IT is เต็มสิบ.13
“ฐา มึงมองหน้ากูซิ มองแล้วบอกด้วยว่ามึงเห็นอะไร แล้วรู้สึกยังไง”
ฐาปัตย์ไม่เข้าใจว่ารุ่นพี่ให้มองหน้าทำไม แต่ก็ทำตาม มองหน้าของเต็มสิบนิ่ง ๆ แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
“กระพริบตาได้มั้ยพี่เต็ม”
กลัวว่าจะไม่ถูกใจ ก็เลยต้องถามเพื่อให้หายสงสัยและเต็มสิบก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่ต้องแล้ว กูหมดอารมณ์จะมองหน้ามึงแล้ว”
อ้าว เป็นงั้นไป อยู่ดี ๆ ก็มาบอกให้มองหน้า พอมองแล้วก็ด่าซะงั้น
“เอ้า แล้วพี่ให้ผมมองทำไมพี่”
“ก็ไม่มีอะไร แค่จะถามว่า เวลามึงมองหน้ากูแล้วมึงคิดอะไรกับกูบ้างหรือเปล่า”
ชิบหายแล้ว
“พี่เต็มอย่าพูดแบบนี้สิพี่ ผมเคารพพี่ในฐานะพี่ชายมาตลอดนะ”
ไอ้นี่ก็บ้า ตีความไปถึงไหนแล้ว กูไม่ได้คิดพิศวาสอะไรมึงเลยเหอะ
“เดี๋ยวกูก็ยันโครมเลยไอ้ห่า ทำเป็นสะดิ้ง เมื่อวานนี้กูว่ากูเห็นอะไรแว่บ ๆ วะ”
ล้อเลียนรุ่นน้องและฐาปัตย์ก็ขมวดคิ้วมุ่นและถอนหายใจยาว
กลุ้มใจเพราะเรื่องที่เกิดเมื่อวาน และถึงตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง
“ก็เพราะเรื่องนี้แหละ วันนี้เฟืองมันเลยไม่มาทำงาน ตั้งแต่เมื่อวานมันก็ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ยอมพูดกับผมเลยตั้งแต่มันกลับบ้าน ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน นี่ผมก็เครียดอยู่พี่เต็มก็น่าจะรู้”
อันนั้นก็เข้าใจอยู่
“กูก็ไม่นึกว่ามึงจะใจร้อนปุบปับทำอะไรแบบนั้น”
“ผมก็ไม่นึกเหมือนกันพี่ จังหวะมันได้พอดี”
จังหวะมันได้พอดีเหรอ
ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่กำลังเครียด กูเองก็เหมือนกัน จะอ้างว่าจังหวะได้พอดีอย่างที่มึงพูดก็ไม่น่าจะได้ เพราะคุณธีรพลคงไม่อยากจะเข้าใจเรื่องนี้ด้วย
และจนถึงตอนนี้ก็ยังกลุ้มใจอยู่ ไม่รู้เจอกันตอนเย็นจะเข้าหน้ากันติดหรือเปล่า เมื่อคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะกังวลเรื่องนี้ ถ้าวันนี้จะโดนหลบหน้าก็คงไม่แปลก ถ้าคุณธีรพลจะทำแบบไอ้เฟืองก็เข้าใจ จะไม่ว่าอะไรเลย เพราะเต็มสิบเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าตอนที่เจอหน้าธีรพลจะทำยังไง
“กูเข้าใจมึงนะ เข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง”
เต็มสิบบอกว่าเข้าใจ แต่ฐาปัตย์ไม่รู้ว่ารุ่นพี่เข้าใจได้ยังไง อยากจะถามอะไรต่ออีกหน่อย ก็พอดีกับเห็นคุณธีรพลเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาดีที่สุดของบริษัทเดินมาที่หน้าประตูห้องของแผนกไอทีและผลักประตูเข้ามาด้วยหน้าตาเคร่งเครียดจนฐาปัตย์ต้องรีบทำเป็นวุ่นวายอยู่กับงานของตัวเองและแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นคนที่มาเยือน
“คุณเต็มสิบ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะรับโทรศัพท์หน่อย ถ้าไม่มีธุระสำคัญคิดว่าคนอย่างผมจะโทรหาคุณมั้ย นี่คุณแกล้งไม่รับโทรศัพท์ผมใช่มั้ย มีอะไรไม่พอใจก็พูดกันมาตรง ๆ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน”
เต็มสิบถึงกับอ้าปากค้างเมื่อหันมาและพบว่าคนที่มาเยือนคือคุณธีรพลจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ รีบเปิดกระเป๋าค้นหาโทรศัพท์มือถือและหยิบออกมาดูก็เห็นหมายเลขโทรศัพท์ของธีรพลโทรเข้ามาซ้ำ ๆ กันหลายสายจริง ๆ เต็มสิบก็เลยรีบยื่นโทรศัพท์ส่งให้คนที่กำลังโมโหดู
“ผมลืมเปิดเสียง ผมไม่ได้ไม่รับโทรศัพท์คุณนะ คุณดูสิ ผมไม่ได้จะแกล้งอะไรคุณเลยจริง ๆ นี่ไง มันปิดเสียงปิดสั่นด้วย ไม่เชื่อคุณลองโทรมาตอนนี้เลยก็ได้ ผมไม่ได้..........”
กำลังจะอธิบายเพิ่มแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าของธีรพลแล้วเต็มสิบก็เลยได้แต่ชะงักนิ่งค้างและนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“.................”
“ถ้าคิดจะหลบหน้าผมก็ทำให้เนียน ๆ หน่อย ผมแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ไม่ต้องห่วง”
ไม่ใช่เลย
นั่นไม่ใช่เลยสักนิด
เต็มสิบอยากอธิบายแต่ดูเหมือนธีรพลจะไม่อยากฟัง
“พรุ่งนี้ทีมเราจะซ้อมรวม วันนี้ผมอาจต้องอยู่ซ้อมนานหน่อย แต่ผมจะกลับเข้ามาช้า หลังเลิกงานแล้วผมขอรบกวนเวลาคุณหน่อยขอให้คุณอย่าเพิ่งกลับ ช่วยอยู่รอผมก่อน ที่ผมจะพูดมีแค่นี้”
แค่นี้ของคุณแม่งสะเทือนใจผมมากเลยคุณธีรพล
“แล้วเจอกันตอนหนึ่งทุ่ม”
ธีรพลเดินออกจากแผนกไอทีไปแล้ว ทิ้งให้เต็มสิบนั่งนิ่งเงียบงันได้แต่มองตามและถอนหายใจยาว
“พี่เต็ม พี่มีเรื่องกับคุณธีเหรอพี่ พี่ไปทำอะไรคุณธี ปกติผมเห็นพี่เอาคืนตลอด นี่พี่เงียบกริบเลย เรื่องใหญ่เหรอพี่”
นี่มันยิ่งกว่าเรื่องโคตรใหญ่เลยล่ะ ใหญ่จนไม่รู้จะจัดการยังไง ขนาดตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง ที่สำคัญทำไปแล้วนอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังรู้สึกดีมากอีกด้วย
“กูแม่ง เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยว่ะ ล่าสุดที่จำได้ ตอนที่กูเสียความมั่นใจมาก ๆ งก ๆ เงิ่น ๆ ทำตัวไม่ถูก ก็ตอนไปบอกชอบแฟนคนแรกตอนเรียนจบม.3”
“...............”
ชิบหาย
อาการเหมือนกันเป๊ะ เหมือนตอนไปบอกชอบแฟนคนแรกเป๊ะ
แต่นี่ไม่ใช่แฟนคนแรก แต่เป็นคุณธีรพล....
ไม่ใช่ว่า....
แค่คิดยังทำให้ใจสั่น แล้วถ้าเจอกันอีกรอบตอนเย็นจะทำยังไง เต็มสิบถึงกับเครียดและคิดไม่ตกกับความรู้สึกตอนนี้ที่เป็นอยู่
.....ผมไม่รู้จริง ๆ คุณธีรพลว่าเจอคุณแล้วผมจะทำหน้ายังไงดี.....
+++
“วันนี้ผมคิดว่าตัวเองทำได้ดีมากที่สุดตั้งแต่ซ้อมมา ผมมั่นใจมาก อย่างที่คุณบอก ถ้าเราทำให้ร่างกายเคยชินโดยอัตโนมัติทุกอย่างมันจะเคลื่อนไหวไปตามเพลงได้เอง วันนี้ผมขอบคุณมาก ที่เสียสละเวลาเพื่อทีมของเรา พรุ่งนี้ทุกคนจะต้องตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของผมแน่นอน”
เรากลับมาเป็นแค่คนรู้จักกันอีกหรือเปล่า
ธีรพลพูดกับเต็มสิบมากกว่าทุกวัน และเต็มสิบก็พูดกับธีรพลน้อยกว่าทุกวัน ดูเหมือนบางอย่างจะกำลังสวนทางกันอยู่จากปกติที่เคยเป็น
“วันนี้ผมไม่กลับพร้อมคุณแล้ว เพราะรถผมซ่อมเสร็จแล้ว ยังไงเจอกันตอนรวมทีมซ้อมใหญ่พรุ่งนี้แล้วกันนะ”
ธีรพลเก็บกระเป๋าเรียบร้อยและเต็มสิบก็มองตามคนที่ทำตัวเหมือนปกติแต่ที่จริงแล้วผิดปกติจากทุกวัน
“แต่วันนี้รถผมเสีย คุณไปส่งผมที่บ้านบ้างได้มั้ยล่ะ ถือว่าช่วย ๆ กัน”
ธีรพลหยุดมือที่กำลังเก็บของและหันมามองหน้าของเต็มสิบที่พูดบางอย่างออกมา
ใครจะเชื่อว่ารถของเต็มสิบเสียจริง ๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาดเว้นแต่ว่านี่คือการแกล้งกวนประสาทอย่างที่เต็มสิบทำอยู่เป็นประจำ
“อ๋อ แน่นอน รถคุณเสียใช่มั้ย ได้สิ ผมยินดีไปส่งคุณอยู่แล้ว บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ ไปกันตอนนี้เลยมั้ย แล้วคุณจะแวะกินข้าวเย็นด้วยเลยมั้ยล่ะ แบบที่ทำอยู่ทุกวันไง”
แบบนี้เรียกว่าประชด
และเต็มสิบก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังประชด แต่เต็มสิบยินดีให้ธีรพลประชดแบบนี้ต่อไปอีกนิด
“ไม่แวะหรอก ผมจะทำข้าวเย็นให้คุณกินเอง สลัดแล้วก็อาหารคลีน ๆ เพื่อสุขภาพ คุณกินแบบนั้นได้ใช่มั้ย ผมจะไม่ทำให้คุณต้องกังวงเรื่องน้ำหนักหรอก เชื่อมือผมได้”
ธีรพลไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน มองหน้าของเต็มสิบแล้วก็พยายามข่มความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้และยิ้มรับ ทำเหมือนว่ากำลังทำงานและเจอลูกค้างี่เง่ามีปัญหาและธีรพลก็ยิ้มรับได้เสมอ แม้ว่าจะไม่ชอบใจแค่ไหนก็ตาม
“ขอบคุณมากเลย เอาสิ ผมยินดี ไปกันเลยมั้ย ผมพร้อมแล้ว”
ปกติจะต้องปฏิเสธ แต่วันนี้ธีรพลยินดีทำตามทุกอย่างที่เต็มสิบร้องขอ
คนสองคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขึ้นมาอยู่ในรถด้วยกัน เต็มสิบทำแค่เพียงบอกทาง และธีรพลก็แค่ถามทางเท่านั้น
ทุกอย่างดูปกติดี
ทั้งที่จริงแล้วมันผิดปกติมากจนเกินไปด้วยซ้ำ
“หมาบ้านคุณชื่อแตงกวา แต่แมวบ้านผมชื่อบุญชู”
เต็มสิบแนะนำให้ธีรพลรู้จักกับบุญชูแมวสีสวาดตัวอ้วนกลมหน้าตาน่ารักที่รีบเดินเข้ามาคลอเคลียตอนที่เต็มสิบเดินเข้าบ้าน
“ไหนคุณบอกว่าอยู่กับครอบครัว แล้วทำไมตอนนี้อยู่คนเดียว”
“ก็เขายกขบวนกันไปเที่ยวเมืองจีนหมด ทิ้งผมเฝ้าบ้านกับบุญชูเนี่ย นี่มันโอกาสทองเลยนะหาไม่ได้ง่าย ๆ ผมก็เลยถือโอกาสพาคุณเข้าบ้านนี่ไง”
“..............”
หมายความว่ายังไงนะ
ธีรพลหันไปมองคนที่ส่งยิ้มแปลก ๆ ให้และเริ่มรับรู้ว่าตอนนี้เรากลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“คุณแม่งกวนประสาท”
“ตอนนี้ผมก็กวนประสาทอยู่แต่กับคุณคนเดียวนี่แหละ”
พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง สรุปนี่ตั้งใจกวนประสาทกันจริง ๆ ใช่มั้ย
“คุณเต็มสิบ”
ขึ้นเสียงใส่คนที่กำลังเปิดตู้เย็นและรื้อหาผักผลไม้มาเตรียมทำอาหารและธีรพลก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่เต็มสิบกำลังทำ
“คุณจะทำสลัดอะไรนั่นอย่างที่ว่าจริง ๆ เหรอ”
ซื้อของเตรียมไว้ขนาดนี้ ไม่ทำก็แปลกแล้ว
“ใช่สิ ผมจะทำให้คุณกินจริง ๆ นี่ไง คุณไปนั่งเล่นกับบุญชูก่อนเถอะ มีของเล่นอยู่ ช่วยไปเล่นกับมันหน่อย เดี๋ยวทำเสร็จแล้วผมจะเรียก”
แผนไหนอีก
จะมาไม้ไหน จะใช้แผนไหนอีก
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ธีรพลไม่หนี และไม่ปฏิเสธที่จะทำตาม
เมื่อก่อนเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ทำอะไรก็กลัวและกังวลไปหมดทุกเรื่อง แต่ตอนนี้โตแล้ว ถึงจะกังวลหรือไม่มั่นใจอยู่ก็จะเก็บเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกมาให้ใครรู้
ธีรพลก็แค่ไปนั่งเล่นกับแมวของเต็มสิบเพื่อรอเวลา
แค่รอเวลาให้เต็มสิบทำอาหารเสร็จแล้วมาเรียกแค่นั้น
แล้วสิ่งที่เต็มสิบเห็นตอนนี้คืออะไร
คุณธีรพลเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาดีที่สุดในบริษัทนั่งหลับโดยมีแมวสีสวาดตัวอ้วนชื่อบุญชูขดตัวนอนอยู่บนตัก
เต็มสิบได้แต่ยืนมองเงียบ ๆ และไม่อยากจะปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเลย
“เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ แต่ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนคุณก็นอนไม่หลับด้วยหรือเปล่า”
เต็มสิบพูดกับธีรพลเสียงเบา และธีรพลก็ลืมตาขึ้นมองหน้าของเต็มสิบนิ่ง ๆ
“ไม่นะ เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับสนิทดี ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผมนอนไม่หลับเลย”
TBC.