12.
เราสองสามคนอยู่ด้วยกันจนเย็น ทั้งหมดที่ผมทำได้ก็ถ่ายเอกสารกับชงกาแฟ หัดใช้โปรแกรมนิดๆหน่อยๆ แล้วก็เล่นมุขบ้าบอๆไปเรื่อยเปื่อย ถึงแม้จะงี่เง่าแต่ก็ภูมิใจ ช่วงเย็นที่ดูเหมือนผมจะไม่มีอะไรให้ทำ เลขาแบมก็เริ่มไล่ผมกลับบ้าน เราสองสามคนบอกลากัน ผมแอบส่งสายตาให้พี่ธีตามสันดาน เผื่อเขาจะเก็บเราไปฝัน
“กลับบ้านนะ อย่ามัวแต่ไปเทียว เงินแค่นี้เที่ยวไม่พอหรอก”
“ถ้าอยู่บ้านแล้วเหงาอ่ะครับ?” อ่อยแรง
“อยู่บ้านแล้วเหงา งั้นก็นอนออฟฟิสแล้วกัน” เจอพี่แกตอบซะไปต่อไม่ถูก กวนตีนนี่หว่า กวนตีนแบบนี้ผมชอบ
“ไหนบอกจะพาไปสอนที่บ้านไง?”
“บ้านพี่อยู่กันครบเลยนะ ลุง ป้า น้า อา แถมคุณน้าเคยเป็นครูด้วย จะไปไหมล่ะ” เขายิ้มกวนประสาท
“ไม่เป็นไร โห่.... ผมนอนออฟฟิสยังดีกว่าเลย...”
ผมยอมแพ้ความคิดที่จะเต๊าะเขากลับบ้าน เลยกลับออกมาพร้อมกับเงินที่เบิกล่วงหน้าเข้าบัญชีในปริมาณที่เอาชีวิตรอดได้ เท่ากับวันนี้สบายใจไปอีกหนึ่งวัน แถมไอ้หญิงยังไม่ตัดสินใจเซ็นเอกสารจนกว่าจะถึงวันจันทร์ ตัวคนเดียว เงินเดือนเข้า เราควรจะกลับบ้านจริงๆหรือ
ระหว่างทิ่คิด ก็นั่งปัดหน้าแอพนัดยิ้มเพลินๆหาแท๊กซี่ หาหนุ่มหน้าตาปานกลางถึงดีที่เคยไปหว่านสเน่ห์ใส่ไว้เมื่อนานนม บ้างก็คุยเล่น ก็มีบ้างที่เลยเถิด แต่เราไม่เคยถือสากัน
ส่วนคนนี้ชื่อต่อ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม
-สวัสสดีคร้าบ- ขอโทษนะครับพี่ธี ผมมีใจให้พี่ก็จริง แต่มันก็แค่ส่วนเดียว
-ดีครับ หายไปไหนมา-
-ไปมีแฟนมา อิอิ-
-มี อิอิ ด้วย 555-
-เป็นไงม่าง-
-สบายดีนะ ช่วงนี้เอ็มว่างป่าว-
“สนุกอยู่เหรอครับ?” เสียงคุ้นหู แต่สำเนียงแปลกไป
“หืม? ครับ?” ผมหันไปตอบเลขาแบม
“ผมถามว่า สนุกอยู่เหรอ?”
“เอ่อ.. ก็ดีครับ สนุกดี” ผมตอบไปทั้งๆที่ไม่ค่อยเข้าใจคำถาม
“คงไม่รู้สินะครับ ว่าตำแหน่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ มีคนไม่รู้กี่ร้อยพันคน ยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้ามา”
“ห๊ะ?”
“การได้ทำงานไกล้ชิดกับพี่ธี ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเล่นๆนะครับ ผมเตือนด้วยความหวังดี”
“ครับ....” บรรยกาศตึงเครียดขึ้น
“พี่ธีเขาไม่ชอบคนไม่ฉลาด”
“ครับ”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างคุณสองคนมีอะไรเป็นพิเศษกันหรือเปล่า”
“..........”
“แต่ผมก็ไม่คิดว่าเอ็มจริงจัง ใช่ไหมครับ?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องงานนี่ครับ” ผมเริ่มเสียงแข็ง
“มันคงเป็น งาน สำหรับคนแบบเอ็มละมั้ง?” แบมจิกต้าร้ายใส่
“ใช้ได้นี่หว่า...” ผมไม่ถอยให้เหมือนกัน
“อย่างว่าแหละ เอ็มก็ดูไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น คงจะตลกดีนะครับ ถ้าว่าคนระดับธีนพจะจริงจังด้วย?” เข้าล้ำเส้นเข้ามาในที่สุด ยอม
รับว่าผมโกรธ แต่ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะด้วย เขาไม่เคยอยู่ในสายตาผมตั้งแต่แรกด้วยซ้ำไป
“ผมน่ะไม่จริงจังหรอก....พี่ธีนพผมไม่รู้ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนคนที่จริงจังมากที่สุดจะเป็นคุณนะ”
แบมอึ้งเงียบไป
“ห่วงตัวเองเถอะ... ไม่ต้องห่วงผมหรอก” ผมตามไปซ้ำ
“รู้จักธีนพน้อยไปนะคุณน่ะ...” แบมไม่ยอมถอยเช่นกัน
เราสองคน ในสองสถาณะภาพ เขามองผมเหยียดด้วยสายตาพิพากษาในมาดผู้ดี ขณะที่ผมมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย เหมือนมองคนปัญญาอ่อน
“เป็นเพราะคุณแทนไทใช่ไหมล่ะ?”
“คุณแทนไท?” ผมทวนชื่อพี่แทนจนเกือบจะเย้ยหยัน ตลกชะมัดเวลาเห็นคนทำงานเรียกชื่อเขาเต็มยศ
“เขาเบื่อคุณแล้วเหรอช่วงนี้” เลขาหนุ่มร่างเล็กยียวน “เงินถึงได้ขาดมือ?”
ถ้าหากเพียงแถวนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด หรือป้อมยาม หรือแม้แต่คน ผมจินตนากาหากรตัวเองชกหน้าเนียนใสนั่นสักครั้ง เขาจะร้องว่าอะไร เพราะว่าคำพูดเจ็บแสบที่ล่วงเกินไปกว่าเพื่อนร่วมงาน มันมีจุดกำเนิดมาจากความแค้นเคืองเล็กๆนั่น ผมมองเห็นมันเป็นเค้าลาง นับรวมเข้ากับที่เราสองคนต่างมีใจให้คนเดียวกัน แบมลึกซึ้งลงไปมากกว่า พี่ธีคงเป็นทุกสิ่งอย่างของเขา แต่พี่ธีไม่ใช่ทุกอย่างของผม อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ ในตอนนี้
“มันแปลกที่คนระดับคุณมาวุ่นวายอยู่กับผมนะ?” ผมหยิบบุหรี่ออกมาจุดสงบสติอารมณ์
“ไม่มั้ง? คุณต่างหากที่มาวุ่นวายกับพวกเรา แค่ก! แค่ก!” แบมพูดแล้วก็สำลักควัน ไอ้ซื่อบื้อนี่ก็ยืนไม่ขยับไปไหน
ผมเดินหลบออกมาจากกลุ่มควัน ปล่อยให้ไอ้เตี้ยนั่นปัดเสื้อผ้าตัวเองไป
วันต่อมากลายเป็นอีกความตึงเครียดระหว่างการทำงานที่ยากลำบากอยู่แล้วยากลำบากขึ้นไปอีก เมื่อไอ้คุณแบมหาทางจิกกัดผมอย่างแนบเนียนตลอดวัน พร้อมกับมอบหมายงานที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนพี่ธีก็ยุ่งอยู่กับห้องประชุมเกินกว่าจะมาสนใจพวกผม ยอมรับว่าเดือดเนื้อร้อนใจกับตัวเองอยู่ แม้จะโดนดูถูกสติปัญญามาทั้งชีวิตก็เถอะ
“บวกเลขนิดๆหน่อยๆอย่าทำผิดสิครับ”
“ครับ”
“ถ้าไม่ไหว เอาตรงนี้ไปแปลแล้วกันนะ เขียนเป็นภาษาพูดนะครับ”
“ครับ”
“ชงกาแฟให้ผมด้วยนะ”
“ครับ”
“ถ่ายเอกสารตรงนี้มาทั้งชุดเลยนะ”
“ครับ”
ผมถูกใช้จนหัวปั่น ถึงจะรู้ว่าตัวเองโดนแกล้ง แต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง นิสัยผมคือทำอะไรได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็คือทำไมได้ ก็ช่างหัวมันปะไร แต่แบมดูจะมีความสุขเป็นพิเศษกับการมองดูผมงกๆเงิ่นๆ แถมยังได้จิกกัดสนุกปาก แต่เอาเถอะ ถ้ามีอะไรผิดพลาด บริษัทเจ๊งขึ้นมาก็เรื่องของมึง ผมวางทุกอย่างลงเป็นเชิงยอมแพ้ แล้วฟุบลงกับโต๊ะทำงาน เพื่อแสดงออกว่า ‘กูยอม’
“กินข้าวกันไหม?” ธีนพเปิดกลับเข้ามาในห้องทำงาน ผมแทบจะกระโดดกอดด้วยความคิดถึง
“ไปครับ!” ผมตอบ แบมตอบพร้อมกัน เป็นคนละเสียง “ไม่ดีกว่าครับ งานแปลที่ต้องส่งคืนนี้รีบมาก เดี๋ยวเอ็มจะทำไม่ทันเอา”
“อืม....ถ้างั้นฝากดูแทนด้วยนะแบม เดี๋ยวผมซื้อขึ้นมาให้ ไปกันเอ็ม” พี่ธีกวักมือเรียกผมซะอย่างนั้น
โคตรตลก เป็นความตลกประจำวัน
“ผมเห็นบัตรประชาชนพี่ด้วยนะวันนี้” ผมชวนเขาคุยระหว่างทางไปร้านกาแฟ
“แล้วทำไมเหรอ?
“ผมเพิ่งรู้ว่าพี่แก่กว่าพี่แทนอีก.....” เขาดูประหลาดใจ ผมแกล้งต่อไป “ผมเรียกพี่ว่าลุงได้มะ?”
“ไม่เอา! ห้ามนะ ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย” ธีนพหันมาเล่นด้วย
“สามสิบกลางๆนี่เขามีลูกกันแล้วนะพี่....”
“แทนไทก็ไม่ได้มีไม่ใช่เหรอ?”
“พี่แทนเขาเพิ่งจะขึ้นเลขสามเอง” ผมเห็นพี่ธีไปไม่ถูกกับคำพูดเหล่านั้น เป็นของหาดูยาก ต้องขยี้เข้าไป เพราะผมนิสัยไม่ดี
“เปล่าหรอก ผมแค่จะบอกพี่ว่า จริงๆแล้วผมชอบผู้ชายมีอายุนะ”
ต่อด้วยยิ้มโปรยสเน่ห์ตามไปติดๆ.....
“....ยิ้มอย่างนั้นบ่อยๆเดี๋ยวจะเดือดร้อนเอานะ....” เขาตอบกลับไม่กล้าสบตา
ธีนพเขิน..... ต่อให้ดึงหน้าแค่ไหนก็เถอะ ร้านกาแฟไม่ได้ช่วยให้บรรยกาศกลายเป็นสีอื่นนอกจากสีชมพูจางๆ ของผู้ชายสองคนที่มานั่งทานข้าวด้วยกัน จากแน่นตึงมากทั้งวัน จู่ๆก็กลายเป็นหวานปะแล่มขึ้นมากะทันหัน จนแทบจะสั่งปิงซูมานั่งกินกันสองคนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“อ้าว สนิทกันเหรอสองคนนี้?” เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ผมเสียวสันหลัง เพราะจำมันได้แม่น
“สวัสดีครับพี่ภาคินทร์” ธีนพ หันไปยกมือไหว้ ผมทำแบบเดียวกัน
“จะกินเด็กซะแล้วเหรอธีนพ...” เขาขยับตัวเข้ามาไกล้จนผมฉากหลบ “ไม่นึกเลยว่าเธอจะมีรสนิยมแบบนี้”
“สนใจรสนิยมของผมด้วยเหรอครับ”
“ฉันสนใจเธอต่างหาก”
“มีคนสนใจผมเยอะแยะไปหมด ถ้าเป็นการเป็นงานล่ะก็ ติดต่อผ่านเลขาผมได้ทุกเมื่อนะครับ” ธีนพไม่เล่นด้วย
“ผมไม่คุยเรื่องอื่นกับคุณหรอกธีนพ คุณน่ะมันไร้หัวใจ แต่สงสัยเรื่องนี้ต้องถามน้องเอ็ม จริงไหมครับ?”
ผมอ้าปากขึ้นจะตอบ แต่ถูกพี่ธียกมือห้ามไว้ พี่ท๊อปมองภาพนั้นด้วยสายตามีนัยยะ
“ดูเหมือนคุณจะเอาเขาอยู่กว่าแทนไทนะ” ผมเกลียดหน้าแม่งจริงๆ “เทคโอเว่อร์กันดื้อๆแบบนี้นี่ไม่รู้ว่าเจ้าแทนรับรู้หรือยังนะ เอ...หรือซื้อหุ้นแชร์กันเฉยๆ ว่ายังไงล่ะ ส่วนไหนเป็นของใครบ้างนะ”
“ความลับทางการค้าครับ..... ว่าแต่ส่วนไหนของบอร์ดกันแน่เหรอครับที่เป็นของพี่ เท่าที่ผมเห็นมีแต่โต๊ะทำงานกับเก้าอี้ตัวใหม่ นี่ยังไม่นับว่าเป็นหุ้นส่วนหรอกนะครับ”
ภาคินทร์เงียบกริบ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ยิ้ม และไม่สามารถหาประโยคพูดปิดการสนทนาได้ ผมสัมผัสได้ถึงรังสีอมหิตระหว่างสองหนุ่มรุ่นใหญ่ และนั่นมากพอที่จะทำให้ต่างคนต่างถอยจากกัน ภาคินทร์เดินหน้าชาจากไป ส่วนธีนพหันกลับมาสนใจกาแฟเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้เองใช่ไหมที่เขาเรียกว่า การเล่นอำนาจ
“ผมเครียดจัง...” ผมเปิดปากคุยต่อ
“เครียดตรงไหนเหรอ”
“พี่ว่าพี่ท๊อปจะทำอะไรต่อเหรอครับ”
“ไม่สำคัญหรอก …..ไม่น่ารอดเกินสิ้นปี...” พี่ธีพูดเหมือนพูดกับตัวเองซะมากกว่า ผมได้แต่นั่งงงกับคำตอบ พร้อมกับหยิบขนมปังปิ้งเข้าปากไปพลาง อะไรวะรอดไม่รอด
“พี่ครับ....ไม่รอด? หมายความว่าไง?”
“หืม? พูดอะไรน่ะ?” พี่ธีไม่ตอบเปล่า แต่ถามกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้ว ณ นาทีนั้นเอง ที่ผมได้เห็นสิ่งที่เขาร่ำลือกัน หลุดออกมาจากสายตาสุดลึกหยั่งถึง
ความน่ากลัวของธีนพ....
________________________
ขอโทษน้าาาที่หายไปนาน ไรท์ติดไซด์งานต่างจังหวัดถึงปีหน้าเลยจ้า แต่ยังไงจะมาอัพให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นะค้า
คิดถึงทุกคนมากๆจ้า