ

“ครับ เรียบร้อยแล้วเป็นไงบ้างดีขึ้นไหม? แล้วปวดหัวมากอยู่รึเปล่า?”

“มึนนิดหน่อย คุนว่าคุนนอนเยอะไปแน่เลย”

“อะ งั้นจิบน้ำมะนาวนี้หน่อยจะได้สดชื่น”

“ฟอด ขอบคุณมากครับ”

“รายงานการประชุมเมื่อเช้าพี่เก็บมาให้คุนแล้วนะ”

“ที่จริงคุนรอรายงานจากคุณสุวรรณีก็ได้พี่น่าจะได้พักบ้าง ว่าแต่ที่ประชุมมีปัญหาอะไรไหมพี่?”

“ไม่มี ทุกอย่างโอเคเป็นไปตามที่เราวางเป้าเอาไว้”

“ดีจัง”

   เมื่อรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นธรรมก็ขอเข้าร่วมประชุมช่วงบ่ายด้วยซึ่งพี่ดาร์กก็ไม่ได้ห้ามอะไรเขาเมื่อเห็นว่าเขาคงไม่น่าจะนั่งหลับในที่ประชุม การประชุมช่วงบ่ายพี่ดาร์กแจ้งอผนตลาดใหม่ให้กับทุกคนที่เข้าร่วมประชุมได้รู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบงานที่ต้องตามมาตราฐานสากลการประชุมไม่มีปัญห่อะไรแทรกขึ้นมาทำให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายพอประชุมช่วงบ่ายเสร็จทางโรงงานก็ปล่อยให้พนักงานได้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่จะมาเจอกันอีกทีในตอนเย็น


“สามทุ่มแล้วแต่คุนยังไม่ง่วงเลยพี่”

   “ก็สมควร”

“อือออ เมื่อเช้าคุนไม่น่าล้มตัวลงนอนเลย ตอนนี้คุณตาตั้งเลยเนี่ย”

“งั้น ไปว่ายน้ำกันไหม?”

“ที่ทะเลเหรอพี่?”

“ไม่ใช่ข้างบนตึกโรงแรมนี่แหละเป็นสระว่ายน้ำแบบเปิดดูวิวได้สวยเลยนะ”

“จริงอะ ไปๆ แต่...คุณไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมา”

“ใช้ตัวนี้แทนก็ได้” พี่ดาร์กหันไปรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กแล้วหยิบเอาบ๊กางเกงในของเขาขึ้นมาหนึ่งตัว

“นั้นมันกางเกงในนะพี่”

“ดึกแล้ว มีคนไม่เยอะหรอกเผลอๆ มีเราสองคน”

   แล้วก็เป็นจริงอย่างที่พี่ดาร์คว่าสระน้ำข้างบนนี้ไม่มีใครเลยยกเว้นเขากับพี่ดาร์ก แต่ถึงจะไม่มีใครแต่จะให้เขาไม่อายเลยก็คงยากก็พี่ดาร์กเล่นขี้โกงที่ใส่บ๊อกเซอร์แต่เขากลับต้องใส่กางเกงในลงน้ำ

"วิวสวยมากก"

"พี่บอกแล้ว"

"ว่าแต่พี่รู้ได้ไงเคยแอบมารึเปล่า?"

"เวลาเขาให้ข้อมูลที่พัก ใครบางคนเคยเสริ์จดูบ้างรึเปล่า?"

"อุ้ย..."

เป็นธรรมรีบเผินหน้าไปดูวิววรอบๆ แทนก่อนที่เขากำลังจะโดนใครบางคนบ่น จะว่าไปวิวด้านบนนี้ก็ดีจริงๆ อย่างที่พี่ดาร์กอวดเอาไว้ฝากนึงมองไปสามารถเห็นชายทะเลอีกฟากพอมองไปก็เป็นแสงไฟจากตึกต่างๆ ทำให้วิวตรงนี้สวยแตกต่างจากตอนกลางวัน

“วันนี้เหนื่อยไหม? มาคุนนวดให้”

“กดให้แรงๆ นะครับคุณหมอนวด”

   พี่ดาร์กเกาะขอบสระแล้วหันหน้ามองวิวออกไปด้านนอกเป็นธรรมว่ายเข้าไปหาแล้วเริ่มลงมือนวดไหล่ จากมุมนี้เหมือนกำลังมองวิวเดียวกันอยู่ จะว่าไปเขาไม่ได้ดูดาวดูวิวกับพี่ดาร์กแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ชอบไหม?”

“สวยมากเลยพี่ดาร์ก คิดถึงตอนอยู่มหาลัยแล้วคุนไปนอนดูดาวที่ระเบียงหอพี่เลย”

"ตอนนั้นใครใจแตกมานอนห้องพี่นะ"

"อย่าแซวสิ"

“พี่ขอโทษนะครับ”

“หื้อ? ขอโทษอะไร?”

“พี่ไม่มีอะไรแบบนี้เลย ห้องที่พี่มีเล็กกว่าห้องดูทีวีบ้านของคุนอีกมั้ง”

“พี่...”

“รอให้พี่มีเงินเก็บพอที่จะซื้ออะไรแบบนี้แล้วค่อยมาอยู่กับพี่นะครับรอพี่ก่อนนะ” เป็นธรรมโอบกอดพี่ดาร์กจากทางด้านหลังแทนคำตอบว่าเขาจะรอตามคำที่ขอออกมารึไม่

“คุนไม่ได้ต้องการอะไรแบบนี้พี่ก็น่าจะรู้”

“พี่รู้ แต่พี่ก็อยากให้คุนได้ภูมิใจในตัวพี่ พี่อยากเป็นคนที่จะดูแลคุนได้ด้วยตัวพี่เอง”

“พี่อยากโตมากกว่านี้ที่พี่พยายามทำงานให้หนักขึ้นเพราะพี่ก็อยากที่จะมีบ้านดีๆ สักหลังมีรถดีๆ ที่จะเทียบคุนได้ พี่ก็ผู้ชายคนนึงนะครับพี่ก็อยากที่จะเป็นผู้นำ”

   เป็นธรรมรู้ว่านี่เป็นสระน้ำรู้อีกด้วยว่านี่คือที่โล่งแจ้งสิ่งที่เขากำลังทำอยู่เขาไม่ได้ขาดสติแต่ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ทำเพื่อเขามาตลอดเวลาตั้งแต่ที่ยอมลาออกจากที่เก่าเพื่อที่จะยอมมาเป็นขี้ปากว่าเกาะเขากินยอมทำงานเป็นลูกน้องยอมปิดทองหลังพระทำงานอยู่เบื้องหลังโดยที่ไม่ได้ป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นฝีมือของเขาเพราะฉะนั้นมันก็ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาอยากจะแสดงความรักและความขอบคุณตรงนี้เวลานี้

“คุณใจเย็นเราอยู่ข้างนอก”

“ผมรักพี่” เวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าเป็นธรรมจะยอมถอนริมฝีปากออกมาจากปากของพี่ดาร์ก

“ถ้ารักพี่จริงรอพี่ก่อนนะครับ แต่ตอนนี้พี่ว่าเราสองคนกลับไปที่ห้องก่อนไหม? ตัวคุณเย็นไปหมดแล้ว”

“ครับพี่”

   เพิ่งรู้ว่าอากาศทางด้านบนมันหนาวขนาดไหนก็ตอนที่ขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วต้องมายืนข้างสระพร้อมกับฟันกระทบกันเสียงดัง ขนาดรีบเช็ดตัวให้แห้ง รีบสวมเสื้อกับกางเกงขาสั้นทับแล้วเขายังรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ใส่อะไร

   พรึ่บ ในขณะที่เป็นธรรมกำลังยืนสั่นรอลิฟท์โดยสารปล่อยให้ฟันกระทบกันอยู่นั้นพี่ดาร์กก็สวมเสื้อทับลงมาที่หัวให้เขา

“อะ ใส่ทับไปก่อนกว่าจะเดินกลับถึงห้องเดี๋ยวหนาวตาย”

“ขอบคุณครับ”


"อาบน้ำพร้อมกันมา"

เพราะอากาศหนาวเป็นธรรมเลยรีบมุดตัวเองเข้าห้องน้ำตามพี่ดาร์กเรียกเพียงแค่โดนควักมือเรียก ไม่รู้ว่าระดับความอุ่นของน้ำที่พี่ดาร์กปรับเอาไว้มันอุ่นเกินไปหรือว่าเป็นอุณหภูมิจากตัวของพี่ดาร์กมันร้อนเกินไปกันแน่จึงทำให้ตอนนี้แค่พี่ดาร์กเดินเข้ามาอยู่ภายใต้ฝักบัวเดียวกันเขาก็รู้สึกร้อนได้ขนาดนี้

"มา พี่อาบน้ำให้"

"พะ พี่ เดี๋ยวคุน อะ ถูเองได้"

พี่ดาร์กไล่ฟองสบู่จากทางด้านหลังมาทางด้านหน้าพี่ดาร์กใส่ใจมนทุกจุดจึงทำให้ร่างกายของเราในตอนนี้มันใกล้กันโดยที่พี่ดาร์คโอบผมเอาไว้ทางด้านหลังใกล้จนเขารู้สึกถึงความเป็นตัวตนของพี่ดาร์กที่ต้องการผม

"พี่..."

"ไม่เป็นไรคุนพี่โอเคพี่แค่อยากล้างตัวให้พอเสร็จคุณออกไปก่อนได้เลย"

"แต่..."

"เดี๋ยวพี่จัดการตัวเองได้ คุนตัวจะเขียวหมดแล้วออกไปเถอะเดี๋ยวไม่สบาย" พี่ดาร์กกดเสียงต่ำในการตอบคำถามทำให้เขารู้ว่าพี่ดาร์กกำลังพยายามอดทนเพื่อเขาอยู่

"ให้ผมช่วยนะ"

เป็นธรรมย่อตัวเองลงไปนั่งกับพื้นห้องน้ำมือข้างนึงเอื้อมไปจับส่วนที่แข็งขืนของพี่ดาร์กส่วนอีกมือนึงก็เอื้อมมาสัมผัสกับความตื่นตัวของตัวเองไม่น่าเชื่อว่าแค่เขาเห็นพี่ดาร์กต้องการเขามันก็สามารถทำให้เขามีความรู้สึกร่วมไปกับพี่ดาร์กได้

"อ๊าา คุณ"

เป็นธรรมเปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปากของตัวเองเมื่อเห็นว่าพี่ดาร์กเริ่มใกล้ที่จะปลดปล่อยความอึดอัดนั้นออกมาพี่ดาร์กดันตัวเองเข้ามาเพื่อให้ระยะห่างระหว่างเราน้อยลงและแค่เพียงพี่ดาร์คเรียกชื่อของเขาในลำคอเพียงเท่านั้นเขาก็ปลดปล่อยออกมาแต่เขายังไม่ลืมว่าคนตรงหน้ายังไม่ได้ปลดปล่อยเขาจึงยังคงปรนเปรอให้กับพี่ดาร์ก

"อะ..."

ในช่วงที่พี่ดาร์กกำลังเกร็งตัวพี่ดาร์กดึงหน้าของเขาให้ออกห่างเหมือนกับทุกครั้งที่พี่ดาร์กจะดึงตัวเขาให้ออกห่างก่อนที่หยาดความต้องการจะถูกปลดปล่อยออกมาเขาเลยใช้มือของตัวเองเป็นตัวช่วยจนความต้องการนั้นมันละลายหายไปกับสายน้ำ

"ขอบคุณมากนะครับคนเก่งของพี่"

ฟอด พี่ดาร์กย่อตัวนั่งแล้วก็ดึงเขาเข้าไปกอด หอม พี่ดาร์กนั่งกอดเขาไว้จนลมหายใจของพี่ดาร์กสามารถปรับได้เป็นปกติจึงค่อยลุกขึ้นเอาฝักบัวแล้วก็ล้างหน้าล้างตาให้กับเขา

"พี่ไม่นอนพร้อมคุนเหรอ?"   

"นอนไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่ขอดูอะไรอีกนิดอย่าลืมกินยาที่พี่วางไว้ให้ที่หัวเตียงละเดี๋ยวไม่สบายแล้วพรุ่งนี้ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอีก"

“ครับพี่”

"อ้อ พรุ่งนี้ถ้าตื่นก่อนพี่มาเอาที่พี่สรุปไปอ่านเลยนะเผื่อพรุ่งนี้เขาคุยกันเรื่องประชุมคุนจะได้พูดกับหัวหน้าฝ่ายรู้เรื่อง"
เป็นธรรมนอนมองพี่ดาร์กผู้ซึ่งยังคงนั่งที่เก้าอี้ดูเอกสารของบริษัททั้งที่พี่ดาร์กเป็นแค่หัวหน้าฝ่ายการตลาดเพียงเท่านั้นแต่ที่กำลังอ่านอยู่นั้นให้ร้อนทั้งร้อยมันเป็นงานของเขา

"รอให้พี่เก็บเงินซื้ออะไรแบบนี้ได้ แล้วค่อยมาอยู่กับพี่"

คำพูดนี้ของพี่ดาร์กลอยเข้ามาในหัวอีกครั้งตั้งแต่ทำงานมาพี่ดาร์กไม่เคยขอเงินเดือนเพิ่มไม่เคยร้องขอตำแหน่งที่ใหญ่โต พี่ดาร์กแค่ทำงานของตัวเองให้ดีและเก็บเงินเพื่อที่จะได้อยู่กับเขาแล้วเขาจะต้องให้พี่ดาร์กทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน? เขาว่ามันถึงเวลาที่พี่ดาร์กควรได้อะไรตอบแทนจากสิ่งที่ทำมาเพื่อเขาโดยตลอดได้แล้ว

"ไม่นอนพักละครับ มองพี่ตลอดเลย ตาปลอยแล้วเรามีอะไรรึเปล่า?"

"ไม่มีครับ คุณแค่ อยากนอนพร้อมพี่"

"จะไม่สบายแล้วอ้อนสินะ"

พี่ดาร์กแม้จะบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมนอนสักทีแต่ก็ยอมหยิบแฟ้มงานถือติดมือมาแล้วมาลงนั่งข้างๆ กับที่เขานอนอยู่

"อะ มานั่งข้างๆ แล้ว นอนได้แล้ว อย่าดื้อ พรุ่งนี้ป่วยไม่ดูแลนะ"

เป็นธรรมกอดหมั่บเข้าเอวพี่ดาร์ก พี่ดาร์กเองเมื่อเห็นว่าเขาได้ที่แล้วก็ใช้มือข้างที่ว่างเล่นเส้นผมของเขาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าไหร่ที่เขาเผลอหลับไปรู้แค่ว่าถ้าเกิดคืนนี้ัเขาได้มีโอกาสฝันในฝันคืนนี้ต้องเป็นฝันดีแน่นอน


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึง

คุณ Enough ... ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

คุณ Freja ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ปล เรื่องสรรพนาม เราจะเอาปรับปรุงนะคะ รบกวนฝากพี่ดาร์คน้องคุณด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 3 - 25/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-12-2016 11:51:05
บทที่ 3

แสงแดดรอดเข้ามาส่องที่เตียงนอนทำให้เป็นธรรมรู้สึกตัวตื่นลืมตามองไปที่ข้างเตียงก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ว่าพี่ดาร์กไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ อีกแล้วเป็นธรรมไม่แปลกใจไม่รู้สึกแปลกใจที่ข้างกายจะว่างเปล่าเพราะไม่ว่าพี่ดาร์กจะนอนดึกกว่าเขามากแค่ไหนพี่ดาร์กก็จะตื่นก่อนเขาเสมอ

เป็นธรรมลุกขึ้นมานั่งสลัดความงัวเงียทั้งที่ยังไม่รู้สึกตื่นเต็มตาเป็นไปได้เขาก็อยากจะล้มตัวลงนอนต่อแต่เมื่อคืนพี่ดาร์กสั่งไว้ว่าให้อ่านสรุปของรายงานก่อนที่จะเข้าไปร่วมกิจกรรมของวันนี้เขาเลยต้องกลั้นใจลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ บนกองแฟ้มสรุปเหล่านั้นมันเต็มไปด้วยกระดาษโพสอิสที่เขียนเอาไว้ว่า ‘อ่านซะ’ ด้วยลายมือยุ่งๆ ของพี่ดาร์ก

"อ่านไปได้เยอะยัง?"

"เกือบจบแล้วพี่"

"งั้นพอแล้วไปอาบน้ำก่อน เกือบจะได้เวลาแล้วเดี๋ยวพี่พูดสรุปที่เหลือให้ตอนกินข้าวเช้า"

"ขอบคุณครับ"

 วันนี้กิจกรรมในช่วงเช้าเป็นการเล่นเกมส์ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนในบริษัทสนิทกันมากขึ้นเป็นธรรมเองก็ร่วมเล่นเกมส์ด้วยเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเกมส์หาของไปจนถึงเก้าอี้ดนตรีเขาไม่มีพลาดจนมาถึงกีฬาฟุตบอลนั้นแหละที่เขาถอนตัวเพราะกลัวว่าลูกน้องคนอื่นๆ จะเกร็งไม่กล้าเข้ามาแย่งบอลจากเขาเลยผันตัวเองออกมาเป็นผู้เชียร์แทนส่วนพี่ดาร์กพ่อจอมบ้าพลังนะเหรอโน้นลงไปวิ่งวอร์มอยู่ที่สนามแล้ว

เวลาของครึ่งแรกผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีดีเป็นธรรมก็ได้ยินเสียงโกลาหลดังโวกเวกในสนามช่วงที่เกิดเหตุเขากำลังคุยกับคุณสุวรรณีเกี่ยวกับกำหนดการในช่วงบ่ายที่จะต้องเรียกพวกหัวหน้าฝ่ายต่างๆ เข้าประชุมเลยทำให้เขาไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้พี่ดาร์กลงไปนั่งอยู่ที่พื้นโดยที่มีลูกน้องในแผนกของตัวเองบางคนกำลังยืนเถียงกับอีกแผนกอยู่

"เกิดอะไรขึ้นนะ?" เมือ่เห็นท่าไม่ดีเป็นธรรมก็รีบเดินลงไปที่สนามทั้งไปดูอาการของพี่ดาร์กและเข้าไปห้ามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"ไม่มีอะไร คุนช่วยพยุงพี่หน่อย"

"ต้องไปโรงพยาบาลไหมพี่? เป็นอะไรมากรึเปล่า?"

"ไม่ต้องๆ พยุงพี่ไปที่ห้องก็พอพี่ว่าเดี๋ยวพี่พักก็น่าจะดีขึ้น"

"ว้าย คุณทรงจำค่ะแบบนี้ขาพลิกรึเปล่าคะ? กี้ว่าเดี๋ยวกี้ไปหายานวดกับที่พันขามาให้ดีกว่าค่ะไม่รู้ว่าหักรึเปล่าด้วย"

“ไม่เป็นไรครับคุณกี้ ผมว่าไม่หัก”

"กันไว้ก็ดีกว่าแก้นะพี่ งั้นคุณกี้จะออกไปข้างนอกยังไงครับ? แถวนี้ก็ไม่มีร้านยาอยู่ใกล้ๆ เอางี้เดี๋ยวรอผมที่ฟร้อน ผมขอไปส่งคุณทรงจำที่ห้องก่อนแล้วเดี๋ยวเราออกไปพร้อมกัน"

"ได้ค่ะ"

ช่วงที่เขาพยุงกลับมาที่ห้องพี่ดาร์กบอกตลอดว่าไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่แค่ประคบร้อนประคบเย็นก็คงจะดีขึ้นอีกอย่างเดี๋ยวช่วงเย็นเราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้วค่อยไปหาหมอกันทีหลังก็ได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง

“พี่ดาร์กจะดื้อกับคุนทำไมเนี่ย?”

“ก็ถ้าเกิดเราไปตอนนี้กลับเข้ามาอาจจะไม่ทันประชุมช่วงบ่ายนะวันนี้พี่ไม่ยอมให้เราโดดประชุมช่วงบ่ายแล้วด้วยเดี๋ยวพอดีหัวหน้าแผนกต่างๆ โวยวายกันหมดว่าเจ้าของหายหน้าหายตา”

“ไม่เป็นไรพี่คุนจะรีบไปรีบมา”

   พี่ดาร์กกลัวว่าเขาจะโดนมองไม่ดีเป็นห่วงภาพพจน์ของเขาในขณะที่ตัวเองกำลังเจ็บแล้วแบบนี้จะให้เขาปล่อยให้พี่ดาร์กทนเจ็บไปจนถึงตอนเย็นได้ยังไง

"คุณเป็นธรรมค่ะกี้ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหมคะ?"

คุณกี้ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขามาตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถเขาก็ได้แต่รอให้คุณกี้พร้อมและเล่าให้เขาฟังด้วยตัวเอง

"ได้ครับ"

"ตอนที่พวกเราอยู่กันที่ข้างสนาม กี้ไม่แน่ใจว่าคุณเป็นธรรมได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดรึเปล่าคะ?"

"ไม่เห็นครับ ช่วงนั้นพอดีผมกำลังคุยอยู่กับคุณสุวรรณีอยู่มีอะไรรึเปล่าครับ?"

"ว่าแล้วว่าคุณเป็นธรรมต้องไม่เห็นแบบที่กี้เห็นคืออย่างนี้ค่ะ คุณทรงจำไม่ได้ล้มลงเองที่สนามนะคะแต่หัวหน้าฝ่ายช่างซ่อมบำรุงเป็นคนวิ่งเข้าชนค่ะ"

"ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของการเล่นกีฬานะครับยิ่งฟุตบอลมันต้องมีการชนมีการเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นธรรมดาครับ"

"แม้จะเป็นการผลักให้ล้มก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดารึคะ?"

"ผลัก?"

"ใช่ค่ะกี้เห็นกับตาตัวเองเลยค่ะและกี้ก็เชื่อว่าคนอื่นก็ต้องเห็นเหมือนที่กี้เห็นไม่อย่างนั้นทำไมพวกฝ่ายการตลาดถึงได้เข้าไปล้อมขนาดนั้นละคะ? คุณเบทเขาวิ่งเขาไปชาตแล้วมีการแตะที่ข้อเท้าด้วยค่ะ"

"เหรอครับ?"

พนักงานคนนั้นชื่อว่าเบทเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เคยมีเรื่องว่าที่พี่ดาร์กมาเกาะเขากินและตอนนั้นเขาก็ดันไปหักหน้ากลุ่มนั้นโดยการที่ไปพูดปรามถึงแผนกไม่ได้เรียกมาพูดเป็นการส่วนบุคคลแบบนี้เขาก็เลยค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่คุณกี้บอกว่าอาจจะไม่ใช่แค่อุบัติเหตุอย่างที่เขาคิด

"เป็นไงบ้างพี่? ไหวไหม?" กลับมาถึงที่ห้องพักเขาก็เจอพี่ดาร์กกำลังนั่งเอาน้ำแข็งประคบข้อเท้าของตัวเองอยู่

"ไหวสิ แค่นี้เอง"

เป็นธรรมก้มลงจับข้อเท้าของพี่ดาร์กขึ้นมาวางไว้บนตักแล้วค่อยทายาลงไปรอบข้อเท้าที่ตอนนี้เริ่มจะแดงขึ้นพร้อมลงมือพันข้อเท้าให้พี่ดาร์ก

"พี่ มันไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม?"

"มันคืออุบัติเหตุครับ"

“คนที่เข้ามาชนพี่คือพนักงานที่ชื่อเบทใช่ไหม?”

“คุนอย่าคิดอะไรมาก”

"พี่ดาร์ก ทำไมพี่มีอะไรแล้วไม่บอกคุน?"

“ก็เพราะมันไม่มีอะไรยังไงครับเราอย่าคิดมากอย่าไปสนใจและอย่าลงมายุ่งกับเรื่องนี้เราเป็นเจ้านายไม่สมควรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เป็นไร มันจะทำให้เราดูไม่ดี”

“แต่คุนไม่ชอบ ไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายคนที่คุนรักพี่ก็รู้”

“ครับ พี่รู้ว่าเราเป็นคนชอบความยุติธรรมแต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความยุติธรรม คุนว่าจริงไหม?”

“แต่…”

“ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้จะได้เวลาต้องเข้าประชุมแล้วไหนต้องพยุงพี่พาไปที่ประชุมอีกเราเลิกเถียงเรื่องนี้กันเถอะ”

“ครับ”

   
“พี่แน่ใจนะว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คอีกทีมันบวมขึ้นรึเปล่าพี่?” เป็นธรรมค่อนข้างเป็นกังวลเรื่องขาของพี่ดาร์กเมื่อมันเริ่มบวมและเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีช้ำมากกว่าเดิม

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแวะซื้อยาแก้ปวดกินก็พอแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวคุนแวะซื้อข้าวก่อนเข้าห้องพี่นะพี่เอาเหมือนเดิมใช่ไหม?”

“ครับ”

   พวกเราถึงกรุงเทพฯ กันตอน 5 โมงกว่าเกือบหกโมงเย็นเพราะพี่ดาร์กขาเจ็บเป็นธรรมเลยรับหน้าที่เป็นคนขับรถกลับมาที่ห้องตอนแรกเขาตั้งใจว่าวันนี้จะอยากกลับบ้านเพื่อไปคุยกับแม่เรื่องงานแต่พอพี่ดาร์กเป็นแบบนี้จะให้ทิ้งไปเลยก็คงไม่ได้แต่พอทานข้าวเสร็จแล้วได้เช็คดูเห้นว่าขาเริ่มลดบวมเขาก็วางใจ

“พี่ดาร์กวันนี้คุณขอกลับบ้านนะ”

“ทำไมละ?”

“คุนอยากไปคุยเรื่องงานกับแม่ตั้งใจไว้หลายวันแล้ว”

“งานมีปัญหาเหรอ?”

“เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้น”

“งั้น…?”

“เอาน่าเรื่องงานเดี๋ยวยังพี่ดาร์กก็ต้องรู้ รอให้คุนคุยเสร็จก่อนนะ?”

 “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่เหรอ...ครับ?”

หน้าของพี่ดาร์กใกล้เข้ามากับใบหน้าของเขาขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช่เขากำลังมีเรื่องที่ปิดบังพี่ดาร์กอยู่เขาเลยต้องก้มหน้าลงต่ำเพื่อที่จะหลบสายตาแต่พี่ดาร์กก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาหลบตาได้อยู่นานเมื่อในที่สุดพี่ดาร์ก็จับที่คางเพื่อให้เขาเงยหน้าขึ้น

“ว่าไง? เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่บอกพี่แล้วเหรอครับ?”

“เปล่า คุนแค่อยากไปคุยกับแม่เรื่องงานนิดเดียวจริงๆนะ แล้วเดี๋ยวคุยเสร็จคุนจะบอกพี่”

   ไม่ใช่ว่าเป็นธรรมมีเรื่องอะไรที่จะปิดบังแต่เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการคุยกับแม่นั้นมันจะเป็นผลสำเร็จหรือเปล่าเขาเลยไม่อยากพูดมันออกไปก่อนอีกอย่างเรื่องนี้เขาคิดว่าต่อให้บอกออกไปพี่ดาร์กก็ต้องไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาอย่างแน่นอนและเขาก็ไม่ต้องการให้พี่ดาร์กปฎิเสธในสิ่งที่เขาคิดจะทำเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ควรทำมานานแล้ว

“งั้นต้องลงโทษ”

   เป็นธรรมกำลังจะเอ่ยถามว่าลงโทษอะไรแต่คำถามเหล่านั้นกลับถูกกลืนลงคอไปหมดเมื่อพี่ดาร์กกำลังลงโทษเขาด้วยรสจูบ จูบที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่ก็มีการสั่งสอนอยู่ในทีตอนที่พี่ดาร์กกัดที่ริมฝีปากของเขาเหมือนต้องการให้รู้ว่าเขากำลังผิดที่คิดจะมีความลับ

“พี่ดาร์ก”

“ไหนว่าจะกลับบ้านดึกแล้วไม่ต้องมาทำตาแบบนี้ใส่พี่ กลับบ้านดีๆ นะครับ”

   แม้จะดูใจร้ายที่ปล่อยให้เขาเป็นแบบนี้แต่พี่ดาร์กก็ยังปลอบให้อารมณ์ของเขาเย็นลงโดยการลูบหัวลูบหลังให้ผ่อนคลายมากขึ้น

“ให้พี่กลับไปด้วยไหม?”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวคุนกลับเองดีกว่า”

“งั้นตอนถึงบ้านโทรหาพี่ด้วยนะ”

“ได้ครับผม”

   เป็นธรรมเดินลุกขึ้นตรงไปที่ประตูโดยที่พี่ดาร์กเดินกระเพลกตามมาส่งในขณะที่เขาจับลูกบิดเพื่อเปิดประตูออกพี่ดาร์กก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างหู

“ชอบแบบรุนแรงก็ไม่บอกพี่”

“พี่ดาร์ก!!”

“ไงเราไหนบอกตาดาร์ดไม่สบายปกติพอพี่เขาไม่สบายเราไม่คอยยอมห่างเขาเลยนิ”

“ไม่ขนาดนั้นมั้งครับแม่”

“ไหนวันนี้ทำไมถึงกับต้องนัดแม่คุยจ๊ะ? มีเรื่องอะไรที่บริษัท?”

“คือ ผมมีรายงานของบริษัทให้แม่ดูครับ”

“ทำไมละมันมีอะไรผิดปกติเหรอ? แม่ก็ดูสรุปจากเราทุกปีอยู่แล้วนิ”

“เปล่าครับ ที่ผมจะให้แม่ดูคือรายงานและแผนการตลาดนะครับ” แม่หยิบรายงานทั้งแฟ้มขึ้นไปดูโดยละเอียด หลังจากดูจบแม่ก็ถอดแว่นออกปิดแฟ้มลงพร้อมทั้งมองหน้าเป็นธรรมด้วยแววตาที่เขาเองก็เกือบจะล้มเลิกความตั้งใจ

“คุนต้องการจะบอกอะไรกับแม่? แผนการตลาดนี้คุนก็เป็นคนมาเสนอให้แม่ดูตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้วก็ดูท่าทางแผนนี้มันก็ไปได้สวยไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่ครับ แต่อันนี้เป็นลายมือคนเป็นการวาดแผนไปมาแม่เห็นใช่ไหมครับ?”

“จ๊ะ”

“เพื่อแม่จะจำไม่ได้นั่นมันไม่ใช่ลายมือของผมครับลายมือที่อยู่ในนั้นเป็นของพี่ดาร์กครับ”

“แล้วคุนมาบอกแม่ในวันนี้เพราะอะไร?”

“คือ...ผมไม่แน่ใจว่าแม่จะรู้รึเปล่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเป็นคนคิดเกี่ยวกับแผนการตลาดของโรงงานเลยครับแม่สิ่งที่ผมทำคือสิ่งนี้ครับ”

เป็นธรรมหยิบเอาแฟ้มการวางแผนการตลาดและการเรียนการสอนที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อโรงเรียนสอนศิลปะของเขาให้แม่ดู

“ผมจะบอกแม่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ดาร์กเป็นคนทำเกี่ยวกับการตลาดและคอยดูแลทุกอย่างในบริษัทแทบทั้งหมดครับผมไม่ได้ลงมือทำเองและมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วครับเพราะฉะนั้น....”

เป็นธรรมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เขาจะพูดมันออกไปเขาทบทวนเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายคราแต่เพิ่งแน่ใจว่าจะต้องลงมือทำมันก็เมื่อบ่ายที่เกิดเรื่องขึ้น พี่ดาร์กต้องทนให้คนอื่นพูดอะไรก็ได้เพราะว่าตัวพี่ดาร์กเองก็ไม่มีอำนาจที่จะปรามคนพวกนั้นและถ้าจะให้เขาเป็นคนจัดการไปเรื่อยๆ ต่อให้มันดีขึ้นแค่ไหนท้ายที่สุดพนักงานก็ยังคงไม่กลัวและเกรงใจพี่ดาร์กเหมือนเดิม

“...เพราะฉะนั้นผมเลยอยากขอเลื่อนตำแหน่งให้พี่ดาร์กครับจากหัวหน้าแผนกการตลาดผมอยากให้พี่ดาร์กมาเป็นผู้บริหารร่วมกับผมครับ”

“คุนคิดดีแล้วเหรอลูก? ไหนคุนลองบอกข้อดีกับการที่ดาร์กเขาจะได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี่สิ”

“เพราะพี่ดาร์กดูแลบริษัทของเราไม่ต่างจากเจ้าของพี่เขาทำทุกอย่างเพื่อให้โรงงานไปได้ไกลขึ้น ขนาดมีบริษัทอื่นมาทาบทามตัวไม่ว่าทางนั้นจะเสนอมามากแค่ไหนพี่ดาร์กก็ไม่ไปกับที่อื่นครับ”

“...”

“และเหตุผลเดียวที่พี่ดาร์กไม่ยอมไปที่อื่นโดยก็เพราะพี่เขาคบกับผมอยู่และผมก็ไม่อยากเอาเปรียบเขาครับ”

“คุนแน่ใจแล้วเหรอลูก?”

“ผมคบกับพี่ดาร์กมานานแล้วครับแม่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาผมว่าพี่ดาร์กได้พิสูจน์ตัวเองพอแล้วครับ พี่เขาไม่เคยมาขออะไรจากเราเลยนะครับแม่เขามีแต่ให้พี่เขาทำอะไรให้ผมหลายอย่างที่ผมมีโรงเรียนศิลปะได้ในวันนี้ส่วนนึงก็เพราะเขานะครับ”

   แม่เงียบไปนานจนเป็นธรรมเองเริ่มหวั่นใจเพราะเขาก็ไม่รู้หมือนกันว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาแม่ได้พิสูจน์พี่ดาร์กพอแล้วรึยังยิ่งมีอคติกับพี่ดาร์กตั้งแต่ที่พาเข้าบ้านมาตั้งแต่ครั้งแรก

“บริษัทนี้เป็นบริษัทของคุนแล้วตั้งแต่วันที่แม่ยกให้เพราะฉะนั้นแม่จะให้อำนาจในการตัดสินใจกับเราทุกอย่างถ้าคุนว่าดีแม่ก็จะไม่ขัด”

“ขอบคุณครับแม่”

“แต่ แม่อณุญาตให้แค่ตำแหน่งนะจ๊ะในเรื่องของหุ้นแม่ยังไม่ให้เขานะมันจะเหมือนเดิมคือแม่ 30 คุณ 70 ดาร์กจะไม่มีสิทธิ์มาแตะในหุ้นนี่”

“ครับแม่”

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วแค่นี้มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้วเป็นธรรมแทบอดใจรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ไหวเขาอยากเห็นว่าพี่ดาร์กจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นหนังสือเวียนว่าตัวเองถูกเลื่อนขั้นจากหัวหน้าฝ่ายการตลาดมาเป็นหนึ่งในผู้บริหารได้เวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ชั้นเดียวกันไม่ต้องเดินไปมากันสักที


“คุณสุวรรณีคุณช่วยส่งจดหมายเวียนแจ้งให้ทุกแผนกทราบทีนะครับ”

“แบบนี้เราต้องเลี้ยงฉลองกันรึเปล่าคะ?”

“ผมว่าพวกเราสองคนมาลุ้นไม่ให้คุณทรงจำเล่นงานผมก่อนจะเลี้ยงฉลองดีกว่าครับ”

“ตายจริง นี่คุณทรงจำยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอคะ?”

“ยังครับ”


   ทันทีที่จดหมายเวียนเรื่องการเปลี่ยนตำแหน่งถูกส่งออกเป็นธรรมก็ไม่สามารถนั่งติดเก้าอี้ได้เขากำลังรู้สึกลุกลี้ลุกลนอาจจะเพราะเขากำลังคาดหวังปฎิกริยาจากพี่ดาร์กอยู่ดังนั้นพอได้ยินเสียงเปิดประตูห้องทำงานออกโดยที่ไม่มีเสียงเคาะเตือนล่วงหน้าเขาก็รู้เลยว่าเขาไม่ต้องมานั่งเดาต่อไปแล้ว

“นี่มันอะไรกันคุนทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลย?”

“พี่ดาร์กยินดีด้วยกับตำแหน่งใหม่ครับ” เป็นธรรมฉีกยิ้มส่งแบบใจดีสู้เสือไปให้เพราะคิ้วของพี่ดาร์กขมวดกันจนจะเป็นปมอยู่แล้ว

“คุน”

“นั่งก่อนพี่ฟังคุนอธิบายก่อน” พี่ดาร์กถอนหายใจหนักๆ ก่อนที่จะทิ้งตั้วลงนั่งที่โซฟา

“เมื่อวานที่คุนบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับแม่มันก็คือเรื่องนี้”

“แล้วแม่ว่าอะไรเรารึเปล่า? แล้วแม่จะโกรธพี่ไหม? ทำไมคุนมีอะไรไม่ถามพี่ก่อนสักคำแบบนี้แม่จะมองพี่ยังไง?”

“พี่ดาร์กแม่ไม่ว่าอะไรคุนและก็ไม่ว่าอะไรพี่ด้วย”

“แต่พี่ไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้”

“คุนรู้ แต่คุนก็อยากให้พี่ได้มันไว้พี่ทำเพื่อโรงงานของที่บ้านคุณมาตั้งเยอะที่จริงมันเป็นสิ่งที่ต้องทำมาตั้งนานแล้วคุนปล่อยให้พี่ทำงานหนักตั้งมากมายโดยที่มีแค่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกการตลาดเท่านั้นเอง”

“แต่พี่...”

“พี่ฟังคุนนะตำแหน่งนี้คุนก็ไม่ได้ให้มันกับพี่ฟรีๆ สักหน่อยที่ผ่านมาพี่ก็ทำงานในตำแหน่งนี้อยู่แล้วคุนแค่เปลี่ยนชื่อตำแหน่งให้สมกับหน้าที่ที่พี่ทำก็เท่านั้นเองเพรานั้นไม่แต่นะครับคุนขอ...รับตำแหน่งนี้มันไว้เถอะนะครับ”

“แล้วพี่จะตั้งใจให้มากขึ้นนะครับ”

“ครับพี่”

“งั้นวันนี้พี่ไปทานข้าวบ้านเราดีไหม? พี่อยากไปขอบคุณแม่คุนด้วย”

“ได้เลย เดี๋ยวคุนนัดแม่ให้”

   ก่อนกลับบ้านพี่ดาร์กแวะห้างเพื่อซื้อช้อคโกแลตยี่ห้อโปรดของแม่กลับไปด้วยเราสองคนออกจากที่ทำงานก่อนเวลาสักหน่อยเพราะไม่อยากให้แม่รอทานข้าวเย็นนานมาก

“ยังไงผมก็ขอขอบคุณท่านประทานมากนะครับ”

เป็นธรรมเคยพยายามบอกให้พี่ดาร์กเรียกแม่ว่าแม่หลายครั้งแต่มันก็ไม่สำเร็จเลยสักทีเพราะไม่ว่าจะเจอกันสักกี่ครั้งพี่ดาร์กก็ยังคงเกร็งแม่จนไม่กล้าที่จะเรียก

“ถ้าอยากขอบคุณฉันว่าเธอขอบคุณตัวเธอเองที่ทำผลงานให้เห็นและก็ขอบคุณตาคุนที่เอามาผลงานเหล่านั้นมาให้ฉันดูก็แล้วกัน”

“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณที่ท่านยอมเซ็นให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งผมเลยขอขอบคุณเป็นช้อคโกแลตยี่ห้อที่ท่านชอบแล้วกันครับ”

“ขอบใจจ๊ะ”

   มื้อเย็นดำเนินไปด้วยบทสนทนาที่เกี่ยวกับงานเกือบทั้งหมดและเป็นธรรมก็ภูมิใจพี่ดาร์กสามารถตอบคำถามเหล่านั้นของแม่ได้แถมมีการคาดเดาและแผนสำรองเผื่ออนาคตข้างหน้าอีกด้วยเขามองดูก็รู้ว่าแม่เองก็ค่อนข้างพอใจไม่อย่างนั้นแม่คงไม่คอยแอบยิ้มที่มุมปากแบบนี้

“ทำไมดาร์กไม่ลองเรียกฉันว่าแม่ดูละ?”

“ครับ?” ไม่ใช่พี่ดาร์กคนเดียวที่ตกใจแต่เป็นธรรมเองก็เกือบจะทำช้อนในมือล่วง

“ไหนๆ เธอก็เป็นแฟนกับคุนมานานคำว่าแม่ก็น่าจะเหมาะกว่าคำว่าท่านประทานดาร์กว่าอย่างไร?”
ช้อครอบสองของวันก็เมื่อแม่ยอมเรียกพี่ดาร์กว่า ‘ดาร์ก’ โดยที่ไม่เรียกว่าเธอหรือฉันอีกแล้วเป็นธรรมลุ้นใจแทบขาดว่าพี่ดาร์กจะยอมไหม

“แต่ถ้าเธอไม่สะ…”

“ครับคุณแม่”

“พี่ดาร์ก”

“ผมแค่ตกใจครับเลยคิดอะไรไม่ทันต้องขอโทษด้วยครับที่ตอบคุณแม่ช้าผมเองก็ไม่ได้ใช้คำว่าแม่มานานแล้วด้วยเหมือนกัน”

เป็นธรรมแอบบีบมือให้กำลังใจนั้นสินะพี่ดาร์กเองก็เสียแม่ไปตั้งแต่เล็กๆ พี่ดาร์กเคยเล่าให้ฟังว่าทั้งคู่เสียไปด้วยอุบัติเหตุและนั้นก็ทำให้พี่ดาร์กต้องไปอยู่กับญาติที่ไม่ได้เต็มใจเลี้ยงเพียงแต่ว่าคุณลุงคุณป้าเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่ยังเหลืออยู่พี่ดาร์กเลยไม่มีทางเลือกให้ตัวเองมากนักถึงต้องจำใจอยู่กับครอบครัวนั้นกว่าจะอนกออกมาก็ตอนที่เริ่มโตและหางานทำเองได้

“งั้นให้แม่ได้ทำตำแหน่งนั้นในตอนนี้นะจ๊ะ ให้แม่ได้เป็นแม่ของดาร์กอีกคนนะ”

“ขอบคุณครับ” พี่ดาร์กยกมือประนมไหว้แม่ของเขา

“แล้วเรื่องที่โรงงานแม่เชื่อใจเราสองคนนะว่าจะประคองไปได้แต่ถ้ามีปัญหาก็มาปรึกษาแม่ได้ตลอดนะจ๊ะ”

“ครับ” “ครับ”

   มื้ออาหารจบลงแล้วเป็นธรรมคงปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นมื้ออาหารที่เขามีความสุขมากในที่สุดแฟนของเขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนแม่ของเขายอมรับได้

“วันนี้พี่มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ตั้งหลายเรื่องแนะ”

“แล้วมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีไหมละครับ?”

“น่ายินดีสิ อย่างน้อยพี่ก็ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเราอีกขั้นนึง”

 “พี่ดาร์ก”

“หื้ม?”

“วันไหนพี่ดาร์กพาคุนไปไหว้พ่อกับแม่พี่ได้ไหม?”

“เราก็ไหว้โกรฐอยู่ตลอดเวลาที่ไปห้องพี่นิ?”

“ไม่ คุนหมายถึงส่วนที่พี่ดาร์กเก็บไว้ที่วัด”

“ได้สิ ทันทีที่พี่มีโอกาสพี่จะพาเราไป”

“ขอบคุณครับ ขับรถดีๆ นะพี่”

   เหตุผลสำคัญที่เป็นธรรมอยากไปไหว้ที่วัดเพราะเขาอยากบอกกับท่านทั้งสองคนว่าตอนนี้ท่านทั้งสองคนไม่ต้องเป็นห่วงพี่ดาร์กแล้วไม่ต้องกลัวว่าพี่ดาร์กจะไม่มีใครอยู่ข้างๆ อย่างที่ผ่านมาเพราะเขาจะทำให้พี่ดาร์กรู้สึกถึงคำว่าครอบครัวเอง


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 3 - 25/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 27-12-2016 10:20:49
บทที่ 4

   “คุนพี่ว่าพี่จะให้แชมป์ขึ้นมาแทนตำแหน่งเดิมพี่เราว่าไง?”

“ผมไม่รู้จักใครในแผนกเลยอะ พี่ดาร์กเลือกได้เลยพี่คลุกคลีกับที่แผนกมากกว่าถ้าพี่ดาร์กว่าดีคุนก็โอเค”

“งั้นตามนี้นะ”

“ครับ” หลังจากวันที่พี่ดาร์กขึ้นมารับบทบาทเป็นผู้บริหารร่วมในโรงงานก็มีการเปลี่ยนตำแหน่งหลายอย่างเกิดขึ้น

“พี่ดาร์กกลับบ้านกันเถอะ”

“นี่ถึงเวลากลับบ้านแล้วเหรอ?”

แต่ปัญหาเดียวที่เป็นธรมมีหลังจากที่พี่ดาร์กได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาก็คือพี่ดาร์กดูจะใส่ใจในหน้าที่มากกว่าเดิมนี่ก็ลามไปถึงเรียกพวกบัญชีของโรงงานมาดูด้วยแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิด

“ครับ และตอนนี้คุนก็หิวมากแล้วด้วย”

“โอเคๆ พี่ขอโทษไปกันครับ”

   นั้นคือเหตุการ์ณในช่วงแรกๆ เท่านั้นเพราะหลังจากนั้นมันไม่มีอีกแล้วที่พี่ดาร์กจะนั่งทำงานอยู่จนเลยเวลาทานข้าวนั้นก็เพราะ

“พี่ดาร์กกลับบ้านกัน”

“เราซื้อข้าวมากินกันที่นี่ดีไหม? ออกไปตอนนี้รถก็ติด” แล้วถ้าผมเริ่มจะโกรธพี่ดาร์กก็จะแก้ปัญหาโดยการบอกล่วงหน้ามาเลยว่า

“วันนี้ไม่ต้องรอพี่นะครับพี่ยังติดประชุมอยู่เลย”

   เป็นธรรมพยายามที่จะลากให้พี่ดาร์กของเขาไม่นั่งจมอยู่ในกองงานอยู่หลายครั้งแต่เพราะตัวเขาเองก็ต้องมาดูงานที่โรงเรียนสอนศิลปะด้วยเหมือนกันยิ่งช่วงปิดเทอมของโรงเรียนเขายิ่งยุ่งหลังๆ เขาเลยไม่ค่อยได้ไปขัดการทำงานพี่ดาร์กสักเท่าไหร่

“โอ๊ย คุณเป็นธรรมวันนี้ได้เจอตัวแล้วช่วยกี้ด้วยเถอะค่ะช่วยพาคุณทรงจำเขากลับบ้านทีนะคะกี้จะไม่ไหวแล้วแฟนกี้จะทิ้งกี้แล้วค่ะเนี่ยอยู่ดึกทุกวันเลย”

“โอเค เดี๋ยวผมจะลองพูดนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

   เป็นธรรมเข้าใจว่าพี่ดาร์กเพิ่งได้รับความไว้วางใจจากแม่ของเขาเลยอยากทุ่มให้เต็มที่แต่นี้เขาว่ามันเริ่มมากเกินไปพี่ดาร์กควรพักผ่อนบ้างเขาจึงต้องกาทางเพื่อให้พี่ดาร์กออกมาจากที่ทำงานให้ได้
ดังนั้นวันนี้พอเป็นธรรมเลิกงานจากโรงเรียนสอนศิลปะเขาจึงแวะซุปเปอร์ซื้อพวกอาหารไปที่ห้องพี่ดาร์ก ไปถึงห้องความคิดที่จะเอาอาหารมาเก็บใส่ตู้และเตรียมมื้อเย็นให้ก็ถูกพับเก็บไปเมื่อห้องของพี่ดาร์กแล้วเขาเจอแต่ฝุ่นพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่ใส่แล้วถูกกองซะเป็นตั้งสูงแผนจึงเปลี่ยนเป็นเก็บห้อและงเอาผ้าลงไปส่งซักให้เรียบร้อย

ในขณะเป็นธรรมกำลังทำความสะอาดห้องนั่นเองที่เขาเจอเอกสารบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นกระดาษใบเดียวทำให้เขาแทบหมดแรงและเก็บห้องต่อไม่ได้

“อ้าวคุน มาทำอะไรครับ?”

“ตกใจมากไหมครับพี่?”

“เซอร์ไพรส์มากกว่า คิดถึงพี่เหรอครับ?”

“พี่ดาร์ก...นี่มันหมายความว่ายังไง?”

“คือ...”

“พี่ดาร์กจะลาออกเหรอ?”

“มันไม่ใช่แบบนั้น ฟังพี่ก่อน”

“คุนฟังอยู่ครับ”

   ตอนที่เห็นกระดาษใบนี้ตอนนี้แม้เป็นธรรมจะเชื่อว่าพี่ดาร์กจะต้องมีเหตุผลที่ดีแต่มันก็ไม่สามารถทำให้ใจของเขาสงบลงได้เขานั่งรอให้พี่ดาร์กกลับเข้ามาด้วยมือที่ชื้นเหงื่อ

“พี่ไม่เคยอยากลาออกความคิดนั้นมันไม่เคยอยู่ในหัวของพี่เลย คุนก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่สามารถทิ้งคุนไปไหนได้”

“ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ลองบอกคุนสิว่าแล้วทำไมพี่ต้องไปสมัครเป็นอาจารย์พิเศษด้วยละ?” พี่ดาร์กลากเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนมานั่งข้างๆ กันและก็เอื้อมมือมาจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้

“พี่อยากหาเงินเพิ่มครับ”

“ทำไม?”

“ยังจำที่พี่เคยพูดที่สระน้ำที่โรงแรมที่ชลบุรีได้ไหม? ที่พี่บอกว่าพี่อยากมีบ้าน”

“จำได้”

“พี่ยังคงอยากทำแบบนั้นอยู่ยิ่งตอนนี้แม่ของคุนยอมรับพี่แล้วพี่ก็ยิ่งอยากทำให้แม่ของคุนเชื่อใจว่าพี่สามารถที่จะดูแลคุนได้พี่สามารถมีทุกอย่างให้คุนอยู่อย่างสบายได้ไม่ใช่ห้องเล็กแคบแบบนี้”

“แต่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับคุน”

“พี่รู้ครับ” พี่ดาร์กผละมือที่กำลังกุมมือของเขาออกแล้วเอามือนั้นมาลูบที่ใบหน้าของเขา

“แต่คุนลองคิดดูนะพี่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เทียบกับคุนได้เลยรถพี่ก็รถญี่ปุ่นธรรมดาแต่ของคุณรถยุโรปบ้านก็ไม่มียังเป็นแค่ห้องพักห้องทั้งห้องของพี่รวมกันยังไม่ได้บ้านชั้นล่างของคุนเลยมั้ง”

“แต่...”

“เดี๋ยวครับพี่ขอพูดต่อก่อนพี่รู้ว่าคุนไม่ใส่ใจในเรื่องพวกนี้เพราะถ้าคุนใส่ใจวันนั้นคุนคงไม่ยอมให้พี่เขาไปจีบและคงไม่ตอบรับในความรักของพี่ในครึ่งปีถัดมาแต่พี่เองก็อยากให้รู้สึกดูเทียบเท่ากับคุนบ้างก็เพราะเวลาคุนไปเจอเพื่อนๆ ของคุนพี่ไม่อยากให้คุนรู้สึกต้องอายใครพี่อยากให้ทุกคนรอบตัวของคุนอิจฉาไม่ใช่คิดว่าคุนหาคนข้างกายได้เท่านี้พอจะเข้าใจพี่ไหม?”

   เป็นธรรมรู้มาเสมอว่าเรื่องฐานะเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจของพี่ดาร์กมาตลอดอาจจะนับตั้งแต่ที่เพื่อนของเขาสมัยมหาวิทยาลัยที่ชอบพูดอยู่เสมอว่าพี่ดาร์กมีดีแค่หล่อนอกนั้นไม่มีอะไรเลยแล้วพี่ดาร์กเกิดมาได้ยินเข้าแถมพอเข้ามาทำงานที่โรงงานก็ต้องมาเจอกับคำพูดทำนองเดียวกันอีกก็ไม่แปลกที่พี่ดาร์กจะคิดมากขนาดนี้

“ไม่ใช่ว่าคุนไม่เข้าใจคุนแค่กลัวพี่เหนื่อยแต่ถ้าพี่อยากทำเพื่อพิสูจน์คุนขอแค่ให้พี่พักบ้างได้ไหม?”

“ถ้ากลัวพี่เหนื่อยแค่อยู่ให้กำลังใจให้พี่ก็พอ”

“กำลังใจคุนนะมีให้พี่อยู่แล้ว พี่ก็รู้”

“งั้นพี่ขอกำลังใจตอนนี้เลย นะครับ พี่กำลังเหนื่อยมาก”

“จุ้บ นี่ครับ”

“ชื่นใจสุดๆ แล้วนี่เรากินอะไรมายัง?”

“ยังเลยพี่มาถึงคุนก็เอาแต่เก็บห้องยังไม่ได้เตรียมกับข้าวเลย”

“งั้นออกไปดินข้างนอกกันพี่หิวละ”

“โห รถติดอะ เออ ใช่คุนว่าคุนซื้ออาหารกล่องสำเร็จมานะ” เป็นธรรมเดินดุ่มไปที่ตู้เย็นแล้วก็โชคดีที่เขาซื้อพวกมันติดขึ้นมาบ้าง

   อาหารที่อยู่บนโต๊ะถูกจัดการให้หมดไปอย่างรวดเร็วเราสองคนช่วยกันเก็บล้างจนเรียบร้อยเขากับพี่ดาร์คก็มานั่งคุยเล่นกันบนเตียงนอนเขาไล่หาช่องดูจากทีวีไปเรื่อยส่วนพี่ดาร์กก็นั่งอ่านงานต่อไป

“พี่ดาร์กจะไปเริ่มสอนเมื่อไหร่?”

“ก็น่าจะเป็นช่วงต้นเดือนหน้า”

“สอนกี่วันน่ะพี่?”

“คิดเอาไว้คือสามวันต่ออาทิตย์เป็นช่วงเย็นเท่านั้นแหละเพราะกลางวันพี่ก็ต้องทำงานที่โรงงาน”

“ถ้าพี่เหนื่อยเกินไปพี่ต้องหยุดนะ คุนขอ”

“ครับผม ว่าแต่เรานะตาจะปิดแล้วนอนได้แล้วครับ”

“ไม่เอาพี่นอนพร้อมคุนสิ พี่นอนคุนก็นอนถ้าพี่ไม่นอนคุนก็ไม่นอน”

   พรึ่บ เป็นครั้งแรกที่พี่ดาร์กยอมปิดไฟที่หัวเตียงลงโดยที่ไม่มีขอต่อรองว่าอีกสิบนาทีพี่ขออ่านงานตรงนี้ก่อน พี่ดาร์กดึงผ้าห่มขึ้นห่มเราทั้งสองคนและก็เป็นเขาที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้กับตัวของพี่ดาร์กและหลับตาลง


“ดูทำหน้าเข้าเป็นไรไปเนี่ย?”

“เออ นั้นดินี่เพื่อนๆ เขานัดมาสังสรรค์กันนะ มานั่งทำหน้าซังกะตายอยู่ได้”

“ไม่มีอะไร”

“ทำไมพี่คุณพ่อคนแสนดีเขาเริ่มออกลายแล้วละสิ”

“สงสัยพอรวยแล้วก็ถีบหัวแกส่งแล้วอะดิ”

“เปล่า ไม่ใช่ แต่ในเป็นเพราะ…”

   ที่เป็นธรรมมานั่งเซ็งกระตายในร้านนั่งชิวกับบรรดาเพื่อนๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าพี่ดาร์กเปลี่ยนไปอย่างที่เพื่อนแซวแต่มันเป็นเพราะพี่ดาร์กได้เริ่มงานเป็นอาจารย์พิเศษได้สักระยะแล้วและนั้นก็ทำให้เวลาของเขากับพี่ดาร์กไม่ค่อยตรงกันและเราก็เจอกันน้อยลงกว่าเดิมส่วน เสาร์ อาทิตย์ก็กลายเป็นวันเตรียมการสอนวันอื่นๆ ก็เป็นวันเคลียร์งานของโรงงานชดเชยที่ทิ้งไปสามวันในช่วงเย็น

“เฮ้อ”

   เรื่องราวต่างๆ ถูกถ่ายทอดไปสู่กลุ่มเพื่อนถามว่าน้อยใจไหม? แน่นอนว่าเขาน้อยใจแต่เขาก็ไม่อยากที่จะโวยวายในเรื่องที่พี่ดาร์กเป็นคนเหนื่อยแล้วยังไม่บ่น และมันก็จะโทษใครก็คงไม่ได้เล่นไปเพิ่มตำแหน่งให้พี่เขาก็กลายเป็นว่าเขาเองนี่แหละที่เป็นคนเพิ่มงานให้

“เอานะพี่เขาก็ทำเพื่อแกทั้งนั้นเขาก็คงอยากจะทัดเทียมในสังคมแกก็ทนๆหน่อย”

“ถ้าเป็นฉันนะไม่เห็นยากเลยแม่ก็บอกแล้วว่างานที่โรงงานเขายกให้แกกับพี่ดาร์กดูแลเป็นฉันนะแอบยกหุ้นให้ไปแล้ว แค่นี้ไอ้เรื่องที่พี่เขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินก็ตกประเด็นไปปะ”

“ไว้จะลองคิดดูขอบใจนะพวกแก”

   ไม่ใช่ว่าเป็นธรรมไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องหุ้นและก็ไม่ว่าเพราะแม่ห้ามเอาไว้แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ดาร์กจะโอเครึเปล่าเพราะแค่เรื่องเลื่อนตำแหน่งพี่ดาร์กยังหน้าเครียดเดินมาหาเขาถึงที่ห้องทำงาน เขารู้ดีกว่าพี่ดาร์กอยากเติบโตด้วยตัวเองไม่อยากรู้สึกว่าถูกเขาดูแลไอ้ขอ้นี้แหละที่รั้งเขาเอาไว้

“ฮัลโหลครับพี่”

“ทานข้าวกับเพื่อนเสร็จยัง? พี่สอนเสร็จแล้วพี่จะได้แวะไปรับ”

   แค่สอนเสร็จแล้วโทรหากันมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจอยู่แล้วนี่พี่ดาร์กยังคิดจะย้อนรถมารับเขาก่อนที่จะกลับห้องอีกถ้าโลกนี้มีปรอทวัดความสุขขายเอามาวัดเขาตอนนี้ความสุขมันคงใกล้ทะลุปรอทเต็มที

“ไม่เป็นไรพี่คุนเอารถมางั้นเดี๋ยวคุนไปหาพี่ที่ห้องพี่ละกัน”

“โอเค งั้นพี่ไปรอที่ห้องเลยนะ?”

“ครับผม อ้อ พี่ทานอะไรยัง? ให้คุณสั่งกับข้าวจากร้านนี้ไปไหม?”

“เอาสิหิวพอดี งั้นคุนสั่งอะไรให้พี่สักอย่างหน่อยนะ”

“ได้ครับ เดี๋ยวเจอกัน”

   เป็นธรรมใช้เวลาจากที่ร้านมาถึงห้องพี่ดาร์กไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตอนมาถึงห้องพี่ดาร์กยังคงอาบน้ำอยู่เขาเลยเตรียมอาหารใส่จานเอาไว้ให้

“วันนี้คุนเลือกของโปรดให้..พี่เป็นอะไรรึเปล่า?”

   เมื่อเป็นธรรมได้มีโอกาสมองหน้าพี่ดาร์กชัดๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพี่ดาร์กดูซีดลงกว่าเมื่อตอนกลางวันที่ไปกินข้าวด้วยกัน

“พี่ตัวรุมๆ นะ” เป็นธรรมเอามือทาบไปที่หน้าผากของพี่ดาร์กเพื่อวัดอุณหภูมิ

“เดี๋ยวกินยาก็หายไม่ต้องห่วงนะเราเหอะวันนี้เหนื่อยไหม? แล้วอยากไปอาบน้ำเตรียมนอนเลยหรือว่าจะนั่งเล่นกับพี่ก่อน?”

“คุนไปอาบน้ำดีกว่าเหนียวตัว พี่กินข้าวเสร็จอย่าลืมกินยาดักไว้นะ”

“ครับรับทราบครับ”

   ออกมาจากห้องน้ำเป็นธรรมก็เห็นภาพเดิมที่เขาเคยเห็นมาตลอดภาพที่ว่าก็คือพี่ดาร์กนั่งอ่านงานที่โต๊ะทำงานเขาเลยเดินออกไปดูความเรียบร้อยในครัวแทน

“มานอนพักเถอะพี่ทานยาแล้วนิ”

“คุนนอนก่อนเลยพี่ขอทำสรุปตรงนี้อีกนิดพรุ่งนี้พี่ต้องประชุมแต่เช้าพี่อยากอ่านรายงานให้จบก่อนเข้าที่ประชุม”

“รายงานนั้นคุนอ่านแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคุนเล่าให้พี่ฟังตอนกินข้าวเช้าก็ได้”

“โอเคครับ”


   เช้าวันนี้พี่ดาร์กตื่นสายกว่าเขาคงซึ่งมันเป็นเรื่องนานทีปีหนที่จะเกิดขึ้นแน่นอนว่ามันต้องเป็นเพราะพี่ดาร์กคงเหนื่อยจากการทำงานอย่างหนักเป็นธรรมเลยปล่อยให้คนที่นานๆ จะตื่นสายได้นอนไปก่อนเพราะยังไงมันก็ยังเหลือเวลา

“พี่ดาร์กไหวไหมพี่? อยากพักไหมวันนี้”

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตื่นมาเตรียมตัวเป็นธรรมก็เดินกลับเข้าไปปลุกพี่ดาร์กแต่แล้วไอร้อนก็ทำให้เขาลดเสียงกระซิบถามมากกว่าการปลุกให้ตื่น

“ไหวครับ กี่โมงแล้วเนี่ย?”

“ 7 โมงแล้ว พี่พักสักวันไหม? เดี๋ยวคุณเข้าประชุมและอัดเสียงมาให้ก็ได้”

“ไหวครับ เดี๋ยวไปอาบน้ำก็สดชื่นขึ้นแล้ว”

   การประชุมเกี่ยวกับแผนงานการขยายตลาดเพิ่มอีกแขนงจากที่โรงงานเราทำแค่ผ้ามัดย้อมตอนนี้ก็จะเพิ่มไลน์งานการสกรีนผ้าเข้าไปเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาด อีกทั้งเรื่องการขยายโรงงานด้วยจากขนาดพื้นที่ปัจจุบันได้ใช้การใช้งานเต็มพื้นที่จึงต้องมองหาพื้นที่ใหม่เพื่อตั้งโรงงานเป็นโรงงานสกรีนโดยเฉพาะผ่านไปได้ด้วยดีแม้ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน

“ยังไงผมต้องขอให้ทางบัญชีทำงบประเมิณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโรงงานใหม่มาเสนอให้เร็วที่สุดด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วก็เรื่องพนักงานใหม่ใครก็ตามที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาผมขอเป็นคนที่อยู่ในทีมสัมภาษณ์ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“งั้น วันนี้ปิดการประชุมได้ครับ”

“ค่ะ // ครับ”

“พี่ดาร์กทำไมต้องสัมภาษณ์พนักงานใหม่มาทำเองด้วยละฝ่ายบุคคลเราก็มี”

“โรงงานนั้นจะตั้งใหม่และเราไม่ได้ไปอยู่ที่นั้นพี่อยากรู้จักพนักงานที่จะไปทำงานพี่ไม่ค่อยไว้ใจคนอื่นเท่าไหร่”

“งั้นคุนก็แล้วแต่พี่เลยที่ทักก็แค่กลัวพี่เหนื่อยเกินไปยิ่งตอนนี้คุนหนีพี่ไปอยู่แต่ที่โรงเรียนอยู่ด้วย”

“เออ พูดถึงเรื่องโรงเรียนเป็นยังไงบ้างไม่เห็นเล่าให้พี่ฟังบ้างเลย?”

“ก็เรื่อยๆ ครับนักเรียนก็มีมาสมัครมากขึ้นบ้างพวกคอร์สสั้นแบบเรียนวันเดียวจบแต่พอเป็นคอร์สยาวเด็กก็ยังเท่าเดิม”

“ลองทำการตลาดให้มากกว่านี้หรือไม่ถ้าคอร์สยาวมันมาดึงค่าใช้จ่ายพี่ว่าพอจบตารางเรียนครั้งนี้ก็ปิดมันเลยไหม? แล้วเปิดแต่คอร์สสั้นๆ เอาตลาดของคุนอาจจะเหมาะกับแบบนั้นมากกว่า”

“ยังไงคุณขอลองอีกสักตั้งนะพี่”

“แล้วแต่เลยที่นั้นมันเป็นของคุนอยู่แล้วแต่ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะแม้พี่จะไม่มีหัวทางศิลปะแต่ก็เอามาคุยกับพี่ได้เสมอนะรู้ไหม”

“ครับบบบบบ”

   เพราะต้องการให้พี่ดาร์กหมดห่วงเป็นธรรมเลยทุ่มเทกับการตลาดของโรงเรียนสอนศิลปะมากขึ้นทั้งเข้าไปศึกษาตลาดว่าควรเจาะเป็นฉพาะกลุ่มดีไหมหรือคลาสแบบไหนที่กำลังเป็นที่นิยมแต่ยังโชคดีที่ตอนนี้ตำแหน่งของพี่ดาร์กสามารถเซ็นเอกสารทุกอย่างได้แทนหมดไม่ต้องรอให้เขากลับไปเซ็นอีกแล้วงานก็เลยไหลไปได้ไม่ช้าสะดุดที่เขา

“ไปไหนของเขาหว่า?”

ช่วงสายหลังจากที่เคลียร์งานที่ค้างเอาไว้เรียบร้อยแล้วเป็นธรรมก็เดินไปหาพี่ดาร์กที่ห้องทำงานแต่ก็ไม่เจอออกไปถามพนักงานแถวนั้นก็ไม่มีใครเห็นลองโทรเข้าโทรศัพท์ก็ไม่มีคนรับมันยิ่งทำให้เขาเกิดความกังวลเพราะน้อยครั้งมากที่เขาจะไม่สามารถติดต่อพี่ดาร์กได้ลองเอาตารางงานมาดูก็ไม่เห็นว่าพี่ดาร์กต้องออกไปเจอลูกค้าที่ไหนแถมยังไม่มีสอนเป็นธรรมจึงลองไปตามหาที่ห้องพัก

“เฮ้ย พี่”

   เปิดประตูห้องเข้าไปเป็นธรรมก็เจอพี่ดาร์กนอนห่มผ้าทั้งที่อากาศร้อนแถมยังไม่เปิดอะไรสักอย่างแม้กระทั่งหน้าต่างพอเข้าไปดูใหล้ๆ ก็เห็นว่าเหงื่อไหลเต็มตัวไปหมด

“พี่ดาร์กตื่นก่อนพี่” พี่ดาร์กยอมลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกของเขาเมื่อเห็นว่าพี่ดาร์กรู้สึกตัวเป็นธรรมก็ค่อยโล่งใจ

   “ฝืนใจลุกหน่อยพี่”

หลังจากสามารถบังคับให้คนป่วยลุกขึ้นนั่งได้แล้วเป็นธรรมก็เริ่มลงมือเช็คตัวให้กับคนป่วยและเนื่องจากว่ามีไข้ที่สูงมากเป็นธรรมจึงต้องเริ่มบังคับให้คนที่ไม่ชอบหมอไปโรงพยาบาลแม้เจ้าตัวจะร้องหาแค่พาราเพียงเท่านั้นและพอไปถึงโรงพยาบาลก็เป็นไปตามคาดว่าต้องโดนคุณหมอสั่งยามาให้ชุดใหญ่พร้อมทั้งยังบังคับให้พักผ่อนให้เพียงพอ

“แวะซื้อมาร์คก่อนเดี๋ยวเราติดพี่”

“ถ้าไม่อยากให้ติดทีหลังก็อย่าไม่สบายสิ”

“เอ้า แค่กกๆ เรื่องแบบนี้มันห้ามได้ที่ไหนละ”

“พี่ก็พักผ่อนให้เยอะๆ งานก็บ้าให้มันน้อยๆ ลงหน่อย”

“ครับๆ”

“เออคุณ”

“หื้ม?”

“วันนี้ไม่ต้องค้างที่นี่นะเดี๋ยวติดหวัด”

“โอเค”

   คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่หาได้น้อยมากสำหรับเป็นธรรมที่พี่ดาร์กหลับก่อนเขาแถมยังไม่ได้ทำงานก่อนนอนอีกสงสัยว่ายาได้มาคงออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน

   ก่อนที่จะกลับบ้านไปบอกให้แม่ครัวที่เตรียมอาหารให้กับคนป่วยเป็นธรรมก็เหลือบไปเห็นกองหนังสือที่ยุ่งเหยิงบนโต๊ะทำงานเขาจึงเดินไปเก็บให้เรียบร้อยก่อนที่กองหนังสือเหล่านั้นจะถล่มลงมาแล้วเขาก็ไปเจอกับโพสอิสที่ถูกแปะเอาไว้ที่กองกระดาษว่า ‘คลาสศิลปะที่น่าสนใจของคนยุคนี้’

   กระดาษแผ่นนั้นทำให้เป็นธรรมอยากเดินเข้าไปกอดคนที่กำลังนอนสบายอยู่ที่เตียงซะตอนนี้แต่เขาก็ไม่อยากปลุกเพราะนานๆ ทีคนบนเตียงนั้นจะหลับสนิทตั้งแต่ทุ่มนึงจึงต้องห้ามใจตัวเองเอาไว้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ดาร์กพูดออกตัวเสมอว่าไม่ถนัดทางด้านศิลปะและขอไม่เข้ามายุ่งแถมยังย้ำเพิ่มเติมเสมอว่าในเมื่อเขาอยากทำก็ต้องดูแลด้ยตัวเองถ้าล้มก็ไม่เข้ามาช่วยแต่เอกสารที่ถูกค้นหาว่าคนสมัยนี้เทร์นการเรียนศิลปะเป็นแบบไหนพร้อมกับคำสรุปที่ถูกเขียนโดยลายมือของพี่ดาร์มันก็แสดงแล้วว่าพี่ดาร์กไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้โรงเรียนที่เขารักล้มลงตามอย่างที่พูด

“แล้วไหนว่าพี่จะไม่ยุ่ง”

   ความตั้งใจที่จะกลับไปให้แม่บ้านเตรียมอาหารให้คนป่วยถูกโยนทิ้งไป เป็นธรรมยอมขัดคำสั่งโดยการไม่กลับบ้านแถมยังนอนลงข้างกันส่วนคนที่ไล่เขาปาวๆ ว่าให้กลับแค่ผมหลังเขาสัมผัสกับเตียงพี่ดาร์กก็ดึงเขาเข้าไปกอดทันที แถมยังกอดเอาไว้ซะแน่นจนเขารับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนของพี่ดาร์กที่รดอยู่ตรงเส้นผมของเขาก็ได้แต่หวังไว้ว่าเขาจะแข็งแรงพอและไม่ติดไข้จากพี่ดาร์ก

“พี่ดาร์กพี่ตัวยังร้อนอยู่เลยพักเถอะที่ทำงานไม่ต้องห่วงวันเดียวไม่เป็นไรแต่อย่าลืมโทรไปบอกที่มหาวิทยาลัยนะว่าพี่ไม่สบาย”

   แม้หน้าพี่ดาร์กจะมีสีไม่ขาวซีดเหมือนเมื่อวานแต่ว่าไข้ยังสูงแถมเสียงก็ยังไม่มีไม่รู้ว่าพี่ดาร์กคิดได้ยังไงว่าจะไปสอนทั้งสภาพแบบนี้

“ไม่ได้หรอกพี่ไม่ได้ลาไว้ล่วงหน้าใครจะมาสอนแทนได้”

“คุนไง คุนไปแทนให้”

“คุนจะสอนไหวเหรอ?”

“แต่พี่ก็ไม่น่าไหวไหม?”

“พี่หยุดไม่ได้หรอกมันดูไม่มีความรับผิดชอบอีกอย่างถ้าเกิดเทอมนี้ไม่ผ่านประเมิณเทอมหน้าจะไม่ได้สอนเอานะ”

“งั้น เอางี้เอาข้อมูลมาเดี๋ยวคุนพิมพ์แล้วไปแจกเด็กในห้องเองบอกว่าอาจาร์ยไม่สบายให้อ่านชีทไปก่อนแบบนี้คงไม่มีปัญหาใช่ไหมพี่?”

“ก็พอได้อยู่นะพี่ว่า”

“งั้นพักอีกวันนะเมื่อเช้าคุณลงไปซื้อโจ๊กกับข้าวต้มมาให้แล้วทานด้วย แล้วพอคุนเอาชีทไปให้เด็กนักเรียนพี่เสร็จคุนจะรีบมาหา”

“งั้นพี่ฝากด้วย”

   เข้าไปถึงโรงงานคุณสุวรรณีก็รีบยกแฟ้มงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ดาร์กมาให้เขาช่วยดูแอบแปลกใจเหมือนกันพี่ดาร์กต้องทำงานเยอะขนาดนี้แต่พอคิดไปคิดมาก็ช่วงนี้เขาเอาแต่ไปดูงานที่โรงเรียนในขณะที่โรงงานเรากำลังจะเพิ่มไลน์สินค้ามันก้คงต้องเป็นแบบนี้

ในช่วงเย็นระหว่างที่เป็นธรรมนั่งมองดูแฟ้มงานพร้อมทั้งชีทเรียนที่กำลังปริ้นออกมาเพื่อเอาไปแจกให้กับนักศึกษาแล้วเขาก็ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้คนที่เขารักทำงานหนักขนาดนี้และที่พี่ดาร์กทำงานหนักขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าอยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถทำให้สบายได้และด้วยเงินเดือนผู้บริหารบวกกับอาจาร์ยพิเศษแค่สามวันต่ออาทิตย์เมื่อไหร่ละที่พี่ดาร์กจะได้ตามที่ต้องการพี่ดาร์กต้องเหนื่อยอีกนานแค่ไหน?

“คุณสุวรรณีครับรบกวนคุณทำหนังสือสัญญาการโอนหุ้นให้ผมด้วยครับ”

“ได้ค่ะ คุณเป็นธรรมต้องการให้ดิฉันระบุชื่อของใครลงไปใครคะ?”

“เอา 35% จากของผมโอนให้ในชื่อผู้รับคือคุณทรงจำครับ”

“ได้ค่ะ”

“ผมรบกวนขอวันนี้ก่อนเลิกงานนะครับ”

   ตลอดทางจากมหาวิทยาลัยกลับไปที่ห้องพี่ดาร์กเป็นธรรมคิดเตรียมเลือกคำพูดให้ดูดีเพื่อให้พี่ดาร์กยอมรับและเซ็นต์ตกลงรับหุ้นจำนวนนี้ให้ได้หุ้นในโรงงานเขาถืออยู่ 70% เขามั่นใจว่าการที่จะแบ่งให้พี่ดาร์กครึ่งนึงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไรแต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถคิดคำพูดที่ดูดีได้ตลอดมื้อเย็นที่กินข้าวเขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตา

“คุนเป็นอะไรรึเปล่าหรือว่าเหนื่อยที่ต้องขับรถย้อนไปมา?”

“เปล่า”

“งั้นคุนมีอะไร?” พี่ดาร์กวางช้อนลงตั้งท่าเตรียมคุยกับเขา

“พี่กินให้หมดก่อนไหม?”

“ถ้าพี่ไม่รู้เรื่องตอนนี้พี่กินไม่ลงหรอกงานมีปัญหาอะไรที่พี่ไม่รู้รึเปล่า? หรือโรงเรียน?”

“ไม่มีพี่ แต่...” ดูท่ามื้อเย็นนี้คงไม่จบลงถ้าเขาไม่พูดออกไปเขาจึงเดินไปหยิบกระดาษการโอนหุ้นยื่นให้กับพี่ดาร์ก

“นี่มันอะไรกันคุน?”

“พี่ดาร์คฟังคุนก่อน”

“คุนคิดว่าพี่จะไม่สามารถโตด้วยตัวเองได้?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พี่ดาร์กฟังคุนนะพี่ดาร์กบอกคุนเสมอว่าพี่ดาร์กอยากมีโน้นนี้นั้นเร็วๆ คุนเลยมองอีกแบบว่าทำไมพี่ต้องไปเหนื่อยสอนทำงานหลายที่ทำไมพี่ไม่เต็มที่กับโรงงาน? คุนเชื่อว่าถ้าพี่ดาร์กเต็มที่ผลตอบแทนมันจะต้องได้เยอะกว่างานสอนของพี่แน่นอน”

“แต่พี่ว่า”

“เราจะโตไปด้วยกันไงครับ”

“พี่ พี่ ไม่รู้จะพูดว่ายังไงเลย”

“เซ็นต์ตกลงนะครับ?”

“พี่ขอบใจมากนะคุน ขอบคุณ”

เป็นธรรมรู้สึกโล่งใจที่พี่ดาร์กยอมฟังเขาและไม่โกรธที่เขาตัดสินใจอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้ปรึกษาก่อนดังนั้นหลังจากที่พี่ดาร์กยอมเซ็นต์เอกสารเขาก็กลับจัดการมื้อเย็นให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปอาบน้ำล้างตัวอย่างสบายใจ


   ในอีกมุมนึงของห้องทันทีที่คุนเดินหายไปจากห้องรับแขกและทรงจำได้ยินเสียงฝักบัวถูกเปิดใช้งานทรงจำก็เดินไปหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องนึงที่เขาแอบมันเอาไว้

“ฮัลโหล”

“ไง ได้หุ้นแล้วละสิแล้วพร้อมรึยัง?”

“ใช่พร้อมแล้วเตรียมขั้นตอนต่อไปได้เลย”

“เดี๋ยวก่อนไอ้ดาร์กแกแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้ฉันยังมีเวลาให้คิดอย่าลืมข้อเท็จจริงไปอย่างนะว่าน้องมันไม่ใช่คนที่ทำร้ายแกยังหยุดตรงนี้ได้นะ”

“ฉันมั่นใจ”

“ฉันเตือนแกแล้วนะ”

“……”

“อย่าลืมละเล่นกับไฟแบบนี้เวลามันครอกมันไม่เหลืออะไรเลยนะ”

ทรงจำเหยีดยิ้มที่มุมปากอย่างเขานะเหรอไม่ต้องให้ใครมาเตือนเขาก็รู้ดีว่าไฟเวลามันครอกแล้วมันเป็นอย่างไรเขารู้ว่ามันจะต้องสูยเสียอะไรไปบ้างแม้ว่าในเสี้ยววินาทีนึงเขาจะมีความไม่มั่นใจในสิ่งที่จะทำว่ามันถูกต้องดวงตาของเขาก็เหลือไปเห็นรูปของเป็นธรรมถือดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ในชุดนักศึกษายิ้มอย่างมีความสุขพร้อมทั้งวันที่ระบุไว้ในรูปว่า 09/09/2011 ความหวั่นไหวนั้นมันก็จางหายไปจากดวงตาเขาไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในจุดที่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว

    “เตรียมการขั้นต่อไปได้เลย”

   ทรงจำวางสายและปิดเครื่องมือถือนั้นลงเดินตรงเข้าไปที่เขาได้ยินเสียงของฝักบัวดังออกมาคนที่อยู่ในนั้นหันมามองเขาด้วยแววตาตกใจก่อนจะเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น ทรงจำเดินตรงเข้าไปหารอยยิ้มนั้นกอดร่างนั้นไว้พร้อมกับประทับตีตราจองทุกส่วนของร่างกายนั้นและทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างนั้นจดจำสัมผัสจากเขาให้ได้

“อะ คุนเจ็บ”

เขาเผลอกัดคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาจนเป็นรอยเมื่ออารมณ์ไปถึงจุดที่ต้องการปลดปล่อยทรงจำกลับรู้สึกหัวเสียเพราะเขาไม่เคยเตรียมถุงยางเข้ามาเพราะฉะนั้นเขาต้องดึงแก่นกายของเขาออกมาเพื่อปลดปล่อยข้างนอกแทนความอบอุ่นที่โอบความแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ หลายครั้งที่คนในอ้อมกอดแสดงสีหน้าของความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่เคยปล่อยทุกหยาดความต้องการเข้าไปในร่างนี้และคำตอบที่เขาไม่เคยบอกออกไปก็คือหยาดรักของเขามันไม่คู่ควรกับคนตรงหน้าก็เท่านั้น

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 4 - 27/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-12-2016 20:08:19
อ่านตอนแรก ๆ ระแวงมาก ตอนต่อ ๆ มาชักลังเล แต่ที่ดูจากชื่อเรื่องก็เลยรอดูว่าเมื่อไหร่หางจะโผล่
ในที่สุดก็โผล่มาเอาตอนท้าย
สงสัยว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ตัวคุณคงไม่ได้ทำอะไรให้ น่าจะเป็นครอบครัวของคุณมากกว่า
และสงสัยอีกว่าผู้ร่วมขบวนการน่าจะมีหลายคน เพราะดูเหตุการณ์มันเอื้อเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 4 - 27/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 01-01-2017 14:53:37
บทที่ 5

   ในที่สุดโรงงานใหม่ที่จะถูกเปิดเพิ่มเติมเพื่องานสกรีนก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างโครงสร้างภายนอกของโรงงานเรียบร้อยหมดแล้วเหลือเพียงซื้อพวกอุปกรณ์ที่ต้องใช้แลพปัญหาที่ทำให้ต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้ก่อนก็คือเรื่องเงินด้วยระบบการเงินในโรงงานจะเป็นระบบเงินหมุนตอนได้กำไรเงินปันผลมาผมกับแม่ไม่เคยเก็บเงินสำรองเอาไว้สำหรับเรื่องนี้จึงทำให้มีปัญหาเรื่องเงินเกิดขึ้น
ตอนที่ไปซื้อที่ดินกับการว่าจ้างผู้ก่อสร้างเป็นธรรมเองก็เอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปลงหมดพี่ดาร์กเองก็เอาเงินเก็บของตัวเองมาร่วมลงด้วยแต่มันก็ไม่พอกับรายจ่ายที่กำลังรอเราอยู่ข้างหน้าอยู่ดี

“งั้นเราเอาโรงงานไปวางเพื่อขอเงินกู้ออกมาดีไหม?”

“แม่รักโรงงานนี่มากมันเหลือเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนของพ่อคุนคิดว่าแม่คงไม่โอเค”

“หรือว่าเราจะหยุดเอาไว้ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวพี่ไปพูดกับพวกลูกค้าที่เราไปเสนองานสกรีนเอาไว้ก็ได้ว่าเราเกิดปัญหาภายในบางอย่างทำให้เรายังไม่สามารถทำสินค้าให้ได้ตามที่กำหนด”

“แล้วมันจะไม่มีผลกระทบเหรอพี่?”

“มี เราคงต้องชดใช้ในบางส่วนและคงต้องมีส่วนลดในครั้งต่อไป”

   เป็นธรรมพลาดเองที่เอาเงินกำไรไปลงกับโรงเรียนศิลปะของตัวเองซะเกือบหมดทำให้เงินไม่เหลือพอหมุนเวียนพอเวลามีเหตุต้องใช้จะให้เดินเข้าไปขอเงินจากแม่เขาก็ไม่อยากทำเพราะเขาไม่อยากให้แม่มองว่าโรงเรียนเขาสร้างปัญหาดังนั้นหลังจากที่เขาคิดมาตลอดหลายวันเขาก็ตัดสินใจคุยกับพี่ดาร์ก

“เอาโรงเรียนคุนไปยื่นกู้แทนได้ไหม?”

“แต่นั้นมันเป็นโรงเรียนที่คุนรัก”

   พี่ดาร์กหัวเสียทันทีที่เขาตัดสินใจจะเอาโรงเรียนไปยื่นกู้แทนโรงงานแต่เป็นธรรมก็เห็นว่าทางนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดทั้งจะได้เงินมาทำโรงงานให้เสร็จจะได้ไม่ต้องผิดคำสัญญากับลูกค้ารายใหม่ที่พี่ดาร์กไปดิวมาได้

“พี่ว่าพี่หยุดโครงการนี้เอาไว้ก่อนดีกว่าเอาไว้พี่หาทางอย่างอื่นให้ได้ก่อนแล้วเราค่อยว่ากัน”

“พี่โรงเรียนของคุนก็สร้างมาจากเงินของโรงงานนี้เพราะฉะนั้นเอามันมาช่วยเถอะ”

“แต่พี่ไม่อยากแตะความฝันของคุนมันไม่เคยอยู่ในความตั้งใจของพี่!!”

“พี่ดาร์กหมายความว่า?”

“พี่หมายถึงพี่ไม่เคยอยากเอามารวมกับธุรกิจนี้เพราะมันคือสิ่งที่พี่อยากช่วยคุนทำให้มันเกิดขึ้นมา”

“โธ่ พี่ฟังคุนนะ…”

   และเป็นธรรมก็ใช้เวลาโน้มน้าวพี่ดาร์กอยู่เป็นอีกอาทิตย์กว่าที่พี่ดาร์กจะยอมทำตามที่เขาได้ตัดสินใจ

“คุนบอกแล้วว่าพี่ดาร์กต้องไม่ทำให้คุนผิดหวัง”

   หลังจากที่โรงงานเปิดและเริ่มผลิตงานลูกค้าที่ได้งานไปดูพอใจกับผลงานเลยทำให้การหาลูกค้าหน้าใหม่เป็นได้ง่ายขึ้นจากการอ้างชื่อของฐานลูกค้าเดิม

    “พี่ว่าเทอมนี้จะเป็นเทอมสุดท้ายที่พี่จะสอน”

   จะหาว่าเป็นธรรมเห็นแก่ตัวก็ได้แต่เขารู้สึกดีใจที่ได้ยินพี่ดาร์กตัดสินใจแบบนี้เพราะเขาเองที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่พี่ดาร์กต้องเอาเวลาไปให้กับที่อื่นที่ไม่ใช่กับเขาหรือกับที่โรงงาน

   พี่ดาร์กลงมือหาลูกค้าอีกครั้งหลังจากที่พักไปนานตั้งแต่โรงงานเก่าลงตัวยิ่งลูกค้าเยอะพนักงานก็ไม่เพียงพอโดยเฉพาะฝ่ายผลิตพี่ดาร์กเลยต้องลงไปตรวจคุณภาพของสินค้าด้วยตัวเอง

“โห นี่มันสองเท่าของยอดสั่งครั้งก่อนเลยนะบริษัทเอ็มส่งออเดอร์มาเยอะมากคุนเก่งมากไปดิวมายังไงเนี่ยเรา?”

   ออเดอร์ของบริษัทเอ็มในล็อตสองเยอะขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะทางนั้นดูท่าทางพอใจกับงานในล็อตแรกของเรามาก ตอนแรกที่ได้รัยการติดต่อเข้ามาเขายังไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะทำเพราะกลัวว่าจะมีการผิดพลาดเนื่องด้วยที่อุปกรณ์และความพร้อมที่มากพอเขาเลยเอาเรื่องนี้มาปรึกษาพี่ดาร์กก่อน

“แต่ คุนกลัวว่าทางเราจะไม่ไหว”

“ยังไงก็ต้องไหวเดี๋ยวพี่ลงไปดูการผลิตด้วยตัวเองทั้งหมดพี่อยากให้รับออเดอร์นี้ไว้เพราะพอลูกค้าคนอื่นรู้เขาจะได้เชื่อมั่นว่าเราสามารถผลิดล็อตใหญ่ได้”

“มันจะไม่ก้าวกระโดดเกินไปเหรอพี่?”

“มันก้าวกระโดดแต่ถ้าเราทำแต่ออเดอร์เล็กๆ เก็บตกมาจากที่อื่นที่เขาทำไม่ทันทำแบบนั้นเมื่อไหร่พี่จะสามารถเอาโรงเรียนของคุนออกมาจากธนาคารได้ละ”

“ถ้าพี่ว่าไหว คุนก็โอเค”

   ตั้งแต่รับงานนี้พี่ดาร์กดูตื่นเต้นกว่าทุกครั้งถึงขนาดลงไปดูการผลิตด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มสกรีนไปจนถึงแพ็คเสื้อทั้งหมดลงถุงและในที่สุดพี่ดาร์กก็ทำได้ตามที่พูดเอาไว้งานล็อตนี้ออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาเสร็จตามทันเวลาที่กำหนดเอาไว้

   และเมื่อทางบริษัทเอ็มได้งานของเราไปก็กลายเป็นข่าวปากต่อปากไปถึงที่อื่นว่าโรงงานของเราสามารถรับงานสกรีนได้เป็นจำนวนมากและนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้งานของโรงงานเรามีสเกลการผลิตที่ใหญ่ขึ้นแต่ปัญหาที่ตามมาก็คือเครื่องสกรีนที่เรามีอยู่ก็เริ่มจะไม่พอกับสเกลงานที่เรากำลังทำมันเลยเป็นการตัดสินใจอีกครั้งระหว่างเก็บเงินก้อนที่เราเพิ่งสร้างขึ้นมาเอาไปถอนเอาโรงเรียนคืนมาจากธนาคารหรือเอาเงินจำนวนนี้ไปเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อต่อยอด

“ถ้าพี่ขอเอาเงินนี้ไปลงทุนก่อน คุนจะโอเครึเปล่าที่โรงเรียนยังคงต้องติดอยู่กับที่ธนาคาร?”

“คุนโอเค โรงเรียนของคุนก็ยังอยู่ที่เดิมยังไม่ได้ไปไหนนี่น่ายังเปิดสอนเหมือนเดิมยังมีนักเรียนมาเรียนเหมือนเดิม”

“ขอบคุณนะครับ” 

แม้ช่วงนี้เราสองคนจะเหนื่อยใจแทบขาดแต่ผลตอบแทนที่ได้มาเมื่อแลกกับความเหนื่อยมันสามารถทำให้เขากับพี่ดาร์กยิ้มได้แถมดูเหมือนว่ามันจะไปได้ไหลกว่าที่เราเคยตั้งใจกันไว้แต่แรกด้วยซ้ำ

“เมื่อวันก่อนพี่ลองไปคุยกับพนักงานในบริษัทเอ็มมาตอนที่รอเข้าเช็คออเดอร์พี่ได้ไอเดียมาใหม่”

“ไอเดียคือ?”

“พี่ว่าเราทำเสื้อส่งตลาดหรือห้างเองเลยดีไหม?”

“พี่ คุนว่ามันใหญ่ไปไหม?”

“เริ่มแบบเล็กๆ ก่อนก็ได้คิดดูนะคุนทุกวันนี้เราทำส่งให้บริษัทเอ็มเขาก็ส่งไปขายที่ตลาดใหญ่ๆตามหัวเมืองอยู่แล้ว”

“แต่คุนยังไม่ค่อยแน่ใจเลย”

“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ?”

“แม่” // “คุณแม่สวัสดีครับ”

“จ๊ะ ว่าไงเอ่ยคุยอะไรกันอยู่?”

“เรื่องงานครับ”

“งั้นคุยไปกินข้าวกันไปดีไหม?”

   ความจริงแล้วเป็นธรรมไม่ค่อยอยากจะคุยเรื่องพวกนี้บนโต๊ะอาหารเลยเพราะว่ามันก็นานมากแล้วที่เขาทั้งสามคนไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมีเวลาทั้งทีไงหลายเป็นว่าทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเรื่องงานเสียแบบนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าพี่ดาร์กต้องการเอาโรงเรียนเขาออกมาโดยเร็วเขาจึงไม่ขัดอะไรปล่อยให้พี่ดาร์กเล่าแผนธุรกิจตัวใหม่ให้แม่ของเขาได้ฟัง

“ถ้าดาร์กมั่นใจว่าไหวก็เอาแผนงานเข้ามาให้แม่ช่วยดูแม่สนับสนุน”


“พี่ดาร์คเรื่องทำเสื้อผ้าส่งเองโดยตรง คุณขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”

หลังจากมื้อเย็นจบลงเป็นธรรมก็ชวนให้พี่ดาร์กค้างที่บ้านโดยที่อ้างว่ามันดึกมากแล้วจึงไม่อยากให้ขับรถดึกๆ แต่ที่จริงแล้วเขาอยากจะคุยกับพี่ดาร์กให้แน่ใจเกี่ยวกับโครงการที่กำลังจะขยายดังนั้นพอทั้งสองคนเตรียมตัวเข้านอนเป็นธรรมจึงเปิดเรื่องนี้ขึ้น

“ได้สิ พี่กำลังเตรียมลองร่างแผนงานคร่าวๆ พอดีเลย”

“พี่แน่ใจเกี่ยวกับโปรเจ็คนี้จริงเหรอ?”

“คุนพูดแบบนี้กับพี่มาสองครั้งแล้วนะคุนไม่เชื่อใจพี่เหรอ?”

“มันไม่ใช่แบบนั้น...แต่เราเพิ่งขยายงานมาไม่ถึงปีดีคุนกลัวว่าเราสองคนจะเอาไม่อยู่”

“แล้วพี่เคยทำให้คุนผิดหวังรึเปล่า?”

“ก็...ไม่เคย”

“พี่รู้ว่าคุนกังวลเพราะทุกอย่างมันเร็วไปหมดแต่พี่ขอได้ไหมพี่อยากทำโปรเจ็คนี้จริงๆ พี่ไม่อยากเสียโอกาสตรงนี้ไป”

“คุนก็แค่อยากที่จะถามย้ำอีกครั้งถ้าพี่ดาร์กยังคงอยากทำคุนก็ไม่ขัดอะไร”

“ขอบคุณครับคนดีของพี่”


   หลังจากที่เป็นธรรมนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของเขาทรงจำก็ค่อยๆ ประคองตัวของคุนวางบนที่นอนให้เบามือที่สุดแล้วหยิบโทรศัพท์ไปที่ระเบียงห้องแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเสี่ยงใช้โทรศัพท์เครื่องนี้โทรไปหาปลายสาย

“เฮ้ย ทำไมใช้เบอร์นี้โทรมา??”

“ต้องเปลี่ยนแผนต้องเร็วกว่านี้”

“ทำไม?”

“คุนดูไม่เชื่อใจฉันแล้ว”

“ได้ให้เริ่มเมื่อไหร่”

“นับจากนี้ 4 เดือนเริ่มเลย”

   หลังจากทรงจำเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเขาก็นั่งลองข้างเตียงมองเป็นธรรมคนที่อยู่ข้างกายเขามา 6 ปีที่แล้ว ในวันที่เขารู้ว่าคนๆ นี้ได้กลายมาเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยทรงจำถึงกับโดดเรียนไปดูหน้าให้แน่ใจว่าใช่คนนี้และเมื่อแน่ใจแล้วเขาจึงเดินทางไปที่วัดไปไหว้พ่อกับแม่พร้อมกับขอบคุณที่ในวันนี้คนเบื้องบนก็เห็นใจและยอมให้โอกาสกับคำขอเขาสักที
ทรงจำใช้เวลา 6 เดือนกว่าจะทำให้เป็นธรรมยอมรับเขาเข้าไปในชีวิตมันไม่ง่ายเลยที่เขาต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนนี้มาเป็นคนรักเพราะเขาในวันนั้นก็เป็นคนไม่มีอะไรสักอย่างชีวิตที่ต้องทำงานส่งตัวเองเรียนแค่มือถือสักเครื่องยังต้องใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะได้ซื้อมันมาใช้ ช่อดอกไม้ที่เขาซื้อให้ทุกวันที่ 09/09 เป็นช่อดอกไม้ที่มีราคาที่เขาสามารถซื้อข้าวกินได้ทั้งอาทิตย์

“เราผิดเองนะที่ไม่เคยถามพี่สักปีว่าทำไมต้องวันนั้น”

   เมื่อเขาขยับตัวไปมาจนทำให้เป็นธรรมตื่นเป็นธรรมก็รีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้พร้อมทั้งยังอ้าปากถามโดยที่ตายังไม่ลืมมองว่า “พี่ดาร์กจะไปนั่งทำงานอีกแล้วเหรอ?” ทรงจำมองภาพนั้นด้วยแววตาของคนที่ขอลุแก่โทษและดึงเป็นธรรมเข้ามากอดให้แน่นกระชับกว่าเดิม


“พี่ดาร์กช่วงนี้คุนต้องไปดูโรงเรียนเด็กปิดเทอมแล้วมันค่อนข้างยุ่งพี่อยากรับพนักงานเพิ่มมาช่วยงานที่โรงงานรึเปล่า?”

“ไม่เป็นไรพี่ยังไหวอยู่”

   แผนการตลาดที่จะทำเสื้อสกรีนส่งตามแผงตลาดโดยตรงเองกำลังไปได้ด้วยดีถึงขนาดที่ตอนนี้จนเสื้อผ้าในห้างบางตัวติดต่อทางเรามาเพื่อให้ผลิตเสื้อให้แน่นอนว่าเมื่อฐานลูกค้ากว้างขึ้นก็ต้องมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและเช่นกันกับรายจ่าย เงินที่ได้จากกำไรต้องเอาซื้อพวกเครื่องจักรเพิ่มเพราะถ้าขืนเอาแต่ใช้ที่มีอยู่คาดว่าเครื่องจักรคงพังเร็วกว่ามาตราฐาน
แม้ว่าธุรกิจจะเป้นไปได้ด้วยดีแต่เงินที่มีอยู่ในมือตอนนี้ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นแค่เงินหมุนเวียนทำให้โรงเรียนศิลปะยังคงต้องติดอยู่กับธนาคารที่เอาไปกู้ไว้แต่เขาเห็นแล้วว่าพี่ดาร์กสามารถทำได้ตามที่พูดเอาไว้เขาเลยไม่กังวลใจจะมีแค่เรื่องเดียวที่เขากังวลก็คือเรื่องปัญหาสุขภาพเพราะพี่ดาร์กพักผ่อนน้อยเหลือเกิน

“ต้องขอโทษคุณเป็นธรรมด้วยนะคะที่ต้องรบกวนให้เข้ามากระทันหันไม่อย่างนั้นเราทำเรื่องเบิกเงินก้อนใหญ่ที่จะสั่งซื้อของไม่ได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ”

“งานที่โรงเรียนยุ่งมากไหมคะ?”

“ก็พอดูเลยครับ ไหนครับเอกสารที่คุณสุวรรณีอยากให้ผมดู?”

“นี่ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อเสร็จธุระคุณสุวรรณียังคงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ออกไปทางด้านนอกจนเขาต้องเอ่ยปากถามออก

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“คุณเป็นธรรมอยากดูเอกสารย้อนหลังเก่าๆ บ้างไหมคะ?”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

“ไม่มีค่ะ ดิฉันแค่ถามเพื่อเอาไว้เพื่อคุณเป็นธรรมอยากดูโดยละเอียด”

“อ่อ ไม่เป็นไรครับปกติคุณทรงจำเขาทำสรุปให้ผมอ่านอยู่แล้ว”

“ค่ะ”

   วันนี้ที่เป็นธรรมต้องตีรถกลับมาที่โรงงานก็เพราะพี่ดาร์กติดประชุมต่อเนื่องกับลุกค้ารายใหม่ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวมาได้และในขณะที่เขากำลังตรวจเอกสารกองโตที่รอการอณุมัตอยู่นั้นคุณสุวรรณีก็เคาะห้องของอีกครั้ง

“คุณเป็นธรรมค่ะ คุณแชมป์จากแผนกการตลาดขอเข้าพบค่ะ”

“เชิญครับ”

“สวัสดีครับคุณเป็นธรรม”

“สวัสดีครับคุณแชมป์ มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ?”

เป็นธรรมแปลกใจนิดหน่อยที่คุณแชมป์มาขอพบคุณแชมป์ถือได้ว่าเป็นคนสนิทของพี่ดาร์กดังนั้นแล้วปกติไม่ว่าจะดิวงานเรื่องอะไรก็ขึ้นตรงพี่ดาร์กเท่านั้นแต่วันนี้เหมือนกับว่าคุณแชมป์ต้องการพูดกับเขาโดยตรงโดย

“มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ?”

“ครับ ต้องขอโทษด้วยที่ต้องขอเข้าพบด่วนขนาดนี้พอดีผมมีเรื่องอยากเสนอกับคุณเป็นธรรมครับ”

“เชิญว่ามาได้เลยครับ”

“คือ หลังจากที่เราเริ่มพิมพ์งานสกรีนลายให้กับเสื้อยี่ห้อนึงได้ในเวลาอันจำกัดและมีข้อผิดพลาดน้อยมากและก็มีอีกหลายเจ้าสนใจที่จะทำเสื้อกับเราครับ”

“นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมครับ?”

“ครับ ผลตอบรับของเราดีมาก ดีจนมีบริษัทต่างชาติอยากว่าจ้างเราครับ”

“ครับ”

“ผมได้เอาเรื่องนี้ขึ้นเสนอกับคุณทรงจำแล้วครับแต่คุณทรงจำไม่คิดที่จะพิจารณาข้อเสนอของชาวต่างชาติแม้กระทั่งงานของคนไทยที่มาจ้างเพิ่มคุณทรงจำยังขอปฎิเสธและชลอการรับงานลงครับ”

“คุณทรงจำได้ให้เหตุผลอะไรมารึเปล่า?”

“ไม่เลยครับ”

“ไม่เลย?”

“ครับ คุณทรงจำบอกแค่ว่าเรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

“คุณทรงจำอาจจะมีเหตุผล ผมว่าคุณก็ควรที่จะรอตามที่คุณทรงจำได้เสนอไว้”

“ครับผมเข้าใจแต่ผมในฐานะที่ผมดิวงานกับลูกค้าและเจอลูกค้าติดต่อเข้ามาเองผมขอพูดอะไรสักหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหมครับ?”

“เชิญครับ”

“คุณเป็นธรรมน่าจะรู้ว่าเราเพิ่งจะเปิดไลน์การสกรียนร่วมกับผ้าย้อมที่เราทำอยู่แล้วได้ไม่นานนักแต่เรากลับมีฐานลูกค้าที่มากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นหมายความว่ามันเป็นเรื่องของปากต่อปากเพราะผมกับคุณทรงจำหยุดออกหาลูกค้ามาได้สักพักแล้วครับ”

“...”

“แล้วครั้งนี้ลุกค้าก็เข้ามาด้วยตัวเองด้วยความที่เราเป็นน้องใหม่ถ้าเราปฎิเสธลูกค้าไปเราก็เท่ากับว่าเสียลูกค้าไป เพราะผมยังไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะบอกปฎิเสธแล้วรั้งลูกค้าไว้ได้เลยครับ”

“แล้วถ้าเราไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ชัดเจนได้ลูกค้าอาจจะคิดว่าโรงงานเรายังไม่พร้อมที่จะผลิตงานส่งออกไม่ว่าจะด้วยเรื่องคิวซีหรืออะไรก็ตามและถ้าข่าวนี้หลุดไปผมกลัวว่ามันจะทำให้ความน่าเชื่อถือที่โรงงานสร้างมามีผลกระทบและเสียลูกค้าใหม่ในระยะยาวครับ”

   สำหรับเป็นธรรมแล้วเหตุผลของคุณแชมป์เป็นสิ่งที่เขาสามารถเข้าใจได้ดีเขาจึงเข้าใจว่าทำไมคุณแชมป์ถึงต้องการที่จะคุยกับเขา

“งั้นคุณแชมป์ช่วยเอาข้อมูลลูกค้าในไทยที่เป็นเจ้าใหญ่พร้อมทั้งจากต่างชาติที่เข้ามาติดต่อให้ผมทีครับ”

“ขอบคุณมากครับคุณเป็นธรรม”

   เป็นธรรมนั่งดูลิสรายชื่อลูกค้าแล้วความแปลกใจก็เกิดขึ้นเมื่อเขาพบว่าลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาแต่ละรายนั้นต่างเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเลยไม่เข้าว่าทำไมพี่ดาร์กถึงคิดปฎิเสธและทางเดียวที่เขาจะรู้ได้คือคุยกับพี่ดาร์ก

“จะมาไม่เห็นบอกพี่เลย”

“คุนโทรไปตั้งหลายรอบแล้วเหอะ”

“อ้าวเหรอ?” พี่ดาร์กหยิบมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงโซฟาขึ้นมาเช็ค

“ขอโทษแบตหมดไม่รู้ตัวเลย แล้วนี่กินอะไรมายังหรือรอพี่?”

“กินแล้วสิ 4 ทุ่มแล้วถ้าคุณไม่กินต้องหิวตายพี่ละ?”

“พี่กินกับพนักงานที่โรงงานมาแล้ว พี่เหนื่อยมากเลยมาพอดี มาๆ ขอพี่ชื่นใจหน่อย”

“เดี๋ยวๆ พี่ คุยกันก่อน”

    “คุยอะไร?”

“เรื่องออเดอร์ที่พี่ปฎิเสธ”

“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” จู่ๆ บรรยากาศของความผ่อนคลายก็เปลี่ยนเป็นความตึงเครียด

 “วันนี้คุนเข้าโรงงานมาแล้วเผอิญได้เจอกับคุณแชมป์หัวหน้าแผนกการตลาด”

“แชมป์มันเข้าไปพูดอะไร?” เป็นธรรมยื่นที่รวบรวมมาจากคุณแชมป์ให้ก่อนที่จะเริ่มพูดเข้าประเด็น

“คุนรู้ว่าพี่ดาร์กต้องมีเหตุผลที่ไม่ทำคุนขอรู้ด้วยได้ไหมครับ?”

“พี่ปฎิเสธแล้วทำไมมันยังเอาเรื่องนี้ไปคุยกับคุนอีกมันน่าจะตกจากแผนงานไปแล้ว”

“คุนขอถามพี่ดาร์คได้ไหมว่าทำไมพี่ดาร์คถึงไม่รับงานพวกนี้?”

“ทำไม? เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อใจพี่แล้วเหรอ? แค่ไอ้พนักงานมันเดินมาบอกคุนว่าดีคุนก็เชื่อมัน?”

“คุนแค่อยากฟังจากพี่”

“สมัยก่อนไม่เห็นต้องมานั่งสอบสวนพี่แบบนี้”

“คุนไม่ได้สอบสวน”

“แล้วที่ทำอยู่นี่คืออะไร?”

   ช่วงหลังๆ มานี่เป็นธรรมก็ได้ยินข่าวลือมาบ้างว่ามีพนักงานหลายคนที่เข้าหน้าพี่ดาร์กไม่ค่อยติดและมีพนักงานหลายคนที่โดนพี่ดาร์กตักเตือนด้วยถ้อยคำรุนแรงทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่ดาร์กจะเป็นคนใจเย็นเขาไม่ค่อยได้อยู่โรงงานจึงไม่เคยเห็นตอนที่พี่ดาร์กเป็นแบบนี้

    “พี่ขอโทษนะที่ขึ้นเสียงใส่”

“มีอะไรรึเปล่าพี่?”

“พี่แค่ เหนื่อยๆ นะ”

“เล่าให้คุณฟังไม่ได้เหรอ?”

 “ปัญหาก้คือจากเรื่องเงินพี่ลองคำนวณดูแล้วการที่เราจะต้องทำงานด้วยอัตราการสั่งเท่านั้นเครื่องจักรและกำลังคนเราไม่พอนี่แค่ในประเทศนะแเลิกคิดเรื่องทำส่งออกได้เลยเพราะมันทั้งย้อมผ้าและสกรีนเท่ากับเราต้องเพิ่มเครื่องจักรอีกสองเท่าเงินที่เรามีคุนก็รู้ว่าเป็นเงินหมุนแล้วไหนจะต้องเก็บเงินไว้ผ่อนจ่ายธนาคารอีก”

“...”

“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เสียดายโอกาสแต่ถ้าเราฝืนรับงานมามันอาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีแม้ว่าการปฎิเสธงานมันจะทำให้เราสูญเสียช่องทางการขยายลูกค้าและตลาดก็เถอะ”

“เราพอมีวิธีพูดกับลูกค้าให้เขารอเราได้ไหมพี่?”

“มันยากลูกค้าเขาก็ต้องขายของเราเองก็ไม่ใช่เจ้าเดียวที่ทำแบบนี้มันยังมีผู้ผลิตอีกหลายเจ้า”

“เราขาดอีกเยอะไหมพี่?”

“ก็ค่อนข้างเยอะ”

“ถ้าเราจะทำ พี่ว่าเราพอมีทางออกไหม? หรือว่าไม่สามารถเป็นไปได้เลย?”

   พี่ดาร์กเงียบไปนานจนเป็นธรรมเองก็เริ่มถอดใจสงสัยคงต้องยอมพลาดโอกาสนี่ไปจริงๆ

“ก่อนหน้านี้พี่ยังเห็นคุนไม่เห็นด้วยที่เราโตเร็วอยู่เลยเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ เปลี่ยนใจ?”

“เอ่อ คุน”

“ว่าไงครับ?”

“คุนโลภเองละก่อนหน้านี้เพราะคุนไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้พร้อมกับความกังวลเพราะตั้งแต่เด็กคุนก็เห็นแค่โรงงานเล็กๆ นี่มาตลอดพอมันต้องขยายก็มีตกใจไปบ้างแต่ตอนนี้พอมันเป็นไปได้และเริ่มมีหนทางคุนก็อยากทำตามฝันของพ่อ”

“ความฝัน?”

“ใช่แม่เล่าให้ฟังว่าพ่ออยากมีโรงงานเป็นที่รู้จักแต่ก็มาเสียก่อนที่จะได้ทำมันให้สำเร็จมาในวันนี้คุยเลยอยากให้มันเป็นจริงคุนโลภใช่ไหมพี่?”

   ทั้งที่ไม่ใช่ความคิดของตัวเองและไม่เคยแม้แต่จะลงแรงได้ถึงครึ่งนึงของพี่ดาร์กแต่เขากลับเป็นคนละโมภทันทีที่รู้ว่าความฝันนี้มันเป็นจริงได้ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ดาร์กจะต้องเหนื่อยกว่านี้แน่นอนถ้ายังทำต่อไปแบบนี้แต่เขาก็ยังคงที่จะทำมัน

“พี่เข้าใจแล้ว...เอาจริงวิธีมันก็มี”

“คือ?”

“เราต้องเอาทรัพย์สินเข้าเพื่อกู้เพิ่ม”

“กู้เพิ่ม?”

“ใช่เราต้องเอาของเข้าไปเป็นหลักค้ำแล้วทำเรื่องกู้เพื่อซื้อพวกอุปกรณ์แล้วก็เครื่องจักรต้องจ้างพนักงานเพิ่มเพราะพี่คงดูทั้งหมดแบบนี้ไม่ไหวแน่นอน”

“คุนเข้าใจ”

“พี่ขอโทษที่มีไม่มีหลักทรัพย์ที่เพียงพอที่จะทำให้ฝันของพ่อคุนสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องไปกู้เพิ่ม”

“ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องขอโทษคุนเลย”

“แต่ถ้าเราจะทำเพิ่มสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่และพอเอาเข้าแบงค์เป็นหลักได้ก็คือโรงงาน”

“โรงงาน!! พี่ด็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

“งั้นก็เลิกพูดเรื่องนี้ได้เลย”

“พี่ดาร์กเอาบ้านคุนเข้าก่อนได้ไหม?”

“แต่มันก็ไม่พออยู่ดี”

“งั้นขอเริ่มจากบริษัทในประเทศก่อนได้ไหม?”

“ว่าแต่เราแน่ใจแล้วเหรอเรื่องนี้?”

“คุนแน่ใจมีโอกาสแล้วคุนก็อยากลอง”

“ได้ครับพี่ตามใจคุนเลยขอโทษนะครับที่พี่ช่วยอะไรเรื่องเงินไม่ได้เลย”

“แค่พี่เต็มที่ให้คุนมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณพี่ยังไงแล้วขอโทษนะที่คุณปล่อยให้พี่เครียดคนเดียวมาหลายวัน”

   เพียงไม่กี่วันพี่ดาร์กก็เตรียมเอกสารเพื่อยื่นกู้เอาไว้เรียบร้อยแต่น่าเสียกายที่วันนี้เขาต้องเข้าประชุมกับทางโรงเรียนเขาเลยไม่สามารถไปธนาคารกับพี่ดาร์กได้

“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะไปธนาคารเลยแล้วกันถ้าได้อณุมัตพี่จะได้บอกให้แชมป์ไปทำสัญญากับลูกค้า”

 “ขอบคุณครับ งั้นเดี๋ยวเย็นนี้คุณโทรหานะ”

“ครับ รักนะ”

“รักเหมือนกัน”


   ทรงจำเดินมาส่งเป็นธรรมที่รถรอจนรถขับออกไปพ้นสุดสายตาของโรงงานเขาจึงหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาขึ้นมาโทรออกไปหาคนรู้จักของเขา

“เจอกันร้านเดิม มีเรื่องต้องช่วยกันคิด”

   ทรงจำเลือกร้านที่ค่อนข้างไกลจากตัวโรงงานอยู่มากเพื่อที่จะได้ไกลหูไกลตาของคนในโรงงานเขามาถึงที่ร้านเป็นคนแรกเขาจึงใช้เวลาที่นั่งรอมองโฉนดบ้านและที่ดินพร้อมกับคิดถึงคำพูดเมื่อคืนของเป็นธรรม ‘คุนอยากให้โรงงานโตตามที่พ่อฝันเอาไว้’

ฮึ มันเป็นคำพูดที่น่าขันสิ้นดีเที่ยวบอกลูกว่าอยากให้โรงงานโตแต่กลับเป็นคนที่ทำลายด้วยตัวเองทรงจำเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเกิดเป็นธรรมรู้ความจริงข้อนี้ขึ้นมายังจะพูดประโยคเมื่อคืนด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแบบนั้นได้อีกหรือไม่

“เหม่อไร?”

“ทำไมมาพร้อมกัน? อย่าบอกนะว่าออกมาจากโรงงานพร้อมกัน”

“เปล่าไม่ได้มาพร้อมกันพวกกูไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะ”

“อื้ม นั่งดิ สงสัยต้องเปลี่ยนแผนวะ”

“ทำไม?”

“คุนไม่ยอม”

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 5 - 01/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 05-01-2017 18:50:25
บทที่ 6

“หมายความว่าไงไม่ยอมทำมาตั้งนานมาพังตอนจบเนี่ยนะ?”

“เออ คุนไม่ยอมเอาโรงงานเข้าแต่เป็น...” ทรงจำโยนแผ่นโฉลดที่ดินที่เขาเพิ่งจะได้รับมากับใบมอบอำนาจลงบนโต๊ะให้เพื่อนของเขาได้เห็นกัน

“แล้วครั้งนี้จะเอายังไง? จะทำเหมือนเดิม?”

“เออ คงต้องเหมือนเดิมแชมป์มึงช่วยทำเอกสารกู้เอาแบงค์เดิมนะส่วนเอกสารตัวจริงฝากเอาไปเก็บเซฟที่บริษัทเราด้วย”

“ดาร์กเท่านี้ก็พอแล้วไหม? นี่น้องมันก็จะเสียทั้งหมดที่มีแล้วแค่น้องมันต้องเสียโรงเรียนในอนาคตกูว่าน้องมันก็แย่แล้ว”

“แต่มันไม่ใช่สิ่งที่กูต้องการ!! เบทมึงก็รู้ว่ากูต้องการอะไร!!”

“อ้าวนี่กูพูดด้วยดีๆ”

“เฮ้ยๆๆๆ อย่ากัดกันเองดิเฮ้ย อะดาร์กถ้ามึงบอกว่าไม่พอแล้วเอาไงต่อ? นี่กูก็เข้าไปพูดโน้มน้าวจนน้องมันยอมที่จะขยายแต่เขาก็ยอมแค่บ้านถ้าจะให้มุขเดิมก็ขยายทั่วโลก? มันคงเป็นไปได้ไหมตลกปะนะ”

“มันก็เหลือทางเดียว”

“คือ?”


เป็นธรรมยิ้มให้กับเครื่องจักรใหม่และด้วยเครื่องจักรนี้เขาได้แต่หวังว่ามันจะทำให้โรงงานของเขาเติบโตขึ้นได้เขาเดินเข้าไปลูบมันพร้อมทั้งยังบอกกับมันว่า ‘อย่าพังเร็วนะลูกพ่อ’

“คุน”

“ครับ?”

“เราคงรับออเดอร์แค่ในประเทศก่อนนะ หรือว่าคุณอยากรับจากต่างประเทศเลย?”

“เราต้องเลือกใช่ไหมพี่?”

“ใช่”

“คุนเข้าใจงั้นเอาตามที่พี่ว่าคุนเชื่อใจพี่”

   ช่วงแรกเป็นธรรมถึงขนาดต้องหยุดการดูงานที่โรงเรียนกลับมาช่วยพี่ดาร์กดูเกี่ยวกับเอกสารเพราะพอเราทำของขึ้นห้างกฎระเบียบต่างๆ ก็เยอะขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวอย่างงานที่ต้องส่งให้ดูก่อนที่จะผลิตจริงหรือจะเป็นเรื่องจำนวนและเวลาการส่งของที่ต้องมีการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรรวมไปถึงค่าปรับหากงานมีการผิดพลาดเกิดขึ้นอีกด้วย

“คุนทำโน๊ทย่อพวกข้อตกลงกับค่าปรับต่างๆ เอาไว้ให้พี่แล้วนะพี่จะเข้ามาอ่านหรือให้คุณเอาไปให้ที่ห้องดี?”

“คุนเซ็นท์ได้เลยไม่ต้องรอพี่อยากเคลียร์ล็อตเอให้หมดก่อนเราจะได้ขึ้นบล็อคพิมพ์ของที่ใหม่ได้โน๊ตนั้นแค่เก็บเอาไว้ตอนที่เกิดปัญหาก็ได้ครับเราเอาใส่แฟ้มเก็บไว้ให้พี่เลยก็ได้ตั้งแฟ้มใหม่ให้พี่หน่อย”

“โอเค...พี่ดาร์ก?”

“ครับ?”

“กินข้าวกลางวันยังพี่?”

   เป็นไปตามคาดพี่ดาร์กยุ่งเพิ่มอีกเป็นเท่าตัวยุ่งขนาดที่ว่าในบางอาทิตย์เขาทั้งสองคนทำได้แค่โทรคุยกันแต่เรื่องที่เป็นธรรมกังวลไม่ใช่เรื่องที่เราไม่มีเวลาให้กันแต่เขากังวลว่าพี่ดาร์กจะทำงานหนักจนไม่หลับไม่นอนนี่สิ

“เดี๋ยวเสร็จจากอันนี้พี่ว่าพี่จะพักแล้วกินครับ”

“คุนแวะไปกินด้วยนะ?”

“งั้นเข้ามากินที่โรงงานได้ไหม? ออกไปมันเสียเวลา”

“ได้เลยเดี๋ยวคุนรีบบึ่งรถไปหา”

“ไม่ต้องรีบมาก ขับรถดีๆ”

“ครับผม”


   “พี่คุณมีเรื่องอยากคุยด้วย”

“พี่ก็มีเรื่องอยากคุยกับคุณพอดีงั้นอะคุนพูดก่อนแล้วกัน”

   วันนี้เป็นวันปิดบัญชีประจำปีผลของการประกอบการและมันก็เป็นไปได้ด้วยดีแม้เงินมันจะไม่มากพอขนาดที่ว่าเราสามารถไปไถ่โรงเรียนหรือบ้านของเขาออกมาได้แต่มันก็มากพอที่จะเอาไปทำอะไรอย่างอื่นต่อ

“คือ พี่ดาร์กเห็นรายงานจากฝ่ายบัญชีแล้วใช่ไหม?”

“ใช่พี่อ่านจากคุณกี้แล้วเมื่อเช้า”

“คุนอยากถามว่าเราเอาเงินพวกนี้ไปลงทุนกับชาวต่างชาติที่เขาติดต่อมาได้ไหมครับ?”

   เป็นธรรมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะเห็นผลประกอบการประจำปีแล้วว่าถ้ามันออกมาได้ดีเขาก็อยากที่จะขยายเพิ่มอีกแต่ปัญหาคือเงินปันผลในคราวนี้มันไม่ใช่แค่ของเขากับแม่มันเป็นของพี่ดาร์คที่ถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย เป็นธรรมรู้ว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเพราะเขารู้มาตลอดว่าพี่ดาร์กทำงานหนักมากในช่วงสองปีที่ผ่านมาแถมการทำงานหนักนั้นพี่ดาร์กไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นเลยยกเว้นเงินเดือน

ที่สำคัญเขายังรู้อีกด้วยว่าที่พี่ดาร์กทำงานหนักขนาดนี้ก็เพื่อที่อยากจะมีบ้านสักหลังแต่เขาก็เอาแต่ทำตามความอยากของตัวเองเขาถึงได้ละอายใจที่พูดมันออกมา

“พี่..”

   หัวคิ้วของพี่ดาร์กขมวดปมขึ้นเล็กน้อยถ้าเป็นก่อนหน้านี้เป็นธรรมคงกล้าที่จะเอื้อมมือไปนวดตรงขมับและหัวคิ้วให้แต่วันนี้เขาไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น

“มันเป็นเงินของคุนตั้งแต่ต้นเพราะงั้นคุนจะทำอะไรกับมันก็ได้”

“มันไม่ใช่พี่เงินนี้เป็นเงินของพี่ด้วยเพราะมันเป็นเงินปันผลจากหุ้น”

“แต่หุ้นนั้นพี่ก็ไม่ได้ซื้อมา”

“เดี๋ยวพี่”

“พี่ว่าดึกแล้วเรานอนกันเถอะ เดี๋ยวพี่ขอออกไปดูความเรียบร้อยข้างนอกก่อน”

   เป็นธรรมรีบคว้าข้อแขนของพี่ดาร์กเอาไว้ตอนที่พี่ดาร์กกำลังจะลุกหนีจากเขาการชุดแบบนั้นทำให้พี่ดาร์กเสียการทรงตัวกระเป๋าเอกสารที่พี่ดาร์กไม่ได้ปิดให้ดีและถืออยู่นั้นจึงเปิดออกและทำให้ของทุกอย่างลงมาที่พื้น เขารีบลุกจากเตียงช่วยก้มเก็บของจึงทำให้เขาเห็น

“พี่...”

   
“นอนเถอะดึกแล้ว”

“เดี๋ยวพี่คุยกันก่อน”

   พี่ดาร์กพยายามที่จะดึงเอกสารพวกนั้นออกไปจากมือของเขาแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปแม้ว่ากระดาษจะเริ่มบาดมือเขาแล้วก็ตาม

“วันนี้พี่ให้คุนมาที่นี่หลังจากที่รู้เรื่องรายได้ก็เพราะเรื่องบ้านใช่ไหม?”

“ช่างมันเถอะคุน”

“ไม่เอา ไม่ช่างคุนอยากรู้พี่บอกคุนได้ไหม?”

“เฮ้อ...อื้มใช่ วันนี้ที่พี่อยากให้เรามาที่ห้องก็เพราะเรื่องบ้านในโปรชัวร์นั่นแหละพี่เห็นว่าผลกำไรมันดีขึ้นกว่าปีก่อนและก็มีแนวโน้มว่ามันจะดีขึ้นกว่านี้พี่ก็เลยคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่พี่จะลงมือทำอะไรสักอย่างที่พี่เคยบอกไว้ว่าพี่จะทำ พี่คิดว่าพี่จะดาวน์บ้านและคิดว่าด้วยเงินเดือนที่พี่มีน่าจะผ่อนไหว”

“คุนขอโทษ”

   ยิ่งได้ยินคำพูดของพี่ดาร์กความรู้สึกละอายใจก็ยิ่งถาโถมมากขึ้นและมันยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดถึงความต้องการของตัวเองโดยที่ไม่ได้ถามความคิดเห็นของคนที่กำลังคิดเรื่องการใช้ชีวิตด้วยกันกันเขาสักนิด

“หรือว่าเราจะไม่…”

“อย่าคุนครั้งนี้พี่ใจเร็วไปเอง” พี่ดาร์กจับปลายคางของเขาที่เริ่มจะก้มชิดอกเรื่อยๆ ให้มันเงยขึ้นมาและมองที่ใบหน้าของพี่ดาร์ก

“คุนเคยพูดกับพี่แล้วเรื่องที่อยากทำให้โรงงานให้เป็นที่รู้จักเพราะว่ามันคือความฝันของคุณพ่อที่ไม่สามารถทำได้ก่อนที่ท่านจะเสียไปแต่พี่เองที่ลืมมันพี่ขอโทษนะครับพอพี่เห็นเงินปันผลพี่ก็หน้ามืดตามัวไม่ได้คิดอะไรเลยเอาแต่คิดเรื่องบ้านเพราะพี่ต้องการให้เราย้ายมาอยู่กับพี่เร็วๆ แต่พี่ลืมไปว่าโอกาสของโรงงานไม่ได้มีทุกวันแต่บ้านมันไม่ได้หายไปไหนพี่ขอโทษนะครับ”

“พี่”

“คุนสัญญาว่าคุณจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังแบบนี้ในครั้งต่อไปแน่นอน”

“พี่เชื่อครับว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไป”


   อย่างที่รู้ว่าพี่ดาร์กไม่เคยมีคำว่ารอในระบบของการทำงานดังนั้นหลังจากที่เขาคุยถึงเรื่องนี้ได้เพียงไม่นานพี่ดาร์กกับทีมการตลาดก็เริ่มออกหาลูกค้าต่างประเทศโดยที่เราเริ่มจากประเทศที่ใกล้ๆ กับเราก่อนและตลาดแรกที่พี่ดาร์กหามาได้ใน 7 เดือนต่อมาก็คือตลาดพม่าและวันนี้ก็เป็นวันที่มิสเตอร์เว่ยตัวแทนจากร้านขายเสื้อผ้าขนาดกลางที่พม่าจะเดินทางมาดุงานของเราที่เมืองไทย

   พวกเขาเดินทางไปที่สนามบินในช่วงเช้าเพื่อพามิสเตอร์เว่ยไปที่เซ้คอินเก็บของเตรียมตัวที่โรงแรมก่อนที่จะพาไปทานอาหารมื้อกลางวันที่ร้านอาหารมีชื่อแห่งนึง

“พวกคุณบอกว่ามีแหล่งผลิต 2 ที่ ถ้าผมจะขอไปดูทั้งสองที่เลยไม่ทราบว่าทางพวกคุณจะสะดวกไหม?”

“มันเป็นความตั้งใจของทางเราอยู่แล้วครับที่จะพามิสเตอร์เว่ยไปดูงานทั้งสองที่”

“ว่าแต่คุณทั้งสองคนเป็นเจ้าของร่วมกันใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ”

เป็นธรรมรีบแย่งตอบในคำถามที่สองเพราะหลังจากที่เขาเคยได้ยินลูกค้าถามประโยคนี้กับพี่ดาร์กตอนที่เอาเสื้อตัวอย่างไปให้ยี่ห้อนึงพิจารณาก่อนสั่งจองล็อตใหญ่พี่ดาร์กตอบไปว่าตัวเองเป็นแค่ ‘ผู้ร่วมหุ้นและช่วยดูแลเท่านั้น’ มันทำให้เขาไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนั้นเพราะในความรู้สึกของเขาพี่ดาร์กคือหนึ่งในบุคคลที่ทำให้โรงงานนี้เติบโตขึ้นมาและนั้นก็เท่ากับว่าเป็นหนึ่งในเจ้าของ

หลังจากที่เราพามิสเตอร์เว่ยดูโรงงานก็มาถึงขั้นตอนการคุยถึงรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ ถ้าเกิดมีการจ้างงานขึ้นจริงดูจากท่าทีของคุณเว่ยแล้วเป็นธรรมค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะมีโอกาสที่ได้ร่วมงานกันเพราะมิสเตอร์เว่ยดูพึ่งพอใจกับการเจรจาครั้งนี้มาก

“ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างพอใจกับโรงงานที่ได้มาตราฐานกับผลงานที่ผมได้เห็นนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ผมเป็นแค่คนมาสังเกตการณ์ต้องเอาพอร์ทของคุณบวกกับความคิดของผมไปเสนอกับหุ้นส่วนที่เหลือของผมก่อน”

“ทางเราสองคนเข้าใจดีครับ”

    “สิ่งที่เรามองหาคือความเป็นมืออาชีพและผมก็เห็นแล้วว่าคุณสามารถทำมันได้ดีผมก็หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกัน”

“ขอบคุณครับ”

   เราขับรถไปส่งคุณเว่ยที่โรงแรมที่พักในช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วก็ต่างแยกย้ายกันส่วนลึกแล้วพวกเรารู้ว่าเราไม่ใช่เจ้าเดียวที่มิสเตอร์เว่ยเข้ามาเจรจางานด้วยและจุดนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหนักใจขึ้นมานิดหน่อยแม้ว่าจะได้การตอบรับที่ดีก็ตาม

“ไม่ต้องคิดมากน่าเราอาจจะไม่เจ้าเดียวของเขาแต่เขาก็ไม่ใช่ลูกค้าคนเดียวของเราเหมือนกัน”

   พี่ดาร์กยกมือขึ้นมาขยี้หัวเขาเล่นตอนที่เขาเริ่มบ่นถึงความไม่สบายใจ แล้วไหนๆ พี่ดาร์กก็รู้แล้วว่าเขากำลังเป็นกังวลงั้นขออ้อนสักหน่อยเลยแล้วกันจึงพยายามกระเถิบตัวเข้าไปให้ใกล้กับพี่ดาร์กมากที่สุดเพื่อที่จะเอาหัวพิงกับไหล่ของพี่ดาร์ก

   “ไม่ต้องเป็นห่วงนะเดี๋ยวพี่จะพยายามติดต่อที่อื่นเรื่อยๆ”

“พี่นี่รู้ใจคุณจริงๆ”

“ถ้าไม่รู้ใจพี่จะจีบเราติดไหมละ?”

   เพราะเราไม่แน่ใจว่าในท้ายที่สุดแล้วคุณเว่ยจะเลือกโรงงานเรารึไม่พี่ดาร์กจึงไม่หยุดในการหาลูกค้าต่างชาติและก็ไม่ผิดหวังทางเราได้ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกเสื้อผ้าเพิ่มเติมอย่างเช่นตอนนี้มีอีกหลายประเทศที่มีความต้องการจะใช้เสื้อผ้าหรือเนื้อผ้าที่ผลิตมาจากโรงงานในไทย

“เกาหลี?? จริงดิพี่คุนไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าทางเกาหลีเขาจะสนใจผ้าที่ทำจากไทยด้วย”

“เขาก็ไม่ได้รับจากประเทศไทยประเทศเดียวเขารับหลายที่พอดีพี่ไปลองคุยกับลูกค้ามาก็เลยพอรู้ว่าเขารับจากไทยด้วยถ้างานเราสามารถปรับให้ตรงกับงานของเขาได้”

“โหยตื่นเต้นสุดๆ ไปเลยพี่ดาร์ก”

“ใจเย็นๆ พี่ยังติดต่อบริษัทที่นั้นไม่ได้เลยขอให้พี่ติดต่อเขาได้และเขาสนใจที่จะติดต่อค้าขายกับเราถึงตอนนั้นค่อยตื่นเต้นนะ”

“ครับ”

   ในขณะที่เราสองคนกำลังเตรียมงานกันอย่างขยันขันแข็งสำหรับการติดต่อกับบริษัทที่ประเทศเกาหลีในช่วงบ่ายของวันนึงเราก็ได้รับอีเมลล์ซึ่งเป็นข่าวดีจากมิสเตอร์เว่ยว่าทางเขาและหุ้นส่วนตกลงที่จะใช้ผ้าและการสกรีนจากทางเรา ตอนที่พี่ดาร์กเอาอีเมลล์มาให้เป็นธรรมทิ้งทุกอย่างพร้อมรีบโทรไปบอกแม่ว่าพวกเขาทำได้แล้ว

“แม่ยินดีด้วยนะ”

“ครับแม่ คุนดีใจมากเลยอย่างน้อยคุณก็ทำตามที่พ่อหวังได้แล้ว”

“แม่ว่าพ่อก็ต้องดีใจ”

“อีกเรื่องตอนแรกว่าจะยังไม่บอกแต่ไหนๆ วันนี้ก็มีเรื่องดีๆ เข้ามาแล้วคุนขอแจ้งแม่เลยนะครับว่าตอนนี้คุนกับพี่ดาร์กก็กำลังเตรียมแผนงานเพื่อเอาไปเสนอบริษัทที่เกาหลีครับ”

“เดี๋ยวคุนทางพม่ายังไม่ได้เซ็นท์สัญญาเลยจะไปต่อเกาหลีเลยเหรอ? แม่ว่าใจเย็นลงมาดีหน่อยไหม? โตเร็วไปแบบนี้แม่ว่ามันน่ากลัว”

“จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาสองปีกว่าคุนมั่นใจครับว่าเราสามารถทำให้มันผ่านไปได้”

“งั้นแม่ก็เอาใจช่วยแล้วกันนะ”

“ขอบคุณครับแม่”


   ยิ่งใกล้วันที่จะต้องเดินทางไปพม่าเพื่อไปเซ็นสัญญาเป็นธรรมก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นทุกทีความจริงเขาไม่อยากที่จะเดินทางไปทั้ง 2 คนและทิ้งโรงงานที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับโครงการของเกาหลีไปแบบนี้แต่พี่ดาร์กขอให้เขาไปด้วยเพราะเราไม่เคยไปเที่ยวนอกประเทศที่ไหนด้วยกันเลยคนอย่างพี่ดาร์กไม่เคยเอ่ยปากขออะไรพอพูดมาแบบนี้มีหรือเขาจะขีดใจได้เขาจึงได้แต่ฝากงานเอาไว้ให้คุณสุวรรณีช่วยดูและเปิดเครื่องมือสื่อสารให้คนที่โรงงานและแม่ติดต่อเขาได้ตลอดเวลา

“แม่แน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปด้วยกับพวกผม?”

ก่อนที่เราจะบุ้คตั๋วเป็นธรรมกับพี่ดาร์คได้ลองชวนแม่ให้ไปด้วยกันแล้วแต่ไม่เป็นผล

“ไปกันเถอะจ๊ะ เพื่อมีอะไรเร่งด่วนทางนี้จะได้มีแม่อยู่ไง ว่าแต่ไปกันนานแค่ไหนละ?”

“เราไปกัน 4 วันครับแม่”

“ไปทำงานและเที่ยวให้ราบรื่นนะจ๊ะ”

“แม่อยากได้อะไรจากพม่าไหมครับ?”

“ได้ข่าวมาว่าหยกกับพลอยที่นั้นดียังไงแม่ฝากดูพวกสร้อยให้แม่สักเส้นแล้วกันจ๊ะ”

“ได้เลยครับ”

   เขากับพี่ดาร์กเลิกเดินทางมาถึงพม่าก่อนวันเข้าประชุมจริง 1 วันด้วยคิดแล้วว่าจะเที่ยวก่อนที่จะไปเครียดกับงาน และทริปนี้เขาเองนี่แหละที่ขอเป็นไดก์นำเที่ยว การเที่ยวก็ไม่มีอะไรมากมีแค่ไปไหว้พระที่เจดีย์ชเวดากองและก็ไปกินข้าวบนเรือพร้อมกับซื้อของฝาก

การจราจรของพม่าไม่ได้ต่างไปจากบ้านเราจากสนามบินไปถึงโรงแรมแม้ระยะทางจะไม่ไกลมากแต่เราสองคนก็ใช้เวลาอยู่บนแท๊กซี่เกินกว่าครึ่งชั่วโมงทำให้แม้เราจะบินแต่เช้าแต่เพราะรถติดกว่าจะถึงโรงแรมกว่าจะเก็บของเรียบร้อยก็เป็นช่วงสายๆ พอดี

“ไปพี่เดี๋ยวคุนพาเที่ยวเอง”

“วันนี้จะเป็นไกด์ให้พี่เหรอ?”

“ใช่แล้ว คุนนะหาข้อมูลมาครบ”

“เหรอครับ? งั้นที่แรกเราจะไปไหนกันดี?”

“ไปไหว้พระ”

“และเราจะไปยังไงกัน?”

“เดี๋ยวไปถามประชาสัมพันธ์ก็ได้”

“แล้วไม่ซื้อพลอยให้แม่แล้วเหรอ?”

“ซื้อ”

“แล้วเราจะไปซื้อที่ไหนดีละ? ตลาดปิดกี่โมง?”

“เดี๋ยวก็ถามเขาเอาคุนหาแหล่งมาแล้ว เออแต่คุนลืมดูเวลาเปิดปิด”

“คุน”

“หื้อ?”

“แต่พี่ว่าพี่เป็นคนนำเที่ยวจะดีกว่านะ”

“ทำไมละ? พี่ไม่เชื่อฝีมือการหาข้อมูลของคุนเหรอ?”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อครับ แต่โน้นดูโน้นครับ”

   พี่ดาร์กชี้มือไปที่ล้อบบี้ของโรงแรมซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรที่ผิดปกตินอกจากแขกที่กำลังนั่งรอกุญแจหรือนั่งเล่นแต่พอลองมองดูดีๆ เขาก็เห็นผู้ชายคนนึงยืนถือป้ายชื่อของเขาอยู่

“นั้น”

“ครับ พี่ติดต่อไกด์ท้องถิ่นไว้แล้ว”

“แล้วทำไมไม่บอกปล่อยให้เมื่อคืนคุนหาข้อมูลอยู่ได้”

“โกรธพี่เหรอ? ขอโทษ”

ความอายทำให้ความรู้สึกร้อนมากองรวมกันที่แก้มของเป็นธรรมไอ้เขาก็พยายามเตรียมการมาอย่างดีค้นหาการเดินทางว่าจะไปยังไงแบบนี้ก็หาเก้อนะสิแถมแม้กี้ตอนออกตัวว่าจะพาเที่ยวยังไม่รู้รายละเอียดแค่คิดเป็นธรรมก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่ดาร์กแล้ว

“อ้าวก้มหน้างุดเลยเลิกโกรธพี่ก่อนนะครับ พี่ขอโทษตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาก่อนเราต้องไปตลาดพลอยกันแล้วเดี๋ยวจะไม่ทัน ไหนคุนหาที่ไหนมาเอามาให้พี่ดูหน่อยสิเดี๋ยวพี่ให้ไกด์พาไป”

“นี่ครับ”

เป็นธรรมยื่นแผ่นกระดาษไปให้พี่ไกด์ ไกด์ท้องถิ่นบอกกับพวกเราสองคนว่าที่ที่เขาหามามันยังไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุดและเขาก็อยากจะเสนอที่ใหม่ให้

“ไม่เป็นไรครับเราต้องการไปที่ตรงนี้” พี่ดาร์กยืนยันสถานที่ไปกับไกด์แล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเป็นธรรมเมื่อเห็นเป็นแบบนี้จึงยอมเงยหน้าขึ้นมองพี่ดาร์กก่อนที่จะเอ่ยถาม

“พี่...เขาเป็นคนท้องถิ่น”

“เขาเป็นไกด์ครับ”

“ก็ใช่ไงแล้วเราไม่สมควรเชื่อเขาเหรอ?”

“พี่เชื่อข้อมูลที่คุนหามามากกว่าพี่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นไม่ใช่จากลมปากแล้วเมื่อคืนพี่ก็เห็นแล้วว่าคุนตั้งใจหาข้อมูล มากแค่ไหน”

“ก็ใช่ครับ”

“คุนเชื่อคนง่ายเสมอเลยเนอะ”

“คุนเปล่า”

“ระวังโดนหลอกไม่รู้ตัวนะครับ”

จริงเหรอ? เป็นธรรมนะเหรอที่เชื่อคนง่ายเขาว่าไม่นะ เพราะทุกครั้งก่อนที่จะเชื่อใครเขาก็มักจะมีเหตุผลในการเชื่อเสมอไม่งั้นก็จะเป็นคนสนิทหรือคนที่รู้จักมานานเท่านั้น

“ว่าแต่แบบพลอยที่ซื้อให้คุณแม่เอามาด้วยรึเปล่าหึ?”

   ในขณะที่สมองกำลังประมวลถึงคำพูดของพี่ดาร์กเขาก็มาถึงตลาดพลอยที่ใหญ่สมคำเล่าทางอินเตอร์เน็ทจริงๆ ทำให้เขาเลิกคิดถึงเรื่องคำพูดนั้นและเอาเวลามานั่งเลือกพลอยเป็นของฝากให้กับแม่แทน

วันต่อมาเราทั้งสองคนไม่ได้จ้างไกด์เพราะแค่ต้องการเดินเล่นในเมือง พวกเราแวะเดินตลาดที่เดินไปเจอโดยบังเอิญแวะกินข้าวข้างทางแม้รสชาติของอาหารจะไม่ได้เป็นแบบที่พวกเราคุ้นเคยแต่มันก็อร่อยไปอีกแบบช่วงบ่ายพี่ดาร์กพาเขาไปถ่ายรูปที่วังเก่าที่สวยงามและกว้างขว้างจนถึงเวลาที่เราจ้องร้านอาหารบนเรือเอาไว้

“โห มีแสดงโชว์ด้วยสวยมากอะพี่”

“อย่าเอาแต่ดูไปตักอาหารมากินด้วย”

   ร้านอาหารที่อยู่บนเรือจอดเทียบท่าอยู่นี้ที่ชื่อว่าร้าการเวกอาหารบนเรือถูกจัดเป็นแบบบุฟเฟต์สามารถตักทานได้เรื่อยๆ พร้อมทั้งยังมีการแสดงโชว์พื้นเมืองบนเวทีไปตลอดมื้ออาหารเป็นอีกวันที่หมดไปอย่างมีความสุขทั้งอิ่มท้องและอิ่มตา

   เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราได้ไหด์คนเดิมมารับเพื่อไปซื้อผ้าทอที่ขึ้นชื่อของพม่าความสวยของมันทำให้เขาต้องซื้อมาฝากคนรู้จักอยู่หลายผืนและไม่น่าเชื่อว่าแค่เดินดูผ้าต่างๆ เวลาก็ผ่านไปจนถึงช่วงเย็น

“เราต้องไปวัดกันครับ”

เพราะซื้อของมาเยอะพวกเราจึงแวะเอาของมาเก็บที่โรงแรมก่อนที่จะออกเดินทางต่อที่หมายของพวกเราสำหรับค่ำนี้ก็คือเจดีย์ชเวดากอนสถานที่อันโด่งดังประจำเมืองย่างกุ้ง

“ทำไมเราไปวัดกันตอนเย็นละพี่?”

“ก็เพราะว่าวัดของพม่าต้องถอดรองเท้าเดินไงเดินกลางคืนจะได้ไม่ร้อนเท้าแถมเขายังเปิดไฟถ่ายเจดีย์ได้สวยมากและที่สำคัญตรงยอดเจดีย์ถ้าเราไปยืนตามจุดแสงไฟที่ส่องกระทบเพชรบนยอดจะสามารถทำให้เรามองเห็นสีจากเพชรได้ครบทุกสีด้วยนะ”

“เฮ้ยย ดีอะ”

เป็นะรรมเดินวนหาจุดนั้นอยู่หลายรอบไม่ยอมเดินไปที่อื่นเพื่อที่จะมองหใครบ 7 สีและความพยายามของเขาก็สำเร็จเมื่อเขาสามารถมองมันได้ครบทั้ง 7 สีและเมื่อเขาสมความประสงค์แล้วเขาก็ออกเดินไปที่รูปปั้นพระทันใจ

“แอบมาขอพรอะไร?”

“ขอพรบอกได้ที่ไหน? เดี๋ยวไม่เป็นจริง”

“กฎนั้นใช้กับที่เมืองไทยนี่มาขอพรนอกประเทศกฎนั้นยังถูกบังคับใช้อีกเหรอ?”

“มันกฎสากลโลก”

“โอเค ไม่บอกก็ไม่บอกเห็นไหว้ซะนานก็เลยอยากรู้”

   พรที่เป็นธรรมขอไม่ได้เป็นความลับอะไรแต่มันเป็นความเชื่อของเขาที่ถูกฝังมากับตัวเนิ่นนานว่าเวลาขอพรพระอย่าพูดออกไปเพราะมันอาจไม่เป็นจริงทั้งที่สิ่งที่เขาขอก็มีอยู่แค่ 2 เรื่อง เรื่องแรกเขาขอให้การติดต่องานในอนาคตไม่ว่าจะเรื่องอะไรขอให้ราบรื่นส่วนเรื่องที่สองเขาขอให้ความรักของเขากับพี่ดาร์กเป็นแบบนี้ไปนานๆ ขอให้พี่ดาร์กยังคงรักเขาแบบนี้อย่าให้ต้องให้เราต้องเลิกรักกัน

“กลับห้องกันเถอะดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องออกไปประชุมกับมิสเตอร์เว่ยแต่เช้า”


   การเจรจากับบริษัทของมิสเตอร์เว่ยผ่านไปได้ด้วยดีข้อตกลงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสัญญาก็ได้ถูกเซ็นท์เรียบร้อยทำให้เป็นธรรมเดินออกกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม

“วันนี้พี่จะค้างกับคุนไหม?”

   พวกเรากลับมาถึงที่ไทยในช่วงบ่ายแก่ๆ พี่เขาพยายามดึงพี่ดาร์กให้เจอกับแม่เพราะอยากให้พี่ดาร์กเป็นคนสรุปผลงานนี้กับแม่ด้วยตัวเองแต่จนมื้อเย็นก็ผ่านไปแล้วจนฟ้าก็เริ่มมืดแม่ก็ยังไม่กลับมา

“ไม่ดีกว่าเอกสารที่ต้องเอาเข้าบริษัทยังอยู่ที่ห้องพี่”

“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลยเนอะ”

   แม้เป็นธรรมจะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้เพราะมันก็เป็นเขาเองที่ทำให้พี่ดาร์กต้องเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้กับเขาแต่พอได้มาฟังคำปฎิเสธเขาจังๆ มันก็ทำให้เขาอดน้อยใจและอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเขาฝ่ายเดียวรึเปล่าที่อยากอยู่กัน

“อ้าว ไงเป็นแบบนี้ไปได้ละ? พี่ขอโทษนะพี่ไม่มีเวลาให้คุณเลย”

“คุนก็แค่พูดความจริง”

“ที่พี่ทำไปทั้งหมดก็เพราะพี่อยากให้เรามีความสุขโดยเฉพาะเวลาที่ยังมีพี่อยู่ข้างๆ”

“พี่กำลังทำให้คุนได้ใจ”

“ดี พี่ชอบให้คุนได้ใจเพราะพอคุนได้ใจคุณก็จะไม่ระวังและถึงเวลานั้นพี่ก็จะฮุบเอาไว้เอง” พี่ดาร์กยิ้มให้เขาที่มุมปากสงสัยท่าจะชอบใจที่ได้พูดอะไรแบบนี้เหมือนตัวร้ายในละคร

“ครับๆ ฮุบเลยครับ เอาโรงงานนี้ไปเลยครับ”

“คุนพูดเองนะคืนคำไม่ได้แล้วนะ”

“ฮ่าๆๆ คร้าบบบ เอาไปเลยพ่อตัวร้าย”


โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ


สวัสดีค่ะ Recoup ที่จริงได้จบไปแล้วครั้งนี้เราได้ทำการเรียบเรียงคำพูดและแก้คำบรรยายใหม่ค่ะเนื่องจากพอลองได้อ่านทวนดูอีกครั้งเจอคำพูดกับคำบรรยายที่ไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่ค่ะ แหะๆ แต่เนื้อเรื่องคงเดิมนะคะ 

ตอนนี้ลง Rewrite ได้ 6 ตอนแล้วค่ะ

ขอรบกวนฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะคะ

ขอบคุณค่ะ
 Sweetsky
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 6 - 05/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-01-2017 19:47:24
อ่านไป ลุ้นไป
ที่แท้แล้วดาร์ครักคุณบ้างไหม หรือที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมาย (ที่เรายังไม่รู้ว่าคืออะไรแน่)
ยิ่งอ่านไปยิ่งหวาดหวั่นแทนคุณ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 6 - 05/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-01-2017 21:44:03
คุณรักดาร์กจนทุ่มเทให้หมดตัว
ไว้ใจเกิน แถมไม่เอะใจอะไรเลย

คงต้องเสียทั้งโรงงานและบ้าน ไม่เหลืออะไร น่าสงสารจริงๆ :ling2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 6 - 05/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 11-01-2017 19:44:48
บทที่ 7 Rewrite 11/1/18

“แม่ครับทำไมหนูถึงชื่อดาร์กละครับ?”

“เพราะตอนที่แม่ท้องหนูแม่จะรู้สึกเจ็บท้องและแพ้ท้องเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วและภาษาอังกฤษนอกจากคำว่าไนท์ที่แปลว่ากลางคืนแล้วก็มีคำว่าดาร์กอีกหนึ่งคำจ๊ะหนูไม่ชอบชื่อนี้เหรอครับ?”

“ชอบครับ”

“เอ้า แม่ลูกคุยอะไรกันอยู่ไม่เลิกครับ ได้เวลาเด็กดีต้องเข้านอนแล้วนะครับ”

“ดาร์หนอนด้วยได้ไหมครับ?”

“แต่หนูมีห้องของหนูเองแล้วนะครับหนูต้องนอนห้องของตัวเองสิฝึกไว้นะครับ มาพ่อไปส่ง”

“พาดาร์กขี่สูงๆไปส่งหน่อย”

ทุกคืนพ่อของเขาจะเป็นคนรับหน้าที่พาเขาเข้านอนและช่วงเวลาที่เขาชอบก็คือช่วงนี้ช่วงที่พ่ออุ้มตัวเขาให้สูงๆ แล้วจับให้นั่งอยู่ที่ไหล่ของพ่อให้เขาขี่คอ การได้อยู่สูงๆ มันทำให้เขารู้สึกทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นจนอยากจะขอให้ห้องนอนของเขาที่อยู่ชั้นสองมันอยู่ไกลออกไปอีกพ่อจะได้ยอมให้เขาอยู่ที่สูงๆ แบบนี้ไปได้นานอีกนิด


“แต่งตัวเสร็จรึยังลูก? เร็ว เดี๋ยวสายนะครับ”

“ดาร์กเสร็จแล้วครับ”

“คุณค่ะอาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

“พ่ออุ้มดาร์กลงหน่อย”

“แค่อุ้มนะครับ พ่อใส่เสื้อทำงานแล้วขี่คอไม่ได้นะครับ”

“ครับ”

“สองคนนั้น เล่นอะไรกันอยู่ค่ะ รีบลงมาได้แล้วค่ะ”

เสียงความวุ่นวายในยามเช้าเป็นเสียงที่เด็กชายทรงจำได้ยินเสมอแต่ไม่ว่าแม่จะโวยวายด้วยสีหน้าบึ้งตึงขนาดไหนเขากับพ่อก็พร้อมที่จะหัวเราะเอิ้กอ้ากให้แม่เพิ่มความหงุดหงิดเข้าไปได้อีก

“เย็นนี้พ่อกับแม่จะรีบมารับ เป็นเด็กดีนะครับ”

“ครับ”

“เดี๋ยวก่อนแล้วเป็นเด็กดีต้องเป็นยังไงครับ?”

“ต้องเชื่อฟัง ต้องไม่ดื้อครับ”

“ดีมากครับลูกพ่อ”

เย็นวันนั้นพ่อกับแม่มายืนรอรับเด็กชายทรงจำที่โรงเรียนตามสัญญาเขายิ้มกว้างโผวิ่งเข้าหาอ้อมแขนที่กางอ้าเอาไว้แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ต้องจางลงเรื่อยๆ จนมันหายไปจากใบหน้าเมื่อภาพของพ่อและแม่ที่กำลังอ้าแขนรับเขาให้วิ่งเข้าหากำลังเลือนหายไปทุกที

“แม่ พ่อ รอดาร์กด้วย”

เด็กชายทรงจำพยายามใช้ขาป้อมสั้นของเขาวิ่งเข้าไปเพื่อที่จับมือของคนทั้งสองเอาไว้แต่ไม่ว่าจะพยายามออกวิ่งเท่าไหร่ก็เหมือนว่าเขาจะไม่สามารถถึงจุดหมายได้จนในที่สุดภาพของคนทั้งสองก็จางหายไปก่อนที่เขาจะได้ไปสัมผัสมือของทั้งสอง
เด็กชายทรงจำตะโกนเรียกพ่อเรียกแม่ดังลั่นหวังไว้ท่านทั้งสองได้ยินและกลับมารับเขาแต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนสุดเสียงสักเท่าไหร่ท่านทั้งสองคนก็ไม่ปรากฏออกมาให้เห็นเขาเริ่มออกเดินโดยมีความหวังว่าพ่อกับแม่อาจจะอยู่ใกล้ๆ กับแถวนี้แต่เดินจนเหนื่อยล้าเขาก็เจอแต่ความว่างเปล่า

ริมฟุตบาทดูเป็นเหมือนที่เดียวที่เขาสามารถนั่งพักได้เขานั่งรออยู่ตรงนั้นจนความมืดเริ่มปกคลุมไปทั้วพื้นที่กลืนแสงสว่างจนเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย

“พ่อ แม่ ดาร์ห ฮึก ดาร์ก ฮึก กลัว อยู่ไหนกันครับ?”

“พ่อ แม่!!”
 
ทรงจำสะดุ้งเฮือกลืมตาโพร่งในยามดึกแม้ว่าเขาจะเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 20 องศาแต่ว่าเนื้อตัวของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อหันไปดูนาฬิกาที่หัวเตียงตอนนี้เพิ่งจะตี 3 เหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องตื่นเขาจึงพยายามจะข่มตาให้หลับลงอีกครั้งแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถหลับลงได้เลย

ทรงจำไม่ได้ฝันเรื่องราวเก่าๆ มาเป็นสิบปีไม่รู้ทำไมจู่ๆ คืนนี้ความฝันเหล่านี้ถึงกลับเข้ามาได้ ความเจ็บปวดความห่วงหาความคิดถึงทุกความรู้สึกมันยังคงตรึงเขาอยู่ในความฝันนั้นอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาไม่สามารถล้มตัวลงนอนได้ต่อ

พอเห็นว่าตัวเองไม่สามารถล้มตัวลงนอนได้ต่อทรงจำจึงลุกมาเปลี่ยนเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออกพร้อมกับเดินไปไปที่ริมหน้าต่างเพื่อดูแสงไฟริบๆ ตามตึกอื่นๆ ในยามดึก

“พ่อกับแม่สบายดีไหมครับ?”

เมื่อความทรงจำเก่า ของเขากลับมาทำงานอีกครั้งเขาจึงเดินไปที่ริมห้องเปิดลังใส่ที่อยู่ใต้สุดของลังใส่ของใบอื่น สิ่งที่อยู่ด้านบนสุดของที่อยู่ในกล่องก็คืออัมบั้มรูปภาพเก่าเขาหยิบรูปฟิลม์ในนั้นมาเปิดไล่ดูรูปต่างๆ ตั้งแต่สมัยเขายังเด็กรูปที่บางรูปถูกถ่ายด้วยพ่อบางรูปถูกถ่ายด้วยแม่และไปจนถึงรูปที่ถูกถ่ายโดยเขาที่ทั้งรูปไม่มีภาพอะไรยกเว้นพื้นหญ้าและขาสี่ขาจากคนสองคน

“ดาร์กถ่ายบ้างๆ สอนดาร์กด้วย”

“ดาร์กจะถ่ายเหรอลูก? มาแม่สอน”

แม่มักตามใจเขาเสมอไม่ว่าเขาจะอยากทำอะไรหรืออยากรู้อะไรไม่มีเลยที่แม่จะขัดไม่ให้เขารู้หรือไม่ให้เขาได้ลองทำวันนั้นทรงจำจำได้ว่าแม่พยายามสอนปุ่มหลายปุ่มที่ถ้าให้เขายอมรับตรงๆ เขาจำปุ่มอะไรไม่ได้เลยยกเว้นปุ่มกดชัตเตอร์ แต่เขากลัวว่าจะไม่ได้ลองถ่ายถ้าบอกกับแม่ว่ไปาเขาจำไม่ได้เพราะฉะนั้นตอนที่แม่ถามว่าเข้าใจไหมครับ? เขาเลยตอบออกไปว่า ‘เข้าใจครับ’

“ในเมื่อเข้าใจหมดแล้วงั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปเป็นแบบให้ตรงโน้นนะถ่ายให้สวยๆ ล่ะครับ”

“ครับ”

ทันทีที่แม่ปล่อยมือออกทรงจำเองก็เกือบจะทำกล้องรักของพ่อร่วงที่พื้นสนามหญ้าแต่โชคยังเข้าข้างที่มีสายคล้องคอเอาไว้มันเลยตกลงมาได้แค่ที่ช่วงเอวตอนที่แม่ตะโกนว่าถ่ายได้เป้นตอนที่เขาตื่นเต้นยื่งกว่าเล่นรถไฟเหาะบนคอพ่อเสียอีกแต่เขาก็ยังใจกล้านับ หนึ่ง สอง สาม เลียนแบบแม่แล้วก็ลงมือกดชัตเตอร์

“ผมน่าจะตั้งใจถ่ายให้ดีกว่านี้นะครับแม่ว่าไหม?”

ทรงจำพูดอยู่กับรูปที่เขาถ่ายพลาดถ้าเขารู้อนาคตล่วงหน้าว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นเขามั่นใจว่าเขาจะต้องทำได้ดีกว่านี้เขาจะต้องมั่นใจมากกว่านี้และรูปของพ่อกับแม่ที่ถูกถ่ายด้วยฝีมือของเขามันจะต้องดีกว่านี้


“มาอยู่ก็เป็นภาระแกหัดจับอะไรให้มันเป็นประโยชน์บ้างบ้านอะถูสิออกแรงให้มันคุ้มก้บค่าข้าวที่ยัดปากเข้าไปหน่อย”

พลั้ก แรงผลักที่หัวค่อนข้างแรงทำให้เด็กชายทรงจำที่เพิ่งอยู่เพียงประถมศึกษาปีที่สี่ที่กำลังก้มตัวถูบ้านไม่สามารถตั้งหลักทำให้ตัวเองหน้าเลยคะมำลงไปโคกกับพื้นบ้าน

“เพราะพ่อแม่แก พวกฉันเลยต้องลำบาก แหกตาดูสิถ้าไม่มีพวกฉันใครจะมาดูแลแก”

“ดาร์ก ดาร์ก ขอโทษครับ”

“มึงก้มหน้าด่ากูเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“อย่าให้กูรู้ว่ามึงด่ากูนะ ถ้ารู้นะมึงโดนแน่”

ทรงจำก้มหน้าลงให้ต่ำพยายามให้คางชิดกับอกให้มากที่สุดและแม้เขาจะเจ็บที่หน้าผากแค่ไหนเขาก็ต้องพยายามซ่อนตาที่กำลังจะมีหยดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ให้ลุงกับป้าได้เห็นเพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้ย้ายมาอยู่กับลุงกับป้าเขาก็เรียนรู้อย่างนึงว่ายิ่งเขาร้องไห้เสียงดังเท่าไหร่เขาก็จะถูกตีหนักขึ้นเพื่อเอาเสียงไม้เรียวมากรบเสียงร้องไห้ของ

“ฮึกก ดาร์กคิดถึงแม่”
“ฮึก ดาร์กคิดถึงพ่อ”

“เงียบๆ หน่อยโว๊ยมันดึกแล้ว”

“ป้าจ๋า ลุงจ๋า ดาร์กนอนด้วยได้ไหม?”

“ไม่ได้ที่ฟูกพวกกูเบียดกันจะตายมึงจะมานอนอีกได้ไง”

“ฮึก ดาร์กกลัวฝนมันตก”

“โอ๊ย รำคาญ ศรีมึงลุกไปดูหลานมึงหน่อย”

สิ้นคำของลุง ป้าก็เดินเข้ามาหาเขาที่ตรงฟูกนอนของเขาทันทีทรงจำดีใจที่คืนนี้เขาไม่ต้องนอนที่ฟูกคนเดียวที่นี่ไม่เหมือนบ้านของเขาที่นอนมันอยู่ใกล้กับตรงสังกะสีที่กั้นห้องเอาไว้และทุกครั้งที่เสียงฝนดังเข้ามามันก็เสียงดังจนเขากลัว

โครม ป้าเดินมาดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นแต่แรงดึงของป้ามันแรงเกินไปทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัวโถมตัวล้มใส่ป้าและทำให้ป้าที่ยืนอยู่ต้องล้มลงกับพื้นห้อง

“โอ๊ย เจ็บๆ ตัวซวยมาก็สร้างแต่เรื่องคนจะหลับจะนอนกลัวมากใช่ไหม? มานี่”

“ป้า ดาร์กไม่ไป ไม่เอา ป้าจ๋าดาร์กไม่ไป”

ทรงจำเองก็ไม่รู้ว่าป้าจะลากเขาไปที่ไหนรู้แต่ว่าเขาจึงขืนตัวสุดแรงไม่ยอมเดินไปตามแรงดึงของป้าเขาพยายามที่จะเอานิ้วเกาะไว้กับช่องว่างของกระดานไม้พื้นบ้านแรงดึงทำให้เล็บมือของเขาเริ่มจะมีเลือดออกและบางเล็บก็เริ่มฉีดออกแต่เขาก็ไม่ยอมแล่อยเขาสู้สุดกำลังที่เขาจะทำได้แต่น่าเสียดายที่แรงของเด็กเก้าขวบสิบขวบไม่สามารถสู้อะไรกับแรงของผู้ใหญ่ได้เพราะไม่ว่าเขาจะฝืนยังไงเขาก็โดนลากออกไปโยนกองไว้นอกห้องอยู่ดี

“นอนมันตรงนี้แล้วกันในเมื่อนอนในห้องแล้วมันวุ่นวายนัก”

“ฮึก ดาร์กขอเข้าไปนอนด้วยได้ไหมครับ? ดาร์กสัญญาว่าจะไม่ร้องแล้ว”

“ไม่ได้ นอนดัดสันดานมันตรงนี้ไปก่อนแล้วกัน”

“พ่อแม่ อยู่ไหนครับ? พ่อ แม่ทำไมทิ้งดาร์ก”

แล้วคืนนั้นทั้งคืนทรงจำก็เอาแต่ตัดพ้อพ่อกับแม่ที่ทิ้งเขาไปทำให้เขาต้องนอนฟังเสียงฝนที่กระทบกับสังกะสีอย่างรุนแรงทั้งคืน

สิ่งหนึ่งที่ทรงจำเรียนรู้ได้เร็วก็คือถ้าเขาไม่อยากโดนทำโทษไม่อยากโดนตีเขาต้องไม่ร้องไห้และคำว่าขอโทษดูเหมือนมันจะเป็นคำที่ทำให้ลุงและป้าใจดีกับเขามากขึ้นเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้ขอโทษเอาไว้ก่อน

การปรับตัวเหมือนจะเป็นหนทางเดียวสำหรับเขาที่จะทำได้และสิ่งที่ห้ามที่สุดก็คือการตั้งคำถามว่าทำไมก็เป็นสิ่งที่เขาไม่ควรทำเช่นกัน


“ทำไมดาร์กถึงไม่ได้ไปโรงเรียนละครับ?”

“จะไปทำไมโรงเรียนเปลืองจะตายเด็กแถวนี้มันก็ไม่ไปโรงเรียน”

“แล้วทำไมเด็กพวกนั้นไม่ได้ไปละครับ?”

“โว๊ย ถามมากจังวะ”

ลุงลุกเดินเข้ามาที่กำแพงบ้านที่เขานั่งติดอยู่กับผลักเข้ามาที่หน้าผากของเขาเป็นจำนวนหลายครั้งทำให้หัวของเขาต้องถูกโขกกับกำแพงอยู่หลายทีจนเขาเริ่มรู้สึกมึนหัวไปหมด

“สงสัยจะมีแรงพูดอยู่มากงั้นเย็นนี้ก็ไม่ต้องกินข้าวจำไว้นะเก็บปากเอาไว้กินข้าวอย่ามาถามอะไรมากเข้าใจไหม?”

“เข้าใจครับ”

และความอยากรู้ที่เขาเคยมีมันก็หายไปจากเด็กชอบถามก็ต้องเป็นเด็กไม่พูดถ้าอยากมีข้าวกินไม่ต้องดื่มน้ำแก้หิวไปทั้งคืนแบบวันนั้นก็อย่าได้ริถามแม่กับพ่อบอกเสมอว่าถ้าจะให้คนรักต้องเป็นเด็กดีทรงจำเด็กดีก็หมายถึงต้องมีคนรักและเขาก็อยากให้ลุงกับป้ารักเขาเลยเรียนรู้และทำตามทุกอย่างที่ลุงกับป้าต้องการ

“เฮ้ย เมื่อไหร่จะให้มันออกไปทำงานวะ? ให้มานั่งบื้อกับบ้านอยู่ได้”

“กำลังถามๆอยู่พี่ว่ามีใครพอจะให้งานมันทำอะไรได้บ้าง พี่ก็เห็นตัวมันเล็กอย่างกับลูกหมาใครเห็นก็ส่ายหน้า”

“ไร้ประโยชน์ จริงโว๊ย เบื่อโว๊ยทำไมต้องมารับไอ้ตัวภาระแบบนี้ด้วย”

เสียงเถียงกันของลุงกับป้าทำให้เขารู้ว่าถ้าเขาทำตัวมีประโยชน์ลุงกับป้าก็จะรักแต่ประโยชน์คืออะไรเขาคิดไม่ออกเขาไม่ค่อยแน่ใจแต่เขาได้ยินว่า ‘งาน’ มันจะเหมือนที่พ่อกับแม่ทำงานรึเปล่านะทรงจำนั่งครุ่นคิดอยู่ตลอดจนวันนึงเมื่อลุงใช้เขาไปซื้อเหล้าที่ร้านขายของที่ห่างไปอีกสองสามหลังเขาจึงได้โอกาสถามเจ้าของร้าน

“ป้าจ้า ดาร์กอยากทำงาน”

“โอ๊ยจะไปทำอะไรได้ ไว้โตกว่านี้หน่อยสิ”

“แต่ป้ากับลุงอยากให้ดาร์กทำงาน”

“อย่าไปฟังพวกมันมาก รอโตก่อนแล้วกันนะไอ้หนู”

แต่แล้วในวันนั้นก็มีเด็กหนุ่มวันรุ่นเดินเข้ามาหาเขาหลังจากที่เขาคุยกับป้าร้านขายของเสร็จ

“อยากทำงานเหรอ?”

“ใช่ อยากทำ”

“มากับพวกฉันสิ ฉันมีงานให้ทำ”

ตอนที่ทรงจำเอาเหล้ากลับเข้าไปให้ลุงพร้อมบอกว่าจะออกไปทำงานลุงหัวเราะเสียงดังและนั้นแทบจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะของลุงเขายิ้มดีใจจนแก้มปริเพราะอย่างน้อยเขาก็น่าจะสามารถทำให้ลุงรักเขาได้บ้างแล้ว

“ดีๆ สำนึกบุญคุณให้มากๆ ออกไปทำงานหาเงินมาให้พวกกูได้แล้วอย่าดีแต่ปากถ้ากลับมาแล้วไม่มีเงินมาให้แกโดนตีแน่”

“ครับ”

งานที่พี่ผู้ชายคนนั้นมาให้เขาทำไม่ใช่งานเหนื่อยอะไรเขามีหน้าที่แค่เอากระป๋องมาตั้งเอาไว้ตรงหน้าเสื้อยืดที่อยู่ติดตัวของเขาถูกเอากรรไกรตัดให้แหว่งแล้วก็ให้นั่งลงแต่ต้องนั่งตากแดดอย่านั่งในที่ร่มก็แค่นั้น

“มึงห้ามพูดอะไรนั่งอยู่อย่างนี้ยกมือขึ้นไหว้ห้ามเข้าที่ร่มเข้าใจไหม?”

“ได้ๆ”

“ดี ถ้าทำได้จะแบ่งเงินให้”

วันแรกที่เขาเริ่มทำงานพี่ชายคนนั้นให้เขานั่งตั้งแต่บ่ายจนถึงช่วงประมาณทุ่มตรงเขาได้เงินมาทั้งหมดเป็นจำนวนหนึ่งร้อยบาททรงจำดีใจมากรีบกำเงินแน่นกลับไปที่บ้านนั่งรอเวลาที่ลุงกับป้าจะกลับเข้าบ้านมา

“ป้า นี่เงิน ดาร์กทำงานแล้วได้เงินแล้ว”

“ไหนเท่าไหร่? อะไรหายไปตั้งแต่บ่ายได้มาเท่านี้?”

“เท่านี้จริงๆครับ”

“ไหนมาค้นตัวสิ”

“เอ๊ะ ศรีมึงนี่ยังไงหลานเอาเงินมาให้ก็รับไว้สิแล้วนี่กูรู้คนแรกเพราะฉะนั้นนี่เงินกูเอามาส่วนไอ้ดาร์กเอ็งทำได้ดีมากไปทำอีกไปทำให้ได้เงินมาเยอะกว่านี้อีกไปกินข้าวไป เอ๊ะศรีมึงอย่ามาแย่งเงินของกูนะ”

‘ไปกินข้าวไป’ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลุงชมว่าเขาทำดีแถมยังเรียกให้เขาไปกินข้าวอีกนี่สินะเด็กดีตามที่ลุงกับป้าเพราะฉะนั้นถ้าเขาหาเงินได้เรื่อยๆ ลุงกับป้าก็จะรักเขาเขาคิดถูกแล้ว

“เอ้า นอนอุตุเลยแล้วไม่ไปทำงานแล้วรึไง?”

“ดาร์กไม่ไหวครับ”

“โอ๊ย ไอ้ลูกคุณหนู ไอ้สำออย ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้แหม่ไปทำงานได้แค่สามสี่วันกลับมาสำออยว่าไม่ไหวจะเริ่มเสียข้าวสุกแล้วสินะมึงลุกขึ้นมา”

เพราะยิ่งนั่งนานก็จะยิ่งได้ตังค์เยอะหลังจากนั้นทรงจำจึงมักรีบตื่นแต่เช้าเพื่อรีบไปนั่งขอทานแล้วกลับมาในช่วงมืดแต่วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขาเขารู้แค่ว่าเขาหนาวมากและเขาก็เจ็บคอแม้แต่กลืนน้ำลายก็เหมือนว่าเขากำลังกลืนทรายเข้าคอเลยทำให้เขาไม่อยากออกไปทำงาน

 “ถ้าวันนี้ไม่มีตังค์ก็ไม่ต้องกินข้าวเย็น”

เรื่องกินข้าวไม่ใช่เรื่องที่ทรงจำเป็นห่วงแต่เพราะสองสามวันมานี่ป้ากับลุงกตีเขาน้อยลงและการตีน้อยเป็นสัญญาณว่าเขากำลังถูกรักมากขึ้นเพราะเหตุนี้ต่างหากที่ทำให้ต้องพยายามฝืนลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปทำงานข้างนอก

“พ่อมึงมา!! ไอ้ดาร์กวิ่ง”

พ่อในที่นี่คือเจ้าถิ่นที่คุมซอยแถวนี้วันนี้กลุ่มของพวกเขาเปลี่ยนที่ทำมาหากินกันแต่พวกเขาแอบเข้ามาเพราะไม่มีจ่ายเงินให้กับเจ้าถิ่นเลยต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ปกติเรื่องวิ่งหนีเขาไม่เคยรั้งท้ายแต่วันนี้เขารู้สึกมึนหัวแต่เช้าทำให้วิ่งช้ากว่าคนอื่นๆ

“มึงไม่ใช่เด็กซอยนี้ กล้าดียังไงหะ?” และในที่สุดเขาก็โดนคนนึงที่วิ่งตามจับตัวเขาเอาไว้ได้

“ขอ ขอโทษ”

“ไหนมึงเอาเงินมาเงินที่มึงหาได้เอามา”

“ไม่มี” ทรงจำเอาเงินซุกเข้าซ่อนที่กางเกงชั้นในของตัวเองและพยายามเบี่ยงตัวหนีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“มึงเก่งนักใช่ไหม?”

ความตกใจที่ถูกจับได้ทำให้ทรงจำคิดไม่ทันว่าควรป้องกันตัวอย่างไรหมัดลุ้นๆ จากคนตัวโตกว่าจึงต่อยเข้าเต็มหน้าของเขา จากหมัดเดียวก็ถูกเพิ่มเป็นสองหมัดสามหมัดในที่สุดทรงจำก็ไม่สามารถทรงตัวเองให้ยืนอยู่ได้เขาล้มลงไปนอนราบที่พื้นและยังคงพยายามเอ่ยคำว่าขอโทษจะได้หยุดโดนต่อยแต่น่าเสียดายที่ผู้กระทำไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดผู้กระทำยังคงก้มลงมาต่อบแล้วพอเจ็บมือก็เปลี่ยนมาแตะแทนในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงพึมพำอยู่เพียงแค่คำว่า ‘ขอโทษๆ’

ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ไม่ปล่อยให้เขาเดียวดายอีกต่อไปนั้นไงตอนนี้ตรงนั้นข้างหน้าพ่อกับแม่ที่กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาเหมือนจะปลอบว่าไม่เป็นไรเจ็บแค่นี้มันนิดเดียวเอง ทรงจำยิ้มตอบให้พ่อกับแม่เอื้อมมือเข้าไปหาแม้ว่าภาพที่เขาเห็นจะเริ่มไม่ชัดเพราะน้ำตาและเลือดที่เริ่มไหลมาบังดวงตาแต่เขาก็ไม่ยอมแม้กระทั่งจะกระพริบตาไล่สิ่งเหล่านั้นเพราะภาพที่เห็นมันเป็นภาพที่เขามีความสุขมากที่สุดเขาคิดถึง คิดถึงอ้อมกอดของแม่คิดถึงไหล่คู่นั้นของพ่อจัง แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ต่อความต้องการของร่างกายของตัวเองตาของทรงจำค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ และมือที่พยายามเอื้อมออกไปหาพ่อกับแม่ก็โดนเหยียบจนติดพื้น แต่ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเขาได้ยินเสียงผู้หญิงแว่วเข้ามาเสียงนึงว่า

“หยุดนะ ตรงนั้นอะไรกันนะ”

ทรงจำลืมตาขึ้นมาอีกทีเขาก็อยู่ในห้องที่มีพัดลมหมุนอยู่บนเพดานหันไปทางซ้ายขวาก็เจอกับฉากกั้นและที่สำคัญเขากำลังนอนอยู่ที่เตียงนอนแสนนุ่มที่เขาไมได้มีโอกาสนอนมาเป็นปีความเหนื่อยล้าทำให้เขาไม่อยากที่จะลุกจากที่นอนนุ่มนี้แต่แล้วสิ่งนึงที่เข้ามาในหัวของเขาก็คือ ‘เงิน’ เขาจึงพยายามก้าวลงจากเตียงซึ่งพอดีกับมีคนเปิดฉากกั้นเข้ามาพอดี

“ตื่นแล้วรึหนู? เป็นยังไงบ้าง”

“เงินผม”

“หนูหมายถึงสิ่งนี้เหรอจ๊ะ?”

“ครับ”

เป็นธรรมพยายามเอื้อมมือหยิบไปคว้าเงินก้อนนั้นโดยไม่สนเลยว่าเขากำลังจะตกเตียงจนผู้หญิงคนนั้นต้องรีบเดินเข้ามาติดเตียง

“ครูชื่อสมใจ หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”

“ทรงจำครับ”

“งั้นทรงจำรอครูตรงนี้ก่อนนะครูขอไปหยิบของก่อนแล้วเดี๋ยวครูจะพาไปส่งที่บ้าน”

ทรงจำพยักหน้ารับคำแต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะทำตามก็โมงแล้วก็ไม่รู้มัวแต่รอครูแล้วเขาจะไปหาเงินได้ยังไงดังนั้นทันทีที่คุณครูสมใจเดินหายออกไปจากห้องเขาก็เดินออกจากห้องไปเช่นกัน

“วันนี้เปิดไปที่บทที่สามกันค่ะ ไหนใครอ่านมาแล้วบ้างยกมือสิ?”

เสียงการเรียนการสอนที่ดังมาจากห้องเรียนที่ทรงจำเดินผ่านทำให้เขาหยุดชะงัก ขาของเขาพาไปที่ห้องเรียนนั้นโยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองห่างจากประตูโรงเรียนมากขึ้นแค่ไหนเขาเป็นคนชอบเรียนตั้งแต่เด็กเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วออกมาได้ดีพ่อกับแม่จะตามใจทั้งพาเที่ยวหรือเลือกของกินอย่างที่ชอบได้หนึ่งอย่างเขาจึงค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงที่พื้นประตูหลังห้องเรียนเพื่อที่จะร่วมเรียนไปกับเด็กห้องนี้ด้วย

และนับตั้งแต่วันนั้นทรงจำจะใช้เวลาก่อนไปขอทานแอบเข้ามาในโรงเรียนเพื่อเข้ามานั่งเรียนและออกไปในช่วงก่อนพักกลางวัน

ช่วงวันแรกๆ ทรงจำยังไม่สามารถหาห้องของประถม 5 ได้ เขาจึงไปนั่งเรียนกับประถม4 แต่พอเข้าวันที่ 3 เขาก็สามารถหาห้องที่เขาต้องการเจอเขามานั่งเรียนที่หลังห้องนั้นทุกวันจนได้เพื่อนคนนึงที่นั่งติดประตูหลังห้อง เพื่อนคนนี้มักจะแอบเอาขนมมาให้เขาให้แลกกับเล่าเรื่องที่เขาจะต้องไปทำงานในช่วงเที่ยง

“โห นายเก่งมากเลย”

“จริงเหรอเราเก่งเหรอ?”

“จริงเรายังหาเงินไม่ได้แบบนายเลย”

“ขอบใจ”

เพื่อนคนนี้แบ่งขนมให้เขาเสมอตั้งแต่วันแรกๆ ที่เขามานั่งด้วยแต่พอเริ่มหลายวันเขาเพื่อนคนนี้ก็เริ่มเอาสมุดปากกามาให้เขาคอยจดไปด้วยและมันก็เป็นจุดที่ทำให้ทั้งสองยิ่งสนิทกันมากขึ้น

“หลังห้องทำอะไรนะ?”

คุณครูที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องเดินมาหาเขาทั้งสองคนที่อยู่หลังห้องและความลับที่เขาสองคนพยายามปกปิดมาก็แตกออกเมื่อคุณครูเห็นและจับเขาเข้าไปห้องฝ่ายปกครอง

“เธอเข้ามาที่นี่ทำไม?”

“ผมมาเรียนครับ”

“เธอเป็นนักเรียนที่นี่?”

“เปล่าครับ”

“แล้วเธอเข้ามาได้ยังไง?”

“…”

“ถ้าเธอไม่ตอบเธอก็ไม่ได้ออกไปนะ”

“คุณครูสมใจครับ”

ทรงจำไม่อยากทำให้คุณครูที่ช่วย้ขาในวันนั้นเดือนร้อนแต่ถ้าเขาไม่พูดเขาก็จะไม่ได้ออกไปแล้วถ้าเขาไม่ได้ออกไปเขาจะไปหาเงินไปให้ลุงกับป้าได้ยังไง

คุณครูสมใจโดนเรียนมาพบทันทีคุณครูมองกลับมาที่เขาเพียงชั่วครู่แล้วบอกกับคนในห้องนี้ว่าครูเป็นคนแนะนำให้เขามาเรียนที่นี่เองพร้อมทั้งขอโทษที่ยังไม่ได้สมัครเขาเป็นเด็กโรงเรียนนี้อย่างเป็นทางการพอทุกคนในห้องได้ยินดังนั้นจึงยอมปล่อยตัวเขาออกมาและก่อนที่เขาจะวิ่งออกไปหน้าประตูโรงเรียนเขาก็ถูกคุณครูสมใจเรียกเอาไว้

“ทรงจำ”

“…”

“บอกครูสิว่าเธอแอบเข้ามาทำไม?”

“…”

“ถ้าเธอไม่ตอบเธอก็ไม่ได้ออกไปที่หน้าประตูนั้นเช่นกัน”

“ผมอยากเรียนครับ”

“ถ้าเธออยากเรียนเธอก็ต้องสมัครเรียนให้เป็นทางการจะมาแอบเรียนแบบนี้ไม่ได้ นี่คือใบเข้าสมัครเรียนเอาไปให้ผู้ปกครองเซ็นซะ”

“ผมไม่มีผู้ปกครองแล้วครับ”

เพราะในหัวของทรงจำบันทึกอยู่เสมอว่าผู้ปกครองก็คือพ่อกับแม่เหมือนวันประชุมผู้ปกครองที่จะมีพ่อหรือแม่เขาไปแต่วันนี้เขาไม่มีทั้งสองนั้นก็หมายว่าเขาไม่มีผู้ปกครองของตัวเอง

“งั้นตอนนี้เธออยู่กับใคร?”

“ลุงกับป้าครับ”

“นั้นแหละจ๊ะเอาไปให้ลุงกับป้าเซ็นซะ”

ทรงจำรับกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้และเก็บเอาไว้กับตัวไม่ได้บอกลุงกับป้าเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าลุงกับป้าจะตีเขาเพราะเขาไม่ยอมไปทำงานแล้วหาเรื่องมาเรียนแทนแต่จะเขาก็ทำใจทิ้งกระดาษแผ่นนั้นไม่ลงจึงไดแต่นอนมองมันทุกคืนจนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยื่นใบนี้ให้ลุงกับป้าในเย็นวันนึงโดยที่เขาจะให้คำสัญญาว่าจะทำงานหาเงินไปด้วยเหมือนเดิม

“อะไร?”

“ดาร์กอยากเรียนคุณครูบอกว่าแค่ลุงยอมเซ็นท์ดาร์กก็ได้เรียนแล้วลุงเซ็นให้ดาร์กหน่อยได้ไหมครับ?”

“เรียนอะไรใครจะส่งมึงเรียน? ไม่มีเงินจะส่งหรอกนะ”

“คุณครูไม่ได้พูดเรื่องเงินเลยครับ”

“โง่จริงใครเขาจะให้เรียนฟรีๆ”

“งั้นดาร์กจะพยายามหาเงินเองครับ”

“อย่ามาผยองแน้แค่หาเงินได้เล็กๆ น้อยๆ วันละไม่เกินห้าร้อยจะเข้าเรียน ถุยไม่เซ็นไม่เรียนโว๊ยไม่มีเงินมึงเอาไอ้ใบนี้ไปทิ้งเลยไป”

ป้าของเขาปัดเอากระดาษแผ่นนั้นออกไกลตัวอย่างไม่ใยดีเขารู้ว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้แต่เรื่องนี้เขาอยากพยายามอีกสักครั้ง

“ดาร์กอยากเรียน”

ทรงจำพูดซ้ำๆ อยู่หน้าบ้านที่ตั้งเรียงเตียงติดกันกับบ้านอื่นๆ ที่ระหว่างบ้านมีเพียงสักกะสีกั้นเพียงเท่านั้นจึงไม่แปลกที่ในภาพนั้นจะมีคนเดินผ่านไปมาหรือโผล่หน้าออกมาเพื่อที่จะเห็นเขานอนหมอบกับพื้นขอร้องลุงกับป้าจนเสียงแหบเสียงแห้ง

“น่ารำคาญ เก่งมากผยองมากคืนนี้มึงนอนนอกบ้านแล้วครับ”

เช้าวันรุ่งขึ้นทรงจำหอบเนื้อตัวที่แดงเป็นจ้ำด้วยรอยยุงกัดกับกระดาษใบนั้นไปยื่นคืนให้กับคุณครูสมใจเมื่อคุณครูสมใจเห็นสภาพของเขาก็รีบพาเขาไปที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนซึ่งเป็นห้องเดิมที่เขาเคยเข้ามาเมื่อครั้งที่แล้วเพื่อที่ทายาให้

“ผมเอามาคืนครับ ลุงกับป้าบอกว่าไม่มีเงินครับ”

“ทรงจำเธออยากเรียนไหม?”

“…”

“ทรงจำ”

“อยากครับ”

“โรงเรียนเรามีทุน เธอสามารถเป็นเด็กทุนได้ถ้าเธอตั้งใจจริงแต่เธอต้องให้ความร่วมมือกับครูนะ”

“จริงเหรอครับครู?”

“จริงจ๊ะแต่เธอต้องให้ความร่วมมือ”

“ครับครู”

คำของคุณครูเหมือนน้ำบ่อน้อยของทรงจำความดีใจนั้นทำให้เขารีบวิ่งเอาใบสมัครเรียนนั้นกลับไปให้ลุงกับป้าเซ็นอีกครั้งพร้อมกับอธิบายว่าไม่ต้องมีเงินก็เรียนได้

“อยากเรียนมากใช่ไหม?”

“ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้มึงต้องไปกับกูที่นึง”

ลุงกับป้าลากเขามาที่หน้าบ้านหลังใหญ่ของใครสักคนบ้านหลังนั้นมันใหญ่กว่าหลังไหนๆ ที่เขาเคยเห็นมันเป็นบ้านที่เขาเคยอยากให้พ่อกับแม่มีเพราะเขาต้องการให้พ่อจับเขาขี่หลังให้นานกว่าที่เคยได้ขี่

“ร้อง ร้อง เดี๋ยวนี้” น่าเสียดายที่ทรงจำยังคงมัวแต่ยืนตะลึงกับขนาดบ้านเขาเลยไม่สามารถทำตามคำสั่งของลุงกับป้าได้

“ไอ้ดาร์กร้อง ร้องเดี๋ยวนี้”

ทรงจำไม่เข้าใจปกติป้าไม่เคยชอบให้เขาร้องไห้ทำไมวันนี้ป้าถึงสั่งให้เขาร้องไม่รู้ว่าและเพราะเขาเริ่มชินกับการที่ต้องไม่ร้องไห้ต่อหน้าของป้ากับลุงทำให้ไม่ว่าจะพยายามร้องเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะทำให้น้ำตาออกมาได้ตามที่ป้าต้องการ

“กูบอกให้ร้องไง”

“ฮึก อย่าตีเจ็บแล้วๆ”

แม้ว่าเขาจะร้องแล้วแต่เสียงของเขาคงไม่ดังพอป้าถึงได้เริ่มหยิกเขาตีเขาหนักขึ้นเล็บของป้าจิกเข้าไปในเนื้อของเขาจนตอนนี้เขาสามารถเห็นเลือดจากแขนของตัวเอง

“ร้องอีก ร้องให้ดังขึ้นไปอีก ร้องจนกว่าคนในบ้านจะเปิดประตูออกมา ร้อง”

ในเมื่อป้าหยิกเท่าไหร่คนในบ้านหลังนั้นก็ไม่ออกมาสักทีลุงของเขาที่หมดความอดทนเลยจัดการเอื้อมมือฟาดลงมาที่ใบหน้าของเขาและนั้นก็ทำให้ทรงจำร้องดังมากพอจนคนในบ้านหลังนั้นยอมเปิดประตูบานนั้นออกมา

“สวัสดีค่ะคุณธิดา อีฉันคนนี้ป้าของเด็กคนนี้ลูกชายคนเดียวของพุฒิพัต กับ จันทนาค่ะ”

ทรงจำไม่รู้ว่าทั้ง 3 คนคุยอะไรกันแม้เขาจะเคยคิดว่าเขาทนได้กับการโดนดีและต่อให้โดนเท่าไหร่เขาก็จะไม่ร้องไห้แต่วันนี้มันทำให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่เลยเขายังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“แม่ พ่อ กลับมารับดาร์กไปที มารับดาร์กไปอยู่ด้วยที แม่ พ่อ”


ตรึง เสียงเมสเสจเด้งเตือนเข้ามาทำให้ทรงจำตื่นจากผวังค์ของตัวเอง

"เฮ้ย"

ทรงจำรีบวิ่งเข้าไปในห้องแล้วค้นหาหนังสือที่หนาที่สุดมาทับรูปใบสุดท้ายที่เขาได้ถ่ายพ่อกับแม่เอาไว้แม้รูปนี้มันจะไม่สมบูรณ์แต่เขาก็ไม่อยากให้มันยับ

"อย่ายับเลยนะ"

ทรงจำเขามองออกไปที่นอกหน้าที่ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ช่างสดใสซึ่งตรงกันข้ามกับตัวเขาเสียเหลือเกิน สายตาของเขามองที่กระจกหน้าต่างแม้จะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองอย่างเลือนลางแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าน้ำตาของเขากำลังไหลออกมาเปื้อนหน้าเขาไปหมดเขาค่อยๆ ลูบเอาน้ำตาเหล่านั้นออกไปจากใบหน้าก่อนที่จะให้สัญญากับท้องผ้าที่สดใสในวันนี้

"ผมไม่ร้องไห้ฟรี แน่นอนครับพ่อแม่"

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 7 - 11/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-01-2017 20:10:06
ชีวิตดาร์คตอนเด็กน่าสงสารและน่าเห็นใจมากค่ะ แต่มาหลอกให้คุณรักนี่ก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 7 - 11/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 19-01-2017 19:20:12
บทที่ 8 Rewrite

ตรึง

คุน “ตื่นได้แล้วครับพี่ดาร์ก”

ตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่เป็นธรรมทำมาตลอดในการคบกันก็คือการส่งข้อความปลุกให้พี่ดาร์กตื่นมันเริ่มตั้งแต่ช่วงยังเรียนที่พี่ดาร์กไม่ตื่นเข้าเรียนเพราะต้องทำงานในตอนกลางคืนเขาเลยรับหน้าที่ปลุกทุกเช้าและเขาก็ทำเรื่อยมาจนถึงตอนนี้

พี่ดาร์ก “ตื่นแล้วครับ”

แค่เห็นเมสเสจการตื่นหน้าที่ของเป็นธรรมก็จบลงวันนี้เขาทำทุกอย่างเหมือนที่เขาเคยทำเพียงแต่ใช้เวลาเลือกชุดนานเป็นพิเศษเพราะวันนี้คือวันที่ 9 เดือน 9 เขาเลยขอแต่งตัวให้ดูดีกว่าทุกวันสักเล็กน้อยวันนี้ของทุกปีมันกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เขาจะได้ดอกไม้ช่อใหญ่จากพี่ดาร์ก

“สวัสดีครับคุณสุวรรณี”

“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม เมื่อเช้าคุณทรงจำแวะมาแนะค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เปิดประตูเข้าไปที่โต๊ะทำงานก็เป็นอย่างที่เป็นธรรมคิดเอาไว้ดอกไม้ช่อใหญ่ที่เหมือนกันทุกทุกปีถูกวางอยู่ที่โต๊ะทำงานช่อดอกไม้ถูกจัดโดยการเอาดอกกุหลาบสีแดงไว้ด้านนอกห้อมล้อมดอกสีขาวที่อยู่ด้านในเพียงดอกเดียวและทุกอย่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกกับการ์ดที่แนบมากับช่อดอกไม้ก็จะเป็นคำพูดเหมือนเดิมทุกปี

“แด่ คุน
ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้พี่เข้ามาในชีวิต
จาก พี่ดาร์ก”
09/09/XX”

ก่อนที่เป็นธรรมจะจัดการกับช่อดอกไม้นี้เขากดถ่ายรูปช่อดอกไม้กับการ์ดเก็บเอาไว้เหมือนที่ทำเป็นประจำอยู่ทุกปีพอกดไล่ดูไปถึงรูปแรกก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องเก่าที่เกี่ยวกับดอกไม้ที่ตอนนี้ไม่ได้มีโอกาสเหลืออยู่ที่บ้านหรือที่ไหนเลยสักช่อสิ่งที่เขาเก็บไว้ได้ก็เพียงการ์ดเอาไว้ดูต่างหน้า จะว่าไปก็เพราะดอกไม้ช่อพวกก่อนหน้านี้นี่แหละที่ทำให้เขากับพี่ดาร์กทะเลาะกันทั้งที่เราสองคนแทบจะไม่ได้ทะเลาะกันในเรื่องอื่นเลย

“แค่กๆ พี่ดาร์ก แค่ก เย็นนี้ แค่ก เราไปกินข้าวกันที่ไหนดี?”

“คุนทำไมยังไออยู่? แน่ใจนะว่าเราไปหาหมอมาแล้ว?”

“หาแล้ว แค่ก”

“หามาเมื่อไหร่?”

“สองอาทิตย์แล้ว”

“งั้นเปลี่ยนหมอ”

“ทำไหมละ?”

“มันไม่หายแล้วนี่คุนไอมาเป็นเดือนแล้ว”

“โอเค แค่ก เดี๋ยวคุนเปลี่ยนหมอ ไม่โกรธกันนะ”

นี่คือจุดเริ่มต้นทะเลาะในปีที่ 3 ที่เราคบกันช่วงนั้นจู่ๆ เขาก็เริ่มไอโดยที่ไม่มีสาเหตุตอนแรกก็คิดว่าเพราะว่าอยู่ในช่วงหน้าฝนแต่ว่าหน้าฝนก็ผ่านไปแล้วเขาก็ยังไม่ดีขึ้น

“คุน”

“แค่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

“โอเค พอแล้วพอๆไม่ต้องตอบ ไม่ต้องพูดมากับพี่เดี๋ยวนี้”

“ไปไหนพี่?”

“ไปทดสอบว่าเราแพ้อะไร พี่ว่าถึงเวลาต้องจริงจังแล้วนะเราไอจนคอจะแตกอยู่แล้ว”

“คุณเป็นธรรมแพ้ฝุ่นครับผลจากการที่เราทำการทดสอบมามันชี้ไปได้แค่ทางเดียวครับ”

“แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีอาการนะครับ?”

“อาจจะเป็นเพราะว่าคุณนอนหรือใช้ชีวิตอยู่กับมันอยู่ตลอดเวลามันเลยยิ่งเป็นการสะสมครับ”

เป็นธรรมเดินออกมาจากห้องตรวจเพื่อบอกผลกับพี่ดาร์กเย็นวันนั้นจำได้ว่าพี่ดาร์กบุกมาถึงบ้านแล้วรื้อของในห้องนอนเพื่อหาว่าอะไรเป็นตัวการที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้พอเปิดเข้าไปเท่านั้นพี่ดาร์กก็พุ่งดิ่งตรงไปที่กลุ่มช่อดอกไม้ทั้งสามกลุ่มที่เรียงอยู่

“พี่ดาร์กจะทำอะไร?”

“พี่จะเอาไปทิ้งนี่ไงพี่เจอแล้ว ทำไมฝุ่นมันจับแบบนี้?”

“ก็ตอนคุนพยายามเช็ดใบมันก็ร่วงหมด ไม่เอาเอามานี่”

“อย่าดื้อน่ะคุนปล่อย”

“พี่ดาร์กของของคุน อย่ายุ่ง”

“ได้ข่าวเงินพี่ซื้อ”

“แล้วมันของคุนไหม?”

“แล้วมันเงินพี่รึเปล่า? พี่ไม่อยากให้เงินพี่ทำร้ายคุน”

“เอามา โอ๊ย แค่กๆๆๆๆๆๆ”

พี่ดาร์กยื่นกลุ่มช่อดอกไม้เข้ามาที่ตรงหน้าทำให้ฝุ่นที่แกะอยู่ฟุ้งออกเข้าหน้าของเขาเต็มๆ เขาจามจนน้ำหูน้ำตาไหลเลยต้องยอมปล่อยกลุ่มดอกไม้ที่ยื้อแย่งอยู่พี่ดาร์กจับเขาโยนเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ใช้เวลาช่วงนั้นจำกัดดอกไม้เหล่านั้นไป

คืนนั้นพี่ดาร์กขอแม่ค้างที่บ้านแต่เขาก็ไม่ดีขึ้นวันรุ่งขึ้นพี่ดาร์กเลยต้องโทรไปลางานกับร้านอาหารที่ทำอยู่เพื่ออยู่ดูแลเขาที่บ้านแต่เขาก็ไม่ดีขึ้นคืนนั้นยิ่งดึกอาการของเขาก็ยิ่งแย่ลงถึงขนาดตาเริ่มบวมปิดหายใจจะไม่ออกผลสุดท้ายคืนนั้นเขาต้องไปนอนแอดมิทที่โรงพยาบาลเนื่องจากแพ้อย่างหนัก

“พี่ขอโทษ หายโกรธพี่เถอะ”

พี่ดาร์กเป็นคนมานอนเฝ้าที่โรงพยาบาลแล้วก็พร่ำแต่ขอโทษที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องไปนอนแหมบอยู่แบบนั้นแต่ที่เขายังไม่หายโกรธมันใช่เรื่องที่เขาต้องมานอนอยู่ที่นี่แต่มันเป็นเพราะพี่ดาร์กเอาดอกไม้ทุกช่อและทุกกลีบไปทิ้งหมดเลยต่างหากยังโชคดีที่เขาเคยทั้งถ่ายรูปช่อดอกไม้และตัดการ์ดออกมาเก็บแยกเอาไว้ไม่อย่างนั้นเขานึกสภาพไม่ออกเลยว่าตอนนี้จะไปเป็นกระดาษรีไซเคิลอยู่ส่วนไหน


“เฮ้อ ป่านนี้พี่ดาร์กเขาจะรู้รึยังว่าเราโกรธเรื่องอะไร?”

เรื่องนั้นมันทำให้เขาไม่ยอมคุยกับพี่ดาร์กอยู่เป็นเดือนแต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่วันที่พี่ดาร์กทิ้งดอกไม้ไปเรื่องภูมิแพ้ของเขาก็ดีขึ้นมากจริงๆ เห็นแก่ความตั้งใจดีเขาเลยยอมใจอ่อนยอมคุยด้วยอีกครั้งแต่เหตุการ์ณในครั้งนั้นพี่ดาร์กกลับฝังใจว่าเขาโกรธเรื่องโยนของใส่หน้าพี่ดาร์กเลยไม่เคยเอาอะไรมาโยนใส่หน้าของเขาอีกเลย ย้อนรูปลงไปอีกก็เจอรูปที่เขากับพี่ดาร์กยังใส่ชุดนักศึกษาถ่ายรูปคู่กันและนั้นก็ทำให้เขานึกย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่พี่ดาร์กเข้ามาในชีวิต


“แกๆ คนนั้นอะมองมาที่กลุ่มเราหลายวันแล้วนะ”

“เออ เห็นเหมือนกัน”

“เขาใช่รุ่นเดียวกับเราปะ?”

“ไม่น่าใช่นะ ไม่เห็นจะเคยเห็นในเซ็กเรียนเลย”

แจง กับ พอล เพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันเป็นคนสังเกตเห็นพี่ดาร์กมาดุ้มๆ มองๆ โต๊ะที่พวกเรามักจะมานั่งกินข้าวในโรงอาหารรวมของมหาวิทยาลัย

“เขามองหาที่นั่งรึเปล่า? ช่วงกลางวันเขาคงหาที่นั่งกินข้าว”

“แต่ฉันว่าไม่ใช่”

“เราว่าใช่”

“ฉันว่า…”

“โอ๊ยยย จะเถียงอะไรกันเอางี้พวกเราลองลุกแล้วเดี๋ยวถ้าคนนั้นเข้าเดินมานั่งก็แปลว่าเขาหาที่นั่งแต่ถ้าเขาไม่มาก็แสดงว่าเขาอาจจะมองที่กลุ่มพวกเราจริงๆ”

“แค่นี้มันจะมันส์ได้ยังไง เอางี้ ถ้าฉันชนะคุนนายต้องเลี้ยงข้าวเย็นดีแต่ถ้านายชนะฉันเป็นเจ้ามือเอง”

“เอาดิคุนนายรับคำท้าแจงเลย”

“เออๆ ตกลง”

พวกเราต่างเก็บข้าวของลุกขึ้นเดินออกมาจากโรงอาหารโดยที่ตายังคงแอบดูว่าสรุปแล้วคนนั้นจะเดินมานั่งไหม? แต่ไม่ว่าจะเหล่มองจนตาจะเขยังไงคนนั้นก็ไม่ยอมเดินมานั่งที่โต๊ะสักที

“แสดงว่าเขามองมาที่กลุ่มเรา”

“หรือว่าเขาจะจีบแจง”

“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ วันนี้มื้อเย็นอิ่มฟรี ฮ่าๆๆๆๆ”

เหตุการณ์เล่นพนันในวันนั้นผ่านมาเป็นอาทิตย์จนเขาก็เกือบลืมเรื่องคนแปลกหน้าไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่คนนั้นก็เดินมาหยุดที่ตรงหน้าของพวกเราที่ตึกหน้าคณะ

“น้องคุนครับพี่ชื่อดาร์กพี่ขอคุยอะไรด้วยสักหน่อยได้ไหมครับ?”

“ผม?”

“ครับ พี่กวนเวลาไม่นาน”

“ได้ครับ”

เป็นธรรมเดินออกมาห่างจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อยและยังไม่ทันได้ตั้งตัวพี่ดาร์กก็เริ่มเปิดบทสนทนาที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากพี่ที่เขาเห็นหน้าแค่ครั้งที่สองเท่านั้น

“พี่เป็นรุ่นพี่คณะพี่เห็นเราวันรับน้องพี่ชอบเรานะ”

“ครับ?”

“คือ ตั้งแต่พี่เห็นเราที่คณะพี่ก็ชอบเราเลยพี่รู้สึกถูกชะตาพี่ก็เลยจะมาจีบคุนโอเคไหม? แล้วเรารับได้ไหมที่จะมีผู้ชายมาจีบ?”

เป็นธรรมต้องเก๊กหน้าให้นิ่งอย่างหนักเพราะกลัวจะหลุดขำกับท่าทางของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเดินเข้ามาบอกว่าชอบและจะจีบและมาตบท้ายด้วยคำถามว่าโอเคไหม? แต่ทุกอย่างที่พูดไม่มีแม้แต่รอยยิ้มมีแต่ความตึงเครียดและจริงจัง

เป็นธรรมยืนนิ่งอยู่สักพักเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอะไรกลับไปกับก่อนดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาจะโอเคถ้ามีผู้ชายมาจีบหรือเขาจะโอเคไหมที่พี่คนตรงหน้ามาจีบ

ถ้าถามว่าเขาโอเคไหมที่มีผู้ชายมาจีบก็คงต้องบอกว่าเขาไม่ได้มีปัญหาเพราะตัวเขาเองชอบผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่แน่ใจว่าพี่ดาร์กในตอนนั้นจะมาไม้ไหนเพราะเหมือนพี่เขาถูกบังคับมาพูดมากกว่าที่จะมาสารภาพความในใจ

“ถ้าพี่มีเรื่องพูดแค่นี้ผมขอตัวครับ”

พี่ดาร์กปล่อยให้เขาเดินหันหลังกลับมาโดยที่ไม่ได้มีการดึงรั้งเอาไว้จนเขาสรุปกับตัวเองว่าคงมีใครสักคนในมหาวิทยาลัยรู้ว่าเขาชอบผู้ชายและนี่ก็คือการแกล้งกันเล่นก็เพียงเท่านั้น

“เฮ้ย พี่เขามาอีกแล้ววะ”

หลังจากวันที่พี่ดาร์กเดินเข้ามาบอกว่าจะจีบพี่เขาก็เดินมานั่งรอที่ใต้ตึกทุกวันบางวันก็มาเช้าบางวันมาช่วงบ่ายแต่ไม่ค่อยเห็นตอนเย็นสักเท่าไหร่นานๆ ครั้งที่พีดาร์กจะแวะในตอนเย็นและทุกครั้งที่ดาร์กแวะมาพี่เขาจะไม่พูดอะไรแค่มามองหน้าแล้วก็กลับไป

“พี่เขาอาจจะเอาจริงก็ได้นะ” พอลเดินเข้ามาพูดกับเขาในวันนึง

“ก็ต้องดูกันต่อไป”

พี่ดาร์กทำเหมือนเดิมจนเป็นเดือนจนเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวไม่ใช่ว่าเขารำคาญที่พี่ดาร์กมาหาแต่มันเป็นความอึดอัดที่ทนจากความอยากรู้มากกว่า

“พี่ผมมีอะไรจะพูดด้วยครับ”

“ครับ”

“พี่ต้องการอะไร?”

“พี่บอกไปแล้วว่าพี่จะจีบ”

“แต่ที่พี่ทำอยู่มันไม่ใช่การจีบผมไม่เห็นว่าพี่จะจีบผมยังไง คนที่เขาจีบกันเขาไม่ได้แค่มาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่นาทีแล้วก็เดินหายไปถ้าพี่จะมาล้อผมเล่นเพราะเห็นว่าสนุกผมขอให้พี่เลิกทำเถอะครับ”

“งั้นก็หมายความว่าคุนอนุญาตให้พี่ทำอย่างอื่นได้?”

“ครับ?”

“โอเคครับต่อไปนี้พี่จะเริ่มเพราะพี่ถือว่าคุนอณุญาตแล้ว”

“หะ?”

“ที่พี่ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะครั้งนั้นที่พี่มาขอเราก็ไม่ได้บอกให้พี่จีบได้พี่เลยมาให้เราเห็นหน้าทุกวันเพื่อว่าเราจะใจอ่อน”

“พี่…”

“เอาละ วันนี้พี่ต้องไปแล้วพี่ต้องทำงานต่อ เอาเป็นว่าขอบคุณนะครับ”

พี่ดาร์กหายตัวไปแล้วเหลือแต่เขาที่ยังยืนเอ๋อปากค้างอยู่อย่างนั้นใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าจะรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางหลุมเบ้อเริ่มเข้าให้แล้ว และทำให้รู้ว่าเห็นเงียบๆ แบบนั้นแต่ที่จริงแล้วเจ้าเล่ห์น่าดู

แล้วพี่ดาร์กก็ทำตามที่เขาพูดไม่มีการมานั่งมองหน้าเหมือนเดิมเพราะทุกครั้งที่แวะมาหาพี่ดาร์กก็ซื้อพวกขนมมาฝากแถมยังขอให้เขานั่งกินขนมด้วยกัน

“นี่คือขนมที่พี่ซื้อมาเพื่อมานั่งคุยกับผม?”

“คุนไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่าผมไม่ได้พูดนะ”

“คุน สิ”

“ครับ?”

“แทนตัวเองว่าคุนสิ”

“ครับ คุนครับ”

“งั้นกินสิคุนชอบถุงไหน?”

เป็นธรรมเชื่อว่าถ้าเขาให้คนอื่นทายก็คงไม่มีใครสามารถทายได้ถูกแน่นอนว่าขนมที่พี่ดาร์กขยันซื้อมาคืออะไรมันไม่ใช่ขนมเค้กหรือขนมชื่อดังเพราะขนมที่พี่ดาร์กซื้อติดมือมาทุกครั้งก็คือพวกขนมถุงเลย์ ปาร์ตี้ ทำนองนั้น

แต่น่าแปลกแม้ว่าขนมเหล่านั้นจะไม่ใช่ขนมชื่อดังหรือเป็นขนมที่เขาชื่นชอบแต่เขากลับชอบนะเพราะการได้นั่งคุยกันเพื่อกินขนมถุงพวกนี้มันทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพี่ดาร์กมากขึ้นและยิ่งได้รู้จักเขาก็ยิ่งรู้สึกชอบพี่คนนี้มากขึ้น

สิ่งที่ทำให้เป็นธรรมรู้สึกชอบพี่ดาร์กมากขึ้นในทุกวันก็คือพี่ดาร์กเป็นคนใส่ใจในทุกรายละเอียดไม่ว่ามันจะเป็นแค่การคุยกันเล่นๆ ในช่วงเวลาที่กินขนมอย่างเช่นพอพี่ดาร์กรู้ว่าเขาชอบศิลปะของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้จากพี่ดาร์กก็คือแพ้คดินสอสี 6 แท่งที่ไม่ได้พิเศษไปกว่ากล่องดินสอสีที่เขามีที่บ้านแต่เขาไม่เคยได้ของแบบนี้จากใครเพราะทุกชิ้นที่เกี่ยวกับศิลปะที่เขามีเขามักเป็นคนซื้อมันด้วยตัวเอง

พอเป็นธรรมถามว่าอยากได้อะไรเป็นการตอบแทนพี่ดาร์กกลับขอแค่ให้เขาวาดรูปเหมือนของตัวเองเป็นของขวัญเท่านั้นมันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบมากกว่าเป็นการที่ตอบแทนอย่างจริงจังและสิ่งเหล่านี่แหละที่เขาเรียกมันได้เต็มปากว่ามันคือความอบอุ่นที่เขาโหยหายมานานความอบอุ่นและความเข้าใจ

“แกแน่ใจนะว่าที่พี่เขาเข้ามาเพราะไม่ได้มาหลอกให้แกเปย์นะ?”

“ค่อยๆ ดูไปแล้วกันนะคุน”

เมื่อเขากับพี่ดาร์กเริ่มสนิทกันมากขึ้นแจงกับพอลต่างมาเตือนเขาด้วยความเป็นห่วงเขารู้ว่าครอบครัวพี่ดาร์กมีฐานะที่ค่อนข้างจะลำบากแต่เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่เพราะว่าที่บ้านเขามีเงินพี่ดาร์กเลยเข้ามาเพราะวันที่เราสองคนคุยกันถึงเรื่องครอบครัวพอพี่ดาร์กรู้ว่าบ้านของเขามีโรงงานพี่ดาร์กถึงกับเงียบใส่และนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าพี่ดาร์กเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาคือใครตอนที่ตัดสินใจเดินเข้ามาจีบ

แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีต้นทุนที่สวยงามกันทุกคนแล้วคนที่ต้นทุนไม่ดีเท่าคนอื่นต้องเป็นคนรักที่ไม่ดีเสมอไปเหรอ? เพราะแบบนี้เขาจึงเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นมากกว่าเพราะตั้งแต่พี่ดาร์กเดินหน้าจีบเขามาพี่ดาร์กยังไม่เคยเอ่ยปากขออะไรกับเขาเลยสักอย่างแค่นี้ก็น่าจะแสดงได้มากพอแล้วว่าพี่ดาร์กไม่ได้เข้ามาหาเขาเพราะเงินอย่างที่คนอื่นเป็นห่วงกัน


“พี่ดาร์กวันนี้คุนอยู่คุยด้วยนานไม่ได้นะ”

“ทำไมมีอะไรรึเปล่า?”

“คุนทำเงินของรุ่นหาย”

“เท่าไหร่?”

“สามหมื่นครับ”

“เฮ้ย คิดดีๆ เอาไปไว้ไหน ลองนึกดูสิครั้งสุดท้ายเราเก็บไว้ที่ไหน?”

“คุนคิดดีแล้วหาทั่วแล้วพี่มันคงหายแล้วละ”

“แล้วคุนมีเงินใช้คืนไหม?”

“คุนไม่อยากขอแม่ เงินเก็บคุนเองก็มีไม่มากพอ”

“บอกพี่เขาไปเลยแล้วแกก็ตัดใจซะแค่แกบอกว่ามีปัญหาเรื่องเงินก็เปิดตูดหนีแล้วนี่เขาคงคิดว่าแกแก้ปัญหาได้แล้วถึงได้กลับมาไม่ก็สงสัยคิดออกว่าถ้าเลิกจีบแกไปแล้วอาจจะหาเหยื่อยรายใหม่ไม่ได้”

เรื่องเงินหายมันเป็นแผนลองใจที่แจงคิดขึ้นมาเป็นธรรมไม่ได้อยากทำแต่ด้วยความอยากให้เพื่อนเห็นว่าพี่ดาร์กไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเขาจึงยอมเล่นไปตามน้ำแต่หลังจากเขาบอกกับพี่ดาร์กว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เงินของชมรมหายพี่ดาร์กก็หายหน้าไปจากเขาเลยมีบ้างที่ส่งเมสเสจมาบอกว่าให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องเครียดซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเหมือนกันนะเพราะเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์ออกมาจะเป็นแบบนี้แต่แล้วในวันที่ 4 พี่ดาร์กก็มายืนรอเขาที่หน้าคณะที่เดิม

“พี่ดาร์ก” “คุณ”

“คุนพูดก่อน”

“พี่หายไปไหนมา?”

เพราะเป็นธรรมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเริ่มรู้สึกดีกับพี่ดาร์กเพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาเหมือนได้คนรู้ใจมาหนึ่งคนพี่ดาร์กคือคำตอบที่เขามันเลยไม่ง่ายสำหรับเขาเลยที่จะพูดออกไปว่า ‘ต่อไปนี้พี่อย่ามาอีกเลย’ เขาเลยยังคงอยากถามเผื่อว่าคำตอบของพี่ดาร์กอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็ได้

“พี่เอามาให้มันยังไม่ครบนะแต่พี่เอามาให้ก่อนส่วนนึงคุนลองเอาไปพูดกับเพื่อนในรุ่นดูก่อนแล้วกัน”

พี่ดาร์กยืนซองสีขาวที่ถูกรัดด้วยหนังยางมาให้พอเขาเปิดซองดูเขาไม่สามารถที่จะบังคับให้มือของตัวเองหยุดสั่นได้เลยเพราะในซองนั้นเต็มไปด้วยแบงค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์พันแบงค์ร้อยหรือแบงค์ยี่สิบ

“ในนั้นมีอยู่ประมาณหมื่นเก้าพี่ไปทำงานเพิ่มมาพอมารวมกับเงินเก็บมันก็ได้ประมาณนี้จริงๆ มันต้องมากกว่านี้แต่พอดีช่วงนี้พี่มีรายงานที่ต้องทำมันค่อนข้างใช้เงินพี่เลยให้เราได้เท่านี้ก่อนเดี๋ยวพี่จะพยายามหามาสมทบทุนให้อีกนะ”

ยิ่งพี่ดาร์กพูดเป็นธรรมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่ที่คิดลองใจคนที่ตัวเองเชื่อมั่นแถมยังทำให้อีกคนลำบากไปพยายามหางานทำเพิ่มโดยที่ไม่จำเป็นเลยสักนิดสิ่งที่เขาคาดหวังจากเกมส์ลองใจบ้าๆ นี้ก็แค่เพียงแค่อยากจะรู้ว่าพี่ดาร์กจะยอมสละเวลางานที่ต้องไปทำในช่วงเย็นมาช่วยเขาคิดแก้ปัญหาไหมว่าจะทำยังไงแต่มาดูที่ในวันนี้สิเขาได้อะไรมาบ้างเขาได้ทั้งแรงกายและแรงใจของผู้ชายคนนี้

แค่คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ต้องนั่งยองลงกับพื้นกอดเงินเอาไว้กับอกก้มหน้าร้องไห้ออกมาเพราะเขาไม่สามารถยืนสู้หน้าพี่ดาร์กต่อไปได้อีกแล้ว

“คุนเป็นอะไร? รุ่นรีบใช้เงินเหรอ? ไม่ร้องนะเอางี้เดี๋ยวพี่จะลองไปหยิบบืมมาให้นะ”

พี่ดาร์กย่อตัวลงมานั่งตรงหน้าเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของเขาเพื่อเป็นการให้กำลังใจพอเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่ดาร์กอีกครั้งพี่ดาร์กก็เอามือมาเกลี่ยรอยน้ำตาที่แก้มออกให้

“พี่ดาร์ก”

“ครับ?”

“เป็นแฟนกับคุนไหม?”

สุดท้ายเป็นธรรมก็เล่าความจริงให้พี่ดาร์กฟังเล่าไปก็กลัวไปว่าพี่ดาร์กอาจจะโกรธจนสถานะแฟนที่เพิ่งได้มาอาจจะถูกยึดคืนแต่แล้วพี่ดาร์กกลับบอกว่า

“ก็ดีแล้วไงที่คุนกับเพื่อนคิดอะไรซับซ้อนแบบนี้พี่เลยได้เรามาเป็นแฟน”

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่มีวันไหนที่พี่ดาร์กจะทำให้เขาเสียใจเลยไม่เคยมีเรื่องนอกใจหรือนอกกายจนทั้งแจงทั้งพอลจากที่จับผิดมาตลอดยอมยกเลิกและยอมรับความสัมพันธ์นี้เพราะเห็นถึงความมั่นคง

เป็นธรรมยิ้มให้กับความทรงจำที่พุดขึ้นมาหลังจากที่เขาเห็นดอกไม้ช่อนี้แล้วก็กดปุ่มโทรด่วนออกหาเจ้าของช่อดอกไม้ที่ตอนนี้หายตัวไปแล้ว

“ฮัลโหลพี่ดาร์กทำไมวันนี้รีบออกไป?”

“คุนเห็นดอกไม้แล้วเหรอ?”

“ใช่แล้ว”

“พี่ไม่รู้นึกว่าเราจะแวะไปโรงเรียนก่อนพี่เลยไม่ได้อยู่รอเจอ”

“คุนไม่ได้บอกเพราะคิดว่าตัวเองจะมาทันพี่ลงทุนตื่นแต่เช้างั้นเอาไว้เย็นนี้คุณชดเชยให้นะคุณโชว์ฝีมือเอง”

“ได้พี่จะกินให้อิ่มเลย”

“ข้าว?”

“คุนนั้นแหละ”

“ไม่ใช่กลับถึงห้องกินข้าวฝีมือของคุนจนอิ่มแล้วก็ง่วงนอนเป็นคนแก่เหรอครับ?”

“อย่าดูถูกพี่ เดี๋ยวน้องจะเจ็บตัว”

“แล้วเมื่อสองวันก่อนใครเป็นแบบนั้น?”

“คุน”

“ฮ่าๆๆๆ ครับๆ กลัวแล้ว ไม่ต้องกดเสียงต่ำก็ได้ครับเดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน”

“มื้อเย็นพี่ขอเป็นผัดไทยนะ”

“ได้ครับพี่ดาร์ก”

“โอเคงั้นเจอกันเย็นนี้”

“พี่”

“ว่า?”

“คุนรักพี่นะ”

“…..”

“ฮัลโหล พี่ดาร์ก?”

“พี่ก็รักคุนครับ”

หลังจากเป็นธรรมเคลียร์งานจบก็ตรงไปที่ซุปเปอร์เดินเลือกซื้อพวกอาหารสดเตรียมกลับไปทำผัดไทยทะเลที่เป็นของชอบของพี่ดาร์กวันนี้เป็นวันพิเศษเขาเลยอยากขอเพิ่มบรรยากาศด้วยไวน์แดงแล้วค่อยตรงกลับไปเตรียมของที่ห้องพี่ดาร์กโชคดีที่วันนี้งานเสร็จเร็วเขาถึงสามารถอ้อยอิ่งเดินเลือกไวน์ที่ชอบได้

“มาถึงนานแล้วเหรอคุน?”

“นานแล้ว พี่ดาร์คอาบน้ำก่อนแล้วกันเดี๋ยวคุนอุ่นแป้ปเดียวออกมาจะได้พร้อมกิน”

“ครับ แฟนใครหอมจังมานี่สิ”

“ถ้าอยากหอมบ้างก็ต้องไปอาบน้ำ”

“ครับๆ”

“เออ ใช่พี่ตึกนี้นะมีคนชื่อเหมือนพี่ด้วยนะ”

“หื้ม จริงเหรอ? เราไปรู้ได้ไง?”

“ก็วันนี้ตอนคุนมาถึงคุนโดนคนดูตึกเรียกเอาไว้บอกว่ามีคนมาส่งของให้พี่ดาร์กคุนเกือบเซ็นท์รับแทนพี่แนะแต่พอดูนามสกุลก็เลยรู้ว่าไม่ใช่ของพี่แม้จะชื่อเดียวกันก็เถอะ แต่คนที่มาส่งของเขาก็ยืนยันว่าคนชื่อนั้นอยู่ที่ห้องนี้”

“…”

“พี่ดาร์กเป็นอะไรรึเปล่า?”

จู่ๆ พี่ดาร์กก็หน้าซีดพร้อมยังกำเสื้อของเขาแน่นเขาก็มัวแต่ชวนคุยลืมคิดไปเลยว่าพี่ดาร์กอาจจะกลับมาเหนื่อยๆและอยากพักเขาเลยเตรียมผละตัวออกเพื่อที่จะจัดอาหารแต่แล้วพี่ดาร์กลับดึงตัวของเขาเอาไว้

“แล้วคุนไม่คิดว่าเป็นพี่บ้างเหรอไง? อาจจะเป็นพี่ก็ได้นะ”

“นามสกุลแฟนคุน คุนก็ต้องจำได้สิถ้าพี่ดาร์กไม่ได้มีเป็นสิบนามสกุลละนะ”

“นี่พี่คนนะจะมีนามสกุลอะไรเยอะแยะ”

“แล้วคุนจำนามสกุลคนที่ชื่อเหมือนพี่ไหม?”

“จำได้ครับ”

“เขาชื่ออะไรเหรอ?”

“คนนั้นชื่อ ทรงจำ นามสกุล สุทธิวงค์ แต่ไม่ต้องห่วงยังไงนามสกุลของพี่ดาร์กก็เท่ห์กว่าอยู่แล้ว ทรงจำ รัตติกาล อันนี้สิเท่ห์สุด”

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 8 - 19/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-01-2017 20:56:15
โดยส่วนตัวเชื่อว่าถึงไม่ทำอะไร กรรมจะทำหน้าที่ของมันเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเสียสุขภาพจิตเสียคุณความดีที่เคยทำมาเพื่อการแก้แค้นหรอกค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 8 - 19/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2017 18:21:08
บทที่ 9 Rewrite


งานล็อตแรกที่ทางโรงงานทำออเดอร์ส่งมิสเตอร์เว่ยเป็นไปได้ด้วยดีสินค้าไม่มีปัญหาแถมยังส่งตรงเวลานั้นยิ่งทำให้มิสเตอร์เว่ยตัดสินใจสั่งงานกับเราในล็อตต่อไปซึ่งเป็นล็อตที่ใหญ่กว่าเดิม

“พี่ดาร์กคุนว่าคุนจะเพิ่มโบนัสให้กับพนักงานพี่ดาร์กคิดว่าดีไหม?”

“ทำไมคุนถึงคิดจะให้โบนัสกับพวกเขาละ? ในเมื่อพวกเขาก็ทำงานเหมือนเดิมใครที่ทำงานเพิ่มเราก็ให้ค่าโอทีเป็นการตอบแทนแล้วไง?”

“มันก็ใช่พี่แต่เขาจะได้มีความอยากทำงานกับเราไปเรื่อยๆ ไงคนงานเดี๋ยวนี้หาไม่ได้ง่ายเลย”

“พี่ตามใจเราเลย”

“แต่คุนอยากถามพี่ก่อน คุน … ไม่ค่อยได้ตัดสินใจเรื่องพวกนี้”

พี่ดาร์กยิ้มและเอามือขึ้นลูบหัวของเขาเล่นการกระทำนี้ทำให้เป็นธรรมรู้สึกอบอุ่นได้ทุกครั้งเขาเลยขอความอบอุ่นเพิ่มขึ้นโดยการทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาหัววางลงที่หน้าตักของพี่ดาร์ก พี่ดาร์กเปลี่ยนจากลูบเล่นมาเป็นนวดขมับทั้งสองข้างให้เขาจึงหลับตาซึมซับเอาความสบายนี้ใส่ตัว

นี้คือวันแรกที่เราสองคนมีวันหยุดตรงกันก่อนจะถึงวันหยุดเป็นธรรมวางแผนเป้นร้อยอย่างว่าอยากทำอะไรแต่เอาเข้าจริงตอนนี้เขาสองคนก็แค่กำลังนั่งเล่นกันที่สวนหน้าบ้านเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์จะให้ออกไปไหนก็คงไม่ไหว

“เอาสิพี่ว่าที่เราพูดมาก็ดีลองให้คุณกี้เสนองบมาแล้วกันพี่จะช่วยดู”

“ขอบคุณครับ”

“เอ่อ คุน”

“ว่า?”

“คุนว่าถ้าแม่รู้ว่าเราจะเพิ่มโบนัสเพิ่มกับพนักงานแม่จะเห็นด้วยไหม?”

“แม่ว่าคงไม่ว่าอะไรถ้าอธิบายแม่ก็คงให้และเห็นแบบนี้แม่รักพนักงานนะรู้ไหม? แม่น่ะ โอ๊ย พี่ดาร์กคุนเจ็บ”

“ขอโทษๆ พี่กะน้ำหนักมือพลาดเจ็บมากไหมครับ?”

“ไม่ๆ คุนโอเค”

“ไหนๆ ก็คุยเรื่องงานพี่ขอแหกกฎที่ว่าห้ามคุยเรื่องงานในวันหยุดแล้วกันนะเมื่อวานพี่ได้อีเมลล์ติดต่อกลับมาจากทางเกาหลีแล้วนะ”

“จริงเหรอพี่??!! เขาว่ายังไงบ้าง? เขาโอเคไหม?”

“ใจเย็นๆ”

“ก็คุนตื่นเต้น”

เป็นธรรมละความสบายที่ได้รับเด้งตัวขึ้นมานั่งมันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าโรงงานของเราจะมีโอกาสขยายตลาดไปอีกหนึ่งประเทศก่อนหน้านี้ทางเกาหลีเงียบไปตั้งหลายเดือนก็นึกว่าจะไม่เลือกเราซะแล้ว

“ยังไม่ถึงขั้นว่าตกลงเป็นเรื่องเป็นราวนะเหมือนเขาแค่อยากดูผลงานอยากคุยกับทางเราก่อนเหมือนเขาให้โอกาสเราเข้าไปเสนองานพี่เลยจะลองถามว่าคุนอยากลองไหม? เพราะครั้งนี้โอกาสมันน้อยกว่าครั้งมิสเตอร์เว่ยอีกแถมเราคงต้องเป็นคนบินไปเสนองานถึงที่นั้น”

“คุนโอเค”

“คุนแน่ใจนะ? เพราะมันเท่ากับว่าคุนจะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ยังไม่เห็นผล”

“คุนยอม นะพี่ดาร์กทำเถอะ”

“โอเคๆครับ ทำๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะตอบเมลล์ตกลงเขาไปจะขอเข้าไปพบอย่างเป็นทางการ”

“พี่ดาร์ก”

“หื้อ?”

“ถ้าเราได้ไปเราไปก่อนวันประชุมเหมือนเราไปที่พม่าอีกได้ไหม? ไปออกเดทต่างประเทศกันอีกสักทีนะพี่”

“ได้สิครับ”

มื้อเย็นวันนี้มีแต่เขากับพี่ดาร์กเนื่องจากแม่ออกสายทำบุญพี่ดาร์กรู้ล่วงหน้าเลยเตรียมชุดทำงานของพรุ่งนี้มาเพื่อนอนค้างที่บ้านเป็นเพื่อนแถมวันนี้พี่ดาร์กยังใจดีเยอมป็นพ่อครัวลงมือทำมื้อเย็นให้เขากินอีกด้วย

“คุนไปไหนมาละ? พี่ออกมาจากห้องน้ำตั้งนานแล้วคุนเพิ่งกลับเข้ามาไปเช็คข้างล่างมาเหรอ?”

“คุนไปไหว้พ่อมานะ”

“ที่ห้องพระนะเหรอ?”

“ครับ”

เป็นธรรมเดินขึ้นเตียงโถมตัวเข้ากอดพี่ดาร์กที่กำลังนั่งพิงกับหัวเตียงอ่านหนังสือแล้วค่อยเอาหัวไปอิงที่ไหล่อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งเข้าไปไหว้อัฐิของพ่อมาเลยรู้สึกต้องการอยู่ใกล้กับคนที่ให้ความอบอุ่นได้เหมือนพ่อ

“ไงเราเป็นอะไรไป?”

“คุนเข้าไปคุยกับพ่อมาไปเล่าให้พ่อฟังว่าตอนนี้เราก้าวไปไกลอีกขั้นแล้วถึงขนาดที่ว่าโรงงานที่พม่าสั่งออเดอร์เพิ่มและก็เรื่องแผนที่กำลังจะไปเกาหลีคุนเข้าไปขอให้พ่อเอาใจช่วยขอให้ทำสำเร็จ”

“แล้วถ้ามันไม่สำเร็จคุนว่าพ่อของคุนจะเสียใจไหม?”

“อื้มมมมถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่นะเหรอ? พ่อก็คงเศร้ามั้งไม่รู้สิพี่พ่อจากไปตั้งแต่คุนยังไม่โตคุนเดาทางพ่อไม่ออกหรอกแต่ถ้าเป็นแบบที่แม่เล่าว่าพ่อรักโรงงานมากสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อให้โรงงานโตขึ้นและมีอยู่แบบนั้นคุนคิดว่าพ่อก็คงเสียใจละมั้ง”

“ทำอะไรก็ได้ มิน่าละ”

“มิน่าอะไร?”

“มิน่าละคุนถึงได้รักโรงงานแทนพ่อขนาดนี้”

“ใช่แล้ว”

พี่ดาร์กวางหนังสือลงพร้อมทั้งจับตัวเขาให้ขยับมานั่งอยู่บนหน้าขาช่วงที่สบตากันถ้าเขามองไม่ผิดแว้บนึงเขาเห็นสายตาของคนที่กำลังโกรธแต่เขาคงตาฟาดเพราะพี่ดาร์กจะมีอารมณ์โกรธจากเรื่องอะไร

“พี่ไม่ได้กอดคุนมานานแค่ไหนแล้ว? พี่คิดถึง”

“คุนก็คิดถึง”

“งั้นคุนเริ่มสิพี่ก็อยากรู้ว่าคุนคิดถึงกอดของพี่มากแค่ไหน”

เป็นธรรมใช้ร่างกายบอกกับพี่ดาร์กว่าเขาคิดถึงอ้อมกอดของพี่ดาร์กมากขนาดไหนแต่ดูเหมือนการบอกของเขามันจะช้ากว่าที่พี่ดาร์กต้องการพี่ดาร์กจึงดึงเข้าไปจูบแต่มันเป็นจูบที่รุนแรงจนเขาต้องร้องห้าม

“พี่ดาร์กเบาๆ คุนเจ็บ” เสียงของเขาทำให้พี่ดาร์กยอมผละจากริมฝีปากของเขาแต่เปลี่ยนไปไล่กัดไปตามหัวไหล่และตรงหน้าอกจนเขารู้สึกแสบไปหมด

“โอ๊ยพี่”

แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเสียงของผมไปไม่ถึงหูของพี่ดาร์กเลยสักนิดตามตัวของเขาที่พี่ดาร์กกำลังใช้มือสัมผัสนั้นมันไม่ได้เป็นการลูบไล้แต่มันเป็นการบีบที่ทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่ารู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย

“เดี๋ยวพี่ดาร์ก”

เป็นธรรมพยายามที่จะเบี่ยงตัวหนีเมื่อเขาเริ่มรู้สึกว่าอะไรผิดปกติแต่ยิ่งพยายามก็เหมือนเพิ่มอารมณ์โกรธให้กับพี่ดาร์กแต่เขาก็เสียเปรียบเพราะพี่ดาร์กกดตัวเขาเอาไว้แน่นและความกลัวก็เริ่มมากขึ้นเมื่อพี่ดาร์กดึงกางเกงของเขาลงพร้อมกับปลดซิบกางเกงของตัวเองโดยทำท่าจะบังคับจับเขานั่งลงบนส่วนที่แข็งขืนนั้น

“โอ๊ยคุนเจ็บ”

เป็นธรรมไม่เคยเจอพี่ดาร์กในโหมดนี้มาก่อนและเขาก็กำลังกลัวเขาทำทุกทางให้หนีจากตรงนั้นทั้งกัดทุบต่อยทุกอย่างจนเข้าหลุดจากแรงกักขังของพี่ดาร์กนั้นได้แต่ในช่วงที่เขาหันหลังพยายามก้าวลงจากเตียงพี่ดาร์กก็ดึงข้อเท้าเขาเอาไว้ทำให้เขาเสียหลักนอนคว่ำหน้าลงบนที่นอนจังหวะนั้นพี่ดาร์กก็เอาตัวตนที่ตื่นตัวสอดใส่เข้ามาในตัวของเขา เพราะไม่มีการเตรียมตัวประกอบกับเขาเกร็งตัวเต็มที่จึงทำให้พี่ดาร์กเข้ามาในตัวของเขาได้เพียงนิดเดียว

“คุนกลัวแล้วพี่ดาร์กคุนกลัวเจ็บๆ อย่า”

เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวจากการร่วมรักกับพี่ดาร์กที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง และทันทีที่น้ำตาของเขาร่วงออกมาพี่ดาร์กก็หยุดการกระทำทุกอย่างลง

“คุน”

พี่ดาร์กยอมถอนตัวตนของตัวเองออกจากตัวของเขาและทันทีที่ดาร์กก้มลงไปมองที่ช่องทางด้านหลังของเขาหน้าของพี่ดาร์กก็ซีดลง

“เลือด”

เป็นธรรมพยายามที่จะลุกขึ้นนั่งแต่ว่าความเจ็บที่เกิดขึ้นทางช่วงล่างทำให้เขานอนลงอย่างเดิมพี่ดาร์กเดินหายไปที่ห้องน้ำเดินกลับมาอีกทีพร้อมผ้าที่ชุบน้ำเรียบร้อยมาทำความสะอาดให้เขา

“พี่ๆ พี่”

พี่ดาร์กเอาแต่ย้ำเรียกตัวเองอยู่อย่างนั้นมือของพี่ดาร์กสั่นตอนที่เอื้อมมันขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากตาให้กับเขาและถึงแม้ว่าน้ำตาของเขาจะแห้งออกไปแล้วพี่ดาร์กยังคงเช็ดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นจนเขาต้องเอามือของตัวเองขึ้นไปจับซ้อนที่มือของพี่ดาร์กเอาไว้

“คุนไม่เป็นอะไรแล้ว คุนไม่เจ็บแล้ว พี่ดาร์กเป็นอะไรรึเปล่า? บอกคุนเถอะนะ”

คำพูดของเป็นธรรมทำให้หน้าที่เช็ดน้ำตากลายเป็นหน้าที่ของเขาเมื่อพี่ดาร์กเป็นฝ่ายปล่อยน้ำตาไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม

“ไม่เป็นไรนะพี่ดาร์กไม่เป็นไร”

“พี่ขอโทษ”

พี่ดาร์กก้มลงดูแผลของเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้พี่ดาร์กเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาเสื้อหนาวที่ยาวพอจะคลุมเขาได้ทั้งตัวออกมา

“เราต้องไปหามอ”

“พี่ไม่เป็นไรมั้ง เดี๋ยวนอนพักก็คงหาย”

“ยังไงก็ต้องไปแค่ขยับตัวคุนก็เลือดออกอีกแล้วไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพี่เข้าห้องตรวจด้วยคุณไม่ต้องตอบอะไรเลยเดี๋ยวพี่ตอบเอง”

โชคดีที่แผลไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงคุณหมอจึงจ่ายยาทาและยาทานมาบางส่วนและให้กลับบ้านได้แต่ถ้าอาการแย่ลงให้รียกลับไปตอนที่มาถึงบ้านพี่ดาร์กแทบจะอุ้มเขาขึ้นมาบนห้อง

“ยามันต้องทาไปสักสองสามวัน งั้นช่วงนี้พี่มานอนบ้านคุนดีกว่า”

“แม่งงแน่เลยพี่ว่าทำไมพี่มาค้างติดๆ กัน ไปนอนห้องพี่ดาร์กได้ไหม?”

“ห้องพี่อะไรคงไม่สะดวกเหมือนที่บ้านของคุนอีกอย่างพรุ่งนี้คุนคงไปทำงานไม่ไหวถ้าได้พักที่บ้านพี่จะสบายใจมีคนดูคุนตลอดเวลา”

“พี่ดาร์กเว่อร์ละคุนแค่เจ็บนิดเดียวทำอย่างกับเจ็บหนัก”

“ยังไงก็เจ็บ เดี๋ยวพอพรุ่งนี้เลิกงานพี่จะกลับไปที่ห้องไปเอาเสื้อผ้ามาแล้วกัน”

“โอเคครับ”

ฤทธิ์ของยาทำให้เป็นธรรมง่วงและเคลิ้มหลับในฝันเขาได้ยินเสียงพี่ดาร์กพูดมาจากที่ไกลๆ กล่าวย้ำขอโทษอยู่ซ้ำๆ ที่ทำให้เขาเจ็บตัวเพราะเจ้าตัวไม่เคยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเลยสักนิดแต่มันเป็นความผิดของเขาเองที่ดันพูดเรื่องไม่จริงกับเขาเรื่องไม่จริงเรื่องอะไรเขาไม่เคยโกหกพี่ดาร์กสักนิด

“คุนเปล่านะ” เป็นธรรมฝืนขยับปากเพื่อโต้แย้งแม้ว่าตัวเองกำลังหลับตาอยู่เพราะไม่อยากให้พี่ดาร์กเข้าใจผิด

“หลับซะคุน”

ไม่น่าเชื่อว่าในสุดท้ายก็เป็นอย่างที่พี่ดาร์กคาดการณ์เอาไว้เขาไม่สามารถไปทำงานได้จริงๆ ไม่ใช่วาเขาป่วยหนักไข้ขึ้นอย่างที่พี่ดาร์กกังวลแต่มันเป็นเพราะเขายังไม่สามารถเดินหรือนั่งดีๆ ได้นานเขาเลยตัดสินใจนอนพักให้อาการดีขึ้น

“อื้ออ พี่ดาร์กกลับมาแล้วเหรอ? กี่โมงแล้ว”

“สามทุ่มแล้วครับพี่ทำคุนตื่นเหรอขอโทษ”

“เปล่าๆ คุนไม่ได้จะนอนจริงจังแค่งีบทำไมกลับช้าละพี่งานเยอะมากเหรอ?”

“พี่แวะเข้าไปงานที่โรงเรียนมาให้คุนด้วยเผื่อพรุ่งนี้คุนยังไม่หายดีจะได้นั่งดูรายงานพวกนี้ไป”

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้พี่ส่งอีเมลล์ไปคอนเฟริ์มกับทางเกาหลีแล้วนะถ้าไม่ติดอะไรอีก 2 อาทิตย์เราสองคนก็บินไปได้”

“ดีจังพี่ดาร์ก”

เป็นธรรมนอนดูพี่ดาร์คถอดไทค์ออกวางของเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำแล้วก็ทำให้เขานึกสิ่งนึงออกมาได้

“พี่ดาร์ก”

“ว่าไงครับ?”

“ถ้าปิดงบประมาณแล้วปีนี้เราได้กำไรอีกเราไปดูของเรากันเถอะนะ”

“ของอะไร?”

“คุนอยากอยู่กับพี่แล้ว นะเราไปดูบ้านกัน”

“ไว้ปิดงบแล้วมันได้กำไรแล้วเราค่อยว่ากัน”

“ครับบบ”

เป็นธรรมยังคงต้องพักต่ออีกวันนึงถึงจะพร้อมเข้าไปทำงานอย่างเต็มที่วันที่เขาเริ่มทำงานก็เป็นวันที่ทางเกาหลีตอบกลับมาและตกลงเรื่องที่เราขอไปพบเขาจึงรับหน้าที่เตรียมเอกสารนี้เอง

“ตื่นเต้นจังพี่”

“พี่เดินผ่านโต๊ะเรากี่รอบก็เห็นแต่หน้าจอรีวิวเที่ยวเกาหลี สรุปนี่เอาไงไปทำงานหรือไปเที่ยวกันแน่?”

“ก็ขอสักนิดไม่ได้เหรอพี่คุนไม่เคยไปนิ ไม่ต้องห่วงนะงานเสร็จแล้วหาข้อมูลเที่ยวได้”

“ไหนดูสิมีที่ไหนน่าสนบ้าง”

พี่ดาร์กเดินไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งคู่กันเพื่อมานั่งดูโปรแกรมเที่ยวที่เขาร่างเอาไว้พยายามจดหาข้อมูลเอาไว้และเมื่อพี่ดาร์กแย่งเม้าท์จากมือของเขาไปเลื่อนดูข้อมูลต่างๆ เขาเลยรีบพูดแก้ตัวของครั้งที่แล้ว

“ครั้งนี้ไม่ต้องไปจ้างไกด์อะไรแล้วนะเกาหลีอะมีคนไปเองได้เยอะแยะการเดินทางมันสะดวกให้คุนได้แสดงฝีมือเถอะนะ”

“โอเคๆ คุนดูให้เต็มที่เลยที่สำคัญคือเรื่องเดินทางนะห้ามลืมว่าต้องเดินทางยังไง”

“แน่นอนคุนจะไม่ให้หลงเลยละ”

“เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกันครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนกับครั้งที่พม่า”

“คุนรู้น่าแต่พี่ดาร์กไม่ต้องกังวลนะถ้าเราไม่ได้สัญญากลับมาก็ไม่เป็นไรจริงๆ” เป็นธรรมหันไปยิ้มให้กำลังใจกับพี่ดาร์กก่อนที่เขาจะหันกลับมาดูโปรแกรมเที่ยวเกาหลีต่อ

ก่อนเดินทางเขากับพี่ดาร์กใช้เวลาวันหยุดมาซื้อเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเกาหลีในอีก 3 วันข้างหน้าแต่ในขณะที่เขากับพี่ดาร์กกำลังเดินเลือกซื้อเสื้อกันหนาวกันจู่ๆ พี่ดาร์กก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าในไทยเจ้านึงที่สั่งงานผลิตเสื้อกับเราบอกให้พี่ดาร์กเข้าไปพบด่วน

“สวัสดีครับไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึครับ?”

เพราะเสียงของอีกฝ่ายในโทรศัพท์ร้อนรนพร้อมเน้นคำว่าด่วนพี่ดาร์กกับเขาเลยตัดสินใจไม่ถามอะไรแต่ออกมาจากห้างและตรงมาพบกับลูกค้าแทน

“สวัสดีครับคุณทรงจำและคุณเป็นธรรมมาทั้งคู่ก็ดีครับผมจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นไม่ทราบว่าคุณทั้งสองคนจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงครับ?”

ลูกค้ารายใหญ่ยื่นพวกรูปเสื้อต่างๆ มาให้แก่เราทั้งคู่ดูแต่แว้บแรกที่เห็นเป็นธรรมก็จำได้ว่ามันคือลายที่โรงงานของเราผลิตและเพิ่งจะส่งสินค้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

“สินค้าล็อตนี้ผมเป็นคนตรวจ QC ไม่ทราบว่าติดปัญหาตรงไหนรึเปล่าครับ?”

“นี่พวกคุณไม่รู้จริงๆ หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้กับสิ่งที่ทำลงไป”

“ผมต้องขอบอกว่าว่าจนถึงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าคุณต้องการจะบอกอะไรกับพวกเราด้วยรูปพวกนี้”

“ปัญหาที่เราเจอคือสินค้าพวกนี้ถูกวางก้อปขายอยู่ตามตลาดนัดที่ไม่ใช่ร้านของที่ร้านเราส่งไป”

“แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่ามันมาจากที่โรงงานของผม”

จากที่นั่งเงียบแล้วปล่อยให้พี่ดาร์กเป็นคนพูดคุยกับลูกค้าเป็นธรรมก็ทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้นมาเมื่อลูกค้าพูดเหมือนแน่ใจแล้วว่าเสื้อที่เป็นของเลียบแบบมันหลุดออกมาจากโรงงานของเขาจะเป็นไปได้ยังไงตั้งแต่ที่เราทำงานกันมาเราเองก็ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้สักครั้ง

“เพราะผมได้ไปซื้อของเหล่านั้นมาเองกับมือครับและอย่างที่คุณเห็น”

ปัง ลูกค้าหยิบเสื้อทั้งสองตัวออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อให้เราทั้งสองคนได้เห็นแน่นอนว่าถ้ามองด้วยตาเปล่าอาจจะไม่รู้แต่ถ้าได้มองการเย็บการสกรีนรวมไปถึงการทำสัญลักษณ์เล็กน้อยที่ตัวเสื้อมันสามารถรู้ได้ทันทีว่ามันออกมาจากทางโรงงานของพวกเรา

“ผมขะ…”

ในเมื่อว่ามั่นใจว่ามาจากทางโรงงานของเราเป็นธรรมเลยอยากจะพูดขอโทษอย่างน้อยเพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราเองก็จริงใจและบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ทำของออกมาเกินและวางขายแต่พี่ดาร์กก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนเขาจึงไม่ได้เอ่ยขอโทษ

“ทางผมไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไงและเป็นของทางเราจริงรึเปล่าเพราะเดี๋ยวนี้วิวัฒนาการของการทำเสื้อมันก็มีไม่ต่างกันอย่างไรแล้วผมขอเสื้อทั้งสองตัวนี้กลับไปพิสูจน์ดูแล้วทางเราจะรีบติดต่อกลับมาทันทีที่ได้ผลครับ”

“ผมไม่ได้แคร์ว่าคุณจะเป็นคนทำหรือใครทำแต่เสื้อมันมีการหลุดออกมาซึ่งผมเชื่อมั่นว่ามันเป็นมาจากต้นทางของคุณเพราะทางเราเองยังไม่ได้วางขายที่ห้างเลยด้วยซ้ำแบบมันออกไปก่อนที่จะวางขายจะมีกี่เรื่องที่จะทำให้มันหลุดไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะโรงงานทำเตรียมเอาไว้เลียนแบบอยู่แล้ว?”

“แต่ยังไงผมก็คงต้องขอเวลาก่อนครับ”

“เอาละที่ผมจะพูดคือถ้ามันพิสูจน์แล้วมันเป็นของมาจากโรงงานคุณจริงๆ คุณก็ต้องถูกปรับตามสัญญา”

“ครับ”

เราทั้งสองคนรีบตรงกลับมาที่โรงงานเอาของที่ลูกค้าให้มากลับมาดูอีกครั้งและมันก็เป็นอย่างที่ลูกค้าพูดเสื้อผ้าเหล่านี้หลุดออกมาจากโรงงานของเราจริงๆ

“เราคงต้องรับผิดชอบ พี่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันออกมาจากทางเรา”

“คุนก็มั่นใจ”

“เดี๋ยวพี่จะเข้าไปอ่านสัญญาแล้วก็จะลองคิดเรื่องค่าเสียหายคร่าวๆ ดูว่ามันเป็นยังไงเท่าไหร่แล้วคงต้องรีบติดต่อเขากลับไปยิ่งช้าเราจะดูเหมือนว่าเราไม่รับผิดชอบ”

“พี่ดาร์กคุนอยากรู้ว่าใคร”

“พี่ก็อยากรู้เพราะเราก็คงต้องดำเนินการอะไรสักอย่างกับคนงานที่เป็นคนทำเพราะปล่อยเอาไว้ในโรงงานเราก็คงไม่ได้เราคงต้องทำไปทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน”

“แต่เราจะรู้ได้ไงละพี่ว่าใคร?”

“พี่คงต้องไปสอบพนักงานทุกคนในโรงงานคุนต้องแยกสอบกับพี่”

“ครับ”

“แล้วคุนอัดเสียงไว้นะว่าใครตอบอะไรยังไงแล้วเดี๋ยวเราค่อยมาฟังพร้อมกันอีกครั้ง”

“พี่ดาร์ก”

“ครับ?”

“มันจะโอเคใช่ไหมพี่?”

“ใช่ มันจะโอเค”

“พรุ่งนี้พี่คงต้องไปขอประวัติที่ฝ่ายบุคคล คงต้องเอามาดูเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ”

“ครับ”

การเรียกพนักงานเข้ามาสอบถามเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าแต่เขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาส่วนพี่ดาร์กวันนี้ทั้งวันก็รีบตรงไปหาลูกค้าเพื่อเคลียร์เกี่ยวกับสัญญา

เป็นธรรมมองไปทั่วโรงงานเพื่อพักเหนื่อยจากการสอบถามเขาก็เหลือบไปเห็นว่าโรงงานมีกล้องวงจรปิดอยู่ตามมุมต่างๆ เขาจึงรีบโทรไปเสนอความคิดนี้กับพี่ดาร์ก

“คุนเราไม่รู้เลยว่าคนที่ทำทำวันไหนงานนี้เรารับมาเป็นเดือนช่วงที่เขาเริ่มผลิตกันพี่ก็ไม่อยู่เริ่มวันไหนจบวันไหนก็ไม่รู้มีแต่คนตอบประมาณๆ คุนคิดว่าคุนจะดูจบได้จริงๆเหรอ?”

“แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้คุนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว”

“เอาอย่างนี้วันนี้เรามาสอบที่เหลือพร้อมเอาประวัติมาดูถ้าทุกอย่างเรายังไม่สามารถหาเจอว่าใครเป็นคนทำเราจะมานั่งย้อนดูกล้องวงจรปิดกัน”

“แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงบ้างพี่?”

“พี่ขอจ่ายผ่อนจ่ายค่าเสียหายเพราะมันเป็นเงินจำนวนมากพี่อธิบายกับทางนั้นไปแล้วว่าเราเป็นเงินหมุนเราไม่มีเงินก้อนให้ขนาดนั้นทางนั้นเขาก็โอเคเขาเข้าใจว่ามันอาจจะมีคนงานแอบทำขอแค่ว่าให้แน่ใจว่าเราทำลายแท่นขึ้นพิมพ์ลายของเขาให้หมดแล้วเขาจะยอมให้เราผ่อนจ่าย”

“ค่อยยังชั่ว”

แต่แล้วคำว่าค่อยยังชั่วของเป็นธรรมมันก็อยู่กับเขาได้ไม่นานเมื่อเขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงโทรศัพท์เงยมองดูเวลานี่ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วมันคงต้องเป็นเรื่องด่วนมากเพราะพี่ดาร์กไม่เคยโทรหาเขาเวลานี้

 “ฮัลโหลพี่”

“คุนพี่มารออยู่หน้าบ้านเปิดประตูให้พี่เข้าไปที”

“เกิดอะไรขึ้นพี่?”

“เดี๋ยวพี่บอก”

ขึ้นมาถึงห้องนอนพี่ดาร์กก็ยื่นภาพเป็นสิบภาพให้เขาดูภาพมากมายที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้เขาล้มทั้งยืนเพราะลายที่เราให้คำสัญญาว่าจะทำลายแป้นพิมพ์ทิ้งดันมีวางขายที่อื่นเพิ่มขึ้นอีกแถมยังมีอีกหลายของอีกเจ้าที่เรารับงานมาทำถูกวางขายอยู่ข้างๆ กันอีกด้วย

“มันเกิดอะไรขึ้นพี่ดาร์ก มันเกิดอะไรขึ้น?”

“คุนใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”

“พี่บอกคุนที”

“อันนี้เป็นของที่บังเอิญว่าคนของเราไปเจอก่อนตามตลาดที่พี่ส่งคนไปดูเราเห็นก่อนมันยังไม่ถูกวางขาย”

“แต่ถ้าลูกค้ารู้?”

“ยังเขายังไม่รู้พี่เก็บขึ้นมาได้ก่อนจะวางขาย ชู่ไม่เอาไม่ร้องคุณไม่ร้อง”

“คุนไม่เข้าใจมันเกิดอะไรขึ้นและถ้ามีอีกหลายลายละพี่? และถ้าเราไม่เจอก่อนแบบครั้งนี้ละพี่…พี่ดาร์ค”

“พี่รู้ๆ ที่พี่มาตอนดึกเพราะคืนพรุ่งนี้เราต้องเดินทางแล้ว”

“เราเลื่อนไม่ไปได้ไหมพี่? คุนไม่มีจิตใจจะไปแล้ว”

เรื่องแผนไปเกาหลีเขากับพี่ดาร์กได้มีการเลื่อนตั๋วไปแล้วครั้งนึงจากที่จะไปเที่ยวก่อนวันคุยงานเขาก็เปลี่ยนเป็นถึงที่นั้นเช้าของวันคุยงานและกลับในเย็นของวันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่มีการแวะเที่ยว

“แต่ถ้าเราพลาดโอกาสครั้งนี้เราก็ไม่รู้จะมีครั้งไหนอีก”

“ไม่ได้ก็ไม่เอาคุนอยากอยู่”

“ไม่ได้คุนต้องไป!! คุนฟังพี่นะอีกไม่นานทางพม่าก็ต้องรู้เรื่องพวกนี้เรื่องแบบนี้ปิดยังไงก็ยากแต่ถ้าเราได้ฝั่งทางเกาหลีมามันจะเหมือนเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ทางพม่าได้ว่าเรายังมีคนต่างชาติมาจ้างงานเราอยู่คุนเข้าใจใช่ไหม?”

“แต่…”

“ไม่มีแต่คุนเลิกร้องและตั้งสตินะครั้งนี้เอาแม่ไปด้วยเดี๋ยวพี่จะจัดการจองให้อย่างน้อยไปสองคนมันน่าจะดีกว่าไปคนเดียว ส่วนทางนี้ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพี่ดูแลเอง”

“ครับ”

“แต่พี่กังวลคือถ้ามันเกิดต้องตัดสินใจเร่งด่วนแล้วเกิดพี่ติดต่อเราไม่ได้มันจะลำบากพี่เลยจะให้เราเส้นใบมอบอำนาจเอาไว้ให้พี่”

เป็นธรรมมองผู้ชายตรงหน้าของเขาอีกครั้งทุกครั้งที่เกิดปัญหาไม่ว่าเรื่องนั้นจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่เขาก็มีพี่ดาร์กอยู่กับเขาเสมอเขาไม่รู้เลยว่าเขาต้องเอ่ยคำว่าขอบคุณเท่าไหร่ถึงจะพอสำหรับการที่ยังคอยอยู่เคียงข้างคอยเหนื่อยวิ่งเต้นแทนทุกอย่าง

“ได้เลยพี่เดี๋ยวคุนเซ็นใบมอบอำนาจไว้ให้”

“พี่ดาร์ก”

“ครับ?”

“เสียดายเนอะแผนเที่ยวที่คุนเตรียมไว้เลยไม่ได้ใช้เลย”

เป็นธรรมรู้สึกใจหวิวตอนที่เห็นสมุดจดเตรียมแผนการเที่ยวไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นเขาถึงรู้สึกใจหายและกังวลกับการเดินทางในครั้งนี้สงสัยเพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องไปติดต่องานโดยที่ไม่มีพี่ดาร์กไปด้วย

“นั้นสินะ พี่เลยไม่ได้ให้คุนนำเที่ยวเลย”

“พี่ดาร์ก”

“ครับ?”

“คืนนี้พี่กอดคุนนะ”

“ได้สิครับ”

คืนนี้พี่ดาร์กอ่อนโยนกับเขามากเป็นพิเศษอาจจะเป็นเพราะกลัวเขาจะเจ็บแผลจากเหตุการณ์ครั้งก่อนและทั้งที่พี่ดาร์กกำลังกอดเขาบอกรักเขาด้วยภาษากายแต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เจอพี่ดาร์กอีกนานเป็นธรรมมองร่างกายที่เขาได้เห็นมา 8 ปีให้เต็มตาอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยให้หัวสมองของเขาว่างเปล่าและจมอยู่ในความสุขที่พี่ดาร์กกำลังมอบให้เขา

“คุนไม่อยากไปเลย” หลังจากบทรักจบลงเป็นธรรมยังคงนอนหนุนอยู่ที่แขนของพี่ดาร์กพร้อมทั้งเกลี่ยแผงหน้าอกของพี่ดาร์กเล่น

“ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ คุนมีพี่ก็มีและพี่ก็ต้องทำ”

“อื้มคุนรู้”

“คุน”

“ครับ?”

“จำคำพี่ของพี่คำนี้เอาไว้นะ”

“คำว่า?”

“หน้าที่”

“รู้แล้วน่าคุนรู้ว่าต้องทำเพราะมันคือหน้าที่ของคุนก็แค่รู้สึกใจหายแต่ไม่ใช่ว่าจะงอแงว่าไม่ไป”

“ใช่ต้องทำเพราะหน้าที่พี่ทำก็เพราะหน้าที่”

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 9 - 23/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 01:00:31
พ่อของคุณเคยทำอะไรไว้กับครอบครัวของพี่ดาร์กหรือเปล่า
การแก้แค้นไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่ดีนะดาร์ก การเติบโตเป็นคนดีและก้าวต่อไปต่างหากถึงจะทำให้วิญญาณของพ่อแม่ไม่ห่วง
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 9 - 23/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 29-01-2017 19:31:10
บทที่ 10  Rewrite

เช้าวันใหม่เป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดไหนจะต้องอธิบายกับแม่ว่าทำไมแม่ต้องเดินทางกระทันหันคืนนี้ไหนจะเรื่องตั๋ว พอเสร็จเรื่องนี้เป็นธรรมก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองไม่ได้ติดแบบเสื้อจากโรงงานมาด้วยช่วงบ่ายเขาจึงต้องตีรถเข้าโรงงานก่อนที่จะบินความจริงเขาสามารถฝากให้พี่ดาร์กแวะเอาของพวกนี้ที่โรงงานก่อนที่จะมารับเขาที่บ้านเพื่อไปส่งที่สนามบินก็ได้แต่มันไม่ใช่แค่เสื้อตัวอย่างที่เขาต้องเข้าไปเอาเพียงอย่างเดียวมันยังมีทรัมไดร์ฟของกล้องวงจรปิดที่โรงงานที่เอาเซฟเก็บเอาไว้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้กับโรงงานและเขาจะใช้เวลาว่างที่เกาหลีไล่ดูทั้งหมดแม้ว่าพี่ดาร์กจะบอกว่าไม่ต้องกังวลให้วางใจแต่เขาก็อยากทำอะไรบ้างไม่ใช่ให้พี่ดาร์กมาคอยแก้ปัญหาคนเดียวแบบนี้

“เดินทางดีๆ นะ” 

“เดี๋ยวคุนถึงแล้วจะรีบติดต่อกลับมา”

“วันกลับพี่จะมารอรับ”

“ครับคุนไปนะฝากทางนี้ด้วย”

“อื้ม ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามแผนไม่ต้องห่วง”


“มีอะไรรึเปล่าลูกทำไมอยู่ๆ เอาแฟ้มประวัติของพนักงานมาหมดแบบนี้”

“พอดีช่วงหลังมานี่ผมกับพี่ดาร์กยุ่งกันทั้งคู่ครับแม่เลยไม่ได้ดูประวัติของพนักงานเลยผมเลยอยากเอามาดูสักหน่อยถือว่าใช้ช่วงเวลาบนเครื่องให้เป็นประโยชน์ครับแม่”

“หักโหมมากไปไม่ดีนะคุน”

“ครับแม่”

ตั้งแต่โรงงานเกิดปัญหาขึ้นเป็นธรรมยังไม่ได้พูดกับแม่ถึงเรื่องนี้เพราะเขาก็ไม่อยากให้แม่ต้องกังวลในเรื่องที่เขาเชื่อมั่นว่าพี่ดาร์กต้องแก้ปัญหาได้อีกทั้งแม่เองก็เพิ่งให้ความเชื่อใจและยอมให้เขาบริหารโรงเรียนสอนศิลปะอย่างเต็มตัวมาไม่นานนี้เองเขากลัวว่าถ้าแม่รู้แม่จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ไม่เต็มที่กับโรงงานและพี่ดาร์กก็ต้องโดนไปด้วยอีกทอดอย่างแน่นอนเพราะพี่ดาร์กเป็นคนสนับสนุนให้เขาเปิดโรงเรียน

“แม่อยากดื่มอะไรไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรจ๊ะคุนทำงานไปเถอะ”

“เฮ้อ”
“เป็นอะไรเหรอคุน?”

“เปล่าครับไม่มีอะไร”

เป็นธรรมยกเอามือขึ้นนวดช่วงหว่างตาที่เหนื่อยล้า 6 ชั่วโมงที่อยู่บนเครื่องเขาไม่ได้อะไรจากการดูกล้องวงจรปิดเลยสักนิดแถมพอมาถึงเกาหลีแล้วเขาก็ยังไม่สามารถติดต่อพี่ดาร์กได้อีกโทรไปก็ไม่มีคนรับเมสเสจไปก็ไม่ตอบไม่รู้ว่าทางที่ไทยจะเกิดอะไรขึ้นอีกรึเปล่าเขากดโทรศัพท์ย้ำจนมาถึงโรงแรมที่พักเขาจึงตัดใจเก็บมือถือลง

พอได้อาบน้ำล้างหน้าเป็นธรรมถึงค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมองและดูเวลาก็เห็นว่ายังเหลือเวลาอีก 3 -4 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดเขาเลยว่าจะหากาแฟดื่มเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นแล้วก็หาอะไรทานเป็นมื้อกลางวันไปเลย

“งั้นเราไปหาอะไรทานก่อนไปเจอกับลูกค้าก่อนดีไหมครับ?”

“เอาสิ”

“วันนี้เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่จะได้ดูลูกเสนองานต่างประเทศครั้งมิสเติร์เวายแม่ก็ไม่ได้เข้าไปดู”

“อย่าว่าแต่แม่ตื่นเต้นเลยครับผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันเพราะนี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเสนองานโดยที่ไม่มีพี่ดาร์กอยู่ข้างๆ”

“ก็ดีแล้วลูกหัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้างถ้าต้องพึ่งดาร์กไปซะทุกอย่างแม่ว่ามันอาจจะ…”

“แม่ครับผมกับพี่ดาร์กคบกันมาปีนี้เป็นปีที่แปดแล้วนะแม่เองก็เห็นว่าพี่ดาร์กเขาเต็มที่กับการทำงานขนาดไหน”

“แม่ก็แค่บอกเอาไว้ก็เท่านั้นเอง”

เราเลือกพักโรงแรมเดียวกับที่เรานัดเจอกับลูกค้าและเพื่อความสะดวกเป็นธรรมจึงตัดสินใจทานอาหารกลางวันที่ร้านของทางโรงแรมและก่อนที่เขากับแม่จะเข้าไปนั่งที่ห้องอาหารเขาก็ได้แจ้งกับทางล้อบบี้เอาไว้ว่าถ้ามีคนมาถามหาเขาให้คนเข้าไปตามที่ห้องอาหารของโรงแรมได้เลย

“งั้นเราไปนั่งที่นัดเลยไหมครับ?”

“คุนเอาเอกสารลงมาครบแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ครับ”

“ปะ งั้นเราไปนั่งรอเขาที่นั้นกันเถอะ”

เป็นธรรมกับแม่กินมื้อกลางวันเสร็จก่อนเวลานัดเขาจึงเคลื่อนตัวไปที่ร้านเบเกอร์รี่ที่เป็นสถานที่นัดเป็นธรรมเอามือถือออกมาเพื่อติดต่อกับพี่ดาร์กอีกครั้งและครั้งนี้ก็เหมือนเดิมที่เขาไม่สามารถติดต่อพี่ดาร์กได้จนตอนนี้เขาเริ่มกังวลใจเพ่ะไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่ดาร์กไม่รับโทรศัพท์เขามาก่อนถ้าติดธุระอย่างน้อยก็ต้องส่งเมสเสจมาบอกไม่ใช่เงียบหายไปแบบนี้ยิ่งในช่วงเวลาสำคัญที่เขากำลังจะต้องเข้าไปคุยงานกับลูกค้าพี่ดาร์กไม่น่าหายไปยกเว้นว่าจะมีเรื่องด่วนและสำคัญมากเกินขึ้น

“นี่ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วนะคุณ”

เสียงของแม่ทำให้เป็นธรรมละหน้าจอมือถือแล้วดูนาฬิกาเป็นเพราะเขามัวแต่กังวลเรื่องติดต่อพี่ดาร์กจนเขาลืมเรื่องนัดนี้ไปเสียสนิทเลย

“นั้นสิแม่”

“คุนแน่ใจนะลูกว่าเป็นที่นี่เราไม่ได้จำโรงแรมผิดใช่ไหม? เช็คอีกทีก็ดีนะ”

“ไม่ผิดหรอกครับแม่แต่เดี๋ยวยังไงผมลองไปคุยกับพนักงานเพื่อความแน่ใจอีกทีก่อนว่าเราไม่ได้คลาดกัน”

“ก็ดีลูก”

วันนี้เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นวันของเป็นธรรมทั้งติดต่อพี่ดาร์กไม่ได้ทั้งลูกค้าที่นัดเอาไว้ก็ไม่มาตรงเวลาจะว่าคลาดกันก็ไม่น่าใช่เพราะลองเช็คดูแล้วพนักงานต้อนรับของโรงแรมก็ยืนยันว่ายังไม่มีใครมาตามหาเขาลองโทรไปที่บริษัทนั้นก็ไม่มีคนรับสายอีเมลล์ไปก็ไม่มีคนตอบเขาเลยตัดสินใจโทรกลับไปที่บริษัทเพื่อว่าพี่ดาร์กจะเก็บเบอร์ติดต่อตรงกับคนทางนี้เอาไว้

“สวัสดีครับคุณสุวรรณี”

“สวัสดีค่ะ”

“ผมเป็นธรรมนะครับ”

“ค่ะ คุณเป็นธรรม”

“ผมไม่สามารถติดต่อคุณทรงจำได้เลยไม่ทราบว่าคุณพอจะเช็คให้ได้ไหมครับว่าตอนนี้คุณทรงจำอยู่ที่ไหน?”

“เอ่อ คือ?”

“ครับ?”

“คิดว่าคุณทรงจำน่าจะอยู่อีกโรงงานมากกว่าค่ะเพราะว่าวันนี้ดิฉันยังไม่เห็นทรงจำเข้ามาเลยค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เป็นธรรมวางหูจากและรีบโทรตรงเข้าอีกโรงงานนึงทันทีมีพนักงานคนนึงเดินมารับสายเสียงรอบข้างของพนักงานเป็นเสียงดังและมีการโวยวายหลายอย่างเกิดขึ้น

“สวัสดีครับผมเป็นธรรมนะครับ ไม่ทราบว่าผมกำลังพูดสายกับใครครับ?”

“พัคครับ”

“คุณพัคไม่ทราบว่าวันนี้คุณทรงจำเข้าไปที่โรงงานรึเปล่าครับ?”

“…”

“ฮัลโหล ครับ?”

พนักงานที่รับสายเงียบไปจะว่าสายหลุดก็เป็นไปไม่ได้เพราะเขายังได้ยินเสียงคนโวยวายจากในสายอยู่แต่อาจจะเป็นเพราะเขาโทรข้ามประเทศทางนั้นอาจจะไม่ได้ยินเขาชัดพอ

“วันนี้คุณทรงจำไม่ได้เข้ามาครับ”

“งั้นผมขอสายคุณแชมป์หน่อยได้ไหมครับ?”

“คุณแชมป์ก็ไม่เข้ามาครับ”

“งั้นถ้ามีใครเข้าไปบอกให้ติดต่อผมกลับด่วนด้วย ขอบคุณครับ”

แต่ก่อนที่เป็นธรรมจะวางเขาได้ยินเสียงเหมือนคนงานตะโกนร้องอะไรสักอย่างเขาเลยรีบพูดแทรกเข้าไปในสายก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป

“มีอะไรเกิดขึ้นที่โรงงานรึเปล่าครับ?”

“ไม่มีครับ”

“แล้วเสียงนั่น?”

“ไม่มีอะไรครับ”

แล้วสายก็ถูกตัดไปโดยที่ในหัวของเป็นธรรมยังมีแต่คำถาม “พัค” งั้นเหรอ? มันเหมือนมีอะไรแต่ก่อนที่เขาจะคิดข้อมูลเกี่ยวกับพัคมากไปกว่านี้เขาว่าเรื่องตรงหน้าคือเรื่องที่เขาต้องสนใจก่อนเรื่องอื่นเขาจึงโทรกลับไปหาคุณสุวรรณีอกีครั้งบอกให้พยายามติดต่อกับพี่ดาร์กให้ได้พร้อมทั้งยังให้เข้าไปรื้อข้อมูลของบริษัทเกาหลีนี้ให้เขาด้วย

“ที่โรงงานว่าไงบ้างลูกและติดต่อตาดาร์คหรือยัง?”

“ทุกคนกำลังตามเรื่องให้ครับ”

ก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะเป็นธรรมต้องเรียกกำลังใจให้กับตัวเองอยู่หลายนาทีเขาไม่กล้าพอที่จะเดินกลับเข้าไปพร้อมบอกกับแม่ว่าตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทที่เราติดต่องานเลยสักนิดแถมยังไม่สามารถติดต่อพี่ดาร์กได้อีกต่างหาก

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มือของเป็นธรรมก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเยอะเท่านั้นเขาจ้องมองโทรศัพท์ภาวนาให้มีสายโทรกลับมาจากใครสักคนต้องคอยกดปุ่มแตะให้หน้าจอเปิดเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าโทรศัพท์ของเขายังมีสัญญาณและมีแบตอยู่

ในที่สุดการรอคอยของเป็นธรรมกับแม่ก็สิ้นสุดลงเมื่อพนักงานต้อนรับของโรงแรมก็เดินตรงเข้ามาหาเราพร้อมกับยื่นกระดาษที่มีใจความสั้นๆ ให้

“They are not coming”

“เขาว่ายังไงลูก?”

“สงสัยมีการสื่อสารผิดพลาดเขาไม่มาเจรจากับเราแล้วครับแม่”

“อ้าวแล้วเราจะมาที่นี่ทำไม? ลูกแน่ใจนะว่ามันเป็นกระดาษสำหรับโต๊ะเรา”

“ผมแน่ใจครับ”

ตลอดทางที่เดินกลับมาที่ห้องพักแม่บ่นมาตลอดว่าเราไม่ควรมานั่งดิวกับอะไรที่ไม่แน่นอนและเสียเวลาแบบนี้ย้ำว่าการตัดสินใจของเขาและพี่ดาร์กพลาด

“มันเป็นเพราะผมครับแม่”

“มันก็ทั้งคู่นั้นแหละ”

“พี่ดาร์กไม่ให้ผมมาแต่เป้นผมที่ดื้อเอง”

“คุน”

“ก็ผมอยากให้มันโตเร็วๆ ผมก็แค่อยากทำให้พ่อ”

“อย่าเอาพ่อมาอ้างแล้วก็เลิกปกป้องกันได้แล้วผิดก็คือผิด”

“แต่…”

“กลับไปเราต้องคุยกันใหม่ทั้งสองคนนั้นแหละ”

“ครับ”

“แม่จะไปสปา”

“ครับงั้นผมเข้าไปทำงาน”

“ทำหนักขนาดนี้แล้วยังพลาดแม่ว่าบางทีก็ไม่ต้องทำหนักขนาดนี้ก็ได้นะ”

หลังจากแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปแล้วเป็นธรรมถึงใช้ช่วงเวลานี้นั่งพักสมองที่ถูกบีบรัดมาตลอดช่วงบ่าย ‘หรือทางนี้จะรู้เรื่อง?’ สาเหตุเดียวที่เขาคิดออกที่ทำให้บริษัทที่นี่ตัดสินใจไม่มาตามนัดก็คือข่าวเรื่องที่โรงงานและถ้าทางนี้รู้นั้นหมายความว่าที่เมืองไทยตอนนี้ก็ต้องกำลังรับศึกหนักแล้วพี่ดาร์กที่อยู่ที่นั้นคนเดียวจะเป็นอย่างไรบ้าง?

ความตื่นกลัวที่อยู่ในใจมันทำให้เป็นธรรมอยากจะเปลี่ยนตั๋วและบินกลับซะเดี๋ยวนี้แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นแม่ก็ต้องยิ่งสงสัยว่ามันต้องมีปัญหาใหญ่เขาเลยได้แต่นั่งรอให้เวลามันผ่านไปจนกว่าจะถึงเวลาของพรุ่งนี้

ตริ้ง เสียงเมสเสจดังขึ้นทำให้เป็นธรรมรีบคว้าเอาโทรศัพท์มาดูด้วยความหวังว่าพี่ดาร์กคงเคลียร์ปัญหาเสร็จถึงได้สามารถติดต่อกลับมาได้แต่พอเขาไสลด์หน้าจอดูมันกลับไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดเพราะข้อความที่เขาได้รับมันคือข้อความภาพจากแจงพร้อมกับข้อความแซว

แจง ‘แมวไม่อยู่วันเดียวหนูร่าเริงเลยเชียวนะ’

ภาพนั้นทำให้เป็นธรรมต้องรีบโทรกลับไปหาแจงเพราะมันคือภาพที่หน้าของพี่ดาร์กมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่ริมฝีปากและพี่ดาร์กกำลังมอบมันให้กับคนใครสักคน

“ฮัลโหลอะไรแค่นี้ต้องรีบโทรมาเลยเหรอจ๊ะ?”

“แจงรูปนี้ตั้งแต่วันไหน?”

“วันนี้สิ”

“แจงถ่ายที่ไหน? แล้วเขาสองคนยืนกันนานไหม? แล้วแจงรู้ไหมเขาคุยอะไรกันบ้าง? แล้วเขา..”

“เดี๋ยวๆ คุนเกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไร? ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเป็นนี้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกรึเปล่าที่เราเคยบังเอิญเจอกับพี่เขาและแอบถ่ายรูปส่งมาให้ดูแบบนี้”

เป็นธรรมพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองมันก็ถูกอย่างที่แจงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนของเขาจะบังเอิญเจอพี่ดาร์กในที่ต่างๆ และถ่ายรูปมาแซวแต่หลายรูปนั้นมันไม่เคยทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกได้เท่ากับรูปนี้

อาจจะเป็นเพราะรูปก่อนๆ เป็นธรรมรู้ว่าพี่ดาร์กอยู่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่แต่ครั้งนี้เพราะเขาไม่สามารถติดต่อกับพี่ดาร์กเขาเป็นกังวลว่าพี่ดาร์กอาจจะอยู่ในช่วงเวลาของความลำบากคิดไปมากมายแต่รูปที่ได้กลับเป็นรูปที่พี่ดาร์กกำลังยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นกับผู้ชายคนนึงแถมหน้าตาของพี่ดาร์กก็ไม่ได้แสดงออกถึงความกังวลใดๆ ผิดกับเขาที่กำลังเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้

“ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าแจงตอบคำถามของเราได้ไหมว่าไปถ่ายมาได้ยังไง?”

“ฉันถ่ายได้เมื่อช่วงก่อนเที่ยงแต่ไม่ได้ส่งให้ดูตอนนั้นเพราะต้องไปคุยงานกับลูกค้าพอคุยงานเสร็จกลับมาถึงบริษัทถึงส่งให้ดู”

“อื้ม แจงเห็นอะไรผิดปกติไหม?”

“คุน?”

“แจงบอกที”

“โอเคตอนแรกเราก็นึกว่าพี่ดาร์กมาคุยงานและเอาลูกน้องมาด้วยสรุปมันไม่ใช่เหรอ?”

“ทำไมแจงถึงคิดว่าคนนั้นเป็นลูกน้องละ?”

“ก็ ไม่งั้นจะเป็นใครได้ละมาด้วยกันเวลาทำงานแล้วก็ดูเด็กมาก”

ยิ่งได้ยินมันออกมาจากปากของแจงหัวใจของเขาก็เหมือนกำลังถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออกเขาเอามือขึ้นมากุมที่ตรงหน้าอกข้างซ้ายนวดมันเบาๆ เผื่อว่าความแรงบีบรัดที่กำลังเต้นหนักอยู่ในอกตอนนี้มันจะลดลง

“คุน คุนยังฟังอยู่ไหม?”

“อยู่ๆ ขอบคุณมากนะแจง เราวางก่อนนะ”

“มีอะไรคุยกับเราได้นะ”

พอวางหูจากแจงเป็นธรรมก็ลองโทรหาพี่ดาร์กอีกครั้งและทันทีที่เขาได้ยินเสียงตอบรับว่าไม่มีสัญญาณความอดทนที่พยายามจะไม่คิดมากก็พังลงเขาลดมือถือวางลงไว้ข้างตัวแล้วปล่อยให้ร่างกายได้ระบายความเครียดโดยการปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาที่กำลังเหม่อมองออกไปที่หน้าต่างบานใหญ่ของโรงแรมพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวของตัวเองว่า ‘พี่ทำอะไรอยู่?’ และคำถามที่เกิดขึ้นเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ยกเว้นพี่ดาร์กและในเมื่อพี่ดาร์กไม่อยู่ตรงนี้เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะรู้คำตอบของมัน

ไม่น่าเชื่องว่าการร้องไห้สามารถช่วยลดความตึงเครียดลงได้แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เขาหยุดคิดเรื่องเหล่านี้ได้และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้และสิ่งเดียวที่ตอนนี้จะสามารถทำใฟห้เขาเลิกคิดได้ก็คือการเอางานขึ้นมาทำเขาจึงนั่งดูวีดีโอของกล้องวงจรปิดที่ค้างเอาไว้ต่อ

“เดี๋ยวนะ”

ช่วงท้ายของวีดีโอเขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่เขาว่ามันผิดปกติเพราะพี่ดาร์กมักจะเดินเข้าไปหาคนๆ นึงและพาคนนั้นไปคุยในมุมที่กล้องวงจรปิดมองไปไม่ถึง คนงานคนนั้นเป็นคนที่เขาเห็นบ่อยแต่เขาก็ไม่เคยได้คุยด้วย อีกเหคุผลที่เขาสะดุดตาคนนี้ก็เพราะคนนี้ช่างคล้ายกับคนในภาพที่เขาเพิ่งได้มาจากแจง

เป็นธรรมหยุดภาพที่อยู่ในคอมพิวเตอร์และเปิดภาพในมือถือขึ้นมาเปรียบเทียบและใช่คนในภาพและคนที่อยู่ในจอคอมเป็นคนๆ เดียวกัน

เป็นธรรมกรอวีดีโอไปด้วยใจที่เต้นรัวและสมองของเขาก็เหมือนกำลังถูกใครบางคนทุบมันเมื่อภาพที่เขาเห็นมันเป็นภาพที่พี่ดาร์กกำลังยืนคุยหรือในบางครั้งก็ยืนดูดบุหรี่กับพนักงานที่ชื่อเบทที่จริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่ดาร์กจะคุยกับพนักงานสักคนถ้าไม่ใช่ว่าพนักงานคนนั้นคือคนที่คอยมีเรื่องกับพี่ดาร์กหรือคอยตามด่าลับหลังอย่างที่เขาได้รับรู้มาจากคุณกี้

“มันเกิดอะไรขึ้น?”

และภาพที่ทำให้เป็นธรรมแทบลืมหายใจคือภาพที่ พี่ดาร์ก คุณเบท และ พนักงานคนนั้นทั้งหมดกำลังช่วยกันขนกล่องกระดาษหลายกล่องขึ้นหลังรถและรถนั้นเป็นรถของพี่ดาร์กของที่อยู่ในลังกระดาษมันคืออะไรแล้วทำไมทั้งสามคนต้องทำลับๆล่อๆขนขึ้นรถในช่วงที่พนักงานคนอื่นต่างเลิกงานไปหมดแล้วถ้าจะไปส่งของกันก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่ดาร์กไม่ใช้รถของโรงงานและใช้รถส่วนตัว

“คุนใจเย็นไว้ อย่าคิดอะไรมันต้องมีอะไรผิดพลาด”

เป็นธรรมปลอบให้ตัวเองตั้งสติและหยุดภาพนั้นเอาไว้เดินไปที่กระเป๋ารื้อเอาประวัติของคุณเบทออกมาดูแต่ข้อมูลพื้นฐานมันไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าน่าสงสัยเช่นคุณเบทก็ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ดาร์กด้วยซ้ำสิ่งที่เขาหาเจอมันควรทำให้เขาโล่งอกแต่กลายเป็นว่าเขากำลังหน้าซีดและเหงื่อออกแม้จะอยู่ในห้องแอร์เพราะไม่ว่าเขาจะรื้อกองประวัติเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถหาใบประวัติของคนที่อยู่ในภาพนั้นเจอเขามั่นใจว่าเขาขอให้ฝ่ายบุคคลเอาประวัติคนงานมาให้เขาทั้งหมดแล้วแต่ทำไมละทำไมเขาถึงหาไม่เจอแล้วคำพูดของพี่ดาร์กเมื่อหลายคืนก่อนก็เข้ามาในหัว

“พี่ต้องไปขอประวัติจากฝ่ายบุคคลมาก่อน”

นั้นหมายความว่าพี่ดาร์กได้ประวัติพนักงานเหล่านี้ก่อนที่เขาจะเข้าไปขอ

ในหัวของเป็นธรรมเกิดเสียงร้องระงมเต็มไปหมดว่าสัญชาตญาณความระแวงของเขามันกำลังทำงานได้ถูกต้องแต่มันจะเป็นไปได้ยังไงพี่ดาร์กจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันเขาจึงได้แต่ย้ำกับตัวเองด้วยประโยคซ้ำๆ ว่า ‘ไม่เอาภาพไม่กี่ภาพอย่าอย่าคิดไม่ดีแบบนั้น’

เป็นธรรมตัดสินใจปิดจอคอมลงเพราะทุกอย่างมันดูสับสนและพันกันมั่วไปหมดพยายามคิดหาถึงเหตุผลในแง่ร้ายที่สุดว่าทำไมพี่ดาร์กทำแบบนี้แต่เขาก็คิดเหตุผลนั้นไม่ออกเพราะถ้าเกิดจากความตั้งใจของพี่ดาร์คจริงสิ่งที่ทำอยู่นี้มันไม่ใช่การโกงแต่มันเป็นการทำลายและพี่ดาร์กจะอยากทำลายกับสิ่งที่ตัวเองลงแรงไปทำไหมกัน

 
“เอาแต่กดโทรศัพท์เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว เพลาๆ ลงหน่อยลูก”

“ครับแม่”

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ที่เขากับแม่กำลังเตรียมตัวบินกลับไทยแม้ส่วนนึงในจิตใจจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะคอยกดโทรหาพี่ดาร์กอยู่แบบนั้นเพราะถ้าพี่ดาร์กคิดอยากจะติดต่อเขาคงจะเปิดเครื่องหรือโทรกลับมาหาเขาแล้วแต่ร่างกายดันไม่ฟังสิ่งที่สมองคิดเขาจึงอดไม่ได้ที่จะโทรและคอยส่งข้อความด้วยความหวังเพียงนิดว่าเขาจะโชคดีเจอตอนพี่ดาร์กเปิดเครื่องและถ้าพี่ดาร์กเห็นเมสเสจพี่ดาร์กจะได้รู้ว่าเขาอยากคุยด้วยมากแค่ไหน

“คุณ”

“แม่เข้าไปดูของร้านนี้ก่อนเลยเดี๋ยวผมคุยธุระอีกสายแล้วจะตามเข้าเกตไปครับ”

“คุณสุวรรณีไม่ทราบว่าสามารถติดต่อคุณทรงจำได้บ้างรึยังครับ?”

“คุณเป็นธรรมดิฉันได้แจ้งไว้กับคุณทรงจำแล้วค่ะว่าให้ติดต่อคุณกลับไป”

“แล้วเรื่องโรงงานที่เกาหลี?”

“ดิฉันไม่พบอะไรเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากวางสายเป็นธรรมนั่งมองรูปที่เขาใช้เป็นรูปหน้าจอมันเป็นรูปที่เขากับพี่ดาร์กถ่ายคู่กันตอนที่ไปเที่ยวกันที่พม่าที่เขาเลือกใช้รูปนี้เพราะมันเป็นทริปต่างประเทศของเราทั้งคู่ทริปแรกและในทริปนั้นเขาเองก็มีความสุขมาก



“สรุปตาดาร์กไม่ได้มารับเหรอลูก?”

“ไม่มาครับพี่ดาร์กติดงานเอ่อ เดี๋ยวแม่นั่งแท๊กซี่กลับบ้านก่อนเลยนะครับ”

“ทำไมไม่กลับพร้อมกันละ?”

“ผมอยากจะแวะเข้าไปที่โรงงานสักหน่อย”

“ไม่เหนื่อยเหรอ?”

“ไม่ครับ”

“งั้นเจอดาร์กแล้วให้ไปหาแม่ที่บ้านพร้อมกันด้วย”

“ครับแม่”

พี่ดาร์กไม่ได้มารับเขากับแม่ตามที่ให้สัญญาเอาไว้และเขาก็ยังทิ้งให้แม่ขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านด้วยตัวคนเดียวช่วงนี้เขารู้สึกว่าเขาเป็นลูกที่ไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไหร่เพราะเขาโกหกแม่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน

หลังจากที่เป็นธรรมส่งแม่ขึ้นรถแท๊กซี่เป้นที่เรียบร้อยแล้วเขาเดินกลับขึ้นไปชั้นขาเข้าเดินตรงไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่เป็นที่สำหรับนั่งรอที่อยู่ตรงหน้าทางออกที่ 2 โชคดีที่ขาไปเขาพกหนังสือเกี่ยวกับศิลปะไปด้วยหนึ่งเล่มเขาเลยหยิบมันออกมานอ่านฆ่าเวลา

“พี่ดาร์กห้ามลืมตารางวันกลับคุนนะ”
“ไม่ลืมหรอกนะ”
“อย่าลืมมารับคุนด้วยนะ”
“แน่นอนครับ เนี่ยพอคุนออกมาจากประตูทางออกคุนจะเห็นพี่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไม่ต้องเสียเวลาแม้จะชะโงกมองหา”
“ดีมากครับ”
“เดินทางดีๆนะ”
“อย่าลืมมารับคุนละ”

วันนั้นพี่ดาร์กให้คำสัญญากับเขาตั้งหลายครั้งไม่มีทางที่พี่ดาร์กจะไม่มาและนั้นก็ทำให้เขายังปักหลักรออยู่ตรงนี้

“พี่ดาร์กมารับคุนได้แล้วคุนมาถึงแล้ว”


เสียงหน้ากระดาษที่ถูกพลิกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดถ้าไม่สังเกตุให้ดีใครต่อใครก็คงคิดว่าผู้ชายที่นั่งอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบนี้กำลังสนใจหนังสือที่อยู่ตรงที่ตักของเขาหนักหนาแต่ถ้าใครได้ตั้งใจฟังเสียงที่เกิดขึ้นอีกสักนิดก็จะได้ยินเสียงที่น้ำตามันหยดลงมาประดับอยู่ในหน้าหนังสือแต่ละหน้าที่ถูกพลิกไปด้วย

เพราะเจ้าของหนังสือเมื่อเขาพลิกมันจนมาถึงหน้าสุดท้ายของมันเขาก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรอื่นยกเว้นหยดน้ำวงกว้างที่หยดลงที่ปกหลัง


เป็นธรรมยกเอามือปาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มทั้งสองข้างออกพร้อมกับกระพริบตาถี่ปรับอารมณ์ให้เข้าที่ และเมื่อเขาพร้อมเขาก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้งด้วยความหวังว่าเขาจะเห็นคนที่เขากำลังรออยู่แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่ตกปากรับคำเอาไว้ว่าจะมา

ไม่เป็นไรตอนนี้รถคงยังติดอยู่เขาอยู่รออีกหน่อยก็ได้ เพราะเขาอยากเจอเขามากจริงๆ

“คุนอยากเจอพี่จริงๆ”

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 10 - 29/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-01-2017 19:51:19
ในที่สุด... ฝั่นโน้นก็ดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้วสินะ คุณก็เริ่มรู้ตัวแล้ว ยังไงต่อล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 10 - 29/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 30-01-2017 01:20:15
อยากรู้ตอนต่อไปมาก คุณหมดทุกอย่างในชีวิต บ้าน โรงเรียน บริษัท และคนรัก ไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว แล้วจะอยู่ต่อไปยังไง :katai1:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 11 - 10/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 10-02-2017 20:40:59
อ่านแล้วเครียด  :katai1:
อีดาร์ค แกมันไอ้สารเลว
///โทษจ๊ะ อินไปหน่อย
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 11 - 10/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-02-2017 16:40:27
อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความมืดมนในชีวิตของคุณเลย ไม่รู้จะทำยังไงดีสินะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 - 18/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-02-2017 15:38:18
แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-02-2017 19:19:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-02-2017 19:23:48
เพื่ออะไรฮะดาร์ค สุดท้ายก็แบบนี้
ยังไงก็ทำไปแล้ว มีแต่ต้องก้าวต่อไปแล้วละนะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-02-2017 23:32:32
ก็แก้แค้นได้แล้วนี่ ดาร์ค
จะคร่ำครวญถึงคุนทำไม
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปสิ
เก่งนี่ ตีหน้าหลอกคุนมาได้ตลอดแปดปี
“พี่รักคุณนะ”
รักเหรอ คนรักกันเขาทำกันแบบนี้ใช่มั้ย  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
   
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 27-02-2017 01:11:50
โอ้โหอ่านถึงตอนล่าสุดแล้วรู้สึกเกลียดพระเอกเข้าไส่ติ่ง

ดาร์กจะเสียใจทำไม เลือกเองแท้ อ่านแล้วรู้สึกโกรธมากอะหัวร้อนเลย

ไม่อยากให้คุณยกโทษให้ดาร์กเลย เอาใจช่วยคุณให้เข้มแข็ง
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 27-02-2017 03:21:07
 :hao5: อ่านแล้วสงสารคุนมาก

จะเดินต่อทางไหนดี ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 13 - 26/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: fyfh34 ที่ 27-02-2017 09:58:50
จะคอยติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 14 - 05/03/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 05-03-2017 12:43:18
อยากให้คุณแข้มแข็งไวๆ

ไม่ต้องไปแก้แค้นเอาคืนดาร์ค แต่ไปหาผัวใหม่รวยๆ

เปลี่ยนพระเอก ชิชิ เกลียดาร์ค
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 14 - 05/03/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-03-2017 07:21:20
คุนเริ่มจะลุกขึ้นยืนแล้วสินะ แต่สำหรับมือใหม่จะทำได้ดีแค่ไหนกัน
แม่ของคุนกู้เงินไปทำอะไรหนอ (สำหรับคุณแม่ผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจมานาน หวังว่าเงินที่กู้ไปจะไม่สูญเปล่าหรือกลายสภาพเป็นหนี้ก้อนโตนะ)
เข้าใจความรู้สึกของคุนนะ คือเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวย่อมมีความกดดันความคับแค้น แต่ว่าตามหลักแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ไง ในเมื่อสิ่งที่พ่อแม่ทำส่งผลให้มีกินมีใช้จนทุกวันนี้ ส่วนฝ่ายพี่ดาร์คก็ตัดสินใจแก้แค้นไปแล้ว (โดยใช้ความรักความไว้ใจของคุน) เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องเดินหน้าอย่างเดียว
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 15 - 15/03/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-03-2017 18:57:17
เราว่าเราเข้าใจความรู้สึกของคุนมากเลยนะ คือ ถ้าทำกันขนาดนี้แล้วก็ปล่อยกันไปเถอะ ไม่ต้องหันกลับมาสนใจว่าคุนจะอยู่ได้ไหมโรงงานจะล้มหรือเปล่า จะเป็นหรือตายยังไงก็ไม่ต้องสนแล้ว ไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วยังไง... ก็ดีแล้วนี่ (อาจจะเป็นเพราะบางทีเราก็มีอารมณ์รุนแรงไปบ้าง) ในเมื่อเลือกจะแก้แค้นทั้งที่รู้ว่าทำร้ายคนที่ตัวเองรักด้วยก็ควรยอมรับความจริงว่าเส้นทางต่อจากนี้ไปจะแยกจากกันไปคนละทางไม่มีทางมาร่วมกันอีก ในเมื่อจะเลวก็เลวให้สุด จะแก้แค้นก็เอาให้สุดไปเลย แบบให้อยู่ไม่สู้ตายไรงี้ (รู้สึกว่าไฟโกรธของเราโคตรโหมอ่ะ) คือ อ่านจากมุมของคุนมันเป็นความรู้สึกแบบเสียใจ แต่สถานการณ์ทางบ้านก็ไม่อำนวยให้ฟูมฟายไง พอรู้ว่าอีกคนยังห่วงมันก็รู้สึกฮึดฮัด จะอภัยให้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขอ จะโกรธก็ยังรู้ว่าเขายังห่วง จะยอมรับความห่วงใยความช่วยเหลือจากคนที่หักหลังกันอย่างเลือดเย็นก็ทำใจไม่ลงนะ อย่างนี้ก็ปล่อยให้บริษัทล้มไปแล้วคุนตรอมใจตายไปเลยเถอะ ได้แก้แค้นสาสมใจอิพี่ดาร์ค แล้วก็ปล่อยมันไปมีลูกมีเมียไปเสีย หรือไม่ก็ระหว่างตกยากนี่ก็อยากให้คุนเจอผู้หญิง/หรืออาจจะผู้ชายดี ๆ สักคน มาร่วมทุกข์ร่วมสุข สุดท้ายพอได้ดี รักกัน แต่งงานกันไปเลย เราจะยินดีมาก (เป็นการคอมเม้นท์ที่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอย่างที่สุด ไม่มีการใช้เหตุผลใด ๆ...จำได้ว่าไม่เคยเม้นท์ด้วยอารมณ์แบบนี้มาก่อนเลยอ่ะ) เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 - 26/03/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-03-2017 20:41:19
ใครเข้ามาช่วยหนอ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 17 - 04/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-04-2017 20:44:13
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 17 - 04/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-04-2017 19:45:32
มีการปลอมตัวอย่างกับในละครเชียวนะคุน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 19 - 25/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-04-2017 14:04:38
ปรับความเข้าใจกับแม่ก่อนก็ดีนะคุน เพราะดูท่าจะทัศนคติไม่ตรงกันอย่างแรง
รอตอนต่อไปค่ะ

คำผิดค่ะ
เอะใจ ไม่ใช่ เอ๊ะใจ
ผ่าตัดปรับแผล ไม่ใช่ ผ่าตัดปรับแพ้
น่าขำ ไม่ใช่ ย่าขำ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 20 - 09/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-05-2017 15:34:45
จะกลับมามองเห็นไหมนะ

ยังเจอ เอ๊ะใจ อยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 20 - 09/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 09-05-2017 22:19:56
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 20 - 09/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 09-05-2017 23:35:09
ไปอยู่ไหนมาเนี่ยเรา เพิ่งมาได้อ่าน ฮ่าๆ สนุกมากค่ะ ติดตามๆ:)
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 - 21/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2017 13:44:34
ขุ่นแม่จะทำอะไรอีกหรือเปล่านี่
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 - 21/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 21-05-2017 15:56:01
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 - 21/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 31-05-2017 09:05:32
 :hao4: หวังว่าพี่ดาร์คจะหายแล้วเข้าใจกันสักที
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 22 - 06/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-06-2017 16:06:07
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 22 - 06/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-06-2017 20:26:41
รู้สึกไม่ชอบคุณแม่อยู่หน่อย ๆ นะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 22 - 06/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-06-2017 21:07:23
มาให้กำลังใจคับ

หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 22 - 06/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 06-06-2017 22:19:26
เรื่องเกิดจากแม่ แค้นกันไปมาไม่จบไม่สิ้น น่าเบื่อ
ดาร์คก็ได้ความสะใจไปแล้ว
แม่คุณก็ได้โรงงานคืนมา แล้วจะเอาไรอีก ที่ดาร์คเจ็บัวมันเพราะ ธิดานิ

หรือต้องให้คุณตายถึงจะหยุดแค้น หยุดทะเลาะกันได้สักที ก็ดีนะ เออให้คุณโดนรถชน หรือหลับในเพราะเหนื่อยมากก็ดี คุณหัวอ่อน มากถึงมาก

เราเชียร์ให้คุณตาย เป้นเจ้าชายนิทรา 5555
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 24 - 18/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-06-2017 18:32:37
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 24 - 18/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: chaweewong19841 ที่ 18-06-2017 19:47:33
อยากอ่านต่อแว้ววว
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 25 - 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-06-2017 20:44:39
คงใกล้จบแล้วซินะ เราว่าคุนคงเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 25 - 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 23-06-2017 05:47:16
ในเรื่องเราสงสารคุณที่สุดแ้ว เด็กที่ต้องสูญเสียทุกอย่าง ทั้งรักของตัวเองความเป็นตัวเอง คุณดีเหลือเกิน จนดาร์คไม่คู่ควร แม่ก็เลี้ยงคุณมาได้เป็นคนดีจนไม่ทันคน สงสาร แม่เป็นแม่จริงหรอคะคุณธิดา เรา รู้สึกคุณไม่ใช่แม่ ไม่ใช่เมีย แต่คุณธิดาคือนักธุรกิจแม้แต่เรื่อครอบครัว

ว่าแต่คุณเป็นอะไรไป รอตอต่อไป
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 25 - 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-06-2017 07:52:51
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 25 - 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-06-2017 19:35:28
น้ำตาไหลเลย คุณแม่สำนึกได้จริงๆ ก็ดีแล้ว
ตอนนี้คุนหายไปไหนนะ หรือจะประสบอุบัติเหตุ
อย่าให้เป็นไรอีกคนเลยนะ แค่นี้ก็หดหู่พอแล้ว
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 (ตอนจบ) - 06/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-07-2017 19:09:27
ยาแรงของแจงนี่ได้ผลดีจริง ๆ
ขอบคุณคนเขียนที่แต่งจนจบนะคะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 (ตอนจบ) - 06/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-07-2017 20:58:09
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 (ตอนจบ) - 06/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-07-2017 16:46:36
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 (ตอนจบ) - 06/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-07-2017 19:17:59
อ่านรวดเดียว แบบจบเรื่องไปเลยค่ะ

บีบหัวใจมากเลยค่ะ คือวางแผนมาดีมาก ทำเนียนมาก แล้วทำให้คนคนหนึ่งไว้ใจได้ขนาดนี้
ดาร์คทำได้เนียนมากจริงๆ ค่ะ แต่ก็ไม่แปลก เพราะคุนเป็นคนซื่อ ไว้ใจคนใกล้ตัว เลยถูกหลอกซ้ำๆ

บางเวลาก็คิดว่าทำไมคุนบื้อมากแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนไม่เคยทำ ไม่เคยเจอ แล้วจะมาทำอะไร คิดอะไรลึกขนาดนั้น มันยาก

แต่ดาร์คไม่ร้ายจนกู่ไม่กลับ อย่างน้อยทุกอย่างที่ทำไป ก็เพราะยังรักคุนอยู่ เลยไม่ทำจนไม่เหลืออะไร

กว่าทุกคนจะรู้ว่าตัวเองผิด คนรับกรรมก็ได้แต่พยายามต่อไป เก็บแรงไว้รับศึกลำพัง
โชคดีที่คุนมีเพื่อนดี ไม่งั้นคงยากที่จะจบด้วยดี


ดราม่าเบาๆๆ แต่คนที่น่าสงสารสุด ไม่ใช่ใคร เป็นธรรมน่าสงสารสุด

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องราวลึกลับ น่าติดตามดี
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 (ตอนจบ) - 06/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 18-01-2018 10:41:55
บทที่ 11 Rewrite

“คุนๆ”

“พี่ดาร์ก!!”

“อ้าวพอลมาที่นี่ได้ไง?”

“ก็…พอดีมาส่งเพื่อนขึ้นเครื่องแล้วก็แบบเดินมา.. ช่างมันเถอะว่าแต่ทำไมคุนมานั่งหลับอยู่ตรงนี้คนเดียว?”

“เรารอพี่ดาร์กมารับ”

“งั้นกลับเราไปส่งบ้านเอง”

“ไม่เป็นไรพอลเดี๋ยวพี่ดาร์กก็มา”

“นี่มันดึกมากแล้ว”

“เรารอไหว”

“คุนกลับ”

“พอลเรารอพี่ดาร์กอยู่”

“พี่มันไม่มาหรอก!!”

“พอลรู้ได้ไงว่าพี่ดาร์กจะไม่มา?”

“ไม่มีอะไร ปะ กลับบ้าน”

“พอลบอกสิ”

“เดี๋ยวคุยกัน”

“พอล”

มือข้างขวาของพอลยกขึ้นมากำที่ข้อมือข้างซ้ายของเขาเอาไว้แรงบีบที่ได้รับพร้อมกับสายตาของพอลที่เต็มไปด้วยความโกรธท่าทางของพอลมันทำให้เขาสับสนจู่ๆ พอลก็เดินมาทักและก็จะมารับกลับทั้งที่เขายืนยันว่ามีคนจะมารับมันไม่ประหลาดไปหน่อยรึไง

“ถ้านายไม่พูดฉันก็จะยืนอยู่ตรงนี้นะแหละ”

เป็นธรรมไม่ยอมขยับตัวตามที่พอลต้องการและถ้าเขาไม่ได้คำอธิบายเขาก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้นเมื่อพอลเห็นว่าเขาคงเอาจริงและทำตามที่พูดในที่สุดพอลก็ยอมพูดออกมา

“นั่งรอมานานแค่ไหนแล้ว?”

“ก็สักพัก”

“รอจนหลับแล้วทำไมยังตั้งความหวังว่าพี่เขาจะมา? กลับบ้านเถอะเดี๋ยวเราไปส่งแล้วถ้าเขาไม่มาคุณจะรอถึงกี่โมง?”

“….”

“คุน”

“เราต้องการรู้ว่าทำไมพอลถึงพูดเหมือนรู้ว่าพี่ดาร์กจะไม่มา”

“ถ้ายอมกลับเราจะเล่าให้ฟังตอนที่ถึงบ้าน”

“แต่”

“ไม่มีแต่”

“งั้น กลับบ้านกัน”

เมื่อรู้ว่าจะได้คำตอบเป็นธรรมก็ยอมลากกระเป๋าเดินตามพอลไปที่รถแค่ตัวรถของพอลพ้นเส้นทางของสนามบินมาได้เขาก็หลับตาลงทันทีไม่ใช่ว่าเขาเหนื่อยหรือง่วงแต่มันเป็นเพราะว่าภาพของถนนในเวลานี้มันโล่งเหลือเกินมันโล่งเกินไปจนทำให้เหตุผลที่เขาพยายามแก้ตัวมาให้พี่ดาร์กมาตลอดว่ารถอาจจะติดหรือมีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มีน้ำหนักหลงเหลืออยู่เลย


“ถึงบ้านแล้วถ้าไม่หลับก็ลืมตาขึ้นเถอะ”

เป็นธรรมยอมลืมตาขึ้นแต่ยังคงทิ้งตัวนอนลงเบาะที่ปรับเอนเอาไว้มองตรงไปที่ประตูรั้วบ้านของตัวเองแล้วก็รู้สึกกลัวที่ต้องจะก้าวเข้าไปเพราะในจิตสำนึกเขารู้ว่าถ้าก้าวเข้าไปแล้วเขาต้องตื่นจากฝันและเผชิญกับโลกความจริง ความจริงที่ว่าก็คือมันถึงเวลาที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับแม่สักที

“มีอะไรรึเปล่า?”

“อะไร?”

“มีอะไรที่อยากเล่ารึเปล่า?”

“ไม่มี”

พอลยกมือขึ้นมาที่หัวลูบเขาเบาๆ ความอ่อนโยนจากฝ่ามือของพอลนั้นทำให้เขาเอนหัวของตัวเองเข้าหามือของพอลมากขึ้นเพื่อดูดซึมเอากำลังใจจากเพื่อนมาเสริมส่วนของเขาที่มันหายไปเขานั่งซึมซับเอากำลังใจอยู่สักพักถึงยอมเปิดปากพูดเรื่องที่มันนึกอึ้งและเก็บเอาไว้ในใจมาตลอดให้เพื่อนสนิทได้รู้

“เรื่องมันดูไม่ต่อเนื่องมันหลายเรื่องมากขนาดตัวเราเองยังไม่รู้เรื่องว่าเรื่องพวกนี้เกิดจากอะไร มันไม่ทันได้ตั้งตัว”

“พร้อมฟังวะ”

“เข้าบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง”

ถึงทางห้องรับแขกจะเปิดไฟไว้แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่รอทำให้เป็นธรรมรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องอย่างน้อยเขาก็ยังสามารถพลัดความจริงไปได้อีกวันเขาเดินตรงขึ้นห้องไปอาบน้ำในขณะที่พอลหาอะไรกินที่อยู่ครัวด้านล่างพอลตามเขาขึ้นมาด้านบนอีกทีก็ตอนที่เขาจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยและกำลังจัดของออกจากกระเป๋า

“ให้เวลารวบรวมเรื่องราวสิบนาทีเดี๋ยวออกมาฟัง”

“โอเค”

ช่วงที่พอลอยู่ในห้องน้ำเสียงเมสเสจจากโทรศัพท์ของพอลที่วางเอาไว้ที่เตียงก็ดังขึ้นมันเป็นช่วงพอดีกับที่เป็นธรรมกำลังวางขนมที่ตั้งใจซื้อมาฝากพอลไปวางไว้ข้างโทรศัพท์และความความบังเอิญนี้ก็ทำให้เขาเห็นเมสเสจที่เด้งขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เสียเที่ยวที่ให้ไปรับ ดูแลกันดีจนเข้าไปในบ้าน ขอบใจนะที่รับต่อจากพี่”

เป็นธรรมเอาแต่จ้องเมสเสจนั้นโดยที่ไม่ละสายตาเหมือนกลัวว่าแค่เพียงเข้ากระพริบตาเมสเสจนั้นมันจะหายไปจากเครื่องของพอล

“อะ พร้อมยัง คุณ!!”

“เมสเสจนี้มันคืออะไร” เป็นธรรมยื่นมือถือไปตรงหน้าของเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ไม่มีอะไร”

“บอกมาสิพอลบอกเราบอกทีเราขอร้องบอก”

เบอร์ที่โชว์อยู่ไม่ใช่เบอร์ที่เขาคุ้นตาแต่ถ้อยคำที่ถูกเขียนในนั้นมันทำให้เขามั่นใจว่าเบอร์นี้คือเบอร์ของพี่ดาร์ก

“พี่เขาเป็นคนบอกให้เราไปรับคุนที่สนามบิน”

“…”

“พี่เขาเป็นคนโทรมาบอกเราว่าถ้าไม่อยากเห็นเพื่อนถูก รปภ ที่สนามบินหิ้วตัวออกมาทิ้งก็มารับเพื่อนได้แล้ว”

“เปิดเครื่องให้หน่อย เปิดให้หน่อย”

เป็นธรรมรีบเอามือถือยัดใส่มือของพอลและบังคับให้พอลปลดล็อกให้พอลส่ายหน้าปฎิเสธอยู่หลายครั้งแต่เขาเองก็ไม่ท้อยังคงร้องขอให้พอลปลดล็อกให้และทันทีที่นิ้วโป้งของพอลแตะเข้าที่ปุ่มโฮมหน้าจอของเครื่องก็สว่างวาบเปิดพร้อมใช้งานอีกครั้ง

เป็นธรรมรีบโทรกลับไปเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อที่จะขอคุยกับปลายสายและเพื่อที่จะยืนยันว่าปลายสายนั้นคือพี่ดาร์กสัญญาณรอสายที่ดังขึ้นในแต่ละครั้งสำหรับเขามันช่างยาวนานมันนานเหมือนกับว่าผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง

กริ๊ก

“ฮัลโหล”

ในที่สุดทางปลายสายก็มีคนกดรับและนั้นก็เป็นเสียงที่เป็นธรรมจำได้ดีเพราะมันเป็นเสียงที่เขาได้ยินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นเสียงของคนที่เขารัก

“ถ้าจะโทรมาขอบคุณที่ยกให้ดูแลก็ไม่ต้อง”

“พี่ดาร์กนี่คุนเองนะ”

เสียงนี้เท่านั้นที่เป็นธรรมต้องการได้ยินมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาและเสียงของพี่ดาร์กมันมีอธิพลกับเขามากเหลือเกินเพราะมันทำให้น้ำตาที่พยายามเก็บเอาไว้มาตลอดสองวันกำลังไหลลงมา

“คุน…”

“พี่ดาร์กอย่าๆ อย่าวางคุยกับคุนก่อนนะอย่าวางสายจากคุนมาหาคุนนะพี่คุนรอพี่อยู่ พี่ดาร์กมาหาคุนอย่าวาง”


กริ้ก แต่คนปลายสายก็ใจร้ายมากพอที่จะเมินฟังคำของจากเขาและตัดสายลง

แม้สายจะถูกตัดไปนานแล้วแต่เป็นธรรมก็ยังไม่ยอมปล่อยโทรศัพท์ออกจากมือเขายังคงเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กของพอลแนบเอาไว้ที่ใบหูและพยายามพูดขอร้องให้อีกฝ่ายที่ไม่มีวันได้ยินเขา

“พอแล้วคุนพอแล้ว พี่เขาวางไปแล้ว”

“ไม่ ไม่วางคุนจะคุยพอลเราขอยืมโทรศัพท์นะ”

“พอแล้ว”

“ไม่ ไม่พอ สายต้องหลุดแน่ๆเราขออีกแป้ปนะ ขอยืมหน่อย”


พอลยืนดูเพื่อนสนิทของตัวเองที่เอาแต่กอดโทรศัพท์เอาไว้แนบอกแบบนั้นได้อยู่ไม่นานเขาก็ไม่สามารถยืนเฉยๆ แบบนั้นเขาที่ยืนดูเหตุการณ์มาตลอดเดินเข้ามาใกล้เพื่อนของตัวเองนั่งย่อลงกับพื้นดึงตัวคนกำลังร้องไห้แทบขาดใจเข้ามากอดเอาไว้

“พี่ดาร์กโทรไม่ติดเลยพอลโทรไม่ติดเลย ติดสิๆ”

“คุนพอแล้ว”

“ทำไม ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไม”

พอลเองก็ไม่มีคำตอบให้กับเพื่อนของเขาเหมือนกันเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าพี่ดาร์กคนที่รักเพื่อนของเขามาตลอดแปดปีกว่าตอนนี้กำลังทำอะไรพอลจึงให้ความเงียบแทนคำตอบและได้แต่ตบหลังเพื่อนเบาๆ เป็นการบอกว่าเขาจะยังอยู่ตรงนี้


“แล้วพี่เขาพูดอะไรอีกไหม?”

“ไม่ พี่เขาก็แค่โทรมาให้ไปรับตอนแรกคิดแค่ว่าน่าจะทะเลาะกันแค่นั้นไม่นึกว่าจะหนักขนาดนี้ สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ?”

หลังจากที่เป็นธรรมสงบลงเขาก็ยื่นมือถือคืนให้แก่พอลพร้อมกับถามถึงเรื่องราวที่พอลไปเจอเขาที่สนามบินทำให้เป็นธรรมรู้ว่าที่พอลไปเจอเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญและมันก็ถึงเวลาที่เขาจะเล่าเรื่องจากฝั่งของเขาให้พอลได้ฟังสักที

“เรื่องมันเริ่มจากเราไปเกาหลี”

ตลอดเวลาที่เป็นธรรมกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเล่าซ้ำพูดวนมาไม่รู้เรื่องพอลก็จะไม่ขัดไม่ท้วงติงนั่งฟังเขานิ่งๆ ปล่อยให้เขาได้ระบายความในใจออกมาทั้งหมดและเมื่อเขาเงียบเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาได้เล่าเรื่องทุกอย่างจบแล้วพอลก็แค่ตบลงบนบ่าเบาๆ เท่านั้น

“พอล เป็นไปได้ไหมที่พี่เขาแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่สำเร็จ?”

“หมายความว่าไง?”

“ก็เราให้พี่เขาคอยแก้ปัญหาอยู่ทางนี้ใช่ไหมมันอาจจะแย่มากกว่าที่คิดและทำไม่ได้ตามที่พูดก็ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่เขาไม่เคยทำไม่ได้ อีกอย่างบริษัทที่เกาหลีที่ติดต่อมาทางพี่เขาก็ดันมาเบี้ยวนัดเราอีก พี่เขาก็…”

“รู้สึกไม่ดีและหนีหน้า? ถ้าคุนคิดแบบนั้นคุนลองมองกลับไปนะว่าเท่าที่คบกันมาคิดว่าเป็นไปได้ไหม?”

“เราไม่รู้สิ…”

คืนนั้นแม้ว่าไฟทุกดวงในห้องจะถูกปิดลงและพอลที่นอนเตียงเดียวกันจะหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับไปแล้ว แต่เป็นธรรมก็ยังคงลืมตาโพลงอยู่ในความมืดนอนมองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากนอนพักแต่สมองไม่ยอมหลับแม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยมากก็ตาม


“ทำไมยังไม่นอนอีกละ หื้อ?”
“คุนตื่นเต้นอะพี่ พรุ่งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราเปิดรับนักเรียนพี่ว่าจะมีคนมาสมัครไหม?”
“เราทำโปรโมทออกไปเยอะ มันต้องมีคนหลงมาบ้างละนะ”
“พี่ใช้คำว่าหลง?”
“อย่าคิดมากนะเรา เดี๋ยวไปรับแขกแบบใต้ตาอิดโรยคนกลัวก็ไม่กล้าลงเรียนพอดีนับแกะไปสิเดี๋ยวก็หลับเอง”


จำได้ว่าคืนนั้นเป็นธรรมนอนนับแกะกระโดดข้ามรั้วไปเป็นร้อยตัวแต่เขาก็ยังไม่รู้สึกง่วงจนเมื่อเขาได้พยายามแทรกตัวเข้าไปให้ใกล้กับตัวของพี่ดาร์กมากที่สุดนั้นแหละเขาถึงได้หลับตาลงได้

พอคิดได้แบบนั้นเป็นธรรมก็เปิดผ้าห่มออกลุกขึ้นจากเตียงด้วยความระวังเพราะไม่อยากให้พอลต้องตื่นขึ้นมาอีกคนเขาเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อที่จะหยิบขวดน้ำหอมของพี่ดาร์กขึ้นมาแล้วฉีดลงบนข้อมือของตัวเองแล้วค่อยเดินกลับไปที่เตียง

แม้ว่าเวลาน้ำหอมกลิ่นนี้เวลาอยู่ที่ตัวของเขาจะไม่สามารถให้กลิ่นที่เหมือนเวลามันอยู่ที่อยู่บนตัวของพี่ดาร์กก็ตามแต่ความเพี้ยนของกลิ่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะเพียงแค่เขาสูดกลิ่นนี้เข้าไปเขาก็สามารถหลับลงได้เต็มตาหลังจากที่ต้องสะดุ้งตื่นหรือนอนไม่หลับมาหลายคืน

“ยังไงนายก็ต้องบอกแม่”

“เราก็ว่างั้นเราไม่น่าปิดแม่ได้นาน”

เป็นธรรมกับพอลเห็นตรงกันว่าแม่ควรรู้เรื่งราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเขาเลยเตรียมตัวเข้าโรงงานเพื่อไปเอาเอกสารมาสรุปให้แม่ฟัง

“พอลเราโอเคนายอย่าเสียงานเพราะเราเลย”

“ไม่เป็นไรโควต้าลายังเหลือ ยังเจ็บป่วยได้”

“ขอบใจนะ”

“เรื่องเล็กนะ”

พอลมาที่โรงงานด้วยกันกับเป็นธรรมด้วยเหตุผลที่ว่าคิดสองหัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียวซึ่งเขาก็เห็นด้วย มาถึงที่โรงงานสิ่งแรกที่เป็นธรรมทำคือเดินเข้าไปหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลเพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติของคนที่อยู่ในมือถือของเขาคนที่เขาหาประวัติไม่เจอ

“เราไม่มีข้อมูลอยู่เลยค่ะ”

“คุณหมายความว่ายังไง?”

“คือดิฉันพยายามค้นจากรูปจากข้อมูลพื้นฐานในระบบรูปคนที่คุณเป็นธรรมให้ดูไม่ตรงกับข้อมูลที่เรามีอยู่เลยค่ะ”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง? คุณดูดีแล้วรึยัง?”

“ดิฉันมั่นใจค่ะ”

มันจะเป็นไปได้ยังไงตอนแรกเป็นธรรมยังพอคิดได้ว่าที่ขอซีร้อคไปตอนนั้นอาจจะตกหล่นแต่พอได้มาเช็คด้วยตัวเองจากหน้าจอคอมตรงนี้ก็กลับกลายบุคคลคนนั้นดันไม่มีชื่อในสารบทเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาหาคนนั้นไม่เจอทั้งที่คนนั้นอยู่ที่โรงงานเขาจึงกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองและเริ่มเรียบเรียงทุกอย่างจากตรงนั้น

“คุณสุวรรณีครับเดี๋ยวรบกวนเข้าพบผมที่ห้องด้วยครับ และก็คุณกี้ด้วยครับ”

“ทำไมมีคุณเข้ามาคนเดียวคุณกี้ยังไม่เข้ารึครับ?”

“คุณกี้ ทำเรื่องลาออกไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แล้วค่ะ”

“งั้นตอนนี้ใครดูบัญชีอยู่ครับ?”

“ตอนนี้ผู้ช่วยคุณกี้เป็นคนดูค่ะ”

“งั้นผมขอดูบัญชีย้อนหลังสักสองเดือนครับ รบกวนให้เขาเตรียมมาด้วย”

“ค่ะ”

“นี่มันอะไรครับ?”

เพียงไม่กี่อึดใจสมุดบัญชีก็เข้ามาอยู่ในมือของเขาแต่พอเขาเช็คดูแล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเพราะบัญชีมันไม่มีการอัพเดทมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์

“คือดิฉันเพิ่งมาทำต่อจากคุณกี้ค่ะยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่บัญชีของบริษัทหยุดการเคลื่อนไหวมาเป็นเดือนหลักฐานการเดินเงินล่าสุดก็เป็นของต้นเดือนที่แล้วตอนนี้ทางเรากำลังทำเรื่องติดต่อไปทางธนาคารเพื่อขอความร่วมมือ และกำลังสอบถามผู้เกี่ยวข้องทุกคนในฝ่ายบัญชีค่ะ”

“ถ้าได้เรื่องยังไงรีบติดต่อผมนะครับ”

“ค่ะ”

 “สำหรับคุณสุวรรณีผมขอดูเอกสารสัญญาคู่ค้าของบริษัทเอ็ม และ บี ครับ”

เป็นธรรมเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการชดใช้อย่างจริงจังความเครียดเข้าเล่นงานเมื่อเขาคำนวณแล้วพบว่าผลประกอบล่าสุดจำนวนเงินที่มีมันไม่พอกับค่าชดใช้เขาจึงขึ้นที่จะต่อรองขอผ่อนจ่ายให้กับทางคู่ค้า

“สวัสดีครับผมเป็นธรรมครับ”

“สวัสดีคุณเป็นธรรมว่าอย่างไรครับ?”

“ผมอยากจะรบกวนขอนัดพบเพื่อพูดคุยเรื่องชดใช้ครับ”

“ผลบอกทางคุณทรงจำไปแล้วไงครับว่าผมเข้าใจเรื่องการผิดพลาดอีกอย่างตอนนี้ทางเราก็ได้รับเงินชดใช้มาครบถ้วนแล้วคุณไม่ต้องขอโทษเป็นการส่วนตัวอีกรอบแล้วครับผมก็ได้แต่หวังว่าทางคุณจะไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีก”

“ครับ?”

“แต่ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยแม้จะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นความตั้งใจของคุณแต่ผมก็คงยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะต่อสัญญาทำใหม่กับคุณนะครับและมันก็ไม่ใช่ว่าคุณทรงจำมาคนเดียวผมเลยไม่พอใจแต่มันเป็นเพราะว่าผมอยากดูโรงงานคุณไปอีกสักพัก หวังว่าคุณคงเข้าใจแต่ไม่แน่ในวันข้างหน้าเราอาจจะได้ร่วมงานกัน”

“ขอบคุณครับ”

ทันทีที่ผมวางสายจากบริษัทเอ็มผมก็รีบโทรสายตรงไปทางบริษัทบีและคำตอบที่ได้มามันก็เหมือนกันทั้งเรื่องเงินที่เคลียร์เรียบร้อยปัญหาได้มีการพูดคุย

ได้ฟังแบบนี้แทนที่เป็นธรรมจะรู้สึกโล่งใจกลับกลายเป็นว่าในใจของเขามีแต่คำถามไม่จะเป็นเรื่องการเคลียร์ปัญหาหรือเรื่องของเงินว่าพี่ดาร์กเอาเงินจากส่วนไหนไปชดใช้

เป็นธรรมโทรศัพท์สายตรงเข้าโต๊ะคุณแชมป์ฝ่ายการตลาดเพื่อเช็คข้อสงสัยเพราะคุณแชมป์ควรจะมีหลักฐานการชดใช้เก็บเอาไว้อีกอย่างคุณแชมป์เป็นลูกน้องคนสนิทของพี่ดาร์กถึงพี่ดาร์กไม่ติดต่อเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเอกสารนั้นก็ควรจะอยู่ที่ไหนสักที่และคนที่พี่ดาร์กไว้ใจก็คุณแชมป์นี่แหละแต่เขารอจนสายตัดก็ไม่มีคนรับโทรศัพท์จนต้องโทรเข้าไปที่แผนกอีกรอบ

“ขอสายคุณแชมป์ด้วยครับ”

“คุณแชมป์ลาออกไปแล้วค่ะไม่ทราบว่าโทรมาจากฝ่ายไหนคะอยากได้ข้อมูลอะไรจะได้ถามให้ได้ถูกคนค่ะ”

หัวหน้าฝ่ายลาออกพร้อมกันถึงสองคนเป็นธรรมไม่รู้ว่าเขาสามารถเรียกว่ามันเป็นความบังเอิญได้ไหมแต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไรมันกำลังทำให้เขาปวดหัวถึงขีดสุดทำไมความวุ่นวายต่างๆ ต้องมาเกิดขึ้นพร้อมกันถ้าเกิดตอนนี้พี่ดาร์กอยู่ ใช่ ยังเหลืออีกที่สองที่เขายังไม่ได้ไปหา

“คุนจะไปไหน? ไม่ดูแล้วรึไงเอกสารพวกนี้”

“ตอนนี้เรื่องที่ด่วนที่สุดมันโอเคแล้วแต่เราไม่รู้ว่ามันโอเคได้ยังไงและคนที่เข้าไปแก้ปัญหาก็คือพี่ดาร์กไปพอลเก็บของ”

แต่ก่อนที่จะออกไปตามหาพี่ดาร์กเป็นธรรมแวะที่โต๊ะทำงานของคุณสุวรรณีและขอถามเป็นเรื่องสุดท้าย

“เรื่องของบริษัทที่เกาหลีที่ผมฝากเรื่องไว้กับคุณไปถึงไหนแล้วครับ?”

“เช็คหมดแล้วค่ะ ไม่มีบริษัทนั้นอยู่จริง”

คำตอบของคุณสุวรรณีเป็นสิ่งที่เป็นธรรมเองก็พอจะเดาได้แต่แม้จะเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าพอได้ฟังอีกครั้งเขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติได้พอลจึงขอเป็นคนอาสามาขับรถแทนและที่แรกที่เขาตรงไปก็คือโรงงานใหม่เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าพี่ดาร์กต้องทำงานอยู่ที่นั้น

“มีอะไรรึเปล่า? ทำไมรถเยอะแบบนี้?”

“ไม่รู้เหมือนกันมารับของเหรอ?”

“เข้าไปไม่ได้จะเอาไงให้เดินเข้าไปเรียกคนมาเลื่อนรถไหม?”

“จอดไว้ตรงนี้แหละเดินเข้าไปเร็วกว่าไม่อยากรอ”

พอลต้องจอดรถเอาไว้ทางด้านหน้าของโรงงานเพราะทางด้านหน้าต่างเต็มไปด้วยรถบรรทุกที่ไม่ใช่ของโรงงานจอดเรียงรายอยู่หลายคันรถเยอะขนาดนี้เป็นธรรมคิดได้เพียงย่างเดียวคือมีคนมารับงานที่สั่งทำเอาไว้แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเครื่องจักรถูกเปิดใช้งานอยู่สักตัวแถมบุคคลที่เดินไปเดินมาในโรงงานนั้นไม่ได้เป็นพนักงานของเขาด้วยซ้ำ เมื่อความปกติมันเริ่มเด่นชัดเป็นธรมจึงพยายามหยุดคนๆ นึงที่กำลังเดินผ่านตัวเขาไปเอาไว้

“ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“พวกผมมาขนของครับ”

“มาขนของอะไร?”

“ของในโรงงานนี้”

“แล้วใครให้มาขน? ไหนมาขนอะไรผมขอดูใบหน่อย”

“เจ้านายผมอยู่ทางด้านในนะถ้าคุณอยากรู้อะไรก็ไปถามเขาเลยผมมาแค่ขนเรื่องอื่นไม่รู้”

คำตอบนั้นทำให้เป็นธรรมรีบเดินเข้าไปที่ห้องกระจกทางด้านในของโรงงานและเขาก็เจอกับพนักงานคนนึงที่ทำงานให้กับโรงงานเขาเดินตรงเข้าไปหาตอนที่คนนั้นกำลังยืนเช็คเอกสารอะไรบางอย่างอยู่กับใครอีกคนที่เขาไม่คุ้นหน้า

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“สวัสดีครับคุณเป็นธรรม วันนี้เขาจะมีเก็บของเป็นชุดสุดท้ายครับ”

“ของอะไร?”

พนักงานคนนั้นขมวดคิ้วให้เป็นธรรมก่อนที่จะยื่นเอกสารในมือของตัวเองส่งมาให้กับเขาเอกสารใบแรกที่อยู่ในปึกนั้นคือใบเช็คสินค้ามันจะไม่น่าตกใจถ้าเกิดว่ารายชื่อสินค้าที่อยู่ในนั้นไม่ใช่พวกเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในโรงงานนี้

“ผมไม่ได้เป็นคนบอกให้ขายและมันเกิดอะไรขึ้นพนักงานคนอื่นหายไปไหนกันหมด?”

“พนักงานถูกหยุดการว่าจ้างตามที่โรงงานแม่สั่งมาหมดแล้วครับ”

“ผมไม่ได้สั่งมันต้องมีอะไรแน่ๆ โรงงานนี้ผมไม่เคยสั่งให้คนงานหยุด”

“แต่คนงานที่ออกได้เงินชดเชยหมดแล้วนะครับ”

“ไม่จริงไหนเอกสารมันอยู่ไหนถ้าจริงผมก็ต้องเคยเห็นแต่ผมไม่เคยเห็น”

“เอ่อ ขอโทษนะครับแต่ผมกับลูกน้องขนของไปได้หรือยังครับ?”

“เรายังมีการผลิตคุณจะมาเอาของของผมไปไม่ได้คุณกลับไปก่อนผมว่าจะต้องมีอะไรเข้าใจผิดเดี๋ยวผมจะติดต่อบริษัทของคุณกลับไปเอง”

“แต่ผมต้องปิดงาน…”

“ก็ผมบอกแล้วไงเดี๋ยวผมจะติดต่อไปเองแต่ตอนนี้คุณออกไปก่อน”

“คุณโทรไปคุยกับเฮียเลยถ้าเฮียไม่สั่งพวกผมก็ไปไม่ได้”

“งั้นเอาเบอร์หัวหน้าของคุณมา”

“เอ้า คุณเป็นคนขายของคุณก็ต้องมีเบอร์สิมาขอผมทำไม”

“ก็ผมไม่มี”

“งั้นไม่เอาละเฮียด่าผมตายเลยผมทำหน้าที่ต่อดีกว่า”

“ผมบอกให้คุณออกไปจากโรงงานของผมไงไม่ได้ยินรึไงออกไปสิ”

“เฮ้ย อะไรวะมาไล่กันเป็นหมูเป็นหมานี่ก็ทำงานอยู่เหมือนกันสัญญาอะไรก็อยู่ในมือไม่อ่านวะ”

“ก็มันไม่ใช่ของจริง”

“คุณพูดดีๆ นะผมไม่ได้มามั่วนะเจ้านายผมสั่งมาและก็มาขนไปแล้วตั้งแต่วันก่อนด้วย”

“นี่คุณ”


“มาพาคุณเป็นธรรมไปทางด้านหลัง”

พอลเดินมาสั่งพนักงานให้พาเขาออกไปจากตรงนี้แต่เขาไม่ยอมในเมื่อนี่มันเป็นโรงงานของเขาเขาก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะปกป้องเอาไว้แต่เพราะพอลหันมาหาทางเขาพร้อมกับขยับปากพูดว่า ‘เดี๋ยวคุยเอง’ เขาเลยยอมล่าถอยเพราะสมองของเขาก็ไม่ได้โล่งและไม่พร้อมที่จะเจรจาเลยสักนิด

“สวัสดีครับผมชื่อพอลครับ”

“ผมต้องทำงานนะคุณผมมีเอกสารถูกต้องนะ”

“ครับแต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงโรงงานนี้เป็นโรงงานของเพื่อนผมคุณก็สามารถเช็คชื่อได้เรื่องในวันนี้ อาจจะมีการเข้าใจผิดยังไงวันนี้คุณยังไม่ขนอะไรได้ไหมครับ? เพื่อนของผมขอเช็คดูอีกสักครั้งเดี๋ยวทางเราจะแจ้งเรื่องไปกับเจ้านายคุณเอง”

“ไม่ได้หรอกคุณ ผมโดนใช้มาผมก็ต้องมาถ้าคุณอยากจะไม่ให้ผมทำคุณก็ต้องติดต่อตอนนี้ ผมเป็นแค่…”

แม้เป็นธรรมจะเดินออกมาจากจุดนั้นแต่เขาก็ยังคอยฟังอยู่ตลอดและดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ยอมแต่โดยดีถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาจากทางนั้นเสียก่อนพอทางนั้นวางโทรศัพท์ก็ดูเหมือนจะอ่อนข้อให้กับพอลมากขึ้น

“งั้นวันนี้ผมจะยอมกลับไปก่อน”

“ขอบคุณครับ”


“อะ”

พอลเดินเอาขวดน้ำเย็นมายื่นแปะที่แก้มของเขาในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารการซื้อขายเครื่องมือที่เขาเพิ่งได้เห็นมันเป็นครั้งแรก

“ขอบใจ”

เป็นธรรมมองไปรอบๆ โรงงานแล้วที่ไม่มีพนักงานเหลืออยู่เลยสักคนมีแค่เพียงโรงงานที่เหลือเครื่องจักรประดับอยู่เพียงไม่กี่เครื่อง


“นายให้เขากลับไปแล้วเหรอ?”

“อื้มก็ไม่ต้องขนของแล้วนิ”

“ฉันยังคุยกับเขาไม่จบเลย”

“เรื่องคนในรูปอะนะ?”

“ใช่”

“ก็คนนั้นบอกแล้วไงว่าคนนั้นออกไปก่อนจะเกิดเรื่องอีกแทบพี่ดาร์กก็เป็นคนไล่เขาออกเองด้วยมันไม่จบยังไง?”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นมันคืออะไรใครเป็นคนทำเอกสารพวกนี้กัน?”

“คุนในนั้นมันมีลายเซ็นท์นายอยู่”

“แต่ฉันไม่เคยเซ็นท์”

“นายก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไรใช่ไหม?”

ใช่เป็นธรรมรู้เพราะนอกจากลายเซ็นท์มอบอำนาจที่เขาเป็นเซ็นท์แล้วพยานในฟอร์มนี้ก็คือลายเซ็นท์ของพี่ดาร์กและก็คุณแชมป์แต่เขาควรจะทำยังไงต่อไปดีเพราะมันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่ถูกขายไปแต่พื้นดินพื้นนี้ก็ถูกซื้อไปโดยคนอื่นแล้วเช่นกัน

“อืม เรารู้แต่ที่เราไม่รู้คือเหตุผลของพี่เขา”

“งั้นก็มีคนเดียวที่จะตอบนายได้”

นั้นสินะยังเหลืออีกที่ที่เขาต้องไปเขาจะมานั่งหมดความหวังอยู่ตรงนี้ไม่ได้

“พอลฉันต้องไปอีกที่แต่อยากไปคนเดียวไม่โกรธเราใช่ไหมที่มาทิ้งพอลกลางคันแบบนี้? พอลคงต้องต่อรถไปโรงงานใหญ่ไปเอารถเอง”

เป็นธรรมคว้าเอาเอกสารขึ้นรถตรงไปที่ห้องพี่ดาร์กทุกก้าวย่างที่จากที่จอดรถขึ้นมาที่ห้องมันเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเพราะเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าเจอกันเขาควรถามเรื่องอะไรกับพี่ดาร์กก่อนดีความไม่มั่นใจนั้นทำให้เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องอยู่นาน

กริ้ก เป็นธรรมใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาเมื่อลองเคาะห้องดูแล้วไม่มีเสียงตอบรับเขามองไปรอบห้องที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากวันสุดท้ายที่เขาเห็นข้าวของยังคงอยู่ที่เดิมบรรยากาศเดิมทำให้เขาสบายใจขึ้น

“พี่ดาร์ก”

เป็นธรรมลองส่งเสียงเรียกดูเพื่อว่าพี่ดาร์กจะอยู่ในห้องนอนหรือในห้องน้ำแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิมเพราะห้องนี้เป็นที่สุดท้ายที่เขาคิดออกว่าเขาจะหาพี่ดาร์กเจอแต่ในเมื่อมาแล้วไม่เจอสิ่งที่เขาทำได้ก็เพียงแค่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้นั่งรอให้พี่ดาร์กเปิดประตูห้องเข้ามา

กริ้ง เสียงโทรศัพท์มือถือของเป็นธรรมทำให้เขารู้สึกตัวตื่นจากการเผลอหลับไปเขาขยี้ตาและมองออกไปด้านนอกหน้าต่างก็เห็นว่าพระอาทิตย์ได้ตกขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้วเขาปรับเสียงเล็กน้อยก่อนที่จะรับสาย

“ครับแม่”

“คุนอยู่ไหนลูก?”

“ผม เอ่อ มา เอาของครับ แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“กลับบ้านเลยได้ไหมลูก? เดี๋ยวนี้”

“ครับได้ครับ”

เรื่องตามหาพี่ดาร์กเขาคงต้องพักเอาไว้ก่อนเพราะเสียงของแม่ในโทรศัพท์ดูเหมือนมีเรื่องด่วนเกิดขึ้นแต่ก่อนที่เขาออกจากห้องเขาเขียนกระดาษวางเอาไว้ที่โต๊ะทำงานของพี่ดาร์กและรีบขับรถตรงกลับบ้าน

TBC

ปล ถึงผู้อ่านทุกคนค่ะ สวัสดีค่ะ

เราได้พยายามที่จะ Rewrite แก้ประโยคและเขียนให้เนื้อเรื่องกระชับขึ้นค่ะเพราะพอลองไปอ่านซ้ำมันมีหลายอย่างที่ทำให้ดูประโยคกำกวมเราพยายามแก้โดยไม่ลบอออกมา 10 บทแต่กลายเป็นว่าหัวข้อคอมเม้นท์และทุกอย่างมันเด้งไม่ตรงไปหมดเลย เราไม่เก่งเกี่ยวกับพวกนี้เท่าไหร่ เลยทำให้เราตัดสินใจลบเนื้อเรื่องที่เขียนเก่าอออกไว้ก่อนแล้วจะมาลงรีไรท์ไปจนจบค่ะ

ต้องขอโทษด้วยนะคะสำหรับคนที่อ่านแล้วแต่หัวข้อเรื่องนี้ยังขึ้นมาอัพเดททุกวันขอโทษจริงๆ ค่ะ

SweetSky
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 11 (Rewrite) - 18/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 19-01-2018 06:44:48
บทที่ 12 Rewrite

“อ้าวดาร์กทำไมไม่ได้กลับมาพร้อมคุนละ?”



“ผมมีเรื่องอยากจะขอคุยด้วยสักครู่ครับคุณธิดา”



“ดาร์กมีอะไรรึเปล่า? ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ”



“คุณธิดาสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ นะครับแค่เพียงมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยคุณก็สามารถดูออกได้ทันที”



“แล้วมีอะไรที่แม่…”



“พอเถอะครับเลิกแทนตัวเองว่าแม่กับผมสักทีที่ผมยอมฟังและยอมเรียกคุณว่าแม่มาตลอดก็แค่เพื่อความสบายใจของลูกของคุณเท่านั้นอย่างผมมีแม่เพียงคนเดียวในชีวิตก็พอแล้วครับ”



“ถ้าขอคำอธิบายดาร์กพอจะให้ฉันได้ไหม?”

             

  ทรงจำมองคุณธิดาที่กำลังขวมดคิ้วใส่เขาด้วยความไม่เข้าใจทันทีที่เขาบอกความจริงไปว่าเขาไม่เคยมองว่าคุณธิดาเป็นแม่คุณธิดาสมแล้วที่เป็นนักธุรกิจเพราะสามารถปรับตัวได้เร็วเหลือเกินจากที่นั่งพิงพนักโซฟาสบายๆ เปลี่ยนมานั่งตัวตรงหยิบเอารีโมททีวีขึ้นมากดปิดวางมันลงและเอามือวางไว้ที่พนักอค่เพียงพริบตา



ทรงจำเค้นยิ้มให้กับท่าทางเหล่านั้นก่อนที่จะวางกองเอกสารลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณธิดา



“คุณธิดาไม่รู้สึกคุ้นชื่อผมเลยสักนิดเหรอครับ?”



“ฉันคิดว่าไม่”



“แล้วถ้าเป็นนามสกุล สุทธิวงค์ ละครับคุณธิดาพอที่จะคุ้นบ้างไหมครับ?”



               ทรงจำนั่งมองหน้าของคุณธิดาที่พยายามคิดและยิ่งคุณธิดาทำท่าพยายามนึกทบทวนเท่าไหร่ความโกรธของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเพราะมันหมายความว่าคุณธิดาไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่เกี่ยวกับนามสกุลที่เขาพูดออกไปได้



“ฉันไม่คุ้น”



“คนอย่างคุณ…”



               ทรงจำหยุดคำพูดของตัวเองสูดลมหายใจเข้าพยายามระงับอารมณ์เตือนตัวเองว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไรและเมื่อเขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้เขาจึงพูดต่อ



“ผมมีนิทานสักเรื่องอยากเล่าให้คุณธิดาฟังไม่ทราบว่าคุณพอจะให้เวลากับผมสักนิดได้ไหมครับ?”



“ว่ามาสิ”



“เมื่อหลายสิบปีก่อนมีครอบครัวนึงที่มีสมาชิกในบ้านสามคนคือพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกลางอย่างมีความสุขพ่อและแม่ทำงานที่โรงงานเดียวกันและนั้นก็ทำให้ทั้งสองมีความสุขมากที่ได้ไปทำงานพร้อมกันระหว่างพักก็ได้เจอกันแถมตอนเย็นยังได้กลับบ้านพร้อมกันอีกต่างหาก”



“และเพราะโรงงานนั้นทำให้เขาทั้งสองคนมีความสุขเขาทั้งสองจึงรักในสิ่งที่ทำและทุ่มเทเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในผู้บริหารแต่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโรงงานแห่งนั้นจะเป็นโรงงานที่ทำลายชีวิตของพวกเขา”



ในขณะที่เล่าเรื่องราวออกไปทรงจำเองก็ยิ้มตามไปกับภาพที่เขาเห็นอยู่ในหัวภาพที่พ่อกับแม่กำลังหัวเราะหยอกล้อกันแต่พอมาถึงช่วงท้ายของประโยครอยยิ้มที่ปรากฎขึ้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป



“โรงงานที่ทั้งสองคนรักเริ่มมีทีท่าว่าจะไปไม่รอดไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดจากการบริหารหรือเป็นเพราะว่าเจ้าของมือเติบเกินตัวกันแน่แต่เขาทั้งสองก็ไม่แคร์ว่ามันเกิดจากอะไรเพราะรักพวกเขาจึงทุ่มเทงานมากขึ้นเท่าที่จะทำได้จากที่ตอนเย็นจะเป็นคนไปรับลูกด้วยตัวเองก็ต้องเอาไปฝากไว้กับพี่เลี้ยงเด็กเพราะทั้งสองต้องอยู่เคลียร์งานจนเย็นจนดึก”



“แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดมันไม่ใช่เรื่องทำงานหนักแต่มันเป็นเพราะว่าเจ้าของโรงงานเกิดคิดหาทางออกทางลัดคุณรู้ไหมครับว่าเขาทำยังไงถึงจะมีเงินมาชุบตัวเองอีกครั้ง?”



“หรือว่าเธอ…”



“คุณธิดาทำหน้าแบบนี้คุณเริ่มรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้มันช่างคุ้นเหลือเกินใช่ไหมครับ? แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจผมเล่าต่อเลยละกันครับ”



“พอ พอ ฉันรู้แล้ว”



“ไม่ได้คุณต้องฟัง!!”



ทรงจำไม่คิดที่จะหยุดนิทานของเขาตามที่คุณธิดาร้องขอเขาสูญเสียการคสบคุมอารมณ์ทุบโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาทำให้ปึกเอกสารที่เขาวางเอาไว้กระจายออกจนมีเอกสารบางอย่างหล่นออกมาจากกองกระดาษ



ทรงจำก้มหน้าลงไปเก็บกระดาษแผ่นนั้นตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เห็นว่าคุณธิดามองกระดาษแผ่นนั้นด้วยสายตาที่หวาดกลัวสีหน้าของคุณธิดาเริ่มซีดเผือดทรงจำรู้แล้วว่าเขาควรที่จะเข้าเรื่องสักทีเขาจึงวางแผ่นกระดาษแผ่นนั้นไว้ด้านบนแฟ้มโดยการที่คว่ำหน้ามันเอาไว้



“อยากดูเหรอครับ? เดี๋ยวสิครับอย่าเพิ่งใจร้อนสิครับเดี๋ยวคุณได้ดูมันแน่”



               ทรงจำจับข้อมือของคุณดาที่ยื่นออกมาจากตัวและกำลังจะเอื้อมมันมาจับกระดาษที่ถูกคว่ำหน้าแผ่นนั้นขึ้นมาดู เธอดึงมือกลับออกจากมือของทรงจำและกลับไปนั่งหลังตรงที่เดิม



“เอาละเพื่อเป็นการประหยัดเวลาผมขอเล่าไปตอนจบเลยแล้วกันวันนั้นมันเป็นวันที่สองคนนั้นเขาสมควรต้องกลับบ้านมาดูแลลูกของตัวเองแต่คุณรู้ไหมว่าสองคนนั้นไม่เคยได้กลับบ้านตามที่เขาได้เคยสัญญากับลูกของเขาเอาไว้เขาไม่ได้กลับบ้านอีกเลยเพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าเขาต้องมาตายในกองไฟในโรงงานนั้นเพราะความโลภของเจ้าของ ที่คิดอะไรสั้นๆ พวกเขาจึงต้องมาสังเวยชีวิตแบบนี้มันถูกแล้วเหรอครับคุณธิดา!!”



“มันไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ใช่”



“มันไม่ใช่ได้ยังไงพ่อกับแม่ของผมต้องตายก็เพราะความไม่คิดของพวกคุณมันเป็นความไม่คิด!!”



“เธอคือลูกของ จันทนา กับ พุฒิพัตใช่ไหม?”



“จำได้แล้วเหรอครับคุณธิดา? ผมควรจะต้องรู้สึกอย่างไรดีที่คุณใช้เวลานานมากมายขนาดนี้กว่าที่จะจดจำพ่อกับแม่ของผมได้”



“ฉัน…”



“ในเมื่อคุณได้ฟังนิทานและก็จำได้แล้วว่าผมคือใครว่า งั้นเรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าไหมครับ?”



“ว่ามาสิ เธอต้องการอะไร? ทำไมเพิ่งจะเดินเข้ามาบอกฉันวันนี้?”



“แสดงว่าคุณไม่รู้อะไรเลยสินะครับที่ผ่านมา?”



“ฉันต้องรู้อะไร?”



               ทรงจำหยิบใบการจ่ายเงินที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามันคือการจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อชดใช้การผิดสัญญาให้กับบริษัทคู่ค้าเขาหยิบออกมาสองใบจากสายตาทรงจำคิดว่าแค่นี้คุณธิดาก็รู้แล้วว่ามันสำหรับสองบริษัท



“เมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อนโรงงานของคุณมีปัญหาเรื่องผิดสัญญากับคู่ค้ารายใหญ่สองรายนี้และทั้งสองรายก็ไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านไปโดยง่ายทางคุณก็เลยต้องจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาน่าเสียดายที่ช่วงนั้นคุณต้องเตรียมตัวไปเกาหลีพอดีผมไม่รู้จะปรึกษาใครแต่โชคดีนะครับที่ผมสามารถดูแลให้มันผ่านพ้นมาได้ดีใจไหมครับที่มีหุ้นส่วนรายใหญ่แบบผมดูแลขนาดนี้”



“หุ้นรายใหญ่?”



“คุณยังไม่รู้เหรอครับว่าลูกของคุณเขาเห็นความสำคัญของผมถึงขนาดยกหุ้นให้ผมแทบหมดจนผมเป็นหุ้นใหญ่ไปแล้ว!!”



“คุน”



“ตอนนี้ดูให้เต็มตาเลยครับ ว่าแต่จะดูอะไรก่อนดีครับระหว่างหุ้นของผมกับใบสัญญาขายโรงงาน?”



               ทรงจำมองดูคุณธิดาที่เอื้อมมือที่สั่นเทามาหยิบเอากองข้อมูลตรงหน้าขึ้นไปดูดวงตาของคุณธิดาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าหุ้นของโรงงานแทบจะทั้งหมดอยู่ในมือของทรงจำและไหนจะโรงงานใหม่ของเธอในตอนนี้ได้ถูกขายไปสู่มือคนอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



“อย่างที่ผมบอกโรงงานของคุณมีคู่กรณีถึงสองที่แค่โรงงานใหม่โรงงานเดียวมันก็คงไม่พอนี่ก็คงเป็นอีกข่าวดีที่คุณธิดาคงจะดีใจเพราะโรงเรียนสอนศิลปะของลูกชายของคุณที่คุณไม่เคยสนับสนุนให้เขาดูแลมันก็ได้หายไปสมใจอยากคุณแล้วนะครับคุณธิดา”



ทรงจำยื่นสัญญาการขายหุ้นของโรงเรียนสอนศิลปะของเป็นธรรมออกไปให้คุณธิดาดูคุณธิดาปัดกระดาษเหล่านั้นออกไปจากตรงหน้าของเธอ พร้อมกับมองจ้องเขม็งไปที่ทรงจำ



“ทำไมเกิดปัญหาขึ้นแล้วไม่มาบอกฉัน ทำไมเธอถึงตัดสินใจทำมันลงไปแบบนี้”



“แล้วคุณคิดว่าปัญหาพวกนี้มันเกิดขึ้นมาเองรึไง? คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมมันถึงมีปัญหาพวกนี้เกิดขึ้น?”



“ทำไมเธอต้องทำถึงขนาดนี้?!!”



“แล้วทำไมคุณต้องฆ่าพ่อแม่และพรากครอบครัวไปจากผม!!”



               ทรงจำลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เดินตรงไปหาคุณธิดาทุกก้าวย่างของทรงจำเพิ่มด้วยลมหายใจของทรงจำที่ถี่ขึ้นตามอารมณ์โกรธที่พุ่งสูงแต่ก่อนที่ทรงจำจะเดินเข้าไปถึงตัวของคุณธิดาเขาก็เหลือบมองไปเห็นรูปของเป็นธรรมที่ถูกติดเอาไว้ที่ห้องรับแขกรูปนั้นเป็นธรรมกำลังยิ้มให้กับกล้องด้วยความยินดีเพราะเป็นวันที่ได้รับใบปริญญาในวิชาที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกชอบหรือถนัดสักนิดเลยทรงจำจึงหยุดเดินเข้าไปหาคุณธิดา



“ฉัน” คุณธิดาพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ทรงจำไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้มันได้เกิดขึ้น



“เอาละผมว่าผมเสียเวลามามากพอแล้วก็อย่างที่ผมได้เอาเอกสารเหล่านี้มาให้คุณได้ดูเพื่อบอกว่าตอนนี้ทั้งโรงงานแห่งใหม่ ทั้งบ้านหลังนี้ทั้งโรงเรียนสอนศิลปะต่างตกไปอยู่ในมือของคนอื่นหมดแล้ว”



“ทรงจำ!! เธอจะมากเกินไปแล้วนะ”



“ตอนนี้คุณเหลือเพียงแค่โรงงานที่คุณรักมากมายอยู่แค่ที่เดียว”



“เธอต้องการอะไร?”



“เป็นคำถามที่ตรงประเด็นดีครับผมต้องการอะไรนะเหรอง่ายๆ ครับผมแค่ต้องการให้ลูกชายของคุณรู้เรื่องทั้งหมดทั้งหมดของผมหมายถึงการตายของพ่อของเขาด้วย”



“มันจะมากเกินไปแล้วนะ”



“ก็แล้วแต่ครับคุณธิดาผมไม่ได้บังคับผมแค่ให้เป็นทางเลือกถ้าคุณเลือกที่จะพูดออกมาผมก็ยุติการขายขาดโรงงานหลักของคุณให้กับคนอื่นแต่ถ้าคุณไม่พูดคุณก็เตรียมบอกลาโรงงานได้เลย”



“ฉันจะฟ้อง”



“เอาเลยครับเชิญแต่อย่าลืมนะครับว่าทุกการซื้อขายผมทำถูกขั้นตอนและลายเซ็นในใบมอบอำนาจและผมก็ไม่ได้ปลอมมันขึ้นมา”

 



               ธิดาโน้มตัวหยิบเอกสารต่างๆ ที่ทรงจำวางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาอ่าน ยิ่งอ่านเธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ทุกแผ่นในนั้นคือลายเซ็นของลูกชายเธอจริงๆ เธอกำกระดาษการซื้อขายต่างๆ เหล่านั้นเอาไว้ในมือแน่นทางออกให้กับตัวเธอเองก็ดูเหมือนจะไม่มีมากนัก



 

“คุณคงรู้ใช่ไหมครับว่าถึงฉีกใบตรงหน้าไปมันก็เป็นแค่สำเนาตัวจริงยังอยู่ที่ผม?”



“เธอไม่สงสารคุนเหรอไงถ้าเขารู้เขาคงจะเสียใจมากเธอก็รู้ว่าคุนเขารักพ่อของเขามากขนาดไหน”



“มันเป็นเรื่องที่เขาต้องรู้ผมว่าคุณธิดาหยุดถ่วงเวลาแล้วเริ่มตัดสินใจดีกว่าครับว่าจะทำอย่างไร”

 



แม้ว่าทรงจำจะดูชงักไปตอนที่เธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแต่ในเมื่อทรงจำยังยืนยันคำเดิมธิดาก็รู้แล้วว่าเธอไม่มีวันเปลี่ยนใจคนตรงหน้าของเธอได้ เธอจึงหยิบมือถือของเธอแล้วกดเบอร์ลูกชายคนเดียวของเธอกดโทรออก



               เมื่อเธอได้ยินเสียงตอบตกลงของลูกชายเธอก็วางโทรศัพท์ลงและมองไปที่ทรงจำที่กำลังยืนอยู่ในห้องรับแขกของเธอในตอนนี้ด้วยสีหน้าที่กำลังยิ้มอย่างพอใจที่เธอทำตามอย่างที่เด็กคนนี้ต้องการเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทรงจำในวันนี้คือเด็กในวันนั้นที่มายืนร้องไห้หน้าบ้านของเธอ ในวันนั้นเธอยอมรับว่าเธอใจร้ายเธอไล่เด็กที่กำลังยืนร้องไห้กับป้าและลุงให้กลับบ้านไปโดยที่ไม่สนใจใยดีสักนิดเพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าเพื่อนบ้านของเธอจะมาได้ยินอะไรที่ไม่สมควรได้ยินเข้า



“หลังจากวันนั้นเธอเป็นยังไงบ้าง?”



“หึมันไม่สายไปหน่อยเหรอครับคุณธิดาที่มาถามผมในวันนี้ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องคุยเพื่อฆ่าเวลารอให้คุนกลับมาก็ได้ครับถ้าคุณธิดาอึดอัดเดี๋ยวผมไปรอที่หน้าบ้านเอง”

 



ทรงจำหมุนตัวหันหลังให้กับคุณธิดาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมเขาเดินออกมาที่หน้าบ้านนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หินอ่อนที่เขาชอบมานั่งเป็นประจำเวลาที่มาบ้านหลังนี้เขาถอนหายใจพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเม็ดแรกออกเพื่อคลายความอึดอัดแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพับแขนเสื้อขึ้นหรือจะปลดเม็ดกระดุมเพิ่มความอึดอัดที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ลดลงเลยเขายังคงรู้สึกหายใจไม่สะดวกอยู่อย่างเคย



“โธ่เว้ย” เมื่อการขยับเสื้อผ้าไม่ช่วยให้ทรงจำรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกน้อยลงเขาจึงเลิกยุ่งวุ่นวายกับเสื้อผ้าของตัวเองแล้วทอดสายตามองไปยังที่ประตูหน้าบ้านของหลังนี้แทน



               เพียงไม่นานทรงจำก็เห็นแสงไฟจากหน้ารถถูกส่องเข้ามาในตัวบ้านคนงานของบ้านนี้เดินออกไปเพื่อเปิดประตูให้แก่ลูกชายของบ้านทรงจำลุกขึ้นยืนปั้นหน้าให้เป็นบุคคลที่ไร้อารมณ์และเดินเข้าไปในห้องรับแขกอีกครั้ง



“แม่ พี่ดาร์ก มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”



               ทรงจำเหลือบตามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่หน้าตาของคุนดูอิดโรยและแค่เพียงแว่บเดียวเขาก็รู้ว่าคนที่เพิ่งปรากฏตัวคงไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่มันเหมือนกับสมัยเรียนที่คุนอยู่ในช่วงสอบสมัยนั้นคุนมักจะหน้าเป็นแบบนี้ทุกทีเพราะมันไม่ใช่สาขาที่ชอบคุนเลยต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าคนอื่นๆ



ทรงจำสะบัดหัวของตัวเองเพื่อให้ภาพเก่าๆ ในหัวของเขามันหลุดไปและกลับมาดูภาพ ณ ปัจจุบันตรงหน้าภาพที่คุนเดินเข้าไปหาแม่นั่งลงข้างๆ ด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าหวาดกลัวทรงจำเองก็ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้คุนจะรู้อะไรเพิ่มมาบ้างเพราะที่ป้าสุวรรณีบอกก็น่าจะรู้เรื่องกล้องวงจรปิดกับเรื่องของพัคก็เท่านั้น



“ใครจะสามารถบอกผมได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เรียกคุนมาด่วนมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”



“คุณธิดาว่ายังไงดีครับคุณโทรไปหาลูกชายของคุณเพื่ออะไรครับ?”



               ทรงจำช่วยกระตุ้นคุณธิดาที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ปริปากพูดอะไรส่วนคุนที่นั่งลงข้างๆ กับแม่ของตนเองทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของเขาด็อ้าปากออกกว้างด้วยความตกใจแต่ก่อนที่คุนจะได้ถามอะไรออกมาเสียงของคุณธิดาก็ดังขัดขึ้น



“ตอนประมาณคุณสิบขวบ โรงงานของเราเคยเกิดไฟไหม้ใหญ่”



“ไฟไหม้?”



“คุนจำได้ไหมที่แม่บอกเคยเล่าให้เราฟังว่าเราต้องปรับปรุงโรงงานช่วงนั้นเพราะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและพอดีกับเป็นช่วงงานศพของคุณพ่อคุนจำได้ไหม?”



“ครับ”



“ที่แม่บอกว่าคุณพ่อเสียชีวิตเพราะไม่สบายหนักความจริงแล้วมันไม่ใช่”



“แม่ต้องการบอกอะไรกับคุนครับ?”



“คุณพ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้น”



“แม่พูดเรื่องอะไรผมไม่เห็นจะรู้เรื่อง”



“คุณพ่อเสียในวันนั้น วันที่ไฟไหม้ที่โรงงาน”



“มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมจำได้ว่างานศพจัดหลังจากวันเกิดไฟไหม้”



“แม่ขอให้มันเป็นแบบนั้น”



“ผมไม่เข้าใจ”



“คุนฟังแม่นะคุณพ่อเสียชีวิตในเหตุการ์ณไฟไหม้แต่แม่เป็นคนขอให้จัดงานศพหลังจากวันนั้นเอาไว้พร้อมทั้งปิดเรื่องนั้นเอาไว้ด้วย”



“ทำไมละครับ?”



“นั้นสิครับทำไมครับคุณธิดาทำไมคุณต้องปกปิดเรื่องพวกนี้ด้วย”



“แม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่”



“แม่บอกผมสิ บอกคุน แม่พูดกับผมสิ!!”



“เพราะว่าแม่วางแผนเผาโรงงานนั้นมันกับมือแม่คุนเข้าใจไหมลูกแม่เผามันกับมือแม่คุณพ่อต้องมาเสียด้วยแผนของแม่แม่ไม่ต้องการที่จะตอกย้ำตัวเองแม่ไม่ต้องการที่จะรับรู้ว่าคุณพ่อจากไปในวันนั้นแม่เลยแม่เลย”



“แม่เล่นตลกอะไรผมไม่เห็นตลกกับแม่”



“แม่ขอโทษ”



“ไม่จริง”



“แม่ขอโทษ”



“ผมบอกให้พอไง พี่ดาร์กห้ามแม่ทีแม่พูดไม่รู้เรื่องแล้วสงสัยแม่จะช้อคเรื่องที่โรงงานกำลังมีปัญหาพี่ดาร์คมาบอกแม่แล้วแม่คงรับไม่ได้พี่ดาร์คห้ามแม่ที”



               ทรงจำเห็นสายตาของคุนที่มองไปยังแม่ของตนเองนั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในดวงตาและมือที่จับแม่แขนของแม่ตัวเองเอาไว้นั้นสั่นไหวระริกเพราะมันเป็นเรื่องใหม่ที่คุนเพิ่งได้รับรู้เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคุนรู้มาเสมอว่าพ่อของตัวเองเสียด้วยอุบัติเหตุอย่างอื่นแต่ไม่ใช่ในโรงงานแห่งนั้น



สายตานั้นของคุนคือสายตาแห่งความสับสนสายตาที่มองมาทางเขาคือสายตาขอความช่วยเหลือและเพราะสายตานั้นแหละที่ทำให้ทรงจำต้องกำมือของตัวเองเอาไว้แน่นหลายครั้งที่เขาเกือบจะก้มตัวลงไปหาปกอดปลอบแต่เขาต้องไม่ลืมว่าเขาต้องการอะไรและต้องไม่ใจอ่อนยอมเพียงแค่ภาพตรงหน้านี้ความจริงคุนเองก็มีสิทธิ์และสมควรที่จะได้รู้เรื่องราวเหล่านี้



“เรื่องมันเท่านั้นเองเหรอครับคุณธิดา คุณแน่ใจเหรอครับ? ผมว่าคุณสมควรเล่าตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ”



“เรื่องมันก็เท่านี้”



“ถ้าให้ผมพูดเองสัญญาถือว่าโมฆะนะครับ”

 

ธิดาไม่รู้ว่าทรงจำรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วมากขนาดไหนตอนแรกที่เธอเล่าเพียงเท่านั้นเพราะคิดว่าทรงจำคงจะรู้เพียงเท่านี้แต่ดูจากท่าทางที่มั่นใจนั้นแล้วเธอจึงสูดลมหายใจเข้าอีกทีมองไปที่หน้าของลูกชายของตัวเองที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำตาแสดงความอ่อนแอออกมาให้เธอได้เห็นบ้างแล้วแต่เธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้เธอจึงได้แต่ส่งสายตาขอลุแก่โทษกลับไปเท่านั้น



“ช่วงนั้นโรงงานเราเกิดวิกฤติเงินหมุนเวียนไม่พอจนแทบจะเสียทุกอย่างไปพ่อกับแม่คำนวณกันดูแล้วเราต้องใช้เงินเยอะพอสมควรที่จะสามารถทำให้โรงงานนี้ไปต่อได้สุดท้ายที่แม่คิดได้คือทำให้โรงงานไฟไหม้เพื่อเงินประกัน”



“ไม่จริงพ่อรักโรงงานนี้มากพ่อไม่มีวันทำลายด้วยมือของพ่อเอง”



“มันจริงลูก”



ธิดาเอื้อมมือของตัวเองออกไปเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของลูกชายของเธอออกอย่างแผ่วเบา



“แม่ แล้วที่ผ่านมาแม่โกหกคุนทำไม? แม่ทำไมไม่บอกคุน”



ธิดามองดูมองของคุนที่จับตัวเธอเอาไว้ตกลงไปที่ข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงจะให้หยุดก็มาถึงขั้นนี้แล้วเธอคงหยุดไม่ได้ความจริงมันก็ดีเหมือนกันที่คุนจะได้รู้ความจริงจากปากของเธอเองและถ้าจะต้องโทษอะไรสักอย่างก็ให้โทษที่เธอทำเรื่องเลวร้ายในวันนั้นเอาไว้ก็แล้วกัน



“แม่กับพ่อเลยวางแผนเผาโรงงานจะให้เสียหายแค่บางส่วนเพียงเท่านั้นแต่ตอนที่แม่กับพ่อไปเริ่มดำเนินการที่โรงงาน พ่อกับแม่ลืมสังเกตว่ายังมีพนักงานอีกสองคนอยู่ที่โรงงาน”



“พนักงานทั้งสองคนนั้นอยู่เย็นกว่าทุกวันเพราะว่าพ่อของลูกขอให้เขาทั้งสองทำล่วงเวลาแต่พ่อเขาไม่คิดว่าเย็นมากขนาดนั้นแล้วจะยังมีคนอยู่และเพราะมั่นใจว่าคงไม่มีใครยอมอยู่ทำล่วงเวลามานานขนาดนั้นเราเลย เราเลยตัดสินใจวางเพลิง”



“แต่พอออกมาเราสองคนเห็นรถจอดอยู่พ่อของลูกจึงรับวิ่งกลับเข้าไปที่โรงงานแม่พยายามห้ามแล้วแต่พ่อของลูกไม่ยอมบอกต้องเข้าไปช่วยให้ได้”



“คุณโกหก”



“ฉันไม่ได้โกหกพ่อของคุนวิ่งเข้าไปทางด้านในเพื่อช่วยพ่อกับแม่ของเธอออกมาแต่เพราะเขาช่วยไม่ได้เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากทำให้ทั้งสามคนที่จบชีวิตในกองไฟนั้นโดยที่ฉันยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ได้เลย”



“คุณทำได้แต่คุณไม่ทำคุณสามารถโทรเรียกดับเพลิงได้แต่คุนไม่โทร”



“ไม่จริง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่โทรแต่ฉันโทรไม่ได้”



“เพราะคุณมันเห็นแก่ตัวคุณกลัวรถดับเพลิงจะรู้ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุคุณเลยเลือกที่จะไม่โทร”



“จริงหรือแม่?”



“แม่ขอโทษ”



“แล้ว แล้วพ่อกับแม่พี่ดาร์กเกี่ยวอะไร?”



“พ่อกับแม่พี่เกี่ยวอะไรอย่างนั้นเหรอ? พ่อแม่ของพี่ก็ต้องมาตายเพื่อสังเวยโรงงานของคุนไงที่โรงงานของคุนอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็แลกด้วยชีวิตพ่อแม่ของพี่และพ่อของคุนเองไง”



“ไม่จริง”



“รับให้ได้ซะเพราะมันคือเรื่องจริง”

 

ทรงจำโยนสมุดหนึ่งเล่มลงไปที่หน้าตักของคุนคุนหยิบสมุดเล่มเล็กเล่มนั้นขึ้นมาแล้วเปิดดูไปที่ละหน้าในแต่ละหน้ามีข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดเป็นช่องๆ มาติดเอาไว้ด้วยสก๊อตเทปเนื้อหาในข่าวคือรายละเอียดไฟไหม้ของโรงงานผลิตเสื้อเมื่อสิบกว่าปีก่อนเหตุการ์ณในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตสามคนคนนึงคือพ่อของเขาแต่อีกสองคนเขาไม่รู้สึกคุ้นเคย



“เหตุเกิดวันที่ 9  เดือน 9”



“ใช่มันคือวันที่พ่อกับแม่พี่ตายและรู้อะไรไหมคุนวันนั้นคนมาร่วมงานศพของพ่อกับแม่พี่ไม่ถึงสิบคนทำไมนะเหรอ? ก็เพราะคนอื่นในโรงงานคิดว่ามันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ไงที่ทำให้โรงงานต้องไฟไหม้ที่ทำให้คนอื่นต้องไม่ได้เงินค่าจ้างในระหว่างที่โรงงานต้องปิดปรับปรุง”



“คุน คุน”



“และที่น่าขันรู้ไหมว่าทำไมงานศพของพ่อคุนมีแต่คนไปแสดงความเสียใจไปช่วยงานมันน่าขำที่ฆาตกรได้รับความเห็นใจ”



“พ่อรักโรงงาน พ่อไม่มีวันเผา”



“พ่อของคุณรักโรงงานไงรักมากจนขนาดทำอะไรก็ได้ไงยังไม่เข้าใจอีกเหรอไง!!”



“ไม่ใช่แบบนั้น”



“คุนรู้ไหมว่าพนักงานดับเพลิงบอกอะไรกับพี่บ้างศพของทั้งสองคนอยู่ในสภาพไหนคุนรู้ไหม?”



“แต่นามสกุลเป็นไปไม่ได้ ทั้งสองคนนี้จะเป็นพ่อแม่พี่ได้ยังไง? ในเมื่อนามสกุล”



ทรงจำเปิดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองหยิบเอาบัตรประชาชนออกมาแล้วยื่นไปทางด้านหน้าเสมอกับสายตาของคุน



“ไม่ใช่ พี่ดาร์คไม่ใช่นามสกุลนี้ ไม่ใช่ๆ พี่ดาร์คไม่ได้ใช้นามสกุลนี้”



“พอแล้ว พอได้แล้ว”



               “ครับพอได้แล้ว เอาละในเมื่อคุณธิดาได้ทำตามสัญญาแล้วผมก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้เช่นกันวางใจได้โรงงานดั่งเดิมที่คุณธิดารักหนักหนามันยังคงอยู่กับคุณต่อไป”



               ทรงจำหยิบเอาบัตรประชาชนของตัวเองเก็บลงในกระเป๋าและเบี่ยงตัวเองออกมาจากตัวของคุณธิดาเพื่อนั่งลงกับขาของตัวเขาเองทรงจำนั่งให้ใบหน้าของเขาเสมอกับใบหน้าของคุน เขามองที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความเสียใจที่แสดงออกมาจากใบหน้านั้นให้เต็มตาของตัวเอง



“รู้ไหมว่าข้อแลกเปลี่ยนในการเล่าความจริงนี้มันคืออะไร?”



“ไม่รู้คุนไม่รู้”



“มันคือโรงงานแห่งนั้นโรงงานแห่งแรกของตระกูลของคุนไงดีใจด้วยนะที่แม่ของคุนรักโรงงานมากขนาดนี้ขนาดที่เขายอมแลกกับความรู้สึกของคุนกับโรงงาน…”



               น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไร้เสียงสะอื้นทำให้ทรงจำหยุดริมฝีปากของตัวเองและลุกขึ้นหันหลังให้กับสองแม่ลูกเตรียมเดินออกจากบ้านหลังนี้วันนี้เขาได้ทำสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดเสร็จเรียบร้อยลงแล้ววันนี้หน้าที่ทั้งหมดของเขามันจบลงแล้ว มันจบลงแล้ว



               แต่แล้วแรงดึงจากข้างหลังก็ทำให้เขาต้องหยุดเดินและหันกลับไปเพราะคุนกำลังตรึงเขาไว้ให้อยู่กับที่โดยการดึงขอบเสื้อของเขาทรงจำมองสบตากับคุนเพียงแค่เสี้ยววิแล้วก็หันหน้ากลับมองตรงไปที่ประตูโดยที่ไม่มองหันหลังกลับไปอีกเลยแต่เขาเองก็ไม่กล้าพอแต่จะก้าวขาเดินออกไปโดยที่คุนยังจับเสื้อเขาไว้แบบนี้



“พี่ดาร์กจะไปไหน?”



“คุนปล่อยคนนั้นไป”



คุณธิดาพยายามเดินมาแกะมือของลูกชายของตัวเองที่เอาแต่ดึงปลายเสื้อของเขาเอาไว้แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามเท่าไหร่ก็ตามมือของลูกชายของเธอก็ไม่ยอมหลุดออกจากเสื้อนั้นสักที



“พี่ดาร์กล้อคุนเล่นทำไมทำแบบนี้ทำไม? พี่ดาร์กคุนขอโทษคุนทำอะไรผิดคุนขอโทษอย่าทำแบบนี้อย่าทำแบบนี้”



“…”



“อย่าทิ้งคุณไป อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?”



“คุนปล่อยคนนั้นไป คุนรู้ไหมว่าเขาทำอะไรกับครอบครัวเราไว้บ้าง? คุนปล่อย”



               ทรงจำแกะมือของคุนออกจากปลายเสื้อของตัวเองออกแล้วพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า



“ลาก่อน”



TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 (Rewrite) - 19/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-01-2018 00:10:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 (Rewrite) - 19/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-01-2018 06:37:22
​บทที่ 13 Rewrite

แผ่นหลังของทรงจำตอนที่เดินออกมาจากห้องรับแขกของบ้านคุนดูเหมือนจะเป็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงและแข็งแรงไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดแต่ถ้าใครได้เดินมาเห็นใบหน้าของเขาที่ตอนนี้มันเปื้อนเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ถูกปล่อยให้ไหลออกมาทุกครั้งที่เขายังได้ยินชื่อของเขาที่หลุดออกมาจากปากของคุนอย่างอ้อนวอนเพื่อให้เขาหันกลับไปคงรู้ได้ทันทีว่าแผ่นหลังอันนั้นของเขามันเป็นความแข็งแกร่งแบบจอมปลอม

             

  แม้ทรงจำจะก้าวอย่างมั่นคงในตอนแรกแต่ก้าวเดินของเขาก็ต้องสะดุดลงเมื่อคนที่เขาคิดว่าควรจะอยู่ข้างในบ้านกลับวิ่งตามเขาออกมาความจริงแล้วขั้นตอนต่อไปนี้เขาไม่ได้อยากให้คุนเห็นมันในแต่เขาก็ไม่สามารถหยุดสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้ได้เช่นกันเขาก็ได้แต่หวังว่าคุนจะสามารถรับมือกับมันได้ดีพอ



“ว่างเปิดให้เช่า โทรติดต่อได้ที่เบอร์ 09884xxxxx”



ทรงจำจ้างคนไว้ล่วงหน้าพร้อมสั่งไว้ว่าทันทีที่เห็นเขาเดินออกมาจากรั้วบ้านหลังนี้ให้เข้ามาติดป้ายได้ตอนที่ทรงจำเดินออกมาถึงหน้าประตูคนพวกนั้นทำท่าจะเข้ามาทักเขาแต่เขาได้ใช้สายตามองปรามเอาไว้เลยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรแค่เอาป้ายประกาศให้เช่านั้นขึ้นติดอยู่ที่ประตูรั้ว



“มันคืออะไรพี่ดาร์ก?”



“ป้ายให้เช่าไงครับ”



“ไม่ใช่คุนถามว่ามันหมายความว่ายังไงที่มันมาติดอยู่ตรงนี้”



“…”



“เอาออกไป เอาออกไป”



“มึงเอาออกไปได้ยินไหม”



 ในเมื่อทรงจำไม่ยอมตอบคำถามคุนจึงเปลี่ยนเป้าหมายกันไปพูดกับคนที่กำลังติดป้ายอยู่แทนคนเหล่านั้นมองมาที่ทรงจำก่อนที่จะลงมือทำอะไรเพื่อต่อต้านการขว้างงานของคุน เขาส่ายหน้าพร้อมยังใช้สายตาสื่อสารว่าห้ามทำร้ายคนที่กำลังเดินเข้าไปวุ่นวายคนเหล่านั้นเลยแค่กันคุนเอาไว้เท่านั้น



คุนยังคงยืนตะโกนอย่างสุดเสียงเพื่อให้พวกนั้นเอาไอ้ป้ายนั้นออกไปจากรั้วบ้านแต่ในเมื่อไม่มีใครฟังคุนจึงหันหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้ง



“พี่ดาร์กล้อคุนเล่นใช่ไหม? พี่ ฮึก ล้อ คุนเล่นใช่ไหม? ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ฮึก คุนไม่เอาแล้ว คุนขอโทษพี่ดาร์กบอกให้เขาเอาป้ายออกเถอะนะ ฮึก คุนขอร้องพี่ดาร์กบอกเขาสิพี่ดาร์กพูดสิ นะคุนขอร้อง”



“ถ้าจะบอกว่าป้ายนี้มีความเข้าใจผิดหรือมีการล้อกันเล่นแต่คุนน่าจะคิดออกนะว่าพี่ทำจริงหรือล้อเล่น”



“ขอร้อง ขอร้องๆๆ”



คุนทรุดตัวลงมากอดขาของทรงจำเอาไว้และเพราะภาพที่อ่อนแอของคุนที่ทรงจำไม่เคยเห็นมาก่อนมันทำให้ทรงจำใจอ่อนโดยที่ไม่รู้ตัวเขาก็ย่อขาลงเอามือไปจับที่ตรงแขนของคุนเอาไว้เพื่อที่จะพยุงให้คนที่กอดขาเข้าอยู่ลุกขึ้นมา



“คุนลุกขึ้นมาลูก อย่าทำแบบนี้”



เสียงของคุณธิดาทำให้ทรงจำรู้สึกตัวได้อีกครั้งเขาไม่ได้รีบลุกขึ้นเขายังคงนั่งอยู่ตรงหน้าของคุนแต่สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่ตัวของคุนแต่เลยไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง



“ใช่อย่าเอาเวลามาขอร้องพี่เลยคุนเอาเวลาพวกนี้ไปดูความพินาศของครอบครัวคุนจะดีกว่าคุนจะได้รู้ว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่คุณจะต้องเสียมันไป”



“พี่ดาร์กทำมันได้ยังไง พี่สร้างสิ่งเหล่านั้นมากับมือนะ”



คุนเอามือมาจับใบหน้าของเขาเอาไว้ทรงจำไม่ได้ปัดมือนั้นออกแต่เขากลับใช้คำพูดทำให้เจ้าของมือนั้นอ่อนแรงจนมือนั้นล่วงตกลงไปเอง



“พี่สร้างพี่ก็ทำลายได้ เพราะพี่สร้างมันมาเพื่อทำลาย”



“พี่…”



“แล้วก็ไม่ใช่แค่โรงงานพี่จะทำลายทุกอย่างที่แม่ของคุนไม่สมควรได้มันไว้”



“แล้วบ้านนี้เกี่ยวอะไร?”



“บ้านนี้มันมากจากเงินสกปรกที่ได้มาจากโรงงานของคุนไงมันเลยต้องถูกทำลายไปด้วย!!”



ทรงจำเหลือบเห็นว่าคนของเขาได้เอาป้ายให้เช่าไปติดเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงลุกยืนขึ้นแต่คุนไม่ยอมปล่อยมืออีกข้างที่เกาะขาของเขาเอาไว้พร้อมยังส่งเสียงเรียกชื่อเขาอยู่ซ้ำๆ แบบนั้น



“พี่ดาร์กไม่รักคุนแล้วเหรอ?”



“คุนพอแล้ว”



ธิดาที่ยืนมองอยู่นานไม่สามารถทนเห็นภาพนี้ได้อีกต่อไปเธอเดินมากอดลูกเธอเอาไว้จากทางด้านหลังพร้อมกับพยายามดึงตัวลูกเธอให้ลุกขึ้นคุนถึงยอมปล่อยมือจากขาของทรงจำแล้วก็จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าธิดาจะพาลูกของเธอเข้าไปในบ้านได้



             

ในวันที่เขาโดนซ้อมเกือบตายจากนักเลงข้ามถิ่น ในวันที่เขาโดยลุงกับป้าตีเพราะไม่สามารถหาเงินมาให้ลุงกับป้าได้เท่าก่อนเพราะเขาเริ่มเข้าเรียนต่อ ในวันนั้นเขาได้สาบานต่อท้องฟ้าเอาไว้ว่าเขาจะต้องเอาคืนให้ได้เขาจะต้องทำให้คนที่ทำให้เขาและครอบครัวเป็นแบบนี้เจ็บปวดให้ได้และวันนี้เขาก็ทำได้แล้ว



ทรงจำเปิดประตูรถคันคู่ใจของเขาที่จอดอยู่แอบเลยรั้วบ้านของคุนไปเขาขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับก็จริงแต่เขาก็ไม่แม้กระทั่งจะสตาร์ทเครื่องยนต์



“ผมทำได้แล้วครับผมทำได้แล้วต่อจากนี้นอนหลับให้สบายได้แล้วดาร์กเอาคืนตามที่ดาร์กเคยบอกได้แล้ว”



ทรงจำนั่งเอาขาห้อยลงมาไว้ที่พื้นเอาใบหน้าด้านข้างแนบไปกับพนักพิงศีรษะและดวงตาของเขาก็เอาแต่เหม่อลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร่ำบอกกับพ่อและแม่ของเขาว่าเขาทำได้แล้วเขาทำให้คนบ้านนี้ต้องเจ็บปวดแบบที่เขาเคยเจ็บปวด เขาทำให้คนบ้านนี้ต้องทรมาณเหมือนกับที่พ่อกับแม่ของเขาต้องทรมาณในกองไฟได้แล้ว แม้ว่าคนบ้านนี้จะไม่ได้หมอดไหม้ไปเหมือนพ่อแต่เขาเชื่อว่าใจของคนในบ้านนี้คงต้องวิตกเหมือนที่พ่อกับแม่วิตกตอนที่หาทางออกจากโรงงานไม่ได้ คนบ้านนี้ก็ต้องกำลังหายใจไม่ออกเพราะทางออกมันตันมืดแปดด้านเหมือนที่แม่ของเขาหายใจไม่ออกจนต้องสำลักควันตาย



“ศพอยู่ในสภาพจับมือกันอยู่ครับ คนผู้หญิงน่าจะสิ้นใจเพราะสำลักควันแต่คนผู้ชายน่าจะสิ้นใจเพราะไฟครอกครับ”



ช่วงที่โตเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทรงจำได้มีโอกาสไปหาตัวของทีมกู้ภัยในวันนั้นจนเจอเข้ากับคนที่เจอศพพ่อกับแม่เขาเป็นคนแรกเขาสอบถามเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่อย่างละเอียดเพราะในสมัยนั้นใครๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะพ่อกับแม่ของเขาที่ทำให้โรงงานต้องเกิดไฟไหม้ไม่ว่าจะเป็นความประมาทหรือจงใจวางเพลิงแต่เขาไม่เคยเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาจะทำเช่นนั้น แต่การไปในวันนั้นนอกจากเขาจะไม่ได้หลักฐานมาแก้ต่างให้กับพวกท่านเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องมารู้ว่าพ่อกับแม่ต้องทรมาณมากขนาดไหนในวันนั้น ในกองไฟพวกท่านจะต้องรู้สึกทุกข์มากเพียงใด



ทรงจำปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยการที่จมกับเรื่องราวเก่าๆ จนแรงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงของเขาเกิดขึ้นเขาจึงได้สติกลับมา



“ว่า?”



“เรียบร้อยไหม?”



“อื้ม เรียบร้อยดี”



“เฮ้ยยย งั้นรออะไรวะ อย่างนี้ต้องฉลองละครฉากใหญ่จบซะทีอึดอัดฉิบ”



เสียงตะโกนของเบทที่บ่งบอกถึงความโล่งอกยังคงดังเข้ามาในโทรศัพท์พร้อมทั้งยังรบเร้าให้เขาเป็นเจ้ามือมื้อใหญ่ครั้งนี้แต่ฟังจากเสียงรอบข้างแล้วพวกเพื่อนๆ ของเขาทั้งหมดคงจะไปเตรียมตัวรอฟังข่าวที่นั้นหมดแล้วมากกว่าเหลือเพียงแค่เขาที่ไปจ่ายเงิน



“ฮัลโหลดาร์ก”



“แชมป์?”



“เออกูเอง ไอ้เบทเริ่มเมาแล้วมึงละไปเจอเขามาไหวไหม? ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องมาเดี๋ยวทางนี้เคลียร์เองก่อนได้”



“รู้ว่ารอกูไปจ่ายใช่ไหม?”



“ดาร์กเอาจริงเป็นอะไรรึเปล่า?”



“ไม่เป็น เดี๋ยวเจอกัน”



ทรงจำกดวางและเขวี้ยงโทรศัพท์มันลงไปที่เบาะข้างที่นั่งก่อนที่จะหมุนตัวเองเข้ามาในรถก่อนที่จะสตาร์ทรถอีกครั้งทรงจำยังคงมองไปที่กำแพงบ้านหลังนี้มองจนเสมือนว่าเขาสามารถมองทะลุกำแพงเข้าไปได้แล้วค่อยออกรถไปตามที่นัดหมาย



“นั่งเลยๆ ดื่มเหมือนเดิมไหม เดี๋ยวชงให้”



“อื้มเหมือนเดิม”



ร้านที่เขาถูกบังคับให้มาเป็นเจ้ามือเป็นร้านประจำของพวกเขามาตั้งแต่สมัยก่อนตอนนั้นร้านนี้ยังไม่ได้ขายพวกแอลกอฮอล์แต่พอได้เปลี่ยนมือมาเป็นลูกสาวดูแลก็ทำให้เพิ่มเครื่องดื่มพวกนี้เข้าไปทั้งโต๊ะจึงเต็มไปด้วยอาหารจานใหญ่พร้อมทั้งเหล้าและมิกเซอร์



“อะ ฉลองให้กับความสำเร็จของมึงที่อดทนเก็บความเจ็บแค้นมาเป็นสิบปีเพื่อวันนี้”



“กว่าจะจบลงได้เล่นเอาเสียวสันหลังวาบไม่รู้ว่าจะถูกจับได้เมื่อไหร่ นี่ลุ้นอยู่ทุกวัน จบไปสักที เอ้าชน” เบทยื่นแก้วที่ผสมแล้วเรียบร้อยส่งให้แก่เขา



“เบาๆ เสียงหน่อย ลูกค้าคนอื่นจะเดินออกจากร้านหมดแล้ว”



‘กี้’ เจ้าของร้านเดินถืออาหารอีกจานออกมาจากทางครัวแล้วถือโอกาสนั่งลงร่วมโต๊ะกับเพื่อนของเธอ



“ไม่ต้องมองจานนี้ของแกนั้นแหละดาร์กแต่จะว่าไปก็จริงอย่างที่เบทว่าทำงานที่นั้นไม่สบายใจเท่ากับเป็นแม่ครัวที่ร้านนี้เลย”



“ขอบใจ”



“ว่าแต่ น้องคุนเป็นไงบ้าง?”



“…”



“จากที่รู้จักกันมาตอนที่แกเดินเข้าไปบอกข่าวน้องไม่ช้อคไปเลยเหรอวะ?”



“…”



“ป่านนี้ร้องไห้ใจจะขาดแล้วมั้ง”



“คุนเป็นคนเข็มแข็ง”



“เออก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่พรุ่งนี้มีข่าวหน้าหนึ่งหนุ่มวัยรุ่นทำธุรกิจที่บ้านล้มเผยเพราะแฟนหนุ่มเป็นต้นเหตุ ตัดสินใจดับชีวิต”



“กี้// กี้”



บุคคลที่เหลือบนโต๊ะต่างตะโกนเรียกชื่อของหญิงสาวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงความจริงแล้วเหตุการ์ณในครั้งนี้มันก็เหมือนตลกร้ายของทรงจำเขาคิดทางเข้าไปที่โรงงานนั้นอยู่หลายทางพยายามตั้งใจเรียนมาตลอดก็เพื่อสิ่งนี้เข้าไปทำงานและทำลายแต่กลายเป็นว่าท้ายที่สุดทางที่ดาร์กเลือกและดันทำได้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียงหกเดือนก็คือการเข้าทางลูกชายคนเดียวของบ้าน



“ก็ฉันเห็นน้องมันมาตั้งกี่ปีตั้งแต่เข้าไปทำงาน 5 ปีได้มั้ง? ก็เป็นธรรมดาที่จะห่วงน้องมัน หรือว่าพวกมึงไม่ห่วง?”



“กี้ พูดดีๆ” เบทแฟนหนุ่มของหญิงสาวเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างเขากับกี้



“ทำไมก็แค่พูดอย่างที่คิดก็บอกแล้วว่าไม่ได้สนับสนุนแผนนี้แต่แรกแต่ก็ดึงดันทำกันเองนี่ที่ช่วยก็เพราะว่าดาร์กมันมีบุญคุณเพราะถ้าไม่มีมันวันนั้นฉันก็คง…”



ปึก ทรงจำวางแก้วลงเขาไม่ได้โกรธที่กี้พูดเรื่องนี้เขาแค่รู้สึกว่าชื่อนี้กำลังทำให้เขาอึดอัดและยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของเจ้าของชื่อและแม้ลึกๆ เขาจะเชื่อมั่นว่าคุนจะไม่ทำแบบที่กี้พูดแต่ก็มีแวบนึงที่เขาเผลอกำมือเข้าหากันแน่นเพราะกำลังกังวลใจตามที่กี้พูดออกมา



“กูออกไปดูดบุหรี่นะ”



“เกิดเป็นห่วงหรือว่าอาลัยขึ้นมาเหรอ…”



เสียงของกี้ยังคงดังตามไล่หลังของทรงจำมาเรื่อยๆ ไม่แปลกที่กี้จะเป็นแบบนี้เพราะกี้จะพูดอยู่เสมอว่าเขากำลังใช้คนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยเป็นเครื่องมือและเขาจะต้องโดนไฟแค้นนี้เผาตัวเขาเอง



ทรงจำออกมาหลังร้านอาหารที่มีทางเชื่อมเข้าไปในบ้านของกี้เวลาที่ไม่สบายใจมากๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชอบมานั่งตรงนี้เสมอเพราะเพียงแค่มองเข้าไปในบ้านเขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถสงบใจลงได้แล้ว



“โอเคนะ?”



“อื้มโอเค”



“มาถึงตรงนี้แล้วไม่เข้าไปหาครูเหรอ?”



“ครูคงหลับแล้ว”



“ก็ว่างั้น”



แชมป์เดินตามเขาออกมาหลังจากที่เขาดูดบุหรี่ไปครึ่งตัวทรงจำรู้ว่าแชมป์ตั้งใจให้เขาได้ใช้เวลากับตัวเองก่อนที่จะเดินออกมาสมแล้วที่เป็นแชมป์เพื่อคนแรกในยามที่เขาไม่มีใครเลย เพื่อนคนที่แอบยื่นหนังสือต่างๆ ให้เขาตอนที่เขาแอบเข้าไปเรียนที่โรงเรียน



“มีอะไรอยากเล่าให้ฟังไหม?”



“ก็บอกไปหมดแล้วกูทำสำเร็จแล้วทางนั้นได้รู้สึกแบบที่พ่อแม่กูรู้สึกแล้ว”



“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ”



“แล้วทำไมต้องคิดว่ามีเรื่องอื่น?”



“งั้นเปลี่ยนคำถามมึงดีใจจริงๆ ใช่ไหม? ที่วันนี้มันเกิดขึ้น”



“เกือบสิบปีนะสิ่งที่กูทำมา ทำไมกูจะไม่ดีใจวะ?”



“หน้ามึง คนดีใจมันไม่ใช่หน้าแบบนี้”



“หึ อย่ามารู้ดี”



“ก็ตามใจไม่เล่าก็ไม่เล่าว่าแต่นับจากวันนี้จะเอาไงต่อ?”



“ก็คงกลับไปทำงานของตัวเองทิ้งบริษัทปล่อยให้หุ้นส่วนอย่างพวกมึงดูมานานคงต้องกลับไปดูบ้างแล้วอีกอย่างทางนี้…ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”



“ป้าสุวรรณียังอยู่มึงลองเข้าไปบอกกับครูสมใจให้พูดกับป้าสุวรรณีอีกสักทีดีไหม? ให้เขาออกมาเถอะกูไม่รู้เลยว่าคุณธิดาจะทำยังไงกับป้าบ้างถ้าเขารู้ว่าป้าคือคนนึงที่อยู่ข้างเรา”



“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่กล้าทำอะไรหรอก”



“ตามใจแต่ก็ขอให้มันจบจริงๆ พอแล้ววะแค่นี้ก็พอแล้วต่อจากนี้มึงก็ปล่อยตระกูลนั้นไปกูขอ”



“…”



“รับปากสิ อย่ากลับไปทำอะไรอีก”



“อืม”



“หลายปีแล้วนะที่มึงไม่ได้ไปลุยงานด้วยตัวเองได้แต่ดูอยู่ด้านหลังคราวนี้ก็จะได้เปิดตัวผู้ร่วมหุ้นอีกคนสักที”



แม้ว่าช่วงเรียนทรงจำจะได้ทุนเรียนแต่ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้ยังไงเขาก็ต้องหางานพิเศษทำช่วงที่เรียนอยู่ช่วงมัธยมต้นเขาไปเป็นคนล้างจานตามร้านอาหารในวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งค่าแรงมันก็พอสำหรับค่ากินและค่าอุปกรณ์การเรียนแถมยังได้แชมป์คอยแบ่งหนังสือเรียนให้เขาอ่านและใช้เรียนอีกมันเลยยิ่งช่วยประหยัดไปได้เยอะ



แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเงินจากพนักงานล้างจานร้านเดียวมันไม่พออีกต่อไปทรงจำเลยลาออกจากงานนั้นและไปรับงานเสริ์ฟในร้านเหล้าและยึดเอาเป็นงานประจำเพราะทิปที่ค่อนข้างเยอะและช่วงนี้เองที่เขาได้เจอกับเบท



ชีวิตการทำงานพิเศษเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงปิดเทอมใหญ่เมื่อทรงจำจับพลัดจับพลูได้เข้าไปทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งนึงในฐานะคนช่วยยกของแต่แล้วเขาดันช่วยแก้สถานการณ์ที่ค่อนข้างชุกละหุกในวันนั้นเอาไว้ได้จากงานเป็นจ๊อบก็เลยได้งานพาสทามที่นั้นและหลังจากนั้นไม่นานแม้ยังจะเรียนไม่จบแต่เขาก็เริ่มรับเป็นคนครีเอทโฆษณาหรือผู้ช่วยกองถ่ายและนั้นก็เริ่มเปิดเป็นบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์แก่โปรดักส์ทั่วไปโดยที่มีเบทเด็กมีฐานะเป็นนายทุนใหญ่มาตลอดแล้วเขากับแชมป์ก็ได้แต่ลงแรงและสมองโชคดีคือเบทไม่เคยสนใจเรื่องเงินและแบ่งหุ้นให้เท่าๆ กันทั้งสามคน



แต่พอเขามีโอกาสเข้าใกล้คุนสิ่งที่เขาทำคือขอร้องให้ทุกคนมาช่วยแผนเขาและนั้นก็ทำให้ทุกคนต้องทำงานสองที่ไปพร้อมๆ กัน



“ขอบใจมากนะที่ก่อนหน้านี้ยอมช่วยทุกอย่าง”



“ก็เพื่อนกัน”



“เฮ้ยแอบมานั่งทำซึ้งอะไรกันสองคนกลับมาในงานได้แล้ว”



เบทโผล่ตัวจากประตูหลังร้านออกมาเพื่อเรียกให้พวกเขาทั้งสองคนกลับเข้าไปทางด้านในทรงจำจึงขยี้บุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดม้วนทิ้งลงพื้นและเดินกลับเข้าไปในร้าน



“กี้ละ”



“เดินเลาะไปทางด้านข้างกลับเข้าบ้านไปแล้ว”



“คงโกรธกูอยู่”



“แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้น”



“เออ ไอ้แชมป์มีคนมารอที่หน้าร้านวะ”



“ใคร?”



“พัค”



 คืนนี้ทรงจำปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับว่า ‘ฉลอง’ จนเมามายแทบไม่ได้สติเพราะตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในร้านทรงจำก็เอาแต่ดื่มแทบไม่ได้แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักนิด



“นี่มันมาดื่มย้อมใจ หรือ ว่ามันมาดื่มฉลองจริงๆวะ?”



เบทที่เพิ่งเดินไปล้างหน้าล้างตาให้สร่างเมาเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก็เริ่มสังเกตุเห็นได้ถึงความผิดปกตินี้ของเพื่อนของตัวเอง



“ตัวเองก็น่าจะรู้”



“งานนี้เขาไม่รู้จะส่งสารใครดีเลยวะ”



เบทบ่นพร้อมกับเดินเอาพวกขวดเหล้าไปเก็บให้พ้นมือของทรงจำและเริ่มช่วยกี้เคลียร์ข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อยเพราะนี้ก็ดึกมากแล้วโชคดีที่ถึงเมาทรงจำก็ไม่ได้โวยวายดึงดันจะดื่มต่อเพียงแค่เอนหลังหลับไปกับเก้าอี้



“ตื่นเดี๋ยวกูไปส่ง” เบทพูดขึ้นตอนที่พยายามปลุกให้ทรงจำลืมตาขึ้น



“เหล้าที่แดกเข้าไปยังล้างไม่หมดตัวเลยมั้งตำรวจจับแน่เดี๋ยวกูไปส่งมันเอง” แชมป์เดินเข้ามาช่วยประคองอีกข้างของทรงจำ



“จะไปส่งมัน? แล้วไอ้ที่นอนหัวโด่ที่โต๊ะโน้น ไม่คิดจะเคลียร์ก่อนหรือไง?”



เบทกำลังพูดถึงพัคเด็กหนุ่มที่มาตามหาแชมป์ตั้งแต่ช่วงดึกและพยายามขอที่จะคุยด้วยแต่แชมป์ก็ไม่ยอมคุยด้วยสักทีไอ้หนุ่มนั้นก็ดื้อเมื่อทางนี้ไม่คุยก็เอาแต่ยกดื่มไปเรื่อยจนตอนนี้นอนคอพับคออ่อนไปแล้ว



“เฮ้อ”



“ไม่ต้อง เรียกแท็กซี่ให้ก็พอ”



เขาไม่ได้เมาจนหลับเขาเพียงแค่หลับตาลงเพียงเท่านั้นแชมป์กับแบทเมื่อเห็นว่าทรงจำยังได้สติอยู่บ้างก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรแค่ช่วยพยุงทรงจำออกมาตอนที่แท๊กซี่ขับมาถึงที่หน้าร้าน



“เออ ว่าแต่มึงจะย้ายออกจากหอแล้วไปอยู่ที่บ้านของตัวเองเมื่อไหร่?”



“ทำไม?”



“เอ้า ก็จะได้ไปช่วยขนของไง มึงจะทิ้งของเอาไว้ที่ห้องนั้นเหรอไง?”



 บ้านหลังนั้นคือบ้านหลังเก่าที่เขาเคยอยู่เมื่อตอนเด็กเขาเก็บเงินอยู่นานกว่าที่จะซื้อบ้านกลังนี้คืนมาจากผู้อยู่อาศัยก่อนหน้านี้ได้แต่ตั้งแต่วันที่เขาได้บ้านคืนมาเขายังไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปอยู่เลยสักครั้งเพราะเขายังคงต้องเช่าห้องพักขนาดเล็กแถวรัชดาที่ใกล้กับโรงงานของคุน



“ของบางชิ้นขนไปไว้ที่บ้านแล้วเหลืออีกแค่ไม่กี่อย่างไม่เป็นไร”



พอแท๊กซี่เข้าเทียบจอดทั้งสามก็หยุดบทสนทนาแล้วก็เปิดประตูดันให้ทรงจำเข้าไปในรถพร้อมทั้งบอกทางให้กับแท๊กซี่เสร็จสับว่าปลายทางของทรงจำคือบ้านที่อยู่แถวบางนา



“จะปล่อยมันกลับไปสภาพแบบนี้จริงๆ เหรอวะ?”



“เอานะ กูไม่ตายหรอก”



“เออ เก่ง”



“ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ยังไม่ต้องเข้าบริษัทก็ได้นะ” ก่อนจะปิดประตูรถลงไม่วายที่แชมป์ยังคงยื่นหน้าเข้ามาย้ำกับเขา



“เออ จะปล่อยกูไปได้ยัง คนขับเข้าจะด่าแล้ว”



“เออๆ”



ในที่สุดทั้งสองก็ยอมปล่อยให้ทรงจำกลับบ้านเสียทีทันทีที่ประตูรถแท็กซี่ปิดลงใบหน้าที่ยิ้มกวนเพื่อนเมื่อกี้ก็หายไปเหลือเพียงแค่ใบหน้าที่เข็มขรึมมองออกไปทางนอกหน้าต่างและก่อนที่คนขับจะเข้าเส้นทางที่จะไปบางนาทรงจำก็บอกกับคนขับแท็กซี่ว่าให้เปลี่ยนเส้นทาง



“ไปรัชดาครับ”



กลับมาถึงห้องเช่าทรงจำมองไปรอบห้องที่ตอนนี้สิ่งของพวกเอกสารได้ถูกขนย้ายออกไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่พวกเสื้อผ้าและก็ข้าวของเครื่องใช้ที่ยังคงอยู่แม้ของบางส่วนจะถูกขนย้ายไปแล้วแต่ภาพที่เขากำลังเห็นมันก้ยังคงชัดเหลือเกินเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริง



“มากินข้าวได้แล้ว อย่าเอาแต่ทำงานสิพี่”



“ฮัลโหล นี่เห็นคุนไหมเนี่ย เอาแต่ทำงานคุยละ ฮัลโหล คุนอยู่นี่นะครับ”



“พี่ดาร์กคุนว่าก่อนจะไปซื้อบ้านใหม่อะเราเอาเงินไปซื้อโซฟาดีๆได้ไหม? นั่งที่โต๊ะกินข้าวดูทีวีคุนซบพี่ไม่ได้เลย”



ภาพเหล่านั้นมันทำให้ทรงจำยิ้มออกแต่แล้วภาพทุกอย่างก็ถูกตัดออกไปจากหัวของเขาและถูกทดแทนด้วยคำถามที่ว่า ‘พี่ดาร์กไม่รักคุนแล้วเหรอ?’ ไม่รู้ว่าคุนยังคงคอยตะโกนถามเขาอยู่หรือว่าเขาไม่เคยลบคำพูดนี้ออกไปจากสมองของเขาได้เลยกันแน่



“รักสิ”



เพราะรักเขาถึงได้หยุดเพียงเท่านี้ถ้าเพียงแค่คุนไม่ใช่คนที่ดีและเป็นคนที่เขารักผู้หญิงคนนั้นจะไม่สูญเสียเพียงเท่านี้แต่มันจะสำคัญอะไรถ้าเขาตอบว่ารักมันจะเปลี่ยนอะไรได้แบบนั้นเหรอ? แล้วต่อให้เขาบอกว่าเขารักคุนมากขนาดไหนเขาไม่เชื่อเลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะทำให้คุนสามารถให้อภัยกับคนอย่างเขาได้



“พี่ขอโทษ”



ทรงจำรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดผิดที่เปลี่ยนเส้นทางกลับมาที่ห้องนี้เพราะความทรงจำในห้องนี้มันมีมากเกินไปเขาจึงเดินเข้าไปที่ห้องนอนหยิบเอากระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมาเพื่อที่จะเก็บเสื้อผ้าของตัวเองคิดจะกลับไปนอนที่บ้านของเขา แต่เพียงแค่เปิดตู้เสื้อผ้าออกมากเขาก็เจอกับเสื้อผ้าของคุนที่อยู่ในตู้ไม่ว่าจะเป็นชุดนอนชุดไปเที่ยวหรือชุดทำงาน



“บ้าเอ้ย”



ทรงจำพยายามไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าเหล่านั้นและหยิบของตัวเองออกมาเพียงแค่ไม่กี่ชุดแต่แล้วอาจจะเป็นเพราะเขากระชากเสื้อของเขาแรงจนเกินไปทำให้เสื้อของคุนที่ถูกแขวนเอาไว้ข้างๆ หล่นลงมาที่หน้าตู้เสื้อผ้าทรงจำก้มลงเก็บเสื้อเชื้ตตัวนั้นขึ้นมาแค่เพียงได้จับกลิ่นของเสื้อที่เป็นกลิ่นของคุนก็เหมือนจะลอยโดนจมูกของเขาและพอได้กลิ่นใบหน้าของเจ้าของก็เกิดขึ้นมาในสมองเขาหยิบเสื้อนั้นขึ้นมากอดเอาไว้



“พี่ยอมแพ้แล้ว พี่ยอมแล้ว พี่ขอโทษ พี่แพ้แล้ว พี่ขอโทษ”



ทรงจำทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นใช้ตู้เสื้อผ้าเป็นที่พิงใช่ทรงจำรู้ตัวแล้วว่าทั้งหมดที่ทำมาเขาแพ้หมดแล้วเขาไม่ได้ชนะอะไรเลยเพราะเขาเองในตอนนี้ก็มีสภาพที่กำลังจะหายใจไม่ออกเหมือนแม่ของเขาในตอนนั้นใจของเขาก็กำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟแค้นเขารู้แล้วว่าเขาคือผู้แพ้ที่แท้จริ ถ้าเกิดว่ากี้ได้มาเห็นเขาในตอนนี้กี้ก็คงหัวเราเยาะเขาและพูดเต็มปากว่า ‘ฉันเตือนแกแล้ว’



ทรงจำคู้ตัวลงนอนที่พื้นเพราะตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะลุกไปทำอะไรก็ตามที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้เขาหลับตาลงปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาจากดวงตาแม้ว่าทรงจำจะรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงขนาดไหนแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เสื้อเชิ้ตของคุนหลุดออกไปจากอ้อมกอดของเขาแม้ในยามที่เขาหลับเลยสักนิด



“พี่รักคุณนะ”



และคำนี้ก็หลุดออกมาจากปากของทรงจำอยู่ตลอดทั้งคืนเช่นกัน

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 (Rewrite) - 19/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-01-2018 06:44:22
​บทที่ 14 Rewrite

พี่ดาร์กเดินจากไปและไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกสักเท่าไหร่พี่ดาร์กก็ไม่หันกลับมาหาเขา



“คุนลุกขึ้นเข้าบ้านเรากันเถอะลูก”

   

เป็นธรรมสะดุ้งและเกร็งตัวทันทีที่มือของแม่จับลงมาที่ไหล่ของเขาแม่เองก็คงรู้สึกถึงได้คลายมือออกและเปลี่ยนมาเป็นนั่งลงข้างๆ เขาแทน



“แม่ขอละเข้าบ้านเราเถอะนะอย่าเอาแต่นั่งอยู่ตรงนี้เลย”



“แม่เข้าไปก่อนได้เลยครับผมขอนั่งตรงนี้ก่อน”



“นั่งยังไงเขาก็ไม่กลับมาหรอกลูก”



เป็นธรรมใช้เวลาอยู่ที่หน้าบ้านของเขาจนแน่ใจแล้วว่พี่ดาร์กจะไม่กลับมาเขาจึงยอมเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านสิ่งแรกที่อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่ที่ย่างเก้าเข้ามาในห้องรับแขกก็คือภาพข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผ้าตกอยู่ที่พื้นเนื้อข่าวลงเอาไว้เพียงว่าในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตสองคนและเหมือนเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเกิดจากการเลินเล่อของพนักงานที่อยู่ทำโอที



“แม่ทำอย่างนี้ได้ยังไง?”



“แม่กับพ่อต้องการแค่ปกป้องโรงงานนี้เอาไว้เท่านั้น”



“แล้วทำไมแม่ไม่หาทางอื่น”



“ตอนนั้นมันเป็นหนทางเดียวที่พ่อกับแม่กับแม่จะคิดได้”



“เลิกเอาพ่อมาอ้างซะที!! พ่อตายไปแล้วพ่อจะพูดอะไรได้อีก?”



“ก็มันเป็นสิ่งที่พ่อของลูกคิดเหมือนกันตอนนั้นเราจนตรอกเราไม่มีเงินเราติดหนี้และเรามีลูกที่ต้องดูแลคุนคิดว่าพ่อกับแม่อยากเผาทำลายในสิ่งที่พ่อกับแม่สร้างมันขึ้นมาเหรอไง!!”



“โดยการที่แม่ทำร้ายสองชีวิตในนี้นะเหรอแม่เขาตายนะแม่พวกเขาตายและยังเป็นความผิดของพวกเขาไปตลอดชีวิต!!”



“มันเป็นอุบัติเหตุ แม่ แม่พยายามช่วยแล้วพ่อของลูกก็อยู่ในนั้นลูกคิดว่าแม่จะไม่พยายามเชียวเหรอ?



“…”



“คุนถ้าแม่กับพ่อไม่ทำอย่างในวันนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะอยู่รอดและมีวันนี้”



“แต่อย่างน้อยแม่สามารถบอกอะไรก็ได้ขนาดไม่ให้เขาลงข่าวว่ามีสามศพแม่ยังทำได้เลย แต่ทำไมทำไมแม่ยังให้ข่าวแบบนั้นว่าเป็นความผิดพลาดของพ่อกับแม่พี่ดาร์ก”



“แม่ไม่ได้ให้ข่าวมันเป็นการสันนิษฐาน”



“มันจะต่างอะไรกับแม่ให้ข่าวในเมื่อแม่ก็ไม่ได้แก้ข่าวให้ถูกต้อง”



“แล้วจะให้แม่ทำยังไงให้ไปบอกพวกเขารึไงว่าไม่ใช่ค่ะแต่มันเป็นฝีมือของดิฉันเองแบบนั้นเหรอ? แล้วการตายของลูกพ่อก็ต้องตายเปล่าแบบนั้นรึไง?”



“แม่คิดว่าพ่อจะภูมิใจรึไงที่ต้องเสียสละแบบนี้?”



“ภูมิใจไม่ภูมิไม่รู้ รู้แต่ว่ามันก็แผนของเขาด้วยเหมือนกัน!!”



“แล้วทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเกี่ยวกับเรื่องของพ่อ?”



“แม่ไม่อยากจำเรื่องราวในวันนั้น”



“แม่ทำแบบนั้นกับผมได้ยังไง? แม่เอาความสบายใจของตัวเองและลืมว่าผมต้องรู้เรื่องของครอบครัวได้ยังไง? นั้นพ่อผมนะ”



“แม่รับไม่ได้ที่จะต้องตอกย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมวันนั้นแม่ถึงต้องเสียพ่อไป”



“แค่แม่พูดออกมาว่าแม่ทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวแม่เองก็พอแล้วแม่เลิกอ้างผมอ้างพ่อสักทีเถอะครับ!!”



เพี้ย ฝามือของแม่ฟาดลงที่หน้าทางด้านซ้ายของเขาตั้งแต่เล็กจนโตไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกตีแต่นี่เป็นครั้งแรกที่แม่เลือกที่จะตบลงมาที่หน้าของเขา



“แค่แม่ไม่ได้เป็นคนที่ต้องตายในวันนั้นไม่ใช่ว่าแม่จะผิดเพียงคนเดียวพ่อที่คุนรักและเทิดทูนหนักหนาก็เป็นคนวางแผนนี้ด้วยตัวเองมันผิดแค่เขาต้องจบชีวิตในวันนั้นและทิ้งให้แม่ยังอยู่ตรงนี้อยู่เพื่อให้คุนมาต่อว่า”



“…”



“คุนต้องการเรียกความยุติธรรมให้กับคนพวกนั้นให้กับคนที่เพิ่งทำลายเราทุกอย่างจนบ้านจะไม่มีจะอยู่ดูซะดูให้เต็มตาว่าคนที่คุนพยายามหาความยุติธรรมซึ่งมันผ่านมาแล้วเขาได้ทำอะไรไว้บ้าง”



แม่โยนเอกสารทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใส่หน้าเขาเอกสารเหล่านั้นต่างกระจายไปตามพื้นแค่เพียงมองผ่านเป็นธรรมก็เห็นพวกสัญญาซื้อขายหลายอย่างที่เขาไม่เคยคุ้นตามาก่อน



“โรงเรียนของคุนโรงงานแห่งใหม่ของเราแม้กระทั่งบ้านที่เราสองคนกำลังยืนอยู่นี้มันก็เอาไปขายต่อให้คนอื่นหมดแล้ว”



“ไม่จริง”



“มันคือเรื่องจริงคนทุกคนก็ตายไปแล้วเลิกเอาเวลามาหาเรื่องยุติธรรมแล้วเอาเวลามาแก้ปัญหาพวกนี้ก่อนจะดีไหม! พรุ่งนี้จะนอนที่ไหนกันยังไม่รู้เลย”



“…”



“แล้วถ้าเก่งและทางออกได้ดีกว่าการเผาโรงงานในวันนั้นคุนก็ลองทำให้แม่ดูหน่อยแล้วกันว่าวันนี้คุนจะแก้ปัญหาพวกนี้ยังไง”



แม่เดินกลับไปทางด้านบนเหลือเพียงเขาที่ยังยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเอกสารทั้งหมดตรงหน้าเขาจึงก้มเก็บรวบรวมทีละแผ่นมองดูที่พื้นให้แน่ใจว่าไม่เหลืออะไรอยู่ทางด้านล่าง เมื่อเขาพาตัวเองขึ้นมาบนห้องเขาก็เอาเอกสารทั้งหมดมาแยกออกและเริ่มดูอย่างละเอียดเรื่องแรกที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือเรื่องบ้านมันจะเป็นไปได้หรือไงที่พี่ดาร์กจะสามารถทำให้เขาไม่มีแม้กระทั่งที่จะอยู่เท่าที่คบกันมาหลายปีแม้ว่าพี่ดาร์กจะโกรธครอบครัวเขาขนาดไหนก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้



แต่แล้วเป็นธรรมก็ต้องยอมจำนนกับเอกสารตรงหน้าและยอมรับว่าพี่ดาร์กทำได้เพราะบ้านหลังนี้ได้ถูกขายขาดไปให้กับบุคคลอื่นเพราะว่าทางเราไม่สามารถชำระเงินตามใบสัญญาขายฝากในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ได้



“ปลอม ของปลอมแน่ๆ”



มันอาจจะเป็นเอกสารของปลอมที่พี่ดาร์กทำขึ้นมาเพื่อให้แม่ตกใจเพราะเท่าที่เขาจำได้บ้านหลังนี้เขาให้พี่ดาร์กเอาไปเข้าธนาคารและเขาก็มั่นใจว่าเขาเห็นสัญญาเงินกู้ของธนาคารแบบนี้เรื่องขายฝากจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไง



แต่ทางเดียวที่จะรู้ได้คือการไปเช็คที่ธนาคารดังนั้นเป็นธรรมจึงจะไปที่ธนาคารเพื่อเช็คเรื่องบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเรื่องบ้านจบลงเขาจึงเริ่มดูสิ่งที่ข้องใจเรื่องต่อไปนั้นก็คือเรื่องโรงงานแห่งใหม่เขาต้องการดูสัญญาว่าสรุปแล้วมันกำลังจะตกไปอยู่ในมือของใคร



จากเอกสารมันยืนยันว่าโรงงานแห่งนี้ถูกขายออกไปแล้วจริงโดยที่การขายถูกแยกออกเป็นสองส่วนอุปกรณ์ในโรงงานถูกขายไปให้โรงเหล็กแต่ที่ดินถูกขายต่อไปให้นายหน้าโดยมีลายเซ็นท์ของเขาเป็นคนมอบอำนาจทั้งหมดนี้ให้กับพี่ดาร์กเป็นผู้ดำเนินงานแทนเขากำกระดาษการซื้อขายแน่นทำไมความไว้ใจของเขามันถึงได้ถูกเอามาเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเองแบบนี้



แม้ข้อมูลที่เจอจะให้เป็นธรรมอยากเลิกหาข้อมูลมากเท่าไหร่แต่ส่วนลึกในใจเตือนเขาเสมอว่าเขาไม่สามารถหยุดเพียงเท่านี้เขาพยายามค้นหารายละเอียดการเงินของโรงงานซึ่งเขาเชื่อว่ามันต้องอยู่ในกองเอกสารเหล่านี้และเขาก็เจอรายรับรายจ่ายของแบงค์ที่หายไปเมื่อเช้าเงินที่อยู่ในนั้นถูกถอดออกไปจนเกือบหมดตั้งแต่สองเดือนก่อนหน้า



‘เรื่องชดใช้ สัญญาชดใช้’ เป็นธรรมไม่รู้ว่าเขาควรที่จะรู้สึกอย่างไรดีเมื่อเห็นว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ถูกถอนไปเพราะพี่ดาร์กอยากเอาไปใช้ส่วนตัวแต่ส่วนใหญ่หมดไปกับการจ่ายชดใช้ให้กับพนักงานที่ต้องโดนให้ออกจากงานจากโรงงานแห่งใหม่ดูได้จากหลักฐานการจ่ายเงินให้กับพนักงานที่ยอมออกตามข้อเสนอพร้อมทั้งลายเซ็นของพนักงานเหล่านั้น



‘สัญญาขายหุ้นของโรงเรียน’ แต่แล้วคำตอบว่าเป็นธรรมควรเสียใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ตีเข้าแสกหน้าของเขาเมื่อสิ่งที่ถูกแนบมาในหน้าถัดไปมันเป็นสัญญาซื้อขายหุ้นของโรงเรียนโดย ณ ตอนนี้เขามีหุ้นเหลืออยู่เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ส่วนที่เหลือถูกขายไปสู่มือคนอื่น



ทำไมโรงเรียนถึงถูกขายหุ้นออกไปได้ในเมื่อมันติดสัญญากับแบงค์อยู่ไม่ใช่เหรอ? เป็นธรรมใช้มือที่เต็มไปด้วยเหงื่อหาเอกสารการกู้ที่พี่ดาร์กบอกว่าเรามีเครดิตดีและธนาคารไว้ใจเราถึงได้กู้ได้เร็ว



“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”



แต่ไม่ว่าเขาจะหาเท่าไหร่เขาก็หารายละเอียดการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารไม่เจอและที่สำคัญในใบรายงานของไตรมาสที่ผ่านมาพร้อมทั้งบัญชีของโรงงานและโรงเรียนกลับไม่มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแต่อย่างใดเขาไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่าอย่างไรมีเพียงอย่างเดียวที่เขารู้ก็คือการค้าขายที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้องงั้นเรื่องบ้านที่ถูกฝากขายก็คงเป็นตามเอกสารที่เขาเห็นบ้านคงไม่ได้ไปตกอยู่ในมือของธนาคารตามที่เขาเคยรับรู้มาดีนะที่รู้ตั้งแต่ตอนนี้ถ้าตอนเช้าเขาไปธนาคารพร้อมกับสัญญาเอาบ้านเข้าจำนำเขาคงขายหน้ากับพนักงานว่าเอกสารปลอมเหล่านั้นทำไมเขาถึงโง่ดูไม่ออก



“ฮัลโหลแจง”



“ว่าไงคุน? เป็นยังไงบ้าง?”



“ก็โอเค”



“แจงเราขอรบกวนคุยกับพี่ชายของแจงหน่อยได้ไหม? พี่เขาอยู่บ้านรึเปล่า?”



“พี่จูนอะนะ?”



“อืม”



“แป้ปนะเดี๋ยวเราเอาโทรศัพท์ไปให้ ว่าแต่คุนมีอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหม?”



“เรามีเรื่องอยากปรึกษาพี่เขาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายนิดหน่อย”



“โอเคๆ”



แจงเหมือนจะรู้ว่าเขามีเรื่องร้อนใจเพราะด้วยเสียงที่ตะโกนเรียกพี่ชายพร้อมกับเสียงเดินเร็วๆ อย่างน้อยการกระทำนั้นของแจงมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขายิ้มได้ในรอบวันและใช้เวลารอสายไม่นานเขาก็ได้คุยกับพี่จูน



“ว่าไงคุน?”



“สวัสดีครับพี่จูนผมขอรบกวนปรึกษาเรื่องกฎหมายสักหน่อยได้ไหมครับ?”



“ได้สิ”



 “ถ้าการขายฝากมันขาดไปแล้วผมทำอะไรได้บ้างครับพี่?”

 

 “เขาขายของที่เราไปขายฝากออกตลาดไปยัง?”

 

“ยังครับ”



“ก็ยังถือว่าเราโชคดีติดต่อเขาแล้วก็ขอต่อรองจ่ายค่าดอกเบี้ยหรืออะไรก็ว่าไป”



“แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนทำสัญญานั้น?”



“พี่งงคุนกำลังพูดอะไร”



“คือถ้าสัญญานั้นมันไม่ใช่ความตั้งใจของผม”



“คุนก็ต้องไปพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่ใช่ลายเซ็นท์คุนหรือว่าถูกบังคับอะไรแบบนั้น”



“ขอบคุณมากนะครับพี่”



“มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะคุน”



“เท่านี้ก็รบกวนพี่มากแล้วครับ ขอบคุณนะครับพี่”



 รูปหน้าจอที่ปรากฎขึ้นทำให้เขา ต้องตั้งคำถามกับภาพนั้นว่าที่ผ่านมา ‘พี่ดาร์กเคยรักเขาบ้างไหม?’

 

เป็นธรรมทิ้งตัวพิงกับพนักเก้าอี้ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าเขาเป็นเพียงคนโง่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเอะใจอะไรสักเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อคนหรือเรื่องของพี่ดาร์กที่เขาเป็นคนเปิดรับให้เข้ามาในชีวิตเข้ามาทำร้ายเขาและแม่



เป็นธรรมปัดเอกสารทั้งหมดลงจากโต๊ะฉีกทำลายมันทิ้งเพราะไม่อยากเห็นพวกมันอีกแล้วหมดแล้วตอนนี้เขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้วขนาดโรงเรียนที่เขารักที่สุดยังพังลงด้วยน้ำมือของคนที่เขารักด้วยความโง่ของเขาเองน่าสมเพชที่สุด



“ในเมื่อถ้าพี่เห็นคุนล้มและมันจะสามารถชดใช้ในเรื่องพ่อกับแม่ของพี่คุนก็จะทำให้” ถ้าการที่เขาจะไม่เหลืออะไรจะเป็นหนทางเดียวที่จะชดใช้ให้พี่ดาร์กเขาก็จะทำ           



 สว่างคาตามันเป็นยังไงเป็นธรรมเพิ่งรู้ในวันนี้นี่เองตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้เขายังไม่ได้ขยับไปไหนจากโต๊ะทำงานและคงยังไม่ขยับตัวไปอีกนานถ้าเกิดไม่ได้ยินเสียงของแม่กำลังเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องนอน



“คุนเปิดประตูให้แม่หน่อย”



“…”



“คุน”



“ผมอยากอยู่คนเดียว”



และตลอดสองวันที่ผ่านมาเป็นธรรมก็ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้แพ้ตามที่พี่ดาร์กต้องการตื่นเช้ามาเขาไม่ลุกขึ้นจากเตียงจนกว่าจะหิวและถึงเขาจะไม่ออกจากห้องแต่ก็จะมีจานข้าวมาวางเอาไว้ให้ที่หน้าประตูห้องนอนเขาก็แค่เดินออกไปหยิบจานข้าวมากินและก็เดินออกเอาไปวางไว้ที่เดิมตอนอิ่มและเขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้เขาอยู่แบบนี้จากคืนเป็นวันจากวันเป็นอาทิตย์จากอาทิตย์เป็นเดือนจนเขาพบความจริงการอยู่ในห้องโดยที่ไม่ออกไปมันทำให้เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่จะทำลายความสุขของเขาอีกเพราะตอนนี้เขากำลังมีความสุขอยู่ในมุมของเขา



“ถ้าคุนไม่เปิดแม่ก็มีกุญแจที่จะไขเข้าไปได้คุนรู้ใช่ไหม? แม่ให้เวลาคุนมานานแล้ว”



“ผมอยากอยู่คนเดียว”



“คุนจะมานั่งหมดอะไรตายยากไม่ได้นะ เราจะไม่มีบ้านจะอยู่กันแล้ว”



“...”



“คุนอย่ามาทำเงียบใส่แม่นะ อย่ามาทำตัวอ่อนแอในเวลาแบบนี้!!”



 เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมไขกุญแจนั้นเข้ามาในห้องแม่เดินมาที่โต๊ะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทีเต็มไปด้วยรูประหว่างเขากับพี่ดาร์กที่ถ่ายด้วยกันมาตลอดหลายปีเสียดายที่ปีหลังๆ มานี่เขาเองก็ไม่ได้เอารูปที่อยู่ในเครื่องไปล้างเพราะไม่ค่อยว่างเลยจึงไม่ค่อยมีรูปปัจจุบัน



“อย่าแม่ อย่ายุ่งกับรูปของผม”



โดยไม่มีการบอกกล่าวแม่หยิบกองรูปโกยรูปมันลงถังขยะทั้งหมดเขาจึงต้องขุ้ยมันออกมาจากถังขยะที่แม่ขย้ำและทิ้งมันลงไป



“พอได้แล้ว เลิกเพ้อถึงคนนี้ได้แล้วเขาโกหกเราขนาดนี้คุนจะยังไปใส่ใจเขาทำไม?”



“...”



“ก็บอกให้พอไงก็เพราะเป็นแบบนี้ถึงไม่เคยทันอะไรเขาเลย!!”



เป็นธรรมไม่ทำตามที่แม่สั่งเขายังก้มหน้าก้มตาเพื่อรีดรูปที่ยับนั้นให้เรียบและเมื่อเขาไม่ยอมทำตามแม่ก็มากระชากรูปเหล่านั้นมออกไปจากมือของเขาอีกครั้งและครั้งนี้ความอดทนของเขาก็หมดลง



“ใช่คุนไม่เคยรู้เลยว่าใครหลอกอะไรคุนบ้างขนาดเรื่องพ่อของตัวเองคนอื่นยังรู้ดีกว่าคุนที่เป็นลูกเลย!! คนอื่นยังรู้เลยว่าพ่อตายยังไงเมื่อไหร่ส่วนตัวคุนยังทำบุญให้พ่อผิดวันอยู่เลย”



“คุน”



“แล้วแม่จะให้คุนทำยังไง? จะให้คนโง่คนนี้ทำยังไงทั้งชีวิตคุนก็โดนหลอกมาตลอดและแม่อยากได้อะไรจากคุน จะทำอะไรได้อีกแม่บอกคุนสิแม่บอกให้คุนฉลาดทีสิบอกคุนที”



“คุน ลูกแม่”



“คุนมันโง่มากเลยใช่ไหมแม่? คุนโง่มากเลยใช่ไหม? ใครๆก็หลอกคุนได้เพราะคุนมันโง่ใช่ไหม?”



“แม่ แม่ขอโทษลูกแม่ขอโทษ”



แม่รวบตัวเขาเข้าไปกอดและพร่ำบอกขอโทษเขาเองก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่เมื่อความเหนื่อยล้ามาถึงขีดสุดเขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนตัวเองได้อีกต่อไปเขาทิ้งตัวนอนลงในอ้อมกอดของแม่ แม่เดินไปลากเอาผ้านวมหมอนและผ้าห่มสำรองในตู้ออกมากองกันกับพื้นที่เขานั่งอยู่ให้เขานอนลงบนผ้านวมแม่ห่มผ้าให้เขาเหมือนยังเป็นเด็กแล้วค่อยเดินออกไปก่อนออกไปจากห้องแม่กระซิบบอกว่าให้เขาพักให้สบายและแม่จะดูแลทุกอย่างเอง



ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็เป็นสีส้มสีของช่วงเวลาในตอนเย็นเขาคงหลับไปนานและเมื่อได้พักอย่างเต็มอิ่มสมองก็เริ่มโล่งเขาก็คิดว่าเขาควรต้องจัดการห้องนี้สักหน่อยแต่อื่นใดน้ำที่ไม่ได้อาบมาทั้งอาทิตย์ตอนนี้มันเริ่มส่งกลิ่นให้เขารู้ตัวแล้วว่าเขาควรจะจัดการกับตัวเองก่อนห้อง



“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”



“คุณสุวรรณี”



หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็เก็บที่นอนที่ถูกกองเอาไว้ที่พื้นในตอนนั้นเองที่เสียงจากคนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องก็ดังขึ้นพอได้เห็นหน้าเขาก็รู้สึกแปลกใจเพราะเป็นบุคคลที่เขาคาดไม่ถึง



“คุณเป็นธรรมคงไม่ถือที่ดิฉันขอคุณธิดาเข้ามาในห้องของคุณแบบกะทันหันแบบนี้”



“คุณสุวรรณีพูดธุระเลยดีกว่าครับ”



ความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นกลับกลายมาเป็นความตึงเครียดอีกครั้งจากเอกสารที่เขาเห็นถ้าคาดไม่ผิดเขาค่อนข้างมั่นใจว่าคุณสุวรรณีก็เป็นหนึ่งในทีมของพี่ดาร์ก



“คุณเป็นธรรมมองดิฉันด้วยสีหน้าแบบนั้น ก็แสดงว่าคุณเองก็คงพอจะคิดอะไรออกแล้วใช่ไหมคะ?”



“เขายังต้องการอะไรจากผมอีกเหรอครับคุณถึงยังไม่ลาออก? คนที่เหลือเขาก็ออกไปหมดแล้วอ่อ ยังเหลือโรงงานหลักอีกที่นึงตอนนี้เขาเริ่มอยากจะขายโรงงานนั้นแล้วรึครับ?”



“ดิฉันดีใจนะคะที่ในที่สุดคุณก็เริ่มตื่นตัวสักทีก่อนที่คุณจะอยากรู้ว่าคุณทรงจำอยากได้อะไรคุณดูก่อนดีไหมว่าคุณธิดากำลังทำอะไรอยู่?”



“แม่?”



“ในช่วงที่คุณเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแม่ของคุณไปกู้เงินนอกระบบมาซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าแม่ของคุณจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรแต่ดิฉันเป็นคนทำเอกสารและเห็นมันดิฉันก็เลยแค่จะมาบอกให้คุณทราบ”



“คุณมาบอกผมทำไม?”



“ดิฉันยังคงอยู่ในตำแหน่งเลขาของคุณเพื่อคุณจะลืมไปว่าดิฉันยังได้รับเงินเดือนจากตรงนี้อยู่”



“ผมต้องการไล่คุณออก”



“กลัวรึคะ? กลัวดิฉันจะทำอะไรเหรอคะคุณเป็นธรรม? คุณยังเหลืออะไรให้ทำลายอีกเหรอคะ?”



“เชิญคุณออกไปจากบ้านของผมแล้วผมจะส่งจดหมายเชิญออกตามไปทีหลัง”



“เอาละคะวันนี้ดิฉันก็มาแค่เรื่องนี้หวังว่าคุณจะพอมีความสามารถจัดการมันได้เพราะถ้าคุณคิดให้ดีคุณก็รู้ใช่ไหมคะว่ากู้เงินนอกระบบมันเป็นยังไง? และนี่บัญชีรายจ่ายที่ไม่มีรายรับของโรงงานในช่วงเดือนนี้ค่ะดิฉันทำสรุปให้แล้วค่ะ”



“เชิญ”



“อีกอย่างเพื่อคุณจะลืมไปดิฉันเป็นคนที่เตือนคุณให้ดูรายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งบัญชีตั้งแต่หลายเดือนที่แล้ว แต่ก็เป็นคุณเองที่ไม่สนใจมันเพราะฉะนั้นจะบอกว่าดิฉันอยู่ฝ่ายคุณทรงจำอย่างเดียวเลยก็คงจะดูเป็นข้อกล่าวหาที่มากเกินไปและ…”



“…”



“คุณทรงจำไม่ต้องทำอะไรเพิ่มหรอกค่ะเพราะถ้าคุณยังเป็นแบบนี้โรงงานที่ยังมีอยู่ที่แม่ของคุณก็แลกมันมาด้วยน้ำตาของคุณเดี๋ยวมันก็หายไปด้วยมือของคุณเองนั้นแหละค่ะ”



“เชิญ”



“ดิฉัน ลาค่ะ”



ก่อนออกไปคุณสุวรรณีได้ทิ้งเอกสารที่เกี่ยวกับการกู้เอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียงเมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเมื่อสามวันก่อนแม่ไปกู้เงินนอกระบบมาจริงด้วยจำนวนเงินที่เป็นหลักล้านแต่จากรายงานของบัญชีเงินนั้นก็ไม่ได้ถูกนำเข้าไปใช้ที่โรงงานแล้วมันถูกใช้ไปกับอะไร?



เป็นธรรมเดินออกมาจากห้องเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์เขาเดินลงมาทางด้านล่างของบ้านเพื่อจะพูดคุยกับแม่เกี่ยวกับเงินกู้นั้นแต่เขาก็ไม่เจอเขาจึงเดินย้อนกลับไปทางด้านบนทางที่จะไปฝั่งห้องนอนของแม่ต้องผ่านห้องพระห้องที่เก็บกระดูกของพ่อเอาไว้ประตูห้องพระถูกแย้มเปิดอยู่เขาเลยเดินเข้าไปหมายจะปิดประตูให้สนิทแต่ภาพที่เขาเห็นก็คือแม่กำลังนั่งหันหน้าเข้ากับโต๊ะที่ใส่อัฐิของพ่อ



“ฉันเหนื่อยเหลือเกินคุณลูกก็ไม่ฟังฉันเลยบ้านก็กำลังจะเสียไปโรงงานก็กำลังแย่ฉันไม่ไหวแล้วคุณฉันไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไปถ้าเหตุการ์ณในวันนั้นมันเป็นฉันก็ยังจะดีเสียกว่าคุณน่าจะดูแลเรื่องในวันนี้ได้ดีกว่าฉัน”



ภาพและเสียงของแม่ทำให้เป็นธรรมชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับถอยหลังเดินออกมาเหตุการณ์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดว่าเขาคือคนที่เสียใจมากที่สุดมาในวันนี้เขารู้แล้วว่าในการสูญเสียยังมีแม่ที่ยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดและเขากำลังปล่อยให้แม่ต้องต่อสู้ทุกอย่างเพียงคนเดียวทั้งที่จริงแล้วแม่วางมือเรื่องธุรกิจมานาน ก็จริงอย่างที่คุณสุวรรณีพูดถ้าเขายังอยู่แบบนี้พี่ดาร์กไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มโรงงานที่ยังเหลืออยู่มันก็คงจะหายไปในวันข้างหน้า



เป็นธรรมกลับมาที่ห้องของตัวเองเก็บรูปเหล่านั้นที่เขาหวงแหนหนักหนาเข้ากล่องและเริ่มเอาเอกสารที่ถูกฉีกและขย้ำมาต่อเรียงให้เรียบร้อยเขาเริ่มดูทุกรายละเอียดอีกครั้งเป็นธรรมหยิบเอาสมุดจดขึ้นมาเพื่อลิสขั้นตอนว่าเขาต้องทำอะไรแล้วทำดอกจันทร์เอาไว้หน้าเรื่องที่สำคัญที่สุด



“พี่สอนนะจำบ้างเวลาคิดอะไรออกให้จดเอาไว้ไม่จำเป็นต้องเรียงก็ได้แล้วค่อยเอาปากกาเน้นหรือทำดอกจันทร์ว่าอะไรสำคัญมัวแต่คิดไม่เขียนสักทีเดี๋ยวก็ลืม”



“โธ่ ก็คุนอยากให้มันเป็นระเบียบนิ ค่อยๆ เรียงไม่ต้องรีบก็ได้”



ภาพซ้อนที่พี่ดาร์กเคยสอนตอนทำแผนงานของโรงเรียนเขามักเถียงเรื่องพวกนี้กับพี่ดาร์กอยู่เสมอเพราะเขาเป็นคนไม่ชอบเขียนและลบจึงคิดให้ดีก่อนจะเขียนแต่พี่ดาร์กจะเป็นคนเขียนทุกอย่างลงไปแล้วค่อยขีดทิ้งถ้าไม่เอาหรือไม่ดีน่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเชื่อพี่ดาร์กเลยแต่วันนี้เขากลับนำเอาวิธีนั้นมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว



“ก็หวังว่าที่พี่สอนคุนในตอนนั้นมันจะเป็นวิธีที่ใช้ได้จริงแล้วกัน”



TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 (Rewrite) - 19/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-01-2018 07:07:43
บทที่ 15 Rewrite

หลังจากลิสรายการที่ต้องทำเป็นธรรมก็คิดว่าเขาควรทำเรื่องบ้านเป็นเรื่องแรกเช้าวันใหม่เขาจึงตั้งใจติดต่อคนที่ถือกรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้และสิ่งเดียวที่จะเป็นหนทางให้เขาติดต่อได้ก็คือเบอร์โทรที่ถูกติดเอาไว้หน้าบ้าน
เป็นธรรมออกไปที่หน้าบ้านเพื่อไปหาเบอร์โทรเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังโวยวายกันอยู่ที่หน้าประตูรั้วจ้องมองดีๆ ก็คือป้าแม่บ้านที่กำลังยืนเถียงกับผู้ชายที่ยืนถือแผ่นป้ายอะไรบางอย่างอยู่เขาจึงรีบวิ่งออกมาที่รั้วบ้าน

“เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“คุณ!! ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณเข้าไปในบ้านเถอะค่ะเดี๋ยวตรงนี้ป้าจัดการเอง”

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

ในเมื่อถามป้าแม่บ้านแล้วไม่ได้คำตอบเป็นธรรมจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปถามหารายละเอียดกับชายอีกคนแทน และก็ดูเหมือนว่าต่อให้เขาไม่เอ่ยปากถามคนนั้นก็พร้อมที่จะบอกอยู่แล้ว

“ผมเจอคุณก็ดีเลยจะได้แจ้งทีเดียวอย่าให้คนของคุณมาคอยแกะป้ายพวกนี้สิพวกผมต้องมาเสียเวลาติดใหม่”

“คุณทำงานให้กับคนที่เป็นเจ้าของป้ายนี้เหรอครับ?”

“ก็ใช่นะสิ แล้วพวกคุณก็ขยันแกะกันเหลือเกิน”

“งั้นผมขอติดต่อเจ้านายของคุณโดยตรงเลยได้ไหมครับ?”

“เบอร์ของเขาก็ที่ป้ายนั้นคุณก็โทรไปสิ”

“ขอบคุณครับ”

“อย่าให้เขาติดนะคะคุณนายต้องออกมาคอยปลดออกทุกวันเลยค่ะและป้าเองก็ไม่อยากโดนท่านตำหนิอีกแล้วค่ะ”

“ได้ครับป้า”

   เมื่อเรื่องตรงหน้าเคลียร์เรียบร้อยเป็นธรรมจึงต่อสายถึงเจ้าของเบอร์ทันทีเสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งทางนั้นก็รับสาย เสียงที่รับโทรศัพท์เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคน

“สวัสดีค่ะ”

“ครับสวัสดีครับผมชื่อเป็นธรรมไม่ทราบว่าผมกำลังพูดกับคุณ?”

“ดิฉันสมใจค่ะ”

“สวัสดีครับคุณสมใจผมโทรมาเรื่องบ้านเลขที่ 15 ในตัวหมู่บ้านฮันติ้งวันเลย์ครับไม่ทราบว่าคุณสะดวกคุยไหมครับ?”

“บ้านหลังนั้นสะดวกค่ะ”

“ผมอยากจะขอซื้อบ้านหลังนี้คืนครับ”

“เกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายคุณธิดาเป็นคนโทรมาแล้วหลายครั้งค่ะ ยังไงดิฉันก็ต้องขอยืนยันคำเดิมนะคะว่าดิฉันไม่สามารถทำการขายบ้านหลังนี้ให้พวกคุณได้จริงๆ”

“ถ้าคุณเกิดมีเวลาผมอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเล็กน้อยครับได้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?”

“เกี่ยวกับเรื่องบ้านหลังนั้นดิฉันพอทราบมาบ้างค่ะแต่แม้ว่าดิฉันจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่เกิดขึ้นกับพวกคุณแล้วก็ตาม”

“ผมขอถามถึงเหตุผลได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงไม่ต้องการขายคืนให้กับทางเราหมายถึงคุณมีความคิดที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในวันข้างหน้าหรือครับ?”

“เรื่องย้ายไปที่นั้นมันไม่ได้อยู่ในโครงการของดิฉันเลยค่ะดิฉันเองก็มีอายุพอสมควรจะให้ปรับตัวให้เข้ากับที่ใหม่ดิฉันว่ามันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ถ้าอย่างนั้น?”

“บ้านหลังนั้นมีคนเขาฝากฝังให้ดิฉันคอยดูแลแทนชั่วคราวค่ะ ดิฉันก็เลยต้องทำตามความต้องการของบุคคลนั้น”

“เดี๋ยวนะครับ งั้นก็หมายความว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของคุณแต่คุณเป็นนายหน้าดูแลแทนใช่ไหมครับ?”

“ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆ จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ”

“งั้นผมขอรบกวนช่องทางการติดต่อของเจ้าของบ้านหลังนี้โดยตรงได้ไหมครับ?”

“ถึงเวลาคุณก็จะสามารถติดต่อเขาได้เองค่ะ”

“แต่ผมค่อนข้างร้อนใจในเมื่อคุณสมใจทราบเรื่องทุกอย่างแล้วผมหวังว่าคุณคงพอเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องการคุยกับเจ้าของบ้านคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

“เอาเป็นว่าดิฉันบอกได้แค่ว่าคุณยังคงอยู่บ้านหลังนั้นได้เสมอค่ะ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอวางสายนะคะ”

“เดี๋ยวครับในเมื่อคุณบอกว่าผมมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ได้ถ้าผมยังไม่มีที่ไปผมคงใช้สิทธิ์นั้นเช่าจนกว่าผมจะสามารถติดต่อกับคนที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงได้”

“ได้ค่ะ”

“งั้นเรื่องค่าเช่าและสัญญา?”

“อ่อพูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ลงตัว ยังไงซะถ้าเรื่องเอกสารพร้อมเมื่อไหร่ ดิฉันจะให้คนติดต่อไปนะคะ”

“งั้นก็เท่ากับว่าผมมีสิทธิ์ได้เช่าบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหมครับ?”

“ค่ะ”

“งั้นผมถือว่าผมได้รับการยืนยันที่จะเช่าอยู่ที่นี่แล้ว การคุยนี้ผมอัดเสียงเอาไว้นะครับ เพราะฉะนั้นผมขอให้คุณเลิกเอาป้ายให้เช่ามาติดไว้ได้ไหมครับ? คือผมเองก็ไม่เห็นข้อแตกต่างระหว่างที่จะติดหรือไม่ติดเพราะยังไงตอนนี้คุณก็มีผมเป็นผู้เช่าอยู่แล้ว”

“ได้ค่ะเรื่องนี้ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย สวัสดีค่ะ”

   สายถูกตัดไปแล้วแต่เป็นธรรมรู้สึกเหมือนเขายังไม่ได้คำตอบที่เขาอยากได้เลยสักข้อ เช่น ทำไมถึงไม่สามารถขายคืนให้กับเขาได้ทั้งๆ ที่ก็ไม่คิดที่จะเข้ามาอยู่ ทั้งเจ้าของตัวจริงจะเป็นคนติดต่อมาเองถ้าคนนั้นต้องการนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันที่สำคัญจะมาติดป้ายให้เช่าทำไมถ้าเขายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้เรื่อยๆ เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด

“นี่พวกมันยังมาติดอยู่อีกเหรอ?”

“แม่”

“คุนดีเลยมาช่วยแม่เอาลงเร็ว”

“เดี๋ยวครับแม่ ใจเย็นๆ เดี๋ยวคุนปลอดเองและต่อไปนี้เขาจะไม่มาติดแล้วครับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ลูกคุยกับเขาแล้วเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นคุยยากมากแม่พยายามพูดคุยก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

“คุนขอเขาเช่าแล้วครับตอนนี้เราคงต้องเช่าไปก่อน”

“รู้ถึงไหนอายถึงนั้น ต้องมาเช่าบ้านที่เป็นของตัวเองอยู่”

“ไว้คุนจะคุยกับทางนั้นอีกทีนะครับ”

   เสร็จจากเรื่องบ้านเป็นธรรมก็บึ่งตรงมาที่โรงงานสภาพที่โรงงานไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคิดในตอนแรกก่อนที่จะมาถึงเขาคิดว่าโรงงานคงจะเงียบแต่กลายเป็นว่าโรงงานเล็กๆ แห่งนี้กลับถูกเบียดไปด้วยเครื่องจักรที่มาใหม่และกลายเป็นว่าคนงานกำลังวุ่นอยู่กับการเร่งผลิตเสื้อให้กับสินค้าอะไรสักอย่าง

   ที่สำคัญตอนนี้คุณสุวรรณียังคงนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมทั้งที่วันก่อนเขาก็บอกความต้องการไปแล้วดังนั้นเขาจึงอยากคุยกับคุณสุวรรณีให้เรียบร้อยก่อนที่จะเรียกหัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่มาเข้าพบเกี่ยวกับเครื่องจักรและสิรค้าที่กำลังผลิตอยู่

“ผมเชิญด้านในด้วยครับ”

“ค่ะ”

จากหางตาเป็นธรรมเห็นว่าคุณสุวรรณีหันไปหยิบเอกสารงานเข้ามาด้วยทำไมนะการที่เขาบอกให้ออกมันทำให้คุณสุวรรณีไม่เข้าใจตรงไหนว่าเขาไม่ได้ต้องการให้ยุ่งกับงานอีกต่อไป    

“เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณค่ะ นี่คือเอกสารที่ผ่านมาทั้งหมดนับตั้งแต่เปลี่ยนมือกลับมาเป็นคุณเป็นธรรมบริหารเองทั้งหมดคนเดียว”

“ผม?”

“ค่ะนี่คือสัญญาตัวจริงที่คุณทรงจำแจ้งโอนหุ้นคืนให้กับทางคุณมีสัญญาการซื้อขายที่ถูกต้องแต่ขั้นตอนมันยังไม่สมบูรณ์เพราะคุณยังไม่ได้เซ็นรับว่าหุ้นตัวนี้คุณได้รับโอนดิฉันเลยเอาเข้ามาเสนอเป็นงานแรกค่ะ”

“พวกคุณกำลังวางแผนอะไรกันเองเท่าที่จำได้ผมไม่เคยขอซื้อหุ้นตัวนี้คืนแล้วอยู่ดีๆ หุ้นตัวนี้มันกลับมาอยู่ในมือผมแค่เพียงผมเซ็นต์ได้อย่างไร?”

“อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะดิฉันแค่ได้รับเอกสารการโอนถ่ายหุ้นมาสู่คุณก็เพียงเท่านั้นก็แค่เซ็นแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสู่มือคุณเหมือนเดิมอันนั้นคือที่ดิฉันรู้”

“พวกคุณต้องการอะไร?”

เป็นธรรมปัดสัญญาหุ้นที่คุณสุวรรณีเน้นหนักหนาว่าเป็นของจริงออกจากตรงหน้าจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาจะยังเชื่อได้อีกเหรอว่ากระดาษใบนี้ไม่ได้มีอะไรอยู่เบื้องหลังจะเป็นไปได้ยังไงที่พี่ดาร์กจะยอมเอาหุ้นโรงงานนี้มาคืนให้เขาฟรีๆ

“ดิฉันต้องการอะไร? ดิฉันแค่ต้องการทำงานให้เสร็จค่ะ”

“คุณก็รู้ดีว่าผมหมายถึงอะไรอีกอย่างถ้าผมจำไม่ผิดผมเคยบอกคุณไปแล้วถึงเจตจำนงว่าผมต้องการให้คุณออก”

“คุณคงต้องการรู้เรื่องนี้จริงๆ น่ะสิคะ? ถ้าคุณไม่รู้คุณคงไม่สามารถก้าวผ่านแล้วเริ่มต้นอะไรใหม่ๆได้เลยใช่ไหมคะ?”

“ครับ ผมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นผมไม่สามารถที่จะก้าวผ่านไปได้ถ้าผมยังไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

“ได้ค่ะ งั้นเรามาคุยถึงเรื่องนี้กัน”

“ผมไม่มีอะไรที่จะต้องคุยเพราะความต้องการเดียวที่ผมมีก็คือการที่ต้องการให้คุณออกจากตำแหน่งของเลขา เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณมีทางเลือกเพียงแค่จะลาออกเองเพื่อรักษาชื่อเสียงและไปทำงานที่อื่นต่อหรือจะให้ผมไล่ออก?”

“งั้นถ้าดิฉันยืนกรานว่าจะไม่ออกคุณเป็นธรรมจะยอมไล่ออกและจ่ายเงินค่าชดเชยให้ดิฉันเหรอคะ?”

“ทำไมผมต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับคนที่ร่วมกันโกงแบบคุณ”

“งั้นก่อนที่ดิฉันจะพูดอะไร หรือออกไปตามที่คุณต้องการ คุณเป็นธรรมต้องการรู้เรื่องอะไรไหมคะ?”

“ก็เรื่องที่ว่าทำไมคุณยังถึงอยู่ที่นี่ถ้าตามความเข้าใจของผมทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างออกไปหมดแล้วและผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมขอไล่คุณออก”

“ดิฉันต้องการอยู่เพื่อที่จะช่วยคุณและดิฉันก็ต้องการที่จะไถ่โทษค่ะ”

“ไถ่โทษ? คุณกล้าพูดมันได้ยังไงทำไมคุณถึงคิดว่าคนอย่างผมต้องให้อภัยคุณ คุณคนที่มาช่วยกันทำลายโรงงานของผมคุณไม่กลัวว่าผมจะจับคุณส่งตำรวจ?”

“คุณมีหลักฐานรึคะ? ถ้าให้ดิฉันเดาคุณทรงจำคงทำทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยจนไม่มีหลักฐานที่เหลือทิ้งไว้แต่ที่คุณรู้ว่ามีใครบ้างที่ร่วมด้วยก็เป็นเพราะคนพวกนั้นลาออกทันทีที่เกิดเรื่องเลยทำให้คุณจับสังเกตได้ดิฉันคิดถูกใช่ไหมคะ?”

“…”

“เอาเป็นว่าดิฉันคงบอกอะไรคุณไม่ได้มากกว่านี้แต่ที่บอกได้อีกอย่างก็คือดิฉันอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจของดิฉันเองไม่ใช่อยู่เบื้องหลังหรือคอยจับตาเพื่อให้ทำร้ายคุณอีกอย่างที่คุณคิดแน่นอน”

“แต่”

“แต่ถ้าคุณไม่เชื่อใจดิฉันดิฉันว่ามันก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องคอยตรวจดูเอกสารให้ดีด้วยตัวของคุณเองแล้วคุณก็จะรู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเสนอมันเป็นของจริงหรือของปลอม อีกอย่างคุณมั่นใจจริงๆ เหรอคะว่าคุณสามารถดูทั้งหมดได้คนเดียวและต่อให้คุณจ้างคนใหม่เขาคนนั้นก็อาจจะต้องมาเรียนรู้ระบบอีกคุณโอเคที่จะคอยสอนงานคนใหม่เหรอคะ? ตอนนี้ดิฉันว่ามันเป็นช่วงเวลาสำหรับการรีบฟื้นฟูจริงไหมคะ?”

   เป็นธรรมยอมรับว่าสิ่งที่คุณสุวรรณีพูดมาถูกต้องทุกอย่างโรงงานอยู่ในช่วงที่ต้องฟื้นกิจการใหม่ทั้งหมดและถ้าเขาจ้างคนที่ไม่เคยทำงานกับเรามาก่อนเพื่อแทนที่ในตำแหน่งของคุณสุวรรณีก็เท่ากับเขาทำงานคนเดียวอยู่ดี

“ก็ถ้าเกิดต่อจากนี้ดิฉันทำให้คุณไว้ใจดิฉันไม่ได้ในตอนนั้นคุณจะไล่ดิฉันออกก็ไม่สายค่ะ”

   เป็นธรรมไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณสุวรรณีพูดออกมานั้นจะเชื่อได้มากแค่ไหนจริงเหรอที่พี่ดาร์กไม่ได้อยู่เบื้องหลังแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกที่มากกว่านี้เขาคงทำได้แค่ยอมรับและระวังตัวให้มากขึ้นแล้วถ้าโรงงานอยู่ตัวเมือไหร่เขาจะให้คุณสุวรรณีออกตอนนั้นก็ไม่สาย

“ตกลงครับ”

เคาะๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เป็นธรรมละสายตาจากเอกสารตรงหน้า

“เข้ามาครับ”

“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นหัวหน้าแผนกการขายชั่วคราวค่ะ เห็นมีคนไปตามบอกว่าคุณเป็นธรรมอยากพบ”

“ครับ เชิญนั่งครับ ผมอยากได้…”

เกาะๆๆ เสียงเคาะประตูดังซ้อนขึ้นมาอีกครั้งแปลกใจนิดหน่อยที่คุณสุวรรณีให้คนเข้ามาเพิ่มทั้งที่น่าจะรู้ว่าเขากำลังคุยงานอยู่

“นี่ค่ะกาแฟที่สั่งแล้วก็พอดีมีโทรศัพท์ด่วนเข้ามาค่ะเป็นคนที่คุณเป็นธรรมบอกว่ารออยู่ตอนนี้รออยู่ในสายแล้วค่ะ”

   ดูท่าแล้วคุณสุวรรณีคงมีเรื่องสำคัญจริงๆ ที่อยากคุยกับเขาถึงขนาดยอมไม่ยกกาแฟที่เขาไม่ได้สั่งและเขาก็ไม่ได้รอโทรศัพท์จากใครเขาเลยต้องไหลตามน้ำและดูว่าอะไรที่เป็นเหตุผล

“งั้นเดี๋ยวยังไงผมจะขอเรียกคุณพบอีกทีนะครับ”

“ค่ะ”

คล้อยหลังของพนักงานผ่านการตลาดออกไปคุณสุวรรณีก็เดินตามเพื่อไปปิดประตูห้องแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เป็นห่วง?

“ดิฉันว่าถ้าคุณยังไม่พร้อมจะทำงาน”

“คุณมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าครับไม่ต้องอ้อมไปมา อย่ามาเสียเวลาการทำงานของผม”

“คุณจะเริ่มงานโดยการที่คุณจะไปถามข้อมูลจากพนักงานเหรอคะ?”

“แล้วมันจะผิดตรงไหน?”

“ก็ถ้าดิฉันเดาไม่ผิดคุณกำลังจะถามเรื่องทำไมเราถึงมียอดเข้ามาให้ทำงานใช่ไหมละ?”

“แล้ว?”

“แล้วคุณคิดว่าการที่คุณจะไปถามแบบนั้นต่อหน้าลูกน้องว่าเรากำลังทำงานให้กับใครมันเป็นเรื่องที่ดีหรือคะที่เจ้านายอย่างคุณไปแสดงตัวว่าไม่รู้อะไรเลย? คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรจากคุณทรงจำมาบ้างเลยหรือคะ? ในช่วงเวลาตลอดการทำงานที่ผ่านมา”

“หยุดนะคุณสุวรรณี!!!”

“ทำไมคะ? คุณทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรืออย่างไรคะ?”

“ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ผมมีวิธีของผมถึงผมจะดูโง่ที่ยอมให้พวกคุณหลอกได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะโง่ไปซะทุกเรื่องแล้วคุณละรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่พูดมาทั้งหมด? ผมยังคงเป็นเจ้านายคุณเผื่อคุณจะลืม”

“ใช่ค่ะ คุณเป็นเจ้านายเจ้านายที่กำลังจะทำอะไรพลาดดิฉันก็เลยต้องห้ามดิฉันไม่อยากให้มันพลาดอีกครั้ง”

“คุณอย่ามาก้ายก้าวแล้วออกจากห้องไปซะและเรื่องที่จะมาช่วยผมดูงานก็ไม่ต้องแล้วผมไม่ต้องการออกไป!!”

“ก็ถ้าตาดาร์คเขาไม่ห่วงคุณและฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่เป็นส่วนนึงในวันนี้ตอนนี้ฉันก็ไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกเลิกไล่ผู้ใหญ่อย่างฉันอย่างกับหมูกับหมาได้แล้ว!!”

“ห่วงคุณพูดออกมาได้ยังไงว่าเขาห่วงผมคุณพูดออกมาได้ยังไงเขาทำกับผมแบบนี้เขาถึงขนาดหลอกให้ผมเดินทางไปเกาหลีและกลับมาเจอกับสิ่งเหล่านี้คุณยังกล้าใช้คำนี้กับผมอีกเหรอแล้วถ้าคุณจะอยู่เพราะใครก็ตามที่ห่วงผมหรือคุณจะรู้สึกผิดมากแค่
ไหนก็ไม่จำเป็นผมไม่ต้องการผมไม่ต้องการมันอีกแล้ว ออกไป!!!”

   เป็นธรรมลุกขึ้นยืนมือเกาะขอบโต๊ะเอาไว้แน่นหอบหายใจหนักเพราะข้างในมันรู้สึกอึดอัดไปหมด คำพูดเพียงไม่กี่คำมันสามารถทำให้ความเข็มแข็งที่พยายามฉาบเอาไว้พังลงมาได้ทันทีเป็นธรรมใช้เวลาสักพักเพื่อปรับอารมณ์แล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้งและครั้งนี้มันจะเต็มไปด้วยเหตุผลและไม่ใช้อารมณ์

“ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถทำงานกับคุณได้จริงๆ ครับงานมันไม่มีทางคืบหน้าเพราะผมไม่มั่นใจในตัวคุณจะเป็นไปได้ยังไงที่เจ้านายไม่ไหวใจในตัวเลขาคนที่ต้องใกล้ชิดกับผมมากที่สุด ใช่ไหมครับ?”

“ดิฉัน”

“เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ด้วยเจตนาอะไรก็ตามผมคิดว่าผมคงต้องขอให้คุณออกคุณช่วยยื่นใบลาออกด้วยครับผมจะได้เซ็นอณุมัตให้ผมคิดว่ามันคงเป็นทางออกเดียวจริงๆที่ผมจะสามารถทำงานต่อไปได้”

“ถ้าสิ่งนี้มันจะให้คุณสบายใจมากกว่า ดิฉันจะไปเขียนใบขอลาออกค่ะ”

“ขอบคุณครับ คุณสุวรรณีครับก่อนคุณจะไปผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

“คะ?”

“เมื่อกี้คุณเรียกพี่ดาร์กว่า ตาดาร์ก คุณเป็นญาติกับเขา?”

“เรารู้จักกันเหมือนญาติค่ะ”

   ภายในช่วงบ่ายวันนั้นคุณสุวรรณีก็ยื่นใบลาออกและเขาก็เซ็นให้ทีผลบังคับใช้ได้ทันทีเป็นธรรมผมเรียกหัวหน้าพนักงานผ่านขายเข้ามาอีกครั้งและขอดูยอดทั้งหมดที่มีรายการสั่งเข้ามาน่าแปลกที่หลายรายการที่เราทำอยู่นี้ถูกเขียนว่า “โปรโมชั่น” และไม่มีงานยอดไหนเลยที่มีเงินมัดจำโอนเข้ามาเหมือนเป็นการที่เรากำลังทำให้แก่ผู้สั่งเข้ามาแบบฟรีๆ และเท่าที่คุยกับฝ่ายขายเหมือนทางนั้นก็ไม่ได้เป็นคนออกไปหาลูกค้าใหม่ที่ได้งานมาเพราะทางนั้นติดต่อมาให้เรา

ข้อสงสัยหลายอย่างเกิดขึ้นกับใบสั่งสินค้าที่ทางฝ่ายการตลาดเอามาให้ดูแต่พอได้ดูคู่กับแฟ้มเอกสารที่คุณสุวรรณีได้เตรียมไว้กับแฟ้มของฝ่ายบัญชีในนั้นมีอยู่เอกสารอยู่ชุดนึงที่มีการระบุเอาไว้ว่า ‘ยอดสั่งสินค้า’ และผู้ที่เซ็นอณุมัตให้มีการดำเนินงานทั้งหมดก็คือแม่ของเขาเอง

การนั่งดูเอกสารทำให้เขาได้คำตอบแล้วว่าเงินล้านที่แม่ไปกู้เงินนอกระบบมาแม่เอามาใช้ทำอะไรในนั้นมีใบเสร็จแนบระบุเอาไว้ว่าเป็นค่าเครื่องจักรใหม่บางเครื่องที่เพิ่งถูกซื้อเข้ามาค่าอุปการณ์ที่ต้องใช้ผลิตและก็ค่ามาร์เก็ตติ้งที่ถูกใช้ไปกับทั้งสองบริษัทที่ตอนนี้กำลังมีออเดอร์กับทางเราซึ่งจำนวนเงินที่ถูกระบุเอาไว้ก็มีค่าหลายหมื่นบาทเช่นกัน 

ยิ่งดูผมก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมีแต่เอกสารมากมายที่เหมือนว่ายิ่งดูก็ยิ่งเยอะขึ้นไม่ได้ลดน้อยลงเขาจึงหยุดพักสายตาเอาหน้าแนบราบลงไปกับโต๊ะและหลับตาลง

“นอนแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวก็แขนชาเป็นคนพิการข้างเดียวอีก”

“พี่ดาร์กปล่อยให้คุนนอนเถอะคุนไม่ไหวแล้ว อย่าลากคุน ปล่อย”

“แล้วคืนนี้อย่ามาร้องว่าคอเคล็ดก็แล้วกัน พี่ไม่นวดให้นะ”

“กล้าใจร้ายกับคุนเหรอ?”



“ครับแม่?”

   เสียงโทรศัพท์จากแม่ดังตัดภาพในหัวของเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบันเขาถอนหายใจปรับเสียงไม่ให้ดูเหนื่อยจนเกินไปก่อนที่จะรับโทรศัพท์

“อยู่ไหนลูก?”

“ที่ทำงานครับ”

“จะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม?”

เป็นธรรมยกมือขึ้นมาเพื่อดูเวลาที่ข้อมือที่ตอนนี้บ่งบอกว่ามันคือเวลาสองทุ่มตรงไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนั่งอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เช้ามิน่าทำไมเขาถึงจึงรู้สึกล้าไปหมด

“กลับครับแต่แม่กินไปก่อนได้เลยครับ ไม่ต้องรอผมเดี๋ยวจะยิ่งดึก”

“จ๊ะ”

   ช่วงสองทุ่มเป็นช่วงที่รถไม่ได้ติดมากเป็นธรรมเลยกลับถึงบ้านในช่วงประมาณสามทุ่มกว่าเพียงเท่านั้นตอนเขามาถึงบ้านแม่ยังไม่ได้ขึ้นนอนเขาเลยถือโอกาสนี้คุยกับแม่เรื่องงาน

“จะกินข้าวเลยหรือจะอาบน้ำก่อนแม่จะได้บอกให้คนมาอุ่นข้าวให้”

“ไม่เป็นไรครับผมกินเลยดีกว่าแล้วไม่ต้องเรียกใครหรอกแล้วก็แม่ครับผมขอคุยเรื่องงานด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“วันนี้ผมเข้าไปดูงานผมเห็นพวกนี้มันมีออเดอร์ที่ได้มาจากทางแม่โรงงานเราเริ่มผลิตงานแล้วแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมเราถึงเริ่มผลิตทั้งที่ยังไม่มีเงินมัดจำมีแต่สัญญาการผลิตเซ็นไว้เราต้องทำล็อตแรกออกไปก่อนแล้วค่อยทำเรื่องเบิกเหรอครับ? คือผมไม่เข้าใจ”

“คุนเห็นใบเสร็จที่แม่เขียนกำกับว่าเป็นค่ามาเก็ทติ้งไหม?”

“ครับ”

“แม่เอาเงินไปให้เขาเพื่อขอร้องให้เขาเอาเสื้อมาให้เราทำ”

“แต่ทำไมแม่ไปกู้เงินนอกระบบมาทำไมแม่ไม่เอาโรงงานเราเข้าไปค้ำกับธนาคารแทนละครับ เพราะเท่าที่ผมดูเอกสารโรงงานนี้พี่ เอ่อ เขาคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรกับมัน”

“แต่ในใบถือกรรมสิทธิ์หุ้น ใครเป็นคนถือมากที่สุด? คุนยกหุ้นให้เขาไปโดยที่ไม่ได้บอกแม่”

“ผม…”

“ไม่เป็นไรเรื่องมันผ่านไปแล้วแม่จะบอกต่อให้ทำได้มูลค่าของโรงงานเราอาจจะไม่ถึงล้านแล้วแม่ก็มานั่งรอไม่ได้ ในช่วงนั้นแม่ได้ยินข่าวมาพอดีว่าทางนั้นต้องการผลิตเสื้อออกเป็นของแจกให้ลูกค้าแม่เลยต้องรีบเข้าไปเจรจากับเขา”

“แม่ แต่ถ้าทำแบบนั้นเราก็จะมีแต่จ่ายออก”

“แม่รู้แต่คุนฟังแม่นะถ้าเราไม่ทำแบบนี้ใครที่ไหนจะยอมมาทำงานกับเราแม่ไปรู้มาว่าทางเราเคยทำเสื้อลูกค้าหลุดไปวางขายไม่ใช่เหรอ?”

“แต่แม่ก็น่าจะให้ผมลองก่อน”

“แม่ก็ทำได้เท่าที่แม่คิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแม่ว่าถ้ารอบนี้เราสามารถทำสินค้าออกมาได้ดีของไม่มีปัญหาเรื่องเก่าไม่เกิดขึ้นเราก็น่าจะซื้อความเชื่อใจจากลูกค้าเก่าๆ ของเรากลับมาได้บ้าง”

“งั้นเงินที่เราใช้ไปมันไม่ถึงล้านเราเอาไปโป๊ะคืนหนี้เขาก่อนดีไหมครับแม่? หนี้นอกระบบผมว่าถ้าเรารีบเคลียร์ได้เท่าไหร่ยิ่งดี”

“แต่เรายังไม่ได้จ่ายค่าพนักงานเดือนนี้เลยเอาไว้พอเราเริ่มหาลูกค้าได้และเริ่มอยู่ตัวเราค่อยเอาเงินไปโป๊ะหนี้ดีกว่าตอนนี้เราก็ต้องเอามาหมุนไปก่อน”

“ครับ”

“กินข้าวให้หมดแล้วขึ้นไปพักได้แล้วลูกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“ครับ”

   หลังจากกินข้าวเสร็จเป็นธรรมเดินขึ้นมาที่ห้องนอนเพื่อรวบรวมเอารายชื่อลูกค้าที่เคยร่วมงานกับเราหรือที่เราเคยปฎิเสธงานไปในช่วงที่เรายุ่งออกมาลิสเอาไว้เขาจะมานั่งรอให้งานเข้ามาหาไม่ได้สภาพของโรงงานคือติดลบไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ได้มากกว่าสามชั่วโมงเขาจึงวางมือจากงานและเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
เพล้ง

“เฮ้ย โธ่เอ้ย ตกจนได้”

   กรอบรูปที่อยู่หัวเตียงถูกปัดตกลงที่พื้นในขณะที่เขาเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวนอนเป็นธรรมพยายามคว้ามันเอาไว้แล้วแต่ไม่ทันรูปที่อยู่ในนั้นเป็นรูปที่เขาหันหน้าไปยิ้มให้กับพี่ดาร์กส่วนพี่ดาร์กมองยิ้มตรงมาที่กล้องเป็นรูปที่พี่ดาร์กเลือกเอาไว้ให้เขาวางที่หัวเตียงและมันก็เป็นรูปเดียวกันกับที่อยู่ที่หัวเตียงของพี่ดาร์ก

“พี่นี่ก็หาเรื่องให้คุนเหนื่อยได้ตลอดเลยเนอะ ให้คุนได้พักบ้างได้ไหม? แค่นี้คุนก็จะไม่ไหวแล้วนะพี่”

   เป็นธรรมพึมพำกับรูปตอนที่ก้มลงมาเก็บเศษกระจกไปทิ้งที่ถังขยะให้เรียบร้อยเขารู้ว่าถ้าใครต่อใครรู้ว่าเขายังคงเก็บรูปของคนนี้เอาไว้ทั้งที่เขาที่ทำกับครอบครัวของเขาขนาดนี้คงรู้สึกสมเพชและสงสารในความอ่อนแอของเขาแต่รูปคู่ใบนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเขาจะพยายามฉีกหรือทิ้งสักเท่าไหร่เขาก็ทำมันไม่ลงจริงๆ

TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 12 (Rewrite) - 19/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-01-2018 07:10:50
บทที่ 16 Rewrite

“ไว้เดี๋ยวถ้าเสนอเรื่องผ่านยังไงดิฉันจะติดต่อคุณเป็นธรรมไปนะคะ”

“ตอนนี้งานที่มีเราให้เจ้าอื่นไปดูแล้วครับ ต้องขอโทษด้วย”

“ยังไงจะติดต่อกลับไปค่ะ”

   เป็นธรรมคลายเนคไทออกหลังจากที่เดินกลับมาที่รถที่นี่ก็เหมือนที่อื่นที่เขาไปติดต่อมาทุกที่บอกว่าจะติดต่อกลับมาแต่ในที่สุดก็ไม่มีใครติอต่อกลับมาสักที

“เฮ้อ”

   เป็นธรรมหยิบสมุดนัดออกมาดูวันนี้เขาไม่มีนัดที่ไหนแล้วเขาตัดสินใจไปเดินตลาดซื้อของกินก่อนที่จะกลับบ้านไม่แวะกลับเข้าไปที่โรงงานอีก

ตลาดแถวบ้านของเป็นธรรมเป็นตลาดเปิดท้ายที่จะมีคนมาขายของหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นของกินหรือเสื้อผ้าแต่วันนี้ที่เขาสนใจมากที่สุดในตลาดแห่งนี้ก็คือร้านที่มีเหมือนน้องนักศึกษาเป็นคนมานั่งขายของ

“ดูได้เลยค่ะ เสื้อกับกระเป๋าลายพวกนี้พวกหนูเป็นคนออกแบบเองเลยค่ะ”

“ออกแบบเองแล้วสกรีนเองด้วยหรือเปล่าครับ?”

“เปล่าค่ะ พวกหนูไปจ้างตามร้านสกรีนค่ะ”

“เหรอครับ?”

   ไม่น่าเชื่อว่าแค่การมาเดินตลาดจะกลายเป็นว่าเป็นธรรมได้เปิดโลกรู้เกี่ยวกับตลาดใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยมองมันมาก่อนเขาเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ว่ามีเด็กหลายคนที่ทำพวกเสื้อผ้ากระเป๋าเป็นแบรนด์ของตัวเองมีทั้งคนที่ทำขายขึ้นห้างขายตามไอจีตามเฟสหรือตามตลาดเปิดท้ายแบบพวกน้องกลุ่มนี้ 

เป็นธรรมยืนคุยดับน้องกลุ่มนี้จนรู้ว่าปัญหาหลังในการสั่งทำเสื้อผ้าก็คือจำนวนเพราะถ้าสั่งจำนวนน้อยราคาก็จะสูงขึ้นแต่ถ้าจะให้สั่งทำทีละเยอะๆ ก็เหมือนกับเอาเงินหมุนมาทิ้งกับสไตล์เดียวซึ่งพวกน้องก็ไม่อยากทำเขาเลยถือโอกาสให้นามบัตรของตัวเองเอาไว้ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของพวกน้อง

“เอาแต่นั่งหน้าคอมอยู่ตั้งนานแล้วมีอะไรรึเปล่าลูก?”

   ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็เอาแต่นั่งอยู่หน้าคอมไล่เปิดดูไอจีตามเฟสตามที่พวกน้องๆ บอกวิธีหาแล้วถ้าเกิดเห็นใครน่าจะพอเป็นลูกค้าได้เขาก็จะส่งข้อความขอติดต่อเข้าไปทันทีพอแม่ถามเขาก็เลยอธิบายให้แม่ฟัง

“มันจะดีเหรอลูก? มันจะได้ทีละน้อยๆ ละสิ งานมันจะเยอะแต่ไม่คุ้มรึเปล่า?”

“ก็ยังไม่รู้เลยครับแม่ แต่ผมว่าจะลองดูสักตั้ง”

“มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกนะ”

“ขอบคุณครับ”

“เอ่อคุนเดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะมีงานเลี้ยงเป็นงานแต่งของลูกสาวเพื่อนของแม่คนที่เขาเป็นเจ้าของห้าง คุนเตรียมตัวไปกับแม่ด้วยนะ”

“แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบออกงาน ผมเอาเวลาไปหาลูกค้าดีกว่า”

“ก็นี่ไงแม่ให้ไปก็ให้ไปหาคอนเน็คชั่นนี่แหละแม่ก็แก่แล้วจะให้ไปไล่แจกนามบัตรแม่ก็ว่าจะไม่เหมาะถ้าเป็นคุนแม่ว่าจะเหมาะกว่า”

“ครับ”

   แม้ว่าจะไม่ชอบออกงานแค่ไหนแต่พอได้ยินถึงเหตุผลของแม่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นสมัยนี้การมีคนรู้จักมันช่วยให้งานไปต่อได้ง่ายขึ้นกว่าการที่ต้องเดินเข้าไปติดต่องานโดยไม่มีใครรู้จักเราเลยเขาจึงตกลงใจที่จะไปร่วมงาน


“ได้ครับ วันนี้สะดวกครับเข้ามาเจอกันที่โรงงานได้เลยครับ ครับๆ ขอบคุณครับ”

   เมื่อคืนช่วงที่เป็นธรรมหลับไปแล้วปรากฏว่ามีเจ้าของแบรนด์เสื้อวัยรุ่นชื่อดังคนนึงส่งข้อมูลตอบกลับมาว่าสนใจ พอเห็นข้อความในตอนเช้าเขาจึงรีบติดต่อกลับไปและพอได้คุยกันถึงเงื่อนไขก็ดูว่าทางเขาแม้จะได้กำไรไม่มากในการร่วมงานครั้งนี้แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบเขาถือว่ามันเป็นหนึ่งในโอกาสที่ควรจะคว้าเอาไว้

“อะไรลูก?”

“อ่อ มีคนติดต่อมาว่าจะต้องลงร่วมงานกับเราแต่เขาอยากมีดูโรงงานก่อนครับ”

“ดีจัง งั้นแม่ขออวยพรให้ลูกโชคดีนะ”

“ขอบคุณครับ”

   คำอวยพรของแม่น่าจะครอบคลุมแค่เรื่องงานแต่อาจไม่ได้ครอบคลุมถึงเรื่องอื่นเพราะทันทีที่เขาขับรถออกจากประตูบ้านเขาก็เจอเข้ากับมอเตอร์ไซค์ที่มาจอดรอตรงประตูหน้าบ้านเขาพยายามบีบแตรให้มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวแต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ซ้อนท้ายเดินลงมาที่รถของเขาเคาะกระจกรถและส่งสัญญาณให้ลดกระจกลง

“ผมมาเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ เมื่อวานก็ไม่ได้กลับไปวันนี้ไม่ได้อีกไม่ได้แล้วนะคุณ”

“ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นคนมาจากที่นั้นจริง? ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”

“งั้นก็ให้คนที่เป็นผู้หญิงที่ชื่อธิดาเขามาพูดกับพวกผมก็ได้ เขารู้จัก”

“ผมไม่ได้พกเงินสดติดตัวเยอะขนาดนั้นและพวกคุณมาแต่เช้าผมคงไม่มีให้ แบบนี้ได้ไหมไว้พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่”

“นี่มันเป็นการจ่ายรายวันนะคุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าถ้าคุณไม่รู้เรื่องพวกนี้พวกผมก็ยินดีจะบอกให้นะเห็นว่าพูดจาดี”

“ผมเข้าใจครับแต่ยังไม่มีจริงๆ เอาอย่างนี้พรุ่งนี้ผมสัญญาเลยว่าคุณจะได้ดอกเบี้ยครบของสามวันที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”

“ผมมาเวลาเช้าตามเดิมนะ”

“ครับ”

   โชคดีที่คนนัดเขาค่อนข้างจะพอใจและสนใจในข้อเสนอเราจึงทำสัญญากันและเขาจะได้เริ่มผลิตงานให้ในคอลเลคชั่นต่อไป

“วันนี้ต้องขอบคุณมากจริงๆ นะครับที่มาและให้โอกาสให้พี่ได้ร่วมงานด้วย”

“โอ๊ยพี่เรื่องเล็กโรงงานพี่ก็ออกจะมาตรฐานได้แบบนี้ก็ดีงานหนูจะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะเสร็จทันไหมอีกอย่างพอรู้ว่าพี่เองก็ชอบศิลปะเหมือนกันหนูยิ่งสบายใจเข้าไปใหญ่มันเหมือนได้พูดภาษาเดียวกัน”

   อีกเหตุผลที่เป็นธรรมยอมทำงานนี้โดยที่ไม่คิดกำไรเยอะไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาต้องการงานแต่เพราะเขายินดีกับน้องที่ได้ทำในสิ่งที่น้องรักเพราะเขาเองก็เคยมีความสุขกับการทำงานกับสิ่งที่เขารักมาก่อนเขาจึงเข้าใจ     

“รบกวนเอาบัญชีเข้ามาให้ผมดูด้วยครับ”

“ได้ค่ะ”

   หลังจากที่น้องกลับไปเป็นธรรมก็เรียกเอกสารของเมื่อวานเข้ามาดูทันทีตั้งแต่คุณสุวรรณีออกไปเขาก็ไม่ได้จ้างใครมาแทนเขาเลยต้องตรวจทุกอย่างเองในแต่ละวัน

“มันมีเช็คที่เรายังเก็บไม่ได้อยู่อีกตั้งสามใบ ไม่ทราบว่าได้ลองติดตามไปหรือยัง?”

“ทางเราติดต่อไปแล้วค่ะ บางเจ้าก็ขอผ่อนผันว่าขอจ่ายเป็นสิ้นเดือนนี้แทน ส่วนบางเจ้าก็ขอไปจ่ายเดือนถัดไปค่ะ”

“แล้วทำไมคุณไม่แจ้งผม?”

“ก็เห็นคุณเป็นธรรมไม่ได้ถามถึงอีกอย่างคุณเป็นธรรมก็ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทดิฉันก็เลยคิดว่าทางเราสามารถที่จะผ่อนผันได้ค่ะ”

“ครั้งหน้ามีอะไร ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เล็กน้อยคุณก็ต้องแจ้งผมโดยตรงนะครับ”

“ขอโทษด้วยค่ะ”

“อย่าเป็นแบบนี้อีกแล้วก็พยายามติดต่อกลับอีกทีอย่าให้เขาเลื่อนออกไปไม่มีกำหนดอย่างน้อยก็ให้เขาผ่อนจ่ายมา”

“ค่ะ”


“โห งานพี่ตรงเวลาและเนี้ยบมาก หนูอย่างชอบ”

“ถ้าชอบก็อย่าลืมทำกับพี่ต่อละ แล้วจะให้ดีฝากบอกต่อเพื่อนๆ เราด้วย”

“แค่พี่สัญญาว่าพี่จะยอมลัดงานหนูให้ถ้าเกิดลูกค้าเยอะ หนูก็บอกต่อเพื่อนเอง”

“ได้เลยสำหรับเราไม่มีปัญหา”

   แล้วน้องก็ทำตามที่พูดจริงๆ เพราะหลังจากที่สินค้าล็อตนั้นของน้องวางจำหน่ายเป็นธรรมก็มีลูกค้าจากกลุ่มนี้มากขึ้นแต่ก็อย่างที่แม่เขาเคยพูดไว้เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีร้านประจำของเขาอยู่แล้วเมื่อเราไปเอาลูกค้าของเขามาเราเลยต้องยอมลดกำไรลงเพื่อให้พวกเขามาทำกับเราเงินที่ได้มามันเลยไม่เต็มเหม็ดเต็มหน่วยไม่เหมือนกับถ้าลูกค้าที่เป็นของเราตั้งแต่แรก

   เจ้าใหญ่ๆ ก็เริ่มกลับมาทำกับเราบ้างฉะนั้นเรื่องเงินหมุนเวียนมันไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกต่อไปตอนนี้เขาเลยพยายามคิดที่จะใช้หนี้จะขายพวกเครื่องจักรเพื่อเอามากลบหนี้ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะตอนนี้มันหลายเป็นเครื่อมือทำมาหากินจากตอนแรกที่คิดว่ามีมากเกินไปกลับกลายมันกำลังมีจำนวนที่พอดีกับความต้องการที่จะใช้เขาเลยตัดสินใจที่จะขายรถแทน

“แล้วเราจะใช้อะไรละลูก?”

“ก็พวกรถสาธารณะไม่ก็แท็กซี่ครับ”

“ไหนช่วงนี้คุนบอกว่าเรามีงานเข้ามาเยอะไง?”

“ก็เยอะครับแต่ผมไม่อยากมานั่งจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆแบบนี้แล้วผมไม่อยากให้มันเพิ่มขึ้นไปเยอะกว่านี้”

   เมื่อเป็นธรรมรวบรวมเงินครบได้หนึ่งล้านบาทเขาก็โทรติดต่อไปที่เจ้าหนี้ให้มาเคลียร์แต่แล้วกลายเป็นว่าเงินที่เตรียมมามันไม่พอกับการใช้หนี้เมื่อช่วงแรกที่แม่ยืมมาแม่ไม่ได้มีการจ่ายดอกเบี้ยและทางนั้นก็โชว์หลักฐานมาให้ดูว่าเงินที่ครอบครัวเขาติดอยู่ในตอนนี้คือจำนวน 1,500,000 บาทเขาจะทำยังไงดีเพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรที่จะขายเอามาใช้หนี้ได้อีกแล้วและถ้าเราไม่จ่ายเก็บหนี้เอาไว้อีกมันกลับถูกบวกเพิ่มมาเรื่อยๆ เหมือนตอนนี้

“แต่ผมมีอยู่เพียงเท่านี้”

“นั้นมันปัญหาของคุณไม่ใช่ของผม ถ้ามีที่เหลือครบเมื่อไหร่ก็ติดต่อผมมาแล้วกัน”

“งั้นผมขอส่วนนี้คืนมาก่อน”

“อะไรกันคุณ เอามาแล้วจะเอาคืนคุณเล่นขายของหรือไง?”

   ในที่สุดสองคนนั้นก็ได้เช็คล้านไปส่วนเขายังนั่งเคว้งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อและในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

“ฮัลโหลพอล”

“หายไปนานเลย เป็นยังไงบ้าง?”

“เรา เรา”

“คุน?”

“เรามีปัญหา”

“เดี๋ยวไปหาอยู่ที่ไหน?”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปหาพอลเอง พอลอยู่ไหน?”

“ที่บริษัท”

   เป็นครั้งแรกที่เขายอมเล่าเรื่องเป็นหนี้นอกระบบให้กับใครได้รู้และก็เป็นไปดังคิดทันทีที่พอลรู้เรื่องพอลก็เสนอให้เอาเงินของเขาไปใช้หนี้ก่อนเพราะแบบนี้ไงเขาถึงไม่อยากบอกใครเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน

“ขอบใจนะแต่เราอยากหาทางออกอื่นก่อน”

“เช่นทางไหน?”

“เราไม่รู้ว่ามันพอจะมีทางออกไหมแต่ยังไม่อยากเดือนร้อนคนอื่นนะ”

   ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งที่มาถึงทางตันแล้วยังไม่รับความช่วยเหลือแต่มันเป็นกฏเหล็กของเขาว่าจะไม่ยืมเงินหรือให้เพื่อนยืมเพราะเขาเห็นมาหลายครั้งที่เพื่อนสนิทจะต้องมาผิดใจกันก็เพราะเรื่องของเงิน

“เรื่องพวกหนี้นอกระบบเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก เอางี้เดี๋ยวเราเอาไปปรึกษากับทนายของที่บ้านให้”

“ขอบคุณมากนะพอล”

“มีอะไรก็ให้มาหางานเรื่องเงินถ้ามันเหนือบ่ากว่าแรงจริงๆ ยังไงก็ยังมีเรากับแจงนะ”

“ขอบใจมากนะ”

   เป็นธรรมออกจากบริษัทของพอลในช่วงบ่ายจากเรื่องที่เจอมาทั้งหมดมันทำให้เขาไม่เหลือแรงที่จะไปสู้ต่อที่โรงงานและไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนสอนศิลปะที่เคยเป็นของเขาแทน

“เหลือเชื่อ”

   เป็นธรรมยืนลูบป้ายชื่อโรงเรียนอยู่ทางด้านล่างของตึกด้วยใจที่เต้นแรงเพราะป้ายและทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสีของป้ายตัวอักษรยังสิ่งที่เขาออกแบบเอาไว้เขากดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นสามของตึกด้วยใจที่เต้นแรงและเขาก็ไม่กล้าแม้จะกระพริบตาเพราะกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เห็นจะหายไปทุกอย่างบนชั้นนี้ยังเหมือนเดิมจำนวนห้องที่มีของที่ใช้ตกแต่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่คนที่อยู่ที่หน้าประชาสัมพันธ์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป

“สวัสดีค่ะ สนใจลงเรียนเหรอคะ?”

“เอ่อ เปล่าครับ”

“งั้น มีอะไรให้ช่วยไหมคะ? อ้อ หรือว่ามาสมัครเป็นครูสอนใช่ไหมคะ?”

“ครับ”

   โดยที่ไม่ทันได้คิดเขาก็ตอบโกหกเธอออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางได้เข้ามาสอนที่นี่อย่างแน่นอนเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้แถมไม่มีพอร์ตงานที่สามารถเอามาโชว์ได้ที่โกหกออกไปก็คงแค่อยากอยู่ในโรงเรียนให้นานอีกหน่อยอย่างน้อยถ้ากรอกใบสมัครเมันก็คงทำให้ผมอยู่ที่นี่ได้นานขึ้นอีกนิดได้สูดบรรยากาศที่เขารักและเขาจะได้มีแรงกลับไปต่อสู้อีกครั้ง

   ในขณะที่เขากำลังกรอกใบสมัครเป็นธรรมถือโอกาสชวนประชาสัมพันธ์คุยเกี่ยวกับโรงเรียนนี้และพอเขาได้รู้เรื่องราวจากปากของเธอมันทำให้เขาอยากจะรู้จักกับเจ้าของที่นี่มากขึ้น

“แล้วนี่เปิดรับคุณครูสอนนานยังคะ?”

“อ้าวก็คุณมาสมัคร?”

“ผมเพิ่งเห็นใยสมัครไม่นานครับเลยลองถามดูอยากรู้ว่าคู่แข่งจะเยอะไหมนะครับ”

“ตำแหน่งครูศิลปะพื้นฐานว่างมาสักพักแล้วค่ะ”

“แล้วยังเหลือมาถึงผมไม่มีคนมาสมัครเลยเหรอครับ?”

   เธอเงียบไปไม่ตอบคำถามเขาเองก็อยากรู้มากไปจนลืมไปว่าเรื่องที่ผมเขาคุยมันเริ่มที่จะเป็นเรื่องข้อมูลภายในของโรงเรียนมากเกินไปเธออาจจะไม่สะดวกใจที่จะตอบ

“ขอโทษครับ ผมละลาบละล้วงไปหน่อยก็แค่อยากรู้คู่แข่งเท่านั้นเลยถามมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็มีคนมาถามสมัครอยู่บ้างแต่ไม่เข้าตาเจ้านายเลยค่ะ”

“โหอย่างผมจะผ่านไหมครับเนี่ย? แล้วนี่เจ้านายคุณอยู่หรือเปล่าครับมาพูดถึงแบบนี้ผมกลัวว่าจะไม่ผ่านใบสมัครงานตั้งแต่ขั้นแรก”

“คุณนี่ดูเป็นคนขี้กังวลนะคะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะไม่อยู่ค่ะอีกอย่างไม่รู้สิค่ะแต่ตั้งแต่ทำงานมาพวกเราก็ไม่เคยเจอเจ้านายดุเลยนะคะ”

“แสดงว่าใจดี?”

“ก็ถ้าได้งานคุณก็จะรู้เองค่ะ”

   เป็นธรรมนั่งอยู่ที่โรงเรียนต่ออีกสักพักก่อนที่จะเดินออกมาจากตึกจากที่เหนื่อยๆ มาเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันแบบนี้เขารู้สึกว่าเขาเองพร้อมที่จะสู้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้วละ

หลังจากที่เขากลับมาบ้านพอลโทรมาบอกว่าทนายของที่บ้านกำลังรวบรวมข้อมูลแล้วจะเอาอธิบายให้ฟังส่วนตัวเขาเองก็ควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมและทุกอย่างก็น่าจะมีทางออกได้ด้วยดี

   นับตั้งแต่วันที่ไปกรอกใบสมัครเอาไว้ที่โรงเรียนสอนศิลปะเป็นธรรมก็เอาแต่ยุ่งเรื่องทำงานและเรื่องหนี้นอกระบบจึงไม่ได้นึกถึงมันอีกเลยจนในวันนี้วันที่เขาได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน

“ฮัลโหลสวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะดิฉันโทรจากโรงเรียนศิลปะธรรมค่ะ”

“ครับสวัสดีครับผมเป็นธรรมครับ”

“ตอนนี้ทางโรงเรียนอยากดูพอร์ตงานของคุณเพื่อที่จะประกอบกับการพิจารณาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะสะดวกเอาเข้ามาให้ได้วัน
ไหนคะ?”

“เอ่อ ผมไม่เคยได้เก็บพอร์ตเอาไว้เลยครับ”

“อ้าว?”

“แต่เดี๋ยวผมจะทำพอร์ตเอาเข้าไปให้ภายในอาทิตย์หน้าครับไม่ทราบว่าจะทันไหมครับ?”

“ลองเข้ามาส่งดูก็ได้ค่ะ”

   ดังนั้นกิจกรรมหลังเลิกงานคือการทำงานศิลปะเขาตั้งใจทำเป็นพิเศษด้วยหวังว่าความชอบและความตั้งใจของเขาจะสามารถทำให้เขาได้มีโอกาสจับงานที่เขารักอีกสักครั้ง

“นี่ครับ”

“ขอบคุณค่ะหวังว่าเราคงจะได้ทำงานร่วมกันนะคะ”

   ในที่สุดเป็นธรรมก็ทำสำเร็จเขาสามารถเอาพอร์ทเข้าไปส่งให้โรงเรียนได้ทันก่อนวันที่กำหนดเขารอผลอยู่สองสามวันแล้วความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่าเมื่อทางโรงเรียนโทรมาบอกข่าวดีว่าเขาผ่านการพิจารณาและได้งานนี้

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นธรรมจะเริ่มสอนได้อาทิตย์ไหนคะ?”

“ผมขอเวลาเตรียมสักอาทิตย์นึงแล้วอาทิตย์ต่อไปผมก็เริ่มงานได้เลยครับ”

    เป็นธรรมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เริ่มงานเป็นคนสอนศิลปะแม้จะเป็นแค่ผู้ช่วยก็เถอะแต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาชอบอีกครั้ง ชีวิตของเขาวนเวียนกับการทำงานจนลืมคิดถึงเรื่องอื่นๆ ไปเสียหมดจนเขาลืมไปแล้วว่าเขายังมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย

“ขอบใจมากนะแจงที่มาส่งเรากับแม่”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เองอีกอย่างงานนี้เราก็ต้องไปอยู่แล้วดีซะอีกถือว่ามีคนไปเป็นเพื่อน”

   วันงานเปิดห้างใหม่ของเพื่อนโชคดีที่แจงก็ได้เชิญให้ไปงานร่วมด้วยไม่อย่างนั้นเขาคงได้แค่เพียงยืนยิ้มและวางตัวไม่ถูกอยู่ในงานตอนงานเลิกแจงอาสาขอเป็นคนมาส่งแน่นอนว่าเขาปฎิเสธเพราะบ้านเขากับบ้านแจงมันคนละทางกันแต่พอแจงอ้างถึงแม่ของเขาว่าจะให้เดินทางยังไงและแถมยังดึกแล้วอีกต่างหากเขาเลยยอมให้แจงเป็นคนมาส่ง

“แน่ใจนะว่าขับรถกลับไว้ เราเตรียมห้องให้ได้นะ”

“โอ๊ย เรื่องเล็ก งั้นแจงลานะคะคุณป้า ไปนะคุน”

“ถึงแล้วโทรมาบอกด้วย”

“จร้า”

   เป็นธรรมยืนส่งแจงจนรถออกตัวไปไกลบ้านเขาถึงได้หันไขประตูแต่แล้วเสียงมอเตอร์ไซค์พุ่งตรงมาทางหน้าบ้านก็ทำให้เขาหยุดชะงัก

“ขี้โกงเหรอไงมึงยืมแล้วไม่คืน”

“ผมบอกไปแล้วว่าผมมีเท่านั้นถ้าคุณต้องการเพิ่มผมก็ไม่มีให้คุณ”

“ไม่สนยังไงก็ต้องเอามาตามที่สัญญาเอาไว้”

   สองคนนั้นเดินตรงมาที่เขากับแม่ยืนอยู่เขาดันให้แม่เข้าไปในรั้วบ้านก่อนที่เขากำลังจะเข้าตามไปแต่โชคร้ายที่เขาก้าวช้าทำให้โดนกระชากมาจากด้านหลังเขาใช่เสี้ยวนาทีนั้นกระชากประตูปิดเพื่อไม่ให้ใครสามารถเข้าไปในตัวบ้านได้

“แม่ล็อคบ้าน โทรหาตำรวจ”

“ตำรวจเลยรึมึงแบบนี้ก็คงต้องสั่งสอนให้เข้าใจ”

   ฝั่งนั้นง้างมือขึ้นสูงเขาเองก็พยายามดิ้นให้หลุดจากคนที่จับตัวของเขาอยู่ในช่วงนั้นเองที่มีแสงไฟสูงจากหน้ารถส่องมาที่พวกเขาคนที่กำลังง้างมืออยู่นั้นตลดมือลงทำเป็นกอดคอเขาเหมือนพวกเรากำลังยืนคุยกันแต่เจ้าของรถคันนั้นก็ไม่ยอมไปไหนยังเดินตรงมาที่พวกเรายืนอยู่

“ทำอะไรกันนะ?”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 23-01-2018 00:07:09
พี่ดาร์กมาแน่เลย
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2018 06:02:31
บทที่ 17 Rewrite

   เพราะแสงไฟที่ส่องเข้าตาทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าของคนที่เดินเข้ามาได้ชัดในตอนแรกแต่เสียงของเขาคนนั้นทมันก็คุ้นเหลือเกินคุ้นจนเขามั่นใจ

“พี่ดาร์ก?”

แต่พี่ดาร์กจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พี่ดาร์คจะมาอยู่ตรงนี้เขาคงจะหูฟาดพราะเขากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัยเขาเลยคิดถึงพี่ดาร์กขึ้นมา

“เพื่อนเขาจะคุยกันคุณมาเปิดไฟสูงใส่หน้าแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

“พอดีเลยครับผมก็เป็นเพื่อนกับเขาและผมก็กำลังจะเข้าไปบ้านนี้แบบคุณสองคนเลยงั้นเราก็เข้าไปด้วยกันดีเลยไหมครับ?”

“ผมว่าถ้าคุณมีธุระกับคนบ้านหลังนี้ผมว่าคุณมาวันหลังดีกว่าเพราะพวกผมมีเรื่องคุยกับเขาค่อนข้างนานทีเดียวดูเขาจะไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่อง และพวกผมก็มาก่อน”

   เมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นก็ทำให้เป็นธรรมได้เห็นหน้าชัดเจนและตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้หูฟาดไปเพราะคนนี้คือพี่ดาร์กจริงๆ

เป็นธรรมจ้องมองทุกอย่างก้าวของพี่ดาร์กและพี่ดาร์กเองก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกันเราทั้งสองคนไม่ได้ละสายตาออกจากกันแต่ยิ่งพี่ดาร์กเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่แรงที่กอดคอของเขาเอาไว้ก็ยิ่งแน่นมากขึ้นและในขณะที่เขาพยายามจะแกะมือของคนนั้นออกเขาก็เหลือบไปเห็นว่าอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านข้างกำลังเอามีดออกมากจากทางด้านหลัง

“พี่ดาร์กระวัง”

สิ้นเสียงตะโกนของเขาการต่อสู้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายมีมีดเลยทำให้เขากับพี่ดาร์กเสียเปรียบจังหวะที่คนนั้นสนใจพี่ดาร์กเขายกขาไปด้านหลังและถีบคนที่กอดคอเขาอาไว้ทำให้คนนั้นเสียหลักและล้มลงและพอพี่ดาร์กเห็นว่าเขาสามารถหลุดจากคนนั้นได้พี่ดาร์กก็พุ่งเข้าไปหาคนที่มีมีด

แต่แล้วในช่วงที่พี่ดาร์กเสียหลักคนที่มีมีดก็เปลี่ยนทิศและตรงมาที่เขาพี่ดาร์กเองพอลุกขึ้นยืนได้ในก็วิ่งตรงเข้ามาทางด้านข้างและรวบตัวเขาเข้าไปกอดและพยายามเบี่ยงเขาไปทางด้านซ้ายซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับคนร้ายเสียงของแข็งแหวกมาตามอากาศและมาหยุดลงใกล้กับตัวเขาแต่เป็นธรรมกลับไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลยสักที่

“เข้าบ้านไป”

พี่ดาร์กกระซิบเบาๆ แต่เพราะเขาอยู่ที่หัวไหล่เป็นธรรมจึงได้ยินคำสั่งชัดทุกถ้อยคำแต่ถ้าจะให้เขาหนีเข้าบ้านไปคนเดียวตอนนี้แล้วพี่ดาร์กละ ตอนนั้นเองที่แม่ตะโกนออกมาว่าได้แจ้งตำรวจแล้วและแม่ก็พยายามที่จะเปิดประตูบ้านออกมา

“แม่อย่าเปิดปิดเอาไว้”

แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันไปพูดกับแม่พี่ดาร์กก็พลักเขาเข้าไปติดกับประตูรั้วบ้านแม่รีบเปิดประตูแล้วดึงเขาเข้าไปก่อนที่เขาจะได้เข้าไปทั้งตัวปลายตาของเขาก็เห็นว่าพี่ดาร์กได้ทรุดลงไปที่พื้นและสองคนนั้นกำลังเหยีบซ้ำลงมาเขาพยายามที่จะสลัดแม่ออกและออกไปหาพี่ดาร์กแต่แม่ก็ดึงเขาไว้แน่นเหลือเกิน

แต่ก่อนที่ทางฝั่งนั้นจะได้ทำอะไรเพิ่มเติมเสียงบีบแตรก็ดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้พวกนั้นเก็บมีดและก็รีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ติดเครื่องรอไว้แล้วเมื่อสองคนนั้นไม่อยู่แล้วเขาจึงรีบวิ่งออกไปหาพี่ดาร์ก

“คุนเป็นอะไรรึเปล่า?”

“พี่ดาร์กเลือด ๆ พี่ดาร์กเลือด”

   เป็นธรรมวิ่งเข้าไปประคองพี่ดาร์กที่กองอยู่ที่พื้นพี่ดาร์กรีบจัดสำรวจไปทั่วตัวของเขาและเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงตรงไหนพี่ดาร์กถึงได้ยอมวางใจปละทิ้งมือลงที่ข้างตัวพี่ดาร์กยิ้มให้เขาตอนที่เขาตะโกนว่าเห็นเลือดด้วยความตกใจ

“พี่ขอโทษนะ”

เป็นธรรมไม่รู้ว่าพี่ดาร์กขอโทษทำไมและยังไม่ได้ที่จะถามให้รู้เรื่องพี่ดาร์กก็ทิ้งตัวไปตามแนวโน้มถ่วงของพื้นทันทีที่พูดจบเป็นธรรมประคองพี่ดาร์กเอาไว้ในอ้อมกอดก่อนที่ตัวของพี่ดาร์กจะลงไปสู่พื้นถนน

เพราะความมืดบวกกับความตกใจในตอนแรกเป็นธรรมจึงไม่เห็นว่าพี่ดาร์กบาดเจ็บตรงไหนบ้างแต่พอได้มองพี่ดาร์กที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองจึงทำให้เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าพี่ดาร์กได้รับบาดเจ็บที่ไหน

ใบหน้าของพี่ดาร์กทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเลือดด้านซ้ายของพี่ดาร์กมีแผลช่วงหน้าผากพาดมาถึงจมูกทางด้านขวาบาดแผลเริ่มเกิดแผลตั้งหน้าผากลงมาถึงที่แก้ม ข้างลำตัวของพี่ดาร์กทางด้านขวาถูกบาดด้วยมีดเป็นทางยาวเสื้อเชิ้ตของพี่ดาร์กขาดตั้งแต่หลังผ่านสีข้างมาจนถึงท้องด้านหน้าและตอนนี้เสื้อกำลังถูกยอมสีด้วยเลือดของพี่ดาร์ก

“พี่ดาร์ก พี่ดาร์ก”

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยพี่ดาร์กด้วย”

   เป็นธรรมตะโกนจนสุดเสียงจนรอบตัวของเขาเริ่มเต็มไปด้วยความโกลาหลเขาเห็นแม่วิ่งออกมาจากบ้านได้ยินเสียงแม่ตะโกนสั่งให้คนในบ้านเอาผ้าขนหนูออกมาเขาเห็นรถของแจงที่เพิ่งขับออกไปขับกลับมาอีกครั้งทุกอย่างเกิดเสียงดังไปหมดแต่ไม่มีประโยคไหนสักประโยคเข้ามาในหัวของเขาเพราะมีเพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาคิดสมองและพร่ำพูดตลอดเวลาก็คือ

“พี่ดาร์กห้ามเป็นอะไรไปนะ อย่าทิ้งคุนไปนะ”

พี่ดาร์กเป็นคนขี้โกงเพราะพี่ดาร์กเอาแต่ยิ้มและกำมือของเขาเอาแน่นในขณะที่เขากำลังร้องไห้แถมยังไม่ยอมให้คำสัญญาว่าจะทำตามที่เขาขอร้อง

“คุน คุนตั้งสติฟังแม่คุนลุกขึ้นก่อนเราต้องเอาดาร์กไปโรงพยาบาล หนูแจงมาช่วยป้าหน่อย”

   กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่มีสติช้าที่สุดเป็นธรรมต้องรอให้แม่สั่งว่าควรทำอะไรต่อเพราะตอนนี้เขาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีจะยืนขึ้นด้วยซ้ำทุกคนช่วยกันพาพี่ดาร์กขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังของแจงและรีบมุ่งหน้าตรงไปที่โรงพยาบาล แม้เขาจะรู้ว่าแจงขับรถเร็วเต็มที่แล้วแต่เขาก็ยังคงรู้สึกร้อนใจอยากที่จะให้รถแล่นด้วยความเร็วที่มากกว่านี้

“พี่ดาร์กอีกแป้ปเดียวนะจะถึงโรงพยาบาลแล้วจะถึงแล้ว”

   เลือดของพี่ดาร์กไหลลงมาปิดหน้าไปหมดแถมผ้าขนหนูที่ถูกกดห้ามเลือดที่เอวของตอนนี้ก็ช่ำไปด้วยเลือดเช่นกันมือของพี่ดาร์กเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเขาพยายามที่จะกุมมือพี่ดาร์กเอาไว้ให้รอบเพื่อที่จะเพิ่มความอบอุ่นยังไม่สามารถส่งความอบอุ่นนั้นไปได้อาการของพี่ดาร์กทำให้เป็นธรรมใจเต้นแรงขึ้นโดยเฉพาะเมื่อแรงบีบที่มือของเขาเบา

“พี่ดาร์กคุนกลัวอยู่เป็นเพื่อนคุนก่อนนะ”

“...”

“ที่ผ่านมาคุนยอมแล้วคุนไม่โกรธพี่แล้วแต่ถ้าครั้งนี้พี่ทิ้งคุนไปคุนจะไม่ให้อภัยพี่เลย”

“พี่ได้ยินไหมถ้าพี่ทิ้งคุนไปคุนจะไม่ให้อภัยพี่”

ในที่สุดเส้นทางที่ยาวนานในท้องถนนก็สิ้นสุดลงสักทีเมื่อแจงเลี้ยวหัวรถเข้ามาในตัวของโรงพยาบาลพี่ดาร์กถูกเข็ญเข้าไปไปห้อง ER อย่างรวดเร็วและก็ถูกเข็ญเปลี่ยนห้องเข้าไปห้องผ่าตัดต่อโดยทันที

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะลูก”

“ไม่ครับแม่ ผมอยากอยู่เฝ้าที่หน้าห้องนี้”

“คุนเจ้าหน้าที่เขาอยากให้ไปกรอกรายละเอียด”

“แต่..”

“ถ้าคุนไม่ไปกรอกให้เรียบร้อยการเข้ารักษาของพี่ดาร์กก็ไม่สมบูรณ์นะ”

“โอเค”

   เป็นธรรมขอเอาแฟ้มประวัติของคนไข้มากรอกที่หน้าห้องผ่าตัดแทนการที่ต้องไปยืนกรอกที่หน้าเค้าท์เตอร์เพราะเขาไม่อยากที่จะพลาดอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นที่หน้าห้องผ่าตัดนี้

และแล้วเวลาในห้องผ่าตัดที่ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงก็จบลงเมื่อคุณหมอและทีมผ่าตัดเดินออกมาจากห้องเป็นธรรมเดินเข้าไปประชิดกับคุณหมอพร้อมกับคำถามที่มีอยู่มากมายในสมองแต่เอาเข้าจริงเขาทำได้แค่ไปยืนเงียบอยู่ตรงหน้าของคุณหมอ

“ไม่ทราบว่าการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีไหมคะ?”

“ตอนนี้ขั้นตอนการผ่าตัดสมบูรณ์และผ่านไปได้ด้วยดีครับแต่…”

   พี่ดาร์กถูกเข็ญออกมาด้วยสภาพที่ถูกพันผ้าปิดตาเอาไว้ทั้งสองข้างรวมไปจนถึงทางหน้าผากและแก้มทำให้ตอนนี้บนใบหน้าของพี่ดาร์กมีที่ว่างแค่เพียงช่วงล่างของใบหน้าไล่มาจากปลายจมูกจนถึงคางเท่านั้นป็นธรรมไม่ได้ยืนฟังคุณหมออธิบายจนจบแต่รีบเดินเข้าไปหาพี่ดาร์กที่นอนอยู่บนเตียงที่ถูกเข็ญออกมา

 
“อะ นี่เสื้อผ้าเอามาให้สองสามชุดนะแล้วก็ถุงตรงนั้นอะเป็นของที่อยู่ในรถของพี่ดาร์กฉันเขยื้อนรถเขาเข้าไปจอดในบ้านแกแล้วนะ”

“แล้วพอลละ?”

“พอลไปถึงบ้านแกแล้ว”

   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่ไว้ใจที่จะให้แม่กลับไปอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียวแต่จะให้เขาทิ้งทางนี้ไปเขาเองก็ทำแบบนั้นไม่ได้เช่นกันเขาอยากอยู่ตอนที่พี่ดาร์คตื่นขึ้นมาอยากอยู่ข้างๆ เขาเลยขอร้องให้พอลมาอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่และในตอนเช้าเขายังวานพอลให้พาแม่ไปโรงพักเพื่อที่จะแจ้งความและพอลเองก็รับปากว่าจะดูแลเรื่องที่บ้านให้ทำให้เขาไม่รู้สึกต้องกังวลใจ

“ขอบใจมากนะแจง”

“แล้วก็ตลอดทางที่ขับมาโทรศัพท์พี่เขาดังอยู่เรื่อยๆ นะแต่ฉันไม่ได้รับ”

“อื้มเดี๋ยวยังไงฉันจะลองดูติดต่อทางนั้นดูเพื่อเป็นเรื่องงานของพี่ดาร์กเขา”

“เมื่อกี้คุณหมอเขาว่าไงบ้างอะแจง? เราไม่ได้ทันฟังให้จบ”

“หมอบอกว่าแผลตรงเอวไม่ได้ลึกจนโดนอวัยวะสำคัญดูแลดีอีกไม่นานก็หายส่วนแผลที่แก้มและหน้าผากก็อาจจะเป็นแผลเป็นแต่อาจจะใช้วิธีศัลยกรรมเข้าช่วยได้แต่เรื่องที่แกควรรู้ก็คือพี่เขาอาจจะเสียการมองเห็นข้างขวาไปเพราะมีดบาดเข้าแก้วตาส่วนอีกข้างต้องลุ้นเอาตอนที่เปิดผ้าออกมา”

   เป็นธรรมเอื้อมมือออกไปลูบผ้าที่ปิดดวงตาของพี่ดาร์กเอาไว้ดวงตาคู่นี้ที่เขาชอบมอง

“เราไม่กล้าบอกพี่ดาร์กเลยแจง”

“ถึงไม่บอกวันที่เปิดผ้าพี่เขาก็ต้องรู้อยู่ดี”

“เรากลัวพี่เขา... รับไม่ได้”

“เอานะมันยังไม่ถึงวันนั้นว่าแต่แกจะอยู่เฝ้าเองคนเดียวเลยเหรอ? ไม่นอนพักบ้างละจะตีสามแล้วสลับกันกับฉันไหม?”

“พี่เขายังไม่ตื่นเลย”

“งั้นอย่างน้อยแกเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดหน่อยไปตามร่างกายมีแต่เลือด”

“แต่”

“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันดูให้ก่อน”

“งั้นฝากด้วยแป้ปเดียว”

คำพูดของแจงยังคงดังก้องอยู่ในหัวยิ่งคิดถึงมันเขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลพี่ดาร์กจะรู้สึกอย่างไรตอนที่ตื่นขึ้นมาและจะต้องพบว่าตัวเองจะไม่เหมือนเดิมพี่ดาร์กจะรับมันได้ไหม? พี่ดาร์กต้องถูกปิดตาไปอย่างน้อยอีก 1 อาทิตย์และต้องดูอาการหลังจากนั้นถึงจะบอกได้ว่าการรักษาขั้นต่อไปคืออะไรความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่พี่ดาร์กไม่ชอบใจมากที่สุดเกิดพี่ดาร์กตื่นขึ้นมาแล้วต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องรับมือกับพี่ดาร์กอย่างไร

ทำไมมาในวันนี้เป็นธรรมถึงรู้สึกว่าครอบครัวเขาเป็นตัวซวยของพี่ดาร์กกันนะพี่ดาร์กต้องเสียพ่อกับแม่ไปก็เพราะโรงงานของครอบครัวเขามาในตอนนี้พี่ดาร์กต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะมาปกป้องเขาอีก

กว่าจะกลับออกมาจากห้องน้ำเวลาก็ใกล้จะตีสี่แล้วเป็นธรรมเลยบอกให้แจงพักที่นี่ด้วยกันซะเลยแล้วค่อยขับรถกลับในตอนเช้าแจงนอนที่โซฟาส่วนเขานั่งจับมือพี่ดาร์กที่ข้างเตียงจนหลับไปและสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่โทรศัพท์พี่ดาร์กดังขึ้นตอน 7 โมงเช้า

“สรุปประชุมได้ไหมเนี่ย? เสร็จทันไหม? เงียบไปเลยมึง”

“สวัสดีครับคุณแชมป์”

“...”

“ผมเป็นธรรมครับ”

หลังจากวางสายของคุณแชมป์ไปเป็นธรรมก็เดินไปปลุกแจงให้เตรียมไปทำงานเขาไม่ได้บอกแจงเรื่องที่ว่าจะมีคนมาเยี่ยมพี่ดาร์กในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเพราะถ้าแจงรู้แจงคงดื้ออยู่เป็นเพื่อนเขาและเขาก็ไม่ต้องการให้แจงต้องมาป็นห่วงจนเสียงานเสียการและก่อนที่จะมีใครมาถึงเขาก็ได้ไปบอกกับแม่ว่าพี่ดาร์กยังคงไม่รู้สึกตัวและเขาก็ยังคงอยากอยู่ดูพี่ดาร์กอยู่ก่อน

“แม่คงไม่ว่าอะไรผมใช่ไหมครับ? แม่ก็รู้ว่าพี่ดาร์กเขาไม่มีใคร”

“เขามาช่วยชีวิตคุนเอาไว้ แม่คงไม่ใจร้ายกับเขามากขนาดนั้น”

“ขอบคุณครับแม่”

ใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงคุณแชมป์และคนอื่นที่เป็นธรรมคุ้นเคยก็มาถึงโรงพยาบาลในกลุ่มคนนั้นมีเพียงผู้หญิงสูงอายุคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข้ามาแล้วผมไม่รู้จักผู้หญิงสูงอายุคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาพี่ดาร์กด้วน้ำตาที่นองหน้าแต่ยังคงหันมายิ้มให้กับเขา

“ฉันขอเข้าไปดูดาร์กเขาใกล้ๆ ได้ไหมจ๊ะ?”

“ครับ”

   คำขอนั้นทำให้เป็นธรรมรู้ตัวว่าเขากำลังยืนติดเตียงของพี่ดาร์กและยังเอาตัวบังส่วนบนของพี่ดาร์กเอาไว้ทำให้พวกเขาไม่มีใครสามารถเห็นใบหน้าของพี่ดาร์กได้ชัด และทันทีที่เขาเบี่ยงตัวออกผู้หญิงคนนั้นก็หลุดสะอื้นออกมาคุณกี้รีบเข้าไปประคองผู้หญิงคนนั้นนั่งเธอนั่งลงผู้หญิงคนนั้นลูบไปที่ศรีษะของพี่ดาร์กด้วยความรักสายตาของเธอไม่สามารถปิดบังความรู้สึกของเธอที่มีต่อคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเธอได้เลยเท่าที่เขาเคยรู้พี่ดาร์กไม่มีญาติคนไหนเหลืออยู่และผู้หญิงคนนี้หรือว่าสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับพี่ดาร์กมันจะยังเป็นเรื่องโกหกอีก

“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”

“สวัสดีครับคุณกี้และคุณเบทคุณแชมป์”

“คุณเป็นธรรมพอจะเล่าอะไรให้พวกเราฟังได้ไหมครับ?”

   เป็นธรรมเอาแต่ดูภาพที่พี่ดาร์กกำลังได้รับความอบอุ่นนั้นโดยที่ไม่ตอบคำถามของคุณเบทและคุณเบทคงเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ว่าถึงได้พูดอธิบายขึ้นมา

“นั้นคือครูสมใจครูของดาร์กตั้งแต่สมัยประถมเป็นคนที่ดูแลดาร์กมันมาตลอดส่วนกี้คือแฟนของผมครับเป็นลูกของคุณครูและเป็นหลานของป้าสุวรรณีส่วนแชมป์เขาเป็นเพื่อนของดาร์กตั้งแต่วันที่ดาร์กได้กลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง”

“เมื่อคืนพี่ดาร์กเข้ามาช่วยผมเอาไว้จากพวกทวงหนี้นอกระบบ”

เมื่อทางนั้นก็ได้ให้คำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้มันก็ถึงเวลาที่เขาควรจะแลกเปลี่ยนข้อมูลให้กับทางนั้นได้รับรู้บ้าง

“จนได้สินะ”

“จนได้?”

“อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้เลยว่าดาร์กมันตามคุณมาตลอดเวลา?”

“ตาม?”

“ครับ ตามดาร์กมันตามคุณมาได้สักพักแล้วครับก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงรู้ว่าจะมีคนมาทำร้ายคุณถ้าคุณอยากจะรู้อันนี้คุณต้องรอถามกับเจ้าตัวตอนที่มันตื่นขึ้นมาเท่าที่เรารู้กันก็คือมันตามคุณมานานเรื่องที่ไปเจอคุณเมื่อวานคุณคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหมครับ?” คุณแชมป์เดินเข้ามาสมทบและเพิ่มความกระจ่างให้กับเขา

“ผม...ไม่เคยรู้เลยครับ”

“อยากฟังเรื่องของพวกเราบ้างไหมครับ? ถ้าอยากฟังผมว่าเราออกไปคุยที่ระเบียงดีกว่าครับ”

“ครูว่าครูเล่าดีกว่ามันเป็นเรื่องของคนในครอบครัวของครูโดยตรงแม่ขอเล่านะลูก?”

“ได้ค่ะ”

ครูสมใจยังคงจับมือของพี่ดาร์กเอาไว้แม้ว่าจะละสายตามามองที่เขาแล้วก็ตามคุณแชมป์ลากเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ในห้องมาให้เขานั่งลงตรงหน้าของครูสมใจ

“เด็กคนนี้เป็นเด็กดีนะคะครั้งแรกที่ดิฉันเจอเขาตอนนั้นเขายังเด็กอยู่เลยค่ะดูเป็นเด็กไม่สู้คนด้วยซ้ำไม่รู้เลยว่าพอโตขึ้นมาเขาจะเป็นนักสู้ขนาดนี้เขาไม่ได้แค่สู้เพื่อตัวเขาเองนะคะแต่เขายังสู้เพื่อคนอื่นด้วยค่ะ”

“คุณรู้ไหมคะว่าทำไมทุกคนถึงช่วยเขา?”

“ไม่ทราบครับ”

“แล้วคุณพอจะรู้ไหมคะว่าดาร์กเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ”

“เรื่องนี้ผมพอจะทราบว่าพี่ดาร์กทำงานหาเงินมาตลอดครับ”

“ใช่ค่ะ เด็กคนนี้ทำงานหาเงินมาตลอดและเพราะเป็นคนขยันความจริงเขาจะต้องมีเงินเก็บที่มากกว่านี้ด้วยซ้ำ เขาเป็นเด็กเรียนดีเลยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนเลยสักนิดแต่แล้วเงินพวกเก็บของเขาต้องมาหมดไปในบางส่วนก็เพราะดิฉันที่ได้ชื่อแค่ว่าเป็นครูของเขาเกิดป่วยขึ้นมาค่ะดิฉันต้องทำบอลลูนซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากถ้าในตอนนั้นดิฉันไม่ได้เงินจากเด็กคนนี้เข้ามาสมทบดิฉันอาจจะไม่มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้”

 คุณครูสมใจยิ้มไปตลอดการเล่าเรื่องเหมือนว่าเขากำลังได้ระลึกถึงความหลังที่สวยงามเอาไว้

“เหมือนโลกนี้สร้างเด็กคนนี้เพื่อให้มาปกป้องครอบครัวของเราค่ะเพราะนอกจากตัวของดิฉันเองแล้วที่ได้รับการช่วยเหลือกี้ลูกสาวของดิฉันก็ได้รับการช่วยเหลือจากดาร์กเขาเช่นกัน”

“เมื่อหลายปีก่อนกี้เขาไปเที่ยวที่ตลาดแถวหมู่บ้านเพียงลำพังขากลับมีคนตามกี้เข้ามาในซอยและก็พยายามจะลากกี้เข้าไปที่ข้างทางถึงดินฉันไม่ได้บอกแต่คุณเป็นธรรมก็พอจะรู้ใช่ไหมคะว่าจุดมุ่งหมายของคนร้ายคืออะไร?”

“ครับ”

“กี้เขาพยายามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดแต่ก็ไม่สามารถกี้เขาถอดใจไปแล้วละคะกี้ปล่อยให้คนร้ายข่มเหงแต่แล้วเสียงของเด็กชายคนนึงก็ทำให้ความหวังของกี้ที่ริบหรี่กลับมามีอีกครั้ง”

เป็นธรรมหันไปมองคุณกี้ที่แม้ในตอนนี้ที่ครูสมใจกล่าวถึงเรื่องนั้นในดวงตาของคุณกี้ยังคงมีความหวาดกลัวฉายอยู่จนคุณเบทต้องเข้ามาบีบมือของคุณกี้เอาไว้

“มีเด็กผู้ชายที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้คนนึงดันเดินผ่านมาที่จุดเกิดเรื่องพอดีเขาตะโกนเสียงดังและวิ่งตรงเข้ามาแม้จะเห็นแล้วว่าผู้ชายคนนั้นที่ทำร้ายกี้อยู่จะมีรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าเขาแต่เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งเข้าใส่แม้จะไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขากำลังจะเข้าช่วยคือใครแต่เด็กผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาช่วยทำให้กี้เขามีแรงฮึดขึ้นมจนคนร้ายจะเริ่มใจเสียและทั้งที่ตัวโตกว่าก็ยอมล่าถอยไป”

“กี้เขารอดมาได้ก็เพราะดาร์กนี่แหละค่ะ”

“ผมที่เป็นแฟนของกี้ก็เลยตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะยอมช่วยดาร์กมันทุกอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนในครั้งนั้นที่ทำให้กี้รอดออกมาได้”

“ดิฉันรู้ว่าที่ผ่านมาดาร์กเขาก็ทำไม่ดีกับคุณเอาไว้มากถ้าคุณอยากจะโกรธหรือโทษใครเขาสักคนดิฉันอยากให้โทษมาที่ดิฉันที่ดิฉันอบรมเขามาไม่ดีทั้งที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแม่ที่ดีให้กับเขาแถมยังไม่มีความสามารถที่จะห้ามเจ้าพวกนั้นได้อีกด้วยอีกทั้งน้องสาวของตัวเองแท้ๆ ก็ยังไปกระโดดร่วมวงด้วยอีก”

“ป้าสุวรรณีแค่จะเข้ามาควบคุมไม่ให้มันบานปลายค่ะ แม่ก็รู้”

“แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี”

“แม่ // ครู”

“เพราะเห็นว่าเขายิ้มมาได้ตลอดก็เลยคิดว่าเรื่องพวกนั้นมันน่าจะจบลงได้แต่ไม่คิดเลยว่ามันยิ่งบานปลายจนมาถึงขั้นนี้ขั้นที่ทำให้คุณต้องมาเดือดร้อนไปกับความหลังที่คุณไม่ได้มีส่วนรู้เรื่องด้วยเลยเมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเป็นธรรม...”

ครูสมใจทำท่าจะเล่าเรื่องต่อแต่แล้วครูก็หยุดพูดกับเขาและมองไปที่มือของตัวเองเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่เขาเห็นว่ามือของพี่ดาร์กขยับแต่มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวและหยุดไปเขากลั้นลมหายใจและภาวนาขอให้พี่ดาร์กฟื้นขึ้นมาและอึดใจต่อมามือพี่ดาร์กก็เคลื่อนไหวอีกครั้งคำอธิษฐานของเขาเป็นจริง

“ดาร์ก ดาร์ก”

“ครู”

   เสียงของพี่ดาร์กแหบแห้งพร้อมกับทุกคนในทั้งห้องก็ต่างพุ่งเข้าไปที่เตียงมีคุณกี้ที่วิ่งเข้าไปหยิบน้ำเทใส่แก้วและหยิหลอดมาป้อนให้พี่ดาร์กครูสมใจกำลังบีบมือให้กำลังใจคุณเบทกดเรียกหมอและคุณแชมป์ก็เดินเข้าไปพูดคุย
จากเรื่องที่ได้ฟังเป็นธรรมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงรักและรู้สึกผูกพันกับพี่ดาร์กมากขนาดนี้ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าเขาก็รู้ได้ว่าพวกเขารักจนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะฉะนั้นถ้าคนในครอบครัวเจ็บก็ไม่แปลกที่คนอื่นในครอบครัวก็ต้องช่วย

 
“ดาร์กต้องไม่เป็นไรลูก ต้องไม่เป็นไร”

   หลังจากที่คุณหมอเข้ามาตรวจและอธิบายเกี่ยวกับอาการของพี่ดาร์กเบื้องต้นทั้งห้องต่างตกอยู่ในความเงียบตัวเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับใครในห้องสักคนยิ่งเห็นพี่ดาร์กไม่พูดอะไรออกมาสักคำแต่กำผ้าห่มของโรงพยาบาลแน่นเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดเพราะเขารู้ดีว่าพี่ดาร์กกำลังรุ้สึกอย่างไรอยู่จากตำแหน่งที่ไม่ไกลจากข้างเตียงเขาจึงพยายามถอยออกมาเรื่อยๆ 

ครูสมใจดึงพี่ดาร์กเข้าไปกอดเอาไว้แต่เพียงแค่ขยับตัวเลือดก็ซึมออกมาจากผ้าพันแผลที่อยู่ทางสีข้างของพี่ดาร์กจนครูต้องเรียกพยาบาลให้เข้ามาทำแผลให้

“คุนอยู่รึเปล่า?”

ลมหายใจของเป็นธรรมกระตุกทันทีที่พี่ดาร์กเรียกชื่อของเขาความกล้าก่อนหน้านี้ที่อยากจะเป็นคนดูแลอยากจะอยู่ข้างๆ มันแทบไม่เหลืออยู่เมื่อการเผชิญหน้าพร้อมกับความรู้สึกผิดว่าเป็นต้นเหตุมันทำให้เขาไม่กล้าขานตอบกลับไป

“ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่พวกเราทำไมเหรอ?” คุณแชมป์เป็นคนตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“ก็ดี”

พี่ดาร์กถอนหายใจและทิ้งตัวนอนไปที่ที่นอนอย่างเดิม ‘ก็ดี?’ นั้นมันหมายความว่ายังไงมันหมายความว่าการที่เขาไม่อยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว? เมื่อเป็นแบบนี้เมื่อการไม่มีตัวตนของเขาคือสิ่งที่ดีเป็นธรรมจึงหันไปยกมือไว้ลาครูสมใจและค่อยๆ หันตัวออกมาจากห้องปิดประตูให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เขาจะถือว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้วได้ดูแลจนตอนนี้พี่เขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว 

แต่เพราะวเป็นธรรมหมุนตัวออกมาเร็วไปเขาเลยไม่ได้ยินประโยคต่อไปที่ทรงจำตั้งใจที่จะพูดออกมา

 “ขอร้องนะไม่ว่ายังไงทุกคนก็อย่าบอกเรื่องนี้กับคุนเป็นเด็ดขาดอย่าบอกเรื่องตาอย่าบอกเรื่องอาการบาดเจ็บถ้าคุนมาถามให้บอกว่าเดี๋ยวก็หายผมไม่อยากให้เขามารู้สึกผิดเพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขา”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2018 06:06:26
บทที่ 18 Rewrite

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ? ไหนว่าวันนี้จะอยู่ดูดาร์กที่โรงพยาบาล?”

“พี่ดาร์กเขามีคนไปดูแลแล้วครับแม่…พอลหวัดดี”

“เอ๊ะ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่ได้มีญาติ หรือว่าจะเป็นลุงกับป้าที่…”

“เปล่าครับ แต่พี่เขามีคนรู้จักไปดูแลครับ”

“อ่อ งั้นก็ดีจ๊ะ”

“แล้วเรื่องที่โรงพักเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ตำรวจรับเรื่องเอาไว้แล้วหลักฐานทางเราพร้อมแต่คุนคงต้องเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับทางตำรวจเพราะตอนเกิดเหตุแม่อยู่ในบ้านและถ้าจะเอาเรื่องถึงที่สุดก็ต้องเป็นดาร์กที่ต้องเป็นคนที่ให้ปากคำด้วยเพราะว่าเขาเป็นผู้ประสบเหตุโดยตรง”

“ไว้ ผมจะเข้าไปแล้วกันครับ”

“งั้นเดี๋ยวแม่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อน พอลอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิลูก”

“ครับแม่”

   ไหนๆ ก็กลับมาที่บ้านแล้วเป็นธรรมก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เขาจึงโทรให้เมสเซนเจอร์มาส่งรายงานและงานที่เขาทั้งหมดของวันนี้มาให้เขาดูที่บ้านส่วนพอลเขาบอกให้กลับไปตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จแต่พอลก็ยังยืนยันที่จะอยู่เป็นเพื่อนอีกคืน

ตอนเช้าพอลดึงดันที่จะไปส่งเขาที่ทำงานให้ได้แม้จะปฎิเสธว่าไม่เป็นไรแต่พอลก็ไม่ยอมนั่งเถียงกันมาในรถเพราะโรงงานเขากับที่ทำงานของพอลไม่ได้ใกล้กันเลยสักนิดและแล้วพอลก็ต้องยอมแพ้ให้กับการจราจรเมื่อนั่งมาแล้วกว่าครึ่งชั่วโมงแลรถก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนพอลยอมตีรถเข้าข้างทางเมื่อใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า

“วันนี้จะเลิกงานกี่โมง?”

“ก็คงเย็นๆ ทำไมเหรอ?”

“จะได้มารับช่วงนี้อย่าเพิ่งเดินออกเข้าซอยคนเดียวไม่น่าจะปลอดภัยพวกนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรากลับแท็กซี่เข้าไปในซอยก็ได้พอลขับไปกลับเหนื่อยแย่”

“ก็ไม่ได้จะไปกลับจะไปค้างด้วยเลยต่างหากมารับและเดี๋ยวกลับไปค้างบ้านด้วย”

“แล้วที่บ้านละ? ไม่กลับไปดูบ้านบ้างเหรอ?”

“บ้านเราไม่มีอะไร”

“ก็คนที่บ้านไง พ่อ แม่ ไม่ต้องกลับไปดูเหรอ?”

“คุน? มีอะไร?”

“คือ..”

“ว่ามา”

เป็นธรรมก้มหน้ามองมือที่วางที่ตักของตัวเองก่อนที่ตอบคำถามพอลออกไปด้วยเสียงที่เบาเหมือนกระซิบ

“ก่อนกลับบ้านเราอยากแวะเข้าไปดูพี่ดาร์กเขาสักหน่อย ไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นยังไงบ้าง”

“คุน”

“ก็พี่เขาต้องเจ็บเพราะเรา จะให้เราเมินเฉยเราคงทำไม่ได้”

“แต่แม่นายก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายไปแล้วนิ”

“แต่…พี่ดาร์กเขาอาจจะตาบอดเลยนะพอลตาที่พี่เขาใช้มาตลอดพี่เขาอาจจะต้องเสียมันไปเพราะเรา”

“เฮ้อ เอางี้งั้นเรากลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นายก่อนและพอนายจะกลับก็โทรมาเดี๋ยวออกมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”

“ไม่เป็นไรเรานั่งแท็กซี่เอาก็ได้ไม่ต้องขับออกมาหรอกพอลอย่าเพิ่งบอกแม่นะเราไม่รู้ว่าแม่จะว่ายังไงบ้างเรื่องที่เราจะไปดูพี่ดาร์ก”

“มันเป็นเรื่องที่นายต้องพูดเองอยู่แล้ว แต่ยังไงตอนจะกลับก็โทรมาแล้วกัน”

“ขอบใจมากนะพอล”

“เออ เรื่องเล็ก”

   งานที่โรงงานเป็นไปตามแผนและขั้นตอนที่ได้ถูกวางเอาไว้ดังนั้นแค่ช่วงบ่ายเขาก็เช็คบัญชีและสต๊อคของที่จะเตรียมส่งของให้กับลูกค้าเสร็จเขาจึงออกจากโรงงานเร็วขึ้นโดยที่หวังเอาไว้ว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลได้นานมากขึ้น

“เอาไงดีนะ?”

   แต่คำว่า ‘ก็ดี’ จากปากของพี่ดาร์กยังคงติดอยู่ในหัวทำให้แม้เขาจะมาถึงชั้นที่พี่ดาร์กพักอยู่นานแล้วแต่เขาก็เอาแต่เดินวนอยู่แถวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่กล้าไปที่หน้าห้องพักของพี่ดาร์กแต่จะให้หันหลังกลับใจนึงเขาอยากรู้ความเป็นไปแต่ถ้าเข้าไปเขาก็กลัวว่าจะโดนไล่ออกมาเขายืนเถียงกับความรู้สึกของตัวเองอยู่นานแต่แล้วความเป็นห่วงและอยากรู้อาการของที่มีมากกว่าทำให้เขากล้าเดินเข้าไปที่ห้องพัก

   เป็นธรรมค่อยๆ หมุนลูกบิดและชำเลืองมองเข้าไปในห้องซึ่งในห้องไม่มีใครอยู่ยกเว้นพี่ดาร์กที่นอนอยู่บนเตียง แต่ตาของพี่ดาร์กถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าเขาเลยไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังเอนนอนที่เตียงนั้นกำลังตื่นหรือหลับอยู่กันแน่แต่โทรทัศน์ที่ถูกแขวนอยู่มันก็ถูกปิดเอาไว้เขาจึงเดาเอาว่าพี่ดาร์กกำลังหลับการพยายามที่จะเดินเข้าไปในห้องให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้จนเหมือนการย่องจึงเกิดขึ้น

“ใครครับ?”

   เพราะเมื่อเป็นธรรมเดินจนใกล้จะถึงเตียงพี่ดาร์กก็หันหน้ามาทางเสียงเท้าและเอ่ยปากถามในหัวสมองของเขาคิดหาทางออกให้วุ่นว่าควรจะทำอย่างไรดีระหว่างตอบออกไปว่าเป็นเขาหรือควรจะยืนเงียบอยู่อย่างนี้หรือควรวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเพราะตอนนี้ตรงหน้าผากที่พ้นผ้าพันแผลออกมากำลังปรากฏของรอยย่นแถมมือของพี่ดาร์กก็กำลังควานหาของที่หัวเตียงซึ่งถ้าให้เดาเขาว่าพี่ดาร์กคงกำลังจะกดปุ่มขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

   เกาะๆ

เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องำให้เป็นธรรมเหงื่อตกมันไม่เหลือทางเลือกอื่นให้เขานอกจากยอมรับออกไปสินะว่าเขาเป็นใครแต่พอเห็นว่าเป็นนางพยาบาลคนที่เขาเคยเห็นหน้าตั้งแต่วันแรกที่มาเฝ้าพี่ดาร์กที่กำลังจะเอ่ยทักเขาเขารีบส่ายหัวให้กับเธอพร้อมกับยกมือขึ้นจุ๊ที่ปากในที่สุดเธอก็ยอมพยักหน้าให้

“สวัสดีค่ะคุณทรงจำ ดิฉันเอายาเข้ามาให้พร้อมทั้งขอเช็คร่างกายด้วยนะคะ”

“เมื่อกี้มีคนเข้ามาในห้องใช่ไหมครับ?”

“อ่า”  เธอหันมามองหน้าเขาที่กำลังซีดเผือดก่อนแล้วค่อยหันไปตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“ใช่ค่ะ เป็นบุรุษพยาบาลที่ช่วยดิฉันเข็ญของเข้ามาค่ะ” เท่านั้นพี่ดาร์กก็คลายข้อสงสัยและปล่อยให้นางพยาบาลเริ่มทำงาน

“เสร็จแล้วค่ะ คุณทรงจำอยากไปห้องน้ำไหมคะ?”

“ยังครับ”

“ถ้าต้องการอะไรกดปุ่มที่ตรงนี้ ได้ตลอดเวลานะคะ”

   เธอเลื่อนเอาปุ่มกดขอความช่วยเหลือมาวางไว้ที่ข้างหมอนของพี่ดาร์กพร้อมกับจับมือพี่ดาร์คมาสัมผัสกับมัน และก่อนที่เธอจะออกไปจากห้องเธอก็หันมามองทางผมและก็กระซิบให้ผมเดินตามเธอออกไป

“คุณคือคนที่มาส่งคนไข้ที่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ?”

“ครับ”

“ดิฉันขอรบกวนถามได้ไหมคะว่าทำไมคุณจะต้องแอบเข้าไปในห้องด้วย?”

   “ผมมีความจำเป็นส่วนตัวครับที่บอกคนไข้ไม่ได้ว่าผมมาเยี่ยมแต่ผมไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเขานะครับคุณก็เห็นว่าผมเคยมานอนเฝ้าเขา”

“แม้ดิฉันจะเข้าใจตามที่คุณอธิบายแต่ทางคนไข้ก็มีญาติมาดูแลยังไงดิฉันว่าคุณก็ควรที่แจ้งกับทางญาติของเขาด้วยนะคะเพราะถ้าคุณยังแอบเข้ามาแบบนี้ดิฉันที่ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ก็คงต้องแจ้งทางญาติของเขาเช่นกันค่ะ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ แล้วผมจะบอกกับทางญาติเขาเองว่าแต่ญาติของคุณทรงจำไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลารึครับ?”

“…”

“คือ ผมจะได้มาหาได้ถูกเวลานะครับจะได้ขออณุญาตเข้าเยี่ยม”

“อ่อ ก็จะสลับกันมานะคะ แต่พอช่วงบ่ายนี่จะไม่เห็นใครค่ะ กลับมาอีกทีก็ประมาณบ่ายสามบ่ายสี่คุณจะมาช่วงนั้นก็ได้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวครับคุณ ผมขอรบกวนถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

“ถ้าดิฉันตอบได้ค่ะ”

“คือ ทำไมเมื่อกี้ตอนที่คุณทำแผลให้กับคุณทรงจำคุณถึงไม่ทำความสะอาดแผลที่ดวงตาละครับ?”

“คุณหมอยังไม่ต้องการให้แตะต้องแผลตรงนั้นค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

   เป็นธรรมได้แต่บอกตัวเองว่าวันนี้ได้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วแม้เขาจะได้ใช้เวลาแค่เพียงนิดเดียวที่เห็นพี่เขาแต่ก็ยังดีกว่าที่เขาไม่ได้เห็นและรู้ความเป็นไปของพี่ดาร์กเลย

   ตลอดทางกลับบ้านผมคิดมาตลอดว่าผมจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้พี่ดาร์กสงสัยเวลาที่เขาเข้าไปเยี่ยมถึงตาไม่เห็นแต่หูพี่ดาร์กไม่ได้บอดแค่พูดก็รู้แล้วว่าใคร ใช่แค่พูดเพราะแบบนั้นถ้าไม่ใช่เสียงของเขาพี่ดาร์กก็จะไม่มีวันรู้ว่าเป็นเขาเท่านั้นเขาก็รีบค้นหาแหล่งซื้อเครื่องเปลี่ยนเสียงจากอินเตอร์เน็ตทันที


“เป็นไรหน้าสดชื่นเดินลงมาจากสะพานเลย”

   ตรงตีนสะพานของ BTS มีแจงมายืนรอเขาอยู่และยังไม่ทันที่เขาจะได้ทักหรือถามว่าทำไมถึงเป็นแจงแทนพอลไปได้เขาก็โดนจับผิดเข้าให้แล้ว

“แล้วไม่ดีเหรอ?”

“ก็เปล่าก็เห็นพอลบอกว่าเมื่อเช้ามีคนหน้าเหมือนคนกำลังอมทุกข์ก็น่าแปลกใจที่อยู่ดีๆ ก็กลับมาพร้อมรอยยิ้ม หรือว่าผมตาพี่เขาออกมาแล้วสรุปว่าพี่เขาตาจะไม่บอดแล้วเหรอ?”

“ก็เปล่า”

“เฮ้ยหน้าเปลี่ยนสีเลยขอโทษๆ ไม่น่าทักเลย”

“ไม่เป็นไรว่าแต่นี่มาได้ไง?”

“ก็ เพื่อนอยู่ที่นี่กันหมดจะขาดฉันไปได้ไงละจริงไหม?”

คืนนี้เลยกลายเป็นว่าทั้งพอลและแจงค้างที่บ้านของเขากันหมดก่อนล้มตัวลงนอนเล่าเรื่องความคิดเรื่องแปลงเสียงให้กับทั้งสองคนได้ฟังแจงดูไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่บอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิดไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่ก็ได้พอลที่ช่วยอธิบายจนแจงเลิกบ่นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไปแต่ก้ยังไม่วายทิ้งคำถามเอาไว้ให้เขาได้คิด

“ทำไมพวกนี้ชอบทำอะไรให้มันซับซ้อนกันนักนะ?”

วันรุ่งขึ้นเป็นธรรมรีบออกไปทำงานตั้งแต่เช้ารีบไปเคลียร์งานให้เรียบร้อยเพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปให้ถึงโรงพยาบาลตั้งแต่บ่ายโมงตรงเพราะถ้าเป็นไปตามที่นางพยาบาลคนนั้นได้บอกเขาเอาไว้เขาจะมีเวลาอยู่ราวๆ สามชั่วโมงที่จะเข้าเยี่ยมพี่ดาร์กโดยที่ไม่มีใครรู้

“ใครครับ?”

“สวัสดีครับผมเป็นบุรุษพยาบาลที่นี่ครับ” ได้เวลาที่เครื่องดัดเสียงจะทำงาน

“ผมทานยาไปแล้วเมื่อกี้นิครับ มีอะไรรึเปล่า?”

   ยา? เออใช่เพราะเขาเองก็ไม่อยากเจอเข้ากับนางพยาบาลเลยจงใจมาให้ช้ากว่าเดิมสักหน่อยนั้นสิแล้วเขาจะควรเข้ามาทำไมจู่ๆ บุรุษพยาบาลจะเดินเข้ามาในห้องคนไข้ทำไมกัน

“ผมเข้ามาเก็บของครับ”

   พี่ดาร์กพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเขาเดินเข้าไปใกล้กับพี่ดาร์กให้มากขึ้นบรรยากาศรอบตัวของพี่ดาร์กมันดูเหงาพิกลเขาเลยทำลายความเงียบ

“คุณอยู่เงียบๆ แบบนี้ ให้ผมเปิดทีวีให้ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“แต่มันจะไม่เงียบไปเหรอครับ?”

“ผมตอนนี้ดูอะไรไม่ได้นะครับ”

“เสียงไงครับ อยู่แบบนี้คุณไม่เหงาเหรอครับ?”

พี่ดาร์คเริ่มที่จะขมวดคิ้วอาจจจะเพราะเขาคงเริ่มพูดมากเกินกว่าที่บุรุษพยาบาลเขาพูดกัน

“เออ ขอโทษครับถ้าผมพูดมากไป ผมเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ยังไม่ค่อยรู้กฎอะไรนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้ววันนี้คุณหมอมาเช็คตาหรือเปล่าครับ”

“มาครับ”

“คุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“…”

“พอดีพรุ่งนี้ผมต้องเป็นคนเตรียมของให้กับห้องในชั้นนี้ครับ ผมถามคนไข้อีกรอบแบบนี้เสมอครับ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกผมไปเช็คตารางได้ครับ ผมแค่ชวนคุย”

“คุณหมอก็ให้ทำความสะอาดแผลที่ตาได้แล้วครับบอกแค่ว่าแผลปิดสนิทดี แต่เรื่องผลอย่างอื่นต้องรอให้ครบอาทิตย์”

“ผมเชื่อว่าคุณจะต้องหายดี เพราะคุณเป็นคนดี”

“ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับแต่คุณไม่รู้จักผมคุณไม่รู้หรอกครับว่าผมดีไม่ดี”

“แต่ผมได้ยินมาว่าที่คุณเป็นแบบนี้เพราะคุณไปช่วยคนอื่นเขามา คนที่เข้าไปช่วยคนอื่นจนเป็นแบบนี้ได้ ผมว่าก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนดีนะครับ”

“คุณไปได้ยินมาจากไหน?”

ทำไมพี่ดาร์กถึงได้เป็นคนขี้สงสัยมากขนาดนี้นะแล้วทำไมเขาถึงต้องพูดอะไรมากขนาดนี้ด้วย

“ก็คนที่พาคุณมาโรงพยาบาลเขาต้องเล่าให้คุณหมอฟังก็แผลคุณเหมือนคนโดนทำร้ายมา”

“อ่อครับ ผมไปช่วยคนที่ผมไปทำร้ายเขามาครับ”

“แต่คุณคงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเขารึเปล่าครับ?”

“…”

“คือถ้าคุณตั้งใจคุณก็คงไม่ไปช่วยเขาผมเดาเอานะครับ”

“คุณเดาผิดผมตั้งใจครับและเพราะผมตั้งใจเขาเลยต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้”

   คำตอบของพี่ดาร์กทำให้น้ำตาของเขาไหลลงมาอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนเขารีบถอยออกมาจากเตียงนอนพร้อมทั้งยกเอามือปิดปากเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนสะอื้นหลุดออกไปให้พี่ดาร์กได้ยิน

“คุณคงกำลังคิดว่าสมแล้วที่ผมเป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ?”

เพราะเขายังไม่สามารถสงบสติของตัวเองได้เขาจึงไม่มีความสามารถที่จะตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“คุณครับ?”

“ไม่หรอกครับ ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกครับ”

“คุณคนเดียวนะสิครับที่ไม่คิดกับคนอื่นผมไม่รู้เลย”

“ไม่หรอกครับเขาก็ไม่คิด”

“คุณจะไปรู้ได้ยังไง?”

“ผมรู้ครับ”

“ครับ?”

“ก็ วันนั้นพอดีผมอยู่เวรผมยังเห็นคนนั้นมาส่งคุณอยู่เลยถ้าเกิดเขาคิดแบบนั้นเขาคงไม่มาส่งคุณ” และนั่งเฝ้าพี่ถึงเช้า อันนี้เป็นประโยคที่เขาได้แต่คิดแต่ไม่ได้โอกาสที่จะสื่อสารออกไป

“เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับต่อไม่ให้ใช่ผมแต่ถ้าใครไปเจ็บตรงหน้าของเขา เขาก็ต้องช่วยอยู่ดีว่าแต่วันนั้นคุณเห็นเขาเขาบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ?”

“ไม่ครับ”

“ดีแล้วที่มันเป็นแบบนี้”

“อย่าคิดมากเลยครับ คุณรักษาตัวให้หายก็พอครับ”

ไม่น่าเชื่อว่าเวลามันผ่านไปเร็วแค่เพียงประโยคพูดเพียงไม่กี่คำตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายสามเข้าไปแล้วเขาอยากที่จะรั้งอยู่ต่อแต่มันก็คงไม่คุ้มถ้าถูกจับได้

“ งั้นผมไปก่อนนะครับ”


   แผนของเขาผ่านไปได้ด้วยดีเป็นธรรมสามารถเข้ามาเยี่ยมพี่ดาร์กจนนี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วทุกวันเขาจะเข้าไปชวนคุยไม่ก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่เจอให้ฟังบางครั้งก็เป็นข่าวประจำวันมาเล่าเพราะสมัยที่เรายังคบกันไม่มีวันไหนเลยที่ตื่นเช้ามาพี่ดาร์กจะไม่นั่งฟังข่าวในรถของตัวเองบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เขาเดินเจอตามท้องถนน

จนมาถึงวันนี้วันที่คุณหมอจะมาบอกแผนการรักษาดวงตาของพี่ดาร์กว่าจะต้องรักษาดวงตานั้นอย่างไรต่อไป เขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถมาฟังได้ด้วยตัวเองในช่วงเช้าเขาเลยต้องถามจากตัวของพี่ดาร์กในช่วงบ่ายแทน

“เมื่อเช้าคุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดใหม่อีกครั้ง” เพราะได้คุยกันบ่อยช่วงหลังมานี้พี่ดาร์กเลยยอมพูดกับเขามากขึ้นพร้อมยอมเล่าอะไรให้ฟังมากกว่าเดิม

“ทำไมละครับ? มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึครับ? แล้วคุณหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

“เสียงของคุณกำลังตกใจเหมือนครูของผมเลย”

“สรุปว่า?”

“ผมต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง คุณหมอบอกว่าสภาพตรงเปลือกตาและดวงตาด้านในข้างนึงเสียหายหนักถ้าปล่อยไว้ยังไงหลังแผลหายดีผมก็ต้องสูญเสียการมองเห็น”

“...”

“แต่คุณหมอก็บอกว่าผมอาจจะยังพอมีหวังที่จะสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง อย่างน้อยก็สักข้างนะครับ”

“ผมขอใช้ห้องน้ำนะครับ”

   เป็นธรรมรีบตรงเข้ามาในห้องน้ำและเปิดก๊อกน้ำให้แรงที่สุดเท่าที่มันจะแรงได้โดยหวังว่าเสียงของน้ำจะดังพอจนสามารถกลบเสียงร้องไห้ของเขาได้หมด

 ‘สักข้าง’ คุณหมอใช้คำนี้นั้นหมายความว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะมองไม่เห็นเลยทั้งสองข้างมีสูงมากขนาดตัวเขารู้ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้แล้วพี่ดาร์กที่นั่งอยู่ข้างนอกนั้นพี่เขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเช้าพี่เขาผ่านช่วงอารมณ์ความเสียใจความตกใจมาได้อย่างไรเขามีใครอยู่ข้างๆ ไหม ทำไม ทำไมเขาถึงมาอยู่ข้างๆ พี่เขาไม่ได้ทำไม เป็นธรรมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำอยู่ประมาณยี่สิบนาทีกว่าเขาจะพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพี่ดาร์กอีกครั้ง

“คุณโอเคนะครับ?”

“ผมท้องเสียนะครับขอโทษด้วยที่ต้องใช้ห้องน้ำคุณมันกระทันหันจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ”

   ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำเขาคิดเอาเองว่าเขาพร้อมที่จะเจอหน้าพี่ดาร์กพร้อมที่จะมำตัวเข็มแข็งแล้วแต่เอาเข้าจริงพอออกมาเขาได้แต่นั่งเงียบเป็นพี่ดาร์กเสียเองที่ทำลายความเงียบโดยการเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ของเขาที่ต่างวางแผนกันไปไกลหลังจากที่ได้ยินคุณหมอพูดถึงเรื่องการผ่าตัดและเปอร์เซ็นต์จะสำเร็จทั้งที่ตัวพีดาร์กเองยังไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้นและดูเหมือนว่ากลุ่มเพื่อนของพี่ดาร์กไม่มีใครสักคนที่จะยอมฟังหรือถามความเห็นของพี่เขาเลย

“ถ้าเกิดคนนั้นเขายังอยู่ผมคงจะได้พูดอย่างที่ผมคิด”

“ใครเหรอครับ?”

“คนวันนั้นที่คุณเห็นนั้นแหละเขามักจะฟังผมเสมอถ้าวันนี้เขายังอยู่ก็คงจะดี”

   หลังจากที่เป็นธรรมได้ใช้เวลาอยู่ในห้องพักพี่ดาร์กครบสามชั่วโมงเขาก็มุ่งหน้าตรงกลับบ้านเพราะตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงให้กลับไปต่อสู้กับงานที่โรงงานได้อีกแล้ว

“วันนี้เลิกเร็วเหรอจ๊ะ?”

“ครับแม่”

“มีอะรึเปล่า? หน้าดูไม่ดีเลย”

“แม่ ผม”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“ผมไปเยี่ยมพี่ดาร์กมาครับ”

“แล้วเขาเป็นยังไงบ้างลูก?”

“อาการพี่เขาไม่ดีขึ้นเลยครับแม่”

“ยังไงเราก็ดูแลค่าใช้จ่ายให้เขาอยู่แล้วคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“แม่ครับ ผม ผม”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“ผมยังรักเขาแม่ ผมยังรักเขาผมขอโทษแต่ผมไม่สามารถหยุดรักเขาได้ ผมขอโทษ ผม ขอโทษ ผมขอดูแลพี่เขาได้ไหมครับแม่ ผมขอโทษ ผมขอดูแลพี่เขาต่อได้ไหมครับ? ผมรักเขา”


“คุณเก้า?”

“ครับ?”

“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคุณรึเปล่าแต่หลังจากที่ผมได้ยาก็จะมีคุณเข้ามาตลอดผมก็เลยคิดเอาไว้ว่าใช่”

“วันนี้ผมหยิบหนังสือติดมือมาด้วยละครับ”

   ความตกตะลึงที่เห็นว่าใบหน้าของพี่ดาร์กถูกเปิดผ้าพันแผลออกแล้วเหลือเพียงแค่ดวงตาเอาไว้ทำให้เป็นธรรมเงียบจนพี่ดาร์กต้องร้องทักแผลที่หน้าผากของพี่ดาร์กเป็นรอยเย็บยาวลงมาจนถึงส่วนของดวงตา ส่วนแผลที่ข้างแก้มที่ถูกมีดบาดนั้นเป็นรอยแผลเย็บขนาดกว้างและดูท่าทางแล้วมันคงเป็นแผลเป็นอย่างแน่นอนเพราะความนูนของเนื้อแผลนั้นมันมากเหลือเกินเสียงเรียกชื่อใหม่ของเขาจากปากของพี่ดาร์กทำให้เขาต้องกลืนเอาความเสียใจลงไปและพยายามทำตัวให้ร่าเริง

“เผื่อคุณจะลืมไปผมยังคงไม่สามารถเปิดแผลที่ตาได้”

“ผมตั้งใจเอามาอ่านให้คุณฟังนะครับ”

“แล้วคุณไม่ต้องไปทำงานอื่นเหรอครับ?”

“ก็พอผมเก็บของห้องของคุณเสร็จมันก็เป็นเวลาพักเบรกของผมพอดีเพราะฉะนั้นผมก็เลยสามารถมานั่งอ่านให้คุณฟังได้”

“ผมคงดูน่าสงสารมากสำหรับคุณนะสิครับ?”

“ไม่เลยครับไม่เลย ผมก็แค่อ่านอยู่แล้วและก็แค่เพิ่มคนฟังมาเพิ่มอีกคนเท่านั้น”

เมื่อพี่ดาร์กไม่ได้ปฎิเสธเป็นธรรมจึงลากเก้าอี้มาที่ข้างเตียงหนังสือที่เขาเลือกมาเป็นหนังสือนิยายที่เกี่ยวกับโลกสองโลกที่ซ้อนทับกันโดยที่มีดวงจันทร์สองดวงมันเป็นสไตล์นิยายแฟนตาซีที่พี่ดาร์กชอบเมื่อทั้งเขาและพี่ดาร์กต่างได้มุมนั่งถนัดเขาจึงเริ่มเปิดหนังสืออ่าน


“วันนี้ผมจบที่หน้า 20 นะครับ” เมื่อเห็นว่ามันก็ใกล้เวลาที่คนของพี่ดาร์กจะมาแล้วเขาจึงต้องหยุดอ่านและรีบออกไปจากห้องก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น

“กำลังสนุกเลยครับ”

“เอาไว้พรุ่งนี้ผมมาอ่านต่อนะครับ”

“ขอบคุณนะครับ คุณเก้า”

   แม้จะได้ยินชื่อนี้มาสักพักแต่เป็นธรรมก็ต้องใช้เวลาคิดก่อนที่จะขานรับอยู่ดีแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่แต่งชื่อนี้มันขึ้นมาเองก็เถอะ

เหตุที่ทำให้เขาต้องมีชื่อใหม่ก็เพราะว่าพี่ดาร์กถามชื่อขึ้นมาด้วยความที่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าบุรุษพยาบาลก็ควรมีชื่อเพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกเอาเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นชื่อของเขานั้นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงชื่อ ‘เก้า’

“เรื่องเล็กครับ”

“คุณเก้าครับก่อนออกไปคุณช่วยพยุงผมเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ?”

“ได้ครับ”

เป็นธรรมวางหนังสือลงที่ข้างหัวเตียงลุกขึ้นไปพยุงตัวของพี่ดาร์กขึ้นทุกก้าวของพี่ดาร์กที่เดินไปเข้าห้องน้ำเขารู้สึกได้ว่าพี่ดาร์กขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา

“เจ็บแผลที่ข้างเอวเหรอครับ?”

“คุณรู้?”

“ผมเคยเข้ามาช่วยพี่พยาบาลในช่วงวันแรกๆ ไงครับ”

“ไม่แล้วครับตอนนี้แผลตรงนั้นแห้งสนิทแล้วครับ ไม่ได้เจ็บแผลแล้ว”   

“ผมเห็นคุณขมวดคิ้วผมเลยคิดว่าคุณกำลังเจ็บแผล” ด้วยความลืมตัวพอมาถึงในห้องน้ำเขาก็เอื้อมมือจะไปปลดกางเกงให้แต่พี่ดาร์กก็จับมือเขาเอาไว้

“ไม่เป็นไรผมทำได้รบกวนคุณเก้าไปรอข้างนอกเดี๋ยวผมเสร็จผมจะเรียกนะครับ”

“ครับ”

   พี่ดาร์กตะโกนเรียกชื่อเขาตอนที่ทำธุระเสร็จแล้วและในช่วงที่เขากำลังพยุงให้พี่ดาร์กขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆนั้นเองพี่ดาร์กก็ก้มหน้าลงมาใกล้กับตัวเขามากขึ้น

“คุน?”

“ครับ?”

“น้ำหอมกลิ่นนี้ คุน นี่คุนใช่ไหม?”

   เป็นธรรมแทบลืมหายใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะต้องใกล้ชิดกับตัวพี่ดาร์กเขาเลยไม่เคยระวังเรื่องอื่นยกเว้นเรื่องของเสียงเดินใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังทนกัดฟันถามออกไป

“ผมเก้าครับ กลิ่นนี้ทำไมเหรอครับ?”

“คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้กำลังหลอกผม?”

“ผมจะหลอกคุณทำไมครับ?”

“ขอโทษทีครับ พอดีกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คนรู้จักของผมใช้ ผมเลยคิดว่าคุณคือเขาไปช่วงเวลานึง”

“มันช่างบังเอิญจังเลยนะครับ”

“ครับ มันช่างบังเอิญ”

“วันนี้หมดเวลาพอดีเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาอ่านต่อนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณเก้า”

   เป็นธรรมเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋ามองไปรอบห้องอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักการเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตูเมื่อบุคคลสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูนั้นกำลังยิ้มให้เขา


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2018 06:30:03
บทที่ 19 Rewrite

“เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะคะ”

“สวัสดีครับคุณกี้...คุณเบท”

“ตอนแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของบุรุษพยาบาลที่ชื่อเก้าจากดาร์กดิฉันก็คิดแปลกใจเพราะตอนมาเฝ้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีบุรุษพยาบาลคนไหนที่มาดูแลที่ชั้นนี้ ดิฉันมาดักเจอคุณหลายครั้งแล้วแต่เราก็คลาดกันตลอดแต่ในที่สุดวันนี้ดิฉันก็ได้เจอคุณสักทีคุณเก้าหรือคุณเป็นธรรม”

เป็นธรรมเชื่อแล้วว่าความลับไม่มีในโลกและวันนี้ความลับที่เขาซ่อนเอาไว้มันถูกเปิดเผยแล้วแถมยังไม่สามารถปฎิเสธได้อีกด้วย

“ครับ ผมเอง”

“งั้นถ้าคุณไม่ได้มีธุระที่ไหนดิฉันขอเชิญไปที่ร้านกาแฟที่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลได้ไหมคะ?”

   เป็นธรรมพยักหน้ารับคำเชิญของคุณกี้เพราะเขาเองก็อยากจะอธิบายว่าที่เขาทำมาทั้งหมดเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแต่อย่างไร

   “เราไปกันแค่สองคนเหรอครับ?”

   ”ถ้าไม่มีใครเข้าไปดาร์กจะสงสัยเอาค่ะ”

   เป็นธรรมเงยหน้าขึ้นและสบตากับคุณเบทเป็นการขอร้อง

“เรื่องของผม คุณเบทอย่าเพิ่งบอกกับพี่เขาได้ไหมครับ?”

“ผมรับปาก”

   ร้านกาแฟสมควรเป็นสถานที่ที่พอมาถึงแล้วจะได้รับการผ่อนคลายด้วยกาแฟรสชาติดีสักถ้วยหรือไม่ก็มีการพูดเกิดขึ้นแต่นับตั้งแต่เขาและคุณกี้เดินเข้ามาในร้านจนกาแฟมาเสริ์ฟเราสองคนยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำจนมีใครบางคนเอาเอกสารมาวางให้ที่โต๊ะความเงียบระหว่างเราจึงหายไป

“สวัสดีครับคุณเป็นธรรม”

“สวัสดีครับคุณแชมป์”

“ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่น ดิฉันขอถามสักหน่อยว่าคุณทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ?”

“ผมแค่อยากดูแลเขา”

“แต่คุณก็แอบมาทำไมคุณถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ คุณมีเจตนาอะไรกันแน่?”

“ผมอยากดูแลพี่เขาจริงๆ ครับแต่ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าเป็นผม”

“ทำไมคะ? ดิฉันขอทราบเหตุผลได้ไหม? ไม่อย่างนั้นดิฉันจะเชื่อใจได้ยังไงว่าคุณไม่ได้มาเพื่อที่จะแก้แค้นดาร์กเขาคืน”

“ผมมาดีจริงๆ”

“แม้ว่าเขาจะทำไม่ดีกับคุณมาก่อนเหรอคะ? มันดูเข้ากันไม่ได้เลยค่ะกับสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่ตอนนี้”

“…”

   นั้นสินะแม้ว่าพี่ดาร์กจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นกับเขาแต่เขาก็ยังคงต้องการจะดูแลพี่ดาร์กไม่อยากให้พี่เขาต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมนั้นทุกครั้งที่พยายามหาเหตุผลว่าเขาทำไปทำไมเขามักบอกตัวเองอยู่เสมอว่ามันเป็นเพราะเขาพี่เขาถึงต้องมาอยู่ในสภาสภาพแบบนี้แต่ลึกๆ เขารู้ว่ามันไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นเพียงแค่เหตุผลเดียวไม่อย่างนั้นการที่แม่ขอดูแลค่าใช้จ่ายใยการรักษาตัวของพี่ดาร์กทั้งหมดมันก็น่าจะเพียงพอแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกว่าทำไมเขายังรักกับคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้เขาจึงเลือกที่ไม่พูดมันออกมา

“ครั้งนั้นพี่ดาร์กบอกว่าเขาไม่ต้องการผม ผม...ไม่อยากให้เขาลำบากใจเลยต้องแอบมาแต่ถ้าคุณจะถามเรื่องเหตุผลผมไม่มีอะไรจะอธิบายครับผมแค่...อยากทำ”

“ไม่เป็นไรค่ะฉันก็แค่ถามถ้าคุณยังไม่มีคำตอบคุณเอาไปคิดแล้วกันนะคะว่าคุณทำไปทำไม”

“พอแล้วกี้เข้าเรื่องเถอะ”

 “โอเค โอเค ที่จริงในวันนี้ดิฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณ”

“ตอนแรกดิฉันก็เห็นด้วยกับทุกคนว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่คุณจะต้องรู้เรื่องพวกนี้แต่บอกตรงๆ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาคุณทำให้ดิฉันรู้สึกว่าถึงแม้จะไม่มีใครเห็นด้วยแต่ฉันก็คิดว่าคุณเองก็สมควรได้รู้มัน เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ”

“คุณกี้กำลังทำผมงง”

“คำตอบทั้งหมดมันอยู่ในซองนี้ค่ะไว้คุณเปิดดูคุณก็จะรู้เอง”

   เป็นธรรมหยิบซองที่ค่อนข้างหนานั้นขึ้นมาเปิดออกดูทันทีที่เขาเห็นเอกสารเหล่านั้นเขาต้องบังคับมือของตัวเองเอาไว้อย่างมากที่จะไม่ให้ปล่อยเอกสารเหล่านั้นล่วงลงพื้นเอกสารทุกแผ่นเป็นกระดาษตัวจริงไม่ใช่กระดาษถ่ายสำเนาสิ่งที่เขากำลังเห็นทำให้เสียงในหัวของตัวเองมีแต่คำว่า มันเป็นไปไม่ได้

“เรื่องฝากขายบ้านมันเป็นแค่เรื่องสมมุติขึ้นมาบ้านหลังนั้นยังคงเป็นของคุณ”

“แต่วันก่อนผมได้คุยกับคนที่เขาประกาศให้เช่า...”

“ถ้าคุณไม่เชื่อดิฉันคุณสามารถไปเช็คด้วยตัวเองที่กรมที่ดินถ้าไปขอคัดสำเนามาคุณก็จะรู้”

“แต่...”

“เอกสารที่คุณเห็นในวันนั้นมันเป็นของทำขึ้นมาค่ะ อันนี้คือของจริง...ถ้าคุณลองมองกลับไปให้ดีคุณก็คงจะรู้ว่าที่ดิฉันพูดคือเรื่องจริง”

“ส่วนหุ้นโรงเรียนมันมีการถูกขายออกไปจริงแต่ที่ถูกขายไปก็เพียง 30 % เท่านั้น ที่เหลืออีก 70 % ยังเป็นชื่อของคุณอยู่ค่ะคุณสามารถดูได้จากรายชื่อของคนถือหุ้นและก็จำนวนที่ถูกขายออกไป”

   แม้เอกสารจะอยู่ในมือแต่มันก็ยากที่จะเชื่อและเขาก็เริ่มที่จะแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือเรื่องที่แต่งขึ้นมาเอกสารที่เขาได้ในวันนั้นมันก็มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้แตกต่างจากกับที่กำลังถืออยู่ในตอนนี้

“ทำไม?”

“ทำไมพวกเราถึงตัดสินใจมากบอกคุณ?”

“ไม่ใช่ครับทำไมพี่ดาร์กเขาถึง...”

“ทำไมดาร์กเขาถึงไม่ทำแบบที่เขาบอกว่าจะทำใช่ไหมครับ?”

“ความตั้งใจของดาร์กตั้งแต่แรกก็คือโรงงานและเขาก็ไม่เคยอยากได้หรือทำลายอะไรมากกว่านั้น”

“แต่...”

“ถ้าคุณต้องการที่จะรู้มากกว่านี้ คุณคงต้องไปถามเขาเองพวกเราคงตอบแทนเขาไม่ได้”

“...”   

“ถ้าไม่มีคำถามอะไรอย่างอื่นนอกจากถึงเหตุผลแล้ว งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”

ในเมื่อเขาก็ไม่มีคำถามอื่นใดที่จะถามยกเว้นว่าทำไมเขาจึงไม่รั้งทั้งสองคนเอาไว้และพยักหน้าให้กับคนทั้งสองทั้งที่สายตาของเขายังไม่ละไปจากซองเอกสารที่อยู่ในมือด้วยซ้ำ

“พรุ่งนี้ดาร์กจะเข้าห้องผ่าตัดตาตอน 10 โมงเช้าถ้าคุณอยากจะมาก็มาได้ไม่ต้องมาในช่วงบ่ายหรอกค่ะ”

“ขอบคุณครับ”


เป็นธรรมกลับมาที่บ้านและรื้อเอาเอกสารที่ถูกเก็บเอาไว้มาเทียบกันพอได้วางเทียบเขาถึงได้เห็นว่าเอกสารทั้งสองชุดมีความแตกต่างกันอยู่จริงแม้มันจะเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าเขาใส่ใจสักนิดเขาคงรู้ไปตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าเอกสารที่เขากำลังถืออยู่มันคือของปลอม

“เรานี่มันโง่ที่สุด โง่ที่สุดเลย”

เรื่องบ้านขาเคยคิดว่าจะไปเช็คหาเจ้าของแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยได้ลงมือทำตามที่คิดเอาแต่นั่งรอให้คนนั้นติดต่อกลับมาและถ้าเขาเอ๊ะใจสักนิดในวันที่ผมรู้จักกับครูสมใจผมก็ควรจะรู้สึกสะดุดและคุ้นชื่อนั้นให้มากกว่านี้ มาในนาทีนี้เขามั่นใจแล้วว่าเรื่องที่เขารับรู้มาในวันนี้มันคือเรื่องจริงแต่เพื่อความไม่ประมาทเขาจึงยังไม่บอกแม่และตั้งใจที่จะเช็คเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง   

   เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นธรรมมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงเช้า เขารู้ว่าเขามาถึงก่อนเวลาผ่าตัดอยู่มากแต่ให้นอนรออยู่ที่บ้านเขาก็นอนไม่หลับออกมาอยู่ที่โรงพยาบาลมันจะทำให้เขาสบายใจมากกว่าและการผ่าตัดก็กินเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงกว่าที่พวกเราจะได้รู้ผล

“จากการผ่าตัดในวันนี้ข้างที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าคนไข้จะสามารถกลับมาใช้งานตาข้างนั้นได้อีกครั้งแต่ทางด้านขวาของคนไข้จากนี้ก็ต้องรอดูผลครับแต่อยากให้ทำใจเผื่อเอาไว้”

   เป็นครั้งแรกที่เป็นธรรมได้นั่งเฝ้าพี่ดาร์กในห้องนี้พร้อมกับทุกคนกว่าพี่ดาร์กจะตื่นขึ้นจากยาก็หลังจากที่มานอนพักได้ประมาณ 5 ชั่วโมงเพียงแค่แค่เขาเห็นว่าพี่ดาร์กตื่นและสามารถที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ ในห้องได้เขาก็รู้สึกโล่งใจมากแล้วเขาจึงใช้ช่วงเวลาที่คนอื่นกำลังชุลมุนอยู่นั้นเดินออกมาจากห้องพักอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลเป็นธรรมก็ตรงไปที่กรมที่ดินเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องบ้านแล้วผลที่สรุปออกมามันก็เป็นจริงอย่างที่คุณกี้ได้พูดเอาไว้บ้านหลังนี้ยังเป็นชื่อของเขาเหมือนเดิมไม่ได้ถูกถ่ายโอนไปเป็นชื่อของคนอื่นหรือถูกเอาไปขายฝากตามที่พี่ดาร์กเคยบอกเอาไว้

“ไม่ทราบโฉนดมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”

“ทำไมเหรอครับ?”

“ก็เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมาคนมาขอคัดสำเนาที่ดินพื้นนี้ไปเองค่ะ”

“ครับ? ใครเหรอครับ”

“งั้นเดี๋ยวดิฉันเอารายชื่อมาเช็คให้นะคะ”

   แล้วเป็นธรรมก็พบว่าคนที่มาขอคัดสำเนาก็คือคนใกล้ตัวของเขาคนนึงนั้นเอง 

“แม่”

   เสร็จจากที่ดินเป็นธรรมเดินทางต่อไปที่โรงเรียนสอนศิลปะไปถึงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็ทักเขาเช่นเคย

“วันนี้คุณเป็นธรรมไม่ได้มีสอนนิคะ?”

“ครับผมไม่มีสอนวันนี้แต่ผมต้องการที่จะขอพบ หรือ ขอข้อมูลติดต่อกับผู้ดูแลโรงเรียนนี้ได้ไหมครับ?”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”

“นิดหน่อยครับ”

“งั้นสักครู่นะคะ”

   เธอพยายามโทรติดต่อไปยังเบอร์ที่เธอมีและในที่สุดเขาก็ได้พูดคุยกับผู้ดูแลโรงเรียนพอเขาเอ่ยแนะนำตัวเท่านั้นคนทางปลายสายก็ตกลงตามที่จะเจอเขาตามนัดหมายทันที

“สวัสดีค่ะดิฉันเคยแต่ได้ยินชื่อของคุณแต่ไม่เคยได้เจอตัวคุณเลยดิฉันวิมลผู้ที่ดูแลโรงเรียนนี้ค่ะ”

“สวัสดีครับคุณวิมลผมอยากจะขอดูรายละเอียดในช่วงที่เกิดการขายหุ้นออกไปจนถึงการอัพเดทล่าสุดด้วยครับ”

“ได้ค่ะ”

   คุณวิมลให้ล็อคอินคอมพิวเตอร์ของเธอมาเพื่อให้เขาสามารถเข้าไปดูรายงานการประกอบการคู่กับเอกสารที่ถูกยกมาคุณวิมลถูกจ้างมาทำการตลาดของโรงเรียนนี้พร้อมทั้งยังคอยดูแลความเรียบร้อยทางด้านเอกสารต่างๆ
ทุกอย่างที่ถูกบันทึกเอาไว้ที่นี่ตรงกับเอกสารล่าสุดที่เขามีเขานายเป็นธรรมยังคงถือหุ้นอยู่ 70 %  ตามที่คุณกี้บอกโดยที่เขายังได้รับการปันผลที่เพิ่งจะมีการแบ่งให้กับผู้ร่วมหุ้นเมื่อเดือนที่แล้วและเมื่อเขามองไปที่บัญชีที่ถูกรับโอนเขาก็เห็นว่ามันคือบัญชีของแม่เขาเอง


“แม่ครับ”

“มีอะไรรึเปล่าลูก? ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”

“วันนี้ผมไปโรงเรียนสอนศิลปะมาครับ”

“...”

“ความจริงผมเริ่มไปสอนที่นั้นมาได้ 2 อาทิตย์แล้วแต่เพราะว่าพนักงานที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์ไม่ใช่พนักงานคนเดิมเหมือนในช่วงที่ผมเป็นผู้บริหารอยู่เลยไม่รู้จักผม”

“และวันนี้ผมไปในฐานะอื่นครับไม่ใช่ในฐานะผู้สอนแม่พอจะรู้ไหมครับว่าผมสามารถไปที่นั้นด้วยฐานะอะไรได้บ้าง?”

   เป็นธรรมยื่นเอกสารเกี่ยวกับการถือหุ้นและเอกสารการโอนเงินที่ได้รับปันผลหุ้นออกมาให้แม่ดูแม่หยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาดูด้วยหน้าตาที่ไม่มีความตกใจอยู่เลย

“แม่รู้อยู่แล้ว?”

“จ๊ะ แม่ได้เงินปันผลเข้าบัญชีในนั้นระบุอย่างชัดเจนว่าเงินมาจากที่ไหน”

“งั้นถ้าผมจะขอถามต่อว่า แม่เองก็รู้เรื่องบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหมครับ?”

“...”

   มิน่าละช่วงหลังทำไมแม่ถึงไม่เคยถามถึงเกี่ยวกับเรื่องบ้านเลยทำไมแม่ถึงไม่คิดที่จะถามอะไรเกี่ยวกับมันสักนิดไม่เห็นเหมือนตอนแรกๆ ที่แม่พยายามถามถึงบุคคลที่ถือสิทธิ์ในบ้านหลังนี้

“แม่ไม่คิดจะบอกผมสักนิดเลยเหรอครับ? แม่ปล่อยให้ผมกังวลไปเพียงคนเดียวเหรอครับ? “

“แม่ติดต่อดาร์กไปเมื่อ 2เดือนที่แล้ว”

“...” เสียงโวยวายของเขาเงียบลงเมื่อแม่เริ่มที่จะเล่าเรื่องที่เขาไม่รู้ให้ฟัง

“แน่นอนว่าเขาปฎิเสธที่จะเจอกับแม่แต่ที่น่าแปลกคือเขาปฎิเสธที่เจอกับแม่แต่แม่กลับเจอรถของเขาจอดห่างออกไปอีกซอยด้วยความบังเอิญด้วยความที่อยากรู้แม่เลยรอดูว่าเขามาทำอะไรที่แถวบ้านของเราและแม่ก็เห็นว่าเขามาคอยดูลูก พอลูกเดินผ่านซอยนั้นเขาก็จะคอยเดินตามจนลูกถึงบ้านมันเป็นเหตุการ์ณที่น่าขำมากนะแม่ตามเขาเขาเดินตามลูก”

“พอแม่เห็นแบบนั้นแม่จึงติดต่อเขาไปอีกครั้งโดยที่บอกกับเขาว่าแม่รู้ว่าเขามาและถ้าเขาไม่มาเจอกับแม่แม่จะบอกให้ลูกรู้เขาจึงยอมรับข้อตกลงที่แม่ขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว”

“วันที่เจอกันแม่ถามเขาเรื่องบ้านแน่นอนว่าเขาพูดอะไรจนแม่เอาเอกสารการกู้เงินให้ดาร์กเขาดูและก็บอกเขาว่าลูกกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อใช้หนี้และเอาบ้านหลังนี้คืนมาเพราะฉะนั้นแม่ขอแค่เพียงให้บอกข้อมูลทั้งหมดมาเพราะแม่คุยกับคนที่ชื่อสมใจแล้วแม่ไม่สามารถได้คำตอบอะไรได้เลย”

“ดาร์กบอกกับแม่ว่าให้แม่ดูเอกสารให้ดีๆ แม่ก็เลยกลับมาเช็คดูและแม่ก็เลยรู้ว่าบ้านหลังนี้ที่จริงแล้วยังเป็นของเราอยู่”

”แม่คุยกับพี่ดาร์ก?”

“ใช่และเขาก็มาที่บ้านตลอดนับตั้งแต่วันนั้น”

“วันที่เกิดเรื่องขึ้นแม่พยายามโทรหากี้เพราะกี้เพิ่งจะขับรถออกไปแม่คิดว่ากี้น่าจะกลับมาทันแต่กี้ไม่ได้รับโทรศัพท์แม่เลยตัดสินใจโทรหาดาร์กและเขาก็รับสาย”

“พี่ดาร์กเขา”      

“มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญเขามาเพราะแม่เป็นคนโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขาเขามาเพราะแม่รู้ว่าเขาคือบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดแม่รู้และแม่ก็เรียกเขามาเพราะแม่เองก็ไม่สามารถที่จะออกไปปกป้องลูกได้ในเวลานั้น”

“แม่ก็เลยที่จะไม่ลังเลที่จะจ่ายค่ารักษาให้พี่ดาร์ก”

“ใช่จ๊ะ”

    “ทำไมแม่ไม่คิดจะบอกผม? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทำไมแม่ไม่เคยบอกผม”

“ถ้าเป็นเรื่องบ้านและเรื่องของโรงเรียนเพราะที่ผ่านมาลูกทำได้ดีมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องลูกรู้ไหมว่าลูกโตขึ้นมากตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาลูกสนใจในธุรกิจของครอบครัวของเรามากขึ้นและแม่ก็อยากให้มันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”

“แม่ต้องการให้เราสนใจสิ่งที่อยู่ในมือที่เป็นของเรามากกว่าสิ่งอื่นใดโรงเรียนนั้นไม่ใช่ของเราทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?”

“…”

“ส่วนเรื่องของดาร์กทุกครั้งที่แม่เห็นเขามาขับรถเดินวนอยู่แถวบ้านและไม่บอกลูกเพราะแม่คิดว่าเรื่องของเขากับลูกมันสมควรจบไปได้แล้วแม้เขาจะไม่ได้ทำลายเราทั้งหมดแต่มันก็หนีไม่พ้นที่ว่ายังไงเขาก็ทำลายเราอยู่ดีใช่ไหม?”

“...” 

“แม่ควรเชื่อเด็กคนนั้นสินะ”

“ครับ?”

“ดาร์กเคยบอกว่าเราคงอยากจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด”

“ผม...แค่อยากเป็นคนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวก็เท่านั้น”

“คุน”

“แม่รู้ไหมว่าผมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไรที่ตัดสินใจไปดูแลคนที่ขโมยทุกอย่างไปจากเราคนที่ขโมยแม้กระทั่งความฝันของผมไปทั้งๆที่เขารู้ว่าผมรักความฝันนั้นมากแค่ไหนทุกครั้งที่ผมกลับมาที่บ้านหลังจากที่ผมไปดูแลเขามาแม่รู้บ้างไหมครับว่าผมรู้สึกผิดกับแม่เพียงใด?”

“แต่เขาก็ทำให้โรงงานที่พ่อของเราสร้างมากับมือเสียชื่อเสียงอยู่ดี ยังไงเขาก็ทำร้ายเราแม่ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันจะสามารถลบล้างความผิดนั้นได้”

“แต่นั้นก็เพราะเราไปทำร้ายครอบครัวเขาไม่ใช่เหรอครับ!!”

น้อยครั้งที่เป็นธรรมจะขึ้นเสียงกับแม่ แม่เองก็คงตกใจเขาเองก็ตกใจที่เสียงดังออกไปเขาจึงรอให้อารมณ์เย็นลงก่อนที่จะพูดกับแม่อีกครั้ง

“และที่สำคัญก็เพราะว่าครอบครัวเรากำลังทำให้พี่ดาร์กอาจจะต้องสูญเสียการมองเห็นไปแบบนี้ผมคงไม่ผิดใช่ไหมครับที่ผมยังอยากจะอยู่ดูแลเขาผมไม่ต้องรู้สึกผิดต่อครอบครัวเราได้ไหมครับ?”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2018 06:33:48
บทที่ 20 Rewrite

“วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”

“รู้สึกเจ็บแผลเล็กน้อยครับแต่เมื่อเช้าคุณหมอมาดูอาการแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ”

“แล้วนั้นคุณดาร์กทำอะไรนะครับ!!!”

โดยไม่ทันได้คิดเป็นธรรมรีบเข้าไปคว้าข้อมือของพี่ดาร์กเอาไว้เมื่อพี่ดาร์กก็ยกหลังมือขึ้นมากดลงที่ผ้าพันแผลตรงแถวดวงตาของตัวเอง

“ต่อให้คุณรู้สึกไม่ชอบใจที่คุณต้องมาอยู่ในสภาพนี้แค่ไหนก็ตามคุณก็ไม่ควรที่จะทำร้ายตัวเองนะครับคุณควรที่จะนึกถึงคนที่เขารักคุณและหวังให้คุณหายดีเอาไว้มากๆ นะครับ”

   เป็นธรรมกำมือของพี่ดาร์กเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะกลัวเหลือเกินว่าพี่ดาร์กจะยกมือคู่นั้นขึ้นมาทำร้ายตัวเองอีก

“คุณเก้าปล่อยผมเถอะครับ”

“งั้นคุณต้องสัญญาก่อนว่าคุณจะไม่ทำร้ายตัวเอง”

“ได้ครับผมสัญญา”

“แน่นะครับ?”

“ผมแค่คันแผลก็เท่านั้นเอง”

“หะ?”

“ผมไม่ได้จะทำร้ายตัวเองอะไรเลยครับผมแค่คันแผลเลยพยายามใช้มือกดบรรเทาเอาครับ”

“เอ่อ อ่อ ครับ อ้าว ผมขอโทษครับที่เข้าใจผิด”

“แต่ยังไงผมก็ขอบคุณครับเพราะถ้าผมกดแรงเกินไปก็อาจมีผลกระทบได้”

“เอ่อ ครับ”

“ว่าแต่น้ำหอม…คุณเก้าใช้กลิ่นนี้ตลอดเลยเหรอครับ?”

“มะ ไม่ตลอดครับ แค่พอดีขวดนี้ได้มาฟรี”

“กลิ่นของมัน…”

“ว่าแต่คุณคันแผลมากขนาดนี้จะลองให้ผมเรียกคุณหมอเข้ามาดูแผลให้ไหมครับ? หรือว่าจะให้ไปขอยาแก้คันทานดีไหมครับ?”

“ผมเพิ่งกินยาแก้คันไปเองครับ แต่เหมือนจะไม่ช่วย”

“งั้นถ้าคุณต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”

“งั้นตอนนี้ผมอยากกินผัดไทยมากเลยครับ อาหารโรงพยาบาลมากี่มื้อก็ไม่เจอผัดไทยเลยสักมื้อ”

“โธ่ ถึงมีก็คงไม่มีผัดไทยกุ้งให้หรอกครับ”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานผัดไทยกุ้ง?”

“ก็ ก็ ผัดไทยส่วนมากเวลาใครสั่งก็สั่งใส่กุ้งไม่ใช่เหรอครับ? ผมและเพื่อนใครก็สั่งหรือคุณไม่? คุณชอบไก่เหรอครับ?”

“ผมชอบผัดไทยกุ้ง”

“เห็นไหมครับ ใครๆก็ทานกัน” เป็นธรรมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่บทสนทนายังลื่นไหลไปได้โดยที่พี่ดาร์กไม่ได้เอ๊ะใจว่าทำไมเขาถึงพูดถึงผัดไทยกุ้งที่เป็นของโปรดของพี่ดาร์กขึ้นมาเป็นชื่อแรก

“ว่าแต่เสียงคุณเก้าดูไม่เหมือนเดิม เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“เอ่อ ผมเจ็บคอเล็กน้อยแต่ไม่ต้องห่วงผมไม่เอาแพร่เชื้อให้กับคุณอย่างแน่นอน”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

   เป็นธรรมเองก็รู้สึกตั้งแต่ตอนที่เริ่มคุยกับพี่ดาร์กแล้วว่าเสียงมันออกมาเปล่งๆ แถมตั้งแต่ตอนที่เปิดเครื่องวันนี้เครื่องดัดเสียงของเขาก็ร้อนเร็วกว่าปกติลองเอามาเคาะดูแล้วก็ไม่ดีขึ้นคิดเอาว่าวันนี้จะพยายามพูดให้น้อยลงหน่อยแต่ไม่คิดว่าพี่ดาร์กจะรู้สึกได้เร็วตั้งแต่แค่ไม่กี่ประโยคแรกที่ได้คุยกันเพราะเอาจริงมันก็แค่เปลี่ยนไปนิดหน่อยเท่านั้น

แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าถ้าคนเราถ้าร่างกายของเราเกิดอะไรบางอย่างผิดปกติเรามักจะมีประสาทสัมผัสอย่างอื่นที่ดีขึ้นเพราะมันคือหนึ่งในขั้นตอนของการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดของมนุษย์และพี่ดาร์กคนที่ถูกปิดตามาได้สักพักร่างกายคงมีการปรับตัวโดยใช้ส่วนอื่นรับรู้แทน

“แล้วคุณหมอบอกอะไรอีกบ้างไหมครับ?”

“คุณหมอบอกว่าต้องรอดูตอนเปิดผ้าในอีกสามวันข้างหน้า นี่ก็เหลืออีกแค่สองวันแล้ว”

“ถ้าคุณเปิดตาแล้วคุณอยากทำอะไรเป็นอย่างแรกครับ?”

“ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าผมหายดีไหม”

“ถ้าคุณหายดี สิ่งแรกที่คุณอยากทำคืออะไร?”

“ผมอยากไปเจอคนๆนึง”

“ใครครับ?”

“คนที่ผมเคยบอกคุณเก้าว่าผมทำผิดกับเขาเอาไว้นะครับ”

“แล้วคุณดาร์กอยากจะไปเจอเขาทำไมครับ? มีอะไรทำให้อยากไปเจอเขาเหรอครับ?”

“วันนี้ดูคุณเก้าพูดเยอะกว่าที่เคย”

ความอยากรู้ทำให้เป็นธรรมหลุดคราบบุรุษพยาบาลและถามในเรื่องส่วนตัวด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความอยากรู้มากเกินไปทำให้พี่ดาร์กหันหน้าของตัวเองมาตรงๆ ที่ทางเขายืนอยู่และด้วยเสียงพูดของพี่ดาร์กที่พูดออกมาทำให้เขารู้ว่าเขากำลังล้ำเส้น

    “เอ่อ ขอโทษครับผมคงถามละลาบละล้วงมากไป”

   ในห้องตกถูกปกคลุมไปด้วยความอึดอัดเป็นธรรมเองก็เข้าใจได้ดีเพราะอยู่ๆ ถูกคนที่ไม่สนิทมาขึ้นเสียงถามแบบซอกแซกแทบทุกเรื่องเขาก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากพี่ดาร์กเมื่อคำขอโทษที่ถูกเอ่ยออกไปยังไม่สามารถสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นได้เขาจึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องแทน

“ให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังต่อดีไหมครับ?”

“วันนี้คุณเก้าไม่สบายอยู่เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ”

   เป็นธรรมเอามือตีหน้าผากของตัวเองนั้นสิเขาคิดอะไรอยู่บอกว่าไม่สบายแต่พอจะเปลี่ยนเรื่องดันเอาเรื่องหนังสือมาอ้างมันช่างเป็นข้ออ้างที่ไม่ได้ผลเอาเสียเลยแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้

“ไม่เป็นไรครับผมไม่ได้เจ็บคอ”

“เอาไว้วันหลังเถอะครับ”

   บอกแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้เป็นธรรมจึงลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียงให้เข้าใกล้กับเตียงมากขึ้นแล้วค่อยเปิดหนังสือไปแต่ละหน้าโดยตั้งใจให้เสียงกระดาษมันดังและในบางจังหวะเขาก็แกล้งทำเสียงเป็นกลั้นขำหรือไม่ก็ส่งเสียงให้ดูเหมือนน่าตื่นเต้นในลำคอออก

“นั้นคุณเก้าทำอะไรครับ?”

“ก็คุณไม่อยากฟังแต่ผมอยากอ่านเพราะผมอุตส่าห์ไม่อ่านเองและเก็บเอาไว้อ่านตอนพร้อมกันตอนที่คุณออกมาจากห้องผ่าตัด แต่ในเมื่อคุณไม่พร้อมที่จะฟังผมก็ต้องอ่านเงียบๆ ครับ และพอดีผมแอบมาหลบในห้องนี้เพราะในห้องพักของพยาบาลคนพักช่วงนี้เยอะมากจนผมแถบไม่มีที่นั่งผมพอจะขอนั่งในห้องนี้ขณะที่ผมกำลังอ่านอยู่ได้ไหมครับ?”

“ครับ”

   เมื่อการกระทำของเขาเริ่มได้รับความสนใจจากพี่ดาร์กเขาจึงใช้เสียงกระดาษเป็นตัวกดดันในขณะที่พี่ดาร์กใช้ความเงียบกดดันเขาแต่ในที่สุดเสียงกระดาษก็ชนะความเงียบ

“เฮ้อ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป คุณเก้าช่วยอ่านให้ผมฟังได้ไหมครับ?”

“งั้นผมเริ่มเลยนะครับ คุณพอจะจำบทที่ผ่านมาได้ไหมครับ? ต้องการให้ผมอ่านทวนก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรครับผมจำได้ เริ่มบทใหม่ได้เลยครับ เอาต่อจากที่คุณอ่านเลยก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะว่าผมไม่ได้อ่านผมพลิกมันเล่นเฉยๆ”

“…”

“ผมล้อเล่นนะครับผมเพิ่งอ่านไปไม่กี่หน้าผมย้อนกลับไปได้ครับ มีบางตอนที่ผมอยากถามความเห็นคุณด้วย”

ก็ยังดีที่พี่ดาร์กไม่โมโหเรื่องที่เขาถามซอกแซกถึงขนาดให้ไล่เขาออกไปจากห้องยังยอมให้เขาอยู่ยืมห้องนั่งอ่านหนังสือเขาถึงแก้สถานการณ์ได้มาถึงขนาดนี้ต้องยอมรับว่าหนังสือคือเครื่องมือที่สามารถล้างความอึดอัดออกไปได้ดีมาก เพราะเพียงแค่บทนึงผ่านไปพี่ดาร์กก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายและคลอยไปกับหนังสือที่เขาอ่านให้ฟัง


“สวัสดีครับคุน…เก้า”

“สวัสดีครับคุณเบท”

ไม่รู้ว่าคุณเบทปิดประตูเบาและเดินเข้ามาอย่างไร้เสียงหรือเป็นเพราะว่าเขาเองที่เอาแต่สนใจคนตรงหน้าที่กำลังอธิบายเนื้อเรื่องที่ต่อยอดมาจากในหนังสือจนไม่ได้ยินเสียงตอนที่คุณเบทเดินเข้ามาในห้อง

คุณเบทเว้นชื่อเก้าไปนานจนเขาเกือบลืมหายใจเพราะเขาเดาใจของคุณเบทไม่ถูกเลยว่าต้องการทำอะไรเพราะตั้งแต่วันที่ผ่าตัดทุกคนก็ตกลงกันแล้วว่าเขาสามารถเข้ามาเยี่ยมและดูแลพี่ดาร์กได้โดยที่เรื่องเหล่านี้จะยังคงเป็นความลับตามที่เขาต้องการแต่แล้วการที่คุณเบทเรียกชื่อเขาออกไปนั้นมันกลับเป็นการทำพลาดไป

“สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ?”

“อะ เอ่อ”

   นั้นสิเรารู้จักกันด้วยเหรอเพราะตลอดที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่จนเจอใครแล้วเขาจะรู้จักกับคนที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไรคำถามนี้ที่ถูกถามออกมามันกระทันหันจนเป็นธรรมก็ไม่รู้จะแก้ตัวกับพี่ดาร์กยังไง พอหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณเบทเขาก็ได้แค่รอยยิ้มกับการหยักไหล่เหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณมาให้เขาว่า ‘หาทางแก้เอาเองสิ’ กลับมา

   มันน่าเจ็บใจที่ในขณะเขากำลังคิดอย่างหัวหมุนคุณเบทก็เอาแต่อมยิ้มเดินไปมาอยู่แบบนั้นจนหัวคิ้วของพี่ดาร์กเริ่มที่จะหมุนเข้าหากันพี่ดาร์กคงสงสัยว่าทำไมคำถามง่ายๆ ของเขาไม่มีใครให้คำตอบ และในเมื่อเป็นธรรมไม่สามารถที่จะหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเองได้เขาจึงปิดหน้าหนังสือลุกขึ้นเก็บของและทิ้งคำถามนี้เอาไว้กับอีกคนที่ยังคงต้องอยู่แล้วกัน

“ผมเอาแต่อ่านหนังสือลืมเวลาไปเลยว่าผมต้องไปทำหน้าที่ต่อแล้วยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ คุณดาร์ค คุณ…เบท”

   ก่อนออกจากห้องเขาหันไปยิ้มให้กับคุณเบทที่เริ่มที่จะมีความลำบากใจอยู่บนในหน้าเมื่อเขาสามารถเอาคืนได้สำเร็จเขาก็ผละตัวเองออกมาจากห้องนั้นแต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูห้องเขาก็หันกลับไปมองคุณเบทพร้อมกับขยับปากโดยไร้ซึ่งเสียงออกไปว่า ‘คุณสัญญากับผมแล้วนะ’ และปิดประตูลงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนรักเขาคุยกันเองหลังประตูบานนั้น

   เย็นวันนี้เขาแวะเข้าตลาดก่อนเข้าบ้านซื้อเครื่องปรุงที่จะทำผัดไทยให้พี่ดาร์กได้ทานเพราะไม่รู้ว่าผลในอีกสองวันข้างหน้าจะเป็นยังไงและเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะสามารถได้ดูแลพี่ดาร์กอีกไหม? เขาเลยอยากใช้ช่วงเวลานี้ทำทุกอย่างให้เต็มที่ทำตามที่เขาอยากทำเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปโปล่ไปเยี่ยมพร้อมกับของโปรดของพี่ดาร์ก

“ผมเอาผัดไทยมาฝากครับ”

“คุณเก้า”

“ผมรู้ว่าคุณเพิ่งทานข้าวเที่ยงไปเอาไว้มื้อเย็นก็ได้ครับ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ”

เป็นธรรมเดินเอาผัดไทยไปวางเอาไว้ที่เค้าท์เตอร์เก็บของชวนพี่ดาร์กคุยถึงเรื่องสัพเพเหระไปสักพักก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง

“แล้วทั้งสองคนก็เลือกที่จะไปอยู่ในโลกที่มีพระจันทร์เพียงดวงเดียวและทิ้งความหลังทั้งหมดเอาไว้ จบบริบูรณ์”

“จบซะแล้วเรื่องนี้สนุกจริงๆ ด้วยครับขอบคุณนะครับคุณเก้าที่มาอ่านให้ฟัง”

“ด้วนความยินดีครับ”

“ว่าแต่คุณเก้าดูเหมือนยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ?”

“เดี๋ยวก็คงดีขึ้นละครับ ผมไปหาหมอรับยามาแล้ว”

   เป้นธรรมจะถือว่าเขาโกหกพี่ดาร์กเพียงครึ่งเดียวแล้วกันเพราะเมื่อเช้าเขาก็พาเจ้าเครื่องดัดเสียงที่เปรียบเสมือนกล่องเสียงของเขาไปหาช่างที่เทียบได้ว่าคือหมอมาแล้วเพียงแต่ว่าช่างคนดังกล่าวยังหาสาเหตุไม่เจอว่าทำไมเครื่องดัดเสียงของเขาถึงมีอาการเสียงเพี้ยนตอนแรกทางนั้นอยากจะขอให้เขาทิ้งเครื่องเอาไว้ก่อนแต่เพราะว่าบ่ายนี้เขาต้องการมาเยี่ยมพี่ดาร์กเขาเลยปฎิเสธไปแต่พอมาโดนทักเข้าอีกครั้งแบบนี้เขาว่าระหว่างที่จะเอาไปซ่อมกับไปหาซื้อใหม่บางทีการหาซื้อใหม่อาจจะง่ายกว่า

“อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณดาร์กอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหมครับวันนี้?”

“คุณเก้ายังเหลือเวลาอีกเยอะเหรอครับ? ถึงสามารถอยู่กับผมได้นาน”

“ก็อีกสักพักนะครับ”

“งั้นผมอยากออกจากนอกห้องครับ”

“งั้นเดี๋ยวผมพาคุณลงไปทางด้านล่างของตึกแล้วกันนะครับทางด้านล่างมีสวนเล็กๆ ของโรงพยาบาลอยู่”

“ขอบคุณครับ”

   เป็นธรรมเข็ญพี่ดาร์กลงไปที่สนามทางด้านล่างที่เป็นสวนเล็กๆ หใคนไข้ได้มาสูดอากาศข้างนอกจะว่าไปวันนี้เป็นวันแรกเลยที่พี่ดาร์กเอ่ยปากขอให้เขาทำอะไรให้

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นช่วงบ่ายนะครับอากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่เลย?”

“ช่วงนี้อากาศก็ประมาณนี้แหละครับ”

   ความจริงตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงบ่ายแต่มันเป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นนั้นคือเหตุผลว่าทำไมอากาศในตอนนี้ถึงไม่ได้ร้อนอย่างที่พี่ดาร์กคาดเอาไว้

ที่วันนี้เป็นธรรมสามารถอยู่ได้เย็นขนาดนี้ก็เพราะวันนี้เป็นเวรของคนที่เข้ามาเฝ้าพี่ดาร์คคือคุณแชมป์และคุณแชมป์เป็นคนเดียวที่ยอมเปิดโอกาศให้เขาได้มามาดูแลพี่ดาร์กโดยที่ไม่เคยถามถึงเหตุผลที่เขาต้องคอยปิดบังจนเป็นเขาเองที่เอ่ยปากถามกับคุณแชมป์ว่าทำไมถึงยอมเปิดโอกาสให้กับเขามากขนาดนี้

“ภาพที่ผมจำได้สำหรับคุณสองคนคือคนรักกัน”

“แต่ผมกับพี่ดาร์กก็เลิกกันก่อนที่จะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น”

“แล้วคุณรักดาร์กเขาไหมละ?”

“ครับ ผมยังรักพี่เขา”

“เท่านั้นผมว่ามันก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่ผมจะเปิดโอกาสให้กับคุณแล้วละ”

“ขอบคุณครับ”


“พรุ่งนี้คุณก็ต้องเปิดตาแล้วนะครับ รู้สึกยังไงบ้างครับ?”

“ตอนแรกผมว่าผมไม่รู้สึกอะไร แต่พอเอาเข้าจริงยิ่งใกล้วันผมก็รู้สึกแอบกังวล ในตลอดชีวิตผมว่าผมไม่กลัวอะไรผมว่าผมผ่านมาหมดแล้วแต่หลังจากเหตุการ์ณนี้เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกลัวคือกลัวการผิดหวัง”

    “อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ มันยังไม่เกิดคุณอย่าเพิ่งกังวลไปเลยครับถ้าเกิดเปิดตาออกมาแล้วเกิดมองเห็นคุณก็กังวลไปฟรีเลยนะครับ”

“ครับ”

“คุณเก้าครับ ผมมีเรื่องอยากที่จะถามคุณและถ้าเกิดคำถามของผมไปทำอะไรให้คุณรู้สึกไม่ดีผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“ถามได้เลยครับ”

“พวกเพื่อนๆ ผมเป็นคนบอกเรื่องราวของผมให้คุณได้ฟังใช่ไหมครับ? เช่นพวกของกินหรือแม้กระทั่งการที่คุณมาคอยดูแลผม
แบบนี้?”

“เปล่านะครับ”

“งั้นก็แสดงว่าคุณชอบผมเหรอครับ? คุณมาคอยดูแลโดยใช้เวลาว่างของตัวเองทั้งหมดโดยที่ไม่ได้รู้จักกัน”

“คือ…”

“ถ้าเป็นเพราะข้อหลังผมต้องขอบคุณนะครับที่คุณมาคอยดูแลและผมก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรดลใจให้คุณมาชอบผม แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณเลิกมาดูแลผมเถอะครับ เพราะไม่ว่าจะยังไงผมก็คงไม่ได้ชอบคุณอย่าเอาเวลาว่างของคุณมาเสียเวลากับผมเลย”

“ทำไมคุณถึงไม่คิดจะชอบผมละครับ?”

จากที่จะตอบปฎิเสธก็กลับกลายเป็นว่าเป็นธรรมกำลังถามกลับด้วยความอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่สามารถชอบคนที่มาดูแลได้

“ผมมีคนรักของผมอยู่แล้วครับไม่สิต้องบอกว่าผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้วครับ”

“ใครครับ?”

เสียงของเขาเบาหวิวพร้อมกับใจที่ตกไปตกอยู่ที่ตาตุ่มมือที่จับที่เข็ญรถเย็นเฉียบใครเขาคนนั้นคือใคร? เขาจะเป็นคนที่ผมรู้จักรึเปล่า? และพี่ดาร์กกับคนนั้นไปเจอกันตั้งแต่ตอนไหนตั้งแต่ตอนที่เราสองคนยังคบกันหรือตอนที่เราสองคนเลิกกันไปและที่สำคัญพี่ดาร์กรักเขามากไหม?

“ผมบอกไปคุณก็คงไม่รู้จักหรอกครับ”

“เข้าใจแล้วครับ แต่วางใจผมมาดูแลคุณก็แค่เพราะถูกชะตาไม่ใช่เพราะชอบคุณแบบที่คุณคิดครับ”

“ถ้าผมเข้าใจความหวังดีของคุณผิดไปผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ดูสิผมหน้าแตกเหมือนคนหลงตัวเองขึ้นมาเลย”

“ไม่หรอกครับ”

“ช่วงนี้คุณไม่ได้ทำงานกะบ่ายแล้วใช่ไหมครับ?”

“คุณรู้ได้ยังไงครับ?”

“ผมกะช่วงเวลาที่คุณอยู่กับผมนะครับ”

“ครับผมไม่ทำงานช่วงกะบ่ายแล้ว”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

“ไม่มีครับ ผมแค่เปลี่ยนเวลาทำงาน ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้บอกละยังมาอยู่กับคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่ สงสัย”

“สงสัยอะไรครับ?”


“ดาร์กมาอยู่ตรงนี้เองแล้วคุณพาเพื่อนฉันออกมานานขนาดนี้คุณสมควรบอกกันไว้ก่อนนะคะ”

   ยังไม่ทันที่เขาจะได้ฟังคำตอบจากพี่ดาร์กเสียงของคุณกี้ก็ดังแทรกเข้ามายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณกี้ถึงเสียงดังขนาดนี้เพราะตอนนี้ก็เกือบจะหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาทานอาหารและยาในช่วงเย็นแล้ว

“เดี๋ยวกี้ใจเย็นๆ คุณเก้าแค่พาฉันลงมาสูดอากาศเอง”

“นายรู้ไหมว่ามันนานแค่ไหนแล้ว?”

“สามสิบนาทีได้มั้ง?”

“ไม่ใช่มันนานกว่านั้นกลับขึ้นข้างบนเถอะครูแวะมา”

“ครูมาเหรอ? คุณเก้าครับรบกวนพาผมกลับขึ้นไปที่ห้องทีครับ”

“ไม่เป็นไรฉันพาไปเองได้”

“กี้ เขาไม่ผิดฉันเป็นคนขอเขาลงมา”

“ตามใจ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ กี้คงแค่เป็นห่วงผมเพราะผมไม่ได้ออกจากห้องเลย แต่ผมจะไม่ให้กี้ทำอะไรที่กระทบกับงานคุณอย่างแน่นอน”

พี่ดาร์กหันมาปลอบเขาตอนที่เราทั้งสามคนออกมาจากลิฟต์และก่อนที่เขาจะเข็ญพี่ดาร์กถึงห้องพัก

“ขอบคุณครับ”

ไม่ใช่แค่คุณครูที่อยู่ในห้องแต่ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้าถ้าจะให้เป็นธรรมเดาทุกคนน่าจะค้างที่นี่คืนนี้เพราะพรุ่งนี้เช้าเป็นวันเปิดตาของพี่ดาร์กจะว่าไปเขาเองก็อยากอยู่ที่นี่รวมกับทุกคนด้วยเหมือนกัน

ครูสมใจหันมาชวนเขาพูดคุยเล็กน้อยก่อนที่นางพยาบาลจะเข็ญอาหารมื้อเย็นพร้อมยาเข้ามาครูสมใจผละจากเขาและไปเตรียมอาหารให้พี่ดาร์ก

“ผมขอกินผัดไทยตรงนั้นได้ไหมครับ?”

“ใครเอามานะ?”

“ผมเองครับ”

เป็นธรรมอาสาเป็นคนเอาผัดไทยไปอุ่นให้พี่ดาร์กและเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจึงลาทุกคนและขอตัวกลับก่อน

“พวกเราต้องการคุยกับคุณด้วยสักหน่อยครับ”

“ได้ครับ” คุณแชมป์เป็นคนเข้ามากระซิบกับเขาก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้อง

“ดาร์กพวกกูจะไปซุปเปอร์เอาไรไหม?”

“อยากกินไมโลกับขนมปังสังขยา”

“สั่งยากอีกละ เออๆ เดี๋ยวดูให้”

“กี้”

“อะไร?”

“เรื่องคุณเก้า อย่าไปเอาเรื่องเขาเลยนะ”

“ทำไม? ขอเหตุผล”

“ก็เขามาช่วยดูแลฉัน”

“ฮึ”

“กี้”

“รู้แล้วๆ เดี๋ยวมา”

   เมื่อทั้งเขาและอีกสามคนลงมาถึงด้านล่างทั้งหมดก็เดินตรงไปที่ลานจอดรถหามุมสงบเพื่อคุยกัน

“คุณคิดว่าคุณจะปิดมันไปอีกนานแค่ไหน?”

“ตลอดไปผมไม่ต้องการให้เขารู้ว่าที่ผ่านมาผมคือเก้า”

“พรุ่งนี้ก็จะเปิดตาแล้ว คุณไม่คิดที่จะบอกให้มันรู้ก่อนที่ตามันจะเปิดเลยเหรอ?”

“ครับ”

“พวกเราไม่คิดว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีถ้าดาร์กมารู้ทีหลัง”

“ผมเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันได้รู้ ถ้าเกิดพวกคุณช่วยผมอีกแรงโดยการที่จะไม่บอกเขาตลอดไป”

“พวกเราก็แค่อยากจะเตือนเอาไว้ ว่าสักวันคนชื่อเก้าก็จะต้องหายไปอยู่ดีแต่เขาอาจจะกลายเป็นคนที่ดาร์กอยากเจอมากที่สุด
แล้วคุณเองนั้นแหละจะเสียใจในภายหลัง”

“ผม เข้าใจครับ” เป็นธรรมเข้าใจดีว่าทั้งสามคนต้องการเตือนอะไรแต่เขาก็คิดมาดีแล้วตั้งแต่วันแรกที่คิดจะทำแบบนี้

“เอ่อ พรุ่งนี้วันเปิดตา ผมขออยู่ด้วยได้ไหมครับ?”

“คุณไม่กลัวว่าดาร์กเขาจะเห็นคุณ?”

“กลัวครับแต่ผมแค่อยากอยู่ในวันนั้นผมอยากอยู่ตรงนั้น”

“ได้ค่ะถ้ายังไงเดี๋ยวดิฉันบอกเองว่าเป็นคนบอกให้คุณมา”

“อีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดถ้าเกิดพรุ่งนี้ผลมันออกมาในแง่ร้ายผมขอเป็นคนดูแลพี่เขาไปตลอดได้ไหมครับ?”

“ถ้าคุณจะดูแลเขาในชื่อของเก้าดิฉันไม่โอเคและก็ไม่คิดว่าจะมีใครในนี้โอเคด้วยค่ะถ้าคุณจะดูแลคุณจะต้องดูในนามของคุณเป็นธรรมเท่านั้นอันนี้ในกรณีที่ดาร์กเขายอมด้วยนะคะพวกเราคงไม่สามารถไปตัดสินอะไรแทนเขาได้”

“ครับ ผมรับปากหลังจากนี้ถ้าผมจะต้องดูแลเขาผมจะดูแลในชื่อของผม”

“แล้วเรื่องแม่ของคุณละ? แม่ของคุณเขายินดีกับเรื่องพวกนี้รึเปล่า? เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนมาถึงวันนี้พวกเรายังไม่เห็นเขามาที่นี่เลยสักครั้ง”

“ถึงเวลานั้นแม่ผมไม่มีปัญหาครับ”

   คนอื่นอาจจะไม่มั่นใจแต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงไม่ว่าแม่จะเคยผิดใจอะไรกับพี่ดาร์กเขาเชื่อว่าแม่จะต้องพร้อมที่จะเข้าใจและเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจแน่นอน


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-01-2018 06:38:26
บทที่ 21 Rewrite

ความตื่นเต้นในวันนี้ไม่ต่างอะไรในวันที่พี่ดาร์กเข้าผ่าตัดเมื่อครั้งก่อนเป็นธรรมยังคงมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าก่อนเวลานัดเขาจึงแวะตลาดเพื่อซื้อขนมปังสังขยาของมที่พี่ดาร์กอยากกินเมื่อคืนก่อนที่จะขึ้นไปข้างบน

“สวัสดีครับ” ขึ้นไปถึงด้านบนเขาก็เห็นว่าครูสมใจมานั่งรออยู่ที่หน้าห้องพักอยู่แล้ว ท

“มาแต่เช้าเลยนะคะ”

“ผมตื่นเต้นนะครับ นอนไม่ค่อยจะหลับเลยมาเร็ว”

“เหมือนดิฉันเลยค่ะ”

“แล้วทำไมครูถึงไม่เข้าไปในห้องละครับ?”

“พยาบาลกำลังเตรียมตัวให้ตาดาร์กอยู่ค่ะดิฉันไม่อยากเกะกะเขาเลยออกมารอข้างนอกดีกว่า”

“อ่อครับ”

“ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องขอบคุณมากเลยนะคะที่เข้ามาดูแลตาดาร์ก”

“ผมทำด้วยความเต็มใจครับ”

“ดาร์กเขาพูดถึงคุณ ดิฉันหมายถึงคุณเก้าอยู่บ่อยๆ เลยค่ะเขาเล่าให้ดิฉันฟังเสมอว่าที่ผ่านมาคนที่ทำให้เขาคลายเหงาได้ก็เพราะมีบุรุษพยาบาลมาคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงบ่าย”

“ครับ”

“ถ้าเกิดดาร์กเขารู้ความจริงว่าคนที่ชื่อเก้าก็คือคุณดิฉันเชื่อว่าเขาคงดีใจมากเลยค่ะ”

“ไม่จริงหรอกครับ...คุณครูสมใจก็อยู่วันนั้นที่พี่ดาร์กเขาเอ่ยปากไม่ต้องการให้ผมรู้ความเป็นไปของเขา”

“ดิฉันเชื่อว่าเขามีเหตุผลของเขาแต่ว่าเพราะอะไรนั้นคุณก็คงต้องไปถามเขาเอาเองเพราะดิฉันคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาบอกเรื่องนี้แทนเขาได้”

“มันไม่มีอะไรไปมากกว่าพี่ดาร์กไม่ต้องการให้ผมรู้เพราะเขาไม่ต้องการให้ผมคอยมาอยู่ใกล้ๆ เขาหรอกครับ” เพราะเขารู้ว่าถ้าผมรู้ผมก็ต้องมาดูแลเขารู้จักผมดีกว่าใครและนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ต้องการผม”

“มันก็คงจะยากที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณ แต่ดิฉันก็คงบอกได้เพียงแค่ว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผลในตัวของมัน”

“ผมเข้าใจครับ”

“ถ้าไม่รีบทานจะไม่อร่อยนะคะ ของนั้นต้องทานตอนที่ขนมปังยังนิ่มอยู่ทานก่อนก็ได้ค่ะ”

“อันนี้ผมตั้งใจซื้อมาฝากพี่ดาร์กครับผมว่าผมมาเช้าแล้วแต่ก็ยังช้ากว่าพยาบาลอยู่ดีไม่รู้ว่ากว่าพี่ดาร์กจะได้ทานขนมนี้มันยังจะยังกินได้อยู่ไหม?”

เสียงของลิฟท์ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงพูดคุยที่เดินตรงมาทางหน้าห้องพัหของพี่ดาร์ก

“โอ๊ย ที่จอดรถหายากมากขนาดเช้าๆ แบบนี้ คุณเป็นธรรม อ้าวครูทำไมมานั่งข้างนอกกันละครับ?”

เสียงของทั้งสามคนที่เดินบ่นกันเรื่องที่จอดรถดังมาตั้งแต่เสียงของลิฟต์ปิดเป็นธรรมหันไปยิ้มทักทายได้เพียงเท่านั้นคุณหมอที่ดูแลพี่ดาร์กก็เดินตามด้านหลังพวกเขามาพวกเราทั้งหมดจึงเดินตามคุณหมอเข้าไปในห้อง

คนบนเตียงแค่เป็นธรรมมองก็รู้ว่าพี่ดาร์กกำลังตื่นเต้นดูได้จากมือที่คอยหุบเข้ากางออกและมันก็เป็นลักษณะประจำของพี่ดาร์กที่จะทำถ้าเกิดความตื่นเต้นหรือความไม่แน่ใจ    

“พร้อมนะครับ?” คุณหมอหันไปถามพี่ดาร์กก่อนที่จะลงมือแกะผ้า

“ครับ”

“อย่าเพิ่งลืมตาจนกว่าผมจะบอกให้ทำนะครับ”

พยาบาลเดินไปปิดม่านที่หน้าต่างของห้องพร้อมทั้งยังไปปิดไฟ ทำให้ตอนนี้ในห้องมีเพียงแสงสว่างที่ส่องออกมาจากทางประตูของห้องน้ำแล้วก็จากไฟฉายในมือของผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้นใจของเป็นธรรมเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะนี่จะเป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้เห็นหน้าของพี่ดาร์กโดยที่ไม่มีผ้าพันแผลมากั้นและพอเขาได้เห็นใบหน้านั้นตาของเขาก็เบิกออกกว้างขึ้นทันทีที่ผ้าพันแผลชั้นสุดท้ายถูกถอนออก เพราะที่หัวคิ้วเลยลงมาถึงเปลือกตายาวถึงโหนกแก้มทางข้างขวาของพี่ดาร์กมีรอยนูนพาดยาวถึงสองรอยและเป็นสองรอยที่มีความยาวไม่เท่ากันส่วนทางด้านซ้ายเป็นแผลพาดยาวจากหัวคิ้วเลยมาถึงสันจมูกทางด้านบน

“เอาละครับ ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้านะครับ”

คุณหมอเอาไฟฉายส่องตรงไปที่ดวงตาของพี่ดาร์กจากนั้นคุณหมอก็บอกผู้ช่วยเดินไปเปิดไฟในห้องแม้ว่าไฟในห้องจะถูกเปิดออกหมดแล้วแต่ทุกคนก็ยังคงยืนห่างจากเตียงออกมาเหมือนเดิมและยังไม่มีใครส่งเสียงอะไรทั้งนั้น

“ที่นี้คุณลองกรอกตาไปมา แล้วบอกหมอทีว่าข้างซ้ายคุณเห็นจากตรงไหนถึงตรงไหน”

“ทางหัวตาผมเห็นไม่ชัดครับเหมือนมีอะไรมาบัง”

“นั้นเป็นแผลเป็นที่อยู่ช่วงหัวตาพอดีงั้นแสดงว่าคุณเห็นได้สุด”

คุณหมอตรวจพี่ดาร์กเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นการเข็ญเครื่องมาเพื่อให้พี่ดาร์กมองสแกนผ่านเครื่องเข้าไป หลังจากการตรวจจบลงคุณหมอก็แนะนำวิธีการดูแลดวงตาให้แก่พี่ดาร์ก

“ช่วงแรกอย่าเพิ่งใช้ดวงตามากนะครับมันเพิ่งได้รับการฟื้นฟูทางหัวตามันเชื่อมกับต่อมน้ำตาถ้าคุณใช้สายตามากๆ ต่อมน้ำตาของคุณที่เพิ่งฟื้นตัวอาจจะต้องทำงานหนัก”

“ขอบคุณครับ”

“ส่วนเรื่องแผลเป็นที่เปลือกตาทางด้านขวาคุณต้องการทำศัลยกรรมตกแต่งไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมอาจจะปิดผ้าพันแผลเอาไว้”

“ถึงตาข้างขวาของคุณจะใช้การไม่ได้แล้วแต่คุณก็ไม่จำเป็นที่ต้องปิดมันเอาไว้อีกอย่างการที่ปิดตาเอาไว้ตลอดเวลามันอาจจะเป็นผลเสียต่อไปได้อีกในอนาคตนะครับ”

“มันไม่น่ามีอีอะไรเป็นผลเสียไปมากกว่าการมองไม่เห็นแล้วครับ”

“ยังไงคุณก็ต้องทำแผลอยู่ดี แผลของคุณยังไม่ได้หายดี”

“…”

“ถ้ารู้สึกผิดปกติเมื่อไหร่สามารถกลับมาหาหมอที่โรงพยาบาลได้ตลอดนะครับ”

เป็นธรรมถอยออกมาให้ไกลออกจากเตียงโดยที่ไม่รู้ตัวมารู้ว่าตัวเองก้าวออกมาหลายก้าวก็ตอนที่คุณเบทแตะตัวทำให้ผมเห็นว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงไหน

“อย่าร้องไห้สิครับถ้าดาร์กเห็นมันจะยิ่งใจไม่ดี”

“ขอ ขอโทษครับ”

มากไปกว่านั้นเป็นธรรมไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าน้ำตากำลังไหลลงมาถ้าไม่ได้คุณเบทสะกิดเตือนให้เขาเช็ดน้ำตาเขาคงเผลอแสดงความอ่อนแอที่จะให้พี่ดาร์กรู้สึกแย่เห็น

“คุณสามารถกลับบ้านได้เลย ก่อนกลับลงไปรับยาที่ชั้นล่างได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

พี่ดาร์กขอให้พยาบาลปิดตาข้างขวาเอาไว้ให้โดยที่อ้างว่าเดี๋ยวจะต้องลงไปด้านล่างและพี่ดาร์กก็ยังไม่พร้อมให้ใครต่อใครเห็นตัวเองในสภาพนี้หลังจากที่พยาบาลทำตามที่พี่ดาร์กขอและออกไปจากห้องคราวนี้ก็เหลือเพียงแค่เขากับพี่ดาร์กเท่านั้นและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอมองตากันหลังจากวันที่เกิดเหตุไม่มีใครหลบตาใครต่างคนต่างมองตากันจากที่เดินถอยออกมาไกลสายตาของพี่ดาร์กกำลังดึงดูดเขาให้เดินเข้าไปใกล้เขาจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงของพี่ดาร์กเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงที่ประจำที่เขาต้องไปยืนทุกครั้งที่มาเยี่ยม

“พี่”

“คุณเป็นธรรมสวัสดีครับ”

“พี่ดาร์ก”

เป็นธรรมเอื้อมมือตรงไปทางด้านหน้าหวังสัมผัสกับบาดแผลเหล่านั้นบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะครอบครัวของเขาบาดแผลที่เกิดเพราะพี่ดาร์กเข้ามาช่วยเขามือของเขาห่างจากแผลนั้นเพียงนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถสัมผัสมันได้แล้วแต่เขาก็เอื้อมไปไม่ถึงเมื่อพี่ดาร์กเอามือของตัวเองมาจับที่ข้อมือของเขาเพื่อหยุดยั้งการสัมผัสนั้นเอาไว้

“ถ้าคุณจะมาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่วันนั้นผมว่าตอนนี้คุณก็เห็นมันมากพอแล้วฉะนั้นคุณก็กลับได้แล้วครับ”

“เจ็บไหมพี่? พี่เจ็บมากไหม?”

“มันเป็นสะเก็ดแผลสำหรับผมมันไม่เหลือความเจ็บแล้วครับคุณไม่ต้องมาร้องไห้เพราะสงสารหรือสังเวชผมหรอกครับ”

“คุนเปล่า”

“คุณกล้าพูดว่าเปล่าทั้งที่คุณกำลังยืนร้องไห้ต่อหน้าของผมเหรอครับ? การโกหกคงเป็นพื้นฐานที่คุณได้ติดตัวมาสินะครับ”

“คุนไม่ได้ความว่าแบบนั้น”

“เชิญคุณออกไปได้แล้วครับ”

“แต่คุน...”

“ถ้าคุณเกิดรู้สึกว่าเป็นความผิดของคุณละก็ลืมมันไปได้เลยเพราะมันเป็นเรื่องบังเอิญที่ผมไปเจอก็เท่านั้นและผมก็พลาดเองที่ลงไปช่วยตามสัญชาตญาณมันไม่ใช่เพราะผมทำเพื่อคุณเพราะฉะนั้นคุณอย่าได้เข้าใจผิด”

“คุนรู้” เป็นธรรมอยากบอกเหลือเกินว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้วว่าวันนั้นมันไม่ใช่เหตุบังเอิญเขารู้หมดแล้วว่าพี่ดาร์กตั้งใจมาช่วยเขา

“ถ้ารู้แล้วก็กลับไปได้แล้วครับ”

“เอาละดาร์กไปเตรียมตัวได้แล้วเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน เข้าเปลี่ยนคนเดียวได้ไหม?”

“ได้ครับครู” ไม่รู้ว่าครูสมใจกลับเข้ามาในห้องจากการไปเอาเสื้อผ้าที่รถนานแล้วหรือยังเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงที่ครูเดินหลับเข้ามาเลย

“พี่ดาร์กเดี๋ยวก่อน”

“คุณเป็นธรรมค่ะ”

ครูสมใจดึงเขาเอาไว้ทำให้พี่ดาร์กเดินออกจากเตียงได้อย่างง่ายดายเขาพยายามแกะมือของครูสมใจที่จับที่ต้นแขนออกเพราะเขาอยากพูดกับพี่ดาร์กให้รู้เรื่อง

“ดิฉันจะลงไปรับยา ไม่ทราบว่าคุณจะพอลงไปเป็นเพื่อนดิฉันได้ไหมคะ?”

เป็นธรรมยอมรับว่าเขาไม่อยากลงไปทางด้านล่างเลยสักนิดเพราะเขากลัวพอกลับขึ้นมาเขาจะไม่ได้เจอกับพี่ดาร์กอีกเขาอยากแก้ความเข้าใจผิดแต่จะให้เขาปฎิเสธครูสมใจมันก็ไม่ได้อีกอย่างยังไงเขาก็ต้องเป็นคนลงไปจัดการค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

“แต่ผมอยากคุยกับพี่ดาร์กก่อนคุณสมใจช่วยรอก่อนได้ไหมครับ?”

“ลงไปพร้อมดิฉันนะคะ”

ในที่สุดเป็นธรรมก็ยอมแพ้และยอมเดินลงไปด้านล่างพร้อมครูสมใจตลอดการนั่งรอที่หน้าห้องรับยาและจ่ายเงินมันเหมือนว่าเข็มวินาทีที่ติดอยู่ที่พนังมันเดินช้ากว่าทุกครั้งและไหนๆ เขาก็ได้มานั่งตรงนี้เขาเลยลองเอ่ยปากเรื่องที่เขาคิดตั้งแต่พี่ดาร์กเปิดตา

“หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมอยากเป็นคนดูแลพี่ดาร์กครับ”

“ดาร์กยังคงสามารถมองเห็นดิฉันว่าดาร์กอาจจะไม่ต้องการการดูแลเหมือนสมัยก่อน…”

“แต่ก็แค่เพียงข้างเดียวแถมข้างที่เห็นตอนนี้ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ นะครับคุณสมใจให้ผมเป็นคนได้ดูแลพี่เขาเถอะนะครับ”

“คุณทรงจำรับยาค่ะ”

ยังไม่ได้ทันที่ครูสมใจจะตอบรับหรือปฎิเสธในคำขอร้องของเขาเสียงของคนที่อยู่ห้องยาก็ตะโกนเรียกขัดขึ้นมาเสียก่อนตอนที่เดินไปถึงเค้าท์เตอร์ยาเขาค่อนข้างตกใจกับจำนวนยาที่ถูกกองอยู่ตรงหน้ามันมีทั้งยาทาและยากินเขาพยายามจดจำวิธีใช้ทุกอย่างให้ดีเพราะเขาค่อนข้างแน่ใจว่ายังไงเขาก็ต้องขอเป็นคนดูแลพี่ดาร์กให้สำเร็จ

“ผมขอเป็นคนจัดการเองครับ ยังไงเรื่องก็เกิดเพราะผม”

จากจุดรับยาเป็นธรรมเดินตรงไปที่จุดชำระเงินครูสมใจทำท่าจะเป็นคนรับผิดชอบจ่ายเงินแต่เป็นเขาที่หันไปขอร้องขอเป็นคนจัดการในเรื่องค่าใช้จ่ายพวกนี้ หลังจากจัดการเรื่องทางด้านล่างเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะเดินกลับขึ้นไปทางด้านบนเขาจึงใช้ช่วงเวลานี้ลองพูดอีกครั้ง

“สรุปแล้วเรื่องดูแลพี่ดาร์กผมขอเป็นคนดูแลนะครับคุณก็เห็นว่ามียาหลายอย่างที่ต้องกินต้องทาผมอยากเป็นคนดูแลในจุดนี้”

“ถึงดิฉันอนุญาตไปถ้าดาร์กเขาไม่ยอมผลก็ไม่ต่างกันคุณอย่าลืมว่าครั้งนี้อาการของดาร์กไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว”

“แล้วคุณจะให้พี่ดาร์กไปพักรักษาตัวที่บ้านเพียงคนเดียวได้เหรอครับ?”

“เขาคงต้องมาอยู่ในความดูแลของดิฉันกับกี้ก่อนแล้วถ้าเขาอาการดีขึ้นเมื่อไหร่เขาก็สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่บ้านดิฉันต่อหรือกลับไปที่บ้านของตัวเอง”

“ให้ผมไปที่บ้านของคุณด้วยได้ไหมครับ?”

“คุณเป็นธรรมค่ะแม้ดิฉันจะเป็นครูที่ดาร์กเขาค่อนข้างจะเชื่อฟังแต่ดิฉันก็ไม่เคยใช้ความเชื่อฟังนี้บังคับใคร เพราะฉันนั้นถ้าดาร์กเขาบอกว่าไม่ดิฉันก็คงต้องทำตามความต้องการของเขายังไงคุณลองไปคุยกับเขาดูค่ะ”

“ครับ”

ของในห้องถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางพี่ดาร์กยิ้มให้กับครูสมใจแต่พอเห็นว่าเขาเดินตามมาทางด้านหลังพี่ดาร์กก็หันหน้าหนีแม้เขาจะรู้สึกแย่กับท่าทางนั้นแต่เขาก็ต้องพยายามมองข้ามสิ่งนั้นไปพยายามปลอบตัวเองว่าจะมาหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้

“พี่ดาร์ก”

“ถ้าเรียกว่าทรงจำจะดีกว่าครับ”

“พี่ดาร์กผมขอไปดูแลพี่ได้ไหม?”

มือของพี่ดาร์กที่กำลังคว้ากระเป๋าหยุดลงและหันหลับมาสบตากับเขา

“ผมสบายดีไม่ต้องการใคร”

“แต่…”

“คุณต้องการอะไร?”

“คุนต้องการเป็นคนดูแลพี่”

“ไม่จำเป็น”

“คุนขอ”

“ผมว่าผมพูดเคลียร์มากแล้วนะครับคุณเป็นธรรมว่าผมไม่ต้องการกรุณาอย่ามาเกะกะผมอีกกลับกันเถอะแชมป์ให้ครูอยู่โรงพยาบาลนานมันไม่ดี”

หลังจากคำพูดของพี่ดาร์กจบลงทุกคนก็เดินออกไปจากห้องพักเหลือเพียงเขาที่ยังอยู่ในห้องนี้เป็นธรรมมองไปรอบห้องเพื่อเก็บความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงที่มาดูแลพี่ดาร์กเพราะเขารู้ตัวแล้วว่าโอกาสที่เขาอยากได้มันคงมาไม่ถึง

แต่แล้วตาของเป็นธรรมก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มนึงที่ถูกวางเอาไว้ตรงโซฟาเขาเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดูกำลังจะหยิบโทรศัพท์โทรบอกพวกคุณกี้ว่าลืมของเอาไว้ปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสเข้ากับกระดาษเล็กแผ่นนึงทางด้านหลังของหนังสือพอผลิกมันขึ้นมาดูก็เจอเข้ากับกระดาษโพสอิทที่ถูกติดเอาไว้

“ร้านร่มรื่น สุขาภิบาล3 อาหารอร่อยน่าไปครับ”

เป็นธรรมไม่รู้ว่าร้านนี้มีความหมายอะไรแต่ความรู้สึกลึกๆ บอกว่ามันเป็นที่ที่เขาควรไปและถึงต่อให้ไปแล้วมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดมันคงไม่เสียเวลามากจนเกิดไปถ้าเกิดเขาจะไปทานอาหารที่ร้านนี้สักมื้อเขาจึงออกเดินทางไปที่ร้านนี้โดยทันที

ความมั่นใจในตอนแรกที่พอมาถึงร้านแล้วเขาจะเจอพวกพี่ดาร์กนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านแต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่เขาเข้ามานั่งรอจนสั่งอาหารจนอาหารมาถึงที่โต๊ะเขาก็ยังไม่เห็นใครทั้งนั้นเขาเอาแต่เดาไปต่างๆ นาๆ ทั้งเปลี่ยนร้านทั้งเห็นเขาเลยพากันกลับไป 

“เสียเที่ยวแล้วเรา”

อย่างน้อยข้อดีคืออาหารที่ร้านนี้ราคาไม่แพงแถมยังอร่อยก่อนที่เขาจะกลับจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารกลับไปบ้านอีกหนึ่งชุดเผื่อให้แม่ได้ลองชิม

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ”

“ขอบคุณครับ คุณแชมป์!!! ทำไมคุณถึง?”

“ร้านนี้เป็นร้านของครูกับกี้ครับ”

“งั้นคุณก็เป็นคนที่ทิ้งที่อยู่ให้กับผม?”

“ผมก็แค่ลืมหนังสือแบบไม่ได้ตั้งใจเองครับ”

“พี่ดาร์กอยู่ที่นี่เหรอครับ?”

“คุณเป็นธรรมอยากไปเดินดูรอบๆร้านหน่อยไหมครับ? ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว”

“ครับ”

คุณแชมป์พาเขาเดินผ่านห้องครัวออกไปหลังร้านแล้วเขาก็เห็นสนามหญ้าเล็กๆ ที่กั้นระหว่างร้านอาหารกับตัวบ้านในบ้านนั้นที่เขาเชื่อว่าพี่ดาร์กกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่นั้น

“ทำไมคุณถึงบอกผม?”

“คำตอบผมเป็นเพียงคำตอบเดียวมานานแล้วครับ”

“งั้นผมเข้าไปเลยนะครับ”

“ผมช่วยแค่บอกที่อยู่แต่ผมไม่ได้บอกว่าคุณสามารถทำอะไรตามใจที่นี่ก็ได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้คุณคงต้องพยายามเอาเองแล้วนะครับ”

“แค่นี้ก็ถือว่าคุณช่วยผมมากแล้วจริงๆครับ”

เป็นธรรมเดินตรงไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยก้อนอิฐวางยาวนำไปที่ประตูบ้านประตูหน้าบ้านที่ถูกเปิดกว้างเอาไว้มีเพียงมุ้งลวดประตูปิดเพื่อกั้นไม่ให้พวกแมลงเข้าไปในตัวบ้านเมื่อเขาลองมองผ่านมุ้งลวดเข้าไปในตัวบ้านเขาไม่เห็นใครเขาจึงเลือกที่จะนั่งรอเจ้าของบ้านที่ตรงตั่งไม้ทางด้านนอกประตูแทน

“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”

“คุณกี้ มาครับผมช่วย”

“ขอบคุณค่ะ”

คุณกี้ถือของพะลุงพะลังเต็มสองมือเขาจึงลุกไปช่วยถือและเดินตามเธอเข้าไปทางหลังบ้าน

“แชมป์เป็นคนบอกคุณเหรอคะ?”

“แค่เพียงส่วนเดียวครับ”

“คุณก็รู้ว่าดาร์กไม่อยากให้คุณเป็นคนดูแล”

“ผมเข้าใจครับ และผมก็จะไม่ขอในสิ่งที่พวกคุณจะลำบากใจ”

“งั้นคุณมาที่นี่ทำไมคะ?”

“ตลอดทางที่ผมเดินทางมาผมนั่งคิดกับตัวเองมาตลอดว่าถ้าเกิดพี่ดาร์กไม่อยากให้ผมดูแลผมจะมาอยู่ตรงนี้เพื่อทำให้พี่ดาร์กไม่สบายใจทำไม? แต่ถ้าจะให้ผมตัดเขาไปออกจากชีวิตเลยผมยอมรับตรงๆ ว่าผมยังทำไม่ได้ผมยังคงเป็นห่วงเขาผมรู้ว่าพี่ดาร์กเสียตาไปข้างเดียวและเขายังคงใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบปกติแต่ผมยังคงเป็นกังวลผมยังคงอยากจะมั่นใจว่าพี่ดาร์กยอมรับและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้จริงๆ แล้วถึงวันนั้นผมจะยอมถอนตัวออกไป”

“…”

“แต่วันนี้ผมขอแค่โอกาสขอให้ผมได้มาเจอเขาก็พอครับไม่ได้ดูแลขอแค่มาให้เห็นถึงความเป็นไปเห็นว่าเขาสบายดีแค่นี้ก็พอ”

“ถ้าดิฉันไม่ให้?”

“ผมก็ยังคงจะมาแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ครับ”

“คุณไม่คิดจะล้มความตั้งใจง่ายๆสินะ?”

“ครับ”

“งั้นก็ตามใจแต่ถ้าเกิดดาร์กอยากให้คุณกลับเมื่อไหร่วันนั้นคุณก็ต้องทำตามความต้องการของเขาคุณคิดว่าคุณทำได้ไหม?”

“ผมทำได้ครับ ผมทำได้”

“ถ้าคุณทำได้ดิฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขัดขวางค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เย็นวันรุ่งขึ้นเป็นธรรมแวะไปที่ร้านอาหารอีกครั้งคุณกี้กำลังวุ่นกับการเสริ์ฟอาหารเขาเลยตัดสินใจเดินเข้าไปช่วย กว่าร้านจะเลิกยุ่งและเขาสามารถเดินเข้าไปคุยกับคุณกี้ได้ก็ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว

“เดินเข้าไปได้เลยค่ะดาร์กอยู่ในบ้านกับแม่”

เป็นธรรมชะเง้อหน้าเข้าไปในตัวบ้านและเขาก็ได้เห็นพี่ดาร์กกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะกับครูสมใจตาข้างขวาของพี่ดาร์กยังถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวแต่เท่าที่เขาจำได้คุณหมอไม่ได้ต้องการให้พี่ดาร์กปิดแผลนั้นก็หมายความว่าพี่ดาร์กกำลังเอาแต่ใจตัวเอง

เป็นธรรมนั่งดูจนกระทั่งพี่ดาร์กทานข้าวเสร็จและครูสมใจเอายามาให้กับพี่ดาร์กยังดีที่พี่ดาร์กยอมทานยาแต่โดยดีแต่ความโล่งใจนั้นก็อยู่กับเขาได้ไม่นานเพราะเพียงครูสมใจหันหลังพี่ดาร์กก็คายยาที่เพิ่งโยนเข้าปากออกมาและเดินมาที่หน้าต่างเพื่อปามันทิ้งออกมา

“พี่เป็นเด็กรึไงนะ?”

“บ่นอะไรคนเดียวครับ?”

“สวัสดีครับคุณเบท คุณเบทผมว่าเราไม่ควรปล่อยพี่ดาร์กทำตามใจตัวเองแบบนี้ที่ผมแอบดูมาพี่ดาร์กไม่ทำตามที่หมอสั่งสักอย่าง”

“ผมรู้ครับ”

“แต่คุณก็ไม่ทำอะไรเลยรึครับ?”

“คุณก็รู้จักมันมานานคุณก็น่าจะรู้ว่าถ้าเราเดินเข้าไปบอกว่าเฮ้ยดาร์กทำตามหมอสั่งเดี๋ยวไม่หายแล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร?”

“พี่ดาร์กก็คงจะต่อต้านหรือไม่ก็ไปแอบทำอะไรไม่ให้เราเห็นอีกเลย เฮ้อ”

“แต่ครูคงไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอกครับไว้ใจได้”

“ครับ”

“คุณเป็นธรรมครับ ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้วและเราก็กำลังจะปิดร้าน”

“งั้นผมขอลากลับก่อน พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ครับ”

ตลอดอาทิตย์กว่าที่เขาได้แวะไปดูพี่ดาร์กผ่านทางหน้าบ้านเป็นธรรมมักจะเห็นคนดื้อคนนึงที่ไม่ยอมเอาผ้าพันแผลออกแม้ว่าตัวเองจะอยู่แค่ในบ้านไม่ได้ก้าวออกมาจากรั้วนั้นสักนิดเขาบ่นเรื่องนี้กับทุกคนแต่ทุกคนก็ได้ส่ายหน้าว่าหมดหนทางเพราะทุกคนก็ได้ทั้งเตือนทั้งบ่นแต่พีด่าร์กก็ไม่ฟังใครเลย

“วันนี้คุณมาช้านะคะ”

“วันนี้ที่โรงงานมีปัญหานิดหน่อยครับ ผมรู้ว่าดึกแล้วผมขอกวนเพียงครู่เดียวเท่านั้น”

“ตามสบายค่ะ”

วันนี้ที่โรงงานเจอปัญหาเรื่องเสื้อสกรีนลูกค้าตีกลับมาทั้งล็อตเนื่องจากมีสีลอกในบางจุดเป็นธรรมเลยต้องอยู่หาถึงสาเหตุและทำลายของที่ใช้ไม่ได้และผลิตใหม่ทั้งหมด

ตอนที่เขาเข้าไปถึงตัวบ้านไฟของด้านล่างของบ้านถูกปิดหมดแล้วเหลือเพียงไฟด้านบนที่ถูกหรี่เอาไว้เท่านั้นวันนี้เขามาหาพี่ดาร์กคงขึ้นไปพักผ่อนทางด้านบนแล้วเขาเลยไม่สามารถเห็นแม้กระทั่งหน้าของพี่เขาได้ทั้งที่มองไม่เห็นและเขาก็รับปากกับคุณกี้ว่าจะเข้ามารบกวนไม่นานแต่เขากลับทิ้งตัวนอนราบกับหญ้าและมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องของพี่ดาร์ก

“วันนี้คุนเหนื่อยจังเลยพี่วันนี้คุนนั่งหัวหมุนแก้ปัญหาอยู่คนเดียวโดนลูกค้าด่าด้วย เลิกงานมาคุนแค่อยากเห็นหน้าพี่เท่านั้นเองแต่ก็คุนมาช้าเกินไป”

“ถ้าเหนื่อยแล้วจะมาทำไม?”

ใจของเป็นธรรมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเขาได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักจากเหนือศรีษะเขารีบลุกขึ้นนั่งและหันไปทางต้นเสียงทันที

“พี่ดาร์ก ทะ ทำไมพี่อยู่ตรงนี้? พี่ไม่ได้ขึ้นไปพักแล้วเหรอ?”

“คุณจะทำให้ได้เลยใช่ไหม?”

“ทำ?”

“เมื่อไหร่จะเลิกมาที่นี่สักที?”

“พี่รู้?”

“ผมไม่ได้โง่ เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำแบบนี้สักที?”

“ก็จนกว่าพี่ดาร์กจะหาย”

“ผมได้บอกคุณไปแล้วว่าผมหายดีแล้ว”

“พี่ยังปิดตาอยู่ นั้นก็แสดงว่าพี่ยังไม่หาย”

“อย่ามาที่นี่อีก ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคุณ”

“ไม่จริงตอนที่เดินเข้ามาทุกคนก็ไม่มีใครว่าอะไร”

“นั้นเพราะว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูดยังไงละแต่คุณก็น่าจะรู้ดีว่ามันเป็นแค่การให้เกียรติกลับไปซะอย่ามาสร้างความลำบากใจให้กับคนอื่นอีก”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นธรรมนึกได้ในคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับคุณกี้ว่าถ้าวันใดพี่ดาร์กเอ่ยปากไล่เขาจะต้องไปหรือเป็นเพราะวันนี้เขาเหนื่อยมากเขาจึงไม่เหลือแรงให้เถียงสู้พี่ดาร์กเขาจึงยอมลุกขึ้นจากหญ้าแต่โดยดีโดยการไล่ตั้งแต่ครั้งแรกเขาเดินจากออกมากจากตรงนั้นโดยที่ไม่มีคำลาให้พี่ดาร์ก

“เขามาดักรอคุณนะครับ วันนี้คงไม่เห็นว่าคุณมาสักที”

“เขาคงมาดักรอผมจริงๆ ดักรอเพื่อมาไล่ให้กลับไป ยังไงต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้มารอปิดประตู”

“ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านของผมอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยู่ที่นี่”

คุณแชมป์ยืนอยู่ที่ตรงประตูร้านดูก็รู้ว่ากำลังรอส่งแขกคนสุดท้ายคือเขาจะได้ปิดร้านให้เรียบร้อย

“คุณเชื่อที่ดาร์กมันพูดไหมครับ?”

“เรื่องไหนดีครับ? เรื่องที่พวกคุณผมไม่อยากให้ผมมาหรือเรื่องที่เขาไล่ผม”

“ถ้าเกิดพวกเราเกิดยอมให้คุณมาดูแลดาร์กตามที่คุณขอตอนนี้คุณยังอยากได้โอกาสนั้นอยู่หรือเปล่าครับ?”

“อะไรที่ทำให้พวกคุณเกิดเปลี่ยนใจได้?”

“อาจจะเพราะพวกเราหมดหนทางแล้วก็ได้ครับปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้นอกจากตามันจะไม่ดีขึ้นข้างที่เป็นแผลอาจจะแย่กว่าเดิม”

“ผมคิดว่าตัวผมคงทำอะไรได้ไม่ดีกว่าพวกคุณ ถ้าพวกคุณทำดีแล้วก็คงดีได้เท่านั้น”

“คุณดูไม่เหมือนเดิม”

“วันนี้ผมเหนื่อยมั้งครับ”

เขากับคุณแชมป์เดินออกมาที่หน้าถนนใหญ่ด้วยกันคุณแชมป์ยืนยันที่จะยืนรอรถแท็กซี่เป็นเพื่อนเขาก่อนที่จะรถจะมาคุณแชมป์พูดทิ้งท้ายกับเขาไว้ประโยคนึงว่า

“ดาร์กมันเริ่มโหมงานหนักมากอีกแล้วนะครับมันไม่ยอมวางมือจากเอกสารเลยมันบอกว่ามันจะทำเพื่อทดแทนที่มันหายไปคุณก็รู้ใช่ไหมว่าหมอไม่ได้ให้มันใช้ตาหนักในช่วงนี้ผมบอกคุณได้เท่านี้เผื่อคุณจะลองเอาไปคิดดู”

“…”


“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

“ยังจ๊ะ วันนี้ได้ข่าวว่าที่โรงงานมีปัญหา”

“นิดหน่อยครับ”

“อยากเล่าให้แม่ฟังไหม?”

กลับมาถึงบ้านเขาก็เห็นว่าแม่กำลังอ่านหนังสือเพื่อรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขกเป็นธรรมเปิดปากเล่าเรื่องต่างๆ ให้แม่ฟังทั้งเรื่องงานและเรื่องของพี่ดาร์ก

“แม่พี่ดาร์กเปิดตาแล้วนะครับ”

“แล้วได้ออกจากโรงพยาบาลไหม? คุณหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

“ออกครับและผมก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายไปหมดแล้ว”

“ก็ดีแล้วคุนจะได้ไม่ต้องไปกลับระหว่างโรงงานกับโรงพยาบาลอีก”

“พี่ดาร์กเสียตาไปข้างนึงครับตาข้างขวาของพี่ดาร์กไม่สามารถมองเห็นตอนนี้พี่ดาร์กเหลือแค่ตาซ้ายที่ยังไม่สามารถมองเห็นได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี”

“แล้วใครดูแล เราต้องจ้างคนไปดูแลไหม?”

“พี่ดาร์กมีคนอยู่ด้วยแล้วครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว เราจะได้หมดห่วงและเขากับเราจะได้จบลงสักที”

“แม่ครับ ผมไม่คิดว่าตัวผมจะออกมาจากเขาได้”

“ลูกไม่ต้องรู้สึกผิดแม่ได้อธิบายเหตุผลต่างๆไปแล้วไง”

“การรู้สึกผิดก็แค่ส่วนนึงเท่านั้นครับแต่สิ่งที่ทำให้ผมยังอยู่กับเขาก็คือผมอยากอยู่กับพี่ดาร์กครับผมอยากอยู่ข้างๆ เขาอยู่ตรงนั้น”

“แล้วลูกยังยืนยันที่จะอยู่ตรงนั้นแม้แม่จะไม่เห็นด้วย?”

“ครับ”

“ผมอยากอยู่ข้างๆ เขาจนกว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ก็จนกว่าพี่ดาร์กเขาจะไม่ต้องการผม”

“คุน”

“ผมสัญญาว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมขอต่อจากนี้ผมจะไม่ขัดอะไรแม่อีก นะครับแม่ขอให้ผมได้อยู่ข้างเขาจนกว่าเขาจะหายดี”

แม่เงียบไปพักใหญ่สายตาของแม่จ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของเขาอยู่นานเหมือนกำลังพยายามหาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“งั้นถ้าเขาไม่ต้องการลูกลูกก็ไม่ต้องไปดูแลเขาเข้าใจไหม?”

“ครับแม่ ผมตกลง”

เป็นธรรมลุกจากเก้าอี้นั่งของตัวเองเข้าไปกอดแม่ด้วยความดีใจในที่สุดเขาก็สามารถขอแม่ดูแลพี่ดาร์กได้อย่างเต็มตัวและไม่ต้องมานั่งปิดบังและยังไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิดกับแม่

“ขอบคุณครับแม่ที่เข้าใจ”

“ไปพักผ่อนเถอะลูก ดึกแล้ว”

“ครับ”


เป็นธรรมเดินขึ้นไปบนห้องนอนด้วยรอยยิ้มส่วนแม่ของเขาที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอที่เพิ่งมอบให้แก่ลูกกำลังหุบลงเพราะประโยคเดียวที่ดังในหัวของเธอก็คือ

“จนกว่าพี่ดาร์กเขาจะไม่ต้องการผม”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:10:23
บทที่ 22 Rewrite

วันนี้คุนไม่เหมือนเดิมคุนยอมล่าถอยง่ายเกินไปทั้งที่คิดว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรที่จะดีใจแต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่คุนกลับไปทรงจำเอาแต่ยืนมองลงไปที่สนามหญ้าที่คุนชอบมานอนมองเขาทุกครั้งที่มาที่บ้านหลังนี้ทุกคนในบ้านนี้ช่วยคุนทำให้กว่าเขาจะรู้ตัวว่าคุนตามดูเขาที่บ้านครูก็ปาเข้าไปวันที่ 3 นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

ทรงจำรู้เรื่องด้วยความบังเอิญวันนั้นเขาลงไปจี้ถามกับทุกคนในบ้านว่าคุนรู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ได้อย่างไรแต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามของเขาและตั้งแต่วันที่รู้เขาก็พยายามเก็บตัวเองอยู่แต่ในบ้านในมุมที่คิดว่าคุนจะเห็นเขาได้ยากด้วยหวังว่าคุนจะหมดความอดทนและหายหน้าไปเองแต่ไม่ว่าเขาจะหลบอย่างไรคุนก็ไม่หายไปไหนยังคงกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม

จากที่หวังให้หายไปกลับเปลี่ยนเป็นการรอคอยที่จะเห็นคุนเดินเข้ามาคอยมองหาจากหน้าต่างบานนี้

วันนี้หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จทรงจำก็ขอตัวขึ้นมาบนบ้านวันนี้ตอนกินข้าวเขาไม่เห็นคุนผ่านทางหน้าต่างแม้ตั้งใจว่าจะไม่สนใจและบอกตัวเองว่าดีแล้วแต่เขาก็เอาแต่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือและความกระสับกระส่ายทั้งหมดก็จบลงเมื่อเขาเห็นเงาของคนที่มองหา

“ดึกแล้วยังจะมา”

เมื่อเห็นแบบนั้นขาของทรงจำก็ก้าวเดินลงมาทางด้านล่างของบ้านอ้อมไปทางด้านหลังห้องครัวเดินตรงไปหาร่างที่ตอนนี้นอนราบไปพื้นพร้อมมองขึ้นไปทางหน้าต่างที่ห้องของเขา

เราอยู่ห่างกันเพียงเท่านี้แต่คุนกลับไม่รู้ถึงการมาถึงของเขาการเดินมายืนอยู่ตรงนี้ทำให้เขาได้ยินทุกอย่างที่คุนพูดทุกปัญหาที่คุนกำลังเผชิญและปากเขาก็พูดถ้อยคำที่ทำให้คุนยอมกลับไป

ครืดๆ ในขณะที่ทรงจำคิดย้อนไปเรื่องที่ผ่านมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแต่เขาก็ปล่อยให้มันดับลงด้วยตัวเองเพราะดึกขนาดนี้คงไม่มีใครโทรมายกเว้นแชมป์ที่เพิ่งเดินกลับออกไปพร้อมคุนเมื่อตอนหัวค่ำและเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะฟังอะไร

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่องซึ่งมันผิดวิสัยของแชมป์ที่จะโทรมาซ้ำถ้าเขาไม่รับยกเว้นว่ามีเรื่องด่วนเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่ไม่ใช่เบอร์ของแชมป์แต่เป็นเบอร์ของคุณธิดาเขาใช้เวลาชั่งใจเพียงครู่ก่อนที่จะตัดสินใจรับสาย

“สวัสดีครับคุณธิดา”

“สวัสดีฉันได้ข่าวว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“ครับ”

“เธอกลับไปพักกับคนของเธอ แล้วทำไมเธอยังต้องรั้งคุนให้อยู่กับเธออีก?”

“ข่าวเรื่องอื่นของคุณอาจจะถูกต้องนะครับคุณธิดาแต่เรื่องที่ผมรั้งลูกของคุณเอาไว้ผมว่าเรื่องนี้คุณคงต้องไปสืบมาใหม่เพราะถ้าคุณธิดาถามผมผมก็ตอบได้แค่ว่าลูกชายของคุณคงจะรักผมมากถึงขนาดที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปไหน”

“เขาคงจะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องเป็นแบบนี้หรืออาจจะสงสารในสภาพร่างกายที่พิการของเธอมากกว่ารักถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้เธอใช้คำให้ถูกต้อง”

มือของเป็นธรรมสั่นเทาหลังจากได้ยินสิ่งที่คุณธิดาตอกย้ำในสิ่งที่เขาคิดมาเสมอจนเกือบจะปล่อยให้โทรศัพท์ที่ถืออยู่ล่วงหล่นลงสู่พื้น

“คุณคงไม่สามารถบังคับให้เขาทำตามคุณได้สินะครับคุณถึงต้องลงทุนโทรมาหาผมเองขนาดนี้ทำไมเหรอครับคุนเขาขาดผมไม่ได้ถึงขนาดขัดคำสั่งคุณธิดาเลยรึครับ?”

“เธอ!!”

“ผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผมทำอะไรเขาถึงติดใจลูกคุณติดใจอะไรผมคุณพอจะรู้ไหมครับ? ขนาดพิการยังไม่ไปไหนเลยครับ”

“แล้วเธอจะรู้ว่าเขาไม่ได้รักเธออย่างที่เธอคิดฉันจะทำให้เธอรู้ด้วยตัวเอง”

คุณธิดาตัดสายไปแล้วแต่เสียงและคำพูดของคุณธิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา ‘เขาไม่ได้รักเธอ’ ‘เขารู้สึกผิด’ ‘เขาสงสารถึงสภาพ’

“โธ่เว่ย”

หลังจากวางสายไปตอนนี้ทรงจำไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกของเขา ณ ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ระหว่างกลัวความสูญเสียไม่แน่ใจหรือความระแวงแต่ที่รู้ๆ ความรู้สึกนี้มันผลักดันให้เขาต้องทำอะไรบางอย่างเขาต้องการให้คุณธิดารู้ว่าคุณรักเขาและไม่รังเกียจเขา

“เบทต้องพังทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอนที่เห็นคุณในวันนี้ แถมยังมาเร็วกว่าทุกวันเสียด้วย”

“ทำไมเหรอครับ? ผมนึกว่าเขาโอเคแล้วซะอีกหรือว่าพี่ดาร์กสั่งเด็ดขาดแล้วว่าห้ามผมมา”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับดาร์กค่ะแต่เมื่อวานแชมป์โทรมาเล่าเรื่องคุณให้พวกเราฟังพวกเราก็เลยพนันกันนิดหน่อยและดูเหมือนว่าเบทจะเป็นฝ่ายต้องจ่ายให้กับฉันกับแชมป์”

“หวังว่าคุณเบทคงไม่มาไล่ผมออกไปนอกบ้านหรอกนะครับ”

“เข้าไปเถอะค่ะ”

“วันนี้ผมเรื่องอยากรบกวน ไม่รู้ว่าคุณกี้จะโอเคไหม?”

“เรื่องอะไรเหรอคะ?”


ไม่บ่อยครั้งที่ทรงจำจะโผล่มาตรงส่วนของร้านอาหารแต่มันเพราะวันนี้เขาตั้งใจเดินมาหาคุนเพราะเขาว่าเขาเห็นคุนเดินเข้าร้านมาตอนที่เขาเอาขยะในบ้านออกมาทิ้งแต่ไม่ว่าเขาจะรออยู่ในบ้านสักเท่าไหร่คุนก็ไม่เดินผ่านเข้าไปในส่วนของบ้านเสียทีเขาจึงเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ทำอะไรนะ?”

“ไอ้เบท”

“อ้าว เฮ้ยกลับมาเหรอวะ? แม่งเสียพนันอีกแล้วและนี่มาแอบอะไรยืนตรงนี้? ทำไมมาแอบดูเขาเหรอ?”

“เปล่า เดินผ่านมาก็เลยหยุดดู”

“แม้เดินผ่านมาได้ตรงเวลาดีจริงนะ”

ทรงจำปล่อยให้เบทพูดค่อนคอดไปเรื่อยเพราะตอนนี้เขากำลังสนใจกับคนที่กำลังลงมือทำครัวมากกว่าเสียที่ดังมาจากปากของเบทเขายืนดูจนกระทั่งกะทะพ้นจากเตาและพออาหารทุกอย่างถูกกวาดมาที่จานเขาก็รีบหมุนตัวเตรียมเดินกลับเข้าไปที่ตัวบ้าน

“สรุปแล้วมันยังไง? ไหนว่าไม่รักเขา?”

“แล้วตรงไหนที่ว่ารัก”

“นั้นสิแล้วตรงไหนเรียกว่ารัก”


“สวัสดีครับคุณสมใจ”

คุนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับผัดไทยที่อยู่จานทั้งสองจานแถมยังมียาคูลปั่นที่เขาชอบเพิ่มมาอีกด้วยสงสัยคงลงมือทำตอนที่เขาวิ่งกลับมาแล้วมิน่าเขาเข้ามาตั้งนานกว่าที่คุนจะตามมา

“สวัสดีค่ะ”

“ขอโทษด้วยครับที่ช้าทำให้เลยเวลามื้อเย็นมานานพอดีผมไม่ได้ลงมือทำนานแล้ว”

“ทำไมถึงเป็นคุณที่ยกอาหารเข้ามา?”

“ก็คุนเป็นคนทำก็ต้องยกเข้ามาสิอะนี่ยาคูลวันนี้คุนรีบมาเลยไม่ได้แวะซื้อปีโป้พี่ดื่มแบบไม่ผสมไปก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าเดี๋ยวใส่ปีโป้ให้”

“ครืด” ทรงจำลุกขึ้นจากที่นั่งทำให้เสียงลากเก้าอี้ดังสวนกับเสียงของจานอาหารที่ถูกวางลงบนโต๊ะคุนหันมาคว้ามือของเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะเดินหายออกมาจากตรงนั้น

“เดี๋ยวพี่ต้องทานยาหลังทานข้าวนี่ก็เลยมาเยอะแล้วคุนว่าพี่ทานเถอะ”

“ใครใช้ให้คุณเข้ามาก้าวก่าย?”

ทรงจำดึงมือของตัวเองออกและเดินขึ้นด้านบนที่เขาเดินออกมาไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเล่นตัวและไม่ทานอาหารที่คุนตั้งใจทำแต่เพราะเขามีเรื่องอยากจะคุยกับคุนโดยที่ไม่อยากให้ครูรู้

“คุณสมใจทานข้าวเถอะครับผัดไทยถ้าไม่ทานตอนร้อนๆมันจะไม่อร่อยยิ่งเป็นฝีมือของผมแล้วความอร่อยมันจะหายไปเร็วกว่าเดิมสำหรับพี่ดาร์กผมขอตามขึ้นไปทางด้านบนได้ไหมครับ?”

“ได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เสียงของคุนดังตามหลังเขามาเรื่อยๆ และเพียงไม่นานคุนก็เดินตามเข้ามาที่ห้องซึ่งเขาตั้งใจเปิดแง้มมันเอาไว้และเป็นไปตามคาดคุนผลักมันเข้ามาโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตเข้าห้อง

“พี่จะหนีคุนไปถึงเมื่อไหร่?”

คุนมองสำรวจไปรอบๆ ห้องคงจะพยายามหาที่วางถาดอาหารแต่ในห้องไม่มีอะไรมากมีเพียงเตียงตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยกระดาษทรงจำแอบเห็นคุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามดันเอกสารเหล่านั้นไปข้างโต๊ะและวางถาดอาหารลง

“คุนขอครูของพี่แล้วครูของพี่ก็อณุญาตแล้วด้วย”

“ผมไม่ได้ว่าอะไร”

“พี่ก็น่าจะรู้นิสัยคุนว่าต่อให้พี่ไล่คุนก็ไม่ไปอยู่แล้วงั้นพี่ก็มานั่งทานข้าวดีๆ และกินยาได้แล้ว”

“ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร?”

“ทานข้าว ทานยาก่อน”

“ก็บอกมาก่อนว่าทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?”

“ถ้าพี่ทานคุนก็จะตอบ”

“แล้วของคุณ?”

“เดี๋ยวค่อยกินหลังพี่”

“ไปเอาขึ้นมา กินพร้อมกัน”

คุนยืนงงอยู่ที่เดิมพักนึงก่อนที่จะยิ้มกว้างและรีบวิ่งลงไปทางด้านล่างใช้เวลาเพียงไม่นานคุนก็กลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับอาหารของตัวเอง

ทั้งเขาและคุนต่างผ่านอาหารมื้อนี้ไปอย่างเงียบๆ คุนยังคงมองไปทั่วทั้งห้องโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเขากำลังจับตามองการกะรทำของคุนอยู่

“ทำไมกระดาษมันเยอะแบบนี้ละ?”

“เคลียร์งาน”

“แต่หมอไม่ให้พี่ใช้สายตาเยอะ พี่ก็ควรเชื่อหมอบ้าง”

“ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน”

“ให้คุนช่วยนะ”

“อย่าเลย”

“ให้ช่วยเถอะคุนทำได้จริงๆ”

“แล้วรู้งานที่ผมทำอยู่เหรอ?”

คุนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็เงียบไปทรงจำผมยกไหล่และก้มหน้าก้มตาทานผัดไทยต่อหลังจากที่อาหารหมดลงคุนก็เก็บถาดอาหารลงไปทางด้านล่างคุนหายลงไปด้านล่างนานจนเขาคิดว่าคุนคงกลับไปแล้วเขาจึงเข้าไปล้างหน้าล้างตาจะได้ออกมาเคลียร์งานที่บริษัทให้เสร็จตามที่ได้สัญญากับเบทเอาไว้

 
“ทำอะไรนะ?”

“พี่ดาร์กมานั่งนี่กินยาซะอะ”

“เดี๋ยวกินเอง”

“กินเลย” คุนเอาแต่จ้องมองหน้าของเขาทำให้เขาต้องโยนยาเหล่านั้นเข้าปาก

“นั่งดีๆ พี่เดี๋ยวคุนทำแผลให้”

ทรงจำนั่งลงที่เตียงส่วนคุนยืนอยู่ข้างเตียงแกะเอาที่ปิดตาของเขาออกร่างกายของทรงจำเกร็งตัวขึ้นเมื่อพลาสเตอร์ที่ยึดกับผิวหนังของเขาเริ่มหลุดออก

“เดี๋ยวทำเอง กลับไปเถอะ” ทรงจำอดทนให้คุนเป็นคนแกะที่ปิดตาออกมาทั้งหมดไม่ได้

“คุนอยากทำให้”

“ไม่ต้อง”

คุนไม่ยอมฟังและทำตามคำสั่งของเขาคุนยังคงดึงดันพยายามจะแกะออกยิ่งคุนทำแบบนั้นเขาก็กำข้อมือของคุนเอาไว้แน่นขึ้นจนในที่สุดคุนก็ยอมลดมือทั้งสองข้างลงแรงต่อต้านของทรงจำก็ลดลงตอนที่แขนของคุนลดลงมาอยู่ข้างลำตัวเหมือนเดิมแต่แล้วคุนกลับใช้ช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ตั้งการ์ดปกป้องตัวโน้มหน้าลงมาแล้วจูบลงบนผ้าปิดแผลที่ตานั้น

“ให้โอกาสคุนได้ทำแผลนี้เถอะนะ”

ไม่มีเสียงปฎิเสธจากเขาคุนจึงเริ่มแกะผ้าปิดแผลออกและเมื่อมันถูกเปิดออกสายตาของคุนก็เปลี่ยนไปจากสายตาที่ห่วงใยกลายเป็นสายตาแห่งความเสียใจจนน้ำตาของคุนไหลออกมา

“แผลของพี่ ทำไมมันเป็นแบบนี้ วันนั้นที่คุนเห็นที่โรงพยาบาล มันไม่ใช่แบบนี้”

“...”

“คุน ขอโทษ”

“อย่าพูดมันออกมาอีก!!”

คำขอโทษของคุนทำให้ทรงจำฟิวส์ขาดเพราะมันเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่คุณธิดาพูดมาเมื่อวานมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมันย้ำเตือนว่าคุนคอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเพราะอะไรทรงจำพยายามจะยึดของเหล่านั้นคืนมาปิดบังความน่าเกียจของตัวเองแต่คุนก็เอาแต่ยื้อทุกอย่างเอาไว้ในมือเขาจึงผลักคุนออกไปให้ห่างและรีบลุกขึ้นยืนและหันหลังให้กับคุน

“ออกไปซะ ออกไป”

“พี่...”

“บอกให้ออกไปไง ไม่ต้องมามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก ผมไม่ได้ดูน่าสม...”

“คุนรักพี่คุนมาเพราะรักพี่”

คุนโอบกอดเขาไว้ทางด้านหลังหัวใจของคุนที่กำลังแนบอยู่กับแผ่นหลังของเขาเต้นด้วยจังหวะที่เร็วไม่ต่างกันจากของเขา

“...”

“พี่ถามคุนใช่ไหมว่าคุนมานั่งทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร? ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าคุนยังรักพี่รู้ว่ามันยากที่จะเชื่อแต่คุนยังคงมีความรักให้กับพี่ไม่ว่าจะยังไงก็รักพี่”

คุนหันตัวของเขาให้มาเผชิญหน้ากันและจับตัวเขานั่งลงที่เดิมคุนใส่ยาทำแผลให้กับเขาโดยปราศจากสีหน้าของความสงสารเหลือเพียงแค่สีหน้าของความเป็นห่วงไว้และเพราะสายตาความเป็นห่วงนั้นของคุนทำให้เขายอมนั่งเฉยไร้การต่อต้าน

“ทำให้เห็นสิ”

“ครับ?”

“ทำให้เชื่อและเห็นว่าคุณรักผมจริง”

“แล้วคุนจะทำให้พี่ดู”

คุนเอามือลูบไปตามความยาวของแผลความแสบที่เกิดจากยามันดูทุเลาลงเมื่อมันถูกสัมผัสด้วยมือคู่นี้และสุดท้ายคุนก้มลงจูบตรงเปลือกตาตรงที่แผลของเขา

“ไม่ต้องปิดแผลนะพี่แผลมันแย่เพราะพี่ปิดอยู่ตลอดเวลา”

“ปิดหรือเปิดมันก็ค่าเท่ากันยังไงตาข้างนี้มันก็ใช้งานไม่ได้อยู่ดีตาข้างนี้มันมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว”

“คุนรู้ๆ แต่คุนขอนะ”

สายตาที่คุนกำลังใช้อ้อนวอนเขานั้นมันดึงดูดให้เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นจนตอนนี้หน้าของเราใกล้กันมาก ใกล้จนเขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของคุนที่กำลังส่งผ่านลงที่ใบหน้าของเขา

ครืดๆ เสียงมือถือของคุนดังขึ้นทำให้เราทั้งสองคนผละออกจากกันคุนยืดตัวขึ้นเต็มความสูงและเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกวางเอาไว้ที่พื้นตั้งแต่ตอนที่เราทั้งสองคนนั่งทานข้าวเย็นกัน

“ครับแม่”

ทรงจำเงยหน้ามองขึ้นดูที่นาฬิกาก็ไม่แปลกที่คุณธิดาจะโทรมาตามลูกชายสุดที่รักกลับบ้านเพราะมันก็ดึกมากแล้วผม

“คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม?”

“พี่...”

“แต่ถ้าคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ผมขอโทษด้วยที่พูดอะไรออกไป”

“นอนสิ”

คุนวางของทุกอย่างลงที่เดิมและเดินมาหยิบชุดนอนของทรงจำที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าและเดินตรงไปอาบน้ำแผลที่ตารู้สึกเย็นเล็กน้อยเมื่อถูกกระทบด้วยลมแอร์ที่เปิดไว้เขารู้สึกไม่ชินเพราะนี่คือครั้งแรกที่ยอมเปิดแผลที่ตาข้างนี้จึงยกมือขึ้นมาปิดดวงตาเอาไว้
ทรงจำล้มตัวลงนอนที่เตียงรอให้คุนกลับมาแต่ฤทธิ์ยาที่เขาทานเข้าไปทำให้ง่วงนอนและหลับไปตั้งแต่คุนยังไม่กลับเข้ามาในห้องในห้วงของความฝันเขาฝันว่าข้างกายที่เย็นเฉียบกลับอุ่นขึ้นมือของเขาที่วางอยู่ที่ดวงตาถูกยกออกและถูกความนุ่มอุ่นจรดลงมาและมันก็เหมือนเป็นความอุ่นจนทำให้เขาไม่หวาดกลัวที่จะเปิดแผลนั้นเอาไว้เพื่อรับลม


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:14:02
บทที่ 23 Rewrite

เพียงแค่คุนขยับตัวลงจากทรงจำก็รู้สึกตัวตื่นแม้ตาจะหลับแต่หูของเขาคอยเงี่ยฟังว่าคุนกำลังทำอะไรคงต้องขอบคุณความสามารถพิเศษที่เขาได้มันมาหลักจากที่สูญเสียตาไปหนึ่งข้างเพราะมันทำให้เขาสามารถฟังเสียงได้ดีขึ้นและครั้งนี้มันทำให้เขาสามารถจินตนาการได้ว่าคุนกำลังทำอะไรอยู่ตรงไหนในห้องนอน

“คุนทำให้พี่ตื่นรึเปล่า?”

“เปล่า” ทรงจำเลิกแกล้งหลับตอนที่เสียงลูกบิดของประตูห้องนอนถูกบิดออก

“คุนไปก่อนนะพี่”

ในห้องยังไม่มีแสงแดดรอดเข้ามาเขาจึงเหลือบไปมองนาฬิกาที่ถูกติดเอาไว้ที่ฝาพนังแล้วก็พบว่ามันเพิ่งจะตี 5 เขาอยากถามคุนว่าทำไมถึงต้องรีบออกไปแต่เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะถามออกไปได้แต่พยักหน้ารับคำและลุกขึ้น

“พี่ดาร์กปิดแผลทำไม?”

“จะลงไปเปิดประตูให้”

“ไม่ต้องปิดแผลก็ได้นิ”

“แล้วจะเข้าไปช่วยครูทำอาหาร”

“ทำอาหารก็เปิดแผลได้”

“ไม่ได้มีครูอยู่ในครัวคนเดียว”

“ยิ่งปิดคนยิ่งมองไม่ต้องปิดหรอกพี่เชื่อสิ”

หลังจากเถียงกันอยู่ทรงจำก็วางอุปกรณ์การปิดแผลลงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเชื่อหรือทำตามแต่ถ้าเอาแต่ยื้อกันอยู่อย่างนี้ทั้งเขาและคุนคงไม่มีใครได้ออกไปจากห้องนี้แน่

“สวัสดีครับคุณสมใจ”

“สวัสดีค่ะ อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนไหมคะ?”

“เอาไว้วันหน้านะครับ พี่ดาร์กเย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”

“ไม่”

ตั้งหลายวันทรงจำไม่เคยถามว่าคุนมาที่บ้านนี้ได้ยังไงและเขาก็ลืมเรื่องนั้นไปเลยจนตอนนี้ที่เขาเดินออกมาส่งคุนที่หน้าบ้านและสังเกตุเห็นความว่างเปล่า

“ยังไม่ซื้อรถ?”

“พอได้นั่งรถประจำทางนานเข้าคุนว่ามันก็สะดวกดี”

“รอก่อน”

“พี่จะไปไหน?”

“รอตรงนี้”

เขาพยายามก้าวขาให้ยาวเดินกลับเข้าไปในบ้านตรงขึ้นไปบนห้องทรงจำคว้าไปที่กล่องเหล็กที่เขาเอาไว้เก็บกุญแจต่างๆ เทกล่องเหล็กรื้อขอ ที่สายพันกันมั่วไปหมดออกจากกันแต่แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่างให้เร็วด้วยตาที่สามารถใช้การได้เพียงข้างเดียวทำแต่กว่าจะเจอสิ่งที่ต้องการและเดินกลับลงมาทางด้านล่างคุนก็หายไปแล้วเหลือเพียงแค่ครูที่ยืนล็อคประตูหน้าบ้าน

“คุนฝากบอกขอโทษที่ไม่ได้รอแต่ว่าเขาต้องรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน”

“ครับครู”

ทรงจำเดินกำกุญแจที่ถือลงมาตามครูเข้าไปในห้องครัวที่มีคนอื่นช่วยกันทำกับข้าวถวายพระอยู่ที่หน้าบ้านครูยิ้มกว้างที่เห็นใบหน้าของเขาที่ไม่มีผ้าปิดแผลปรากฏเขารู้ว่าครูต้องดีใจเพราะมันเป็นสิ่งที่ครูพยายามขอเขามาตลอดตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านและเขาก็ไม่เคยที่จะทำมันและเขาก็คิดว่าเขาน่าจะทำตามที่ครูขอมาตั้งนานแล้ว

แต่ลูกจ้างคนนึงที่เคยเห็นหน้าเขาตั้งแต่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุมองเขาตาไม่กระพริบตาตอนที่เขาเดินเข้าไปปรากฏตัวในห้องครัวและนั้นก็ทำให้รู้ว่าเขาพลาดไปแล้วที่เชื่อคุนและลงมาทั้งแบบนี้

“ดาร์กจะไปไหนไม่อยู่ช่วยครูก่อนเหรอ?”

“ผมจะขึ้นไปปิดแผลคนกลัวหมดเดี๋ยวลงมาช่วยครับ”

เด็กคนนั้นสะดุ้งตัวเหมือนรู้ว่าทรงจำกำลังพูดถึง เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างซึ่งถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นกับคำว่าขอโทษแต่แล้วเด็กคนนั้นก็เอาแต่อ้าปากขึ้นลงจนเขาเริ่มรู้สึกโมโหจึงรีบเดินออกมาจากครัวดีกว่าที่จะยืนอยู่ต่อและกลายเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศยามเช้าขุ่นมัว

“หนูไม่ได้กลัวนะคะ”

ขาที่ก้าวออกมาเพียงข้างเดียวชะงักลงหลังเสียงของเด็กคนนั้นดังขึ้นมาเขาหันกลับไปตามเสียงพูดและมองหน้าของคนที่พูด

“ที่หนูมองพี่หนูไม่ได้กลัวพี่นะแต่เป็นเพราะว่าแปลกใจหนูเห็นพี่ปิดผ้าไว้ตลอดหนูก็คิดไปว่าแผลของพี่คงจะเอ่อ...น่ากลัวกว่านี้แต่พอวันนี้ได้มาเห็นเป็นครั้งแรก มันก็เลยอดไม่ได้ที่จะมอง”

“...”

“จริงๆ นะคะ” เด็กคนงานนั้นพยายามย้ำว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง

“เมื่อรู้แบบนี้แล้วงั้นก็เข้ามาช่วยครูต่อได้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

หลังจากใส่บาตรเสร็จทรงจำก็กลับขึ้นมาบนห้องเพื่อสะสางงานที่ค้างเอาไว้กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าควรที่จะพักตาบ้างก็ตอนที่แสงแดดทางด้านนอกเริ่มทอแสงอ่อนจนเข้ามาไม่ถึงตัวเอกสารที่กำลังอ่านอยู่แต่ในเมื่อดูแล้วงานมันเหลืออีกนิดเดียวเขาจึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะแล้วตั้งใจจะทำงานต่อให้เสร็จแต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปนั้นเขาไม่ได้ทันปรับตาให้ดีพอแสงไฟสว่างจ้าออกมาตาของเขาก็แสบแสงไฟจึงผงะไปทางด้านหลัง

“พี่ดาร์กเป็นอะไร!!!”

เสียงของคุนดังแตกตื่นอยู่ทางด้านหลังของเขาสงสัยเขาจะมีสมาธิกับงานมากเกินไปจนเขาไม่สามารถรับรู้ถึงการมาของคุนได้

“ไม่มีอะไร”

“ไม่มีได้ไงคุนเห็นพี่เซ”

คุนกดเปิดไฟดวงใหญ่ของห้องและเดินเข้ามาปิดไฟที่โคมไฟที่โต๊ะทำงานของเขา

“คุณสมใจบอกว่าตั้งแต่ช่วงบ่ายพี่เอาแต่หมกตัวทำงานอยู่บนนี้ไม่ยอมลงไปข้างล่างคุนว่าพี่ทำงานเยอะเกินไปแล้วครับ”

“ครู”

“ครับ?”

“เรียกว่าครูก็ได้”

“คุณ เอ่อ ครู เขาจะยอมให้เรียกเหรอพี่?”

“ทำไมจะต้องไม่ยอม”

“ก็ … โอเคต่อไปนี้คุนจะเรียกคุณสมใจว่าครูแต่ตอนนี้เอาเป็นว่าพี่พอกับงานตรงนี้ได้แล้ว”

คุนดึงให้เขาลุกขึ้นยืนและรีบรวบเอาเอกสารไปเก็บไว้ที่มุมนึงของโต๊ะทำเหมือนกับว่าเขาจะเอื่อมไปหยิบไม่ถึงแบบนั้นเขาเกือบจะโวยวายแต่ยังดีที่คุนยังแยกเป็นกองๆ ตามประเภทงานให้

เห็นการที่คุนพยายามเอาตัวบังโต๊ะทำงานทรงจำก็รู้แล้วว่าเขาคงหมดหนทางที่จะดื้อทำต่อไปเขาจึงถอดแว่นตาออกแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจแก้เมื่อยคุนใช้เวลายุ่งอยู่กับโต๊ะอยู่เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็หันมาดันให้เขาลงไปด้านล่างเพื่อไปกินทื้อเย็นที่กี้ทำไว้ให้

 
“งั้นผมลาก่อนนะครับครู”

“เย็นแล้วให้กี้หรือแชมป์ไปส่งที่หน้าปากซอยไหม?”

“ไม่เป็นไรครับผมมาจนจำทางได้แล้ว”

หลังจากที่ทั้งเขาและคุนช่วยกันทำความสะอาดเรียบร้อยคุนก็เดินมาลาครูที่ห้องนั่งเล่นความหงุดหงิดเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวในหัวมีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมาว่าทำไมคุนต้องรีบที่จะกลับบ้านมากขนาดนั้น

“โอ๊ย”

คุนกลับมาสนใจเขาแทนบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับครูเขาพยายามก้มหน้าลงต่ำยกมือกดตาข้างที่มองไม่เห็นเอาไว้ คุนย่อลงและก้มมองพยายามที่จะแกะมือของเขาออกมือของคุนที่จับทับมือของเขาเอาไว้เริ่มเย็นเฉียบและกำลังสั่น

“ผมอยากขึ้นข้างบน”

“ไปๆ คุนพาไปนะ”

“พี่ดาร์กเปิดตาให้คุนดูหน่อยเป็นอะไรไปพี่เจ็บเหรอ?”

“อืม แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว”

“เอางี้พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเดี๋ยวคุนทำแผลให้”

“ไม่เป็นไรคุณคงอยากกลับบ้านแล้วกลับเลยก็ได้”

“คุนไม่ได้รีบขนาดนั้น”

ทรงจำพยายามทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดไม่ว่าจะเป็นเดินหรือแม้กระทั่งนั่งเล่นอยู่ในห้องน้ำแม้ว่าจะอายน้ำเสร็จนานแล้วก็ตาม

“พี่โอเคหรือเปล่า? หายไปนาน”

“โอเค”

“งั้นมาทำแผลกันดีกว่า ว่าแต่เป็นยังไงบ้างไม่ได้ปิดแผล”

“ไม่ดี”

“ไม่ดีหรือไม่ชิน?”

“มีคนตกใจ”

“เพราะพี่ปิดมานาน ลองไปเจอคนอื่นๆ ดูสิ คนที่ไม่เคยเห็นพี่ปิดตาคุนว่าพวกเขาจะไม่แม้แต่จะหยุดมองพี่เลย”

แล้วไม่ว่าเขาจะพยายามถ่วงเวลาเอาไว้มากแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างก็ยังคงผ่านไปเร็วเพราะเพียงแค่สามทุ่มคุนก็ทำแผลเสร็จแถมยังเก็บพวกยาต่างๆ เข้าที่เรียบร้อย

“คุนกลับแล้วนะพี่ พรุ่งนี้เจอกันพรุ่งนี้เกิดพี่อยากได้อะไรจากข้างนอกพี่โทรบอกได้เลยนะ”

“เดี๋ยว”

“ครับ?”

วันนี้ทรงจำก็อยากที่จะรั้งให้คุนอยู่กับเขาเหมือนเมื่อคืนแต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาอีกแล้วเขาเลยถอนหายใจเพราะต้องยอมปล่อยให้คุนกลับบ้านไปทรงจำเดินไปหยิบกุญแจที่เขาเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแต่ไม่ได้มีโอกาสที่จะยื่นให้ลงที่โต๊ะหนังสือ

“เอารถไปใช้ มันดึกแล้ว”

“รถใครพี่? พี่ขายไปแล้วนิ”

“ผมซื้อคันใหม่”

“พี่ไม่”

“คุณคงไม่คิดว่าผมจะใช้มันได้ในช่วงนี้หรอกใช่ไหม?”

“แต่…”

“มันเป็นความคิดของครู ครูมาบอกผมตั้งนานแล้วว่าให้รถกับคุณใช้”

“อ่อ เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อเอาครูมาอ้างคุนก็ยอมรับกุญแจไปช่วงจังหวะที่เขาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่โต๊ะเพราะจะลงไปส่งคุนทางด้านล่างมือของเขาดันไปโดนกับกองกระดาษที่คุนกองเอาไว้มุมของโต๊ะเขาจึงต้องหันจับพวกกองเอกสารเหล่านั้นเอาไว้ก่อนที่มันจะล่วงไปที่พื้นและเละเทะไปหมด

“พี่จะทำงานเหรอ? วันนี้พี่ก็เพิ่งจะแย่ลงเพราะทำงานมาทั้งวัน”

“ไม่…” ก่อนที่คำปฎิเสธจะหลุดออกไปความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นและนั้นก็ทำให้คำตอบของเขาเปลี่ยนไป

“ไม่ต้องกังวล ผมโอเคแล้ว”

“ไม่ค่อยทำพรุ่งนี้ต่อ?”

“งานนี้ผมต้องทำให้เสร็จ เหลืออีกไม่มากอีกอย่างงานก็รีบ” ทรงจำนั่งลงด้วยใจที่ลุ้นว่าคุนจะหลงติดกับที่เขาวางเอาไว้หรือจะตัดสินใจกลับบ้าน

“ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้นะ?”

คุนเดินเอากุญแจรถมาวางที่โต๊ะพร้อมกับเดินคว้าเอาผ้าเช็ดตัวพร้อมทั้งเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อเอาชุดสำหรับใส่นอนเดินออกไปจากห้องในวินาทีที่คุนคว้าผ้าเช็ดตัวเป็นช่วงที่เขายิ้มได้อีกครั้ง

“พี่ลุกออกไปเลยมาคุนช่วยรีบมากใช่ไหม” ใช้เวลาเพียงไม่นานคุนก็เดินกลับเข้ามาในห้องคุนเดินมาผลักเขาให้ออกไปจากเก้าอี้

“คุณไม่รู้เรื่องหรอก”

“พี่ก็บอกสิ”

“งั้นเขียนสรุปไว้แต่ละรายงานก็พอเดี๋ยวผมทำต่อเอง”

บทสนทนานั้นเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่เขามีกับคุนในคืนนี้และเขาก็นั่งมองแผ่นหลังของคุนจนเผลอหลับไปเพราะฤทธิ์ของยา

“ทำสรุปไว้หมดแล้วแต่ไม่รู้ว่าถูกหมดไหม”

ตื่นเช้ามาเขาก็ไม่เห็นคุนอยู่ข้างกันแล้วลองจับไปที่นอนข้างๆ มันเย็นมากทำให้รู้ว่าคุนคงจะลุกออกไปได้สักพัก มองดูนาฬิกาไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนอนยาวจนถึงเจ็ดโมงเช้าเขาเก็บกระดาษโน้ตนั้นไว้ที่ลิ้นชักใต้โต๊ะและมองดูผลงานของคุนเห็นลายมือที่โย้ไปเย้มาสงสัยว่าคุนคงง่วงแต่ยังคงฝืนทำคิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาใช้งานคุนหนักไปรึเปล่าบางทีวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะรั้งให้คุนอยู่ด้วยกันเขาอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแต่อย่างน้อยเขาก็ยโล่งใจที่คุนยังยอมเอารถไปใช้ตามที่เขาบอก

“ว้าว ว้าว ว้าว วันนี้ไอ้คุณดาร์กเดินมาช่วยเปิดร้านได้โว๊ย”

“ปากแบบนี้ทำไปคนเดียวละกัน”

“เบทไปแซวมัน”

“ฮ่าๆ แซวนิดเดียวเอง”

“งานเสร็จแล้วส่วนนึงจะเอาเลยไหม? เดี๋ยวเอาลงมาให้”

“เอาตอนเสร็จเลยทีเดียวก็ได้”

“วันนี้ลงมาช่วยหน้าร้านได้ เมื่อไหร่จะกลับไปทำงานที่บริษัทหว่า?”

“อีกไม่นานหรอก”

“เบทเลิกแซวเตรียมตัวไปตลาดซะที สายมากแล้วเนี่ย”

“จะ 8 โมงแล้วจะเหลืออะไรไหมเนี่ย? ไม่ไปได้ไหม”

“ตื่นสายแล้วยังจะมาขี้เกียจ”

“ก็นอนอยู่ด้วยกันไหมละ?”

การพูดคุยของกี้กับเบททำให้เขาหยุดมือที่กำลังช่วยจัดร้านหยุดลงถ้าทั้งสองคนไม่ได้ออกไปตลาดเมื่อเช้า

“เมื่อเช้าใครเปิดประตูให้คุน?”

“คุนค้างที่นี่?”

“คือไรวะ?”

“สรุปทั้งสองคนไม่มีใครมาเปิดประตู?”

“ครูเป็นคนให้กุญแจบ้านเขาเอง”

“ครับ?”

“เมื่อคืนครูเห็นเขาเดินวนอยู่ทางประตูหน้าบ้านเล็กพอถามเขาก็บอกว่าต้องรีบกลับบ้าน ดาร์กครูขอเตือนนะทีหลังอย่าไล่เขากลับในเวลาแบบนั้นแม้ว่าดาร์กจะให้รถเขาไปใช้แต่มันก็ยากมากที่จะขับรถออกไปในช่วงตีสองตีสามของวัน”

“ตีสองตีสาม?”

“ทีหลังอย่าทำอีก เข้าใจไหม?”

“ครับ”

“เอ่อ เบทงานที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดเอามาให้หมดเลย”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูกับแชมป์ทำก่อนที่เหลือในส่วนของมึงเดี๋ยวค่อยกลับไปทำตอนที่พร้อมเข้าออฟฟิตก็ได้”

“ไม่เป็นไรช่วงนี้ว่างเอามาเถอะ”

“โอเค”


“ทำไมงานเพิ่มขึ้นอีกแล้วอะพี่? พี่ยังไม่ได้กลับไปทำงานเต็มตัวไม่ใช่เหรอ?”

“เบทบอกว่างานยุ่ง ก็เลยขอให้ช่วย”

“คุณเบทนี่ยังไง?”

“คุณไม่ต้องช่วยผมก็ได้เดี๋ยวผมทำเอง คุณกลับบ้านไปเถอะ”

“ผมจะปล่อยให้พี่ทำได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อวานจนเมื่อเย็นพี่ก็ยังเจ็บตาอยู่เลย”

ก่อนที่คุนจะมาถึงบ้านทรงจำหยิบเอาผ้าทำแผลมาปิดตาพร้อมกับนั่งจมอยู่กับกองเอกสารและก็เป็นไปตามคาดทันทีที่คุนก้าวเข้ามาและเห็นก็โวยเสียยกใหญ่ว่าทำไมเขาต้องคอยทำอะไรที่ไม่ดีต่อตัวเองเสียงถอนหายใจดังอยู่หลายครั้ง ก่อนที่คุนจะไล่เขาลุกออกจากเก้าอี้

“งั้นคุนก็ไม่มีทางเลือก”

คุนลงนั่งช่วยงานเขาเหมือนเมื่อคืนต่างกันเพียงแค่ว่าคืนนี้เขาไม่ได้หลับจริงเหมือนคืนก่อนเพราะเขาแอบทิ้งยาที่เป็นสาเหตุของการง่วงไปแต่เขายังคงแกล้งหลับคุนจะได้ไม่สงสัยเขานอนฟังเสียงปากกาขีดเขียนกับกระดาษอยู่นานและเสียงนั้นก็มาสะดุดตอนที่เสียงสั่นของโทรศัพท์ของคุนดังขึ้น

“ครับแม่”

“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับ”

“ไม่ดึกครับ”

“แม่ เราคุยกันแล้ว”

“ครับๆ”

เสียงคุยเงียบลงไปแล้วพร้อมกับเสียงปากกาที่ถูกวางลงทุกอย่างเงียบจนเขาเกือบจะลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้ยินเสียงคุนลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินมาหยุดที่เตียงคุนนั่งลงที่เตียงแล้วเอามือมาลูบที่ดวงตาและใบหน้าของเขาคุนพักมือแตะไว้ที่แก้มพร้อมกับลงตัวนอนข้างๆ มันนานจนเขาเริ่มสบายใจที่ในคืนนี้คุนตัดสินใจที่จะค้างที่นี่แทนการกลับบ้านและความสบายใจนั้นก็ทำให้เขาหลับได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งยา


“โธ่โว๊ย”

เมื่อคืนเขาหลับไปเพราะความไว้ใจแต่ลืมตาขึ้นมาข้างกายเขาก็ไม่มีคุนอยู่แล้วที่นอนไม่มีรอยยับเหมือนกับเมื่อคืนที่เขารู้สึกว่าคุนล้มตัวนอนอยู่ข้างกันมันเป็นแค่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

“ถ้าคุนจะเล่นแบบนี้ ได้”

หลังจากวันนั้นเขาขอให้เบทขนเอางานที่ยังค้างอยู่ที่บริษัทกลับมาที่บ้านทุกวันไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะเป็นของใคร ขอแค่เป็นงานค้างเขาจะยื่นมือไปทำหมดคุนก็ยังคงเป็นคุนที่อยู่จนเขาหลับและกลับออกไปจากบ้านตอนช่วงตีสองตีสาม เขาไม่หลงเชื่อใจและหลับไปตอนที่คุนเข้ามาลูบแผลที่ตาอีกแล้วและนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าคุนจะล้มตัวนอนข้างกันเพียงครู่ก่อนที่จะลุกออกไป

หลายวันหลังมานี้ทรงจำเองก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุนหน้าตาของคุนอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดสภาพนั้นทำให้เขาอยากหยุดทำแบบนี้อยากหยุดทรมาณแต่ในทุกเช้าที่เขาต้องลืมตาตื่นแล้วเจอกับความว่างเปล่าความตั้งใจที่จะเลิกนั้นก็หายไป

เกาะๆๆ

“ครูขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม?”

“มีอะไรรึเปล่าครับครู?”

“มานั่งนี่สิ”

“ครับ”

“ดาร์กกำลังทำอะไรอยู่?”

“ผมไม่ได้ทำอะไรครับ”

“ไหนก่อนออกจากโรงพยาบาลดาร์กบอกครูว่าจะยอมปล่อยครอบครัวนั้นไปแล้วไง?”

“ผมปล่อยแล้วแต่เขาเป็นคนเดินกลับเข้ามาหาผมครูก็เห็น”

“ดาร์กก็รู้ว่าครูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“…”

“ดาร์กพอได้รึยัง? ที่เราทำไปทั้งหมดนั้นครูว่าเขาก็ได้รับบทเรียนของเขาแล้วครูมั่นใจว่าเขารู้แล้วว่าการหักหลังมันเป็นอย่างไรอีกอย่างครูไม่คิดว่าคุนควรมาเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งที่สอง”

“ก็คงต้องโทษที่เขาเกิดมาเป็นลูกของคุณธิดา”

“ถ้าดาร์กไม่ได้รู้สึกดีที่คุนเขามาดูแลขอแค่บอกมาแล้วครูจะพูดให้แต่อย่าไปทำร้ายเขาดาร์กไม่เห็นเหรอว่าสภาพร่างกายของเขาตอนนี้เป็นยังไง?”   

“ผมแค่อยากให้แม่ของเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนน่าสงสารผมไม่ใช่คนพิการที่น่าสมเพชอย่างที่แม่เขาคิดว่าลูกเขาทำไปเพราะรู้สึกแบบนั้น”

“ดาร์ก”

“ครูรู้ไหมเขาโทรมาพูดกับผมว่ายังไงในวันที่เขารู้ว่าลูกเขามาดูแลผมเขาบอกว่าลูกเขารู้สึกแค่สงสารก็เลยตามมาดูแลผมอยู่อย่างนี้ ครู เขาบอกว่าผมพิการ เขา…”

“ชู่ๆๆๆ พอแล้วๆ”

ครูสมใจดึงเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่นไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปีอ้อมกอดของครูเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอตั้งแต่เขายังเด็กเขารู้มาตลอดว่าอ้อมกอดนี้มีแต่ความหวังดีและด้วยความหวังดีนี่เองที่ทำให้เขาโถมเข้าหาและไม่ปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง

ทรงจำใช้เวลาอยู่ในอ้อมกอดนั้นให้เป็นที่พึ่งอยู่นานจนกี้เดินขึ้นมาตามให้เราลงไปทานมื้อกลางวันแล้วพอกี้เห็นแทนที่กี้จะดึงตัวพวกเราออกจากกันกี้กลับเดินเข้ามากอดทั้งเขาและครูทับไว้อีกที

“หลังจากนี้ ดาร์คลองคิดให้ดีนะว่าที่ดาร์กทำมาทั้งหมดดาร์กแค่อยากพิสูจน์ให้แม่ของเขารู้อยากเล่นเกมส์กับแม่เขาหรือที่จริงแล้วดาร์กแค่อยากพิสูจน์ให้ตัวเองรู้ว่าคุนมาหาเพราะอะไร”

“ผม”

“ไม่ต้องตอบครูแค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอว่าที่ทำไปเพราะอะไร”

“…”

“ถ้าถามครู ครูว่าเขาต้องการดูแลดาร์กด้วยความเป็นห่วงไม่ใช่สงสารและสมเพชแต่ไม่รู้ว่าห่วงในรูปแบบไหน อันนั้นดาร์กต้องหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการคุยกับเขา”

“…”

“และที่สำคัญถ้าได้คำตอบแล้วช่วยตอบข้อต่อไปด้วยว่าแล้วดาร์กจะอยากรู้ไปทำไมว่าเขายังรักดาร์กอยู่ไหม? เพราะดาร์กกลัวจะเสียรักนั้นไปหรือเปล่า?”

“ครูบอกได้แค่ว่าถ้ากลัวว่าจะเสียรักนั้นไปแต่ยังทำแบบนี้อยู่ในเร็ววันนี้ได้เสียมันไปแน่นอน”

“ครับครู”

“บางเรื่องใช้ใจมากกว่าสมองมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะ”

หรือว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับไปเชื่อฟังครูเหมือนตอนยังเป็นเด็กอีกครั้งมันถึงเวลานั้นแล้วหรือยังที่เขาควรยอมรับกับความรู้สึกและทำความเข้าใจกับมันเสียที


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:33:50
บทที่ 24 Rewrite

คำถามของครูเป็นคำถามที่ทำให้เขารู้ตัวว่าก่อนที่เขาจะลงมือทำอะไรมากไปกว่านี้เขาสมควรตอบคำถามนั้นให้ได้ก่อนว่า ‘ทำแบบนี้เพื่อใครกันแน่?’ ระหว่างเพื่อตัวเองเพื่อให้รู้ว่าตัวเองยังคงเป็นที่ต้องการยังเป็นที่รักของคุนหรือเพื่อเป็นการเอาชนะคุณธิดา

“ไปไหนนะดาร์ก?”

“จะกลับบ้าน”

“คอนโดใหม่เหรอ?”

“เปล่า จะกลับบ้าน”

เมื่อทรงจำย้ำว่าจุดมุ่งหมายเขาอยู่ที่ไหนกี้วางมือกับงานที่อยู่ตรงหน้าลงพร้อมกับตะโกนเรียกคนงานให้มาจัดการเรื่องเงินที่เค้าเตอร์แทนเธอชั่วคราว

“ให้ไปส่งไหม?”

“ไม่เป็นไรโทรเรียก Uber มารับแล้ว”

“ถ้ากลับไม่ไหวโทรมาบอกรู้ไหม?”

“อือ”

หมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงบ่ายแบบนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาหนาตามากนักเขาจึงบอกให้คนขับรถส่งเขาลงตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้านและเดินเลาะตามทางมาเรื่อยจนเข้ามาถึงตัวบ้านด้วยตัวเองสมัยที่ยังเด็กเขาคุยโอ้อวดกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเสมอว่าบ้านของเขาหลังใหญ่เท่าฟ้าทั้งที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่บ้านเดี่ยว 2 ชั้นธรรมดาหลังนึงนั้นเอง

แต่แม้มันจะเป็นบ้านหลังเล็กแต่เขาก็พยายามทุกวิธีทางที่จะซื้อบ้านหลังนี้กลับคืนมาเขาพยายามทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และความโชคดีต่อมาเมื่อเจ้าของบ้านคนก่อนหน้าต้องย้ายจังหวัดกระทันหันเร่งทำให้เขาสามารถซื้อมันกลับมาได้ในราคาที่ไม่แพง

“พ่อ แม่ ดาร์กกลับมาแล้วครับ”

ตั้งแต่ได้บ้านหลังนี้กลับมาทรงจำก็ไม่เคยย้ายเข้ามาอยู่มีแค่กลับเข้ามาทำความสะอาดบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะวางแผนจะเข้ามาอยู่ทีไรมีเรื่องต้องให้ไม่ได้กลับมา เปิดประตูรั้วเข้ามาสวนที่อยู่ทางขวามือถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่เริ่มสูงหลังจากนี้เขาคงต้องตัดมันออกซะบ้างก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นที่อาศัยของพวกงูภายในตัวบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยเป็นเวลาหลายเดือนยิ่งแล้วใหญ่ พวกโต๊ะ ตู้ ต่างๆ เริ่มถูกจับเต็มไปด้วยฝุ่นที่หนา

ทรงจำปล่อยข้ามเรื่องฝุ่นแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะที่มีกรอบรูปพ่อ กับ แม่ เขาหยิบกรอบรูปมาปัดฝุ่นออกและยิ้มให้กับภาพนั้นก่อนที่จะถือมันติดขึ้นมาด้วยทางด้านบนของห้องนอนเขาตรงไปที่เตียงก้มลงไปข้างใต้แล้วดึงเอากล่องกระดาษกล่องนึงออกมาปัดฝุ่นทุกอย่างให้เรียบร้อยและเปิดกล่องที่เก็บความทรงจำออกมา

……………………………………….

“ถ้าไม่รักไม่ชอบเขาจะเก็บเอาไว้ทำไมวะ?” 

แชมป์เคยเอ่ยปากถามในวันที่ไปช่วยเขาย้ายของออกจากห้องเช่าที่เคยใช้อาศัยร่วมกับคุนวันนั้นเขาตอบส่งๆ ไปว่าก็มันมีความทรงจำของเขาร่วมอยู่ด้วยแต่ในความเป็นจริงเขารู้อยู่แก่ใจว่าในกล่องนี้มีแต่ของที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำระหว่างเขากับคุนทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดที่จะมีแต่คุนมาเป็นแขกเพียงคนเดียวของงานวันปีใหม่ที่ก็มีแต่คุนที่แต่งเป็นซันต้าเพื่อมาร่วมฉลองภาพในวันที่เขาไปเริ่มงานครั้งแรกที่คุนไปตามแอบถ่ายเอาไว้ที่หน้าบริษัทแต่ภาพที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุดก็คงเป็นภาพวันรับปริญญาของเขาเองในรูปนั้นทั้งเขากับคุนยิ้มสู้กล้องด้วยกันทั้งคู่แม้ว่าแดดจะร้อนมากถึงขนาดที่ว่าในรูปยังสามารถโชว์ถึงเหงื่อที่เกาะอยู่ตามใบหน้าของคุนออกมาก็ตาม

ความทรงจำต่างๆ ไหลออกมาเป็นระลอกในการกระทำของเขาไม่ว่าจะเป็นการจีบหรือการช่วยเหลือคุนบางเรื่องที่เขาทำลงไปเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาทำไปเพราะอยากได้ใจแล้วเอามาแก้แค้นหรือเป็นเพราะว่าเขาได้ตกหลุมรักคุนจริงๆ  แต่สิ่งนึงที่เขามั่นใจคือความทรงจำเหล่านั้นมันคือความทรงจำที่ดีทั้งหมดและไม่น่าเชื่อว่าแต่ละความทรงจำมันทำให้เขายิ้มได้และไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาเขาไม่รู้สึกเสียดายเวลาเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ

ทรงจำวางรูปสองใบคู่กันบนเตียงภาพของพ่อกับแม่ที่เขาเป็นคนถ่ายด้วยตัวเองกับรูปของเขากับคุนในวันรับปริญญารูปที่วางคู่กันทำให้ความรู้สึกผิดและความละอายก่อตัวขึ้นจนรู้สึกหายใจไม่สะดวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเกลียดความโกรธแค้นที่เขาสะสมมันมาตั้งนานมันหายไปตั้งแต่ตอนไหน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาได้มีโอกาสเข้าไปในชีวิตของคุนไม่มีคืนไหนที่เขาไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่เขาได้ทำเขาพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรความรู้สึกนี้มันจะหายไปแต่แล้วในคืนที่ไม่มีคุนเขาก็ได้รู้ตัวว่าเขาขาดคุนไม่ได้

เขาทุรนทุรายจนต้องกลับไปตามดูคุนที่บ้านแทบจะทุกวันพร้อมเอาแต่หวังว่าคุนจะไม่เกลียดกันแม้ว่าเขาจะลงมือทำร้ายขนาดนั้นเขาพยายามมาเสมอที่จะปฎิเสธใครต่อใครว่าเขาไม่ได้รักแต่ที่รู้สึกว่าทั้งหมดนั้นคือความผูกพันที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่เป็นเหมือนคู่รักกันมาเป็นสิบปี

เขาอาจโกหกใครต่อใครได้มากมายแต่คนเดียวที่เขาไม่สามารถโกหกได้เลยก็คือตัวเองเขารู้ว่าที่ผ่านมาเขาเป็นเหมือนแค่คนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองและเก็บความรู้สึกนี้มันให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้และการไม่ยอมรับของเขาก็ทำให้เรื่องเหล่านี้มันยืดเยื้อมานานจนตอนนี้เขาว่าเขาควรจบมันได้แล้วก่อนที่มครสักคนจะต้องเสียใจมากกว่านี้

มาถึงตอนนี้เขามีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือยอมรับใจตัวเองและขอให้คุนกลับมาหรือปฎิเสธใจของตัวเองและตัดคุนออกไปจากชีวิตให้เด็ดขาด

 “แม่ พ่อ ถ้าดาร์กขอรักเขาจะได้ไหมครับ?  พ่อกับแม่จะผิดหวังกับลูกคนนี้รึเปล่า? แล้วพ่อกับแม่จะโกรธดาร์กไหมครับ?”


ทรงจำใช้เวลาอยู่กับตัวเองตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงค่ำตอนที่เดินเข้ามาในบ้านเขาเดินเข้ามาด้วยความสับสนแต่ตอนนี้ตอนที่เขาก้าวขาออกไปจากบ้านทั้งหัวสมองและหัวใจของเขาได้มีคำตอบไปในทางเดียวกันและเขาก็รู้แล้วว่าเขาจะเลือกทางไหน

“โทรไปก็ไม่รับ”

ทรงจำเสียเวลาติดแหงกอยู่บนท้องถนนอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึงบ้านครูก็ปาเข้าไปจะ 2 ทุ่มพอเขาลงมาจากรถแท๊กซี่ก็เจอกี้ยืนดักอยู่ทางเข้าประตูใหญ่และพุ่งตรงเข้ามาหาทันทีที่ประตูรถเปิดออก

“สบายดี ขอบใจที่ถาม”

“ดาร์ก!!”

“โอเคๆ ไม่ได้เปิดเสียงกับสั่นไว้ว่าไงโทรไปมีอะไรรึเปล่า?”

“ยังจะกล้าถามหายไปตั้งครึ่งวันกะว่าถ้าปิดร้านแล้วยังโทรไม่ติดอีกจะไปตามแล้วเนี่ยกินไรมายังเนี่ย?”

“ยัง”

“อาหารอยู่ในครัวหลังบ้านน่ะ ไปอุ่นเอาแล้วกัน ครูกินไปแล้วนะ”

“ขอบใจ”

ด้านล่างของบ้านมีเสียงโทรทัศน์เปิดคลอเอาไว้แต่ไม่มีคนดูอยู่เขาลองเดินหาดูทั้งด้านบนและด้านล่างของบ้านก็ไม่เจอใคร เขาเดินตรงไปในครัวและเริ่มหยิบอาหารออกมาอุ่นมองดูอาหาร 2-3 อย่างที่ตั้งอยู่ไม่น่าจะมีอันไหนที่เป็นฝีมือของคุนเลยสักอย่างหรือว่าวันนี้คุนจะงานเยอะเลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามา

“กลับมาแล้วเหรอ?”

ครูเปิดประตูจากหลังครัวกลับเข้ามาในตัวบ้านในมือข้างนึงของครูถือมีดทำครัวส่วนอีกข้างเป็นเม็ดพริกที่ถูกใส่รวมกันในชามเล็ก

“มืดขนาดนี้ ครูไม่น่าออกไปตัด”

“ไม่เป็นไรหรอกหลังบ้านเราไม่ได้มืดขนาดนั้นไฟถนนก็สว่างเข้ามาถึงตัวบ้านอยู่”

“ครับ ครับ”

“เห็นกี้บอกว่า วันนี้กลับไปที่บ้านมาเหรอ?”

“ครับครู”

“เป็นยังไงบ้าง?”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเขากับครูเป็นความเงียบที่เขาขออยู่กับตัวเองอีกสักครั้งเพื่อทบทวนว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจก่อนมาถึงที่บ้านหลังนี้มันได้ถูกต้องแล้ว

“ผมไปขอโทษพ่อกับแม่มาครับ”

“ขอโทษเรื่อง?”

“ผมไม่สามารถตัดคุนเขาออกไปจากชีวิตของผมได้ครับ … ผมเลยไปขอโทษพวกท่านมา”

ครูมอบรอยยิ้มที่อบอุ่นให้กับในขณะที่ทั้งใบหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาครูวางมีดและชามพริกพร้อมกับถอดถุงมือวางลงที่โต๊ะอาหารเดินอ้อมโต๊ะแล้วมาหยุดยืนที่ทางด้านหน้าของผมยื่นมือออกมาจับบ่าทั้งสองข้างของเขาด้วยมือที่อบอุ่นของครู

“ดาร์กฟังครูนะแม้ครูเองจะไม่ได้รู้จักพ่อกับแม่ของดาร์กไม่เคยได้พูดคุยกันแต่ครูขอพูดในฐานะที่ครูก็เป็นแม่คน ครูเชื่อว่าพ่อกับแม่ของดาร์กคงไม่ได้รู้สึกดีใจถ้าสิ่งที่ลูกทำให้มันคือความทุกข์ใจของลูก”

“แต่ผม … ผม…ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน”

“ครูเชื่อว่าพ่อกับแม่ดาร์กจะต้องเข้าใจ”

“ขอบคุณครับครู”


“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ทรงจำพยายามกดโทรศัพท์หาคุนตั้งแต่ที่คุยกับครูเสร็จทุกครั้งที่เขากดโทรออกเขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งทั้งอยากรู้ว่าคุนจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นเบอร์เขาทั้งคุนจะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ในสิ่งที่เขาจะพูดแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามโทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด

“เปิดเครื่องแล้วโทรหาพี่ด้วย…”

ข้อความที่กำลังพิมพ์ขึ้นถูกลบออกการโทรไม่ติดก็ดีไปอย่างเรื่องแบบนี้เขาว่าบอกต่อหน้ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าการที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์เขาจึงเลิกใจร้อนและวางโทรศัพท์ลง


“จะไปไหนแต่เช้าเนี่ย?”

“ไปจ่ายตลาดด้วย”

“หะ?”

“ไม่ต้องมา ‘หะ’ ได้ยินแบบไหนก็แบบนั้นแหละ”

“อารมณ์ไหน?”

“อารมณ์อยากไปซื้อของทำกับข้าว”

“กินเอง?”

“เออ นะถามอยู่ได้จะได้ไปไหม?”

เมื่อคืนกว่าจะนอนหลับได้ก็ตอนที่นาฬิกาบอกว่าได้เข้าวันใหม่เพราะเขาเอาแต่นอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าเขาสมควรทำอย่างไรกับวันนี้ดีจะบอกคุนในแบบไหนทำเป็นบอกเฉยๆ เหมือนกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศหรือว่าต้องทำการเซอร์ไพรส์ให้คุนตกใจกับสิ่งที่เตรียมจะบอก

‘เพราะผมยังรักพี่’ คำนั้นคำเดียวจริงๆ ที่ทำให้กล้าทำอะไรแบบนี้ก็ได้แต่หวังไว้แค่ว่าคุนจะยังคงมีความรู้สึกแบบนั้นให้กับเขาอยู่และมากพอที่จะยอมให้โอกาสได้เอ่ยคำว่าขอโทษและถ้าเป็นไปได้นอกจากขอโทษแล้วเขาก็อยากจะขอโอกาสให้เราสองคนเริ่มใหม่อีกครั้งซึ่งข้อหลังนี้บอกตามตรงว่เขาค่อนข้างกังวลแต่เขาก็ยังอยากที่จะลองทำมัน

“กว่าจะเสร็จ”

ไม่น่าเชื่อว่าการเตรียมของเซอร์ไพรส์มื้อเย็นเพื่อใครสักคนต้องใช้เวลานานมากขนาดนี้เขาเริ่มเข้าครัวตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ แต่กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า

“เดินไปเดินมาอยู่ได้ปวดหัว นั่งสักทีเถอะ”

ก็สมควรที่กี้จะเริ่มบ่นในการเดินวนหน้าร้านของเขาก็เขากำลังเป็นกังวลตอนนี้ซึ่งก็เกือบสามทุ่มแล้วคุนยังมาไม่ถึงแถมไม่ว่าเขาจะพยายามโทรไปหาเท่าไหร่เครื่องมือถือที่ถูกปิดตั้งแต่เมื่อวานวันนี้ก็ยังคงเป็นสัญญาณการปิดเครื่องเหมือนเดิม

“เมื่อวานคุนก็มาดึกแบบนี้รึเปล่า?”

“เมื่อวานคุนไม่ได้มา”

“ทำไมไม่เห็นมีใครบอกกูละ?”

“เอ้า มาโมโหทำไมก็ไม่ได้ถามฉันก็ไม่รู้ว่าอยากรู้รึเปล่า”

“เออๆ”

“หมายเลขที่ท่านเรียก…”

“โธ่เว้ย”

ความกังวลยิ่งสูงขึ้นเมื่อผิดเวลาไปมากไอ้เรื่องที่จู่ๆ คุนจะเปลี่ยนใจไม่มาเขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นที่สำคัญตอนนี้เขารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเพราะเมื่อคิดย้อนไปก่อนหน้านี้ที่คุนก็มีท่าทางเหนื่อยๆ จึงค่อนข้างเป็นกังวลว่าจะไม่สบายหนักรึเปล่าก็ได้แต่หวังว่าคุนจะแค่ไม่สบายเพียงเล็กน้อยและกำลังนอนพักที่บ้านเพราะห่วงว่าเขาจะติดไปด้วยตามสไตล์ของคุนเลยไม่มาหากัน

“กี้ยืมรถหน่อย”

“จะไปไหนแล้วดึกแบบนี้ แกจะขับรถได้ยังไงตาแกไม่ค่อยดีนะ”

“ไม่เป็นไรจะระวัง”

“ให้ไปส่งไหม?”

“ไม่ต้องไปเองได้”

ทรงจำพยายามเดินผ่านหน้าบ้านและมองเข้าไปในตัวบ้านอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะลองมองดูว่ารถของเขาถูกจอดอยู่ที่ด้านในของบ้านรึเปล่าแต่ประตูบ้านของคุนเป็นเหล็กทึบเลยทำให้เขามองเห็นได้ไม่ถนัดตามที่ต้องการเขาเดินวนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับคิดว่าเขาสมควรทำอย่างไรดีใจนึงก็อยากเข้าไปหาแต่คนที่อยู่ในบ้านนั้นนอกจากคุนแล้วยังมีคุณธิดาซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จะยอมให้เขาเข้าไปในรั้วบ้านไหม

กริ๊ง แต่ในที่สุดความเป็นห่วงและกังวลก็เอาชนะทุกความคิดเขาเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านและหลังจากกดกริ่งเพียงไม่นานป้าแม่บ้านก็เป็นคนเดินออกมาเปิดประตูบ้าน

“คุณดาร์กป้าไม่เห็นนานเลยค่ะ”

“สวัสดีครับป้า คือผม…”

“เธอจะมาที่นี่อีกทำไม”

“สวัสดีครับคุณธิดา ผมมาหาคุนครับ”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:36:39
บทที่ 25 Rewrite

“นี่เธอจะมาไม้ไหนอีกเธอต้องการอะไรจากบ้านนี้อีก?”

“ผมแค่อยากเจอคุนเท่านั้นครับ”

“เลิกทำอะไรแบบนี้ พอได้แล้ว ปิดบ้าน”

“ผมขอแค่เจอหน้าเขา สักนิดได้ไหมครับ?”

“ฉันจะไม่หลงกลอะไรเธออีกแล้ว”

“เดี๋ยวครับคุณธิดา... เดี๋ยวครับ ผมต้องการเจอคุนจริงๆ ครับ ผม ผม ขอแค่เจอเขา...”

เสียงตะโกนของเขามันกลายเป็นเสียงที่ไร้ค่าเมื่อคุนธิดาเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านและสั่งให้คุณป้าดูแลบ้านปิดประตูรั้ว
ทรงจำกลับไปยืนกดกริ่งซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตูเขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและลองกดโทรหาคุนอีกครั้งด้วยหวังว่าคุนจะรู้ได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ที่หน้าบ้านและเดินออกมาหากันแต่เสียงที่เขาได้ยินกลับมาในสายยังคงเป็นเสียงของการปิดเครื่องติดต่อไม่ได้อย่างเดิมแต่เขาก็ไม่ละความพยายามหวังแค่ว่าคุนอาจจะเปิดโทรศัพท์ขึ้นในช่วงนาทีที่เขาโทรเข้าไปแต่เมื่อเวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงเขาก็ต้องยอมแพ้หยุดการโทรออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์เมสเสจหาแทน

ดาร์ก : “พี่รออยู่ที่หน้าบ้านเรานะ” ติ๊ด

“อ้าว เฮ้ย มาดับอะไรตอนนี้”

ทรงจำก็ไม่รู้ว่าข้อความที่ถูกส่งออกไปจะส่งไปถึงคุนรึไม่เพราะแบตเตอร์รี่ที่เหลืออยู่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็หมดลงในตอนที่เขากดส่งพอดีเขาทิ้งตัวนั่งลงขวางหน้าประตูโดยไม่ขยับตัวไปไหนคิดเพียงแค่ว่าถ้าเขานั่งอยู่อย่างนี้ยังไงซะเขาก็ต้องได้เจอกับคุนเพราะไม่มีทางที่คุนไม่ก้าวขาออกจากบ้าน

“คุณๆ”

ทรงจำโดนสะกิดให้ตื่นพร้อมกับแสงไฟจากไฟฉายถูกสาดมาที่หน้าทำให้เขาต้องหยีตาขึ้นมองและก็พบว่าเป็น รปภ ของหมู่บ้านนี้เอง

“ครับ?”

“คุณนอนตรงนี้ไม่ได้”

“ผมแวะมาหาเพื่อน”

“ก็กดกริ่งเข้าไปสิ”

“กดแล้วแต่เขาไม่อยู่ผมเลยต้องรอตรงนี้ครับ”

รปภมองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจก็แน่ละไฟสวนในบ้านก็ถูกเปิดอยู่แถมถ้าไม่มีคนอยู่ที่บ้านส่วนมากแล้วลูกบ้านในหมู่บ้านก็จะแจ้งเอาไว้ให้กับ รปภ ให้เข้ามาตรวจและก็คงน้อยคนนักที่จะมานั่งหลับอยู่หน้าบ้านเพื่อนในขณะที่เพื่อนไม่อยู่บ้าน

“ถ้าเขาไม่อยู่ คุณก็ค่อยมาใหม่วันหลังเถอะ อย่ามานอนตรงนี้เลย”

ทรงจำยกดูนาฬิกาข้อมือที่ติดตัวมาดูเวลาที่โชว์ตอนนี้ก็เป็นช่วงประมาณ ตี 2 ตี 3 อีกไม่นานก็น่าจะเป็นเวลาที่คุนต้องออกไปทำงานแล้ว

“อีกแป้ปเดียวเพื่อนผมก็ออกมาแล้วครับเดี๋ยวผมลุกมานั่งดีๆ ก็ได้ครับ”

“คุณอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยกลับไปเถอะไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องเรียกตำรวจ “

“ครับๆ”

ทรงจำต้องยอมลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้นเพราะดูแล้วรปภคนนี้คงจะทำจริงอย่างที่เขาพูดขนาดเขาเดินกลับมาที่รถของตัวเองที่ถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามของบ้านแล้ว รปภ คนนั้นยังไม่ยอมไปไหนเขาพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดกะว่าถ้ารปภทนไม่ไหวก็คงปั่นไปที่อื่นต่อแต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนรปภยังคงอยู่ที่เดิมจนเขาต้องยอมสตารท์เครื่องขับรถออกมาก

“มาเอาการเอางานอะไรตอนนี้เนี่ย”

ไม่รู้ว่าเขาควรชื่นชมความตั้งใจทำงานของรปภคนนี้ดีไหมเพราะทำถึงขนาดขับจักรยานตามไล่หลังเขามาตลอดทางคงอยากจะมั่นใจว่าเขาออกไปจากหมู่บ้านนี่แล้วจริงๆ

    “เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ”

ทรงจำถอนหายใจออกด้วยความหงุดหงิดในโชคชะตาของตัวเองพอยอมรับความรู้สึกกับตัวเองได้และพร้อมที่จะสารภาพผิดกับคนที่รักก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิดขนาดจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในคืนนี้นั่งรอยังไม่สามารถทำได้ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดจนน่าหงุดหงิดแต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับชะตากรรมและขับรถของกี้กลับไปที่บ้านก่อนที่จะถึงเวลากี้ต้องออกไปตลาด


กลับไปถึงบ้านเขาก็เจอเข้ากับศึกใหญ่เมื่อกี้นั่งสัปหงกรอที่ห้องรับแขกและพอเขาปลุกให้ตื่นขึ้นมากี้ก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากไม่สามารถติดต่อเขาได้ตอนแรกเขาไม่อยากเล่าให้กี้ฟังว่าไปทำอะไรที่ไหนมาแต่พอเห็นความกังวลของเพื่อนเขาเลยเล่าทุกอย่างออกไป

“ถ้าฉันเป็นคุณธิดาฉันก็ทำแบบนั้น”

“ก็ไม่ได้จะอยากเจอกับเขาสักหน่อย”

“แต่นั้นลูกเขาไหมละ?”

“เฮ้อ ทำไมมันต้องมายากอะไรแบบนี้ด้วย”

กี้ตะโกนไล่หลังมาประมาณว่าก็เขาเองเป็นคนที่ทำให้มันยาก ก็ยอมรับแต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดแล้วขอโอกาสให้เขาสักหน่อยไม่ได้รึไงกัน

“แล้วนั้นจะไปไหนอีกละ? ออกกลางคืนอีกแล้วเหรอ?”

“คุนไม่มาแถมติดต่อไม่ได้ด้วย”

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาไม่สามารถติดต่อคุนได้แถมพอได้เวลาที่คุนจะต้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันเหมือนทุกวัน คุนก็ไม่มาวันนี้เขาเลยเริ่มไม่ติดอยู่กับที่ความหงุดหงิดที่คุนหายไปโดยที่ไม่ได้บอกกันถูกพัฒนามาเป็นความกังวลที่เริ่ม

อยากจะหาคำตอบว่าคุนหายไปไหนและการนั่งเฉยๆ รอไปเรื่อยๆมันกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้าเขาเลยจะออกไปหาคุนที่บ้านอีกครั้ง

“ถึงไป ถ้าเจอแม่เขา แม่เขาก็ไม่ให้เจออีกอยู่ดี”

“ไม่สนแต่ที่รู้ๆ ก็คิดว่าดีกว่าที่ต้องมานั่งรออะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดหมาย”

“แกนี่ก็บ้าทีตอนจะไม่เอาเขาแค้นเขาก็เล่นซะใหญ่แต่พอมาคิดได้ว่ารักเขาก็ทำตัวเหมือนคนบ้าเลิกแค้นแล้วหรือไง?”

“ก็ไม่ได้บอกว่าลืม”

“ดาร์กแกอย่า…”

“รู้นะว่าทำอะไรอยู่ เลิกบ่นแล้วขอกุญแจได้รึยัง?”

จากที่ลอบมองคร่าวๆ หลังรั้วเขาไม่เห็นรถของตัวเองจอดอยู่แต่มันก็เป็นไปได้ที่คุนอาจจะเอารถเข้าไปจอดที่โรงรถถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์รู้และทางเดียวที่ผมจะสามารถหาคำตอบได้นั่นก็คือการที่เข้าไปในบ้านเพื่อให้เห็นกับตา

‘ปริ้น’ เสียงบีบแตรดังขึ้นทางด้านหลังเมื่อหันหลับไปก็พบว่าเป็นแจงที่นั่งอยู่ฝั่งของคนขับโดยมีคุณธิดานั่งอยู่ที่เบาะของผู้โดยสารด้านหน้า    

“สวัสดีค่ะพี่ดาร์ก”

“สวัสดีครับแจง สวัสดีครับคุณธิดา”

คุณธิดายอมรับไหว้แม้ว่าตาของเธอจะไม่หันมาสบตาของเขาเลยสักนิดป้าคนดูแลบ้านเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับแจงเขาจึงใช้ช่วงที่แจงขับรถเข้าไปในตัวบ้านเดินตามเข้าไปในเขตบ้านด้วยและพอเขาเหยียบเข้ามาในพื้นที่ของเขตบ้านรถของแจงก็หยุดชะงักคุณธิดารีบก้าวลงจากรถเดินตรงมาหาเขา

“เธอมีสิทธิ์เข้ามาในเขตบ้านหลังนี้”

“ผมไม่มีสิทธิ์ แต่ผมอยากเข้ามาครับ”

“งั้นก็ออกไปได้แล้วที่นี่ไม่ต้อนรับ”

“แต่ผมต้องการแค่พูดไม่กี่คำเองครับ”

“จะไม่กี่คำก็ไม่ได้เธอไม่ต้องมาพูดอะไรแค่ปล่อยให้คุนกลับมาก็พอเข้าใจไหมเธอจะทำแบบนี้ได้ยังไง เธอ...”

“คุณป้าค่ะใจเย็นๆ ค่ะ พี่ดาร์กแจงว่าพี่กลับไปก่อน”

“แต่พี่แค่ต้องการเจอคุนสักนิดเดียว แจง คุน..”

“ให้คุนกลับมาได้แล้ว”

“นะคะพี่ดาร์กแจงขอมีอะไรแจงจะให้คุนติดต่อไป”

ทรงจำยอมก้าวถอยออกมาจากเขตบ้านของคุนตามคำขอของแจงเพราะแจงบอกแล้วว่าจะบอกกับคุนให้ประตูรั้วบ้านปิดลงไปแล้วแต่เขายังไม่สามารถที่จะขยับตัวไปไหนได้เลยสักก้าวเขายืนรอด้วยความหวังแต่ความหวังของเขาก็หมดลงเมื่อผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมงทุกอย่างก็ยังคงเงียบเหมือนเดิมรวมถึงแจงที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาจากข้างในบ้าน

‘เดี๋ยวนี้คุนใจร้ายกับพี่แล้วเหรอ?’ ทรงจำได้แต่พูดกับตัวเองถ้าแจงไม่ออกมามันก็เป็นไปได้มากว่าคุนอยู่ข้างในบ้านแจงคงจะอยู่เป็นเพื่อนคุนจากความมั่นใจว่าคุนยังรักในตอนนี้มันดิ่งลงต่ำจนแทบไม่เหลือความมั่นใจนั้นอยู่อีกแล้ว

‘หรือว่า พี่จะรู้ตัวช้าไป’


เป็นธรรมกลับถึงบ้านอีกทีช่วงประมาณเที่ยงคืนโชคดีที่ทุกคนเข้านอนไปหมดแล้วเพราะเขายังไม่พร้อมจะตอบคำถามของใครโดยเฉพาะของกี้ที่คอยจะซ้ำเติมเขากะว่าจะขึ้นมาอาบน้ำและงีบเอาแรงเพียงครู่ก่อนที่จะกลับไปที่หมู่บ้านของคุนอีกครั้งในตอนเช้ามืดแต่เขากลับหลับไปแล้วตื่นมาอีกทีก็ช่วง 11 โมงเขาเลยต้องเปลี่ยนแผนสายขนาดนี้ถึงต่อให้ไปที่บ้านก็ไม่เจอกันอยู่ดีเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่โรงงานของแทนเขาก็ได้แต่หวังว่าคุนจะไปทำงาน


โรงงานของคุนเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ที่ออกไปมีเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นและมีคนงานหลายคนก็ไม่คุ้นหน้าเขาเดินตรงไปที่ทางเข้าในตัวตึกออฟฟิตเก่าแต่เขาเจอแต่ห้องสี่เหลี่ยมที่มีผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่ข้างใน

“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรคะ?”

“สวัสดีครับ ผมต้องการมาผมคุณเป็นธรรมครับ”

“มีอะไรฝากไว้ที่ดิฉันได้ค่ะหรือต้องการให้แจ้งคุณเป็นธรรมว่าใครมาพบดีคะ?”

“ผมอยากพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวครับ”

“วันนี้คุณเป็นธรรมไม่เข้าออฟฟิตค่ะ มีอะไรฝากไว้ไหมคะ?”

ไม่เข้าออฟฟิต? ประโยคนี้ทำให้เขาขวมดคิ้วโดยอัตโนมัติถึงคุนจะไม่ได้รักงานที่โรงงานนี้มากที่สุดแต่คุนก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากพอที่จะไม่หยุดไปเฉยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องไปทำหรือว่าจะป่วยหนักจริงๆ

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นธรรมไม่เข้าออฟฟิตมากี่วันแล้วครับ”

ผู้หญิงที่นั่งประจำอยู่ที่หน้าออฟฟิตไม่ได้ตอบคำถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ยิ้มให้และก็บอกว่าเขาสามารถฝากข้อความเอาไว้แล้วเธอจะให้คุณเป็นธรรมติดต่อกลับมาดูท่าแล้วเธอคงไม่เปิดเผยความลับของเจ้านายไปมากกว่าที่ควร ทรงจำจึงเดินออกมาแถวเครื่องจักรเผื่อที่จะหาคนถามทางไปที่ออฟฟิตของคุน

“ขอโทษนะครับ ทางไปออฟฟิตของคุณเป็นธรรมอยู่ที่ไหนครับ?”

“ถ้าจะมาติดต่องานคุณติดต่อทางออฟฟิตทางด้านหน้าได้เลยครับ”

“เอ่อ ไม่ใช่ครับผมต้องเอาของมาส่ง”

คนงานคนนั้นมองด้วยความแปลกใจว่าเอาของมาส่งแต่ทำไมไม่เห็นว่าจะถืออะไรติดตัวมาสักอย่าง

“ของอยู่ในรถครับมันหนักก็เลยไม่ได้ถือมาด้วยเมื่อกี้ลองเข้าไปถามทางด้านในแล้วแต่ผมก็ลืมเขาดูกำลังยุ่งกับเอกสารด้วยครับไม่อยากเดินเข้าไปถามอีก”

 “ออฟฟิตคุณเป็นเป็นธรรมอยู่ทางด้านหลังครับ”

“ขอบคุณครับ”

ทรงจำแสร้งเดินออกไปที่รถหยิบเอาแฟ้มเอกสารหนาๆ ที่ติดรถเอาไว้สัก 2-3 แฟ้มขึ้นมาถือเอาไว้ช่วงที่เดินผ่านคนนั้นกลับเข้าไปเขาก็ยกพวกแฟ้มให้ดู ตึกที่มีออฟฟิตของคุนอยู่เป็นตึกเก่าที่ใช้เก็บพวกอุปกรณ์ต่างๆ ตอนนี้มันถูกปรับปรุงขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงใช้เป็นที่เก็บตัวอย่างผ้าและสีที่ทางโรงงงานใช้

ทางด้านล่างเงียบสนิทเขาจึงเดินขึ้นไปทางด้านบนใจเขาชื้นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเครื่องปรับอากาศทำงานแสดงว่าคุนเองก็อยู่ทางด้านบนแบบที่คิดไว้ ยิ่งใกล้ห้องทำงานของคุนใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นด้วยความกังวลกังวลที่ว่าถ้าได้พูดออกไปแล้วคุนจะรู้สึกอย่างไรจะเชื่อหรือว่าจะมีความรู้สึกเดียวกับเขาอยู่ไหม?

ความคิดที่สับสนไปมาทำเอาคุนหยุดที่หน้าห้องดื้อๆ และเขาก็ต้องกลั้นหายใจก่อนที่จะเคาะประตูห้องและหวังให้คนหลังประตูนั้นเปิดออก

“เธอ”

“คุณธิดา”

“เธอกล้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?”

“ผมต้องการที่จะเจอกับคุนจริงๆ ครับ”

ทรงจำมองลอดเข้าไปในห้องก็ไม่เห็นใครพอหันกลับมาที่หน้าของคุณธิดาเขาก็พบว่าคุณธิดาไม่ได้มองที่เขาแต่มองข้ามเขาไปทางด้านหลังที่ว่างเปล่าแทน พร้อมทั้งยังแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจนที่เห็นว่ามันคือความว่างเปล่า

“ผมขอเข้าไปทางด้านในหน่อยได้ไหมครับ?”

คุณธิดาคิดเพียงครู่ก่อนที่จะเบี่ยงตัวให้เขาเดินผ่านประตูเข้าไปทางด้านในได้และยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินสำรวจหรือได้นั่งลงคุณธิดาก็เปิดบทสนทนาขึ้น

“เธอต้องการอะไรกันแน่เธอจะมาปั่นหัวฉันอีกทำไม? เธออยากได้คำขอโทษจากฉันฉันก็ให้ไปแล้วหรือว่ามันยังไม่พอถ้ามันยังไม่พอเธอบอกสิว่าเธอต้องการอะไร?”

“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ต้องการอะไรเลยผมต้องการที่จะเจอกับคุนเท่านั้นเองครับ”

“เธออย่ามาทำแบบนี้เธออย่ามาทำให้ฉันทุกข์ใจแบบนี้”

“ผม...”

“หรือว่าเธออยากได้โรงงานนี้เธออยากได้มันเหรอเอาไปเลยฉันยกให้ฉันยอมหมดแล้วฉันยอมเธอแล้วเธออยากได้อะไรเป็นการขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียพ่อกับแม่ของเธอไปในวันนั้นฉันยอมหมดแล้วฉันขอโทษและฉันยังขอยืนยันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น”

คุณธิดาคงรู้สึกว่าการมาของเขาคือความต้องการทำลายครอบครัวจึงไม่ยอมรับในการปรากฎตัวของเขาคนที่หลอกเอาความไว้ใจความเชื่อใจจากพวกเขามา ถ้าใครจะผิดเขาก้เป้นหนึ่งในนั้นด้วยอีกคนเมื่อเขาเอาแต่เรื่องของความแค้นมาเป็นข้ออ้างและทดแทนความรู้สึกผิดที่หลอกใช้คนๆ นึงเขาย่อตัวลงช้าๆ และค่อยๆวางเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นห้องเขายกมือขึ้นไหว้คุณธิดา

“ผมขอโทษครับ”

“เธอ...”

“ผมขอโทษที่หลอกลวงคุณกับครอบครัว ผมขอโทษครับ ให้โอกาสผมได้แก้ตัวเถอะนะครับ ผมขอร้อง ขอให้ผมได้เจอกับคุนเขาเถอะนะครับ”

ความแค้นที่เคยเป็นจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตของทรงจำมันทำให้เขากำลังจะต้องสูญเสียความรักไปถ้าเป็นแบบนั้นเขายอมดับความแค้นลงและยอมคุกเข่าให้กับบุคคลที่เขาตราหน้ามาตลอดว่าคือคนที่ทำร้ายครอบครัวของเขาถ้ามันจะทำให้ความรักของเขากลับมา คำขอโทษของเขากลับเป็นเครื่องมือจุดชนวนที่ทำให้คุณธิดาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าของตัวเองและปล่อยเสียงแห่งความเสียใจออกมา

“นี่ฉันทำอะไรอยู่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมฉันถึงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันกำลังทำอะไร”

“คุณธิดาเป็นอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น”

“คุนเขาไม่ได้อยู่กับเธอจริงๆ นะเหรอ?”

“ครับ ผมไม่ได้เจอคุนมาวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้ว ผมจึงต้องมาหาเขาด้วยตัวเอง”

“ทำไมวันนั้นฉันไม่ฟังเธอนะ”

“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณธิดา?”   

คุณธิดาพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ทั้งสะอื้นไปพูดไปแต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากเพราะในแต่ละคำพูดที่เธอเอ่ยออกมาไม่มีคำไหนที่ไม่ถูกประกอบไปด้วยเสียงสะอื้นของเธอสิ่งที่เธอทำมันยิ่งทำให้ทรงจำรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นแต่เขาก็ไม่สามารถบอกให้คุณธิดาหยุดร้องและพูดออกมาได้เขาทำได้แต่รอรอให้คุณธิดาพร้อมและเล่าให้เขาฟัง

“คุนเองก็ไม่กลับบ้านมา 2 คืนแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอมาตอนนั้นฉันคิดว่าเธอต้องการปั่นหัวฉันเล่น”

“แล้วคุณธิดาติดต่อกับเขาได้ไหมครับ?”

“ไม่ได้เลยฉันติดต่อกับคุนไม่ได้เลยโทรไปก็ปิดเครื่องตลอด”

“งั้น ผมว่าเราไปแจ้งความกันดีกว่า”

“เมื่อวานฉันบอกแจงและแจงไปจัดการให้แล้วไปแจ้งความมาแล้วและตอนนี้พอลกำลังส่งคนไปตามหาที่อยู่ของเธออยู่เพราะฉันยังคงคิดว่าคุนว่าคุนอยู่กับเธอ”

“…”

“ก่อนที่คุนจะหายไปเขาไม่สบายมากเขาตัวร้อนไข้ขึ้นสูงแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะออกไปทำงานแล้วหลังจากนั้นฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย"

"....”

“มันเป็นเพราะฉันเพราะฉันบังคับให้เขากลับบ้านฉันอยากให้เขาอยู่กับฉันมากกว่าเธอฉันถึงโกหกว่าฉันไม่สบาย คุนถึงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างฉันกับเธอทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะต้องเหนื่อยแต่ฉันก็ยังทำฉันเป็นแม่ประเภทไหนกันแน่”

มันไม่ใช่เป็นเพราะคุณธิดาเพียงเท่านั้นถ้าเรื่องที่คุนหายไปมันเกิดเพราะเหตุนี้ถ้าจะผิดมันก็ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่ายถ้าเกิดอะไรกับคุนเขาไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

“ฉันจะทำยังไงดีเขาไม่ได้อยู่กับเธอฉันควรจะสบายใจสิใช่ไหม? แต่ทำไมฉันทุกข์ใจเขาหายไปไหนแบบนี้ให้อยู่กับเธอยังจะดีเสียกว่า”

“เขาใช้รถของผมยังไงคงต้องมีเบาะแสอะไรบ้างผมจะรีบออกตามหาเขานะครับ”

“เธอต้องหาเขาให้เจอ”

“ครับ ผมจะตามหาเขาให้เจอ”

“ขอบใจ”

ทรงจำลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะออกตามหาคุนด้วยความหวังที่ว่าคุนจะต้องปลอดภัยตอนนี้อาจจะแค่ไปไหนแล้วติดต่อใครไม่ได้

“ดาร์ก”

เสียงของคุณธิดาที่ยังคงแหบเครือได้หยุดขาของเขาเอาไว้ในขณะที่g-kกำลังเอื้อมมือไปผลักประตูออกไปจากห้องทำงานของคุน

“คุนเขารักเธอมากนะ”

“ผมทราบครับและผมก็รู้แล้วว่าผมก็รักเขามากเช่นกัน”

“ที่เธอถามว่าฉันยกโทษให้เธอได้ไหม? ถ้าเธอรักลูกฉันจริงตามที่เธอพูดเธอก็คงต้องพิสูจน์เอาเองฉันคงให้ได้แค่โอกาสกับเธอ”

“ขอบคุณครับ”

ทรงจำเปิดประตูออกก้าวออกไปข้างหน้าแต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงเขาคิดว่าเขาก็ยังคงติดค้างคำตอบกับคุณธิดาอยู่เหมือนกัน

“ที่คุณถามว่าผมต้องการอะไรจากคุณผมถึงจะหายแค้นผมบอกคุณธิดาได้แค่ว่าคุนเขาได้ล้างความแค้นนั้นไปหมดแล้วครับเพราะฉะนั้นผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วยกแว้นแค่โอกาสที่จะแสดงความรักที่ผมมีต่อคุนแล้วคุณธิดาก็เพิ่งให้มันกับผมมา”



TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:39:06
บทที่ 26  Rewrite

ทรงจำกระแทกลงบนเบรกรถอย่างแรงหลังจากที่เขาเกือบจะขับชนกับรถกะบะคันข้างหน้าหลังจากที่เขาขับออกมาจากโรงงานของคุนได้ไม่เกิน 4 กิโลจากที่เคยมั่นใจว่าเป็นคนที่มีสติมีความคิดที่ไวและเหนือกว่าใครพอมาเจอเรื่องนี้เข้ามันก็ทำให้รู้ตัวว่าเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร

“ตั้งสติสิโว๊ย”

เขาเอาหน้าซบลงกับพวงมาลัยเอาหน้าผากเคาะกับมันอยู่ซ้ำๆ เผื่อว่าความเจ็บนี้จะสามารถทำให้สมองของเขาตื่นตัวขึ้นได้บ้าง
ทันทีที่เขารู้แน่แล้วว่าคุนหายตัวไปจริงเขาก็เอาแต่รีบร้อนออกมาจากที่นั้นสมองคิดแค่เพียงว่าจะต้องรีบออกไปตามหาแต่เขาก็ร้อนใจมากเกินไปเป็นเหตุให้เขาออกมาจากคุณธิดาโดยที่ไม่ได้ขอรายละเอียดเรื่องการแจ้งความหรือเบอร์มือถือของแจงพอมีสติสมองได้ทำงานอีกครั้งเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีเบอร์ของพอลอยู่เขาจึงกดโทรหาพอลทันที

“สวัสดีครับ”

“ตอนนี้คุณยังอยู่ที่หน้าบ้านของผมรึเปล่า?”

“ผมออกมาแล้วครับ”

“ผมอยากขอเบอร์ติดต่อกับคุณแจง”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“คุณน่าจะรู้แล้วว่าเพื่อนของคุณไม่ได้อยู่กับผม”

“ครับ ผมทราบจากคนที่ร้านแล้ว”

“ผมต้องการตามหาเขาและผมก็มีข้อมูลเพิ่มเติมผมอยากเอาข้อมูลนี้ไปแจ้งกับตำรวจเอาไว้”

“เดี๋ยวผมให้แจงโทรกลับหาพี่แล้วกันครับตอนนี้แจงกำลังประชุมอยู่”

“ฝากด้วยครับ”

หลังจากวางสายเขาก็ขับรถเข้าไปจอดที่ปั้มน้ำมันแวะไปล้างหน้าล้างตาสมองจะได้โปร่งเพราะจะให้เขาแค่นั่งรอแจงติดต่อกลับมาเขาคงทำไม่ได้

“ลองหาด้วยตัวเองก่อนแล้วกัน”

ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุนที่แรกที่เขาควรหาก็คือโรงพยาบาลเขาจึงขับรถย้อนดูในเส้นระยะทางจากบ้านของครูไปที่บ้านของคุนและมาโรงงานว่าต้องผ่านโรงงานหรือคลีนิคอะไรในระแวกนั้นบ้างไล่ดูตลอดข้างทางก็พบว่ามีเพียงแค่ร้านขายยาเท่านั้นแต่ถ้าเลยจากตัวปั้มน้ำมันแถวบ้านไปก็จะมีคลีนิครักษาโรคเล็กๆ ตั้งอยู่เขาจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามด้วยความหวัง

 “ไม่ทราบว่าคนที่ชื่อ เป็นธรม ไพศาล มารักษาที่นี่หรือเปล่าครับ?”


“เคยเห็นคนในรูปนี้รึเปล่าครับ?”


“รบกวนดูอีกครั้งจะได้ไหมครับ?”

“ไม่มีเลย ครับ//ค่ะ”

แต่แล้วคำถามเหล่านี้ที่เขาพูดมาเป็นหลายสิบครั้งกลับได้เพียงคำตอบเดียวว่าไม่มีที่ไหนเคยเจอคุนเลยจนตอนนี้คลีนิคต่างๆ ก็เริ่มที่ปิดทำการแล้วเขาเลยไม่มีทางออกยกเว้นเริ่มออกหาต่ออีกฝั่งถนนในวันพรุ่งนี้พร้อมคอยปลอบตัวเองว่ายังเหลืออีกตั้งหลายแห่งที่ยังไม่ได้ไปยังไงผมก็ต้องเจอคุนจนได้

ครืดๆ .. ติ๊ด

หน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์แปลกที่ไม่ได้เมมชื่อเอาไว้เขากดรับทั้งที่มันเพิ่งโชว์เบอร์ได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เสียงที่ดังออกมาจากปลายสายเป็นเสียงของผู้ชายที่กำลังพูดอะไรสักอย่างออกมาจากที่ไกลๆ เสียงที่ได้ยินนั้นมันค่อนข้างที่จะคุ้นหูของเขามากเหลือเกินแต่ยังไม่ทันจะได้พูดกันหรือได้ยินอะไรไปมากกว่านี้โทรศัพท์ของเขาก็ดับลง

“เฮ้ยย”

ทำไมแบตเขาต้องมาหมดเอาตอนนี้ยิ่งเฉพาะเสียงนั้นถ้าเขาจำไม่ผิดมันเป็นเสียงของคุนอย่างแน่นอนเขารีบเหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ตรงกลับบ้านรีบกลับไปชาร์จแบตโทรศัพท์

“ดาร์กใจเย็นๆ หาอะไรบอกครูเดี๋ยวครูช่วยหา”

เข้าบ้านได้เขาก็รีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปบนห้องเพื่อหาที่ชาร์จแบตแต่ก็หาไม่เจอก้มมองหาแถวตียงก็แล้วเดินวนไปรอบห้องก็แล้ววิ่งกลับลงมาที่ทางด้านล่างของบ้านเผื่อบังเอิญว่าเขาหยิบมันติดมือลงมาเขาตรงไปที่กระจาดเก็บของข้างโทรทัศน์เป็นที่แรกแต่เขาก็ยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ

“ที่ชาร์ตแบตครับครู”

“เราใช้ครั้งล่าสุดที่ไหน?”

“ในห้องเนี่ยแหละครับครู มันไปไหน ทำไมต้องมาพิการตอนนี้ด้วยวะ แม่งเอ๋ย”

ความอดทนที่มีมายาวนานหมดลงเขาผลักกระจาดที่ตั้งอยู่กับโต๊ะทีวีลงพื้นแต่เขาจะเอาแต่โวยวายและเลิกหาไม่ได้เขาจึงเดินตรงไปที่โต๊ะรับแขกก้มมองที่วางของทางด้านล่างของโต๊ะและพยายามรื้อของตรงนั้นออกมาให้หมด

“ดาร์กใจเย็นๆ”

“ผมหาไม่เจอครับครู ผมหาไม่เจอ”

“ดาร์ก...”

“อาจจะเพราะผมตาพิการผมมองเห็นไม่เยอะผมมองได้ไม่กว้างผมอาจจะมองข้ามมันไปแล้วครูช่วยผมหน่อยได้ไหมครับครูช่วยผมทีครับครูช่วยผมหามันทีผมต้องคุยโทรศัพท์ครับครู”

“แม่ เกิดอะไรขึ้นเสียงดังออกไปข้างนอก...ดาร์กแกพังบ้านทำไม? ดาร์กหยุด”

“กี้ ช่วยหาที่ชาร์ตที”

“ที่ชาร์ตโทรศัพท์อะนะ? อยู่กับฉัน”

“เอามา เอามา”

“มันอยู่ที่หน้าร้าน เดี๋ยวเดิน...”

ทรงจำไม่ได้หยุดฟังเสียงของกี้พอรู้ว่าที่ชาร์ตอยู่ที่ร้านเขาก็รีบพุ่งออกจากตัวบ้านตรงไปที่หน้าร้าน

“เห็นที่ชาร์ตแบตไหม?” เขาตะโกนเข้าไปในร้านถามหาของกับพนักงานที่กำลังออกไปเสริ์ฟอาหารให้กับลูกค้า

“ดาร์กอย่ามาเสียงดังตรงนี้นะ”

“กี้ เรากำลังรีบ เรา...”

“นี่ค่ะพี่”

“ขอบใจ”

ทรงจำหันกลับไปรับสายชาร์ตจากพนักงานและเดินตรงเข้าไปเสียบปลั๊กที่อยู่ทางด้านหลังเค้าท์เตอร์ของร้านทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปสำหรับเขามันยาวนานจนแทบจะทนไม่ไหวกว่าที่เครื่องจะมีแบตเพียงพอและพร้อมให้เขาใช้งาน

“คุน”

“ไม่ใช่ค่ะ แจงเอง...นั้นพี่ดาร์กใช่ไหมคะ?”

“ครับ แจงเจอคุนแล้วเหรอ?”

“เปล่านิคะ”

“แต่เมื่อกี้...ก่อนที่สายจะหลุดไป พี่ว่าได้ยินเสียงของคุน”

“ไม่ใช่แล้วค่ะพี่ แจงอยู่กับพอลค่ะ อาจจะเป็นเสียงของพอล”

“แต่...”

“พี่จะคุยกับพอลไหมคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ”

ร่างกายที่เคยตื่นตัวด้วยความหวังที่ว่าคนทางปลายสายจะเป็นคุนกลับหมดแรงลงเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่หวังไว้ เขาทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นอย่างอ่อนแรง

“เห็นพอลบอกว่าพี่มีเรื่องจะคุยกับแจง”

“ครับ  พี่อยากถามว่าแจงไปแจ้งความเรื่องคุนเอาไว้ที่ สน ไหนแล้วก็กับนายตำรวจชื่ออะไร”   

“ทำไมเหรอคะพี่?”

“พี่อยากจะเข้าไปพบครับ”

“ไม่ได้นะคะพี่!!”

“ทำไม?”

“คือว่า มันไกลจากที่พี่ดาร์กพักน่ะค่ะ ยังไงพี่มีอะไรฝากบอกมาทางแจงก็ได้ค่ะ พี่มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“พี่มีเรื่องอยากบอกเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ พี่อยากไปพูดกับเขาเองไกลไม่เป็นไรพี่ไปได้”

จู่ๆ บทสนทนาก็เงียบลงความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขายืนยันว่าจะเป็นคนพูดกับทางเจ้าหน้าที่ด้วยตนเองเขาไม่รู้ว่ามันเพราะอะไรแต่ที่แน่ๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าแจงกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่

“แจงมีอะไรที่พี่ต้องรู้ไหม?”

“ไม่มีค่ะ เอาอย่างนี้พรุ่งนี้แจงจะเลิกงานประมาณ บ่าย 2 ไปเจอกันที่บ้านคุนแล้วกันค่ะ แล้วเราจะได้ไปพร้อมกัน”

“โอเค”

แม้ว่าแจงจะวางสายไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่ลุกขึ้นเขายังนั่งอยู่ที่หลังเค้าท์เตอร์อยู่แบบนั้นจนกี้เดินเข้ามาหาและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน

“เกิดไรขึ้น?”

“คุนหายไป”

“หมายความว่ายังไง ที่หายไป หายไปจากชีวิตแก?”

“หมายถึงเขาหายไปจริงๆ ไม่มีใครติดต่อเขาได้เลย”

“เฮ้ย ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วจะทำยังไงต่อ?”

“พรุ่งนี้จะไปหาตำรวจที่เพื่อนของคุนไปเดินเรื่องไว้แล้ว”

“มิน่า ช่วงนี้ออกไปดึกๆ ตลอด มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

“ขอบใจ”

“นี่กินไรยัง?”

“ยัง”

“งั้นเข้าไปหาอะไรลองท้องหน่อยเถอะไป”

   “อืม”

ความตั้งใจที่จะเดินมาเข้ามาหาอะไรลองท้องในบ้านถูกเปลี่ยนเป็นการขับรถออกไปนอกบ้านอีกครั้งเมื่อเขาเห็นข่าวรถยนต์ชนกันพร้อมกับซากรถนั้นถูกทิ้งเอาไว้ที่ข้างถนน

“มาสด้า 3 สีดำคันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถูกเอามาจอดทิ้งตรงนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

“ขอให้ไม่ใช่...ขอให้ไม่ใช่”

ใจของทรงจำหล่นวูบตอนที่ได้ยินชื่อยี่ห้อและสีของรถแม้ว่าแผ่นป้ายทะเบียนจะถูกแกะออกไปแต่เขาก็อยากไปเห็นและไปดูให้เห็นกับตารถยังถูกจอดเอาไว้ที่เดิมเพราะเพิ่งมีคนแจ้งเข้าไปทางตำรวจวันนี้เมื่อตอนหัวค่ำเลยยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาทำการเคลื่อนย้าย เขาจอดรถต่อท้ายและเปิดไฟกระพริบเอาไว้พร้อมกับใช้เวลาทำใจอยู่สักพักกว่าจะกล้าเดินออกจากตัวรถพร้อมกับไฟฉายเดินไปที่รถมาสด้าคันนั้น

มือที่ถือไฟฉายของเขามันถูกหุ้มด้วยเหงื่อทุกอย่างก้าวที่ออกเดินเขาต้องบอกกับตัวเองเอาไว้ว่าอย่าสั่นและอย่ากลัวสภาพของรถทางด้านหน้าถูกชนจนกระโปรงของรถยุบลงไปจนเกือบถึงคอนโซลหน้ารถพร้อมยังมีรอยไหม้ติดอยู่ ส่วนทางด้านหลังก็ยุบเข้ามาจนท้ายรถเปิดเขาพยายามที่จะดูเลขที่หม้อน้ำของรถแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันพังติดไปกันหมดทุกส่วน ทรงจำเลยต้องยอมเสี่ยงกับการถูกจับโดยการพยายามเอื้อมมือเข้าไปทางหน้าต่างด้านคนนั่งและพยายามกระชากที่เก็บของที่หน้ารถเพื่อดูว่าของในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง

และเมื่อทรงจำงัดมันออกมาก็พบว่าของที่อยู่ข้างในไม่ใช่ของเขาเลยสักอย่างตอนที่เห็นของเหล่านั้นเขาไม่สามารถบอกได้เลยนี่คือความรู้สึกอะไรกันแน่ระหว่างดีใจที่รถคันนี้ไม่ใช่รถของเขาหรือเสียใจที่เขาก็ยังไม่สามารถหาอะไรเกี่ยวกับคุนได้เลยสักอย่างเดียว

“ดีแล้ว มันดีแล้วที่ออกมาเป็นแบบนี้”

แต่แล้วคำตอบที่เขาได้จากการที่ยิ้มพร้อมทั้งน้ำตามาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้านมานั้นเขาว่าเขาดีใจที่รถคันนั้นมันไม่ใช่รถของเขาอย่างน้อยเขาก็ยังสามารถหวังให้คุนสบายดีตลอดหลายวันที่หายตัวไป

“สวัสดีครับคุณธิดา” เช้าวันรุ่งขึ้นเขาไปถึงบ้านของคุนก่อนบ่าย 2 เล็กน้อย

“สวัสดีเมื่อวานเป็นยังไงบ้างได้อะไรเพิ่มมาไหมเห็นแจงโทรมาบอกว่าเธอรู้อะไรเพิ่มเติมเลยให้ฉันรอเธออยู่ที่บ้าน”

“ครับ ผม...”

ทรงจำเล่าเรื่องที่ออกตามหาให้กับคุณธิดาได้ฟังสีหน้าของคุณธิดาหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่แสดงออกมาไม่ได้ต่างจากเขาที่กำลังจะเป็นอยู่ในตอนนี้เท่าไหร่นักและเขาว่าเขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอได้ดี ความเงียบที่เต็มไปด้วยการรอคอยถูกทำลายลงด้วยเสียงแตรของรถที่กำลังส่งเสียงอยู่ที่หน้าประตูบ้านแจงคงจะมาถึงตามเวลาที่นัดเอาไว้ ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งพร้อมยกมือไหว้ลาคุณธิดา

“ผมจะออกไปที่สถานีตำรวจกับแจงครับ”

“ฉันไปด้วย...ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นไปเอาของข้างบนก่อน”

“ครับ”

“แม่ ... พี่ดาร์ก”

แต่ก่อนที่คุณธิดาจะได้มีโอกาสก้าวขึ้นบันไดไปด้านบนบุคคลที่เขาไม่คิดว่าจะมาปรากฎตัวก็กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้ามาในห้องรับแขก

“คุน....ลูกแม่ คุน...”

ในขณะที่คุณธิดารีบวิ่งกลับที่หาคุนที่ห้องรับแขกและสามารถเรียกชื่อของคุนออกมาได้อย่างเต็มเสียงเขาที่ยืนอยู่ใกล้กับคุนมากกว่าคุณธิดาทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองดูคนตรงหน้าแบบสำรวจให้เต็มตาและได้แค่เพียงกระซิบจนตัวผมเองแทบจะไม่ได้ยินว่า

“คุนกลับมาแล้ว”


TBC
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 21 (Rewrite) - 23/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-01-2018 06:47:00
บทที่ 27 Rewrite บทจบ

“แม่ ... พี่ดาร์ก”

ภาพที่เป็นธรรมไม่คิดว่าจะมีสิทธิ์ที่จะได้เห็นมันอีกครั้งกลับกลายเป็นว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงภาพที่พี่ดาร์กกับแม่ยืนอยู่ในสถานที่เดียวกันและนั้นก็คือบ้านของเขาเองพี่ดาร์กดูโทรมจากวันที่เจอกันครั้งล่าสุดจะเป็นไปได้ไหมนะที่เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่พี่ดาร์กเป็นแบบนี้เพราะรู้สึกกังวลเรื่องของเขา

“เป็นอะไรไปลูก? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงกลับมาในสภาพนี้?”

แม่ร้องถามเมื่อเห็นว่าแขนข้างขวาของเขากำลังใส่เผือกห้อยเอาไว้กับผ้าที่คอแม่มองสำรวจที่ใบหน้าของเขาแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบผ้าพันแผลที่ถูกติดเอาไว้ที่ทางด้านขวาของหน้าผากของเขาอย่างเบามือ ส่วนพี่ดาร์กแม้จะไม่พูดหรือขยับตัวไปไหนแต่สายตาที่มองมาที่เขานั้นมองเขาแบบไม่กระพริบตาทำอย่างกับว่าเขาจะหายไปแค่ด้วยการกระพริบ

ในสายตานั้นของพี่ดาร์กมันสื่อออกมาหลากหลายความหมายแต่เขาไม่สามารถจับใจความอะไรได้ไปมากกว่าความกังวลนั้นก็หมายความว่าพี่ดาร์กอาจจะรู้เรื่องรถของตนเองแล้ว

“ว่าไงลูก เล่าให้แม่ฟังได้รึยัง?”

“ครับ วันนั้นผมนัดกับแจงเอาไว้ครับ..” แล้วเขาก็เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อ 3 วันก่อน

“กลับมาถึงแล้วนะสรุปจะมาเอาหมูแผ่นที่ฝากซื้อจากเมืองนอกเมืองนาเมื่อไหร่ดี?”

“หมูแผ่น?”

“เอ้าๆ ซื้อมาแล้วไม่มาเอานี่มีเรื่องนะ”

“อ่อๆ โทษที ลืมนะ”

เช้าวันนั้นหัวสมองของเป็นธรรมยังคงทำงานไม่ค่อยเต็มที่สักเท่าไหร่อาจเพราะเขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวันทำให้หวัดกำลังเล่นงานเข้าให้จนตอนนี้เขาเองก็มึนหัวไปหมด ความจริงตอนที่ลืมตาตื่นเขาก็อยากจะขี้เกียจนอนพักเอาแรงต่ออีกสักหน่อยเพราะกว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านก็ตีห้าครึ่งเพิ่งได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียวก็ต้องตื่นมาดูแม่ที่บ่นว่าปวดหัวบ่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุพาไปหาหมอคุณหมอก็ให้คำตอบไม่ได้เขาเลยคิดว่าน่าจะเกิดจากความเครียดมากกว่าที่จะไม่สบาย

แต่เขาก็ต้องทิ้งความคิดอยากอู้นั้นทิ้งไปเนื่องจากวันนี้มีลูกค้ารายใหม่อยากเข้ามาดูโรงงานก่อนที่จะว่าจ้างครั้นจะให้คนอื่นมาดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกมันอาจจะดูไม่ดี

“เอาสิๆ เดี๋ยววันนี้ช่วงเย็นไปหาได้ไหม? สัก 4 โมงเย็น”

“ได้...งั้นเจอกันร้านเดิมที่ใกล้ที่ทำงานฉันได้ไหม? เพิ่งกลับมาจากเที่ยวถ้าออกไปก่อนเวลาครึ่งวันโดนพ่อแม่ไล่ออกแน่นอน

“เออ ได้ดิ”

เรื่องของฝากเกิดจากเขาเห็นแจงอัพรูปในเฟสบุ๊คที่มีสิงโตติดมาในภาพด้วยพอเห็นแบบนั้นเขาจึงรีบติดต่อหาแจงเพื่อที่จะฝากซื้อหมูแผ่นของอร่อยขึ้นชื่อของที่นั้นมาฝากแม่กับพี่ดาร์กเขารู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่ค่อยพอใจกับการวางตัวของเขาสักเท่าไหร่พี่ดาร์คแม้ไม่พูดเขาก็ดูออกว่าไม่ค่อยพอใจเมื่อรู้ว่าเขาแอบหนีกลับออกมาตั้งแต่เช้ามืด ส่วนแม่ก็ไม่พอใจที่เขากลับบ้านมาในตอนเช้าเขาเลยอยากที่จะเอาใจทั้งสองคนสักหน่อย

“คุณเป็นธรรมไหวไหมคะ?”

การเดินเข้าเดินออกจากตัวสำนักงานที่เปิดแอร์เย็นเฉียบไปยังที่ตั้งเครื่องจักรที่มีเพียงพัดลมเป่าหลายครั้งต่อวัน มันทำให้เขามึนหัวจนเซไปเกาะโต๊ะของเลขาอยู่บ่อยครั้งแรกๆ พอยืนนิ่งสักพักก็สามารถพยุงตัวเองได้แต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าไปสั่งงานในออฟฟิตและเตรียมตัวออกไปหาแจงเขาเซจนเกือบจะลงไปนอนกับพื้นถ้าไม่ได้โต๊ะตัวนี้เอาไว้คงแย่

“ผมขอพารากับน้ำหน่อยครับ”

“ได้ค่ะ”

เป็นธรรมรับเอาน้ำกับยามากินอย่างไม่อิดออดคนรอบข้างทั้งสองคนของเขากำลังไม่สบายอยู่ทั้งคู่เขาจะป่วยอีกไม่ได้เงยหน้าดูนาฬิกาเห็นว่ายังเหลืออีกตั้งชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะถึงเวลานัดด้วยช่วงเวลารถก็ไม่น่าจะติดอะไรดังนั้นถ้าได้พักสักหน่อยหลังกินยาก็คงจะดี

“ยังไง อีก 30 นาทีคุณช่วยเข้าไปเรียกผมที่ห้องด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

30 นาทีของผมช่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกเหมือนเพิ่งได้นอนไปไเพียง 3 นาทีเท่านั้นเขาอยากจะยืดเวลาออกไปอีกแต่ถ้าช้ากว่านี้แจงก็ต้องไปนั่งรอแล้วเขาก็คงโดนแจงบ่นจนหูช้าเขาเลยพยายามฝืนตัวเองขับรถออกไปหาแจงเอาไว้คืนนี้เขาค่อยนอนเอาแรงที่บ้านของพี่ดาร์กก็แล้วกัน


โครม

“รถพี่ดาร์ก”

เป็นความผิดเขาเองที่ฝืนขับมาทั้งที่ร่างกายยังไม่พร้อมทำให้ไม่เห็นรถคันข้างหน้าที่กำลังตัดเข้ามาในเลนกว่าจะเห็นและหักหลบก็ตอนที่รถใกล้จะชนกันแล้วโล่งใจที่รถไม่ชนกับคันข้างหน้าแต่ใจของเขาล่วงไปตกอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อไม่สามารถเหยียบเบรกได้ทันทำให้เขาชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง

“หูยย เจ็บ”

โชคดีที่เขาคาดเข็มขัดเอาไว้ถึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่มารู้ตัวว่าตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บที่แถวแขนข้างขวาก็ตอนที่พยายามเอื้อมตัวไปที่เบาะข้างๆ เพื่อหยิบเอามือถือมากดโทรออกหาแจง

“ฮัลโหล ถึงแล้วเหรอรอแป้ปนึงจะถึงแล้วเหมือนกัน”

“แจง เรารถชนมาหาหน่อย”

“เป็นอะไรมากรึเปล่า ตายแล้วชนที่ไหนยังไง?”

“ใจเย็นๆ เรายังไม่ตาย”

“คุน”

“โอเคๆ เดี๋ยวเราส่ง Location ไปให้นะ”

“โอเค เดี๋ยวรีบไปหา”

ขณะที่นั่งรอแจงความง่วงก็เข้าโจมตีแต่เขาก็พยายามประคองสติของตัวเองไม่ให้หลับจนกว่าแจงจะมาถึงรถคันนี้ไม่ใช่รถของเขาแม้เขาจะส่งยี่ห้อกับทะเบียนไปให้แล้วแต่ก็กลัวว่าแจงจะไม่เห็นเนื่องจากเขาไม่สามารถเปิดประตูออกไปนั่งรอแจงที่ข้างนอกทำให้ต้องคอยมองอยู่ตลอดเพื่อว่าแจงจะขับรถผ่านไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้แค่ว่าเขากำมือของตัวเองจนเล็บที่สั้นกุดแทบจะทะลุไปทางหลังมือแต่ก่อนที่เขาจะหลับตาลงตามการเรียกร้องของร่างกายเขาก็ได้ยินเสียงของแจงดังมา

“คุน คุน”

เสียงทุบกระจกดังระงมไปจนถึงเสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่ทางด้านนอกแจงมาถึงแล้วสินะพอรับรู้แบบนั้นเขาก็ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองเหนือกว่าเหตุผลพร้อมทั้งหลับตาลงในทันที


“แล้วหลังจากนั้นแจงก็เป็นคนดูแลคุนมาโดยตลอดค่ะ สวัสดีค่ะคุณน้า สวัสดีค่ะพี่ดาร์ก” แจงเดินเข้ามาต่อเรื่องจากเขาคิดว่าแจงคงยืนฟังเรื่องทั้งหมดที่ข้างนอกและรอโอกาสนี้อยู่แล้ว

“ตอนที่แจงเอาคุนออกมาจากรถตัวคุนร้อนเป็นไฟเลยค่ะก็ไม่แปลกที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแต่วันนั้นโชคดีมากนะคะ ที่คุนเจ็บเพียงแค่นี้”

“แล้วทำไมแจงไม่ส่งเขากลับมาบ้านหรือบอกแม่ละลูก? แจงปิดแม่ทำไม?”

“ความจริงตอนที่แจงส่งตัวของคุนถึงมือหมอเรียบร้อยแจงก็มีความคิดที่จะแจ้งให้กับคุณน้าได้ทราบค่ะแต่พอแจงเปิดมือถือของคุนขึ้นมาแจงก็เลยเปลี่ยนความคิด ประกอบกับคุนหลับๆ ตื่นๆ ไป 1 วันเต็มๆ ก็เลยได้โอกาสพาไปพักฟื้นที่บ้านของแจงต่อ”

“แจง...ไม่ได้บอกแม่ กับ พี่ดาร์กหรอกเหรอ? ไหนแจงบอกว่าบอกทุกคนแล้วไง?”

“ฉันโกหกที่บอกว่าให้นายพักฉันมาดูแม่พอลไปดูพี่ดาร์กแทนนายนะไม่ใช่เรื่องจริงเลย”

“แจง...”

“ขอโทษด้วยที่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้บอกแต่วินาทีที่ฉันเห็นเมสเสจแต่ละเมสเสจที่โชว์ขึ้นมาฉันไม่สามารถหยุดความคิดอยากจะลงมือทำแบบนี้ได้เลย”

“คุณน้าค่ะหนูต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าการพูดแบบนี้เป็นการล่วงเกินคุณน้าแต่ทุกคนอยากจะเอาแต่เล่นเกมส์ อยากจะเอาชนะโดยไม่มีใครสนใจคุนเลยสักนิด”

“น้า...เข้าใจ”

“ที่ทำลงไปแจงก็แค่อยากรู้ว่าถ้าคุนเขาหายไปทั้ง 2 คนจะเป็นอย่างไรแต่เผอิญว่าพี่ดาร์กไม่ได้เป็นในแบบที่แจงคิดพี่ดาร์กต้องการไปเจอตำรวจด้วยตัวเองแจงเลยไม่สามารถเก็บเรื่องนี้ต่อไปได้อีกเลยพาคุนกลับมาในวันนี้ค่ะ ว่าแต่...สรุปงานนี้ใครชนะใครคะ?”

แม่ปล่อยโฮเสียงดังออกมาทันทีที่แจงพูดจบแจงทำท่าจะพูดอะไรต่อเขาจึงได้ใช้สายตาปรามแจงเอาไว้แม้แจงจะไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี

“แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมไม่เป็นอะไรเลย ผมกลับมาแล้วไงครับ”

ครืน ใช้เวลาสักพักกว่าแม่จะสงบลงได้และทันทีที่บรรยากาศรอบตัวเงียบลงเสียงเลื่อนจากเก้าอี้ที่พี่ดาร์กนั่งก็ดังขึ้น

“ผมลาครับ”

พี่ดาร์กไหว้ลาแม่เขาได้แต่มองตามทุกการกระทำเขาอยากตามพี่ดาร์กออกไปอยากไปพูดไปอธิบายให้ฟังแต่เป็นธรรมก็ไม่กล้าที่จะปล่อยมือแม่ที่เพิ่งหายจากการเสียขวัญที่เขาหายไปได้

“แม่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหมครับ? พอดีผมได้...”

“ตามเขาไปก็ได้ลูก”

“ครับ?”

“2-3 วันมานี้ ดาร์กเองเขาก็ทุกข์ไม่ต่างจากแม่...เขามาหาลูกตลอด”

“แม่...”

“อย่างที่แจงว่าก็ถูกแล้วแม่ทำพลาดมาเยอะครั้งนี้แม่ก็ได้แต่หวังว่าแม่จะสามารถทำให้ลูกมีความสุขได้จริงๆ ซะที”

“ขอบคุณครับแม่”

“แจงฝากดูแม่ด้วยนะ”

เป็นธรรมหันไปฝากแม่กับแจงก่อนที่จะผละตัวออกมาเพื่อตามหาพี่ดาร์กใจหายเมื่อมองไปทั่วบ้านแล้วพบว่ารถที่เคยจอดอยู่ที่ทางเข้าหายไปมองไปที่หน้าประตูเห็นป้าที่ดูแลบ้านกำลังปิดประตูรั้วบ้าน

“อย่าเพิ่งปิดครับ”

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“พี่ดาร์กออกไปนานยังครับป้า?”

“เมื่อกี้เองค่ะ”

เป็นธรรมวิ่งตามรถพี่ดาร์กออกมาโดยที่ลืมคิดไปเลยว่าความเร็วจากเท้าจะไปสู้ความเร็วจาก 4 ล้อได้อย่างไรขาที่วิ่งออกจากประตูบ้านเริ่มอ่อนแรงและเมื่อมองไปแล้วถนนที่ตรงออกไปทางหมู่บ้านกลับว่างเปล่าไม่มีรถคันนั้นอยู่

“คุน”

ความหวังที่จะเจอพี่ดาร์กหายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังและเมื่อเขาหันหลังกลับไปเขาก็เจอกับเจ้าของเสียงนั้นใน

พี่ดาร์กเดินเข้ามาหาเขาจากอีกฝั่งของบ้านมองกลับไปทางนั้นเขาจึงเห็นรถของพี่ดาร์กไม่ได้หายไปไหนแต่ถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามกำแพงที่เยื้องไปจากบ้านของเขา

“พี่ดาร์ก...ฟังก่อนนะพี่ คุนขอโทษเรื่องแรกคือเรื่องรถตอนนี้เอาไปซ่อมแล้วเรื่องต่อมาคุนไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่รู้สึกไม่ดีคุนไม่รู้ว่าแจงกับพอลจะคิดอะไรแบบนี้ คุนไม่เคยรู้เลยว่าสองคนนั้นจะทำแบบนี้ถ้าคุนรู้ว่า...”

คำพูดอีกมากมายที่อยากจะพูดถูกกลืนกลับลงไปในลำคอตอนที่อ้อมกอดของพี่ดาร์กสวมกอดเขาเอาไว้นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้นานแค่ไหนแล้วที่พี่ดาร์กรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของเขาสมองของเขาเลิกสั่งการใดๆ แล้วใช้เวลาทั้งหมดซึมซับความรู้สึกตอนนี้เอาไว้เพราะกลัวเหลือเกินว่าความรู้สึกนี้มันจะอยู่กับเขาได้เพียงไม่นาน

“อย่าร้อง...พี่ขอโทษ” พี่ดาร์กเอามือข้างนึงออกจากตัวของเขาและเอาหัวแม่โป้งเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้

“พี่ทำให้คุนร้องไห้อีกแล้วสินะ?”

“เปล่าครับ เปล่า”

“เจ็บมากไหม?”

“ไม่เจ็บครับ”

“พี่ขอโทษ”

“มันไม่ใช่ความผิดของพี่ คุนประมาทเอง”

“ไม่ใช่..ทั้งหมดมันมันคือความผิดพี่แล้วคำขอโทษของพี่มันสำหรับทั้งหมดที่ผ่านมาที่พี่ทำไม่ดีกับคุนเอาไว้ตั้งหลายอย่าง”

“เรื่องเหล่านั้น...คุนไม่เคยโกรธพี่”

แรงกอดของพี่ดาร์กแน่นขึ้นแต่เขาไม่รู้สึกอึดอัดหรือเจ็บเลยสักนิดเสื้อหัวไหล่ทางด้านซ้ายของเขาเริ่มเปียกความเปียกชื้นที่เกิดขึ้นจากน้ำตาของพี่ดาร์กที่กำลังซบไหล่เขาอยู่ เขาเอามือที่ปล่อยเอาไว้ที่ข้างตัวยกขึ้นลูบหัวของพี่ดาร์ก พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูว่า “ไม่เป็นไรพี่ ๆ”

“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ..ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็ทำร้ายคุนเสมอ  คุนเจ็บใช่ไหม?”

“ไม่เจ็บแล้วครับพี่”

พี่ดาร์กเงยหน้าขึ้นมามองจ้องที่ตาเหมือนกับกำลังสื่อสารในสิ่งที่เขาไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้พร้อมกับลูบแขนข้างที่กำลังใส่เฝือกของเขา

“พี่ขอ..”

“พอแล้วครับพี่ พอแล้ว คุนรู้ๆ ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ แต่คุนมีเรื่องอยากจะถาม...พี่มาตามหาทุกวันใช่ไหม?”

“ใช่”

“คุนขอถามเหตุผลของพี่ได้ไหมว่าพี่ทำไปทำไม? พี่น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอที่คุนหายไปจากชีวิตของพี่ได้สักที”

“เพราะพี่เป็นคนที่ทำให้คุนหายไป มันเป็นเพราะพี่”

“และนั้นคือเหตุผลเดียว?”

“พี่...”

“โอเค...คุนเข้าใจแล้วพี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้คุนจะแวะไปหา”

“พี่รู้ตัวแล้วว่าพี่รักคุน”

ปลายนิ้วของเป็นธรรมที่พยายามแกะมือของพี่ดาร์กออกกหยุดทำงานเมื่อคำพูดที่เขาได้ยินมันเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้

“ไม่สิ พี่ต้องบอกว่าพี่เลิกปฎิเสธตัวเองได้แล้วว่ารักคุน...ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่เอาแต่ทำร้ายคุนเพราะทุกครั้งที่พี่รู้สึกดีกับคุนอีกความรู้สึกที่แฝงเอาไว้ในความรู้สึกดีนั้นมาเสมอก็คือความรู้สึกผิดต่อพ่อกับแม่”

“พี่...”

“แต่มาวันนี้พี่รู้แล้วว่าทางเลือกที่อยากจะเลือกให้กับชีวิตของพี่ที่เหลือคือทางไหนระหว่างทางที่ไม่มีคุนกับทางที่พี่จะขอให้มีคุนมาอยู่ข้างพี่”

พี่ดาร์กนั่งคุกเข่าลงกับพื้นโดยที่ยังกำมือของเขาเอาไว้เขาพยายามดึงให้พี่ดาร์คลุกขึ้นเพราะแม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่ความร้อนก็ไม่ได้ลดลงเลยแต่พี่ดาร์กก็เอาแต่ดื้อดึงที่จะนั่งคุกเข่าลงไปที่พื้นแบบนั้น

“คุนจะพอยกโทษให้พี่ได้ไหม?”

“คุนบอกแล้วว่าไม่เคยโกรธพี่”

“งั้น ถ้าคุนไม่เคยโกรธพี่...พี่จะกลายเป็นคนที่หน้าด้านที่สุดเลยรึเปล่าถ้าพี่อยากจะให้เราเริ่มกันใหม่อีกครั้ง”

“คุน..”

“พี่รู้ว่าคุนอาจจะไม่เชื่อใจและเชื่อมั่น...พี่ขอแค่โอกาสได้ไหมครับ? ได้ไหม? อย่างน้อยโอกาสที่ให้คุนได้รู้จักตัวตนและความรู้สึกที่พี่มีต่อคุนอย่างแท้จริงสักครั้ง”

สิ่งที่พึ่งได้ยินมันทำให้เขาไม่สามารถยืนได้ขาของเขาหมดแรงเขาจึงเลิกฝืนที่จะยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าพี่ดาร์ก อย่างน้อยที่สุดในการกระทำที่เต็มไปด้วยความแค้นของพี่ดาร์กในนั้นก็ยังมี คำว่า “รัก” อยู่ด้วยเช่นกัน  มีคำพูดอีกล้านคำที่เขาอยากพูดออกไปแต่เขาก็พูดอะไรไม่ออกทำได้แค่พยักหน้าเพื่อเป็นการตอบตกลงในการให้โอกาสกับพี่ดาร์ค

พี่ดาร์กยิ้มกว้างพร้อมกับค่อยโน้มหน้าเข้ามาหอมที่หน้าผากก่อนที่จะลุกยืนขึ้นแล้วยื่นมือมาให้เขาเป็นที่เกาะพยุงตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืนตามขึ้นมา   

“ผมชื่อ ทรงจำ สุทธิวงค์ ยินดีที่ได้รู้จักครับต่อจากวันนี้ผมขอทำความรู้จักกับคุณเป็นธรรมใหม่อีกครั้งได้ไหมครับ?”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แต่นี้ไปเราทั้งสองคนจะมีแต่ความจริงระหว่างกันนะครับ”

พี่ดาร์กรวบตัวเขาเข้าไปสู่อ้อมกอดอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ ที่ไม่ไปไหนที่ยังอยู่ตรงนี้กับพี่ขอบคุณที่ยังให้โอกาสกันขอบคุณที่ยังรักกันขอบคุณครับ”

ความรักของเขากับพี่ดาร์กอาจจะเริ่มต้นด้วยความแค้นไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักเหมือนใครๆ แต่ในที่สุดความรักที่จริงใจของเขาที่มีให้กับพี่ดาร์กมาตลอดก็สามารถเอาชนะความแค้นนั้นได้พี่ดาร์กอาจจะยังไม่สามารถลืมเรื่องราวที่เจ็บปวดแม่อาจจะยังไม่สามารถให้อภัยกับพี่ดาร์กได้ทั้งหมด เขาก็ได้แต่หวังและเชื่อว่าการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้เราจะเริ่มด้วยความรักและความเข้าใจและสามารถเยียวยาหัวใจของทุกคนอย่างสมบูรณ์

จบบริบูรณ์

สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็ลง Rewrite จบแล้ว เย้ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ เนื้อเรื่องคงเดิมค่ะแค่มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของการบรรยายค่ะ

แล้วมาคุยกันนะคะในฉบับ Rewrite ที่ #recoupth ค่ะ
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-01-2018 22:05:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: allmysecret ที่ 02-03-2020 21:31:51
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:10:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 16 (Rewrite) - 22/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 08-09-2020 23:27:23
  อีกทั้งน้องสาวของตัวเองแท้ๆ ก็ยังไปกระโดดร่วมวงด้วยอีก”

“ป้าสุวรรณีแค่จะเข้ามาควบคุมไม่ให้มันบานปลายค่ะ แม่ก็รู้”

 
ไม่ใช่แล้ว น้องของแม่เรียกว่าน้าไม่ใช่ป้า
หัวข้อ: Re: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 29-09-2020 23:06:52
 :ling1:แม่น้องคุนเนี่ยไม่ไหวเลย.. เห็นแก่ตัวสุดๆ.. คือต้องรอลูกตายไม่เหลือใครถึงจะยอมละวางไว้ซินะ... น่าสงสารน้องคูน.น้องโคตรคนดีศรีสยามจริงๆ.. ทำเพื่อทุกคน