Chapter 18 : ง้อลอร์ดหนุ่มกลับไปที่ห้องนอนของเขาอีกครั้งในยามที่ท้องฟ้ามืดมิด เขาเปิดประตูเข้าไปภายในห้องที่เงียบเชียบ มีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันที่บนโต๊ะหนังสือกับแสงไฟริบหรี่จากเตาผิง บนเตียงนอนที่ควรจะมีร่างโปร่งนอนอยู่กลับว่างเปล่า แต่คนที่ควรจะนอนอยู่บนนั้นกลับไปนอนขดตัวอยู่บนโซฟา
คาร์ลก้าวเข้าไปหา เขาลูบศีรษะเล็กอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าผากที่ยังอุ่นอยู่น้อยๆ เพราะพิษไข้ ลูคัสรู้ตัวว่าไม่สบายหากก็ยังไม่ยอมนอนบนเตียง แล้วยังมานอนไม่ห่มผ้าอยู่บนโซฟาเช่นนี้ ลอร์ดหนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ
“เจ้าไม่อยากแม้แต่จะนอนบนเตียงของข้าเลยหรือ” ในขณะที่เดินไม่ไหว แต่แค่โซฟาก็ยังอุตส่าห์ขอให้ได้เดินมา นี่ถ้าหากอีกฝ่ายแข็งแรงดี คงจะพยายามไปให้ไกลจากเขามากที่สุด
ลอร์ดหนุ่มอุ้มร่างโปร่งไปวางลงบนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้ นิ้วหยาบไล้แก้มสีชมพูระเรื่อช้าๆ ใบหน้าในยามหลับใหลของลูคัสช่างน่ารักและไร้เดียงสา
การที่ต้องตัดใจปล่อยมือจากเด็กหนุ่มไป ทำให้เขารู้ตัวว่าหัวใจอยู่ในกำมืออีกฝ่ายเสียแล้ว
“แต่อีกไม่นานคุณก็ต้องแต่งงาน แล้วผมล่ะ ผมจะอยู่กับใคร”คำพูดของเด็กหนุ่มราวกับมีใจให้เช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายคิดไปเช่นนั้น ทั้งที่เขาก็น่าจะแสดงออกมาชัดเจนว่าต้องการเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มทั้งตัวและหัวใจ อยากให้ยืนเคียงข้างกันในการปกครองดูแลแบร์กไฮม์และแคว้นไฮเดลแบร์กในภายหน้า
“ผม... ผมจะเชื่อคุณได้งั้นหรือ ถ้าหากวันหนึ่งผมหมดประโยชน์ คุณยังจะสนใจผมอีกอย่างนั้นหรือ”เพราะลูคัสคิดว่าเขาต้องการจะใช้ประโยชน์จากเด็กหนุ่มเท่านั้นหรือ ตลอดเวลาที่อยู่เคียงข้างกันมา ลูคัสเห็นว่าเขาเป็นคนที่แย่มากขนาดนั้นเชียวหรือ ลอร์ดหนุ่มถามตนเองอยู่ในใจ
อาจจะเป็นเพราะการที่เขาพยายามกักขังเหนี่ยวรั้งเด็กหนุ่มไว้ให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพียงเพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียอีกฝ่ายไป ทว่าก็จริงอย่างที่ทุกคนเคยพูดไว้ ถ้าหากลูคัสจะไม่ยอมอยู่กับเขาแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็คงจะเหนี่ยวรั้งเด็กหนุ่มไว้ไม่ได้
แต่ถ้าหากต้องปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ...
หัวใจของลอร์ดหนุ่มเจ็บแปลบ เขาเอื้อมมือไปที่โต๊ะไม้แกะสลักตรงหัวเตียง เปิดลิ้นชักหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วเปิดฝาออก มือหยาบหยิบสร้อยคอห้อยล็อกเกตสีเงินซึ่งด้านหน้าฝังมรกตน้ำงามเม็ดใหญ่ไว้ ด้านหลังฉลุเป็นลวดลายมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมาควิสที่หนึ่งแห่งแบร์กไฮม์ที่อยู่ภายในกล่องออกมาสวมให้กับเด็กหนุ่ม
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากได้สิ่งนี้ไหม แต่ข้าก็อยากให้เจ้าเก็บไว้”
สิ่งแทนตัวเขา เด็กหนุ่มเป็นคนฉลาดคงจะเข้าใจความหมายของมันดี และถ้าหากลูคัสตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่างน้อยตราประจำตัวของเขาคงจะช่วยเหลือเด็กหนุ่มได้
คาร์ลก้มลงจูบกลีบปากสีแดงอย่างแผ่วเบาพลางกระซิบบอก “ราตรีสวัสดิ์” จากนั้นจึงลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
องครักษ์ทั้งสองยังคงยืนพูดคุยกับทหารที่ตรงหน้าห้อง พวกเขาขมวดคิ้วอย่างงุนงงที่ผู้เป็นนายเดินกลับออกมาอีกครั้ง
“ท่านคาร์ล”
“ข้าจะไปนอนห้องข้างๆ” ผู้เป็นนายตอบแล้วเดินออกไป
คอนราดก้าวตามหลังผู้เป็นนายไปด้วย “ท่านคาร์ล ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาลูคัสกลับไปที่ห้องของเขา”
“ไม่ต้อง” ลอร์ดหนุ่มตอบแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป ปล่อยให้คอนราดยืนงงอยู่ที่หน้าห้อง
ใช่แล้ว ที่จริงเขาควรจะปล่อยให้ลูคัสกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง แต่... ในช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มยังบาดเจ็บและมีไข้ เขาก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ กับอีกฝ่าย ถึงแม้จะมีผนังห้องกั้นกลางก็ตามที
คาร์ลเดินไปหยุดยืนที่บานหน้าต่าง เขาเปิดออกกว้างให้ลมหนาวพัดเข้ามาภายในห้องแล้วทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าแห่งรัตติกาล หากความหนาวเย็นนั้นไม่ได้ช่วยทำให้ความร้อนรุ่มในหัวใจลดลงไปได้เลย
ในตอนสายของวันใหม่ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาตา ต้นไม้รอบๆ ปราสาทในยามนี้เหลือเพียงแค่กิ่งก้านสีน้ำตาลเข้ม ชวนให้บรรยากาศดูเศร้าและหมองหม่น
เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินเวรยามผ่านไปมาส่งผลให้นัยน์ตาสีเข้มค่อยๆ ลืมขึ้น ลูคัสผงกศีรษะขึ้นมองไปรอบๆ ห้องช้าๆ
เขามานอนบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่?
เด็กหนุ่มยันตัวลุกนั่ง ก่อนจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่คล้องอยู่บนลำคอระหง มือนิ่มประคองมันขึ้นมาพิจารณาดูอย่างระมัดระวัง “ล็อกเกต... สร้อยนี่” ตราที่จารึกอยู่เบื้องหลังล็อกเกตช่างคุ้นตา เขาจำได้ว่าเคยเห็นมันบนบันไดกลางในห้องโถง “มังกร”
ใบหน้าน่ารักหันไปมองลวดลายบนผ้าม่านและที่สลักอยู่ที่โต๊ะ เก้าอี้กับหัวเตียงซึ่งเป็นลวดลายมังกรเช่นเดียวกัน ไม่ผิดแน่แล้ว สร้อยและล็อกเกตนี้คงจะเป็นของท่านลอร์ด
ท่านลอร์ดให้เขาอย่างนั้นหรือ ของที่มีตราของท่านลอร์ดแบบนี้ น่าจะเป็นของสำคัญมากไม่ใช่หรือ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวเล็กน้อย เขาหันขวับไปที่บานประตูห้อง หัวใจเต้นสั่นรัว ใจคิดว่าคงจะเป็นเจ้าของห้องที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ตลอดคืน คนที่เขากำลังนึกถึง...
ทว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาคือเออร์วิน “เป็นยังไงบ้าง ลูคัส ไหนขอข้าดูแผลหน่อยสิ”
“เออร์วินน่ะเอง” เจ้าของชื่อเรียกผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ผิดหวังหรือ”
“ฮะ!? ผิดหวังอะไรครับ! อื้อ! เจ็บ!” มือขาวทุบองครักษ์หนุ่มไปเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายสัมผัสถูกรอยบาดลึกบนท่อนแขน ก่อนจะถูกจับให้เงยหน้าขึ้น
“โชคดีที่รอยบาดบนใบหน้าไม่ลึกเท่าที่แขน เจ้าคงเอาแขนบังไว้สินะ”
ลูคัสเบือนหน้าหลบสายตา “......”
“อยากกลับห้องมั้ย ข้าจะพาไป”
“กลับห้อง?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหน้ากลับไปสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม “ห้องผมน่ะหรือ”
“ใช่”
“กลับได้หรือ”
“ได้สิ ท่านลอร์ดเป็นคนสั่งให้ข้ามาพาเจ้ากลับไป ถ้าเจ้าต้องการ” เออร์วินถอนหายใจหนักๆ “ที่จริง... ถ้าหากเจ้าต้องการจะกลับไปที่ในเมือง ท่านก็อนุญาต”
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ ความหมายของคำพูดเหล่านั้น คือท่านลอร์ดปล่อยให้เขาเป็นอิสระแล้ว แต่ทำไมกลับไม่รู้สึกดีใจเลยล่ะ ความเจ็บเสียดในอกกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
ลูคัสก้มหน้าลงมองมือของตนเองที่ประสานกันไว้ ปลายนิ้วเย็นเฉียบ
“เจ้าไม่กลับไปในเมืองได้ไหม ข้าขอร้อง”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “เออร์วิน...”
“ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่” องครักษ์หนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “ลูคัส ที่คอเจ้า...”
มือขาวกุมล็อกเกตไว้ทันที “นี่ผมไม่ได้ขโมยมานะ ผมตื่นมามันก็อยู่บนคอผมแล้ว!”
“ข้าเชื่อ” เออร์วินเม้มริมฝีปากแน่น เขานิ่งไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น “รักษามันให้ดีล่ะ”
ลูคัสพยักหน้ารับ “นี่... เป็นของสำคัญมากอย่างนั้นสินะครับ”
“ใช่ มันคือเครื่องประดับของมาควิสที่หนึ่งแห่งแบร์กไฮม์”
“ไม่จริง... ทำไม...” หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว แม้จะเข้าใจความหมายของการมอบของแทนตัวให้ หากก็ยังอยากได้ยินจากปากของเจ้าตัวให้มั่นใจ “แล้ว... แล้วท่านลอร์ด ตอนนี้... เอ่อ...”
“ทำไมหรือ”
“คือผม...” เขาสับสนไปหมดแล้ว ทั้งที่เคยอยากมีอิสระ อยากกลับไปหาครอบครัวของมาเรีย อยากกลับบ้านในยุคปัจจุบัน ทว่าในตอนนี้ ทั้งที่ก็ยังไม่กล้าสู้หน้าท่านลอร์ด แต่ก็อยากพบ... อยากพบมากเหลือเกิน อยากจะรออีกฝ่ายอยู่ที่ในห้องนี้
องครักษ์หนุ่มทอดถอนใจ สีหน้ากับท่าทางของลูคัส เขาก็พอจะดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ “เจ้าคิดดูก่อนแล้วกัน แล้วข้าจะแวะมาใหม่ พักผ่อนอีกสักนิดเถอะนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณครับ”
“เจ้าจะไปที่ไหนในปราสาทก็ได้ แต่ต้องให้ทหารตามไปด้วย อย่าไปไหนตามลำพัง มันไม่ดีกับเจ้าและกับใครๆ ทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ” ลูคัสตอบอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงยิ้มบางพร้อมกับจับแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “ขอบคุณมากครับเออร์วิน”
องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก “ข้าต้องไปล่ะ”
เมื่อเออร์วินออกจากห้องไป เด็กหนุ่มจึงลุกเดินไปยังระเบียง จากระเบียงห้องของลอร์ดหนุ่มสามารถมองเห็นสวนและลานโล่งหน้าปราสาทไปจนถึงกำแพงปราสาท เสียงฝีเท้าม้าและทหารดังแว่วมาเป็นระยะๆ เขาเอนตัวพิงราวระเบียงอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าพวกทหารกำลังฝึกฝนงานพิธีอะไรสักอย่าง คอนราดเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ท่าทางดุดันขึงขังกว่าทุกที คงจะมีงานอะไรสำคัญแน่ๆ
ทหารม้าเบื้องล่างตั้งแถวสองฝั่ง เว้นที่ตรงกลางไว้ให้เดินผ่าน สักพักลอร์ดหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับเออร์วิน
พอลูคัสเห็นเข้าก็ย่อตัวหลบหลังราวระเบียง หัวใจเต้นตึกตักเพียงแค่เห็นอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ
เดี๋ยวสิ เขาจะหลบทำไมเนี่ย ท่านลอร์ดอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น
เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นช้าๆ นัยน์ตาสีเข้มจ้องไปที่ลอร์ดหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำสนิท ส่งผลให้เส้นผมสีบลอนด์เด่นชัดขึ้น ท่วงท่าที่สง่างามในการขยับตัวและก้าวเดินสะกดสายตาเขาไว้นิ่ง
มือขาวยกขึ้นวางบนแผ่นอก แรงสะเทือนของหัวใจบ่งบอกได้ชัดเจนว่าตัวเขารู้สึกเช่นไร
“โอย อยากจะบ้า ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” ลูคัสโอดครวญ “แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย” เขาโน้มตัวเท้าแขนกับราวระเบียง มือนุ่มประคองล็อกเกตขึ้นมาดู
“ทำไมคุณถึงให้ของสำคัญแบบนี้กับผม” เด็กหนุ่มยกล็อกเกตขึ้นแนบแก้มแล้วไล้ไปมา ถ้าหากอยากรู้คำตอบของความหมายสร้อยเส้นนี้ เขาก็ควรจะต้องรอถามเอาจากเจ้าของเอง
เขาตั้งใจว่าเมื่ออีกฝ่ายกลับมาที่ห้องในคืนนี้ เขาจะไม่หลบหน้าอีกแล้ว
หากคืนนั้นคาร์ลก็ไม่ได้กลับมาที่ห้อง ทั้งที่เด็กหนุ่มนั่งหลับๆ ตื่นๆ รออยู่ตลอดทั้งคืน
เมื่อถึงเวลาเช้าของวันใหม่ ลูคัสจึงนอนหลับเป็นตาย เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนบ่าย จะออกจากห้องไปก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก ถ้าหากต้องกลับห้องของตัวเอง ตัวเขาก็จะยิ่งห่างไกลจากท่านลอร์ดน่ะสิ
เด็กหนุ่มนั่งรับประทานอาหารที่สาวใช้สองคนนำมาส่งให้ พวกหล่อนถอยไปยืนรออยู่ที่มุมห้องเพื่อคอยรับใช้และนำถาดใส่อาหารไปเก็บ เขาชำเลืองมองพวกหล่อนอยู่หลายครั้งจึงเอ่ยถาม “เอ่อ... ท่านลอร์ดไปไหน ทำไมไม่กลับมาสักที”
“ท่านลอร์ดกำลังเตรียมงานต้อนรับแขกคนสำคัญเจ้าค่ะ อืม... เมื่อเช้าท่านเออร์วินก็แวะมาที่นี่นะเจ้าคะ แต่ท่านลูคัสหลับอยู่เจ้าค่ะ”
“แขกคนสำคัญ?” คงไม่ใช่...
“พรุ่งนี้ท่านอาจารย์ของท่านลอร์ดกับน้องชายของท่านลอร์ดทั้งสองท่านจะเดินทางมาถึงที่นี่เจ้าค่ะ”
ลูคัสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะนึกเอะใจ ทำไมอาจารย์กับน้องชายมาเยี่ยมต้องเตรียมทหารด้วยล่ะ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น สาวใช้อีกสองคนก้าวเข้ามาพร้อมกับห่อผ้าขนาดใหญ่ พวกหล่อนนำมาวางลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม เล่นเอาเขาตกใจว่าตัวเองกำลังจะต้องหอบผ้าผ่อนออกจากปราสาทหรือไม่
“ท่านลอร์ดสั่งให้เตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ท่านเจ้าค่ะ สำหรับใส่ในช่วงที่แขกของท่านมาพักที่นี่”
“ให้ผม?” มือขาวรับห่อผ้ามาคลี่ออก เนื้อผ้าของพวกผ้าที่อยู่ในห่อนั้น ไม่ต้องสัมผัสก็รู้ได้ว่าเป็นผ้าที่ถูกถักทอมาเพื่อใช้ในงานสำคัญ แต่เดี๋ยวก่อน... “ผมต้องไปพบแขกของท่านลอร์ดด้วยหรือ ผมไม่ได้เป็นทหาร ไม่ได้มียศอะไรเลยนะ” แล้วที่สำคัญ เขาไม่อยากจะออกไปจากห้องนี้จนกว่าจะได้พบท่านลอร์ดด้วย
“เอาไว้เผื่อเถอะเจ้าค่ะ เพราะว่าจะมีงานเลี้ยงสำคัญด้วยนะเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มหวาน “เอ้า พวกเจ้าเร่งวัดตัวท่านลูคัสสิ”
“งานเลี้ยงงั้นหรือ” งานเลี้ยงในยุคโบราณ... จะเป็นยังไงนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสนใจ เขาจึงปล่อยให้พวกสาวใช้วัดตัวกันอย่างสะดวก “ทุกคนงานหนักแย่เลยสินะครับ”
“วุ่นวายกันจนแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยเจ้าค่ะ ทั้งเตรียมอาหาร ทำความสะอาด จัดการเครื่องแก้ว จานชาม ไม่ใช่แค่พวกข้า แต่พวกทหารงานหนักกว่ามาก ไหนจะฝึกซ้อม ไหนจะต้องคอยรักษาการณ์ทุกซอกทุกมุม” ในขณะที่วัดตัวไป พวกหล่อนก็ชวนเด็กหนุ่มพูดคุยกันไปด้วย “แต่งานเลี้ยงใหญ่ครั้งนี้น่ะ สำคัญมากเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อต้อนรับท่านอาเธอร์ อาจารย์ของท่านลอร์ด ท่านไฮน์ริชกับท่านยาคอป น้องชายของท่านลอร์ด แต่ยังมี...”
“มีใคร?”
“ท่านบาร์ดอฟน่ะสิเจ้าคะ”
ลูคัสหันขวับ “ท่านอาของท่านลอร์ดน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“เขา... จะมาเมื่อไหร่ มากับใคร”
“ข้าได้ยินมาแค่ว่าท่านบาร์ดอฟมากับกองทัพทหารที่ไม่ได้ใหญ่มากน่ะเจ้าค่ะ จะมาถึงทีหลังท่านอาจารย์กับน้องชายท่านลอร์ดสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่างโล่งใจ เวลานี้เขายังไม่พร้อมจะพบกับเลดี้บาธิลดาคนนั้นหรอกนะ
อีกหนึ่งคืนผ่านพ้นไปอีกโดยที่ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าของห้อง เด็กหนุ่มเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ภายในห้อง อยากจะบุกไปหาอีกฝ่ายเสียเองแต่ก็ไม่กล้า จึงได้แต่ยืนเกาะราวระเบียงมองหาลอร์ดหนุ่มจากข้างบน
“ลูคัส มายืนบนระเบียงแบบนี้ไม่หนาวหรือ”
เสียงนั้นเรียกให้เด็กหนุ่มหันขวับ “เออร์วิน มาพอดีเลย ท่านลอร์ดน่ะ ทำไมไม่กลับมาที่ห้องเลย ผมรอท่านมาสองคืนแล้ว”
“ท่านคาร์ลงานยุ่งมากน่ะ”
“แต่... ถึงกับไม่หลับไม่นอนเลยหรือ”
“นอนสิ”
มือขาวคว้าแขนองครักษ์หนุ่มทันที “ท่านลอร์ดไปนอนที่อื่นงั้นหรือ”
“......”
เจ็บในอกอีกแล้ว... ลูคัสทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นระเบียงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ลูคัส เจ้าเข้าไปนั่งข้างในสิ ไม่หนาวรึ”
หากเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมขยับ “ผมจะทำยังไงดี ท่านลอร์ดจงใจไม่พบผมใช่มั้ย”
เออร์วินพ่นลมหายใจออกหนักๆ ก่อนจะย่อตัวลงข้างเด็กหนุ่มแล้วยกมือขึ้นกุมหัวไหล่อีกฝ่าย “เจ้าต้องการอะไรหรือ”
แววตาใสสั่นไหว เขา... ต้องการอะไรงั้นหรือ ที่จริงก็ชัดเจนอยู่ในใจ เขาอยากพบ อยากใกล้ชิดกับลอร์ดหนุ่มอีกครั้ง อยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็คิดถึงอีกฝ่ายจนไม่เป็นอันทำอะไร
สักพักก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ครั้งนี้เป็นหัวหน้านายทหารกองธนูเข้ามาขอพบเด็กหนุ่ม
“หัวธนูที่ท่านลูคัสสั่งให้ทำเสร็จแล้วขอรับ ข้าเลยนำมาให้ท่านพิจารณา”
เออร์วินก้มลงมองลูกธนูในห่อผ้า “แบบหัวสามแฉกงั้นรึ”
มือนุ่มหยิบขึ้นมาพิจารณาดู หัวธนูทรงเรียวคล้ายกระสุน แต่มีแฉกสามแฉกที่ถูกลับให้คมบางคล้ายคมมีดตามแบบที่เขาเคยบอกรูฟไปเมื่อหลายวันก่อน มันเป็นหัวธนูที่ใช้ได้ทั้งกับธนูและหน้าไม้ แล้วก็ยังน่าจะยิงทะลุเกราะได้ดีกว่าหัวธนูทั่วไป “ได้ลองยิงบ้างรึยังน่ะ”
“ยังขอรับ เพิ่งทำเสร็จวันนี้ก็รีบนำมาให้ท่านดูก่อน”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น “ผมว่าบางทีเราอาจยังต้องปรับขนนกที่ส่วนปลาย แต่ลองเอาไปยิงดูก่อนดีกว่า”
“ข้ากำลังจะไปดูทหารซ้อมธนูกันอยู่พอดี ไปพร้อมกันเลยสิ” เออร์วินเอ่ยชวน
“อะ...” เจ้าของชื่อเรียกหันขวับ “คือผม...”
“มีอะไรรึ”
“ถ้าผมออกไป แล้วจะกลับเข้ามารอท่านลอร์ดที่นี่อีกได้มั้ย”
เออร์วินขมวดคิ้ว “เจ้า...”
“ผมยังไม่อยากกลับไปที่ปราสาทฝั่งขวา ยังไม่อยากกลับไปไหนทั้งนั้น เออร์วิน ผม...”
“ข้าเข้าใจแล้ว” องครักษ์หนุ่มถอนหายใจ ดูเหมือนว่าความคิดของเด็กหนุ่มจะมีแต่ผู้เป็นนายของเขาอยู่ตลอดเวลา “ข้าจะรายงานกับท่านคาร์ลให้ว่าเจ้าประสงค์ที่จะรอท่านอยู่ที่นี่”
ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้ม “ขอบคุณครับ” เป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ไม่ได้เจือความเศร้าไว้นับตั้งแต่วันที่เด็กหนุ่มหนีออกจากปราสาทไป หากทำให้คนที่จ้องมองต้องสะอึก
“ลูคัส”
“ครับ”
เออร์วินอ้ำอึ้ง ทั้งที่จริงเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าลูคัสรู้สึกอย่างไร “...เปล่า ไม่มีอะไร”
“งั้นเราไปทดลองยิงธนูนี่กันเถอะ เออร์วิน” เด็กหนุ่มเดินไปขอเสื้อคลุมจากพวกสาวใช้ จากนั้นจึงก้าวนำออกจากห้องไปโดยมีเออร์วินกับหัวหน้านายทหารกองธนูเดินตามไปทางด้านหลัง
ลานที่ใช้ซ้อมฝึกธนูอยู่ฝั่งขวาของปราสาท พวกทหารกำลังตั้งเป้าฟางไว้ในระยะห่างใกล้ๆ กันเพื่อใช้ในการทดสอบยิงธนู เมื่อเด็กหนุ่มไปถึงพวกเขาก็ทดลองยิงลูกธนูใหม่กันทันที เออร์วินเองก็ร่วมทดลองยิงกับทุกคนด้วย
เสียงพูดคุยปรึกษากันดังขึ้นเป็นระยะ ยิ่งเมื่อพบว่าลูกธนูที่ฝังลึกเข้าไปในเป้าฟางดึงออกได้ยากลำบาก แล้วยังทิ้งร่องรอยชำรุดไว้ชัดเจนก็ยิ่งชอบใจ
“ถ้าใช้ยิงข้าศึก แผลจะต้องใหญ่และสาหัสอย่างที่ท่านลูคัสบอกแน่ๆ ลองเอาเกราะมาเป็นเป้ายิงบ้าง”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกเมื่อผลลัพธ์ออกมาอย่างที่คิด หัวธนูผ่านเกราะเข้าไปได้แล้วฝังลงไปในเป้าฟาง แม้จะไม่ลึกมากแต่ก็น่าจะทำให้เกิดบาดแผลใหญ่ ทำให้เสียเลือดมากจนถึงแก่ชีวิตได้
“ท่านคาร์ลต้องพอใจมากแน่” เออร์วินตบไหล่หัวหน้านายทหารหนักๆ “ไปเชิญท่านคาร์ลมาดูสิ” จากนั้นก็หันไปยิ้มให้เด็กหนุ่ม
แก้มนิ่มซับสีเลือด หัวใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอมยิ้มน้อยๆ ขณะที่ยืนรอคอยการมาถึงของท่านลอร์ด เขาจะได้พบอีกฝ่ายใกล้ๆ สักที
ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าตรงเข้ามายังบริเวณที่พวกทหารฝึกธนูกัน ลอร์ดหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าสีดำสนิทช่างสง่างาม นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องอย่างไม่วางตา
คาร์ลมาพร้อมกับคอนราดและหัวหน้านายทหารอีกสองนาย เมื่อมาถึงก็ก้าวลงจากม้าและยืนดูการทดสอบยิงธนูอย่างเงียบๆ
“ถ้าท่านบาร์ดอฟได้เห็นธนูที่เจาะผ่านชุดเกราะแบบนี้ได้ล่ะก็ต้องตาร้อนแน่” เออร์วินและคอนราดพูดกลั้วหัวเราะ
“ธนูนี่...” ลอร์ดหนุ่มพิจารณาลูกธนูในมือ “อย่าเพิ่งใช้งานจนกว่าบาร์ดอฟจะกลับไป เราจะเก็บไว้ให้บาร์ดอฟได้แปลกใจทีหลัง”
“ขอรับท่านลอร์ด” น้ำเสียงของหัวหน้านายทหารกองธนูผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายนะขอรับ ข้าอยากเห็นสีหน้าของท่านบาร์ดอฟเสียจริง”
“แค่ฝีมือการยิงของพวกเจ้าก็เพียงพอที่จะทำให้บาร์ดอฟระทึกใจบ้างแล้วล่ะ” คาร์ลบอกกับทหารของตน
แต่จนแล้วจนรอด ลอร์ดหนุ่มก็ยังไม่ยอมหันไปสบสายตากับดวงตากลมใส แม้ลูคัสจะพยายามยืดคอขึ้นให้อีกฝ่ายสนใจ แต่ก็ไม่เป็นผล เขากัดริมฝีปากพร้อมกับกำมือแน่น
“ถ้าอย่างนั้น ลองเปลี่ยนเป้ามั้ยล่ะครับ” ลูคัสเอ่ยขึ้น ครั้งนี้ได้ผล คาร์ลยอมหันมาทางที่เขายืนอยู่ “เป้าฟางนี่ ทำเป็นรูปคนซะ เวลาที่ยิงโดนจุดสำคัญอย่างตรงหัวกับอก คนที่มองมายังไงก็ต้องรู้สึกเสียววาบบ้างล่ะ”
“อืม เป็นความคิดที่ดี” ลอร์ดหนุ่มยิ้มบาง “ขอบใจ”
หากก็เพียงแค่นั้น คาร์ลหันกลับไปสั่งงานพวกทหาร แล้วก็เดินไปขึ้นหลังม้าสีดำตัวเดิม ก่อนจะควบมันออกไป
ลูคัสยืนนิ่ง มองตามลอร์ดหนุ่มกับคอนราดและหัวหน้านายทหารขี่ม้าไปจนสุดสายตา สีหน้าของเขาสลดลงกว่าเดิมเสียอีก
ในขณะเดียวกันเออร์วินก็มองเด็กหนุ่มอยู่อย่างรู้สึกสงสาร “ลูคัส”
เจ้าของชื่อเรียกยิ้มบาง “ผมจะกลับไปรอท่านลอร์ดที่ห้อง” จากนั้นจึงเดินนำออกไป
“ข้าจะไปส่งท่านลูคัสเองขอรับ” หัวหน้านายทหารบอกกับเออร์วินพร้อมกับวิ่งตามหลังเด็กหนุ่มไป
เมื่อกลับถึงห้อง ลูคัสก็เดินไปนั่งลงบนโซฟา ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของลอร์ดหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อยามดวงสุริยันเริ่มคล้อยลงต่ำ มุดลงใต้ปลายฟ้าไป จนกระทั่งท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนอนธการ ทว่าไม่ว่าอย่างไรคนที่เฝ้ารอก็ยังไม่กลับมาสักที
*~TBC~*สรุปใครง้อใครกันล่ะเนี่ย 555555 เด็กหนอเด็ก เด็กป๋าคาร์ลนี่งกนะคะ ป๋าคล้องสร้อยให้แค่นี้ หายงอลป๋าเลยอ่ะ 555555
เดี๋ยวตอนหน้าเขาก็ดีกันแล้วแหละค่ะ #สปอยล์เบาๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่ะ จุ๊บฟฟ 