ตอนที่7
ได้รับอนุญาตให้เข้าพบองค์ราชาเป็นการส่วนตัวในห้องอักษร เอเดรียนสงสัยอยู่ครามครันต่อการถูกเรียกกลับมาอย่างเร่งด่วนในขณะเดียวกันก็พยายามคาดเดาเหตุผลที่ถูกเรียกพบแบบลับๆเช่นนี้
“ได้ข่าวว่าเจ้ารีบกลับมาขณะอยู่ระหว่างเคลื่อนทัพสินะ”
“ครับ” ตอบรับคำถามด้วยเสียงแข็งขัน ราชาธีโอดอร์นิ่งเงียบอยู่หลายอึดใจก่อนจะเอ่ยปากพูดกับเอเดรียน
“เจ้าคิดว่าสงครามครั้งนี้เรามีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน”
ถูกถามแบบนี้แม้แต่เอเดรียนก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร ถึงแม้ตัวเขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองและคนในเผ่า แต่เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นสามารถผลิกแพลงผกผันได้ตลอด
“เจ้าเคยได้ยินชื่อพ่อมดนามมอร์โด ลาปิสหรือไม่”
“เคยได้ยินครับ”
เจ้าคิดว่าจะสามารถกำราบพ่อมดชั่วนั่นได้ด้วยมือของเจ้าหรือไม่” ตอนนี้ราชาธีโอดอร์ทำหน้าปั้นยาก ถึงตรงนี้
เอเดรียนเริ่มจะรู้จุดประสงค์ที่ถูกเรียกตัวมา
“พระองค์กังวลหรือครับ” ราชานิ่งไปอีกอึดใจ เอเดรียนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดผ่านทางสีหน้า
“หากเป็นเพียงแค่คำลือข้าคงไม่หวาดกลัวเช่นนี้ แต่นี่ข้าประสบมาด้วยตัวเอง....”
ราชานิ่งเงียบไปอีกครั้ง ตอนนี้เอเดรียนบรรลุแล้ว ราชาธีโอดอร์คงหวาดกลัวต่ออำนาจเวทย์มนต์ของมอร์โด ลาปิส กลัวจนถึงกับต้องหาใครซักคนเป็นที่พึ่ง คนคนนั้นก็คือเขากับชนเผ่าวูฟ
“หากว่าเจ้าสามารถทำให้อาณาจักรเราชนะสงครามหรือกำจัดมอร์โด ลาปิสได้ข้าจะให้รางวัลที่เจ้าปรารถนาหนึ่งอย่างเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร”
เอเดรียนยิ้มกริ่ม ราชายื่นเงื่อนไขว่าจะให้รางวัลที่เขาปรารถนาได้หนึ่งอย่างแถมยังไม่มีข้อแม้ ใจหนึ่งคิดว่าราชาอาจจะพูดเล่นและเนื่องจากไม่มีสัญญาเป็นรูปธรรมและผู้อื่นอยู่ด้วยจึงไม่คิดถือเอาคำพูดนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่กระนั้นหากบอกว่าขออะไรก็ได้ เอเดรียนก็มีสิ่งที่หมายมั่นเอาไว้ในใจอยู่แล้ว
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถครับ” ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เอเดรียนขออณุญาติราชากลับไปยังสนามรบอีกครั้ง ราชาธีโอดอร์เหมือนยังมีคำพูดจะกล่าวกับเขาอีกหลายคำ แต่จนแล้วจนรอดราชาก็ไม่ได้พูดกับเขา
หลังจากไล่ตามกองทัพที่เคลื่อนมาถึงที่มั่นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงจนทัน เมื่อมาถึงพวกทหารชั้นล่างกำลังช่วยกันสร้างค่ายพัก มาถึงไม่ทันไรคนในเผ่าของเขาก็มารายงานว่ารัชทายาทเรียกประชุมแม่ทัพนายกอง
“โอ้เจ้ามาแล้วหรือเอเดรียน” เจ้าชายรัชทายาทฉีกยิ้มกว้าง เอเดรียนไม่รอช้าเดินตรงไปนั่งบริเวณที่ว่างที่ยังเหลืออยู่
การประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมที่สำคัญเพราะเป็นการกำหนดกลยุทธที่จะทำต่อไปหลังจากตั้งค่ายเสร็จ
เนื้อหาการประชุมที่คร่ำเคร่งมีการพูดถึง มอร์โด ลาปิส อยู่หลายครั้ง ภายในห้องประชุมเอเดรียนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของเหล่าแม่ทัพนายกอง
“หากว่าเราวางยาพิษในแหล่งน้ำที่พวกมันดื่มกินและครับ” เอเดรียนหันไปหาผู้เสนอแนะแผนการ คนคนนั้นไม่ใช่ใครนอกจากไอแซค บาร์ตัน คนที่มักจะติดสอยห้อยตามอเล็กเซียอยู่เสมอ
สำหรับเอเดรียนนั้นการวางยาพิษในแหล่งน้ำอาจเป็นแผนการที่ดี แต่หากสังเกตุภูมิประเทศให้ดีจะรู้ว่าแหล่งน้ำที่พวกศัตรูใช้นั้นทอดยาวเป็นสายเดียวไปจนถึงแหล่งน้ำในเมืองหลวงทั้งยังเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำเล็กๆที่อยู่ในป่าดำ
หากจะวางยาพิษต้องใช้ยาพิษไร้กลิ่นไร้สีและรสซึ่งสิ่งนั้นหาได้ยากมาก นอกจากนั้นยังต้องใช้ปริมาณมากเพราะไม่รู้ว่าพิษจะเจือจางไปมากแค่ไหนในกระแสน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นการวางยาพิษในปริมาณมากพิษในน้ำอาจกระจายไปทั่วจนถึงแหล่งกินใช้ในเมืองและป่าดำ ข้อเท็จจริงทั้งดีและร้ายที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์นี่เป็นสิ่งที่ทำให้แผนการณ์ของไอแซคบาร์ตันเป็นแผนการณ์ที่ไม่เหมาะสมรัดกุมด้วยประการทั้งปวง
“ข้าขอคัดค้านครับ” สายตาทุกคู่ในห้องประชุมมองมาที่เอเดรียนเป็นหนึ่งเดียว ไอแซคบาร์ตันถลึงตามองเขาด้วยสายตาขัดเคือง
“ท่านเอ่ยค้านแบบนี้คงมี แผนการที่ดีกว่าและเหตุผลใช่หรือไม่” ไอแซค บาร์ตันร้องถามด้วยใบหน้าท่าทางเอาเรื่องเสียจนเอเดรียนนึกขำ รู้ตัวอยู่ว่าได้เพิ่มความแค้นที่อีกฝ่ายมีต่อตนไปอีกหนึ่งเรื่อง แต่ทุกเรื่องที่ทำให้ถูกเกลียดล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้ตั้งใจทั้งนั้น
“ไหนเจ้าลองเสนอแนะมาสิเอเดรียน” เจ้าชายรัชทายาทเปิดโอกาสให้เขาได้พูด เอเดรียนเริ่มเล่าถึงข้อเท็จจริงที่เขาประเมินการไว้ในใจให้ทุกคนในที่ประชุมฟัง ไอแซคบาร์ตันนั้นยิ่งได้ฟังก็ยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่เอเดรียนมิได้สนใจท่าทางที่น่ารำคาญนั้นแม้แต่นิดเดียว
“ข้าเสนอให้บุกโจมตีเร็วครับ ฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเรายังไม่จู่โจม ส่งคนลอบปีนค่ายของพวกมันเข้าไปป่วนจากด้านในแล้วเปิดประตูให้พวกเราที่ด้านนอกบุกเข้าตีค่ายอีกแรง”
ข้อเสนอของเอเดรียนทำให้เหล่าแม่ทัพนายกองเริ่มหันไปปรึกษากันเป็นการใหญ่ สุดท้ายหนึ่งในแม่ทัพทั้งหมดก็มีคำถามต่อเขา
“แล้วจะให้ใครเสี่ยงปีนค่ายเข้าไปป่วนพวกมันล่ะ งานอันตรายแบบนี้ต้องใช้ทหารที่มีฝีมืออย่างมาก” เหล่าผู้คนในห้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว โดยเฉพาะไอแซค บาร์ตันที่กระตือรือร้นที่จะฟังมากกว่าใครเขาเพื่อน
“ข้ากับชาวเผ่าของข้าจะจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เองครับ”
“แล้วเจ้าจะเริ่มแผนการเมื่อไหร่” เจ้าชายรัชทายาทถาม
“คืนนี้เลยครับ”
“ฝ่าบาท แต่พวกทหารของเรากำลังตั้งค่ายอยู่ เราควรจะตั้งค่ายพักให้เสร็จก่อนไม่ดีหรือครับ” ไอแซค บาร์ตันเสนอความเห็นอีกครั้ง เจ้าชายรัชทายาทนิ่งคิดอยู่หลายอึดใจก่อนจะหันมาพูดกับเอเดรียน
“เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถทำให้พวกมันปั่นป่วนแล้วเปิดประตูค่ายให้พวกเราเข้ายึดได้โดยง่าย” เอเดรียนยิ้มกริ่มต่อคำถาม
“หากว่ารัชทายาทไว้ใจพวกข้า ข้าจะขอทำอย่างสุดความสามารถครับ” สิ้นคำพูดของเขาเหล่าแม่ทัพนายกองมากมายต่างมีความคิดเห็นหลายรูปแบบ บางคนเห็นด้วยกับแผนการโจมตีเร็วของเขา บางคนเห็นว่าควรตั้งค่ายเพื่อหาที่มั่นเอาไว้เสียก่อนที่จะทำอย่างอื่น
ดังนั้นเจ้าชายรัชทายาทจึงใช้การลงคะแนนเพื่อตัดสินใจ ผลที่ได้ผู้ที่เห็นด้วยกับแผนการณ์ของเอเดรียนมีมากกว่าถึงสามในห้า ด้วยเหตุนี้แผนการถึงได้เริ่มต้นขึ้น พวกทหารชั้นล่างหยุดการสร้างค่ายพักและเริ่มต้นพักผ่อนก่อนจะเตรียมพร้อมโจมตีในยามค่ำคืน
เมื่อเวลาผ่านไปจนตะวันลับขอบฟ้า เจ้าชายรัชทายาทเคลื่อนทัพอย่างเงียบเชียบไปในเวลาดึกสงัดก่อนจะหยุดการเดินทัพในจุดที่เหมาะสมที่สุด
“หวังว่าพวกท่านคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ” เจ้าชายรัชทายาทกำชับเอเดรียนกับพวกหนุ่มๆในเผ่าวูฟ หลังจากให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด เอเดรียนกับคนในเผ่าก็ออกเดินทางเพื่อไปยังค่ายของพวกศัตรู
“ไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้วนะ เอเดรียน” ไนเจลกระซิบให้เอเดรียนฟัง ชายหนุ่มรู้ว่าไม่แค่เพื่อนสนิทของเขาที่ตื่นเต้นเท่านั้น หนุ่มๆในเผ่าที่มาด้วยก็ฮึกเหิมจนถึงที่สุดเช่นกัน
“นั่นสิ เผ่าเราไม่ได้ออกรบมานานเท่าไหร่แล้วนะ” เอเดรียนพึมพำกับตัวเอง
“นับตั้งแต่เราขับไล่พวกนอกรีตออกจากอาณาจักรอเล็กซานเดรีย แต่ก็นั่นแหละพวกนอกรีตพวกนั้นไม่พอมือพวกเราด้วยซ้ำ” พวกชายหนุ่มในเผ่าส่งเสียงเห็นด้วยต่อคำพูดของไนเจล เอเดรียนส่งสัญญาณปรามสั่งให้พวกหนุ่มๆเงียบเสียง ตอนนี้พวกเขาเคลื่อนกายอย่างเงียบเฉียบมาใกล้กำแพงค่ายแล้ว
“บุกจู่โจมอย่างรวดเร็ว และจงอย่าลืมนอกจากจะฆ่าพวกศัตรูให้ได้มากที่สุดใครซักคนต้องพังประตูค่ายส่งสัญญาณให้เจ้าชายรัชทายาทเคลื่อนทัพ”
สิ้นคำพูดเหมือนจะเข้าใจกันได้โดยสัญชาติญาณ เอเดรียนและคนในเผ่ากลายร่างเป็นหมาป่าตัวเขื่อง ในจำนวนของหมาป่าทั้งหมดเอเดรียนตัวใหญ่ดุดันกว่าใครและนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คนในเผ่าพร้อมใจกันเลือกเขาเป็นหัวหน้า
“โบรว” หมาป่าหนุ่มบางตัวเผลอตัวหอนตามสัญชาติญาณ ไนเจลในร่างหมาป่าคำรามในลำคอเตือนมิให้หมาป่าตัวอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ไป” เอเดรียนในร่างหมาป่ายักษ์สีดำพูดภาษามนุษย์ก่อนจะออกวิ่งนำหน้ากระโจนข้ามกำแพงค่ายเข้าไปสู่ด้านในอย่างรวดเร็ว หมาป่าตัวอื่นวิ่งตามมาด้วยความเร็วที่พยายามที่จะไล่ให้ทันหัวหน้าฝูง
เมื่อหมาป่าทุกตัวเข้าสู้ภายในค่ายก็เริ่มละเลงเลือดด้วยการไล่ฆ่าพวกทหารยาม เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความกลัวดังคู่กับเสียงเห่าหอนของหมาป่า หมาป่าบางตัวใช้วิธีการคาบคบเพลิงแล้วโยนเข้าใส่กระโจมเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในค่าย
“ไนเจลเจ้าพาพวกเราไปสองสามคนพังประตูค่ายแล้วส่งสัญญาณเสีย” เอเดรียนออกคำสั่งก่อนจะเริ่มต้นไล่ฆ่าทหารของศัตรูอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังตามหากระโจมที่พักที่หรูหราที่สุด เนื่องจากเดาโดยสัญชาติญาณว่านั่นต้องเป็นกระโจมของมอร์โด ลาปิส
ในที่สุดเขาก็พบจนได้ หมาป่าหนุ่มใช้ขาหน้าแหวกประตูกระโจมก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไป โดยไม่ทันตั้งตัวลูกบอลเพลิงขนาดเล็กหลายลูกพุ่งเข้าหาเขาจากด้านหน้า เอเดรียนโดดหลบถอยหลังเพื่อให้พ้นจากรัศมี
“ไม่มีใครบอกข้าเลยว่าพวกวูฟจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย” ชายหัวล้านวัยสี่สิบปลายๆเอ่ยกับเอเดรียน ในมือของคนผู้นั้นถือดาบสีทองเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณชวนให้หวาดระแวง
“ข้าเคยเห็นพวกวูฟมามาก แต่ไม่เคยเห็นตัวไหนใหญ่โตเท่าเจ้ามาก่อน หากจับมาเป็นทาสรับใช้ได้คงดีไม่น้อยนะ” เอเดรียนดาว่าคนหัวล้านนี่คงเป็นมอร์โด ลาปิส ไม่น่าจะผิดพลาด เมื่อพบคนที่ตัวเองหมายหัวโดยง่ายหมาป่าหนุ่มแสยะเขี้ยวหัวเราะชอบใจ
“มาเป็นข้ารับใช้ของข้าเสียเถอะ” ชั่ววินาทีที่มอร์โดลาปิสพูด ดวงตาของมันเปล่งแสงสีแดง เอเดรียนเข้าใจว่าคงจะเริ่มร่ายมนต์สะกดบางอย่าง
“กรร” เอเดรียนขู่คำราม มนต์สะกดเหมือนจะใช้ได้ผลกับเขาอยู่บ้างเล็กน้อยในลักษณะที่ทำให้ปวดหัวจี๊ดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมอมเมาให้เขาทำตามคำสั่งได้ อาการงุนง่านของเขาคงทำให้มอร์โดได้ใจ เจ้าเฒ่านั่นเดินเข้ามาประชิดที่ร่างของเขาก่อนจะแทงดาบสีทองลงมาที่บริเวณเนินไหล่
“กรร” เอเดรียนคำรามด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ได้สติเต็มที่แล้วจังหวะที่มอร์โด ลาปิสถอนคมดาบออกจากร่างแล้วหัวเราะร่า เอเดรียนก็กระโจนเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงสุด เด็ดหัวพ่อมดผู้ประมาทในตัวเขาออกจากร่าง
เอเดรียนคาบหัวของมอร์โด ลาปิสไว้ในปากทั้งยังไม่ลืมดาบสีทองและฝักที่ดูเหมือนเป็นของหายาก ใช่แล้วน่าจะเป็นของที่หายากมากและผ่านวิธีการทำด้วยเวทย์มนต์อะไรซักอย่าง โดยปกติแล้วพวกวูฟอย่างเขาจะสมานแผลจากอาการบาดเจ็บได้เร็วมาก แต่ชายหนุ่มรู้ว่าแผลที่ได้รับครานี้ไม่สามารถรักษาตัวได้ง่ายๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ท่ามกลางความโกลาหลในที่สุดกองทัพของรัชทายาทก็มาถึง ทหารของเจ้าชายไล่ฆ่าเผาและทำลายค่ายของศัตรูจนไม่เหลือชิ้นดี หลังจากการต่อสู้จบลงเอเดรียนได้มอบหัวของมอร์โด ลาปิสให้กับเจ้าชายรัชทายาท ธีโอดีใจจนสัญญากับเขาว่าจะร้องขอรางวัลจากราชาให้อย่างงาม
“เจ้าต้องการอะไรเป็นรางวัล หากเราให้ได้เราจะให้ทุกอย่าง” ธีโอเสนอรางวัลส่วนตัวให้แก่เขา อเล็กเซียได้แต่ยิ้ม พ่อลูกคู่นี้ให้เขาขอสิ่งที่ต้องการได้ตามใจชอบ ไม่รู้ว่าหากเขาพูดขอออกไปทั้งคู่จะให้ตามที่เขาขอหรือเปล่า แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาเกรงใจไม่กล้าร้องขอจากคนทั้งคู่
“เจ้าชายอณุญาติให้ข้าขอสิ่งใดก็ได้เหมือนกับที่องค์ราชาพูดกับข้าเลยครับ เอาไว้ให้ข้าลองคิดดูซักหน่อยก่อนแล้วข้าจะแจ้งต่อหน้าองค์ราชาแน่นอนครับ”
“ท่านพ่อก็สัญญาว่าจะให้อะไรเจ้าตามที่ขออย่างหนึ่งด้วยหรือ” เจ้าชายรัชทายาทดูแปลกใจ ธีโอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“เอาเถอะเจ้าไปพักผ่อนเถอะเอเดรียน ก็ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ขอในสิ่งที่เราพ่อลูกให้ไม่ได้นะ” เอเดรียนลอบแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ สิ่งที่เขาจะขอนั้นไม่ใช่สิ่งที่หามาไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนจะยกสิ่งนั้นให้ข้าหรือเปล่า ถึงแม้จะรู้ว่าโอกาสได้มาย่อมไม่ง่าย แต่เอเดรียนนั้นไม่หวั่นเกรงที่จะเอ่ยปากขอสิ่งนั้นจากราชาและรัชทายาท เมื่อมีโอกาสย่อมต่องไขว่คว้ามาดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ บางทีนี่อาจเป็นหนทางที่อาจจะทำให้เขาได้มาในสิ่งที่ปรารถณาก็เป็นได้
ฉากรบนี่เขียนออกมาได้ดีสุดแค่นี้จริงๆTT
รับกันได้ไหม รู้สึกอายที่เขียนออกมาแบบนี้
แต่นี่คิดจนปวดหัวเลยนะ
เม้นให้กำลังใจกันบ้างน้า
คิดว่าผู้อ่านหลายคนอ่านตอนนี้แล้วต้องเดาตอนต่อไปได้แน่ๆเลย