Chapter 12 : จุมพิตดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำจวนเจียนจะมุดลงไปใต้ขอบฟ้าเมื่อถึงยามบ่ายแก่ๆ อากาศเย็นลงมาก พวกชาวบ้านต่างใส่เสื้อคลุมตัวหนาแล้วพากันไปยังสถานที่จัดงานฉลอง
เสียงระฆังจากโบสถ์ดังเหง่งหง่าง บาทหลวงก้าวออกมาพูดคุยและอวยพรให้แก่ทุกคน ก่อนกองไฟที่กลางลานจะถูกจุดขึ้น พวกอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่ตามโต๊ะอาหาร ใครอยากรับประทานอะไรก็เลือกหยิบเอาได้ตามใจชอบ หลังจากนั้นสักพักใหญ่เสียงดนตรีกับร้องเพลงก็ดังขึ้น พวกชาวบ้านหนุ่มสาวจึงออกไปเต้นรำกัน เสียงหัวเราะ พูดคุยกันอย่างมีความสุขดังลั่นไปทั่ว
คาร์ล องครักษ์ทั้งสอง ลูคัสและครอบครัวของเลนนั่งอยู่บนผ้าผืนเดียวกัน ในตอนแรกพวกเลนก็รู้สึกเกร็งๆ หากพอเริ่มอิ่มท้องและได้ดื่มไวน์กับเบียร์ไปสักพักก็ชวนผู้มาเยือนพูดคุย
“อาหารอร่อยมั้ย ปีนี้น่ะอาหารดีที่สุดเลยนะ อะไรๆ ก็ดีขึ้นตั้งแต่ไอ้พวกโจรถูกจับไป” ชายสูงวัยเอ่ยขึ้นพลางหันไปชักชวนคอนราดกับเออร์วินให้ดื่มเบียร์อีก “น่าเสียดายที่ท่านลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์ไม่ได้มาร่วมงานฉลองด้วยนะ”
ยายตีแขนตาไปเบาๆ “โธ่ ตา ท่านเป็นขุนนางสูงส่ง จะกินอาหารแบบนี้ได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
ลอร์ดหนุ่มที่กำลังยกแก้วไวน์ขึ้นจิบหยุดกึก “ไม่แน่หรอก ถ้าหากมีใครชวนอาจจะมาก็ได้”
ลูคัสอมยิ้ม “นั่นสิ ผมก็ว่างั้น”
“นี่ ท่านหัวหน้าทหาร ฝากบอกท่านลอร์ดด้วยน่ะ พวกชาวบ้านที่หมู่บ้านข้าชื่นชมท่านมาก อยากขอบคุณเหลือเกินที่ท่านนำความสงบสุขมาให้”
“หัวหน้าทหาร?” คอนราดกับเออร์วินหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปทางผู้เป็นนาย
ยายจึงหันไปถามลอร์ดหนุ่ม “ท่านไม่ใช่หัวหน้าทหารหรือ ข้าเห็นพวกทหารรับคำสั่งจากท่าน”
“อ้อ... จะว่าเป็นหัวหน้าทหารก็คงได้” คาร์ลพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะบอกท่านให้ก็แล้วกัน”
“แล้วเจ้าล่ะ ลูคัส เคยพบท่านลอร์ดไหม” มารีถามบ้าง
“เอ่อ... จะว่าเคยก็เคยครับ”
เลนหันมาร่วมวงอย่างสนใจ “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
เด็กหนุ่มหันไปหาคาร์ล ดวงตาโตกะพริบปริบ เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ใจนึกหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยพูดอะไรกลบเกลื่อนให้ ทว่าไม่เป็นอย่างที่คิด
ลอร์ดหนุ่มยิ้มมุมปาก “ข้าก็อยากรู้ เจ้าเล่ามาสิ”
แน้! ขอให้ช่วย ไม่ใช่ขอให้ขุดหลุมฝัง! ลูคัสบ่นไปทางสายตา จากนั้นจึงหันไปตอบ “ผมเจอแค่แวบๆ ก็... ดูใจดีล่ะมั้ง”
คาร์ลขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าตอบเหมือนไม่แน่ใจ”
“แล้วคุณคิดว่าท่านลอร์ดเป็นยังไงล่ะ คุณน่าจะเจอบ่อยกว่าผมนะ” เด็กหนุ่มย้อนถาม ส่งผลให้องครักษ์ทั้งสองหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ถามแล้วก็ได้ อ่ะ นี่ลูคัส ออกไปเต้นรำกับทุกคนไหม” เลนเอ่ยชักชวน
ลูคัสหันไปสบสายตากับดวงตาสีฟ้าคู่สวย แม้ใจอยากจะออกไปร่วมสนุกกับชาวเมือง หากเขาสัญญาไปแล้วว่าจะอยู่ข้างๆ ลอร์ดหนุ่มตลอด ถ้าหากไม่รักษาสัญญาครั้งนี้ก็อาจจะไม่มีครั้งต่อไป เด็กหนุ่มจึงส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ล่ะ นั่งดูดีกว่า”
“งั้นก็ดื่มเบียร์อีกหน่อยสิ” มารียกแก้วเบียร์ของทุกคนไปเติมมาให้จนเต็มแก้ว จากนั้นหล่อนกับทุคนก็ออกไปเต้นรำกัน ปล่อยให้ทั้งสี่คนนั่งเฝ้าผ้าปูกันไป
ระหว่างที่นั่งอยู่ก็มีชาวเมืองแวะมาทักทายเป็นพักๆ มาชวนคุยและดื่มเบียร์กัน พอเห็นเบียร์พร่องลงไปก็รีบไปเติมให้
“ขอบคุณพวกท่าน ฝากขอบคุณไปถึงท่านลอร์ดด้วยน่ะ”
“แบร์กไฮม์ไม่ได้สงบสุขเช่นนี้มานานเหลือเกิน”
ได้ยินคำพูดชื่นชมจากชาวเมืองบ่อยเข้า ลอร์ดหนุ่มและองครักษ์ก็อดที่จะยิ้มบ้างเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อได้เห็นความสุขของชาวเมืองก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยและหยาดเหงื่อที่เสียไปจากการจับพวกโจรผู้ร้าย
“ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน ลูคัส... ลูคัส!” พอคาร์ลหันไปทางเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายก็นั่งโอนเอนจวนเจียนจะหงายหลัง เขาจึงเอื้อมมือไปช่วยประคองไว้ “เจ้าเมาหรือนี่”
“ฮึก~ เมาอาราย~” ลูคัสตอบเสียงอ้อแอ้ “โผมแค่ ฮึก! มึนๆ นิดโหน่ย~” ก่อนจะโถมตัวเข้าใส่แล้วกอดลอร์ดหนุ่มไว้แน่น “อุ่นดีจังเลย~”
“ลูคัส! ไม่ได้นะ!” คอนราดและเออร์วินยื่นมือออกไปพร้อมกัน
“ไม่ต้อง!” คาร์ลยกแขนขึ้นโอบเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ เขาก้มลงมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพลางหัวเราะเบาๆ “เด็กเอ๊ย เจ้าดื่มไปเยอะขนาดไหนกันนี่”
ลูคัสหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “สี่แก้วเอง”
ตายายเดินกลับมานั่งลงบนผ้าปูอีกครั้ง พอเห็นว่าเด็กหนุ่มซุกอยู่ในอ้อมแขนของคาร์ลก็ขยับเข้าไปถาม “ลูคัสเป็นอะไรหรือท่าน”
“เขาเมาน่ะ”
“อ้าว แล้วกัน ถ้างั้นพาเขาไปพักที่บ้านก่อนไหมท่าน ข้าจุดเตาผิงทิ้งไว้ น่าจะยังอุ่น”
“ก็ดี งั้นเดี๋ยวข้าพาไปเอง” เออร์วินเสนอตัว
“ไม่ต้อง ข้าจะพาไปเอง”
องครักษ์หนุ่มหันขวับ “แต่ว่า ท่าน...”
“ข้าเองก็อยากพักเหมือนกัน ไปเอาม้ามาให้ข้าหน่อยสิ” คาร์ลตอบเสียงเข้ม
เออร์วินหลุบตาลงต่ำ เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจึงลุกไปทำตามที่ลอร์ดหนุ่มสั่ง พอจูงม้ากลับมาก็ถามอีกครั้ง “จะดีหรือ ท่านคาร์ล ให้พวกข้าไปด้วย...”
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าสนุกกับงานต่อเถอะ” ลอร์ดหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับประคองลูคัสขึ้นมาด้วย “ยังพอเดินไหวไหม”
“ไหวครับ”
“ข้าจะพาเจ้าไปพัก”
“ครับ” ลูคัสพยักหน้าหงึกหงัก
คาร์ลพยุงเด็กหนุ่มขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ก่อนจะตามขึ้นไปประกบข้างหลังแล้วเตะสีข้างม้าเบาๆ ให้มันเดินออกไปช้าๆ ทิ้งให้เออร์วินกับคอนราดยืนมองผู้เป็นนายควบม้าห่างออกไป
“เจ้าห่วงอะไร ห่วงท่านคาร์ล หรือห่วงลูคัสกันแน่”
เออร์วินหันขวับ “เจ้า!” เขาสะอึกเมื่อสบสายตากับดวงตาของเพื่อนองครักษ์ที่ดูเหมือนจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะเสตาหลบ “ข้าเป็นองครักษ์ ก็ต้องเป็นห่วงท่านคาร์ลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
คอนราดกระตุกยิ้มมุมปาก “แต่สายตาเจ้าจ้องลูคัสไม่วางตาเลยนะ ตอนแรกเจ้าก็ดูเหมือนจะยอมรับเขาแล้ว ยังมีอะไรอีกงั้นหรือ”
“ข้าจ้องเขาหรือ” เออร์วินย่นคิ้วเข้าหากัน เขาหยุดนิ่งไปสักพักจึงพูดต่อ “ข้าก็คงแค่... คิดว่าเด็กนั่นยิ้มน่ารักดี”
“ก็จริง... แต่ข้าก็ยิ้มน่ารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ” คอนราดยิ้มกว้างพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่อีกฝ่าย “ไปเถอะ ไปดื่มกันต่ออีกสักหน่อยค่อยตามท่านคาร์ลไป”
ลอร์ดหนุ่มควบม้าไปช้าๆ ออกจากบริเวณที่ฉลองกันเสียงดังเข้าไปภายในตัวหมู่บ้านที่เงียบเชียบ เขาตรงไปยังบ้านหลังที่เคยพบกับเด็กหนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดมาแผ่วเบา หากก็พาความหนาวเหน็บมาส่งมอบให้ทุกหนแห่ง
หลังจากขี่ม้ากันไปสักพัก เด็กหนุ่มก็เริ่มสร่างเมา แขนเรียวยกขึ้นกอดลำตัว “หนาวชะมัดเลย”
“อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
ลูคัสแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา “คุณจำบ้านของมารีได้ด้วยหรือ”
“หลังสุดท้ายริมแม่น้ำ ไม่ได้จำยากอะไรนี่” ลอร์ดหนุ่มก้มลงมอง “เจ้าสร่างเมาแล้วก็จับให้ดีๆ ข้าจะได้เร่งม้าให้วิ่งไวขึ้น จะได้ไปถึงบ้านเร็วๆ”
ลูคัสก้มลงเล็กน้อย มือขาวขยุ้มแผงคอม้าไว้แน่น “จับแล้วครับ” หากพอคาร์ลเตะสีข้างเจ้าม้าให้มันวิ่งออกไป เด็กหนุ่มก็หงายหลังกลับมาพิงแผ่นอกกว้าง ครั้งนี้สร่างเมาแล้วจึงรู้สึกได้ว่าร่างกายของพวกเขาแนบชิดกันมากขนาดไหน ถึงแม้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้นก็ตามที เขาก้มหน้าลงต่ำ ซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวและพวงแก้มนิ่มที่เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อไว้ โชคดีของเขาจริงๆ ที่เป็นเวลากลางคืนเช่นนี้
เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ลอร์ดหนุ่มก็ผูกม้าไว้แล้วบอกให้ลูคัสไปหาอะไรมาใส่น้ำให้ม้า เสร็จแล้วจึงพากันเข้าไปในบ้าน
ภายในห้องยังอบอุ่นดีเพราะถ่านที่ยังแดงอยู่ในเตาผิง เด็กหนุ่มจึงเดินไปเติมฟืนเพิ่มไว้ก่อนที่ไฟจะดับลง “เดี๋ยวผมไปเติมฟืนในห้องนอนไว้ด้วยดีกว่า เวลาทุกคนกลับมาจะได้อุ่นๆ” ลูคัสวิ่งเข้าไปสักพักก็กลับออกมาพร้อมกับผ้าอีกผืน เขาปูลงตรงที่ว่างหน้าเตาผิงแล้วชวนให้ลอร์ดหนุ่มนั่งลงด้วยกัน
เสียงถ่านลั่นเปรี๊ยะๆ ดังแว่ว ขณะที่คาร์ลหันมองไปรอบๆ ห้อง
“เทียบกับปราสาทของคุณแล้ว ที่นี่แคบมากเลยใช่มั้ยครับ”
“อืม แต่ก็อุ่นดี”
ลูคัสยิ้มบาง “คุณเคยได้ยินมั้ย ต่อให้บ้านแคบขนาดไหน ถ้าคนในบ้านรักกัน มันก็เป็นที่ที่น่าอยู่ แต่ถ้าอยู่บ้านกว้างๆ แล้วคนในบ้านเอาแต่ทะเลาะกัน มันก็ไม่น่าอยู่หรอก”
“รู้สิ ข้าเข้าใจดีเลยละ”
เด็กหนุ่มเอียงคอมองอีกฝ่าย “คุณมีพี่น้องมั้ย”
“มีน้องชายสองคน”
“แล้วพวกเขาไปอยู่ไหนซะล่ะครับ”
“อยู่เมืองใกล้ๆ น่ะพวกเราต้องห่างกันไปเพราะมีหน้าที่สำคัญที่ต้องรับผิดชอบ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น จะถามมากกว่านี้ก็คิดว่าอาจจะละลาบละล้วงมากเกินไป ลูคัสจึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เขาหันหน้าไปทางเตาผิง ทอดสายตามองเปลวไฟอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้น “งานฉลองวันนี้สนุกดีนะครับ น่าเสียดายจังน้า... ท่านลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์ไม่ได้มา” เด็กหนุ่มหันไปทางคนที่นั่งข้างกัน “ถ้ามารีรู้ว่าคุณเป็นใครต้องลมจับแหงๆ”
คาร์ลยิ้มบาง “ข้าหวังว่าปีหน้าพวกเขาจะสนุกกันได้มากกว่านี้”
“แต่ผมก็คิดเหมือนพวกชาวเมืองนะ พวกเขาโชคดีที่มีผู้ครองเมืองแบบคุณ”
“เจ้าชมข้าแบบนี้ต้องการอะไรหรือ”
“ถ้าผมอยากได้อะไรคุณจะให้ผมงั้นหรือ” ลูคัสย้อนถามกลับไป
คาร์ลยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ขอคิดดูก่อน”
เด็กหนุ่มเบ้ปากใส่ “โธ่! ท่านลอร์ดอ่ะ ถ้าแบบนี้แล้วจะถามผมทำไม”
“เจ้านี่น้า” ลอร์ดหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีดำเบาๆ
ลูคัสจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมสัน เส้นผมสีทองเป็นลอนน้อยๆ ดูอ่อนนุ่ม นัยน์ตาสีฟ้าแบบที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์อย่างประหลาดและรอยยิ้มที่เขาชอบ ท่านลอร์ดเป็นคนที่ดูดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากเป็นคนในยุคปัจจุบัน คงจะเป็นนายแบบชื่อดังได้แน่ๆ
“มีอะไรหรือ”
“ขอผมจับผมคุณหน่อยได้มั้ย”
“ทำไมรึ”
“ก็คุณยังจับผมของผมบ่อยๆ เลย”
คาร์ลย่นคิ้วเข้าหากัน แต่ก็พยักหน้า “อยากจับก็ตามใจ”
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสเส้นผมเหนือใบหูของลอร์ดหนุ่มอย่างแผ่วเบา “นุ่มอย่างที่คิดไว้เลย” เขายิ้มกว้าง ขยับตัวไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นช่วยจัดเส้นผมไปทางด้านหลัง
ลอร์ดหนุ่มเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น “เล่นสนุกเลยนะ” จากนั้นจึงยกมือขึ้นจับข้อมือทั้งสองข้างไว้
“ผมก็แค่... เย้ย!” เด็กหนุ่มโผเข้ากอดคนตรงหน้าเมื่อมีตัวอะไรกระโจนเข้ามาร่วงตุ้บที่ใกล้ๆ ตัว พอหันไปดูก็เห็นว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดง แล้วหลังจากมันได้ยินเสียงดังของเขาก็วิ่งพรวดพราดหนีไป “ตกใจหมดเลย มาได้ยังไงกันเนี่ย!”
“มันคงเข้ามาหลบหนาวอยู่ในนี้ก่อนแล้วน่ะ”
“ดีนะที่ไม่ใช่... หมี...” ลูคัสหันกลับไปหาลอร์ดหนุ่ม ปลายจมูกของพวกเขาเฉียดกันไปเพียงเล็กน้อย แต่นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยทำให้เขารู้สึกราวกับทั้งโลกหยุดหมุน เด็กหนุ่มไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้
“ลูคัส”
เสียงเรียกชื่อตัวส่งผลให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลุบลงต่ำ ครั้งนี้เขาจ้องเรียวปากบางรูปกระจับของอีกฝ่ายเขม็ง หัวใจเต้นระส่ำ “เอ่อ... ผม...”
ความรู้สึกนี้คืออะไร ลูคัสถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ หากร่างกายก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อน
ถ่านจากในเตาผิงลั่นเปรี้ยะ เรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับคืน พอรู้สึกตัวว่าเขานั่งกอดลอร์ดหนุ่มอยู่ก็รีบผละออก “อะ ขอโท...” หากอีกฝ่ายกลับยกแขนขึ้นกอดเอวเขาไว้ “คุณ... เอ่อ... ปล่อย...”
“เจ้ากระโดดเข้ามากอดข้าเองนะ” คาร์ลยิ้ม สีหน้ากับท่าทางของลูคัสช่างน่ารัก แล้วกลีบปากสีแดงนั่น... ก็น่าลองชิมไม่ใช่น้อย ลอร์ดหนุ่มกระชับแขนแกร่งให้ร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด “ลูคัส เจ้ามีคนรักหรือเปล่า”
ลมหายใจอุ่นๆ ส่งผลให้เด็กหนุ่มนั่งตัวเกร็ง มือเรียวขยุ้มเสื้อคลุมของอีกฝ่ายไว้แน่น “ไม่... ไม่มีครับ”
“อย่างนั้นหรือ”
ลูคัสขืนตัวออก เวลานี้ไม่กล้าสบสายตากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นแล้ว หากริมฝีปากเผยอถามคำถามกลับไปไวกว่าที่ใจคิด “แล้วคุณ...”
“นอกจากคอนราดกับเออร์วิน เจ้าเห็นมีใครอยู่ข้างกายข้าอีกเล่า”
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน รู้เพียงแค่ว่าคำตอบของอีกฝ่ายนั้นทำให้หัวใจพองโต
“ลูคัส เงยหน้าขึ้นสิ”
เจ้าของชื่อเรียกส่ายหน้ารัว คาร์ลจึงเชยคางเขาขึ้นให้สบประสานสายตากัน
“เจ้า...” นิ้วหยาบเกลี่ยพวงแก้มสีระเรื่ออย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าไม่มีใคร เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไปได้หรือไม่”
“ตลอดไป? อยู่กับคุณที่นี่ตลอดไปน่ะหรือ” ลูคัสพูดเสียงแผ่ว
“ใช่ อยู่กับข้า... กับชาวเมืองแบร์กไฮม์”
แวบหนึ่งหัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวาบ หากก็คิดได้ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ครองเมืองจะต้องการให้คนที่ทำประโยชน์ได้อยู่ข้างตัว
ไม่ใช่เรื่องแปลก... แต่ทำไมรู้สึกเจ็บในอก
สำหรับท่านลอร์ด เขามีความสำคัญเพียงแค่นี้เองน่ะหรือ
เจ็บ...
“ปล่อยผมเถอะครับ”
ร่างโปร่งทั้งผลักทั้งยันตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่ง ทว่าเมื่อไม่เป็นผลจึงก้มลงซุกหน้าบนแผ่นอก ไม่ให้ลอร์ดหนุ่มเห็นใบหน้าของตนเองได้
“ลูคัส... เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือ”
“ท่านลอร์ด ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ชอบอ่านหนังสือ คุณจะหาคนแบบผมมาอยู่กับคุณอีกสักกี่คนก็ได้”
“แต่ข้าไม่ต้องการคนอื่น” คาร์ลกระซิบข้างใบหูนิ่ม “ลูคัส เจ้ารังเกียจข้าหรือ” คำพูดของเขาส่งผลให้เด็กหนุ่มชะงัก หยุดขืนตัวออกห่าง มือหยาบจึงจับคางเรียวของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้น
แววตาใสสั่นไหว เขาพ่ายแพ้ต่อนัยน์ตาสีฟ้าที่จ้องมองมาจริงๆ “ท่านลอร์ด ผมไม่...”
“จริงหรือ”
ลูคัสพยักหน้าช้าๆ พลางเสตาหลบ
“พิสูจน์สิ”
“คุณจะให้ผมทำยังไง”
“จูบข้า”
“จะ... จูบหรือ” เด็กหนุ่มหันขวับ นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้าง “ให้ผมจูบคุณเนี่ยนะ!”
คาร์ลตอบเสียงขรึม “ใช่”
ลูคัสอ้ำอึ้ง แต่สักพักก็คิดว่าบางทีนี่อาจเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของคนในยุคโบราณก็เป็นได้ เขาคิดในใจพลางโน้มใบหน้าเข้าไปจูบแก้มสาก
“ลูคัส ตรงนี้” ลอร์ดหนุ่มชี้ไปที่เรียวปากของตน
“หา! ท่านลอร์ด!”
“ทำไม่ได้หรือ”
นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ที่จ้องมองมานิ่งไม่ไหวติง ลูคัสรู้สึกว่าเขากำลังพาตัวเองจมลึกลงไปในความเร้นลับและเสน่ห์ของดวงตาคู่นั้น เขาเม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปหาลอร์ดหนุ่มอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดพวงแก้มเป็นผลให้หัวใจเต้นระส่ำ
กลีบปากสีแดงสดแนบสัมผัสเรียวปากหยักเพียงแผ่วเบา จากนั้นจึงรีบถอนริมฝีปากออก แค่นี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ร้อนรุ่มราวกับมีไฟลน
คาร์ลหัวเราะเบาๆ ขณะที่ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือจากเอว ผ่านแผ่นหลัง ต้นคอ และขึ้นไปอยู่บนท้ายทอยของเด็กหนุ่ม “เจ้าเคยจูบหรือเปล่า”
“เคย... เคยแบบที่จูบคุณเมื่อกี้นี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนวิธีที่ถูกต้องให้” มือหยาบดันท้ายทอยคนบนตักเข้าหาตัว “อ้าปากนิดนึงสิ”
ริมฝีปากอิ่มเผยอออก “คุณ...”
“ท่านคาร์ล! พวกข้ามาแล้วขอรับ!”
เสียงม้ากับเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอกดังขึ้นแทรกพร้อมกับเสียงขององครักษ์ “ท่านคาร์ล!” เป็นผลให้อ้อมแขนแกร่งคลายออก เด็กหนุ่มจึงผละออกทันที
ลูคัสแทบจะกระโดดหนีไปหลบใต้โต๊ะ เขายกสองมือขึ้นปิดใบหน้า หัวใจราวกับจะระเบิดออกมาจากในอก
เมื่อกี้... เมื่อกี้มันอะไรกัน! เขากับท่านลอร์ด... ถ้าหากเออร์วินกับคอนราดมาช้ากว่านี้...
“ท่านคาร์ล!”
ลอร์ดหนุ่มพ่นลมหายใจออกหนักๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วตอบกลับไป “รู้แล้ว ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
*~TBC~*ขอเชิญไล่ตบคอนราดกับเออร์วินตามอัธยาศัย งานนี้ฮัสกี้มะมีเอี่ยว~ 55555555555555 
แต่ว่า ทุกคนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับลูคัสในตอนนี้ว่าอย่างไร เด็กคนนี้... ก.ขี้อ่อย ข.ขี้อ่อยมาก ค.ขี้อ่อยที่สุด ง.ถูกทุกข้อ!
แล้วท่านลอร์ดจะอดทนไหวมั้ยเนี่ย!
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะค้า เยิฟๆ 
ปล.1 ขอบคุณคุณsongte และน้องKan ที่ช่วยบอกที่ผิดนะคะ กรีซซซซ เค้าแก้แว้วน้าาา~
ปล.2 ตอบน้องKan การทำไวน์และโม่ข้าวงอกเป็นการฉลองของชาวบ้านอย่างหนึ่งค่ะ แบบว่าสนุกที่ได้ทำงานร่วมกันอะไรบั่บเน้ค่ะ คล้ายๆ งานกีฬาสีงอยย 55555555 ตอนเช้าทำงานกันก่อน ตอนค่ำก็เอาอาหารมาฉลองกัน เป็นวิถีชาวบ้านๆ (ที่ฮัสกี้มโนเอาเอง กร๊าก) น่ะค่ะ