Chapter 23 : ตัดสินใจขบวนของบาร์ดอฟเคลื่อนออกไปจากปราสาทโดยที่มีกองทหารของแบร์กไฮม์ขนาบด้านหน้าและหลัง ไฮน์ริชกับยาคอปเดินทางไปพร้อมกับทหารกองหน้า คาร์ลอยู่ในกองหลัง ส่วนอาเธอร์กับลูคัสไม่ได้ไปด้วย หลังจากทุกขบวนออกไปพ้นเขตปราสาทแล้วทั้งสองจึงไปนั่งพักผ่อนกันที่ศาลาในสวนกุหลาบ
“อากาศเย็นไปสักหน่อย แต่หลังจากท่านบาร์ดอฟกลับไปได้ ข้าก็อยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์เยอะๆ” อาเธอร์พูดกลั้วหัวเราะ “เจ้าทำหน้าที่ได้ดีมากนะลูคัส สมแล้วที่ท่านคาร์ลเลือกเจ้า”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดของหญิงสาว เขายังไม่ทันได้เปลี่ยนอีกฝ่ายก็เอ่ยปากชวนออกมาเดินเล่น และชุดนี้ถึงจะหนักแต่ก็อุ่นดีไม่น้อย เขาจึงไม่ปฏิเสธ
“มีเจ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านคาร์ล ข้ากับท่านวิลแฮล์มจะได้สบายใจ อีกสักสองสามวันข้าก็ควรจะเดินทางกลับได้ละ”
“ท่านวิลแฮล์ม” ลูคัสเปรย “ท่านอาเธอร์เดินทางมาหลายวัน ส่วนท่านคาร์ล ท่านไฮน์ริชกับท่านยาคอปก็ไม่อยู่ อย่างนี้ท่านวิลแฮล์มคงเหงาแย่เลยนะครับ”
อาเธอร์พยักหน้า “ใช่ ไม่เพียงแค่เหงา แต่ท่านยังเป็นห่วง เป็นกังวลตลอดเวลา เกรงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านคาร์ล เพราะแบร์กไฮม์อยู่ใกล้กับโรเซนไฮม์ของท่านบาร์ดอฟมากที่สุด ข้าจึงต้องนำกองทหารมาเสริมให้”
“แต่ว่าท่านพาทหารมามากมาย แล้วอย่างนี้ทหารที่อยู่กับท่านวิลแฮล์มก็เหลือไม่มากน่ะสิครับ”
“ทหารในกองก็มีลดลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรเมืองไฮเดลแบร์กก็อยู่ในอาณาเขตล้อมที่ไว้ด้วยพันธมิตร ถ้าหากจะมีข้าศึกบุกเข้ามาก็ต้องผ่านเมืองอื่นก่อนอยู่ดี การกระจายกำลังทหารก็เป็นสิ่งสำคัญ แคว้นของเราก็เหมือนบ้าน เมืองชายแดนก็เหมือนกำแพง ต้องมีกำแพงที่ดีเพื่อปกป้องตัวบ้านอย่างไรกันล่ะ”
ลูคัสพยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจแล้วครับ แต่พอพูดถึงกำแพง...” เขาหยุดแล้วหันมองไปยังกำแพงหินของปราสาท “ผมว่ากำแพงปราสาทแบร์กไฮม์ยังไม่แน่นหนาสักเท่าไหร่”
“เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ ท่านคาร์ลกับข้าก็คิดเช่นเดียวกัน นี่ท่านบาร์ดอฟคงจะหัวเราะเยาะอยู่ในใจ เพราะกำแพงปราสาทของท่านบาร์ดอฟแข็งแกร่งเป็นที่เลื่องลือ ทั้งสูงใหญ่แล้วก็มีถึงสามชั้น แทบจะไม่มีทางบุกฝ่าเข้าไปได้เลยทีเดียว”
“แทบจะไม่มีทางแต่ก็ยังมีทางใช่ไหมครับ กำแพงน่ะ ต่อให้แน่นหนาแค่ไหน ถ้าหากมีปืนใหญ่ก็พังได้”
“เจ้ารู้จักปืนใหญ่ด้วยหรือ” อาเธอร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ “ข้าเคยได้ยินคำเล่าลือมาบ้าง มันเป็นอาวุธที่พระเจ้าประธานมาให้ใช้ปกป้องเมืองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
“ท่านหมายถึง... กรุงโรมสินะ”
“โอ้ เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลย”
ลูคัสนิ่งคิด ถ้าหากไม่มีปืนใหญ่ การทลายกำแพงหินสูงๆ ก็คงจะเป็นเรื่องยาก ทหารที่จะบุกเข้าไปก็ต้องปีนกำแพงปราสาท ต้องต่อสู้กับหอกดาบและธนูจากข้าศึกบนกำแพง ทหารที่จะรอดข้ามกำแพงไปได้คงจะเหลือน้อย แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับข้าศึกในกำแพงอีก
“แคว้นของท่านบาร์ดอฟคงจะเข้มแข็งมากสินะครับ”
“ลำพังทหารในกองทัพก็ไม่เท่าไหร่ แต่การที่จะบุกเข้าไป กว่าจะผ่านปราการของปราสาทเข้าไปได้ก็ไม่รู้จะเหลือทหารสักกี่นาย ฝ่ายรุกเสียเปรียบกว่ามากน่ะ เพราะอีกฝ่ายมีที่กำบัง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะเอาชีวิตของพวกทหารเข้าไปเสี่ยง”
ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้ม “สมแล้วที่ท่านเป็นคนสั่งสอนท่านคาร์ลมา และผมก็คิดว่าท่านคาร์ลคงได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาจากท่านวิลแฮล์มด้วย พวกท่านไม่เหมือนพวกขุนนางที่ผมเคยได้ยินมาเลย ชาวเมืองในแคว้นนี้โชคดีมากๆ”
อาเธอร์หัวเราะ “เจ้านี่ช่างฉลาดพูด” เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “เมื่อบ้านเมืองสงบ ท่านคาร์ลคงจะได้พาเจ้าไปพบท่านวิลแฮล์ม ท่านคงจะโปรดเจ้ามากเลยทีเดียว”
รอยยิ้มน่ารักค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนๆ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านคาร์ลจะแนะนำตัวเขากับผู้เป็นบิดาว่าอย่างไร จะว่าไปทั้งน้องชายและอาจารย์ของอีกฝ่ายก็คงคิดว่าเขาเป็นมือขวาของท่านคาร์ลอย่างที่ลอร์ดหนุ่มเคยบอกกับพวกทหารและพวกชาวเมืองไว้
“มีอะไรรึ หรือว่าเจ้าหนาวแล้ว”
“เปล่า... เปล่าหรอกครับ”
“จริงสิ ดื่มชาร้อนๆ กันสักหน่อยดีกว่า” อาเธอร์หันไปกวักมือเรียกสาวใช้มาสั่งชากับอาหารว่าง ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นก็มีนายทหารคนหนึ่งนำจดหมายเข้ามาส่งให้
ระหว่างที่รอให้อาเธอร์อ่านจดหมายเสร็จ เด็กหนุ่มจึงคิดว่าจะไปพาลูห์กับลาห์มาเล่นด้วยสักหน่อย “ถ้างั้นเดี๋ยวผมมานะครับ ขอไปพาลูห์กับลาห์มาที่นี่ด้วย”
อาเธอร์พยักหน้า “เอาสิ รีบไปรีบมาล่ะ”
...
.....
...
กองทัพของลอร์ดหนุ่มหยุดอยู่ที่ตรงประตูกำแพงเมือง และก่อนกองทัพของบาร์ดอฟจะข้ามเขตแดนออกไป เขาก็ก้าวลงมาจากรถม้าเพื่อบอกลา
บาร์ดอฟเดินเข้ามายืนประจันหน้ามาควิสแห่งแบร์กไฮม์ ก่อนจะยื่นมือมาสัมผัส เขายิ้มร้าย “ไม่มีอะไรที่ข้าต้องการแล้วจะไม่สมหวัง อะไรที่สวรรค์ประทานมาให้ข้า ก็ต้องเป็นของข้าอยู่วันยังค่ำ ขอให้ท่านคาร์ลจงจำคำข้าไว้ให้ดี”
คาร์ลขมวดคิ้ว นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ หากก็ยังพยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉย เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนรอให้กองทัพของบาร์ดอฟข้ามผ่านเขตเมืองไป
“ข้าว่ามันแปลกๆ นะท่านพี่”
“ลูคัส” คาร์ลกัดฟันกรอด “ลูคัสกำลังตกอยู่ในอันตราย ดาบสั้นอันนั้น!” ลอร์ดหนุ่มก้าวขึ้นหลังม้า พร้อมกับตะโกนสั่งน้องชายทั้งสองที่มาด้วยกัน “พวกเจ้าจงนำทหารกลับปราสาทด้วย”
“ขอรับท่านพี่!”
คาร์ลเตะสีข้างม้าอย่างแรงให้มันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีองครักษ์ทั้งสองติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
..
.....
..
ลูคัสรีบรุดตรงไปยังประตูทางเข้าทางด้านข้างของปราสาท โดยมีทหารนายหนึ่งติดตามไปด้วย ขณะที่เดินไปก่อนจะถึงทางเข้าประตู เด็กหนุ่มสังเกตเห็นใครบางคนนอนอยู่บนพื้นในดงของพุ่มกุหลาบ เขาจึงหยุดมองดู “ใครมานอนอยู่ตรงนี้น่ะ”
“นั่นสิขอรับ” นายทหารก้าวเข้าไปใกล้ เขาก้มลงพิจารณาคนที่นอนอยู่ ส่วนลูคัสเองก็สงสัย เขาจึงเดินตามเข้าไปดูใกล้ๆ
“เป็นลมหรือ อะ!” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง เพราะจู่ๆ คนที่นอนนิ่งก็ลุกขึ้นพรวด แล้วใช้ดาบสั้นแทงนายทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ท่าน... ลูคัส... หนี...” นายทหารพูดไม่ทันจบประโยคก็ทรุดกายลงบนพื้น เลือดสีแดงฉานหลั่งไหลออกมามากมาย
ลูคัสอ้าปากค้าง เขาหันหลังขวับแล้ววิ่งหนี ทว่าชุดของหญิงสาวที่ทั้งยาวรุ่มร่ามและหนักอึ้งทำให้ขยับได้ไม่ทันใจนัก ยังไม่ทันไรชายคนร้ายก็คว้าตัวเขาไว้ได้ มันใช้ผ้าที่มีกลิ่นแปลกประหลาดปิดจมูกของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้อีก หากก็ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ครบ
ชายคนร้ายอุ้มร่างโปร่งขึ้นพาดบ่า จับเด็กหนุ่มใส่ลงในถังเบียร์เปล่าแล้วนำไปวางรวมกับถังเบียร์อื่นๆ บนหลังรถม้า จากนั้นก็เคลื่อนรถออกจากปราสาท หากที่ประตูทางออกพวกทหารสั่งให้หยุดรถเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยจึงเสียเวลาไปอีกพักใหญ่ ทว่าก็ไม่มีใครนึกเปิดถังเบียร์ดู
เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไปพ้นเขตปราสาท ลูคัสเริ่มขยับตัวได้เล็กน้อย เขาสูดกลิ่นแปลกประหลาดนั่นเข้าไปไม่มากนัก เพราะพอได้กลิ่นแปลกๆ ก็รีบกลั้นหายใจ หากก่อนหน้าก็สูดเข้าไปเฮือกหนึ่งแล้ว
อึดอัด... คลื่นไส้ชะมัด
เด็กหนุ่มหันมองไปภายในถังเบียร์อย่างเชื่องช้า มันแคบเสียจนแทบขยับตัวไม่ได้แล้วก็มืดมาก เขาได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดเจน
ความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลองเอามือดันตัวถังเบียร์จากภายในอยู่หลายครั้งแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหอบหายใจหนักๆ
“ท่านคาร์ล ช่วยผมด้วย” ลูคัสครางเสียงแผ่ว ก่อนจะลดมือลงกอดลำตัวไว้ “พ่อแม่ ไอแซ็ก ผมจะทำยังไงดี” น้ำตาอุ่นๆ รื้นขึ้นมาเอ่อคลอหน่วยตา หากเด็กหนุ่มยับยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ร้องไห้
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสลำคอช้าๆ เมื่อคลำจนพบล็อกเกตก็กุมไว้ในฝ่ามือ “ท่านคาร์ล” เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น พยายามสงบสติอารมณ์แล้วคิดหาวิธีเอาตัวรอด
ดูเหมือนคนร้ายจะต้องการพาเขาไปส่งต่อให้ใครเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงปลิดชีวิตเขาไปแล้ว แต่ถ้าให้เดาว่าจะนำไปส่งให้ใครก็ไม่น่าจะยาก คงจะเป็นคนที่เพิ่งจะกลับไปไม่นาน
เขาไม่ยอมแพ้ไอ้บ้านั่นแน่นอน
ลูคัสเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ ในเมื่อตัวเขาอยู่ในถัง ฝาเปิดก็น่าจะอยู่ด้านบน
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ มือเรียวพยายามผลักฝาถังเบียร์ออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มี บนหลังรถม้าก็โคลงเคลงจนมึนงงไปหมด ใช้เวลาอยู่พักใหญ่จึงผลักฝาถังเบียร์ออกไปได้ เขาเผยอริมฝีปากหอบหายใจหนักๆ พอมองออกไปข้างนอกฟ้าก็มืดเสียแล้ว และรถม้านี่ วิ่งมาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
ลูคัสหันมองซ้ายขวาหาอะไรที่พอจะนำมาใช้เป็นอาวุธได้ ก่อนจะนึกออก มือเรียวคลำไปที่ผ้าผูกเอว แล้วหยิบดาบสั้นที่ได้รับมาจากบาร์ดอฟขึ้นมา มันคมกริบเลยทีเดียว เขาหันไปทางหน้ารถม้า ใช้ดาบกรีดผ้าให้เป็นช่องว่างแล้วจึงเห็นว่ามีชายคนร้ายเพียงคนเดียวนั่งอยู่ตรงที่คนคุมม้า มีตะเกียงน้ำมันห้อยลงมาจากหลังคารถม้าอยู่ข้างตัว
ภายในรถม้ามีถังเบียร์ตั้งวางเรียงกัน แต่ละถังผูกเชือกยึดติดกันไว้ ส่วนด้านหลังรถม้ามีไม้กั้นแล้วปิดทับด้วยผ้าอีกชั้น
เด็กหนุ่มถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาออกเพื่อให้ขยับตัวได้สะดวกขึ้น ก่อนจะขยับไปดึงไม้กั้นที่ปิดหลังรถม้าออก ใช้มีดกรีดผ้าคลุมทับให้ขาด แล้วเอื้อมมือไปตัดเชือกที่ผูกถังเบียร์ไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ถีบถังเบียร์ออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ได้ผล รถม้าหยุดทันควัน ลูคัสรอให้คนร้ายลงจากตรงที่นั่งเพื่อเดินวนมาตรวจดูทางด้านหลังรถก่อนจึงค่อยกรีดผ้าที่ด้านหน้าให้ขาดพอที่ตัวเขาจะคลานออกไปตรงที่นั่งคนคุมม้าได้ มือเรียวคว้าตะเกียงมาแล้วจัดการถอดเชือกคล้องม้าออก เขาปีนขึ้นไปนั่งบนม้าตัวหนึ่ง ตีก้นม้าอีกตัวก่อนจะเตะสีข้างม้าตัวที่นั่งอยู่ให้วิ่งออกไปพร้อมกัน
“วิ่งเร็ว วิ่งไปเลย!” เด็กหนุ่มกุมบังเหียนม้าไว้แน่น เขาได้ยินเสียงคนร้ายตะโกนไล่หลังมา ส่วนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเจ้าอาชาจะพาไปที่ไหน แต่ก็ขอให้ห่างไกลจากคนร้ายมากที่สุด
หลังจากควบม้าวิ่งไปได้พักใหญ่ ลูคัสจึงสั่งให้ม้าลดความเร็วลง เขายกตะเกียงขึ้นหันมองไปรอบๆ เบื้องหน้ามีแต่ต้นไม้แล้วก็ต้นไม้เท่านั้น
เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาช้าๆ สัมผัสผิวแก้ม เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหนาพลางยกมือขึ้นรองรับ อากาศหนาวจับใจจนลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นควัน และในความมืดเช่นนี้ เขาไม่สามารถเดาทิศทางได้เลย
“ฉันจะทำยังไงดี” ลูคัสหันรีหันขวาง เขาลูบแผงคอเจ้าม้าแล้วบอกให้มันเดินต่อไปเรื่อยๆ
สักพักก็พบเข้ากับเพิงที่พวกชาวบ้านสร้างไว้สำหรับเป็นที่พักในยามล่าสัตว์ เด็กหนุ่มจึงรีบพาม้าเข้าไปด้านใน มันเป็นเพิงที่สร้างไว้ง่ายๆ มีแค่เสากับหลังคาสูง หากมีกองไม้ไว้สำหรับก่อกองไฟด้วย เขาจึงใช้ไฟจากตะเกียงน้ำมันมาก่อกองไฟ จากนั้นก็นั่งลงพิงเจ้าม้าไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่กันและกัน
ลูคัสยกแขนขึ้นกอดลำตัว ทั้งหนาวและหวาดกลัว แต่ร่างกายก็อ่อนล้าเต็มที “ท่านคาร์ล... ช่วยผมด้วย” เด็กหนุ่มเอนศีรษะซบลำตัวเจ้าม้า มือกุมล็อกเกตที่เจ้าของชื่อให้มาไว้แนบอก เมื่อรู้สึกอุ่นขึ้นดวงตาก็หรี่ปิดลง
ฝ่ายคาร์ลนั้น เมื่อกลับมาถึงปราสาทก็พบว่าพวกทหารกำลังออกตามหาตัวลูคัสกันให้วุ่น ส่วนอาเธอร์ก็รอเขาอยู่อย่างร้อนใจ ลอร์ดหนุ่มสบถเสียงดัง เขานึกอยากจะฆ่าบาร์ดอฟให้ตายไปกับมือ
“ไปพาลูห์ลาห์มา! เตรียมทหารออกตามหา!”
สุนัขแสนรู้ทั้งสองมีเชือกคล้องปลอกคอไว้ พวกมันวิ่งออกไปทันทีที่ผู้เป็นนายออกคำสั่ง ส่งเสียงร้องงี้ดง้าดราวกับจะขาดใจ
หิมะเม็ดกลมร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้ายามราตรีกาล อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ลอร์ดหนุ่มวิตกกังวลหนักขึ้น เป็นห่วงเด็กหนุ่มจับใจ เขาเร่งฝีเท้าเจ้าม้าให้ไวขึ้นอีก
ระหว่างทางเขาก็พบเข้ากับพวกทหารที่กลับมาพร้อมกับตัวชายคนร้าย พวกเขารายงานว่าเจอชายคนร้ายที่ในป่า มันสารภาพเรียบร้อยว่าใครเป็นผู้สั่งงานมา
“ท่านบาร์ดอฟสั่งให้พาตัวเลดี้อารามิสไปให้ขอรับ”
“เขาต้องการอะไรจากเลดี้ของข้า” ลอร์ดหนุ่มถามเสียงเย็น
“ข้าไม่รู้”
“เจ้าพาอารามิสไปไว้ที่ไหน”
“ข้าไม่รู้”
คาร์ลดึงดาบออกจากฝัก ใช้ปลายของมันจี้ลำคอของคนร้ายไว้แล้วถามอีกครั้ง “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อารามิสอยู่ที่ไหน” หากไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย เขาจึงกดปลายดาบลงไปในผิวเนื้อช้าๆ โดยที่แววตาสีอ่อนไม่สั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ข้าไม่รู้! ข้าไม่รู้จริงๆ ข้านั่งคุมรถม้าอยู่ดีๆ ถังเบียร์ด้านหลังก็ร่วงลงมา พอข้าจอดรถม้า เด็กนั่นก็ขโมยม้าข้าหนีไป!”
“งั้นรึ” ลอร์ดหนุ่มดึงดาบกลับ จากนั้นจึงหันไปสั่งพวกทหาร “ส่งร่างมันกลับไปให้บาร์ดอฟที่ชายแดน” แล้วรีบรุดพาลูห์ลาห์และพวกทหารขี่ม้าออกไป
ลูห์ลาห์เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ส่งเสียงเห่าดังระงม พวกมันได้กลิ่นของลูคัสชัดเจนขึ้นทุกที
เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้า หากเมื่อได้ยินเสียงสุนัขก็สะดุ้งตื่น เขาตะโกนลั่น “ลูห์ ลาห์ ท่านคาร์ล!”
“ลูคัส!”
“ท่านคาร์ล ผมอยู่นี่!”
“ลูคัส ข้าจะไปหาเจ้าเดี๋ยวนี้!”
คาร์ลปล่อยเชือกคล้องลูห์ลาห์ให้พวกมันวิ่งนำออกไปก่อนแล้วจึงเร่งม้าให้วิ่งตามเสียงไป ไม่นานก็เห็นแสงไฟสลัว เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่นั่น
ลอร์ดหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า ในเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มโผเข้าสวมกอด เจ้าลูห์ลาห์ก็ส่งเสียงงี้ดง้าดอยู่ข้างกาย
“ท่านคาร์ล ท่านคาร์ล ฮือ ผมกลัวมากเลย” ลูคัสซุกใบหน้าลงในอ้อมแขนแกร่ง ความหวาดกลัวและความโล่งใจพรั่งพรูออกมากับน้ำตา “ทหารคนนั้น ถูกฆ่าต่อหน้าผม ผมนึกว่ามันจะฆ่าผมไปด้วยซะแล้ว”
แขนแกร่งโอบกอดร่างโปร่งไว้แน่น เขาก้มลงจูบศีรษะเล็ก ค่อยๆ ปลอบจนเด็กหนุ่มหยุดสะอึกสะอื้นไห้อย่างใจเย็น “ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรวางใจบาร์ดอฟเช่นนั้นเลย ดีเหลือเกินที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
“ผมนึกถึงแต่คุณ กลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น
“ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว” คาร์ลเชยคางเรียวขึ้นแล้วจูบซับน้ำตาให้
คำปลอบประโลมและสัมผัสอันอ่อนโยนส่งผ่านความอบอุ่นลึกเข้าไปถึงหัวใจดวงน้อย นัยน์ตาสีเข้มที่ยังมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ ลืมขึ้นสบประสานกับดวงตาสีฟ้าคู่สวย “คาร์ล... ท่านคาร์ล”
เจ้าของชื่อเรียกยิ้มบาง เขาถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแล้วเอามาคลุมศีรษะให้เด็กหนุ่ม “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ปราสาทของเรา”
องครักษ์ทั้งสองหยุดม้าอยู่ห่างๆ พวกเขาก้าวลงจากหลังม้าแล้วสั่งให้ทหารไปเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยในบริเวณนั้น ก่อนจะหยุดยืนนิ่งเมื่อหันไปเห็นภาพของเด็กหนุ่มที่ใบหน้าน่ารักเปื้อนไปด้วยน้ำตา สองแขนกอดรัด ริมฝีปากพร่ำร้องเรียกชื่อของลอร์ดหนุ่ม ฝ่ายผู้เป็นนายของพวกเขาเองก็ไม่ต่างกัน ถ้าหากเป็นเรื่องของลูคัสแล้วก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่ลอร์ดหนุ่มจะอยู่นิ่งเฉยได้
สีหน้าและท่าทางของทั้งสองแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพวกเขาสำคัญสำหรับกันและกันมากเพียงไหน เออร์วินจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน แม้จะปวดหนึบในอก แต่ก็สุขใจและดีใจกับทั้งสองคนด้วย
คอนราดบีบไหล่เพื่อนองครักษ์เบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาสบสายตาแล้วยิ้มบาง
“เตรียมกลับปราสาทกันเถอะ” คอนราดเอ่ย จากนั้นจึงหันไปสั่งให้พวกทหารตรียมม้าที่จะพาผู้เป็นนายและเด็กหนุ่มกลับปราสาทให้พร้อม แล้วก็ให้ไปจับม้าตัวที่ลูคัสพาหนีมาจากโจรกลับไปด้วย
ไม่นานลอร์ดหนุ่มก็อุ้มร่างโปร่งมายังม้าที่เตรียมไว้ แล้วรีบรุดเดินทางกลับไปยังปราสาททันที
ฝ่ายบาร์ดอฟและกองทัพของเขาเดินทางไปพบกับกองทหารที่มารอรับตรงเชิงเขาแล้ว เขาพักอยู่ในเต็นท์เพื่อรอฟังข่าวจากทางแบร์กไฮม์ จนรุ่งเช้าจึงมีทหารนำข่าวมาแจ้ง
“ท่านลอร์ดขอรับ งานที่ท่านสั่งไป...”
“ดาบข้าล่ะ”
“ไม่สำเร็จขอรับ”
“หึ งานแค่นี้ก็ไม่สำเร็จ แล้วมันอยู่ไหน เจ้าไปจัดการปิดปากมันเสีย”
“ทางนั้นจับตัวไว้ได้เสียก่อน พวกเขานำร่างของมันมาทิ้งไว้ที่ชายแดนขอรับ”
“ก็ดี” บาร์ดอฟยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก “ดาบไว้เอาคืนทีหลังก็ได้ ครั้งนี้ข้าก็แค่อยากจะทำให้เจ้าคาร์ลปั่นป่วนเล่นเท่านั้นล่ะ เรื่องสนุกกว่านี้ยังมีอีกเยอะ”
..
.....
..
หิมะโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายตลอดการเดินทางฝ่าความมืดมนอนธการกลับไปยังปราสาท ลอร์ดหนุ่มบังคับม้าด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างคอยตระกองกอดร่างโปร่งไว้แนบกาย อากาศหนาวเหน็บจนลมหายใจที่พ่นออกมากลายเป็นควัน ส่งผลให้เขาเป็นห่วงเด็กหนุ่มในอ้อมแขนจับใจ
เด็กหนุ่มไม่ได้นั่งคร่อมบนหลังม้าเหมือนอย่างเคย เขานั่งหันข้าง ทิ้งสองขาไปทางเดียวกัน สองแขนโอบกอดร่างกายอบอุ่นกำยำไว้ไม่ยอมออกห่าง
“เจ้าหนาวหรือ” คาร์ลก้มลงถามเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกอดตัวเขาแน่น
ลูคัสเงยหน้าขึ้นตอบ “ไม่ครับ ผมควรจะถามคุณมากกว่า”
“ข้าไม่หนาวหรอก เจ้ากอดข้าแน่นขนาดนี้จะหนาวได้อย่างไร”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น พอจะผละออกแขนแกร่งที่กอดรัดตัวเขาอยู่ก็กระชับแน่นขึ้นอีก
“เจ้าไม่กลัวข้าหนาวหรือ”
“เอ่อ...”
“กอดไว้ให้แน่นๆ สิ”
“ก็ได้ เพราะกลัวคุณหนาวหรอกนะ” ใบหน้าน่ารักที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำซุกซบบนแผ่นอก เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นหนักๆ ผ่านเสื้อตัวหนาของเจ้าของอ้อมกอด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ที่ตรงนี้ ในอ้อมกอดอบอุ่นนี่ คือที่ที่ใจเขาปรารถนามากที่สุดแล้ว
คาร์ลหัวเราะเบาๆ ถ้าหากไม่ได้ขี่ม้าอยู่เขาคงจะกอดฟัดลูคัสให้หายมันเขี้ยว แต่แค่ท่าทางของเด็กหนุ่มในตอนนี้ก็ทำให้เขาพอใจมากแล้ว เขาก้มลงจูบศีรษะเล็กเบาๆ แล้วกระซิบบอก “อีกเดี๋ยวก็ถึงปราสาทแล้ว”
ลูคัสพยักหน้าหงึกหงัก “ครับ”
*~TBC~*กรีซซซซ อิตาบาร์ดอฟช่างร้ายกาจ! นี่แค่การกวนประสาทครั้งแรกเท่านั้น แล้วครั้งต่อๆ ไปอีกล่ะ
น้องลูกับทั่นหลอดต้องสู้นะ!!
ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่ะ ช่วงนี้ฮัสกี้เครียดดดดด ทั้งเรื่องสอบและอีกหลายๆ เรื่อง หัวหงอกหมดแว้ว
ฮรือออ /อ้อนขอกำลังใจ