IT is เต็มสิบ. by aoikyosuke (.8 )
คนที่ไร้ทักษะทางด้านการเต้นขนาดนี้เป็นประชาสัมพันธ์ได้ยังไง เต็มสิบไม่เข้าใจ
“คุณก็แค่ยกแขนกับขาให้มันสัมพันธ์กันแค่นั้น”
“......................”
“งั้นคุณยกแขนอย่างเดียวขาไม่ต้องขยับก็ได้”
“....................”
“งั้นคุณไม่ต้องยกแขน ไม่ต้องขยับขาคุณแค่โยกตัวไปมาก็ได้”
“...................”
“ยืนเฉย ๆ เลยมั้ย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอตอนจบก็ขึ้นมายืนหล่อเหมือนปีก่อน ๆ ก็ได้”
“...................”
ธีรพลยืนนิ่งและถอนหายใจยาว คนไร้ทักษะในการเต้น ทำยังไงก็ไม่พัฒนา ทุกอย่างดูผิดจังหวะไปหมด และยิ่งซ้อม เต็มสิบยิ่งเต้นพริ้วขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนธีรพล ยิ่งพัฒนาถอยหลังลงคลอง
“เอายังไง”
จะให้เอายังไง ก็คนมันเต้นไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“ผมลาออกจากบริษัทนี้คงง่ายกว่ามั้ง”
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าให้ลาออกจากบริษัทสิ แค่ลองหาวิธีอื่นดูที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้
“ป่วยเลยมั้ย”
ช่วยหาทางให้ และธีรพลก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของเต็มสิบตรง ๆ
“ถ้าคุณเต้นไม่ได้ คุณต้องแกล้งป่วยแล้วล่ะ หรือไม่ก็บอกไปว่าท้องเสีย ปวดหัวเป็นไข้ จะเอายังไงก็เอาสักอย่าง ขึ้นไปแบบนี้ ไม่น่ารอด”
แบบนั้นทำไม่ได้หรอก มันเสียศักดิ์ศรีเกินไป
“ผมจะเต้น”
เต้นแบบนี้เหรอ ฟิลลิ่งไม่มี คร่อมจังหวะ ท่าไม่ได้ ทุกอย่างแย่ไปหมด เหมือนดูเด็กอนุบาลเต้น มันก็คงจะสนุกกว่านี้และไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าแผนกอื่น ๆ ไม่คาดหวังไว้เยอะ และถ้าไม่ถูกพูดจาแปลก ๆ ใส่อยู่ตลอดธีรพลก็คงไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ ที่จริงการเต้นในงานปีใหม่มันไม่เคยเป็นแค่การเต้นเพื่อความสนุกสนาน เรียกง่าย ๆ ว่ามันคือสงครามระหว่างแผนกก็ว่าได้
“แต่คุณเต้นได้ห่วยมากนะ นี่ผมพูดตรง ๆ”
ห่วยมากก็ต้องเต้น
“มันเป็นสปิริต อีกอย่างผมไม่อยากเอาเปรียบเพื่อนร่วมแผนก ทำก็ต้องทำด้วยกัน ผมจะเต้นต่อก็แล้วกัน ผมไม่ค่อยมีเวลาซ้อม ถึงไม่มีเวลาซ้อมแต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนผิดหวัง”
แบกรับความคาดหวังของคนทั้งแผนกเอาไว้ ก็เลยต้องพยายามทำให้เหนือกว่าสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง
เต็มสิบได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับมายืนประจำที่ และเริ่มก้าวเท้าไปข้างหน้าตามสเตปให้ธีรพลก้าวตาม
“ส่ายเอว ยกมือ ขยับขา นับ ห้า หก เจ็ด แปด”
สอนไปไม่รู้กี่ครั้ง ถึงพยายามแค่ไหน ทักษะของธีรพลก็ไม่พัฒนา แต่เต็มสิบก็ยังมีความพยายามที่จะสอน
“แล้วก็ ก้าวขาไปข้างหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าว เอามือแนบลำตัว ขยับไปซ้าย...ขวา....”
เต็มสิบก็แค่เต้นไปเรื่อย ๆ เต้นจนเกือบจบเพลงและหันกลับไปดูคนที่ต้องเต้นตาม
ธีรพลไม่ได้เต้นตามและตอนนี้ลงไปนั่งกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ยยยย เป็นอะไร เต้นแค่นี้ อย่าเพิ่งตายนะเฮ้ย คุณ”
ไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่หน้ามืด เลยลงมานั่งพักหายใจแค่นั้น
ธีรพลเงยหน้าขึ้นมองและรู้สึกเหมือนตาพร่าเห็นหน้าของเต็มสิบไม่ค่อยชัด
“ผมหิวข้าว”
ห้ะ
“แล้วทำไมคุณถึงไม่กิน”
“ก็วันนี้ไปข้างนอกมา มันยุ่ง เดี๋ยวไม่มีเวลาซ้อม คุณชอบบอกว่าให้รอสิบนาที แต่เอาเข้าจริงก็แกล้งให้ผมรอเป็นชั่วโมงตลอด ถ้าผมไม่รีบไปตาม คุณก็จะไม่ยอมซ้อมให้ผม หาเรื่องถ่วงเวลา”
อ้าว
ความผิดกูซะงั้น
“ผมผิดเหรอ”
“ใช่ คุณผิด”
ทำไมเป็นแบบนี้วะ ทำไมมาโยนความผิดให้กันซะได้ เต็มสิบไม่รู้จะตอบโต้คนที่โยนความผิดมาให้ยังไง ได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก อยากจะโมโหก็ทำไม่ได้ ดึงแขนคนที่นั่งอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นมาและช่วยประคองไปนั่งรอที่เก้าอี้ และธีรพลก็ยอมทำตามง่าย ๆ ไม่งอแงงี่เง่าหรือทำตัวมีปัญหา
“นี่มันหกโมงเย็น งั้นก็กลับบ้านไปหาอะไรกินแล้วกัน เลิกซ้อม”
“เลิกซ้อมได้ยังไง ก็วันนี้วันศุกร์ ผมมีเวลา แล้วผมต้องเต้นท่าต่อไปให้ได้ด้วย”
“ทำไมรั้นนักวะ”
“แล้วจะให้ทำยังไง”
เออ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นั่งอยู่นี่แหละ
“ใกล้ ๆ นี้ก็มีแค่ข้าวกล่อง”
ก็ข้าวกล่องนั่นแหละที่ต้องการจะกิน
“ความผิดทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพราะคุณ เพราะฉะนั้นคุณต้องไปซื้อข้าวให้ผมกินใช่มั้ย”
ไม่ใช่โว้ยยย
ตกลงนี่มันกลายเป็นปัญหาชีวิตของกูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
เต็มสิบได้แต่ยืนงง และธีรพลก็พยักหน้ารับและส่งยิ้มให้ แบบนี้มันคือการหลอกใช้กันชัด ๆ
“นี่ผมต้องไปซื้อข้าวให้คุณกินเหรอ”
ถามกลับด้วยความสงสัย และธีรพลก็พยักหน้าและยังสั่งให้ซื้ออย่างอื่นมาด้วยนอกจากข้าว
“อยากกินน้ำแดงด้วย”
เป็นกุมารทองหรือไงวะ ต้องกินน้ำแดง
“จ่ะ เดี๋ยวจะไปซื้อมาบูชาเดี๋ยวนี้แหละนะจ๊ะ พ่อกุมารทอง รอหน่อยนะจ๊ะ”
เป็นถ้อยคำประชดประชันที่ทำให้ธีรพลนิ่วหน้าและเมินหน้าหนีเต็มสิบที่ยืนมองมาและเริ่มมีรอยยิ้มน้อย ๆ จุดขึ้นที่มุมปาก
“ตังค์ล่ะ”
“อยู่บนออฟฟิศ ไม่ได้หยิบมา”
อ้าว ทำไมนิสัยแบบนี้ล่ะ ไปซื้อให้กินแล้วยังต้องให้ออกเงินให้อีก มันไม่ใช่แล้วนะครับแบบนี้คุณธีรพล
“ผมไม่ใช่องค์กรการกุศลนะ ถึงจะต้องเลี้ยงดูคุณด้วยข้าวกล่องและน้ำแดงฟรี ๆ”
“อย่างคุณไม่น่าจะทำกุศลได้นะ ทำบาปน่าจะขึ้นกว่า”
แน่ะ ยังปากดีอีก
“ไม่ต้องกินแล้วมั้งแบบนี้ ไม่น่าเป็นอะไรแล้วนี่”
“คุณเต็มสิบอ่า”
ธีรพลเรียกเต็มสิบแบบนั้นอยู่ทุกวัน บางวันเรียกชื่อด้วยความโมโห บางวันก็เรียกด้วยความงี่เง่า ฟังดูแล้วน่ารำคาญ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ ที่เสียงของคนพูดดูอ่อย ๆ และฟังดูน่าสงสาร
“คุณไม่คิดจะรักษาภาพพจน์อย่างที่เคยทำหรือไง”
“คิด แต่ผมหิว ผมจะลืมมันไปก่อน เอาไว้ได้กินน้ำแดงแล้วจะกลับมารักษาภาพพจน์ต่อ”
อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ
แบบนี้มันสมควรแล้วเหรอ
ที่สำคัญ ทำไมต้องทำหน้าให้น่าสงสารและทำเสียงอ้อนแบบนั้นด้วยไม่เข้าใจ
“คุณธีรพล”
เต็มสิบเรียกชื่อของธีรพลกลับด้วยน้ำเสียงดุ ๆ และก็ทำหน้าจริงจังขึงขัง ดูแล้วน่าตกใจ
“ครับ”
อย่าตอบแบบนี้ได้มั้ยวะ อย่ามาพูดจาแบบนี้ อย่าทำตัวแบบนี้ เวลาไม่มีแรง เวลาหิว เพราะมันจะทำให้เต็มสิบใจอ่อนได้ง่าย ๆ
“เออ น้ำแดงจะเอาขวดเล็กหรือขวดใหญ่”
“ขวดเล็กก็ได้”
แค่บอกว่าน้ำแดงขวดเล็กก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเสียงอ่อยขนาดนั้นก็ได้
“คุณติดหนี้ผมอยู่นะ ผมไม่ได้ไปซื้อให้ฟรี ๆ ผมคิดค่าจ้างด้วย”
“ได้”
แล้วทำไมถึงตอบตกลงง่าย ๆ แบบนั้น ไม่คิดจะต่อรอง ไม่คิดจะกวนประสาทแบบที่เคยทำบ้างหรือไง
แล้วแบบนี้จะให้ทำยังไง
แล้วแบบนี้จะให้เต็มสิบทำยังไง นอกจากถอนใจยาวและพูดอะไรไม่ออก
“เออ งั้นเดี๋ยวผมมา รออยู่นี่แหละ”
“แล้วผมจะไปไหนได้ล่ะ”
ได้ยินเสียงตอบกลับแล้วเต็มสิบก็หันกลับมามองคนที่ยังมีแรงต่อปากต่อคำกันได้อีก
“กวนตีนนะครับ คุณธีรพล”
“แก้หิว”
ไม่ใช่มั้ง มีด้วยเหรอคนที่พูดจากวนตีนแก้หิว เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก
น่าแปลก ถึงจะโดนกวนกลับแบบนั้น แต่เต็มสิบไม่นึกโกรธเหมือนอย่างที่เคย
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรีบเดินให้เร็วขึ้น เพื่อไปที่รถที่จอดอยู่
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงนึกสงสารคนที่ทำงานจนไม่มีเวลากินข้าว
ไม่เข้าใจอะไรเลย สิ่งที่เข้าใจมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
..........ดูเหมือนธีรพลจะไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากอย่างที่เคยคิดมาตลอด ทั้งที่อยู่บริษัทเดียวกันมาหลายปี แต่เพิ่งจะได้คุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็เพิ่งจะปีนี้นี่เอง............
TBC.