ตอนที่ 11 : ธาราธาร
เช้าวันนั้นผมตื่นสาย อาจเพราะคืนก่อนหน้านี้นอนกระสับกระส่ายหลับไม่สนิทดี ยิ่งเมื่อวานได้ออกกำลังกายหนัก หลังตื่นมาตอนกลางคืนรอบหนึ่งผมก็หลับเป็นตาย
เลยเจอกับภาพประหลาดเข้าให้
ภาพแรกคือรอยยิ้มของราเชนทร์ที่ตื่นก่อนผม ยังคงเอาแขนข้างหนึ่งรองใต้ศีรษะ ส่วนอีกข้างถือโทรศัพท์เล่นเกมเรื่อยเปื่อย เขาคงตื่นมาสักพักแล้ว เพราะใช้หมอนหนุนหลังอยู่ในท่านั่งกึ่งนอน กลิ่นตัวหอมฟุ้งด้วยน้ำหอม
ภาพที่สองคือคีรี...เขานั่งหันหน้าหาคอมพิวเตอร์ข้างเตียง แต่พอได้ยินเสียงผมขยับตัว ก็รีบหันมาพูดว่า “อรุณสวัสดิ์”
มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อบอวลในอกชวนเคลิบเคลิ้มเหมือนอยู่ในห้วงฝัน
“นี่มันบ่ายโมงแล้วนะครับ”
“สวัสดีตอนบ่าย” คีรียิ้มรับไม่ถือสา จะว่าไป...วันนี้เป็นวันอาทิตย์สินะ เป็นวันหยุดของทั้งผมและคีรี แม้เจ้าตัวจะนั่งจดจ่อเช็คเมลตรวจเอกสารหน้าคอมพิวเตอร์ แต่การที่เขาอยู่ด้วยกันในช่วงกลางวัน ก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ
เพราะตอนเราคบกันผมเล่นบอกเลิกก่อนจะถึงวันอาทิตย์ซะอีก
“รัญ แล้วฉันล่ะ” ราเชนทร์วางโทรศัพท์ในมือ หันมากอดผมทั้งตัวแล้วหอมแก้มดังฟอด
“ผมต้องสวัสดีตอนบ่ายกับคุณด้วยเหรอ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก แต่นายต้องจูบฉันกลับนะ” ราเชนทร์ยิ้มกรุ้มกริ่มตาเป็นประกาย ไอ้คนลามกที่วันๆ คิดแต่เรื่องใต้สะดือ คงจะพออกพอใจกับเซ็กซ์เมื่อคืนมากทีเดียว
ผมอมยิ้มก่อนจะหอมแก้มกลับ ราเชนทร์ทำหน้าขัดใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร แล้วยังยอมปล่อยตัวให้ผมเดินไปหอมแก้มคีรีเพื่อความเท่าเทียม
“พวกคุณไม่หิวเหรอครับ”
“เราหาอะไรรองท้องกันแล้ว เธอล่ะ” คีรีถามหลังหอมแก้มอีกข้างของผม ให้ความรู้สึกข้าวใหม่ปลามันชะมัด
“ผมหิวจนท้องร้องไปหมดแล้ว”
“ฉันก็ว่าได้ยินเสียงอะไรตั้งแต่เช้า ที่แท้ก็เสียงท้องร้องนี่เอง” ราเชนทร์ล้อเลียนหน้าชื่นตาบาน เห็นพวกเขาคุยข้ามหัวกันแต่ไม่ยักชิงดีชิงเด่นหรือสร้างบรรยากาศอึดอัดผมก็โล่งใจ
“ไปอาบน้ำเถอะ จะได้หาอะไรทานข้างนอกกัน”
“ครับ”
ผมตอบคีรีก่อนจะเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย...พอเห็นเงาสะท้อนในกระจกก็ถอนหายใจเฮือก รอยจูบเต็มตัวจนนับไม่หวาดไม่ไหว พวกเขาคงไม่ได้คิดจะแข่งกันว่าใครทำรอยบนตัวผมได้มากกว่ากันหรอกนะ
แม้ตอนเดินยังขัดๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เจ็บมากมายเพราะพวกเขาก็คอยจะพากันยั้งแรงกันและกันตลอด โดยเฉพาะราเชนทร์ที่คอยเตือนคีรีเสมอ ( น่าจะเพราะกลัวผมต่อกับเขาไม่ไหว ไม่ใช่ว่าหวังดีหรอก ) ถึงจะเหนื่อยหนักแทบขาดใจ หลังนอนเต็มอิ่มร่างกายก็ฟื้นฟูให้เดินเหินได้ตามปกติ
“ไปกันเถอะ”
พอออกมาจากห้องน้ำทั้งคีรีและราเชนทร์ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว
“ไปรถใครครับ”
แต่ดูเหมือนพวกเขาจะลืมคิดปัญหาข้อนี้ไปสนิท
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะเป็นราเชนทร์ที่เอ่ยออกมาคนแรก “ยันยียันเยา ปักกะเป่ายิงฉุบ!”
เยี่ยมมาก แก้ปัญหาได้เด็กอนุบาลจนผมหลุดขำ ภาพของท่านประธานและคุณชายแสนสำอางเปายิงฉุบเพื่อตัดสินว่าจะนั่งรถใครไป เล่นเอาผมบันเทิงแต่หัววันเลยทีเดียว
ปรากฏว่าคีรีออกค้อน ส่วนราเชนทร์ออกกระดาษ
“เยี่ยม ไปกันเถอะรัญ” ราเชนทร์เข้ามาโอบเอวผมออกจากห้องหน้าตาระรื่นทันที ทางด้านคีรีก็ไม่ได้เคืองอะไร ยอมรับผลง่ายๆ แถมยังหันไปตรวจกลอนประตูว่าล็อกเรียบร้อยดีหรือยังค่อยตามมาประกบข้างจับมือที่ยังว่างของผม
นี่มันออกจะ...ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก!
ตอนแรกผมนึกว่าพวกเขาจะทะเลาะกันอีกสักยก แย่งผมไปนั่งรถใครรถมันเหมือนเดิม แน่นอนว่าผมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ก็ใช้เซ็กซ์เป็นประกันไง ถ้าพวกเขาแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขนาดนั้น ก็อย่าหวังว่าผมจะยอมลงให้แบบเมื่อคืนอีก
แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะรู้ทัน ผมไม่ทันยกขึ้นมาขู่ ก็หันไปจัดการกันเองแล้ว
แต่ราเชนทร์ไม่ได้ขับรถไปที่ร้านอาหาร เขาพาผมที่ห้องเสื้อชื่อดังใกล้กับห้างสรรพสินค้ากลางเมืองกรุง
“ผมหิวจะตายแล้วนะ”
“ยอมลงไปวัดตัวแป๊บเดียวแล้วฉันจะพาไปเลี้ยงของชอบเลย”
“อะไรของคุณเนี่ย” ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันไปถามความเห็นคีรีที่นั่งเบาะหน้าคู่กับราเชนทร์...ครับ ในเมื่อนั่งรถคันเดียวกันไปด้วยกัน ก็ต้องให้พวกเขานั่งคู่กันด้วย เพราะถ้าผมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถกับราเชนทร์ คีรีจะกลายเป็นส่วนเกินทันที
“วันนี้มีงานประมูลการกุศลน่ะ” คีรีช่วยอธิบาย และเปิดประตูรถเชื้อเชิญให้ผมที่ยังนั่งไม่ขยับไปไหนยอมลงมา
“ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะครับ”
ตอนคบกับราเชนทร์...ผมก็พอคุ้นๆ กับพวกงานสังสรรค์ในหมู่ไฮโซอยู่เหมือนกัน ราเชนทร์เป็นพวกบ้างานเลี้ยง เขาไปแทบจะทุกงานหากไม่ติดธุระ เช่น...ตอนเกาะก่ายกันทั้งวันทั้งคืน ครับ ช่วงเราคบกัน ราเชนทร์ติดผมอย่างกับหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัส ตอนพ่อบ้านของเขาส่งบัตรเชิญงานเลี้ยงมาให้ เขาก็แค่มองผ่านไปแล้วหันมาฟัดผมเอาฟัดผมเอา
“เปิดตัวไง”
ราเชนทร์ยิ้มกว้าง อย่าบอกนะว่าพวกเขาคิดจะเอาผมไปโชว์ตัวเพื่อเป็นหลักประกันแปะป้ายจอง เผื่อว่าวันหลังโดนบอกเลิกไป จะได้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับผมอีกน่ะ
“มีคนอยากแนะนำให้รู้จัก ไปด้วยกันนะ” ด้านหนึ่งก็ราเชนทร์ที่ถ้าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ เถียงไปก็ป่วยการเปล่า อีกด้านก็คีรีที่ยืนดักตรงประตู ท่านประธานเองหัวรั้นใช่เรื่อง แต่วิธีการยังอ่อนน้อมน่าคล้อยตามมากกว่า
“ครั้งนี้ครั้งเดียว”
“ได้ ครั้งนี้ครั้งเดียว”
แต่ไอ้น้ำเสียงหนักแน่นของคีรีฟังไม่น่าเชื่อถือชอบกล เขาเคยผิดสัญญามาแล้ว!
ผมถอนหายใจเฮือก โดนรุมขนาดนี้ยังไงก็บ่ายเบี่ยงไม่รอด เลยยอมลงไปวัดตัวแล้วค่อยไปทานข้าวกับพวกเขา แล้วค่อยวกมารับชุดสูทที่สั่งไว้
ราเชนทร์กับคีรีแอบกัดกันผ่านส่ายตาตอนหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ผมดูพวกเขาอย่างสนุกสนาน ตอนทานข้าวเมื่อกี้ก็ตีกันไปยกหนึ่ง แม้จะจบลงด้วยการหารจ่ายก็ตาม ต่างฝ่ายต่างก็เป็นสายเปย์ไม่อั้นทั้งคู่ เลยค่อนข้างมีปัญหาเวลาเก็บเงิน
ถ้าเป็นวันธรรมดาราเชนทร์จะเลี้ยงข้าวเที่ยงผม ส่วนคีรีจะเลี้ยงข้าวเย็น แต่พอเป็นวันหยุดอย่างนี้ทำเอาตีกันอีรุงตุงนัง
“ฉันจ่ายก่อน ข้าวเย็นนายเลี้ยง”
“ได้”
คราวนี้คีรีเป็นคนเสนอทางรอด
“เดี๋ยวก่อน ตอนเย็นไปงานเลี้ยงนะ แล้วฉันจะได้จ่ายตอนไหน” ราเชนทร์โวยวาย แต่ไม่ทันแล้วเพราะบัตรเครดิตของคีรีถูกพนักงานรับไปรูดพร้อมแนบสลิปมาให้พร้อม
“เราต้องซื้อของเข้าห้องเพิ่ม คุณจ่ายตอนนั้นแล้วกันเชนทร์” ผมเอ่ยแทรก เห็นพวกเขาพยายามมาถึงขนาดนี้ก็ต้องช่วยสักหน่อย กลัวเรือจะล่มเอาปากอ่าวซะก่อน
“ได้เลยจ้ะที่รัก”
งานเลี้ยงเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม พวกเราจึงพอมีเวลาเหลือเฟือที่จะซื้อของใช้จำเป็นเข้าห้อง ตอนสายผมสำรวจคร่าวๆ แล้ว คีรีกับราเชนทร์ใช้ยาสระผมคนละยี่ห้อ ยาสีฟัน หรือกระทั่งน้ำหอมก็คนละกลิ่น ตัวผมน่ะไม่เรื่องมากอยู่แล้ว อันไหนใกล้มือหน่อยก็คว้าใช้ได้หมด ส่วนพวกชั้นในหรือของประจำตัวพวกเขาก็ขนมาเองไม่คิดปะปนกัน ขนาดตู้เสื้อผ้ายังมีสองตู้เลย
ผมเลยซื้อพวกจานชามช้อนส้อม แก้วน้ำ แล้วก็พวกของกินขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ที่ห้องมีไมโครเวฟทั้งทีก็ควรจะมีอะไรให้ทำบ้าง เวลาหิวตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องลงไปหาอะไรทานข้างนอก
ไฟฉาย...อืม...เอาไปเผื่อทำอะไรหล่นหายในห้องมืดแล้วกัน แล้วก็ถ่าน ปลั๊กรางสามตา ไม้กวาดอันเล็กเผื่อทำอะไรหกจะได้จัดการเองได้ ผ้าขี้ริ้ว แล้วอะไรอีกดีนะ...
“น้ำยาล้างห้องน้ำไม่ต้องหรอก มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวันอยู่แล้ว น้ำยาล้างจานก็ไม่ต้อง พวกของกินวางกองไว้หน้าห้องก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีคนเก็บไปล้างเองนั่นแหละ”
คีรีช่วยออกความเห็น เขาค่อนข้างจัดการตัวเองเก่ง ผิดกับราเชนทร์ที่ปกติถ้าอยู่บ้านใหญ่ก็จะมีคนรับใช้ช่วยดูแลตลอด ไม่เคยต้องมาเดินซื้อเองแบบนี้
“พวกเรากินกันจุกจิกในห้อง ไม่ต้องรอให้คนเก็บไปล้างก็ได้มั้งครับ ถึงที่ห้องจะไม่มีซิงค์ล้างจานแต่ผมไปล้างเอาที่อ่างล้างหน้าก็ได้ นิดๆ หน่อยๆ เอง”
“เดี๋ยวเศษอาหารอุดตันนะ”
“ผมก็เขี่ยออกก่อนล้างสิ พวกมื้อใหญ่กินกันข้างนอกอยู่แล้ว ของจุกจิกแค่นี้ไม่ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่หรอกครับ”
“ตามใจเธอ”
“เอานี่ไปด้วย” ราเชนทร์ที่กำลังเบื่อๆ เซ็งๆ เพราะพูดแทรกไม่ได้คว้าถุงยางใส่รถเข็นเกือบสิบกล่อง เอามาหมดทั้งแบบมีกลิ่นไม่มีกลิ่น รวมทั้งแบบขรุขระและแบบบางเฉียบ
“ที่ห้องก็ยังเหลือนี่”
“เผื่ออนาคตไงจ๊ะที่รัก” ราเชนทร์เข้ามาโอบไหล่ผม ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
“เอ๊ะ ที่ห้องไม่มีกล่องยาสามัญใช่มั้ยครับ” ผมหันไปถามคีรีที่ดูจะรู้เรื่องมากกว่าเจ้าของห้องตัวจริงอย่างราเชนทร์
“ทางโรงแรมมีอยู่แล้วนะ แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากเธอซื้อเผื่อติดไว้ในห้องก็ได้”
“ที่แน่ๆ คือยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบ แล้วก็เจลเย็นไว้สำหรับ...”
ผมทำหูทวนลมกับราเชนทร์ที่คิดแต่เรื่องทะลึ่ง ถึงอย่างนั้นก็หยิบทุกอย่างที่จำเป็นใส่รถเข็นมาให้หมด
“แล้วพวกหนังสือของเธอ...”
“ไว้ให้พวกเราลงตัวกว่านี้ค่อยซื้อพวกเฟอร์นิเจอร์ก็ได้ครับ วันนี้เอาแค่ของจำเป็นก่อน” ผมพูดเสียงเรียบเรื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะในกล่องที่ราเชนทร์ยกเค้ามามีพวกหนังสืออ่านเล่นของผมอยู่เยอะ ผมยังไม่ได้เปิดดูเพราะไม่รู้ว่าจะได้ย้ายออกเอาตอนไหน รอให้แน่ใจกว่านี้ดีกว่า
“คนอะไรคิดแต่เรื่องจะเลิกอยู่ได้” ราเชนทร์บ่นพึมพำ แต่ก็เกาะผมไม่ปล่อยเหมือนกลัวทำหาย
“งั้นพวกคุณก็ทำให้ผมมั่นใจว่าจะอยู่กันได้นานสิครับ” ผมตอบกลับ มองทั้งคู่ที่แม้จะมีบรรยากาศดีขึ้นแต่ก็มึนตึงกันอยู่ ขนาดเมื่อนี้บอกให้รอที่หน้าเคาน์เตอร์เพราะจะไปเข้าห้องน้ำ พวกเขายังไม่ยอมอยู่ด้วยกันเลย กลายเป็นลากตามกันมาสามคนอย่างกับเล่นขบวนรถไฟซะงั้น อับอายฉิบเป๋ง
ตอนจ่ายเงินราเชนทร์ได้รูดบัตรสมใจ พวกเราแบ่งถือของคนละถุงกลับรถ จากนั้นก็แยกย้ายอาบน้ำตามลำดับคือราเชนทร์ ผม และคีรี ก่อนจะช่วยกันแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
ความจริงราเชนทร์เป๊ะตั้งแต่ออกจากห้องน้ำแล้ว กลิ่นน้ำหอมฟุ้งพร้อมกับเสื้อสูทเนื้อดีที่เข้ากับเขาอย่างสุดๆ ผมสีน้ำตาลทองเสยขึ้นข้างหนึ่ง ยิ่งพอโปรยยิ้มแล้วทรงเสน่ห์จนผมคิดว่าเขาต้องเป็นที่ดึงดูดสายตาในงานมากแน่ๆ
ส่วนคีรี...เขาใส่สูทเป็นประจำ แม้ว่าวันสบายๆ อย่างวันนี้จะใส่เสื้อโปโลธรรมดา การเห็นเขาใส่สูทแบบทางการเลยไม่ค่อยแปลกตาเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะแอบใจเต้นตอนเขาถอดแว่นก็เถอะ
“คุณสายตาสั้นเท่าไหร่น่ะ”
“หกร้อย”
“นี่กี่นิ้วครับ” ผมเข้าไปชูสามนิ้วต่อหน้าคีรี
“ฉันสายตาสั้น ไม่ได้ตาบอด” คีรีตอบยิ้มๆ จับมือผมไปกุมเบาๆ ก่อนจะช่วยจัดเสื้อสูทให้ ใช่ ในบรรดาพวกเราสามคน ผมเนี่ยล่ะไม่คุ้นชินสุด ถึงเครื่องแบบพนักงานคิงส์คลับจะเป็นเสื้อกั๊กผูกเนคไท แต่พอใส่แบบเต็มยศอย่างนี้ก็เล่นเอากระดากไปเหมือนกัน
“ฉันชอบเวลารัญปล่อยผมมากกว่า” ราเชนทร์เข้ามานัวเนียพลางจับปอยผมที่ถูกจับรวบมัดอย่างสุภาพ
“จะให้กระเซอะกระเซิงในงานได้ยังไงล่ะครับ”
“เวลารัญปล่อยผมเซ็กซี่จะตาย แต่ก็ดี จะได้ไม่มีใครเห็น” ราเชนทร์กดจูบบนท้ายทอยเบาพลางกอดผมหลวมๆ เขาดูอารมณ์ดีมากๆ สงสัยเพราะจะได้ไปงานเลี้ยงที่ไม่ได้ไปมานานนับตั้งแต่ตามจีบผมเกือบทุกวัน
จะว่าไปแล้ว...
“เชนทร์ ยางรัดผมของผมที่คุณเอาไปอยู่ไหนน่ะ”
ราเชนทร์ยิ้ม หยิบยางที่ผ่านการใช้งานยาวนานขึ้นมาแนบริมฝีปากอย่างกับเป็นตัวแทนผม
“ฉันไม่คืนให้หรอก นี่เป็นของที่รัญเอาติดตัวไม่ห่าง ฉันก็จะเอาติดตัวตลอดเวลาเลย”
ทำตัวอย่างกับคนโรคจิตไปได้!“ครั้งนี้ไปรถใครครับ”
“รถฉัน”
คีรีตอบทันที น่าเสียดายที่อดเห็นผู้ชายตัวโตๆ สองคนเปายิงฉุบอีกรอบ
“มาตกลงกันก่อน ผมไปด้วยแล้วพวกคุณจะแนะนำผมกับคนอื่นยังไง ตั้งใจพาผมไปเพื่อพบใคร”
คีรีเลี่ยงสายตาทันที ผมเลยหันไปจ้องราเชนทร์แทน
“เอาน่า ไปถึงก็รู้เองแหละ ไม่ต้องห่วง พวกฉันไม่ทำให้นายลำบากใจหรอก” ราเชนทร์ยิ้มร่า “ก็คนเคยๆ กันทั้งนั้นแหละ”
คนเคยๆ...เคยๆ บ้านแปะเอ็งน่ะสิ!อย่าตกใจที่ผมสบถ มันก็แค่ความในใจที่พูดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น ใครเลยจะคิดว่าคีรีกับราเชนทร์จะพาผมไปแนะนำกับครอบครัวกันล่ะ!? อันที่จริงผมก็สงสัยอยู่หรอกว่าเครือญาติของเขาไม่ว่าอะไรรึไงที่คบกับผู้ชาย ราเชนทร์น่ะไม่ค่อยเท่าไหร่ เขาเป็นลูกคนเดียว และได้มรดกจากพ่อแม่มาเต็มๆ แถมยังเปิดเผยตัวเองอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหา แม้ลุงป้าน้าอาที่รู้จักจะมองแปลกๆ บ้างแต่ก็ไม่กล้าทำต่อหน้าเท่าไหร่ ผิดกับคีรี...
การที่ชื่อบริษัทติดอันดับหนึ่งในสิบได้ถือเป็นความร่วมมือของเครือญาตินามสกุลเดียวกันช่วยประคับประคอง แม้คีรีเป็นประธานใหญ่ แต่ยังมีเครือเล็กเครือน้อยที่แตกหน่อออกไปทำให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และดูเหมือนคีรีเวลาคบกับใครจะค่อนข้างหลบซ่อนสายตาประชาชีอยู่พอประมาณ พอบอกว่าผมเป็นคนสำคัญ เล่นเอาโดนมองแบบร้อนๆ หนาวๆ แทบสะดุ้ง โดยเฉพาะกับน้องชายร่วมอุทร
ผมถึงกับหนาวยะเยือกตอนโดน ‘ธาราธาร’ มองประเมิน
ครอบครัวของคีรีเป็นนักธุรกิจกันทั้งโคตร ธาราธารเองก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารสาขาย่อยทั้งหลาย มีอำนาจรองลงมาเพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ดูเคร่งเครียดจนหน้าแก่กว่าวัยและขยันขันแข็งเหมือนพี่ชายไม่มีผิด
“ทำงานอะไรน่ะเรา”
“บาร์เทนเดอร์ครับ”
...หนาวเยือกขึ้นมาอีกสิบจุด ขนาดไม่ใช่คนหงอแต่ผมก็รู้สึกตัวหดเล็กลงอย่างบอกไม่ถูก
“รัญ มาสนุกกันดีกว่า!”
ราเชนทร์ช่วยชีวิต ลากแขนผมไปเข้าวงล้อมผู้หญิงที่กำลังหัวเราะคิกคัก อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เขาเป็นพวกดึงดูดสายตา รอยยิ้มร่าและท่าทางมั่นอกมั่นใจทำให้หลายคนชอบและเข้าหา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเภทชอบความรื่นเริง ไม่เหมือนคีรีที่มางานสังสรรค์แต่ทำหน้าอย่างกับมาคุยธุรกิจ
แม้จะมางานเดียวกัน แต่กลุ่มสังคมระหว่างราเชนทร์ก็แตกต่างกันจนผมแทบปรับตัวไม่ถูก อีกทางคุยสุภาพสอบถามความก้าวหน้าและเน้นเนื้อหาข่าวตามทันโลก อีกทางหัวร่อกระซิกถามถึงของประมูลว่าใครตั้งใจสมทบทุนทำบุญมากกว่ากัน
พอผมโดนลากเข้ามาร่วมด้วย กลุ่มสาวงามเลยหันมาเลิกคิ้วมองเหมือนเห็นตัวประกอบ
“ตายจริง ลูกเต้าเหล่าใครกันคะนี่”
“แฟนผมเอง”
...ตรงนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด ผมรู้ทันทีว่าคำถามต่อมาคืออะไร
“โอ้ เป็นคุณชายที่ไหนกันล่ะถึงถูกใจคุณราเชนทร์ได้”
“เปล่าครับ ผมเป็นแค่บาร์เทนเดอร์”
เพราะได้ภูมิต้านทานมาจากธาราธารแล้ว งวดนี้ผมเลยค่อนข้างยืดอกรับได้ดีกว่าเดิม ความจริงก็พอคิดไว้อยู่แล้วล่ะน่าว่าโดนลากมางานเลี้ยงไฮโซอย่างนี้ ผมก็เป็นได้แต่ตัวประหลาดให้พวกเขามองอย่างดูถูกเท่านั้นแหละ
ยังไงซะพวกเขาก็ได้แค่มอง
ผมไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับสายตาคนนอกอยู่แล้ว จะติดก็แต่คนในอย่างธาราธารนั่นแหละที่ตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ
นึกแล้วก็แอบโล่งใจที่ราเชนทร์เป็นพวกสุดโต่ง ไม่ว่าใครก็ขัดใจเขาไม่ได้ แถมยังใจใหญ่ สายเปย์ ใครเข้ามาขอความช่วยเหลือหรือหยิบยืมก็ให้ไปไม่คิดมาก คนอื่นๆ เลยไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
ส่วนสาเหตุที่เขามีเงินใช้สบายซะเหลือเกินเป็นเพราะมรดกจากพ่อแม่ครับ อย่างที่ผมเกริ่นไปนั่นแหละ สรุปง่ายๆ คือ พ่อกับแม่ของราเชนทร์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เพราะเป็นลูกชายคนเดียวเลยรับเงินประกันรวมทั้งมรดกไปเต็มๆ เดิมทีตระกูลนี้ก็มีสินทรัพย์ไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกนะเพราะราเชนทร์ไม่เคยพูดถึงเลย
“อยากได้อะไรมั้ยรัญ” ราเชนทร์เกาะเอวผมขณะพาเดินดูงานไปเรื่อยๆ นี่เป็นงานการกุศลครับ ส่วนใหญ่ก็จะมีบริษัทชั้นนำเอาของผลิตพิเศษมาร่วมประมูลเพื่อหักเปอร์เซนต์ส่วนหนึ่งนำเงินไปบริจาคต่อ เป็นงานที่ได้ทั้งบุญและได้ทั้งของราคาแพงรวมทั้งได้หน้าในคราวเดียว
“ไม่ล่ะครับ” ในมือผมยังมีนาฬิกาที่เขาเคยประมูลได้อยู่เลย “คีรีล่ะ”
“อยู่กับญาติมันนู่น” ราเชนทร์ชี้ให้ดูคีรีที่ยังคุยกับธาราธารไม่เลิก หน้าตาเคร่งเครียดจริงจังเชียว
“เป็นคุณนี่ก็สบายจังนะครับเชนทร์”
“ขอบใจที่ชม” ราเชนทร์หัวเราะหึๆ “นายที่พูดว่าตัวเองเป็นบาร์เทนเดอร์ท่ามกลางคนพวกนี้ได้เต็มปากเต็มคำก็แน่เหมือนกัน”
“คุณไม่อายเหรอ”
“นายไม่อายแล้วฉันจะอายทำไม หน้าฉันหนาจะตาย” ที่แท้เขาก็รู้ตัวด้วยเหรอเนี่ยว่าผมเคยนินทาอะไรไปบ้าง
“ใครเป็นคนต้นคิดเรื่องวันนี้ครับ” ผมถามตรงๆ ราเชนทร์ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยขนาดเอาผมอวดคนอื่นไปเรื่อย ในหัวน่าจะมีแต่เรื่องใต้สะดือถึงจะสมเหตุสมผล
“ก็มีคนเดียวนั่นแหละ” ราเชนทร์ยักไหล่ “ฉันไม่อยากให้น้อยหน้าเลยนัดญาติมาเพียบ ชนะเห็นๆ”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครมีญาติมาอวดมากกว่ากันหรอกนะเฮ้ย“แล้วรัญล่ะ ไม่คิดจะพาพวกฉันไปหาพ่อแม่นายบ้างเหรอ”
...ผมพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด เรื่องหนีออกจากบ้านไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ขืนกลับไปทั้งสภาพนี้มีแต่โดนไล่ให้ไม่ต้องกลับมาอีกมากกว่าน่ะสิ
“รัญ?”
“ผมไปดูคีรีหน่อยดีกว่า”
“แต่งานประมูลจะเริ่มแล้วนะ”
“ผมไม่สนเรื่องงานอยู่แล้ว คุณเองก็รอเป็นเด็กดีก่อนนะ” ผมเงยหน้าหอมแก้มราเชนทร์เร็วๆ หนึ่งที พอเห็นเขาไม่คัดค้านอะไรก็เดินไปหาคีรี แต่พอมาถึงเขาก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
หายไปไหนนะงานเลี้ยงจัดในโรงแรม หรือพอเห็นงานใกล้เริ่มเลยเลี่ยงเสียงดังไปคุยกันที่อื่นแทน ผมเดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยง เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางก็ยังไม่เห็นใคร เจอแต่สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีคนสักคนเดียวเพราะเป็นกลางแจ้ง
ผมหยิบโทรศัพท์หมายจะโทรหา แต่ไม่ทันได้กดเบอร์ก็รู้สึกถึงแรงผลักที่เล่นเอาไม่ทันตั้งตัว
ร่างผมเซตกสระว่ายน้ำทันที
ตูม!
เหมือนกับร่างทิ้งดิ่งกะทันหัน ทันทีที่ทั้งตัวจมอยู่ใต้น้ำ สติของผมก็ปลิดปลิวทันที ความกลัว หวาดผวา กัดกินจิตใจจนแทบบ้า รู้สึกอัดอัดและทำอะไรไม่ถูกนอกจากปัดป่ายแขนขาตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นเหนือน้ำ แต่ชุดสูทถ่วงจนหนักไปหมด ผมรู้สึกเหมือนโดนกระชากลึกลงไป ทั้งที่ความจริงแล้วหากพยุงตัวให้ลอยขึ้นสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ที่เป็นปัญหาคือ...ผมว่ายน้ำไม่เป็น!
ครับ แม้กระทั่งท่าพื้นฐานอย่างลูกหมาตกน้ำก็ทำไม่ได้ ผมเหมือนคนบ้าที่ดิ้นปัดป่ายอย่างไร้ผล ยิ่งลนลานเท่าไหร่ร่างกายก็ยิ่งจมลึกจนน่ากลัวมากเท่านั้น ผมสำลักน้ำ ความรู้สึกที่เห็นทางรอดแค่เอื้อมมือแต่คว้าไม่ถึงทำให้ยิ่งตระหนกจนเกือบเสียสติ
ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!
ผมกรีดร้องในใจ ลืมตาโพล่งมองอย่างมีหวัง ก่อนมือที่ปัดป่ายไปทั่วจะถูกกระชากขึ้น รั้งร่างเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นทั้งตัว
“ใจเย็นๆ หรัญญ์ น้ำตื้นแค่นี้เอง เธอเหยียบถึงอยู่แล้ว ไม่ได้น่ากลัวเลย” คีรีช่วยลูบหลัง กอดผมที่นั่งตัวสั่นขวัญเสียจนหน้าซีดเซียว
พอได้ยินผมก็ค่อยๆ ตั้งสติใหม่ จริงสิ โดนผลักตกแค่ใกล้ขอบสระ แล้วจะตะเกียกตะกายตีขาพุ้ยน้ำทำบ้าอะไร แค่ยืนเหยียดเต็มความสูงก็น่าจะรอดแล้ว
น่าอายชะมัดแต่คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วโดนผลักตกน้ำทั้งอย่างนั้นน่ะ ไม่ว่าใครก็สติแตกทั้งนั้นแหละน่า!
“ทำไมถึงตกลงไปล่ะ เธอเดินเซเองเหรอ”
“ผม...” ผมสำลักไอ คีรีที่รอฟังอย่างใจเย็นจึงช่วยถอดเสื้อสูทผมออกแล้วใช้สูทของเขาช่วยคลุมให้กันความหนาว “มีคนผลักผมตกลงไป”
“ใคร” เสียงคีรีเข้มขึ้นทันควัน ผมเองก็เพิ่งมองหน้าเขาชัดๆ เอาตอนนี้
“ผมไม่รู้....ผมว่ายน้ำไม่เป็น พอตกลงไปก็สติหลุด ไม่ทันมองว่าใครเป็นคนผลัก”
“ไม่เป็นไร ที่โรงแรมมีกล้องวงจรปิด เราหาคนนั้นเจออยู่แล้ว” คีรีปลอบใจผม แต่หน้าตาเขากลับดูไม่ได้เลย อย่างกับว่าเป็นคนตกน้ำเองอย่างนั้นล่ะ “ยืนไหวมั้ย”
“ไหวครับ” ผมตอบเสียงเบา รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องให้คนมาช่วยทั้งที่น้ำในสระไม่ได้ลึก “แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่แถวนี้ล่ะ”
“ฉันออกมาคุยกับธาราธาร...” คีรีว่าพลางส่งกุญแจรถให้ผม “โทรตามราเชนทร์แล้วไปรอที่รถก่อน ฉันจะไปขอดูกล้องวงจรปิดของโรงแรม”
“ผมไปด้วย”
“ตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำขนาดนี้จะเดินไปเดินมาได้ยังไง”
“แค่นี้ผมไม่ป่วยหรอก”
“หรัญญ์”
“งั้นคุณสัญญามาสิว่าถ้าธาราธารเป็นคนทำ คุณจะไม่ช่วยปิดบังความผิดให้เขา”
คีรีชะงักทันที
“เธอคิดว่าเป็นธาราธารงั้นเหรอ”
“หรือคุณไม่คิดล่ะครับ”
บาร์เทนเดอร์ธรรมดาคนหนึ่ง จะมีแรงจูงใจอะไรให้คนหมั่นไส้จนโดนผลักตกน้ำกันล่ะ คนในงานส่วนใหญ่รวมทั้งญาติของราเชนทร์ยังอยู่ในงานเพราะกำลังเริ่มประมูล คนที่เดินออกมาก่อนก็มีแค่คีรีกับธาราธารเท่านั้น
ถึงเมื่อกี้ผมจะตกใจจนสติหลุด แต่ไม่ได้ทำสมองหลุดไปด้วยนะ!-----------------------------------------------
สามคนเริ่มพยายามปรับตัวเข้าหากัน และเริ่มจริงจังกันมากขึ้นแล้ว แม้หนูรัญจะก่อเกิดความอายโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ เป็นแน่แท้! แตนแต้น!
ภาษาไทยประจำวันนี้
คีรี = ภูเขา
ธาราธาร = แม่น้ำ ค่ะ
นานๆ ทีจะตั้งชื่อตัวละครทั้งตัวจริงทั้งตัวประกอบให้ออกมาดูดี เรานี้แสนปลื้มใจเหลือเกินค่ะ
เพจนักเขียนที่ได้โบกมือลาตระกูลสมสักที...รึเปล่านะ