ใจยักษ์ 25
“วันนี้ก็ไม่มางั้นหรอ...” เด็กชายเหรันต์มองหาใครอีกคนที่เขาผิดนัดไปเมื่อสามวันก่อน วันรุ่งขึ้นหลังผิดนัดเขารีบมารอตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งเกือบสายก็ยังไม่พบเงาอีกคนโผล่มา เขาทำอย่างนี้เป็นวันที่สามแล้ว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะรู้สึกผิดที่มาตามนัดของอีกคนไม่ได้ล่ะมั้ง
“ช่างเถอะ...ยังไงเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้า” เด็กชายพึมพำกับตัวเองคนเดียว
“ต่อจากนี้พวกแกจะไม่ลำบากแล้วนะ” เหรันต์ลูบหัวเจ้านวลเบาๆ มีคนรับเลี้ยงเจ้าพวกสามตัวนี้แล้ว ซึ่งคนๆนั้นก็คือป้าศรีที่ขายอาหารกลางวันในโรงเรียนของเขา เด็กชายมักไปขออาหารเหลือจากป้าศรีเพื่อเอามาให้เจ้าพวกลูกสมุนหลังเลิกเรียน ป้าศรีรู้ตั้งแต่แรกว่าเขานำอาหารมาให้เจ้าสามตัวนี้ แต่เมื่อวานเขาได้มีโอกาสคุยกับป้าศรีอีกครั้งเรื่องหาบ้านให้เจ้าตูบทั้งสาม ป้าศรีจึงเอ่ยปากขอรับเลี้ยงเอง เพราะเจ้าตูบที่บ้านแกพึ่งจะจากไปด้วยโรคชราเมื่ออาทิตย์ก่อน ป้าศรีที่ตัวคนเดียวจึงอยากรับเจ้าสามทหารเสือไปเลี้ยงเฝ้าบ้านและแก้เหงา รันต์ดีใจมากแม้จะใจหายแต่นี่ก็คงดีที่สุดแล้วสำหรับเจ้าสามตัวที่เขารัก
+++++++++++++++++++
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
“ของสดสำหรับทำอาหารหนึ่งอาทิตย์นะครับ เสื้อผ้าน้องรันต์ซักไว้ให้แล้ว วันศุกร์หน้าเดี๋ยวร้านซักรีดจะมาเอาเสื้อผ้าไปซักให้ คุณแม่ไม่ต้องซักเองนะครับ คุณแม่ต้องทานอาหารให้ครบสามมื้อ ห้ามโหมทำงานหนัก ห้ามนอนดึกนะครับ อ่อ แล้วก็พรุ่งนี้น้าเฟื่องฟ้าจะมานอนเป็นเพื่อนนะครับ”
“คิกๆ แม่ไม่ได้พิการนะน้องรันต์” แพรวาขำให้กับความเป็นห่วงจนเกินไปของลูกชาย เนื่องจากเด็กชายเหรันต์ต้องไปเข้าค่ายเก็บตัวสามสัปดาห์ก่อนที่จะไปสอบแข่งขันที่ต่างประเทศ เธอจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวเป็นเหตุให้ลูกชายสุดที่รักห่วงจนไม่เป็นทำอะไร
“น้องรันต์จะรีบไปรีบกลับ ถ้าว่างเมื่อไหร่จะโทรหานะครับ” เด็กชายจับมือคนเป็นแม่ขึ้นมากุมไว้หลวมๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยห่างอกแม่นานขนาดนี้ เด็กชายไม่ใช่พวกเด็กติดแม่ แต่สุขภาพแม่ของเขาตอนนี้ทำให้อดห่วงไม่ได้จริงๆ
“ครับ มากอดทีมา” เด็กชายโผเข้าหาอกคนเป็นแม่ เขากอดแน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยมือออก ผู้หญิงคนนี้จะสลายและหายไปจากเขา
“น้องรันต์รักแม่นะครับ รักทีสุด...” เด็กชายพูดขณะซบอกคนเป็นแม่ แพรวายิ้มบางๆกอดกระชับคนที่เธอรักสุดหัวใจยิ่งขึ้นไปอีก เธอกลัวว่านี่จะเป็นอ้อมกอดสุดท้าย กลัวว่าจะไม่ได้เห็นเด็กที่มีรอยยิ้มและดวงตาสดใสสุกสกาวคนนี้อีก
“แม่ไม่อยู่น้องรันต์ต้องดูแลตัวเองนะลูก มีความสุขให้มากๆ หาเป้าหมายตัวเองให้เจอ...เข้าใจไหมเด็กดี” แพรวาลูบหัวเด็กชายด้วยความโอบอ้อมอารี จูบซับไปตามเส้นไหมสีเข้มนุ่มๆด้วยความรัก
“คุณแม่อย่าพูดอย่างนี้ เดี๋ยวน้องรันต์ก็กลับ” อยู่รอน้องรันต์ก่อนนะครับ น้องกลับมาจะรีบพาคุณแม่ไปหาหมอ เด็กชายคิดในใจด้วยความกังวล
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวจะสายเอา”แพรวาผละอ้อมกอดออก เธอส่งยิ้มให้ลูกชายพร้อมถือกระเป๋าเป้ที่ใส่สัมภาระไม่ใหญ่มากส่งให้ เหรันต์รับมาสะพายหลังไว้ เขายกมือไหว้สวัสดีแพรวาส่งยิ้มที่สดใสที่สุดในชีวิตให้แล้วเดินออกจากบ้านไป
เขาจะตั้งใจ จะเป็นคนที่เก่งและประสบความสำเร็จให้แม่ของเขาภูมิใจ
จะต้องทำให้ได้…
รอก่อนนะครับแม่...
.
.
.
.
.
.
ย่างเข้าสู่ก่อนวันสุดท้ายของการเข้าค่ายเก็บตัวไปแข่งขันวิชาการนานาชาติ เหรันต์ทำผลงานได้ดีเยี่ยม เขาทำแบบทดสอบได้ถูกต้องหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่สิ ต้องบอกว่าร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะข้อบกพร่องของโจทย์เขาสามารถแก้ไขให้ถูกต้องและเขียนอธิบายวิธีประกอบไว้ด้วย เป็นที่น่าทึ่งสำหรับเหล่าคณะอาจารย์ผู้ฝึกสอนเป็นอย่างมาก สิบปีจะมีเด็กแบบนี้โผล่มาสักคน
เมื่อถามถึงไอคิวเด็กคนนี้ คำตอบที่ได้กลับเป็นความเงียบ พอจะให้ทำแบบทดสอบไอคิว เหรันต์ก็ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆที่ทำเหล่าคณาจารย์ไม่กล้าถามถึงเรื่องนี้อีก
“การรู้ไอคิวผมมันสำคัญขนาดไหนกันครับ สำคัญกว่าการใช้สมองผมให้เป็นประโยชน์รึเปล่า...เพราะถ้าไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญพอที่จำเป็นจะต้องรู้หรอก จริงไหมครับ?” เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่เห็นอยากรู้ มันไม่สำคัญเลย...สักนิดเดียว
“น้าเฟื่องฟ้าครับ ได้อยู่กับคุณแม่รึเปล่า น้องรันต์โทรหาคุณแม่ไม่รับโทรศัพท์เลย” เด็กชายถามเพื่อนของแม่ผ่านสาย ตอนนี้เป็นช่วงเบรกที่เขาได้พักจึงโทรหาผู้เป็นแม่แต่สายที่ห้าแล้วก็ยังไม่รับและไม่โทรกลับ เหรันต์จึงโทรหาเฟื่องฟ้าเพื่อนสนิทแม่เขาที่ไปอยู่เป็นเพื่อน เขาร้อนใจเหลือเกินรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ พรุ่งนี้เขาก็จะได้กับบ้านแล้ว อย่าเพิ่งให้เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นเลย
(เปล่าจ้ะ น้าออกมาส่งของให้ลูกค้า)
“ทำยังไงดีครับ น้องรันต์สังหรณ์ใจไม่ดีเลย” เด็กชายกำโทรศัพท์แน่น เหงื่อซึมตามตัวด้วยความเครียด
(น้าส่งของเสร็จพอดี จะรีบกลับตอนนี้ น้องรันต์ใจเย็นๆนะลูก ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวน้าโทรบอก)
“ครับ ขอบคุณมากครับ” เด็กชายกัดริฝีปากตนเองจนเลือดซิบอย่างอดกลั้น ได้แต่ภาวนาอย่าให้แม่ของเขาเป็นอะไรไปเลย
ร่วมสองชั่วโมงที่รันต์รอโทรศัพท์จากเฟื่องฟ้าหรือแม่ของเขาอย่างใจจดใจจ่อ สิ่งที่อาจารย์สอนไม่เข้าหูเขาเลยสักนิด จนในที่สุดเสียงสัญญาณที่เขารอก็ดังขึ้น
“ขออนุญาตครับ...ครับน้าเฟื่องฟ้า” เด็กชายขออนุญาตแล้วรีบวิ่งออกไปรับโทรศัพท์ทันที ขอไม่สนมารยาทอะไรแล้วทั้งนั้น
(น้องรันต์...)เฟื่องฟ้าเหมือนคนเสียงหาย คำพูดของเธอแผ่วเบาหายเข้าไปในลำคอ
“มีอะไรครับน้าเฟื่องฟ้า บอกน้องรันต์มาเถอะครับ” มือเด็กชายสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ อย่าให้เขาต้องได้ยินในสิ่งที่เขากลัวเลย
(ตอนนี้น้าอยู่โรงพยาบาล แพรวอยู่ในห้องฉุกเฉิน ฮึก)
“...แม้น้องรันต์เป็นอะไร” เด็กชายถามเสียงเบาเหมือนคนไร้สติ เด็กชายแทบไม่มีแรงจะยืน มืออีกข้างค้ำผนังกำแพงพยุงตัวเองไว้
(น้ากลับไปเจอแพรวนอนสลบอยู่หน้าบันได ที่หัวมีรอยนูน ฮึก คิดว่าน่าจะหน้ามืดหัวฟาดกับราวบันไดแล้วพลัดตกลงมา...น้องรันต์ น้าขอโทษ) เฟื่องฟ้าเสียงสั่นเครือ
(ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลอะไรครับ)
++++++++++++++++++
“หมอขอคุยกับญาติคนไข้หน่อยนะครับ” คุณหมอวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องพักคนไข้ที่มีเด็กชายเหรันต์ และเฟื่องฟ้านั่งเฝ้าแพรวาอยู่ เหรันต์ทำท่าจะลุกขึ้น แต่เฟื่องฟ้าชิงกดไหล่เด็กชายและลุกขึ้นแทนก่อน
“ดิฉันเองค่ะคุณหมอ” เฟื่องฟ้าเดินออกจากห้องไปพร้อมคุณหมอ เหลือเพียงเด็กชายเหรันต์และแพรวาที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“คุณแม่รีบฟื้นนะครับ หายเร็วๆน้องรันต์รออยู่” เด็กชายกุมคือผู้เป็นแม่ขึ้นแนบแก้ม เขาขออกจากค่ายก่อนเวลา ไม่สนว่าใครจะว่ายังไง โชค ในชีวิตเขาแม่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจะทิ้งแม่ไว้ได้ยังไง ดีที่ตอนนี้โรงเรียนเขาปิดเทอมพอดี
แกร็ก!
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมงที่รันต์นั่งจมอยู่ในภวังค์ เสียงเปิดประตูจากเฟื่องฟ้าดึงสติเด็กชายกลับคืนมาอีกครั้ง
“น้องรันต์ง่วงไหมลูก พักสักหน่อยไหม” เฟื่องฟ้าถามเด็กชายตรงหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ครับ คุณหมอว่ายังไงบ้างครับน้าเฟื่องฟ้า” เด็กชายถามสิ่งที่อยากรู้โดยไม่อ้อมค้อม เฟื่องฟ้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ลำบากใจที่จะพูดเหลือเกิน
“คือ...หมอเขาพาแพรวไปสแกนสมองหาว่ามีเลือดคลั่งไหม แล้ว...” เฟื่องฟ้าอึกอักแล้วหยุดคำไป เด็กชายขมวดคิ้วมุ่น
“แล้วอะไรครับ?”
“มีเลือดออกนิดหน่อย แต่ว่า...หมอเขาเจอสิ่งที่เหมือนก้อนเนื้ออยู่ด้วย”
“มะเร็งไหมครับ?” เหรันต์รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ เขาทำใจไว้ส่วนหนึ่งแล้วเพราะอาการที่แม่เขาเป็นก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับสิ่งที่คิด แล้วมาได้ยินหมอบอกแบบนี้อีก
“หมอบอกยังไม่แน่ใจ เย็นนี้เขาจะเอาเนื้อเยื่อไปตรวจดู...หมอบอกว่าอย่ากังวล อาจจะไม่ใช่เนื้อร้ายก็ได้นะน้องรันต์”เฟื่องฟ้าพูดปลอบใจหลานชาย เธอเองก็พูดไม่ออกไปพักใหญ่
“ครับ น้องรันต์ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
.
.
.
.
.
.
“คุณแม่ฟื้นแล้ว!” เด็กชายโพล่งขึ้นด้วยความดีใจ ค่อนวันกว่าแพรวาจะฟื้น เธอกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เด็กชายเห็นดังนั้นจึงรีบเทน้ำใส่แก้วแล้วยื่นหลอดให้คนป่วย
“ที่นี่ที่ไหนน่ะลูก” แพรวาเอ่ยถามลูกชายเสียงแหบ
“โรงพยาบาลน่ะครับ” แพรวาหันหน้าตามเสียงลูกชาย มือบางยื่นหมายจะจับหน้าเด็กชายแต่ก็พลาดคว้าแต่อากาศ ซึ่งแพรวาวาดมือไปอีกทางตรงข้ามกับที่เหรันต์ยืนอยู่
“คุณแม่ น้องรันต์อยู่นี่ครับ” เหรันต์จับมือผู้เป็นแม่มาจับแก้มตัวเองแล้วยิ้มให้บางๆ
“จ้ะ แม่มองไม่ค่อยชัดน่ะ” ไม่ค่อยเห็นเลยต่างหาก เด็กชายคิดในใจ
“แพรว แกฟื้นแล้ว!” เฟื่องฟ้าที่ออกไปซื้อของกินกลับมาเจอกับแพรวาที่ฟื้นแล้วจึงดีใจมาก รันต์ปล่อยให้แม่กับน้าได้คุยกัน ส่วนเขาออกไปนอกห้อง มือเรียวกำหมัดแน่นจนขึ้นข้อขาว อาการแม่ของเขาหนักกว่าที่คิด ตัวเหรันต์เองก็ได้แต่เจ็บใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าหมอจะช่วยรักษาให้แม่ของเขาหายได้ในเร็ววัน
สองวันถัดมา
“จากผลเอกซเรย์และการตรวจเนื้อเยื่อของก้อนเนื้อเราพบว่าคุณแพรวา ราชรัตน์ มีก้อนเนื้องอกที่บริเวณก้านสมอง ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ แต่ถ้าปล่อยไว้ก็ไมใช่เรื่องดีนะครับ แต่จากอุบัติเหตุที่คุณแพรวาประสบทำให้เสี่ยงที่เนื้องอกจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นภาวะตกเลือดในเนื้องอกซึ่งอันตรายถึงชีวิต” นายแพทย์ที่ทำการรักษาบอกผลการวินิจฉัยให้เฟื่องฟ้าและเด็กชายเหรันต์ทราบถึงอาการของแพรวา เฟื่องฟ้าแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็กชายหน้าใสกลับสงบนิ่งแล้วเอ่ยปากถามคุณหมอ
“แล้วจะต้องทำยังไงต่อไปครับ”
“คุณแพรวาต้องได้รับการผ่าตัดอย่างด่วนที่สุด” คุณหมอบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาเองก็ค่อนข้างหนักใจกับคนไข้เคสนี้เหมือนกัน แม้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ แต่จากการที่ล้มหัวกระแทกก็ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง แม้แต่การผ่าตัดก็ค่อนข้างจะเสี่ยงมากเหมือนกัน
“ครับ ทำตามที่คุณหมอเห็นสมควร...ฝากน้าเฟื่องฟ้าจัดการต่อด้วยนะครับ” เด็กชายหันไปบอกกับเฟื่องฟ้าในประโยคสุดท้ายเสร็จ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือไหว้คุณหมอแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ คุณหมอวัยกลางคนมองตามเด็กชายด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีเด็กคนไหนที่รู้อาการที่ค่อนข้างสาหัสของแม่แล้วยังสามารถคงความสงบเยือกเย็นได้ถึงขนาดนี้
คล้อยหลังคนทั้งสอง เด็กที่ทุกคนเห็นว่าสงบเยือกเย็นกลับตัวสั่นสะท้านเพราะอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้
“น้องรันต์! จะไปไหนลูก” เฟื่องฟ้าที่ตามออกมาจากห้องตะโกนถามหลานชายที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์
“น้องรันต์จะไปหาคุณพ่อครับ คิดว่าเรื่องนี้คุณพ่อจำเป็นต้องรู้” เด็กชายหันมาบอกกับเพื่อนสนิทแม่ เขาคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถรับมือคนเดียวได้ ไหนจะเรื่องเงินค่าผ่าตัดของโรงพยาบาลเอกชนที่เขาไม่มีปัญญาหาได้แน่ ต่อให้เอาเงินเก็บของเขากับแม่รวมกันก็คงไม่พอ ถามว่าทำไมถึงไม่ไปโรงพยาบาลรัฐ ก็เพราะว่าที่นี่มีคุณหมอเฉพาะทางด้านสมองที่เก่งที่สุดในประเทศ ยอมจ่ายแพงแต่มีโอกาสรอดมากกว่าเขาก็ยอม
ไม่ว่าจะต้องดิ้นรนแค่ไหน...เหรันต์ก็จะทำให้ถึงที่สุด เพื่อรักษาดวงใจของเขาเอาไว้ให้ได้
“เรื่องค่ารักษา...” เฟื่องฟ้าอ้ำอึ้ง เพราะหลังจากที่คุยกับคุณหมอเรื่องค่าผ่าตัดแล้ว ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงมาก เธอจึงยังไม่กล้ายินยอมให้คุณหมอทำการผ่าตัดได้ทันที
“น้องรันต์จะไปหามาเอง...รบกวนน้าเฟื่องฟ้าดูคุณแม่ให้ก่อนนะครับ” เด็กชายบอกผู้เป็นน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
“จ้ะ มีอะไรก็บอกน้านะลูก”เฟื่องฟ้ารับคำหลาน เธอรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้เฟื่องฟ้าก็พยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของเธอแล้ว เด็กชายพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มเล็กก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป
.
.
.
.
.
.
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เด็กชายกดออดหน้าบ้านหลังใหญ่ รู้สึกคิดถึงนิดๆหลังจากที่ไม่ได้กลับมาที่นี่เลยหลายปี ยืนรอไม่นานก็มีชายในชุด รปภ. เดินมาเปิดประตูบานเล็ก
“คุณน้อง!”ผู้รักษาความปลอดภัยหนุ่มวัยสามสิบต้นๆร้องเรียกเหรันต์ด้วยความดีใจ
“น้ามิ่ง สวัสดีครับ” เด็กชายยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความอ่อนน้อม เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ทุกคนในบ้านถึงพากันรักคุณหนูเหรันต์
“เข้ามาในบ้านก่อนสิครับ นี่ถ้าคุณป้าใจและคนอื่นๆรู้ว่าคุณน้องมาต้องดีใจมากแน่ๆครับ”
“คุณพ่ออยู่ไหมครับ น้องรันต์โทรหาไม่ติดเลย”เด็กชายลังเลที่จะเข้าบ้าน จึงถามหาคนที่เขาอยากพบแทน
“คุณท่านไปต่างประเทศครับ คุณหนูมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าครับ” รปภ.หนุ่มถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทางหนักใจจากเจ้านายตัวน้อย
“ก็...ไม่มีอะไรครับ แล้วน้ามิ่งรู้ไหมครับว่าคุณพ่อจะกลับเมื่อไหร่” เด็กชายตัดใจไม่พูดแต่ถามต่อแทน
“ผมไม่ทราบจริงๆครับ ต้องขอโทษด้วยครับคุณหนู”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าคุณพ่อกลับมาแล้วรบกวนน้ามิ่งบอกคุณพ่อให้โทรหาน้องรันต์ด่วนนะครับ”
“ได้ครับ ผมจะไปบอกคุณป้าใจให้เรียนท่านให้ แล้วคุณน้องจะไม่เข้าบ้านก่อนหรือครับ” มิ่งถามเด็กชายเหรันต์ที่ทำท่าหันหลังจะกลับ
“ครับ...น้องรีบ สวัสดีครับ”เด็กชายหมุนตัวจะเดินกลับไปทางเดิม แต่ก็มีเสียงเรียกจากอีกด้านของประตูที่ทำให้เท้าของเขาหยุดชะงัก
“จะรีบกลับไปไหนล่ะค่ะคุณน้อง...รันต์” เสียงแหลมๆจนแสบแก้วหูในความคิดของเด็กชาย เหรันต์หันหน้ากลับไปมองตามเสียงเรียก พบหญิงสาวแต่งตัวด้วยเดรสสีสดรัดรูป แต่ใบหน้าที่สวยงามกลับแต่งแต้มไปด้วยเครื่องประทินโฉมจนเกินพอดี เหรันต์ขมวดคิ้วนิดๆ เขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับรู้จักเขา แล้วเธอเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ยังไงกัน
“สวัสดีครับ”แม้จะงงๆอยู่บ้างแต่เด็กชายก็ยกมือไหว้คนแปลกหน้าตามที่ถูกสอนมาเป็นอย่างดี
“แหม...มารยาทดีจังเลยนะคะ แต่ถ้าฝืนใจก็ไม่ต้องก็ได้” เธอกอดอกเชิดหน้ามองเด็กชายที่ตัวเล็กกว่าอย่างดูแคลน คิดว่าเธอไม่รู้หรือไงว่าเด็กคนนี้แกล้งทำเป็นไหว้ใส่เธอ
“หมายความว่ายังไงครับ?” เด็กชายเอ่ยถาม เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงเป็นใคร แล้วที่พูดมาหมายถึงอะไรกันแน่
“อ้าว นัง เอ้ย! คุณแพรวาไม่ได้บอกหรือคะ ว่าน้ากำลังจะเป็นคุณผู้หญิงคนใหม่ของที่นี่” ริมฝีปากที่ถูกทาลิปสติกสีแดงแสยะยิ้มด้วยความเหนือกว่า รปภ.หนุ่มขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ถูกตวัดสายตาดุๆจากผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว
“ไม่ได้บอกครับ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร คุณจะเป็นใครก็เรื่องของคุณ ตราบใดที่คุณไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับพวกเรา ผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักหรือใส่ใจ” มินตรากัดฟันกรอด เธอรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่จากเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำ ไอ้เด็กคนนี้มันกล้าดีพูดว่าเธอไม่อยู่ในสายตามันได้ยังไง
“เหรอ ปากดีแบบนี้ แม่แกเคยสั่งสอนให้รู้จักมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่บ้างรึเปล่า ไม่ใช่มายืนเถียงฉอดๆแบบนี้! แล้วไปไหนซะล่ะ...ทำไมปล่อยแกมายืนเกาะรั้วขอเข้าบ้านอยู่คนเดียว...หรือว่าเปลี่ยนใจอยากกลับมาอยู่ที่นี่เลยส่งแกมาขอร้องให้คุณวิรัชสงสาร...หรือว่าสมเพชดี หึ” มินตราสะกดอารมณ์ไม่ไหว ระเบิดความหยาบคายต่อว่าเหรันต์อย่างรุนแรง
“ช่วยเก็บปากของคุณไว้ดื่มน้ำเถอะครับ แม่ผมสอนให้พูดและประพฤติดีเสมอ แต่ผมเลือกจะปฏิบัติกับคนที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่และน่าเคารพ แล้วอย่าเที่ยวไปกล่าวหาคนอื่นโดยที่ไม่รู้อะไร ระวังเขาจะฟ้องหมิ่นประมาทหมดตัวเอาได้นะครับ...น้องรันต์ไปแล้วนะครับน้ามิ่ง สวัสดีครับ” เด็กชายเชือดผู้หญิงที่ว่าร้ายแม่เขานิ่มๆแต่เจ็บแสบจนอยากกรีดร้องออกมาดังๆในความรู้สึกของอีกคน เขาหันไปบอกลาคนที่เขาเคารพจริงๆแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที ส่วนคนที่ถูกเด็กถอนหงอกก็ได้แต่ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความเจ็บใจ
‘ขนาดแม่แกฉันยังกำจัดได้ไม่ยาก แล้วนับประสาอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างแก ฉันจะทำไม่ได้’ มินตราหมายมั่นไว้ในใจ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนที่เธอคิดจะกำจัดเป็นรายต่อไป ไม่ใช่หมูในอวยอย่างที่คิด
++++++++++++++++++
“น้องรันต์ แม่อยากกลับบ้าน” แพรวาหันไปพูดกับลูกชายขณะที่เด็กชายดูโทรทัศน์อยู่ เธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้มาได้ครบหนึ่งสัปดาห์พอดี เธอกลับมามองเห็นแล้ว เหมือนตอนที่ตื่นมาเธอเหมือนจะสูญเสียการมองเห็นฉับพลัน แต่พอเวลาผ่านไปก็ค่อยๆกลับมามองเห็น แต่ที่หนักกว่านั้นคือเธออาเจียนบ่อยมาก และปวดหัวจนแทบระเบิด ต้องเอ่ยปากกับหมอขอยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
“คุณแม่ต้องอยู่รักษาตัว จนกว่าคุณแม่จะหาย”
“แม่ไม่เป็นอะระ...”
“คุณแม่เลิกปิดบังน้องเถอะครับ ถ้าคุณแม่เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถ้าทนไม่ไหวก็บอก น้องโตแล้ว คุณแม่บอกน้องได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะยังไงน้องก็จะสู้เพื่อคุณแม่ ขอแค่คุณแม่บอกน้องมา” เด็กชายตัดบทคนเป็นแม่อย่างอดทนไม่ไหว เขาทนเงียบต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ฮึก แม่...แม่เจ็บ แม่ขอโทษนะน้องรันต์” แพรวาบอกกับลูกชายเสียงสั่น เธอไม่อยากให้ลูกเป็นห่วง แค่นี้เขาก็เจ็บปวดมากพอแล้ว
“คุณแม่ไม่ต้องขอโทษ น้องรักคุณแม่นะ” เหรันต์โน้มตัวลงไปกอดคนเป็นแม่ที่นอนอยู่บนเตียง
“แม่คงเป็นแม่ที่แย่มากใช่ไหมลูก”
“ไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกนี้สมบูรณ์แบบ แต่คุณแม่คือแม่ที่ดีที่สุดสำหรับน้องรันต์”
“แม่ดีใจที่น้องรันต์เข้มแข็งกว่าแม่” เธอหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ เหรันต์เป็นเด็กมีความคิดและเข้มแข็ง แพรวาเชื่อว่าลูกชายจะสามารถมีความสุขกับทางที่เลือกเดินได้
“แต่คุณแม่จะแข็งแรงกว่าน้องรันต์ถ้าคุณแม่ได้รับการรักษาจนหายดี”
“เรื่องรักษาแม่ว่า...”
“คุณหมอคงบอกคุณแม่แล้ว คุณแม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดจึงจะหาย ไม่ต้องคิดมากนะครับ น้องรันต์จะจัดการเอง นะครับ ถือว่าน้องรันต์ขอร้อง” เด็กชายบอกกับแม่ด้วยรอยยิ้มให้หายกังวล แม้ภายในใจเหมือนเดินในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปวิรัชพ่อของเขาก็ยังไม่ติดต่อกลับมา อาการของแม่เขาเดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุด เขาคงรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆไม่ไหวอีกต่อไป
“แล้วน้องรันต์จะไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนลูก” แพรวาไม่อยากให้ตัวเองต้องเป็นภาระของใคร แล้วยิ่งเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอย่างลูกเธอจะไปหาเงินมาจากไหน
“คุณแม่ว่าน้องเก่งไหม” เด็กชายตอบเธอกลับด้วยคำถาม แพรวาพยักหน้าให้ลูกชายแทนคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่แค่เชื่อใจน้องรันต์ก็พอ”
+++++++++++++++++
คิดถึงจัง เหมือนไม่ได้เจอกันนานมากกกกก แต่ก็แวะมาสิงที่นี่เรื่อยๆแหละ
เดือนนี้สาหัสเหลือเกิน ไม่มีเวลามาแจ้งข่าวเลย จริงๆจะลงพรุ่งนี้สองตอนรวด แต่ทนคิดถึงคนอ่านไม่ไหว พรุ่งนี้จะมาอีกตอนนะคะ เป็นตอนจบของพาร์ทอดีตแล้ว
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ จุ๊ฟ
