ตอนที่ 9 “มึ้ง!!!!!”
อาห์ สวัสดีวันจันทร์ สวัสดีเสียงที่แสนจะแสบแก้วหูของผองเพื่อน
“ไปทำอีท่าไหนวะ! ทำไมหมอเขายอมให้มึงขึ้นห้อง! อีกิ่ง!! ไฟแห่งความอิจฉาของกูกำลังลุกโชน!!” ธันวาเพื่อนสาวในกางเกงนักศึกษา
“กูว่ามันไม่ได้ทำสักท่าอะ! พี่เขาน่าจะเป็นฝ่ายออกท่าเองเสียมากกว่า” หมวยหมวยกับมุกใต้สะดือของเธอ
“…เล่าให้กูฟังหน่อยดิ ขอละเอียดๆ” และเป็นใจผู้ถือโทรศัพท์และเปิดโปรแกรมอัดเสียงไว้ในมือ อืม ครบองค์พอดีครับ นี่มาเรียนหรือมาเมาท์
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่ไปกินเหล้ากับพวกพี่เขาแล้วก็เลยสนิทกัน” ขอละเรื่องที่ทำหมอมันโกรธไว้ในฐานที่เข้าใจครับ “แล้วกูก็ไปกินเฉาก๊วยด้วยกัน แอร๊ย ฟิน”
“แล้วไงต่อ!!”
“ก็ไม่แล้วไงอะ พี่เขาก็มาคณะ กูก็หลับจนตะวันตกดิน จบข่าว”
“ไม่ได้เรื่อง!” เป็นใจตะโกนขึ้นมา สองมือกุมหัวเหมือนพลาดอะไรไปบางอย่าง “ไม่ได้เรื่อง! ได้ขึ้นห้องพี่เขาทั้งที มึงได้แค่แดกเฉาก๊วยเนี่ยนะ!! เป็นกูนะจะเลียตั้งแต่ตาตุ่มยันหนังหัวเลย”
“…กูก็เพิ่งรู้นะว่าเพื่อนเราเป็นได้ขนาดนี้”
“สต๊อปปุธันวา มึงนั่นแหละตัวการใหญ่ พอเมื่อวานมึงรู้ว่าอีกิ่งไปนอนห้องพี่เขาละกรี๊ดโวยวายกว่าเพื่อนเลยนะ หาว่าเพื่อนได้ออกเรือนก่อนตัวเอง”
ออกเรือนกับอุ้งมือตัวเองล่ะสิไม่ว่า หาทิชชู่แทบไม่ทัน “เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ เราสองคนกำลังพยายามเดินคู่ไปด้วยกันครับ ความรักครั้งนี้จะค่อยๆ งอกงามเหมือนดอกของต้นกระบองเพชร งดงามและคงทน”
“ดอกกระบองเพชรบ้านมึงคงทน สองวันก็ร่วงละ”
“แล้วมึงเนี่ยนะปลูกกระบองเพชรแล้วออกดอก เคยเห็นแต่ตายคามือล่ะสิไม่ว่า”
ชิ ไอ้พวกนี้ ได้ทีแล้วเอาใหญ่ แต่ไม่เป็นไรครับคนอย่างกิ่งไม่ถือ คิดซะว่าเพิ่มบุญกุศล “แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้เริ่มทำงานเนี่ย นั่งเมาท์อยู่ได้”
ผมกำลังพูดถึงซับเจ็คสำหรับคาบวิชาสีน้ำในวันนี้อยู่ครับ ดอกเฮลิโคเนียหรือที่เรียกกันว่าดอกธรรมรักษาสีแดงอมส้มตั้งเด่นอยู่หน้าห้องพร้อมใบอะไรไม่รู้แซมๆ อยู่ รอให้นักเรียนอย่างพวกเราวาดมันลงไปบนผืนกระดาษว่างเปล่าและต้องเสร็จให้ทันภายในชั่วโมง “นี่ถ้าคาบวาดพอร์เทรตได้หมอยินมาเป็นแบบนะ จะวาดให้สวยจนพี่เขายอมรับรักเลยเอ้า”
“ฝันไปเหอะค่ะ”
ผมหัวเราะแล้วนั่งวาดรูปต่อไปโดยมีอาจารย์สาธิตคร่าวๆ ให้ดูหน้าห้อง(ซึ่งผมไม่เคยไปดูเลยสักครั้งด้วยความติสต์) สาขาของเรามีคนค่อนข้างน้อยครับ แต่ก็ดีเวลาที่เรียนภาคปฏิบัติอาจารย์จะสามารถเข้าถึงนักศึกษาได้มากขึ้น ความรู้ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ตัวเองไปง้อหมอยินมันถึงที่ห้อง รู้สึกเขินๆ แปลกๆ ที่มีเฉาก๊วยที่ผมซื้อให้อยู่ในตู้เย็นของพี่เขา มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องเขาไปแล้วอะครับ
หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัวด้วยมือขวาจนเสร็จสิ้นแล้ว ความโล่งใจก็ทำให้ผมหลับเป็นตายจนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมาสักที ผมเองก็เริ่มห่วงการบ้านที่จะต้องส่งในวันนี้แล้วเลยรีบบึ่งกลับหอก่อนจะอยู่รอเจอหน้าร่างสูง พอกลับมาถึงห้องก็เจอพี่เนย์กับพี่เปียวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบๆ คนละมุมเหมือนนักมวยพักยก คู่นี้ก็ไม่รู้อะไรยังไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เห็นแซวกันมาหลายคนเหลือเกิน
“แล้วนี่มึงใช้ใครเป็นแบบอะกิ่ง”
หมวยหมวยที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามผมหลังจากที่เงียบไปนาน “หา แบบอะไร”
“งานถ่ายรูปพอร์เทรตอาจารย์นิดไง หรือมึงลืมไปแล้วเนี่ย”
งานถ่ายภาพคนหรือภาพพอร์เทรต… ผมนึกย้อนไปสมัยอดีตชาติแล้วก็ร้องอ๋อขึ้นมา งานที่อาจารย์เคยเปรยๆ สั่งไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยนี่เอง ว่าแต่เดดไลน์มันวันไหนนะ
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ามึงลืมเดดไลน์ไปแล้วแหง… กูมีข่าวดีจะบอก”
“อย่าบอกนะว่าอาทิตย์หน้า!”
“เปล่าค่ะ ศุกร์นี้” เป็นธันวาที่หันมาตอบ เฮ้ย! ทำไมผมไม่เห็นจำได้เลยวะว่าเป็นศุกร์นี้! คุณพระ แล้วผมจะไปหานางแบบที่ไหนมาถ่ายให้ทันล่ะครับเนี่ย นอกจากจะเป็นงานด่วนแล้วยังจะใช้งานเขาฟรีอีก ใครจะไปอยากมาทำให้
“มึงทำยัง” ผมถามรวมๆ หมายถึงทุกคนในกลุ่ม
“เรียบร้อย” ประสานเสียงกับอย่างพร้อมเพรียงเลยครับ …เหลือก็แต่ผมกับผมแล้วก็ผม
“ทำไมต้องหักหลังกันอย่างนี้วะเพื่อนฝูง”
“หักหลังบ้าอะไร เขาคุยกันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วว่าจะถ่ายกันยังไงอะไรวันไหน ไลน์กลุ่มน่ะเคยเปิดอ่านบ้างไหม”
“กูว่าอ่านแต่แชทหมอยินแหง งี้แหละ ช่วงนี้อะไรๆ ก็หมอยินๆ”
ก็ไม่ขนาดนั้นนะ… แต่ดูจากการที่ผมพลาดงานสำคัญไปแล้วก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ ผมนั่งวาดรูปไปด้วยคิดสะระตะในหัวไปด้วยว่าจะเสกรูปพอร์เพรตสิบรูปขึ้นมาในสามวันให้ได้ยังไง จริงๆ ระยะเวลาในการถ่ายไม่ใช่ปัญหาครับ ลั่นชัตเตอร์เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ แต่เรื่องติดต่อนางแบบนายแบบ เสื้อผ้าหน้าผม โลเคชั่นนี่สิเรื่องใหญ่ แถมงานรอบที่แล้วผมก็แทบจะกราบพี่เปียวกับพี่เนย์ให้มาช่วยเป็นนายแบบให้ไปแล้ว รอบนี้จะใช้แบบซ้ำเดิมก็มีความเสี่ยงที่จะโดนด่าสูง…
“รู้แล้ว มึงก็ไปขอพี่เป้ให้มาเป็นแบบให้มึงสิ”
ขวับ! ผมหันหน้าไปมองเป็นใจผู้เป็นแหล่งกำเนิดไอเดียอย่างรวดเร็วจนคอแทบหัก มันเงยหน้าขึ้น เอาพู่กันจิ้มปากเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขระดับสิบ “แล้วมึงก็ขอพี่อ๊อฟมาถ่ายด้วย คอนเซปต์ ‘เพียงรัก’ เล่าเรื่องราวของความรักที่ไม่มีเรื่องของเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เดี๋ยวๆๆ ทำไมต้องเป็นพี่เป้กับพี่อ๊อฟด้วยวะ”
“มึงไม่รู้เหรอว่าสองคนนี้แหละตัวดีเลย ดังถึงขนาดมีฟิคเป็นของตัวเองด้วยนะเว้ย”
“…ใครแต่งวะ”
“กูเองแหละ”
“เป็นใจ! มึงจะมาเที่ยวจับคู่คนอื่นเขาไปทั่วไม่ได้นะเว้ย ถ้าพี่เขามายด์ขึ้นมาจะทำไง”
“กูดูแล้วกูรู้ คู่นี่แหละเรียลสุด” เรียล เรียลอะไร สองคนนั่นน่ะนะจะมีซัมธิงกัน “ตัวติดกันมาตั้งแต่ม.ปลาย เข้ามหาลัยเดียวกันคณะเดียวกัน เรียนเสคเดียวกันตอนปีหนึ่ง แถมขึ้นปีสองมาก็อยู่หอด้วยกันอีก แอร๊ย”
“ก็แค่เพื่อนสนิทธรรมดาๆ รึเปล่าวะ”
“ไม่รู้แหละ มึงรู้จักกลุ่มพี่พวกนั้นแล้วก็ลองสังเกตดูดีๆ” เป็นใจมันทำหน้าจริงจังมากครับ แหม ถ้าเรื่องเรียนจริงจังได้ขนาดนี้แล้วเกียรตินิยมเหรียญทองคงอยู่ไม่ไกลอะครับ “ถ้าได้ความอะไรแล้วก็บอกกูด้วย”
“กูว่าแทนที่จะชวนพี่เป้กับพี่อ๊อฟมาถ่าย ทำไมมึงไม่ชวนหมอยินเขามาถ่ายเลยวะคะ”
“ไอเดียดี กูซื้อ”
“อ้าว! กูเสนอไอเดียมึงตั้งนานสองนาน ไปเลือกไอเดียธันวามันเฉย”
“อะไรที่เกี่ยวข้องกับหมอยินมันก็เอาหมดนั่นแหละ…”
จากนั้นพวกมันก็พูดอะไรไร้สาระไปอีกเรื่อยเปื่อยครับ แต่ตอนนี้ผมเริ่มแพลนในหัวแล้วว่าจะไปสู่ขอพี่หมอยินมาเป็นนายแบบได้ยังไง …คือก็เพิ่งง้อกันไปแล้วยังจะไปขอให้เขามาช่วยทำงานให้เนี่ยนะ ฟังดูเสียมารยาทไปหน่อยแต่ถ้าลองเสี่ยงดูก็น่าคุ้มครับ
ยังไงแค่ถามไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร ถ้ามันจนปัญญาจริงๆ ผมก็อาจจะลองขอคนอื่นดู… ซึ่งก็ยังไม่ได้คิดว่าเป็นใคร
ไม่รีรออะไร ผมรีบเข้าโปรแกรมแชทแล้วส่งข้อความหาหมอยินทันที แต่นานแล้วนานเล่าเฝ้ารอคอยหมอเขาก็ไม่ตอบกลับมาสักทีครับ สงสัยกำลังเรียนอยู่ แหม่ ทำไมภรรยาที่ดีแบบผมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยนะ แต่ไม่เป็นไรผมรอได้ นานแค่ไหนผมก็จะรอ
.
.
.
“เป็นไงกิ่ง ตกลงมึงจะถ่ายวันไหน”
“…ถ่ายกับผีอะไร หมอเขาไม่โอเคอะ”
อรุณสวัสดิ์เช้าที่สดใสครับ แต่ตอนนี้ขอบตาผมดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าที่อดนอนมาอีกทีนึงเพราะเรื่องเมื่อคืน หลังจากที่ผมส่งข้อความไปหาหมอ พอเลิกเรียนกลับหออาบน้ำอาบท่าเสร็จหมอยินก็ตอบกลับมาพอดีครับ สั้นง่ายได้ใจความว่า
HAPPYYIND : อาทิตย์นี้ไม่ว่าง เรียนหนัก
แล้วก็ดูท่าว่าจะเรียนหนักจริงๆ ครับ เพราะหลังจากนั้นผมพิมพ์อะไรกลับไปก็ไม่ตอบมาเลย… ฮือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ละความพยายาม ไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ได้หมอยินอย่างน้อยได้เพื่อนในกลุ่มมาก็ยังดีครับ พอคิดได้แบบนั้นก็ลองทาบทามพี่เป้พี่อ๊อฟไปตามที่เป็นใจบอก แต่ทั้งสองคนก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครเอาไปเผยแพร่ เหตุผลดารามาก แต่พอพูดมาแบบนั้นแล้วผมก็เลยได้แต่นั่งห่อเหี่ยวใจ เดดไลน์จ่อคอหอยแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนไม่หลับไปวันๆ
“แล้วเอาไงต่อ”
ธันวาพูดพลางเคี้ยวขนมหมีโคอาลาเป็นอาหารเช้า ผมเองก็โกยเข้าปากแก้เครียดไปเช่นกัน “ไม่รู้อะ คิดไม่ออกแล้ว รู้งี้น่าจะหาเพื่อนเยอะๆ เข้าไว้”
“ถ่ายกูสิ”
“ไม่อะ พอร์เทรตมันควรถ่ายคนไม่ใช่เหรอ”
พูดจบเท่านั้นแหละผมก็โดนกล่องขนมฟาดหน้าทันที
“ลองไปถามรุ่นพี่รุ่นน้องเราดูสิ”
“กลัวอาจารย์ว่าว่าไม่ลงทุนอะ”
“ใครบอกให้ลืมเอง สม”
“ว่าแต่โคอาลาสีนี้รสอะไรวะ มันแปลกๆ กลิ่นหึ่งๆ เหมือน…”
“รสน้ำผึ้งไง”
อ้อ… รสน้ำผึ้งนี่เอง
เดี๋ยวนะครับ …พี่ผึ้ง พี่ผึ้งเขาจะว่างมาเป็นแบบให้ผมไหมวะ
แต่ถ้าหมอยินว่าเรียนหนักก็คงจะเรียนหนักอย่างที่ว่าจริงๆ ทว่าคนอย่างกิ่งไม่เคยคิดยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มครับ ผมกดเปิดหาแชทพี่อ๊อฟแล้วขอไลน์ของพี่ผึ้งมา คนหน้าโหดให้มาเกือบจะทันที …เห็นแล้วก็อดคิดถึงหมอยินไม่ได้ กะอีแค่ไลน์ ทำไมถึงได้ตอบช้านัก แล้วก็ชอบจริงเนี่ยไอ้ที่อ่านแล้วไม่ตอบ
พอกดเพิ่มเพื่อนไปได้ไม่นานพี่ผึ้งก็รับครับ ผมรีบแชทไปด้วยความเร็วสูงทันที
กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่ผึ้งครับ นี่ผมกิ่งนะ คือผมอยากถามว่าพุธนี้พี่ว่างมั้ยอะครับ
ผึ้งน้อย : ว่างดิ มีไรเหรอ
กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่สนใจมาเป็นนายแบบให้ผมไหมครับ คือผมจะส่งการบ้าน
กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่เองก็จะได้รูปหล่อๆ ไว้เปลี่ยนรูปโปรไง
ผึ้งน้อย : 55555555
ผึ้งน้อย : เอางั้นก็ได้ กี่โมงล่ะ
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! กรุงศรีไม่สิ้นคนดี!! ผมกระโดดโลดเต้นเป็นหมาได้กระดูกไปรอบๆ ห้อง ปากก็กรี๊ดแบบไม่มีเสียงไปด้วยจนธันวามันถึงกับสะดุ้งเมื่อเพื่อนรักลุกมาดิ้นเหมือนคนโดนของ
กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : สี่โมงเย็นได้ไหมครับพี่ พี่เลิกเรียนกี่โมง
ผึ้งน้อย : อ่า พี่ว่าโดดได้ เจอกันสี่โมง
ผึ้งน้อย : /สติ๊กเกอร์ผึ้งน้อย/
โหยยยย ดูเหมือนว่าแต้มบุญด้านการเรียนจะพุ่งพรวดๆ ครับ แม้ว่าแต้มความรักอย่างหมอยินจะยังกระเตื้องแบบหอยคลานอยู่ก็ตามที แต่แค่ได้พี่ผึ้งดีกรีหมอเพลย์บอยมาถ่ายแบบด้วยก็โชคดีสุดๆ แล้ว อย่างน้อยก็เข้าทางเพื่อนให้พี่เขาเห็นครับว่า เราทำดีกับทุกคนรอบๆ ตัวเขา แม้ว่ามันจะเป็นการทำดีหวังผลสองต่อก็ตามแต่(ฮา)
“มึงบ้าไปแล้วเรอะ”
“หึๆๆ กูได้นายแบบแล้ว! ดูนี่ซะก่อน”
พอเปิดรูปพี่ผึ้งโชว์ให้ธันวามันดูเท่านั้นแหละครับ เพื่อนสาวของผมก็เบิกตากว้าง คว้าหมับเอาโทรศัพท์ของผมไปโดยแล้วโวยวายเสียงดัง “หล่อ!!! มาก!!! ดูแบดสุดด! ใครวะ!!”
“กูนึกว่ามึงจะรู้จัก พี่ผึ้งไง ที่อยู่ในกลุ่มหมอยิน”
“ผึ้ง… ผึ้งไหนวะ ทำไมเรดาร์คนหล่อกูถึงได้หาเขาไม่เจอ”
“ผึ้งที่เหมือนจะเจ้าชู้หน่อยๆ อะ”
“โอว มิน่าล่ะ พอดีเรดาร์กูจับได้แค่คนดีๆ”
“เขาก็ดีนะ”
“ดีแต่เจ้าชู้ก็ไม่ไหวค่ะ” ธันวาทำเมินแล้วคืนโทรศัพท์ผมมา แหม่ ตะกี๊ยังทำเป็นกรี๊ดกร๊าดจะเป็นจะตาย “แล้วหมอยินเขาจะไม่ว่าว่ามึงเปลี่ยนใจง่ายเหรอวะ แบบ เหมือนพี่เขาปฏิเสธแล้วมึงก็ไปหาคนอื่น”
“อันนี้มันงาน กูว่าพี่เขาคงไม่ซีเรียส… ทำไมมึงพูดเหมือนเขาเป็นแฟนกับกูแล้วอะ”
“จริงๆ ในขั้นจีบมันก็ควรที่จะซีเรียสแบบนี้แหละมั้ง”
หลังจากนั้นเพื่อนในห้องก็ทยอยมากันจนครบ ผมแทบไม่ได้สนใจบทเรียนต่างๆ ที่ว่ามาเลย เพราะในหัวมีแต่เรื่องของหมอยินลอยเต็มไปหมด ผมจะทำยังไงให้เขายอมรับตัวผมนะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
.
.
.
“หูวววว พี่ผึ้ง! หล่อสุดๆ นี่กินอะไรเป็นอาหารครับเนี่ย ใช่ข้าวรึเปล่า”
“ฮ่าๆ อันนี้คือชมใช่ไหมวะกิ่ง”
“ชมครับชม”
เย็นวันพุธตามที่นัดกันไว้ พี่ผึ้งโผล่มาด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดแขนสามส่วนสีกระดำกระด่างที่ดูโคตรเท่เมื่อพี่เขาใส่ ผมหยักศกไม่ได้ถูกรวบไว้อย่างที่พี่เขาเคยทำ แต่ทุกอย่างมันกลับดูเสริมให้พี่ผึ้งเข้ากับคอนเซปต์วันนี้เข้าไปใหญ่
เพราะพี่ผึ้งดูเป็นลุกแบดบอยสุดเจ้าชู้ที่พร้อมจะขยี้ใจสาวๆ ผมเลยเลือกคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมืองให้พี่เขา… จริงๆ มันก็ไม่ได้ชื่อตีมนี้หรอกครับ แค่ธันวามันพูดขึ้นมาแล้วผมชอบก็เท่านั้นเอง
“ตีมวันนี้เป็นตีมเพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์นะครับพี่”
“คือกูถ่ายเป็นซานตาครอสเรอะ”
“เปล่าครับ แต่พี่กำลังจะได้ขี่กวาง…”
ผ่างง!! ทันใดนั้นกวางน้อยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ …ล้อเล่นน่ะครับ ไม่มีกวางหรอก แล้วก็ไม่มีใครด้วยนอกจากผมกับพี่เขาที่ยืนงงๆ กันอยู่ตรงนั้น
“คือผมหมายถึงพี่มาที่เมืองนี้เพื่อจะหาเหยื่อสาวน้อยอะไรอย่างนั้นอะครับ ตามหลักแล้วพี่จะเป็นแวมไพร์” พอจบประโยคนี้ผมก็ยื่นผ้าคลุมสีดำที่ตัวเองเคยใช้คอสเพลย์สมัยม.ปลายไปให้ คนตัวสูงรับไว้แล้วลองใส่มันเข้าด้วยท่าทางที่… โคตรขี้เก๊ก อืม เห็นแล้วแสบตา
“อย่างงี้ใช่ไหม”
แล้วพี่แกก็เก๊กท่าต่างๆ นาๆ สารพัดไปครับ เอ่อ ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าหมอจะเป็นอะไรแบบนี้ได้ด้วย หรือว่าเรียนหนักเกินไปเลยต้องหาทางแก้เครียดกันนะ “ก็พอได้ครับพี่ ผมว่าเราเริ่มถ่ายเลยดีกว่า เดี๋ยวแสงหมด”
พี่ผึ้งยกมือโอเคให้ผม ผมเลยเดินนำพี่เขาไปยังโลเคชั่นที่ตัวเองหาไว้ มันเป็นตึกเก่าๆ ที่ผมบังเอิญมองเห็นจากหอได้พอดี ไอเดียก็ปิ๊งขึ้นมาภายในสามวิเพราะงานต้องรีบส่งแล้ว พี่ผึ้งไม่อิดออดเมื่อต้องเข้ามาอยู่ในที่ที่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ กลับกันแล้วเขากลับดูสนุกที่ได้มาอยู่ในตึกร้างนี่เสียมากกว่า
“มีกราฟฟิตี้ด้วย”
ร่างสูงชี้ให้ดูตรงมุมกำแพงที่มีลวดลายจากสีสเปรย์พ่นไว้ อ่านไม่ออกครับ ถึงเป็นเด็กศิลป์แต่ก็ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นจริงๆ มันดูเฉพาะทางเกินไป
“อยากถ่ายตรงนั้นว่ะ”
“ครับพี่ แต่เดี๋ยวผมขอเวลาแป๊ปนึงนะ”
เพราะเป็นช่างภาพแบบเร่งรีบผมเลยไม่มีตัวติดสอยห้อยตามมาตามปกติ จริงๆ แล้วอุปกรณ์พวกขาตั้งกล้อง แฟลช รีเฟล็คอะไรเนี่ยต้องมีคนคอยช่วยถือช่วยจัดให้ครับ แต่งานนี้กิ่งน้อยฉายเดี่ยว แบกเองถ่ายเองคิดงานเอง ฮือ ไม่น่าลืมเดดไลน์เลย
“มา กูช่วย”
หูย เป็นพระคุณมากครับ พี่ผึ้งเดินมาช่วยผมกางขาตั้งกล้องอย่างทะมัดทะแมงจนผมอดถามขึ้นไม่ได้ “พี่เคยถ่ายรูปมาก่อนเหรอครับ ดูคล่องจัง”
“กูอยู่ชมรมถ่ายภาพนะ แต่เดี๋ยวนี้เรียนหนัก เวลาจะชาร์ตแบ็ตกล้องยังไม่ค่อยมี”
“เรียนหมอนี่หนักเนอะ”
“เรียนอะไรก็หนักหมดแหละ จะให้กูซิ่วไปเรียนคณะอื่นกูก็คงบ่นเหมือนเดิม”
“ฮ่าๆๆ พี่พูดถูก”
“แล้วนี่ทำไง” พี่ผึ้งถามถึงแผ่นรีเฟล็ค …จริงๆ แล้วแผ่นนี้จะต้องมีคนคอยช่วยถือส่องไฟให้สะท้อนไปยังนายแบบในมุมที่มืดครับ แต่ก็อย่างว่า มาคนเดียวคงทำอะไรมากไม่ได้ “เดี๋ยวผมกำหนดตำแหน่งวางเองครับ พี่แต่งตัวรอก่อนเลย ขอหล่อๆ”
“โอเค”
จากนั้นพวกเราก็ต่างเซ็ตตัวเองกันอีกสักพัก เเล้วก็เริ่มถ่ายทำกันด้วยคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมือ… เอ๊ย เพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์ (จริงๆ ผมว่าทั้งสองชื่อมันก็ตลกพอๆ กันแหละครับ”
“พี่ผึ้ง งอศอกอีกนิดครับ”
“พี่ผึ้ง ขอยิ้มที่แบบ …เหมือนกำลังอยากกินเลือดในหัวอะ ไม่ใช่ๆๆ พี่ไม่ได้ยิ้มแบบนั้นอะ มันเหมือนพี่กำลังอยากกินหัวกิ่งมากกว่า ขอยิ้มใหม่ๆ”
“พี่ผึ้ง ขอมุมลอดหว่างขา”
“พี่ผึ้ง… ขอเสยผม สายตาอยากฟัน”
และอีกสารพัดท่าครับที่ผมขอให้พี่เขาแอคติ้งตาม แรกๆ พี่ผึ้งก็ทำตามแต่โดยดีอยู่หรอก แต่หลังๆ ไปดูเหมือนว่าช่างภาพจะกลายเป็นทาสเสียมากกว่า นายแบบจะเก๊กยังไงก็ต้องถ่ายไปซะงั้น
“มุมนี้กูหล่อไหม”
ว่าแล้วพี่แกก็หันหลังให้ผม จากนั้นก็มองข้ามไหล่สี่สิบห้าองศามาแบบแรดๆ “หล่อมากพี่ ค้างไว้นะผมขอวัดแสงแป๊ป”
จากนั้นเสียงรัวชัตเตอร์ก็ดังรัวขึ้น ถ้ากล้องเป็นปืนล่ะก็ป่านนี้พี่ผึ้งก็คงพรุนตายไปแล้วแหละครับ เราถ่ายกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงหมด เกือบหกโมงเย็นตอนที่ผมกับพี่ผึ้งเดินออกมาจากตึกร้าง เสียงหมาหอนเกรียว ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับถ้าไม่ติดว่ามันจะหอนกันอยู่ทุกวัน อยู่บนหอทีไรผมก็ได้ยินทุกทีช่วงนี้
“บรื๋อ น่ากลัวว่ะ”
แต่กลายเป็นว่าคนข้างๆ เองที่กลัวไป พี่ผึ้งกอดอกตัวเองแล้วทำตัวสั่น “โหยพี่ไม่มีอะไรหรอก ผมได้ยินมันหอนแบบนี้ทุกวันแหละครับ สงสัยรำคาญเสียงระฆัง”
วัดแถวนี้ชอบเคาะระฆังครับ หมาแถวนี้ก็ชอบหอนตามอีกเช่นกัน ผมเดินนำพี่ผึ้งออกจากแถวนั้นเพื่อไปหาร้านข้าวที่ตั้งใจจะเลี้ยงขอบคุณนายแบบในวันนี้ พอถึงร้านพี่ผึ้งก็เป็นฝ่ายจัดแจงสั่งนู่นนี่นั่นไปทั่วครับ โถ่ถัง ห้าร้อยจะพอไหมวะเนี่ย
.
.
.
พอเรากินเสร็จ… ผมก็เดินตัวปลิวแยกกับพี่ผึ้งทันทีที่บอกลากันเสร็จเรียบร้อย กลัวโดนไถค่าของหวานต่ออีกครับ คนเรานี่มันมองกันแต่หน้าไม่ได้จริงๆ ผมเปิดประตูแบบทุลักทุเลเพราะในมือมีทั้งขาตั้งกล้องแล้วกระเป๋าของอีกสารพัด ภายในห้องยังคงมืดเหมือนถูกตัดไฟอยู่ ซึ่งนั่นหมายถึงรูมเมทคู่จิ้นของผมยังไม่กลับมา ผมวางของกองๆ ไว้แถวหน้าห้อง เปิดไฟเปิดโน๊ตบุ๊กคู่ใจให้เรียบร้อยแล้วแกะเอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องมาเสียบเพื่อถ่ายข้อมูล ไม่รีบไม่ได้ครับ ไหนจะต้องคัดรูปแต่งรูป ไม่รู้จะเสร็จภายในคืนนี้หรือเปล่า
“…ไฟล์เป็นไรวะ”
เมื่อเห็นรูปที่อยู่ในเมมโมรี่การ์ดที่ถ่ายมาผมก็เผลอหลุดอุทานทันที… ไฟล์ภาพที่ควรจะเป็นเซ็ตภาพถ่ายสุดหล่อของพี่ผึ้งขวัญใจกวางน้อยกลับกลายเป็น… ภาพถ่ายที่… ภาพถ่ายที่ควรจะมีพี่ผึ้งอยู่คนเดียวกลับกลายเป็น…
ภาพหมู่…
ติ๊ง!!
“เชี่ยยยย!!!!”
ผมหลุดกรี๊ดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงข้อความที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ไม่รอช้า ผมคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้องประหนึ่งเดอะแฟลช กดลิฟต์ลงไปข้างล่างแล้วกระโดดเข้าไปเพื่อไขว่คว้าหาผู้คนทันที โอยยย ไม่ไหวแหล่ว ไม่ไหวแล้ว! พุทโธนะโมสังโฆ ทำไมกิ่งจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยวะครับเนี่ย!!
เมื่อลิฟต์พาผมลงมาสู่ชั้นโถงของหออย่างปลอดภัย ผมก็รีบควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดเปิดดูข้อความที่ส่งมาได้จังหวะปอดแหกพอดิบพอดี กะว่าจะด่ากลับให้เสียชาติเกิดไปเลย แต่พอเห็นชื่อว่าใครส่งมาเท่านั้นแหละครับ ชีวิตผมก็เหมือนเปิดทางสว่างให้แก่ตัวเองทันที
ผมคอลไลน์หาหมอยิน รออยู่นานสองนานเหมือนหมอมันทักมาแล้วก็เขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งไปจนกระทั่งมีเสียงตอบรับมาจากปลายสาย
“หมอออ!! ผมเจอชัตเตอร์!!!!”
(อะไรวะ)
ดูท่าว่าปลายสายจะไม่เก็ตกับสิ่งที่ผมพูดครับ ผมเลยอธิบายกลับไปแบบปากสั่นๆ กลัวก็กลัว แต่โชคดีที่ตอนนี้ยังมีคนพลุกพล่านแถวใต้หอให้ใจชื้นบ้าง “คือผมไปถ่ายรูปกับพี่ผึ้งมาอะ ไอ้งานการบ้านที่เคยขอหมอ แล้วทีนี้… พอมาเปิดดูอะ แล้วทีนี้ โฮวววววว”
ไม่ไหวแล้วครับ ผมนี่ขาสั่นจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น แค่คิดว่าตัวเองถ่ายรูปกับพี่ผึ้งอยู่สองคนในนั้นนานสองนานก็แทบจะฉี่แตก ขอโทษนะเจ้าฝูงหมาทั้งหลายที่ฉันคิดไปว่าพวกแกหอนไปเล่นๆ งั้นๆ แหละ ฮือ แม่งมีจริงนี่หว่า โอ๊ยยยยยย
“หมอคิดดู! ถ่ายพี่ผึ้งอยู่แค่คนเดียว พอเอามาเช็คในคอมเท่านั้นแหละแม่ง! ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะ! แล้วคิดดูว่าพี่เนย์พี่เปียวไม่อยู่ห้อง! ผมเปิดดูรูปนั้นคนเดียวแล้วหมอก็ยังจะไลน์มาถูกจังหวะอีก อ๊ากกก จะบ้าตาย กลัวเว้ยยย”
เมื่อขาสั่นจนไม่ไหวผมก็ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น เรียกความสนใจจากบรรดาหมอๆ ที่เดินผ่านใต้หอจนหลายคนต้องหยุดดู แต่วินาทีนี้ผมไม่สนครับ ยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี
(ภาพมันเสียเองรึเปล่า)
“เสียไรล่ะหมอ! มาเป็นคนๆ เลยเหอะ ชัดยิ่งกว่าพี่ผึ้งอีกมั้ง!”
(แล้วนี่อยู่ไหน)
“ใต้หอครับ ตอนหมอทักมานั่นแหละผมก็รีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงมาเลย โอย พุทโธธรรมโมสังโฆ อาเมน”
(เดี๋ยวเหอะ ทำเป็นพูดเล่นไป เดี๋ยวเขาก็มา…)
“หยุ๊ดดดดด!! สต็อปปุเลยหมอ! แค่นี้ผมก็กลัวจนจะบ้าแล้ว!”
(ปกติก็บ้าอยู่แล้วเหอะ)
“หมอ ถ้าไม่ช่วยปลอบก็ไม่ต้องพูดเลยนะ”
(อ้าวเหรอ งั้นฉันวางสายล่ะ แค่นี้นะ)
“เดี๋ยวววว! หมออย่าทำงี้ดิ ผมกลัว อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”
แค่คิดว่าจะต้องกลับไปห้องนั้นที่มีรูปนั่นเปิดค้างอยู่ผมก็ใจสลายแล้วครับ ไม่รู้พี่เนย์พี่เปียวจะกลับมาตอนไหนด้วย …แต่ตามสถิติแล้วทั้งคู่จะชอบกลับห้องช่วงสองสามทุ่ม และนั่นก็เป็นเรื่องของอีกสองชั่วโมงให้หลังครับ
และถ้าพวกพี่เขากลับเลทกว่านั้น นั่นก็หมายความว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ…
“หมอ ขอผมไปสิงหอหน่อยนะครับ! ไหว้ล่ะ ผมไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วจริงๆ”
(อะไร เพื่อนนายมีตั้งเยอะแยะ)
“มันยังอยู่คณะกันอยู่เลยมั้ง!”
(ก็ไปคณะดิ)
“ทางไปมันผ่านตึกตรงนั้นด้วยอ๊ะ!”
สาเหตุหลักก็นี่แหละครับ ฮือ กลัวพวกพี่เขามาทวงรูป “ขอล่ะหมอ ผมจะอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ไม่หือไม่อือ ขออาศัยอยู่แค่สามทุ่มเท่านั้นแล้วผมจะรีบกลับ นะครับ นะ นะ นะ”
(…)
อย่าเงียบสิใจคอไม่ดีเลย
(เดี๋ยวลงไปรับข้างล่าง)
“เย้!! หมอยินใจดีที่สุดเลย!! ร้ากกกหมออออ”
ตู้ดดด… ไม่รอให้ผมพูดประโยคแสดงความยินดีจบ หมอยินก็ตัดสายไปด้วยความเร็วแสง พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็รีบวิ่งไปหอหมอยินทันทีครับ วินาทีนี้จะมาคิดเรื่องหลอกแต๊ะอั๋งในห้องหออะไรก็คงไม่ใช่แล้ว ขอแค่อยู่ห่างๆ จากตึกแล้วก็รูปพวกนั้นให้มากที่สุดก็เพียงพอ
ว่าแต่… ผมควรจะไปขอบคุณพวกพี่ๆ เขาดีไหมอะครับ ที่ทำให้ผมได้ไปห้องหมอยินอีกครั้งเนี่ย
tbc.
*********************************************
บทนี้เป็นบทเเนะนำพระรองค่ะ๕๕๕๕๕