พิมพ์หน้านี้ - ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: steppenwolf ที่ 16-10-2016 17:48:10

หัวข้อ: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 16-10-2016 17:48:10
****************************************************


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


****************************************************

“หมอ รับรักผมเถอะ!”


   ผมเป็นคนที่ไม่ฝักใฝ่ธรรมมะ ไม่ชอบเข้าวัดทำบุญเพราะขี้เกียจ  แต่ในระยะสองปีหลังมานี้ผมบ้าคลั่งในการทำบุญมาก
บริจาคให้ทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้งมูลนิธิ หมาจรจัด ขอทาน หรือแม้แต่เจ้าแมลงตัวน้อยที่ไร้ที่อยู่อาศัย  ทั้งหมดนั้นก็เพื่ออยากให้ผลบุญมาช่วยในการนี้  ใช่แล้วครับ วันนี้ผมมาสารภาพรักกับผู้ชายที่ผมหลงรักมาตลอดห้าปี


   “…”

   หมอมันเงียบ ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ  สงสัยฟ้าคงกำลังตรวจสอบความดีที่ผมเคยทำอยู่ และแน่นอนว่ามันต้องโอเคครับ ฟ้าย่อมช่วยคนดี ฟ้าจะไม่ทอดทิ้งคนที่มีความพยายามแบบผม…

   “ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย”


   แน่นอนว่ารักครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ  แม้ผมจะเพิ่งเริ่มมาเข้าวัดทำบุญได้ไม่นาน แต่ผมมั่นใจว่า…


   ฮะ

   อะไรนะ


   “ไสหัวไปไกลๆ ได้แล้ว ขนลุก”


   “เอ่อ ผมว่าหมอคงกำลังพูดผิ…”

   “ฉันชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบตุ๊ด ...เเล้วก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก”

   “…”


   “ต้องให้พูดซ้ำอีกรอบไหม?”




   ผมมั่นใจว่า… ผมคงอกหักอย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ แหละครับ






****************************************************
นักเขียนมือใหม่ ผิดพลาดประการใดก็ขอโทษด้วยนะคะ (_ _) ท้วงติงได้เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะเเก้ไขให้
ขอฝากนิยายเรื่องยาวเรื่องเเรกในเล้าไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ ^^


หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 16-10-2016 17:51:40
ตอนที่ 1



   
      เรื่องมันเริ่มขึ้นจากการที่ผมเห็นหน้านักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่กำลังเดินออกจากตึกเรียนไป ริมฝีปากบางนั่นหยักเป็นรอยนิดๆ จนดูเหมือนกำลังเบะปากตลอดเวลา  ตาเล็กนั่นก็เฉียงขึ้นจนเหมือนกับเป็นตัวโกงในหนังจีน แต่ก็รับกับทรงผมรองทรงสั้นเรียบๆ และผิวสีน้ำผึ้งอยู่ไม่หยอก  ไม่ได้หล่อพิมพ์นิยม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้ามันดูดีมากจนต้องเหลียวมองเพราะความน่าค้นหาของมัน  …ครับ นั่นคือรักแรกพบ


   ผมเรียนอยู่คณะแพทย์เหมือนกันแต่คนละสาขา  โดยที่สาขาของผมนั้นจะเรียนเป็นสายศิลปกรรมจ๋าเลยครับ ทั้งดรออิ้ง สีน้ำ ถ่ายรูป  เพียงแค่ต้องเรียนเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับสื่อทางการแพทย์ให้ได้เท่านั้นเอง  เหมือนกับเป็นด้านสร้างสื่อให้กับหมอแทนเพื่อความถูกต้องและแม่นยำในข้อมูล  พวกเราจึงเปรียบเสมือนหมอและศิลปินที่ผสมรวมๆ กันนั่นเองครับ
   

         และเพราะเหตุผลนี้แหละที่ทำให้ผมเชื่อมั่นว่า ผมจะต้องเกิดมาเพื่อเป็นคู่กับหมอยินแน่นอน คุณลักษณะทางอาชีพคอนเฟิร์ม



   …หมอยิน หรือนายยินดี สายปัญญา เป็นนักศึกษาแพทย์ปีสามที่ตอนนี้เป็นขวัญใจของแม่ยกในโรงพยาบาล หล่อ สูงร้อยเก้าสิบสองเซนติเมตร(อีกนิดก็ชนกรอบประตูแล้วครับ) นิสัยดีเป็นที่รักของคนรอบข้าง(นี่ก็อวยไป๊) และที่สำคัญคือฉลาดท็อปไฟว์ของคณะ  มิสเตอร์เพอร์เฟคแมนคนนี้แหละครับที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของผม
   

         …แต่ตอนนี้มันก็พังลงไปแล้วล่ะ


   “ฮืออออออออ กูไม่เข้าใจ ทำไมอะ ทำไมเขาต้องพูดแบบนั้นกับกูด้วย แม่ง กูอุตส่าห์ยอมทำบุญเจ็ดวัดทุกสามเดือน กินมังทุกวันพุธ แต่แม่งก็ยังไม่ยอมเห็นใจรับรักกูบ้างอะ  ถ้ารู้ว่าทำดีแล้วไม่ได้หมอยิน กูขอบุกขึ้นหอไปปล้ำเขาดีกว่า!!!”
   


         “ไอ้กิ่ง …มึงนี่มัน”  ธันวา เพื่อนชายเพียงหนึ่งเดียวในสาขาของผมตบบ่าแปะๆ ให้กำลังใจด้วยมือที่นิ้วก้อยกรีดขึ้นเก้าสิบองศา  “เล่นเดินดุ่มๆ ถือเยอบีร่าไปฟาดหน้าเขาเป็นช่อขนาดนั้นเป็นใครใครก็ต้องกลัว กูยังขนลุกแทนเขาเลยค่ะ”
   

        “กูไม่ได้ฟาด! กูเอาไปยื่นให้เขาต่อหน้า เขาจะได้ดมกลิ่นมันได้ง่ายๆ”
   

         “เยอบีร่ามึงหอมนักว่างั้น? ซับเจ็คสีน้ำที่วางง่อยๆ อยู่สองวันคงจะส่งกลิ่นแบบนั้นล่ะมั้งคะ”
   
        “กูว่ามันสวยดี พี่เขาน่าจะชอบ… ก็แค่นั้น”

          “มันจะไม่แค่นั้นถ้ามึงไม่สารภาพรักด้วยเสียงระดับพันแปดสิบเดซิเบลล์”

   “กูอยากให้เขาได้ยินกูชัดๆ นี่”

   “เอาเป็นว่ากูว่าอะไรมึงก็เถียงได้หมดแหละค่ะ กูอยู่กับมึงมานานกูเข้าใจนิสัยมึง แต่เขาเพิ่งจะรู้จักมึงได้แค่สองวิมึงก็ทำเขากลัวแล้ว  พี่หมอยินไม่ต่อยมึงคว่ำก็ดีเท่าไหร่ละ”

   “เขาว่ากูว่าตุ๊ด…”


   “กูจะเกลียดเขาก็ประโยคนี้นี่แหละ”  ธันวาถอนหายใจเฮือก “โปรโฟล์ดีหมดแต่ทัศนคติเหยียดเพศที่สามแบบนี้กูก็ไม่เอาทำผัวนะ”

   “หมอยินเป็นของกู!”


   “เออๆๆๆๆ  เอาเป็นว่า ตัดใจค่ะ  ถือซะว่าจบไปแล้วก็แล้วกัน เดินหน้าประเทศไทย ผู้ใหม่ยังมีอีกเยอะ”

   “กู…”  ผมกลืนก้อนสะอื้นเข้าไปในคอ  แม้จะนั่งอยู่ในโรงอาหารใต้ตึกคณะแต่ผมก็ยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแบบไม่แคร์ใคร “กูทำไมได้หรอกมึง รักเขามาตั้งนาน”

   “ทำไม่ได้ก็ต้องทำ”


   “กูรักเขา ได้ยินไหมว่ากูรักหมอยินนน”

   “ถ้ามึงยังไม่หยุดตะโกนกูจะขึ้นไปเรียนต่อแล้วนะคะ อายฉิบหาย”

   
        “ฮือ ธันนน อย่าทิ้งกู กูไม่อยากเรียนแล้ว กูจะซิ่วไปเรียนหมอจะได้จีบเขาสะดวกๆ”


   “ดูสมองมึงด้วยค่ะ เทอมที่แล้วอนาโตมี่ได้ไปเท่าไหร่คะกรุณาดูเกรดด้วย”

   “มึงไม่เข้าใจ”   ทิชชู่ที่เดิมทีถูกวางไว้ให้บริการแก่ผู้ใช้โรงอาหารถูกดึงออกมาเป็นแผ่นสุดท้ายเพื่อเช็ดน้ำตาของผม
“กูรักเขามาห้าปี ตามเขามาเรียนที่นี่ เปลี่ยนตัวเองให้ตรงสเป็คเขาแทบตายแต่ต้องมาถูกปฏิเสธแบบนี้ เป็นมึงมึงจะตัดใจได้ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอวะ”
   


        เพื่อนสาวในกายหยาบเพื่อนชายทำท่าครุ่นคิด  ถอนหายใจประกอบฉากอีกทีก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ   พวกเราไม่ได้คุยกันต่ออีกเพราะผมร้องไห้แบบมาราธอน  คำพูดของไอ้พี่หมอยินมันดังก้องอยู่ในหัว ไอ้ตุ๊ด… ไม่ได้ชอบผู้ชาย… แล้วก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก… โอ้จอร์จ  ทำยังไงให้น้ำตามันหยุดไหลกันนะ ผมชักจะปวดตาแล้ว ปวดหัวด้วย
   
       
        แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือปวดใจมากครับ  อกหักครั้งแรกในชีวิต ขมเกินกว่าจะรับไหวจริงๆ






.
.
.

   “มึงดูๆ  ฮ่าๆๆ  ดังใหญ่แล้วนะกิ่ง”
   


        “…ใครถ่ายวะ”




   ในมือถือไอฟงแปดพลัสของหมวยหมวยโชว์วิดีโอความคมชัดระดับสี่เคที่เหมือนถูกสตีฟ จ๊อบส์จ่ายค่าโฆษณามา มันเป็นวิดีโอตอนที่ผมสารภาพรักกับหมอยินเมื่ออาทิตย์ก่อนพอดี เพจรวมดาวสาวมหาลัย(ไม่ได้ชื่อนี้หรอกครับ ผมแค่เรียกเพราะมันชอบเอารูปสาวๆ หนุ่มๆ มาลงเรียกไลค์เล่นไปงั้นแหละ)อัพโหลดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งตอนนี้ยอดไลค์แตะหกพันกว่าๆ แล้ว  ในขณะที่ดารานำอย่างผมยังนั่งซึมกะทือตาบวมไม่มีกะจิตกะใจเรียนอยู่   
   

        “มึงอ่านคอมเมนท์ โคตรฮา”

       
   “เขาคงคอมเมนท์เรื่องเสียดายกูสินะ ไม่น่าเลยไอ้พี่หมอยิน”
   

        “ถุย อ่านค่ะอ่าน”

   แม้ไม่ได้อ่านก็พอรู้แล้วว่ามันจะพูดถึงเรื่องอะไร  ผมเบี่ยงตัวหลบไอ้หมวยหมวยเพื่อเดินไปนั่งข้างธันวาที่กำลังทาลิปมันอยู่ หารู้ไม่ว่ามันก็กำลังดูคลิปวิดีโอสุดฉาวนั้นอยู่เหมือนกัน “ห่า หนีอีหมวยก็ยังมาเจอมึงอีก  เห็นเพื่อนอกหักมันสนุกเหรอวะ”


   “ไม่หรอก กูแค่อยากดูหน้าพี่ยินเฉยๆ คนอะไรขนาดตอนด่าก็ยังดูดี”


   ผมเบ้ปากหน้ามุ่ยใส่เพื่อนรัก ปลดกระเป๋าวางแฟ้มใสขนาดเอสามลงบนโต๊ะแล้วเดินออกมากดลิฟต์เพื่อลงไปซื้ออาหารเช้าที่ชั้นแรก  พอลงมาถึงสถานที่ที่คุ้นเคยก็อดน้ำตารื้นเป็นไม่ได้



   ถึงจะผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง  เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง  บางคนที่พอรู้จักกันบ้างก็เข้ามาทัก เฮ้ย มึงเป็นเกย์เหรอกูเพิ่งรู้  อ้าวไอ้ตุ๊ด เฮ้ยนั่นพี่ยิน และอีกมากมายอะไรก็ว่าไปตามประสาของปากไม่ดีแหละครับ แต่ผมก็ไม่ถือหรอก เผื่อว่าความดีครั้งนี้จะส่งผลให้มาตรความรักของพี่เขากระเตื้องขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
   


        แล้วก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก…


   แต่ก่อนผมชอบแอบออกจากห้องเรียนก่อนเวลาบ่อยๆ เพื่อไปอยู่รอแถวโถงลิฟต์ชั้นแรกแบบนี้  รอให้นักศึกษาแพทย์ปีสามที่เรียนเสร็จช่วงเที่ยงพอดีค่อยๆ ทยอยเดินข้ามตึกพวกผมเพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหาร  แทบทุกวันแหละครับที่หมอยินจะเดินมาพร้อมแก๊งเทพสามหน่อของเขา จะมีแค่ไม่กี่วันที่พี่เขาเดินคนเดียวเพราะว่าออกมากก่อนเพื่อนอย่างเช่นวันนั้น… วันที่ผมเสร่อเดินเอาดอกไม้ไปมอบให้พี่เขาด้วยความรักที่ล้นใจ

   พูดแล้วก็เจ็บ

   เฮ้อ ห้าปีที่ผ่านมานี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ

   พี่ยินในวัยมัธยม มหาวิทยาลัย แล้วก็ตอนที่จะได้เป็นหมอแบบเต็มตัว ผมอยากเห็นจังเลยน้า



   “อ้าว นั่นมันน้องกิ่งคนงามนี่หว่า มารอไอ้ยินเหรอ”

   สิ้นประโยคของพี่ปีสามหนึ่งคน  ที่เหลือที่เดินตามก็หัวเราะกันเหมือนดูเดี่ยวสิบเจ็ดของโน๊ส ดุอม   ผมยืนเหม่อจนไม่ทันมองว่าเป็นช่วงที่นักศึกษาแพทย์กำลังเดินข้ามอาคารเพื่อไปเรียนกัน พอรู้ว่าตกเป็นเป้าของเสียงหัวเราะผมเลยต้องรีบเดินออกมาจากตรงนั้น  แต่ก็ไม่วายโดนแซวตามจนได้

   “อ้าวนั่นไอ้ยินนี่หว่า ยินมึงปล่อยแฟนมึงเดินคนเดียวได้ไงเนี่ย ฮ่าๆ”

   ผมก้มหน้างุดๆ  โดยไม่รู้สึกตัวว่ามีใครอยู่ข้างหน้า  ผมจึงผลักเปิดประตูโรงอาหารเพื่อรีบเข้าไปหลบเสียงแซว ทว่าประตูกระจกที่ควรจะเปิดออกอย่างนุ่มลื่นก็ถูกสกัดไว้ด้วยใครบางคนเสียก่อน


   “หัดดูทางซะบ้าง”

   …เสียงแบบนี้


        ผมรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะได้คอนเฟิร์มเจ้าของเสียงชัดๆ ทันที  แต่เจ้าตัวกลับเบี่ยงตัวเดินหลบออกไปก่อน ทิ้งไว้แต่กลิ่นน้ำหอมราคาแพงให้ผมสูดดมเล่นๆ เท่านั้น  แต่ผมก็จำได้ดี หมอยินเริ่มใส่น้ำหอมตอนขึ้นมหาลัย มันเป็นน้ำหอมที่แม่ของเขาซื้อให้เป็นของขวัญตอนที่สอบติดหมอที่นี่….


        “หมอยิน!!”


        กึก


        แทบจะทุกคนทั้งในและนอกโรงอาหารหยุดนิ่ง หันมองมาทางผมที่ยืนบังหน้าประตูอยู่
โดยเฉพาะไอ้เสาไฟฟ้าข้างหน้า  พี่มันหันกลับมามองผมด้วยคิ้วข้างหนึ่งที่เลิกขึ้นสูงเกือบติดไรผม… ก็ว่าไปนั่น  คนมันหน้าตาดี  ต่อให้ทำหน้าบูดยังไงก็ยังรักนะครับ

        “ฉันบอกไปว่ายังไง อย่ามาให้เห็นหน้า…”


        “ผมรักคุณ!!!”


        ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมสารภาพรักไปอีกรอบด้วยเดซิเบลล์ที่ดังกว่าเดิม  ทุกคนที่เดิมก็หยุดนิ่งอยู่แล้วกลับอ้าปากค้าง รวมไปถึงไอ้กลุ่มก่อนหน้านี้ที่มันตะโกนแซวผมด้วย “083-3805xxx!! โทรมาก่อนสองทุ่มนะครับพี่!! การบ้านผมเยอะ!!!”


        เงียบ…


        ไม่มีแม้กระทั่งเสียงใครหายใจ แม้กระทั่งโทรทัศน์ในโรงอาหารที่ปกติแทบไม่เคยได้ยินเสียงวันนี้ก็กลับได้ยินชัดขึ้นมาถนัดตา  หมอยินเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิมก่อนเดินดุ่มๆ มาทางผม มือหนากำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดเกร็งขึ้นมาตามรอยกล้ามเนื้อ…


        ส่วนผมน่ะเหรอครับ… ตั้งแต่เห็นพี่หมอมันก้าวเท้าละ ผมก็หันหลังวิ่งหนี โกยอ้าวออกไปทางประตูโรงอาหารอีกฝั่ง วิ่งอ้อมไปขึ้นลิฟต์ส่งของที่มีแต่รถขนถังขยะและป้าแม่บ้านด้วยความเร็วระดับที่ยูเซนโบลต์ยังอาย ไมเคิลเฟลป์ยังต้องยอมแพ้(เขาว่ายน้ำมั้ยล่ะ)ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนกลัวว่าจะทะลุออกมาจากอก


        เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วล่ะครับว่าควรจะทำตัวยังไงต่อไปดี…


        ผมจะจีบหมอยินครับ

        ผมจะจดจำเสี้ยววินาทีก่อนที่ผมจะรีบวิ่งหนีออกมาตลอดชีวิต จากนั้นก็จะเก็บไปเล่าให้แขกเหรื่อฟังในงานแต่งงานของสองเราครับว่า


        .
        .
        หมอยินน่ะ เวลาเขินแก้มเขาจะแดงมากๆ เลยแหละครับ


หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 16-10-2016 18:15:34
กิ่งน่ารักกกก 555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 16-10-2016 18:17:07
อุ้ยยยยยย น่าสนุกมากกกกกค่ะ

หมอยินตรงดี เจ้ากิ่งก็ตรง(มากๆ)เหมือนกัน 55555

ภาคที่กิ่งเรียนคือภาคที่เราเคยอยากเรียนมากๆ แต่วิทย์เราอย่างห่วยเลย 5555ดีใจที่มีตัวละครเรียนด้วยอ่ะ เก๋เว่อ ติดตามตอนต่อไปค่ะ :z2:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 16-10-2016 22:03:29
สู้ๆนะกิ่ง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 16-10-2016 22:51:59
ตอนที่ 2


   ผมชื่อกิ่งครับ เป็นนักศึกษาปีสองที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง อยู่ในคณะแพทย์แต่ไม่ได้เรียนแพทย์ เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบ

เก้าเอ๊าะๆ ที่ส่วนสูงหยุดอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบห้าตลอดกาล แม้โดยรวมจะดูเหมือนเด็กโอตาคุไปบ้างแต่จริงๆ แล้วก็… เอ่อ ก็โอตา

คุนั่นแหละครับ


   “กูคลาดสายตาทีไรนี่หาเรื่องเข้าตัวตลอดเลยนะคะอีกิ่ง”

   “อะไร”


   “ที่มึงแจกเบอร์พี่เขาไปนั่นไง”


   ผมนึกย้อนไปเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ผ่านมาจนวันนี้วันศุกร์แล้วหมอยินก็ยังไม่โทรมาเลยจนผมท้อ แต่ด้วยความที่มองโลกใน

แง่ดีตั้งแต่เด็กตามที่แม่สอนไว้ ผมเลยคิดว่าหมอเขาอาจจะยุ่ง เรียนหนัก สอบปิดบล็อก เข้าเวร เวลาไม่ตรงกัน จำเบอร์ผมไม่ทัน

และอีกสารพัดเหตุผลที่ผมเอามาอ้างไม่ให้ตัวเองเหนื่อยใจ


   “ให้เดานะ คงยังไม่โทรมาล่ะสิ”

   “กูว่าเขาจำเบอร์กูไม่ได้แหง”   

   “บางทีกูก็นึกนะว่ามึงโพสิทีฟติงกิ้งหรืออิลลูชั่นไปเอง”

   “ซับไทยด้วยครับ”

   “ง่ายๆ คือมึงมโน  ตื่นค่ะตื่น นั่นใครคะ ดูแค่ส่วนสูงก็ต่างกันอย่างกับฟ้ากับนรกละ นี่ยังไม่รวมถึงฐานะทางสังคม”


   “มึงไม่เข้าใจ” ผมเบะปากใส่ธันวา ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่มันอยู่รอมร่อนั่นแหละมันถึงจะยอมหยุดคำสรรเสริญผม


   “มึงก็พูดแต่คำนี้ ใช่กูไม่เข้าใจ ไปล่ะ บัยส์”


   ผมขว้างกระเป๋าดินสอของใครสักคนที่อยู่ใกล้ๆ มือไปใส่มัน ธันวาหัวเราะร่าแล้วเดินออกนอกห้องไป  คาบนี้เป็นคาบเรียน

กราฟฟิค เพราะงั้นเลยค่อนข้างเข้าออกห้องได้สะดวกโจ๋  อย่างธันวาก็คงออกไปปั่นงานวิชาอื่นที่ดองไว้นั่นแหละครับ





   พูดถึงเรื่องความต่างกันระหว่างผมกับหมอยิน  เรื่องนี้นี่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเราสองคนต่างกันเกินไป   ถึงแม้จะเรียนอยู่

วิทยาเขตเดียวกัน ตึกข้างกัน แต่ผมก็แทบไม่ได้เจอพี่เขาเลยถ้าไม่ไปดักรอดูอยู่ทุกวัน  ตารางกิจกรรมของเราสองคนต่างกันมาก

ครับ  พี่เขาชอบว่ายน้ำ ส่วนผมนี่แค่อาบน้ำหวัดก็กินแล้ว(?)  พี่เขาเป็นเด็กทุน ผมเป็นเด็กอันดับสุดท้ายของคณะ  และอีกอื่นๆ

อีกมากมายที่ยังไม่สามารถกล่าวถึงได้เพราะผมใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว…   เฮ้อ ริจะจีบดอกฟ้า หมาวัดขี้เรื้อนกินอย่างผมคงมีแต่

ต้องทำใจ เดินหน้าต่อประเทศไทยโดยไม่ลืมหูลืมตานั่นแหละครับ
   

   อย่างมากก็แค่เจ็บจนตาย รักใครไปไม่ได้ตลอดชีวิตนั่นเอง

   เพราะฉะนั้นหมอยินต้องรับผิดชอบ…

   พูดเองก็เขินเองครับ



   “กลับดีๆ ล่ะ อย่าไปเที่ยวฉุดผู้ชายคนไหนเข้าห้องละกัน”

   “อีกิ่ง อีคนจัญ มึงนั่นแหละตัวอันตราย”  เพื่อนสาวของผมชี้หน้าด่าในระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านตึกเรียนของปีสามพอดี

  ตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้ว ซึ่งตามปกติพวกเราจะเลิกเรียนกันประมาณห้าโมงเย็น  แต่บางครั้งที่งานไม่เสร็จก็ต้องอยู่ทำงานต่อ

ดึกๆ ดื่นๆ แบบวันนี้  วินมอเตอร์ไซด์หน้าตึกที่เคยมีก็ไม่เหลือสักคัน ผมกับธันวาเลยต้องเดินกลับกันเองแบบมืดมนเปลี่ยวใจ

“หมอยินเขากลัวมึงจนไม่กล้าโผล่หน้ามากินข้าวที่โรงอาหารตึกเราอีกละ จะรับผิดชอบในการสูญเสียทรัพยากรทางสายตาของ

พวกเราทั้งหมดยังไงฮะ”


   “แต่เขาเป็นของกูนะ”

   “เขารู้จักชื่อมึงรึยังเหอะ เฮ้อ คุยกันไปก็ป่วยการ ไปๆๆ”

   ธันวาโบกมือลาอีกครั้งแล้วเดินแยกไปอีกฝั่งนึง   ผมเดินตรงต่อมาเรื่อยๆ  ข้ามสะพานใหญ่ที่มีรถวิ่งขวักไขว่ ซึ่งก็ถือเป็น

เรื่องดีเพราะผมกลัวผี ทำไงได้ล่ะครับ หอในเขาจำกัดจำนวนคน แถมธันวาเองก็อยากอยู่ห้องที่กว้างแล้วก็มีเครื่องอำนวยความ

สะดวกที่เยอะกว่านี้  ผมเลยต้องจำใจอยู่ร่วมห้องกับรุ่นพี่ไปโดยปริยาย
   

   ห้องของหอในไม่กว้างมาก  มีแค่โต๊ะ เตียง และก็ตู้เสื้อผ้า  โดยที่แต่ละห้องจะอยู่ได้แค่สามคน นั่นทำให้รูมเมทอีกสองคน

ของผมเป็นพี่ปีสามของอีกสาขาหนึ่ง  เดิมทีก็ควรจะได้อยู่ห้องเดียวกับสาขาเดียวกันแหละครับ แต่ผมดันเป็นเศษเกินที่คณะดัน

ทำเรื่องพลาด เลยต้องอยู่กับพี่หมอที่ตารางเวลาต่างกันลิบลับ


   แต่อย่างน้อยก็ได้ฟังพี่ๆ เขาเมาท์เรื่องหมอยินกัน  …ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บุญกุศลของผมได้ช่วยเหลือไว้ล่ะมั้ง

   ผมเดินคนเดียวไปฟังเพลงไป คิดนู่นนี่ไปเรื่อยก็เกือบถึงทางลงสะพานแล้ว    เงาตะคุ่มๆ ด้านหน้านั้นทำให้ผมชะงักไป …คน ไหม คนใช่ไหม ผมไม่มั่นใจเลยว่ะ…

   แถวนี้เขายิ่งลือกันว่าเฮี้ยนๆ อยู่ด้วย…. แล้วทำไมกูต้องเลือกเดินกลับคนเดียวในเวลานี้ด้วยวะ  แท็กซี่อยู่ไหน ฮือ


   พอทำใจเสร็จ ผมก็พยายามเดินในท่าทีที่ดูปกติที่สุด  เขาจะได้ไม่รู้ว่าเรากลัว(เหรอ)  พอเข้าใกล้เงานั้นขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นรูปร่างว่าเป็นคนชัดขึ้น

   …ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นคนที่ผมรักด้วย!


   “หมอยิน!”


   สัญชาตญาณไปไวกว่าจิตสำนึก  ผมโผเข้ากอดคนตัวสูงที่เดินลงบันไดข้างหน้าเสียเต็มรัก  ร่างสูงดูตกใจไปนิดหน่อยก่อน

จะหันกลับมาผลักผมออกเต็มแรง  และด้วยความที่เป็นหนุ่มน้อยร่างบาง ผมเลยเซไปชนขอบบันได หัวใจเต้นแรงกว่าปกติเมื่อรู้

ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย และขณะที่โงนเงนจะตกมิตกแหล่นั่นเอง…

   หมอยินก็ดึงเสื้อผมไว้ไม่ให้ตกลงไป

   “เล่นอะไร!”

   พอนั่งตั้งหลักที่ความสูงปกติได้  ความเร็วของหัวใจผมก็ค่อยๆ ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่พอดี  …เกือบแล้ว! ผมเกือบจะตกลงไปจากสะพานบ้านี่แล้ว! โอ๊ยยยย รักครั้งนี้จะเสี่ยงตายไปถึงไหน เจ้ากิ่งจำเป็นจะต้องเสี่ยงอะไรเบอร์นี้!


   “ผมก็แค่อยากทัก…”


   “ทักบ้านนายเขาวิ่งมาชนแบบนี้รึไง ฉันไม่ต่อยให้ก็บุญแล้ว”

   “…” ต่อยเถอะครับ ผมยอม เพราะการต่อยก็เป็นอีกหนึ่งในสับเซ็ตของการสัมผัสตัว จะทุบตียังไงก็ช่าง

   “…หมอไม่เห็นโทรหาผมเลย”

   ผมลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัวแล้วเดินตามร่างสูงข้างหน้าที่นำไปก่อนแล้ว  หมอยินขายาว เวลาเดินก็เลยเร็วกว่าชาวบ้านอย่างผมหลายช่วงตัว “ผมรอหมออยู่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ”


   “ประสาท”

   “ผมเต็มนะ”

   “เหรอ นึกว่าเกินไปด้วยซ้ำ”

   “…ผมหมายถึงความรักที่มีให้หมอน่ะนะ”

   กรี๊ดดดดดดดด จัดไปแล้วดอกนึง!   ผมลอบสังเกตคนข้างหน้าดูว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรอีกไหม แต่หมอก็ยังเดินต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งเกี้ยวพาราสีไป  แม่ง… อุตส่าห์คิดว่าจะเขิน  กลายเป็นว่าผมเองที่เขินเพราะเล่นมุกบ้าๆ ไปซะงั้น

   “หมออยู่หอแถวนี้เหรอครับ”

   ถามไปงั้นแหละ  จริงๆ ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าหมอพักที่หอสูงๆ ถัดจากหอผมไปอีกสองซอย  แต่ก็ต้องแอ๊บถามไปว่าตัวเองไม่รู้จริงๆ นะ  ไม่ได้ออบเซสอะไรขนาดนั้น


   “ไม่มั้ง เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว”

   “หมอมีรถไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่ขับรถมาอะ”

   “…ไม่รู้ว่าฉันอยู่หอไหน แต่กลับรู้ว่าฉันมีรถขับเนี่ยนะ”

   เอ่อ ขอโทษครับ กิ่งผิดไปแล้ว “ผมเคยเห็นหมอขับนิดหน่อยอะครับ แหะๆ”

   หมอยินหันมามองหน้าผม ถอนหายใจ(แบบหล่อๆ) แล้วก็เดินต่อไป  ผมที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามก็แอบยิ้มนิดๆ  ถึงหอพี่หมอมัน

จะอยู่แถวนี้ แต่ผมก็ไม่เคยมีโมเมนท์เดินไปเรียนพร้อมกันแบบนี้หรอกครับ  อย่างที่บอกว่าเวลาเราต่างกันมาก เพราะฉะนั้นนี่เลย

เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผมในการทำคะแนนและเก็บความทรงจำดีๆ ร่วมกันครับ

ผมรีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินประกบข้างหมอให้ทัน  หมอมันมีกระเป๋าสะพายข้างสองใบกับถุงพลาสติกใส่ของที่ดูท่าจะหนักทั้งคู่ ผม

เลยถือวิสาสะยื่นมือเข้าไปรวบถุงเข้าให้หมับ  “เดี๋ยวผมช่วยถือครับ!”


   “ไม่ต้อง อย่ามายุ่ง”

   อะเฮื้อ เจ็บครับประโยคนี้ แต่ทำอะไรไม่ได้ ด้านมาแล้วก็ต้องด้านให้สุด “ให้ผมช่วยเถอะนะ หมอจะได้ไม่เหนื่อยไง อีกตั้งนานกว่าจะถึงหอ”

   “ไหนนายบอกว่าไม่รู้ว่าฉันอยู่หอไหน”

   “เอ่อ… ก็คงจะอีกนาน มั้ง ไม่รู้ผมเดา” ไม่เนียนเลยมึ้งงง!

   “ปล่อย”

   ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบสิบองศาของหมอยิน ผมเลยต้องจำใจปล่อยมือออกจากถุงพลาสติกนั้นช้าๆ อ้อยอิ่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฮือ ผมอยากซึมซับไว้นานๆ จัง

   “ให้เร็ว” …ช้านิดช้าหน่อยก็ไม่ได้

   เมื่อเลยสะพานลอยไป ทางเข้าหอของหมอยินก็อยู่อีกไม่ไกล  ร่างสูงเองดูจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น …เอาไงดี ผมไม่ควรจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดไปสินะ ฮือ เอาไงดี ผมควรจะทำให้หมอเขาประทับใจมากกว่าทำตัวดื้อด้านแบบนี้นี่หว่า


   “หมอ”

   “…”

   “หมอยินครับ”

   “อะไรอีก”

   “หมอยินนี่เรียนหมอ แสดงว่าความจำน่าจะดีพอตัวเลยนะ”


   “เออ หลอกชมแบบนี้จะเอาอะไร”


   เอาหมอ…  เฮ้ย! เปล่าครับ ไม่ได้ตอบไป ถึงจะอยากมากขนาดไหนก็ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ ขืนพูดงั้นไปโดนกระทืบตายข้างทางพอดี  หมอยินมันทำหน้างงๆ เบ้มุมปากซ้ายลงนิดหน่อยก็ถามว่า


   “…พูดว่าไงนะ”

   “ครับ? ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

   “แล้วที่ว่าจะเอา?”



   .

   .


   “เฮ้ยยย!!! หมอ! ผมพูดงั้นไปจริงๆ เหรอ!!”


   หมอยินทำหน้าแบบ… เอือมระอา เบื่อหน่าย เซ็งโลก เพลียจิต และรังเกียจผมเสียเต็มประดา   พังสิกิ่งพัง ไอ้ที่เคยมั่นใจ

ว่าตัวเองเป็นคนเต็มร้อยนี่หายไปหมด ไม่น่าเลย ฮือ เป็นเพราะรักมากไปเลยเก็บไว้ในใจไม่ได้แหงมๆ  ผมทึ้งผมตัวเอง หน้าร้อน

จนไม่รู้ว่าตอนนี้แสดงสีหน้าท่าทางแบบไหนออกไป จากที่เคยเก๊กหล่อต่อหน้าหมอตลอดแต่ตอนนี้ผมกลับหมดท่า… โถ่เว้ยยยยย ปากหนอปาก! จะหลุดคำไหนไปก็ได้แท้ๆ! ทำไมต้องเป็นคำนี้ โอ๊ยยยย


   “ประสาทกลับ”

   “ผมขอโทษ หมอยินให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะ พลีส พลีส แล้วผมจะเป็นผู้ชายในแบบที่หมอชอบ ฮือ โอ๊ย เว้ยยยย”

   “เด็กบ้า!”  พอมันเห็นว่าผมคุกเข่าลงกอดขามัน  หมอยินก็สะบัดขาออกราวกับว่าผมเป็นเจ้าปีเตอร์ที่กำลังร้องขอความรัก  แต่เรื่องอะไรจะไปยอมล่ะครับ ผมเลยเกาะแน่นมากขึ้นไปอีก กระป๋งกระเป๋าฟาดหน้าแรงแค่ไหนก็ไม่ยอมหยุดครับ เพื่อรักผมทำได้ทุกอย่าง


   “หมอผมขอโทษ!”

   “บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่ต้องมาเปลี่ยนเป็นผู้ชายในแบบที่ฉันชอบหรอก”


   อ้า


   ตายเพราะความรักอีกครั้งเเล้วสินะ


   “งั้นเดี๋ยวผมไปแปลงเพศ”   

   ผมลุกขึ้นยืนในแทบจะทันที  หมอยินอ้าปากหวอ เบิกตากว้างเหมือนเห็นผี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหล่อครับ “รอผมก่อนนะ! รอผมก่อน…”

   “เวร นี่ฉันพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับคนแบบนายได้ไงเนี่ย”

   ไม่รู้ว่าได้ยังไงครับ แต่รู้ว่ามันควรจบยังไง  รับรักผมเถอะ… รับรักผมเถอะ นะ นะ นะ



   “เอาเป็นว่า ฉันไม่ให้นายเอาแน่ๆ”


   “หมอ”

   ผมท้อแท้ สิ้นหวังรอบที่ล้านจากสภาพแวดล้อม และสิ้นหวังมากๆ เป็นรอบที่สองที่เกิดจากคำพูดของหมอเอง… ตอนแอบ

รักนี่ก็สนุกนะครับ  แต่พอได้มารู้ความจริงแล้วก็จุกหนักเหมือนกัน  ผมคงผิดเองที่ดันมารักคนที่เกินเอื้อมขนาดนี้


   แต่จะให้เลิกโดยพยายามได้แค่นี้ล่ะก็… ผมทำไม่ได้หรอกครับ


   ในเมื่อเวลายังเหลืออีกไม่มากนี่นา


   “ผม ผม …ผมขอโอกาส สำหรับผมแล้วหมอน่ะ…” หมอน่ะ เป็นมากกว่ารักครั้งเเรก มากกว่ารักครั้งสุดท้าย ผมคิดมาตลอดว่าหมอเป็นคู่ชีวิตของผม...




   “เพราะอย่างฉันน่ะ คงถนัดเป็นฝ่ายเอานายมากกว่า”


   
   หา?




   ผมยืนนิ่ง  มองหมอยินเดินเข้าซอยหอตัวเอง  แสกนคีย์การ์ดก่อนเข้าตึกและรอลิฟต์อยู่ที่โถงจนกระทั่งเขาลับสายตาไป 

ร่างสูงในชุดนักศึกษาที่ถือของหนักขึ้นห้องตัวเองไปแล้วและทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ผม  แต่ไหนแต่ไรผมไม่ใช่คนฉลาด อาจเป็น

เพราะพรศวรรค์ด้านศิลปะทำให้ผมลืมความจำเป็นของวิชาความรู้ไปชั่วขณะ …แต่ครั้งนี้สมองผมทำงานได้ช้ากว่าปกติมาก และ

นั่นทำให้ผมยังคงยืนนิ่งอยู่นานแม้เวลาจะผ่านไปเกือบสิบนาที


   ถ้าลองเอาประโยคเมื่อกี้มาเรียบเรียงดูใหม่ ก็จะได้ความว่า


เอาเป็นว่า ฉันไม่ให้นายเอาแน่ๆ เพราะอย่างฉันน่ะ คงถนัดเป็นฝ่ายเอานายมากกว่า



“…”


   แม่ง ผมกำลังจะบ้าตาย ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ ด้วยว่าหมอมันหน้าแดง… มันกำลังเขิน ผมกำลังมีความหวัง


   ติ๊ง


   เสียงเตือนจากแอพแชทดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกง  ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู หน้าจอแอพสีขาวเขียวสว่างหรา เป็นข้อความจากแอคเคาท์ที่ผมไม่รู้จัก




   HAPPYYIND is added you by your phone number

   HAPPYYIND : ฉันความจำดี เลขโง่ๆ สิบหลักทำไมจะจำไม่ได้


   แค่อ่านชื่อก็รู้แล้วล่ะครับว่าเป็นใคร

   ฮือ ไอ้พี่หมอยิน

   วินาทีนั้นแหละครับ ที่ผมตกหลุมรักคนๆ นั้นอีกครั้ง อีกครั้ง… และอีกครั้ง



   ไอ้หมอบ้า คอยดูนะ จะจีบให้เสียหมอไปเลย
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 16-10-2016 23:57:40
สงสารกิ่งหมอไม่รับรักหรือสงสารหมอที่โดนกิ่งรักดี สับสนไปหมดแล้วค่ะ5555555

กิ่งโคตรทาสรัก เอ็นดูและกลัวน้องในเวลาเดียวกัน555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 17-10-2016 10:08:09
 :mc4: :mc4:
น่ารักมากค่ะ  :mew1:
หนูกิ่งนี่เพ้อได้ใจ :katai2-1:
พี่ยินอ่อยเหรอคะ  o13
มาต่อบ่อยๆ นะคะ




หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 17-10-2016 13:36:02
กิ่งน่ารักจัง สู้ๆนะ จีบให้ติด
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (อัพ ตอนที่3)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 17-10-2016 23:17:39
ตอนที่ 3
   


        จิ๊บๆ



   เสียงนกร้อง แสงแดดสีทองอ่อนในยามเช้า ความรู้สึกอิ่มบุญที่ผมกำลังได้รับจากการตักบาตรอยู่นั้นทำให้ใบหน้าและจิตวิญญาณของผมอิ่มเอิบแม้เพิ่งได้นอนมาตอนตีสี่  เพราะทั้งการบ้านใหม่และงานที่ดองไว้ รวมถึงความรู้สึกที่ทำให้ในอกผมหวิวๆ  ท้องไส้ปั่นป่วนไปด้วยความเขินที่หมอยินแอดไลน์มา  วันนี้ผมจึงตื่นมาใส่บาตรแต่เช้าเพื่อเป็นบุญกุศลให้กับความรักครั้งนี้ครับ


   “เห็นคนหนุ่มรักในศาสนาแบบนี้อาตมาก็ดีใจ”


   ผมยิ้มแหยๆ รับพลางพนมมือรับพร  แหม่ ถ้าบอกไปว่าที่หมั่นทำบุญทุกวันแบบนี้เพราะหวังจะจีบหมอนี่หลวงพี่จะทำหน้ายังไงนะ  พอเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่างแล้วผมก็เดินกลับขึ้นหอไปด้วยใจที่เบิกบาน  ตั้งใจว่าจะอาบน้ำแต่งตัวให้หล่อสมชายและไปเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อเสริมสร้างกิจลักษณะที่ดี คนที่เป็นแฟนหมอนี่เขาก็ควรจะทำตัวสุขภาพดีไปด้วยใช่ไหมล่ะครับ


   “ไปไหนมาแต่เช้า”


   พอขึ้นไปถึงห้องพักที่มีที่พอแค่ซุกหัวนอน พี่เนย์ หรืออาคเนย์ ว่าที่คุณหมอปีสามก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพอดิบพอดี  ถึงพี่เขาจะหน้าตาดี แต่ตอนตื่นนี่ยังกับโกสต์ไรเดอร์มาเลยครับ ผมชี้ยังกะไฟลุก “ใส่บาตรครับพี่”


   “เพิ่งรู้ว่ามึงเป็นคนดีก็วันนี้”

   “พี่ความรู้สึกช้านี่ ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ”  จบคำหมอนที่รองตูดพี่เนย์อยู่ก็ถูกเขวี้ยงมาถูกหน้าผมอย่างเหมาะเจาะ เจ้าตัวหาวหวอดก่อนลุกขึ้นไปเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ เกาตูดแกรกๆ แบบไม่สนใจรุ่นน้องหน้าใสคนนี้เลย “อีกสิบนาทีวานมึงปลุกเปียวด้วย”

   ผมหันไปมองพี่รูมเมทอีกคนที่ยังคงนอนมุดอยู่ใต้ผ้าห่มอยู่  สองคนนี้เรียนหมอปีสามเหมือนกันครับ ผมเลยพอจะรู้ๆ เรื่องของหมอยินผ่านพี่พวกนี้บ้าง บางครั้งก็มาละเมอเพ้อพอให้พี่เขาฟังอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน


   พี่เนย์เป็นหมอสายเถื่อน หรือพูดง่ายๆ ว่าถ่อยมาแต่เกิดนั่นเองครับ  เจ้าตัวไว้เคราจนถูกอาจารย์ด่าว่าทำตัวไม่เหมือนหมอแทบทุกวัน แต่ด้วยหน้าตาที่ดุดันประหนึ่งผู้ก่อการร้ายกลับชาติมาเกิดทำให้อาจารย์ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าตักเตือน   ส่วนพี่เปาเปียวนั้นเป็นหนุ่มหน้าตาดี(แน่นอนครับ… แต่น้อยกว่าหมอยิน) ส่วนสูงพอๆ กันกับพี่เนย์แต่ออกเป็นแนวคุณชายมากกว่า  ทั้งคู่เป็นรูมเมทที่ดีมากครับ เพราะผมกลับมาทีไรถ้าไม่หลับไปก่อนตลอดก็ยังไม่กลับมา เจอกันอีกทีก็เช้าครับ ยังไม่ตื่น


   เตียงของที่นี่จะมีไม้กระดานบางๆ คั่นไม่ให้หนุ่มวัยดึกทั้งสามต้องหันหน้ามาจ๊ะเอ๋กันตอนนอน  ผมนั่งลงบนเตียงตัวเอง ดูนาฬิกาแล้วก็นั่งสมาธิ หายใจเข้าก็เฮ้อเธอ(เฮ้อเธอ)  หายใจออกก็เฮ้อเธอ(เฮ้อเธอ)   ทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนซ้ำๆ ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป…



   หลังจากที่ได้รับข้อความจากหมอยิน  ผมรีบกดเพิ่มเพื่อนอีกฝ่ายทันที(กลัวเปลี่ยนใจ) จากนั้นก็พิมพ์ตอบไปด้วยความเร็วแสง(เพราะกลัวพี่เขาเปลี่ยนใจอีกเช่นกัน)

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ผมนึกว่าพี่ไม่ชอบผู้ชาย

   พอถามเสร็จแล้วผมก็ยืนทึ้งหัวตัวเองต่อไปครับ เอ้ออออ เขาอุตส่าห์เปิดทางให้ กลับไปหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บเสียดื้อๆ

   HAPPYYIND : การที่ฉันทักมามันก็ไม่ได้แปลว่าชอบไม่ใช่รึไง

   อ้าว นั่นไงครับ ว่าแล้วไง  เหมือนโดนมีดแทงพุงทะลุเลย


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : เดี๋ยวพี่ก็ชอบผม

   HAPPYYIND : มีใครเคยบอกรึเปล่าว่าหลงตัวเอง

        กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ไม่มีครับ ส่วนใหญ่ก็บอกว่าหลงแต่หมอยิน

        กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : /สติ๊กเกอร์ฉลามยืนบิดตัวเขิน/


   …หลังจากข้อความนั้นหมอยินก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกครับ อ่านแล้วก็ปล่อยเลยเฉยไป ซึ่งผมว่าพี่เขาคงต้องเขินมากจนไม่รู้จะตอบอะไรกลับมาแน่ๆ  ไม่เป็นไรครับ ผมชอบเป็นฝ่ายรุกในความสัมพันธุ์ ถึงแม้ว่าผลออกมาแล้วผมอาจจะต้องเป็นฝ่ายรับก็ตาม… ว่าเองก็เขินเอง อะฮุ


   “เหม่ออะไรของมึง กูบอกให้ปลุกไอ้เปียว”


   อ้าว พอรู้สึกตัวอีกทีพี่เนย์ก็เดินเถื่อนออกมาจากห้องน้ำด้วยกางเกงในตัวเดียวแล้ว น้ำยังหยดติ๋งๆ ตามตัวอยู่เลยครับตอนที่เดินเลยไปปลุกพี่เปียว  สสารที่เคยเป็นก้อนผ้าห่มขยุกขยุยถูกสะกิดและค่อยๆ คลายตัวออกมาเป็นผีเสื้อ เอ้ย พี่เปาเปียว คุณชายผู้ตื่นสายทุกวันธรรมดา และตื่นเช้าในวันหยุดเพื่อมาเล่นเกม  คนตัวสูงเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำ ส่วนพี่เนย์ก็เดินไปแต่งตัวหน้าตู้ ทั้งหมดนั่นคือกิจวัตรประจำวันของพวกเราครับ


   อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดาสำหรับผม  มันกลับเป็นเรื่องมหัศจรรย์โคตรๆ สำหรับธันวาผู้ตามหารักแท้ในดงหมอครับ


.
.
.
   

        “กูน่าจะลงชื่อหอในไปด้วย พูดละอยากค่ะ พี่เนย์กับพี่เปียวเชียวนะมึง  ชาติที่แล้วมึงทำบุญมาด้วยอะไรวะกิ่ง”

   เพื่อนกะเทยจีบปากจีบคอพูดกับผมในระหว่างพักเที่ยง พวกเราหนีมากินข้าวกันอีกที่หนึ่งที่ค่อนข้างไกลตึกคณะมากครับ  เนื่องจากวีรกรรมหวานแหววของผมที่ทำไว้กับพี่ยินเมื่อวันก่อน “ไม่รู้ แต่คงไม่มากพอให้กูได้อยู่กับหมอยินอะ”


   “ได้คืบจะเอาเอเคอร์”

   “ก็กูอยากได้อ้ะ”

   “การทำปากจู๋อมลมเป็นลิงดมยาแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้มึงสวยขึ้นค่ะ”


   ผมเบะหน้าใส่ก่อนยกส้อมขึ้นทำท่าจะตีมัน ธันวาร้องวี้ดว้ายเป็นพิธีนิดหน่อยก่อนที่เราจะเริ่มกินข้าวกันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  โรงอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะมีแต่คนนอกที่เข้ามากินเพราะราคาถูกและอยู่ใกล้ตึกผู้ป่วย นักศึกษาอย่างพวกผมเลยไม่กล้ามาแย่งที่คุณลงคุณป้าสักเท่าไหร่  วันนี้ผมกินข้าวคลุกกะปิอันหอมหวน ส่วนธันวาก็กินก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้นตามประสาคนกินคลีนแบบมัน


   “…นี่ กูมีเรื่องมาเล่าให้มึงฟัง”

   “อะไรอี้กกก กูล่ะเบื่อความเพ้อของมึง”

   “กูไม่ได้เพ้อแล้วเว้ยยยย”  ผมฉุนที่ธันวาทำหน้าไม่เชื่อ ตอนแรกก็กะจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ทีเดียวตอนคบกันเลยแท้ๆ  แต่เห็นแบบนี้กิ่งก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ นะครับ   ผมควักโทรศัพท์ซัมซึมรุ่นโบราณขึ้นมาก่อนจะเข้าแอพแชทสีเขียว ซึ่งช่องแชทของหมอยินนี่อยู่อันดับหนึ่งเลยครับ ไม่ใช่อะไรครับ พอดีเพื่อนไม่ค่อยคบ…


    “นี่! เบิกเนตรดูเสียเจ้าธันวา”

   หน้าของธันวาราศีธนูค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากหงุดหงิด ตกใจ เซอร์ไพรส์ ไปจนถึงโอ้โหวววววววว ที่อ้าปากค้างชนิดสุดๆ หุบไม่อยู่ “กูบอกแล้ว กูคนจริง”


   “มึง! ไป! ได้! ไลน์! พี่เค้า! มา! ได้! ยังไง! กรี๊ดดดด”

   “เขาแอดกูมา กรี๊ดดด” ผมพยายามกรี๊ดเลียนแบบลูกคอเพื่อแสดงความตื้นตันอย่างธันวาบ้าง แต่ผลที่ได้กลับเป็นเสียงเป็ดแหบๆ แบบตุ๊ดเด็กวัยแตกหนุ่ม “ไม่เชื่อใช่มะ นี่  อิส แอดเด็ด บาย ยัว โฟน นัมเบอร์”


   “กูไม่เชื่อออ”

   “เชื่อเถอะ”

   “แล้วที่เขาปฏิเสธมึงหน้าแหกกลับมาวันนั้นล่ะวะ”

   “…กูว่าเขาอาจจะแค่เขิน ซึนเดเระน่ะซึนเดเระ มึงรู้จักมั้ย”


   ผมเลื่อนข้อความต่างๆ ดูไปมาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมความสุขระดับสิบ  ถึงจะอ่านบ่อยจนจำได้ทุกข้อความที่หมอยินส่งมาแต่ผมก็ไม่เคยเบื่อที่จะเข้ามามองมันแบบนี้เลย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกดี ความรักนี่มันสวยงามจริงๆ


   “คงไม่ใช่ซึนมึนอะไรของมึงนั่นหรอก …กูเตือนด้วยความหวังดีนะกิ่ง เผื่อใจเอาไว้บ้าง”


   “กูเผื่อไว้แล้ว”

   “เท่าไหร่ล่ะคะที่มึงเผื่อไว้น่ะ” ธันวาจีบปากพูด มันกรีดนิ้วชี้ผมแล้วพ่นประโยคเทศนา “ถ้ามึงเผื่อใจไว้สิบเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงถ้ามึงผิดหวัง ส่วนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิตมึงก็จะหายไปด้วย พออยู่ในช่วงทำใจ จะเติมให้เต็มร้อยเหมือนเดิมก็ใช้เวลานานกว่าปกติ ที่กูพูดไม่ใช่อะไร แค่ไม่อยากเห็นมึงมาฟูมฟายเหมือนอย่างวันนั้นอีก”


   คราวนี้ผมไม่มีอะไรจะเถียงครับ  ได้แต่ก้มหน้าเขี่ยหมูหวานเข้าปาก  ธันวามันบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย ผมเองก็พยักหน้าหงึกหงักทำเป็นสนใจไปงั้นแหละ  แต่พอเสียงเจื้อยแจ้วของมันหยุดลง ผมก็อดเงยหน้าขึ้นมามองเหตุผลที่ทำให้มันหยุดไปไม่ได้


   “อะไรวะธัน...”

   พอเหลียวหลังขวับไปดูต้นเหตุแถมพูดยังไม่ทันจะจบประโยค หางตาของผมก็ไปป้ะเข้ากับร่างสูงที่เดินออกมาจากทางเดินตึก   หมอยินในชุดนักศึกษาที่หล่อแบบออร่าจับกำลังถือสมุดจดอยู่ในมือ ส่วนไหล่ทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยกระเป๋าสะพายใบเดิมจากเมื่อคืนและกระเป๋าสีส้มที่ผมไม่คุ้นตาหนึ่งใบ  เหงื่อที่ไหลออกมาจากไรผมสีเข้มนั้นไม่ได้ทำให้พี่เขาดูสกปรก  แต่มันยิ่งกลับทำให้หมอยินดูเป็นคนที่เอาการเอางาน น่ารัก(อันนี้ความเห็นส่วนตัว)


   ส่วนสาเหตุที่ทำให้ธันวามันเงียบไปน่ะเหรอครับ  นั่นก็เพราะพี่เขาเดินมากับผู้หญิงยังไงล่ะ


   “…อายุยืนฉิบหาย”


   ผมมองหมอยินที่เดินข้ามถนนมา ผู้หญิงคนข้างๆ ดูจะชวนหมอเขาคุยแบบไร้สาระไปเรื่อย สังเกตได้จากหน้าของหมอยินที่ดูรำคาญเต็มที แล้วนั่นยังจะมาเนียนให้เขาถือของให้อีก ผู้หญิงคนนี้นี่มัน

   “กิ่ง เฮ้ย อีกิ๊งงงง!”


   เสียงของเพื่อนสนิทไม่สามารถรั้งผมไว้ได้อีกต่อไปครับ  ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหมอยินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “หมอยินสวัสดีครับ มากินข้าวเหรอ หาที่นั่งได้ยัง โต๊ะผมว่างพอดีเลยครับ มาๆๆๆ”


   ไม่รอให้ร่างสูงปฏิเสธ ผมรีบจูงมือหมอมันมานั่งที่โต๊ะเราทันที อ้าวนี่ชามข้าวใครเนี่ย ขอเลื่อนแล้วกันนะ เพราะวินาทีนี้หมอยินสำคัญกว่าจริงๆ ซอรี่นะครับ


   “…คนรู้จักยินเหรอ”

   เสียงหวานของสาวน้อยหน้ามลคนนั้นถาม  เธอเป็นผู้หญิงที่ อืม… จะบรรยายว่ายังไงดี เฉยๆ ละกัน  ผมว่างั้นๆ แหละไม่เห็นจะสวยเลย ฮือ


        “ครับ ผมเป็นน้องค่ายพี่เขา ชื่อกิ่งครับ แล้วนี่ก็ธันวา”


   “ค่ายอะไรอะ ทำไมพี่ไม่เห็นเคยรู้…”

   “อ้าวนั่งๆๆ ครับ หมอจะกินไรเดี๋ยวผมไปซื้อให้”


   ผมทำเป็นไม่สนใจสาวหน้าจืดคนนั้น  กดไหล่สูงๆ ของพี่หมอนั่งเก้าอี้ลงอย่างทุลักทุเล  ผมช่วยปลดของที่ไหล่ของหมอยินออกแล้ววางไว้บนโต๊ะดังตึง!  …เรียกความสนใจของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี


   “เอ่อ… กิ่ง กูอิ่มละนะ กูกลับตึก…”


   “เดี๋ยว! ธัน! มึงบอกอยากกินของหวานไม่ใช่เหรอ เอาไรดีเดี๋ยวกูไปซื้อให้ ฮะ ลอดช่องเฉาก๊วยข้าวเหนียวดำ?  ได้เลยเดี๋ยวกูเลี้ยง…” โดยไม่เปิดช่องให้ธันวามันชิ่ง ผมรีบวิ่งไปซื้อของหวานตามที่บอกแล้วเอามาวางไว้บนได้ภายในเวลาสามสิบวินาที  หมอยินดูไม่ตื่นเต้นอะไรกับสถานการณ์นี้มากมายนั่ง ก็แค่นั่งหล่อไปวันๆ แล้วมองคนอื่นพยายามทำแต้มชิงหัวใจไปเรื่อยๆ  …นั่นล่ะครับ เพราะรักแหละถึงยอมให้อภัย


   “ยินเปลี่ยนโต๊ะเหอะ เก้าอี้ไม่พออะ”


   ดูเหมือนว่าสาวเจ้าจะหาที่นั่งไม่ได้(เพราะไม่มีการ์ดกิตมศักดิ์อย่างผมเคลียร์โต๊ะให้)  คุณเธอเลยเขย่าตัวหมอยินเบาๆ แล้วทำหน้าพองลม… ซึ่งมันไม่สวย ดูไม่ได้เลยครับ


   “ที่อื่นก็ดูแน่นๆ   แนนไปลากเก้าอี้มาดิ”

   เยสสส! เหมือนว่าโชคจะเข้าข้างและบุญที่ทำมาไว้เมื่อเช้าจะช่วยนำพา  หมอยินขยับตัวนั่งให้สบายก่อนสอดส่ายสายตาหาข้าวกิน  ผมยิ้มกว้างรอรับเมนูจากคนตัวโตจนเหมือนเป็นบ๋อย  สุดท้ายแล้วพอพี่หน้าจืดที่ชื่อแนนนั่นเห็นท่าว่าหมอยินคงจะไม่เล่นด้วย เธอเลยได้แต่ไปลากเก้าอี้ตัวอื่นมานั่งชิดแบบจำยอม…


   ซึ่งมันจะไม่เป็นปัญหาเลยครับ ถ้าพี่แนนเขาจะไม่มาเบียดหมอยินของผม…


   “นี่เป็นแฝดสยามรึไงยะ”

   อยู่ดีๆ ธันวาที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็โพล่งขึ้นมา พี่แนนสะดุ้งก่อนหันไปมองกะเทยตัวใหญ่ตาขวางๆ  แต่ธันวาก็หาได้สนใจไม่  มันกินของหวานในถ้วยต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงความเร่าร้อนจากดวงตาของคุณเธอ


        “เดี๋ยวฉันไปซื้อข้าวก่อนนะ”

        คนตัวสูงพูดพลางลุกขึ้นยืน  ผมรีบคว้าตัวหมอไว้ทันที “หมอจะกินอะไรอะ เดี๋ยวผมไปซื้อให้”


        มันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง …โคตรหล่อ โอ๊ย อยากจะควักกล้องขึ้นมาถ่ายมันรัวๆ “ฉันไม่ได้เป็นง่อย ปล่อย”


        ผมยอมปล่อยมือแต่โดยดี มองตามหลังหมอยินไปตาละห้อย สักพักก็รับรู้ได้ถึงแรงริษยาที่แผ่ออกมาจากคนข้างๆ …พี่แนนคนดีที่นั่งนิ่งแบบไม่มีบทมานานเริ่มออกฤทธิ์แล้วครับ

        “น้องรู้รึเปล่าว่ากำลังทำให้ยินเขาลำบากใจ”

        “อุ๊ย จริงเหรอคะ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”


        กลายเป็นว่าแม่ทัพของผมเป็นคนออกโรงเอง ดูท่าคงจะไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นหรือมีคดีเก่ายังไงก็ไม่ทราบ  เพราะดูธันวาเองก็มาคุแบบผิดปกติไม่แพ้กัน   “พี่ไม่ได้พูดกับน้องค่ะ พี่หมายถึงเพื่อนน้องที่ยืนโง่อยู่นู่น”


        โอ้โห ไม่อยากจะเชื่อว่าหมอยินจะเดินข้างผู้หญิงแบบนี้…  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่เป็นผู้หญิงก็ได้รับสิทธิพิเศษอย่างการถือกระเป๋าให้ทั้งๆ ที่นิสัยแย่ขนาดนี้  ผมแอบเบะปากใส่เจ้าตัว  แต่เรื่องนี้กิ่งจะไม่ยุ่ง เพราะมีคนอย่างแม่ทัพธันวาคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว จะกลัวอะไรล่ะครับ


        “ถ้าอีกิ่งมันโง่ พี่หมอยินเองก็คงโง่กว่าอะค่ะที่มาเอามัน”


        ใช่ กูเห็นด้วย …หา


        “น้องหมายความว่าไง ยินเขาไม่ได้เป็นเกย์ เขาชอบผู้หญิง”


        เสียงของพี่หน้าจืดเริ่มจะเหวี่ยงขึ้นทีละน้อย  แต่แววตานี่แบบจัดเต็มไปแล้วครับ ถ้าธันวามันเป็นใบไม้แห้งนี้คงไหม้ไปทั้งป่าแล้ว  แต่น่าเสียดายแทนพี่เขาที่ธันวามันดันเป็นซูเปอร์ถังดับเพลิง ร้อนแรงมาแค่ไหนก็ถูกพ่นไอเย็นใส่คืน “ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ไปขอดูคลิปกับเพื่อนหนูสิคะ  กิ่ง! …โชว์คลิป!”



        ขวับ!


        ผมหันหน้าไปมองเพื่อนสาวกล้ามปูทันทีที่มันพูดจบ  พี่แนนเองก็หันขวับมามองผมในแทบจะทันที…  คลิป… คลิปเหี้ยอะไรวะ!  คลิปอะไรที่จะพิสูจน์ว่าพี่เขาจะเอากูได้วะ!  เพื่อนรักเพื่อนร้ายของผมทำหน้าผยอง เหมือนกับว่าเถียงชนะไปแล้วแต่ไม่ได้ถามถึงความร่วมมือของหลักฐานจากกูเลย!   อีธันวา! มึงเป็นแม่ทัพได้เพราะเอาต้มยำไปเซ่นเอาตำแหน่งมาใช่ม้ายยยยย

        “คลิปอะไร!”


        เหวี่ยง เร็ว แรง แซงทะลุนรกทุกขุม  พี่แนนลุกขึ้นยืนมาคว้าเอาโทรศัพท์ผมที่วางอยู่ข้างจานข้าว(ผลพวงจากการอวดไลน์ให้เพื่อนดูแล้วลืมเก็บเข้ากระเป๋านั่นแหละครับ)แล้วเปิดหน้าจอดูสิ่งที่อยู่ข้างในทันที  โชคร้ายที่ผมไม่ได้ตั้งล็อคหน้าจอไว้ทำให้เจ้เขาเข้าไปดูรูปภาพในแกลอรี่ได้ง่าย…

       
        ก่อนที่ผมจะกระชากมือถือของตัวเองคืนมาได้ เจ้หน้าจืดก็กดเปิดไปยังไฟล์วิดีโอ



        …และกดเล่นคลิปแรกสุดไปเรียบร้อยแล้วครับ


        “ทำอะไร”

        เสียงแหบทุ้มของหมอยินทำให้ทุกคนบนโต๊ะหันไปมอง  …ร่างสูงมาพร้อมกับจานข้าวแล้วน้ำหนึ่งแก้วในมือ  เขาขมวดคิ้วพร้อมทำหน้าตาประหลาดๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังถือโทรศัพท์อยู่  จริงๆ แค่ถือโทรศัพท์นี่ไม่น่าขมวดคิ้วใส่เท่าไหร่หรอกครับ



        แต่เพราะตอนนี้โทรศัพท์ผมกำลังเปิด ‘คลิป’ บางอย่างอยู่ต่างหาก…


        พูดได้คำเดียวครับ... ฉิบหายยยยยยย

หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 17-10-2016 23:38:59
55555 สมุนเอกพ่วงด้วยแม่ทัพใหญ่ (ใหญ่จริงๆ สร้างเรื่องได้ใหญ่จริงๆ)
ตอนนี้หมอไม่ค่อยมีบทเลยอ่ะ แต่ชอบบรรยากาศการคุยกันระหว่างสองเพื่อนสาวมาก ป่วงสุดๆ สามตอนผ่านมา ชอบเจ้ากิ่งจริงๆ ไม่มีใครเกินแกแล้วอ่ะ555
รอตอนต่อไปค่ะ วี้ด
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 18-10-2016 00:14:58
คลิปอะไรเอ่ยหนูกิ่ง
คลิปบอกรักวันนั้นเหรอ  :laugh: :laugh: :laugh:
ปล. คนเขียนจ๋า เพิ่มวันที่หรือตอนที่ลงในโพสแรกเวลาอัพด้วยก็ดีนะคะ เพื่อนๆ จะได้รู้ว่ามีตอนใหม่แล้ว

หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 18-10-2016 09:38:57
จะเอาหมอๆมาต่อเร็วๆนะคร้บอยากอ่านอีก
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-10-2016 10:14:14
พี่ยินกลัวกิ่งไหม

ฮ่าาา

กิ่งสู้เค้าลูกเทให้หมดมีอะไรโชว์มา

ปล.คนเขียนอัพเดตวันที่กับตอนด้วยสิจ้ะ คนอ่านจะได้รู้ว่าอัพแล้ว
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 18-10-2016 11:48:24
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 4 คลิปฉิบหายยย)18/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 18-10-2016 21:43:17
ตอนที่ 4



   ในมือของผมถือโทรศัพท์ซัมซึมรุ่นอาม่าไว้  หน้าจอเก่าๆ ของมันกำลังเล่นไฟล์วิดีโอไฟล์หนึ่งอยู่… ซึ่งไฟล์นี้ผมเพิ่งโหลดมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อคืน  เนื่องด้วยรู้ว่าตัวเองมีโอกาสกับหมอยินแล้วก็อยากจะศึกษาบ้างอะไรบ้าง… คือข้ออ้างมันก็พันแปดแหละครับ เอาจริงๆ แล้วมันก็เป็นคลิปฟันดาบทั่วๆ ไปนี่แหละ…



   ‘อร๊างงงงงง’ ภาพเคลื่อนไหวมาพร้อมเสียงครางระดับเซอราวน์ครับ


    “กรี๊ดดดดดดดด!!!”


   เจ๊พี่แนนกรี๊ดลั่น เอามือปิดตาอย่างกับไม่เคยเห็นอะไรที่มันบัดสีบัดเถลิงขนาดนี้มาก่อน  เอาแล้วไงครับ  ธันวามันเริ่มตกใจตามแล้ว  คงไม่คิดมาก่อนว่าคนที่บริสุทธิ์อย่างผมจะมีคลิปอะไรแบบนี้ติดเครื่อง …เฮ้ย คือกูก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่คนเรามันก็ต้องใฝ่ศึกษาบ้างป่าววะ



   “ยิน! เด็กนี่มันโรคจิตป่าววะ! แม่งมีคลิปเกย์ในโทรศัพท์ด้วยอะ!!”


   เอาครับ เอาเลยเจ้แนน  นี่คงกลัวว่าชาวบ้านเขาจะไม่รู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้เร่งวอลุ่มมหาศาลขนาดนี้ ตื่นเต้นในการประจานจนหลุดคำหยาบออกมาเลยทีเดียว    ถึงผมจะหน้าด้าน แต่ตอนนี้ก็เริ่มเขินนิดๆ แล้วครับ  เรื่องมันจะไม่อะไรเลยจริงๆ ถ้าพี่หมอยินมันจะไม่มาเห็นโดยเหมาะเจาะขนาดนี้   ดูจากมวลมหาประชาชนที่ตั้งใจเผือกเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้งแล้ว ให้เดาว่าธันวามันคงได้เปลี่ยนที่กินข้าวอีกรอบแน่ๆ


   ผมแอบลอบมองคนตัวสูงว่าเขาทำหน้ายังไง แต่จนแล้วจนรอดก็เดาไม่ออกจริงๆ ครับว่าพี่เขาหงุดหงิด รังเกียจ อารมณ์เสีย หรือเฉยๆ   …เอาจริงๆ ผมไม่แคร์หรอกครับว่าคนอื่นจะคิดยังไง  แคร์อยู่แค่คนเดียวจริงๆ คือหมอยินมากกว่า  …ฉันชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบตุ๊ด  ถ้าต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้อีกรอบล่ะก็ ขอดร็อปออกไปทำใจแล้วกลับมาเรียนใหม่อีกทีปีหน้าดีกว่าครับ


   “…”  ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านรัก


   “ยิน! ไปกินที่อื่นเหอะ! อยู่ใกล้ตุ๊ดแล้วขนลุก…”


   “เดี๋ยว”


   ก่อนที่พี่แนนเขาจะโวยวายจนน้ายามมาลากตัวไป  มวยมุมน้ำเงินอย่างธันวาก็เอ่ยปากขึ้นมาเรียบๆ แต่สะกดคนดูไว้ได้อยู่มัด  เจ้หน้าจืดมองหน้าไอ้ธันวาอย่างเอาเรื่อง …ซึ่งเจ้เขาจะปลอดภัยกลับบ้านไปครับถ้าไม่หลุด ‘คำ’ ที่ธันวามันเกลียดนักเกลียดหนาตลอดการเป็นชีวิตตุ๊ดของมัน(อ้าว นี่ก็พูดไปแล้ว)   


   “ก็พี่อยากดูเองนี่คะ คลิปที่ว่าน่ะ…”

   น้ำเสียงเย็นยะเยือกดุจเปิดแอร์ที่ขั้วโลก  เจ้แนนมันเริ่มเหงื่อตกแล้วแต่ก็ยังดื้อด้านจะเถียงต่อไป “ฉันไม่ได้อยากดูคลิปนี้สักหน่อย! ก็เธอบอกเองว่ามีคลิปยืนยันอะไรนั่น ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นคลิปทุเรศแบบนี้!”


   “…ก็คลิปทุเรศที่พี่ว่านั่นแหละค่ะ เครื่องพิสูจน์”


   “หา… อะไรอีกยัยบ้า”


   ผึง …เสียงสติเส้นสุดท้ายของธันวาขาด มันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ


   “ไม่ดูหน้าให้ดีๆ ล่ะคะ  ว่าผู้ชายสองคนที่อยู่ในคลิปนั่นใคร?”




   .
   .
   .
   เจ้แนนทำหน้าแบบ… อึ้งแดก หันซ้ายขวามองหน้าผมสลับกับหมอยินช้าๆ   ไอ้หมอนี่ก็เหลือเกินครับ นั่งลงกินข้าวไปแล้วแบบไม่สนใจคนรอบข้างว่าเขาตีกันจะตายอยู่แล้ว   


   “เอ้า! หรือจะไม่เชื่อ  กิ่งมึงเอาให้พี่เขาดูดีๆ อีกที  รีไปตอนสำคัญๆ เลยนะจะได้เห็นชัดๆ!”

   “กรี๊ด! พูดบ้าอะไรเนี่ย! มะ ไม่ต้องเอามาให้ฉันดูนะ! เอาไปไกลๆ  ขยะแขยง!!”


   พี่แนนโวยวายเมื่อผมแกล้งยื่นโทรศัพท์ไปใกล้ๆ  ธันวาหัวเราะมุมปากแบบชั่วร้ายก่อนจะจิกตาใส่คุณเธอด้วยชัยชนะอันใหญ่ยิ่ง  สักพักเพื่อนผู้หญิงของหมอยินจากมุมแดงก็ปากสั่นระดับหกริกเตอร์  คว้ากระเป๋าสีส้มสมคาแร็คเตอร์ของตัวเองไว้แล้วเดินออกไป ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่า


   “เราไม่เคยคิดเลยนะว่ายินจะเป็นเกย์…”


   ส่งท้ายด้วยน้ำตาจากสายดราม่า  พี่หมอแนนสะบัดบ๊อบหนีไปพร้อมความหวังที่ว่าหมอยินคงจะวิ่งไปรั้งล่ะมั้ง  แต่ร่างสูงก็ยังคงนั่งกินข้าวดูดน้ำต่อไปแบบไม่แคร์สื่อ 


   งานนี้ต้องขอขอบคุณสปอนเซอร์หลักผู้ใหญ่ใจดีอย่างธันวาอย่างมหาศาลมากครับ  แต่ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะมันไม่ชอบให้ใครมาดูถูกเพศสภาพของมันด้วยแหละ  ครั้งหนึ่งมันก็เคยต่อยหน้าผู้ชายจนหงายไปเพราะมาล้อว่าผมเป็นเพื่อนกับตุ๊ด… ซึ่งผมเองก็ร่วมกระทืบมันไปด้วยจนเกือบโดนเรียกเข้าห้องปกครอง 

   “กิ่ง กูขึ้นตึกละนะ”


   “…มึงไม่อยู่กับกูก่อนล่ะ”

   “ห่า ก่อเรื่องไว้ขนาดนี้ กูไม่มีอารมณ์มานั่งแดกข้าวต่อหรอกนะ”

   “ธันวาไม่เอาา อยู่ก่อนน”

   “ไม่ล่ะ คำก็ตุ๊ดสองคำก็ตุ๊ด  ทรรศนะคติคนแถวนี้แม่งติดลบ กูไปอยู่ที่ที่มันศิวิไลซ์แล้วดีกว่า”

   พูดดีๆ ไม่ได้ ยังต้องมาแซะที่รักผมอีกครับ  ผมเลยมองค้อนธันวามันไปหนึ่งดอกก่อนมันจะเดินออกจากที่นี่ไป  ผมเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งข้างๆ หมอยิน  นั่งเท้าคางจ้องหน้าอีกฝ่ายตอนกินข้าวจนโดนสายตานั่นกวาดมามอง “มองอะไร รำคาญ”



   ฮือ จะตรงไปไหนครับเนี่ย  “หมอ… ทำไมหมอไม่ปฏิเสธไปอะ  ว่ามันไม่ใช่คลิปผมกับหมอ”


   “ขี้เกียจ”

   “งั้นแสดงว่ารับรักผมง่ายกว่าสินะ”


   “…มีใครเคยบอกรึเปล่าว่าน่ารำคาญ”

   “เมื่อคืนหมอทำไมไม่ตอบไลน์ผมอะ”

   ต้องเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนด่ามากไปกว่านี้ครับ  หมอยินทำหน้าดุๆ ใส่แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดี  “ก็ไม่เห็นว่าจะต้องคุยอะไรต่อ ก็แค่นั้น”


   ผมยิ้มแป้นให้หมอ อารมณ์หงุดหงิดเจ้แนนหน้าจืดตะกี๊นี้หายวับไปกับตา  …อย่างนี้สินะครับที่เขาเรียกว่าความรักบังตา  แต่ ณ จุดๆ นี้  ผมยอมให้แม้กระทั่งมันบังทางเข้าบ้านผมอะครับ “หมอรู้ไหมว่าหมอกำลังให้ความหวังผม”



   “ฉันว่ามันก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น”

   “หมออะ  รับรักผมเถอะนะ” สาธุ บุญใดที่ลูกทำมา…

   “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย”


   กรรม  ยังไม่ทันจะได้ขอพรอะไรหมอมันก็ปฏิเสธหน้าแหกกลับมาอีกแล้ว  คนตัวสูงที่กินทุกอย่างเสร็จหมดแล้วลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ  ผมคว้ากระเป๋าของหมอมันไว้ก่อนที่มันจะได้มีโอกาส มันมองหน้าเหมือนติดจะรำคาญนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้ผมถือของเดินตามหลังไป


   พอวางจานเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอยินก็ยื่นมือมารับกระเป๋าที่ผมช่วยถือไว้ไป “ขอบใจ”

   เอื้ออออออออ หัวใจมันพองโต  “ขอบคุณหมอเหมือนกันครับที่ยอมให้ผมถือ”

   หมอยินทำหน้าอึ้งๆ ไปพักหนึ่ง ก่อนจะหลุดยิ้มมุมปากออกมา… นิดเดียว แต่เห็นแล้วแทบจะละลายลงไปนอนกองกับพื้น  มันเหมือนกับ… เหมือนกับกำลังเห็นดาราที่ขี้เก๊กมาตลอดสะดุดพรมล้มอะครับ  มันเป็นอารมณ์แบบที่เหมือนว่าเรากำลังได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนที่เขาพยายามจะปิดมันไว้ตลอด


   …มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครได้เห็นแล้วก็จะรู้สึกว่า ตัวเองพิเศษ

   “หมอน่าจะยิ้มบ่อยๆ นะครับ”  หมายถึงยิ้มให้ผมคนเดียวอะนะ พอพูดเสร็จหมอมันก็ทำหน้าบูดต่อครับ  แถมยังแกล้งเดินเร็วขึ้นให้ผมกึ่งวิ่งตามอีก


   “ฉันขอโทษแทนเพื่อนด้วยที่พูดจาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


   หมอยินก็เป็นแบบนี้เสมอแหละครับ ฉลาด หน้าตาดี นิสัยก็ดี… “ผมก็ขอโทษแทนธันมันเหมือนกันครับ พอดีมันไม่ค่อยชอบให้ใครมาพูดคำว่าตุ๊ดใส่เท่าไหร่”

   ร่างสูงพยักหน้าหงึกหงักขณะที่กำลังเดินอยู่  โชคดีที่หมอเดินกลับตึกเรียน ผมเลยสามารถเดินตามไปด้วยได้อย่างไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรมากมาย

   “ฉันเองก็เคยพูดไปว่านายเป็นตุ๊ดสินะ โทษที”


    ไม่เป็นไรครับ ผมให้อภัย… “ผมเหมือนกะเทยเหรอครับหมอ ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นอะ”


   “ก็ไม่เหมือนหรอก นิสัยอย่างกับลิงกัง” ผมหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนข้างๆ เปรียบเปรยตัวเองกับสัตว์ป่าหน้าขนแบบนั้น แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาอีกนิดนึงเมื่อหมอยินมีคำต่อท้ายประโยคว่า  “แค่ติดจะหน้าหวานแล้วก็ผอมไปหน่อย”


   “หมอออ!!”

   ผมทุบไหล่คนข้างๆ แรงๆ แล้วบิดตัวไปมา  แต่พอหมอมันหันมาทำหน้าดุใส่ผมเลยต้องหยุดครับ “แหะๆ ชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ผมก็เขินเป็นนะ”

   “นั่นไม่ได้เรียกว่าชม”

   “สำหรับผมหมอยินพูดอะไรก็ฟังดูดีไปหมดนะแหละ”

   “…ถามจริงนะ”  หมอยินหยุดเดินแล้วคุยกับผมแบบจริงจัง  “ถ้าฉันไม่ได้หน้าตาแบบนี้ เรียนหมอ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ นายจะยังชอบฉันอยู่ไหม”

   “ฮั่นน่อ หมอไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ไม่ว่าหมอจะเป็นยังไงผมก็รัก”

   “ฉันไม่ได้คิดมาก ก็แค่อยากสั่งสอนเด็กน้อยอย่างนาย”  สายตาของมันจริงจังมากเมื่อพูดมาถึงประโยคนี้จนผมใจกระตุกวูบ  “รักแรกพบอะไรนั่นมันก็แค่เปลือก หน้าตาแบบนี้อีกสิบปีก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทางที่ดีนายควรจะหัดรักคนจากนิสัยบ้าง ไม่ใช่หน้าตา”



   พูดเสร็จเขาก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นตึกเรียนไป ผมไม่ตามไปอีกเพราะเห็นว่าพี่หมอยิมมันเริ่มเอาจริงแล้ว …มันเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังว่าถ้าผมยังไม่หยุดอีก มันอาจจะเกลียดผมเข้าแล้วจริงๆ


   ผมเดินเลยตึกนั่นไปนิดหน่อยก็ถึงตึกเรียนของตัวเอง  พอถึงห้องเรียนก็เอาโทรศัพท์ออกมาเข้าแอพแชทนั่น จิ้มไปที่ชื่อหมอยินแล้วพิมพ์ลงไป



   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ถ้าชอบแค่หน้าตาจริงๆ ห้าปีมานี่ก็คงเปลี่ยนไปชอบคนอื่นแล้วล่ะครับ


   ข้อความถูกอ่านภายในเวลาไม่กี่นาที  ผมไม่รู้ว่าหมอมันทำหน้าแบบไหนยังไงตอนอ่าน  ตอนแรกคิดว่าคงจะมีเรื่องให้ได้ยิ้มอีกรอบ  เเต่พอได้รับข้อความตอบกลับมาแล้ว… ผมกลับได้แต่ยืนบื้ออยู่เฉยๆ   เหมือนหัวใจมันตกลงไปกองกับพื้น


   HAPPYYIND : ถ้าจะบอกว่าตกหลุมรักตั้งแต่ตอนที่ฉันช่วยนายเอาไว้ล่ะก็


   HAPPYYIND : มันเด็กไป


   HAPPYYIND : ไม่ใช่แค่ว่า รู้สึกว่าเท่ เก่ง หล่อ แล้วจะมามอบชีวิตทั้งชีวิตให้ มันไม่ใช่





tbc.


*******************************************
เเหะๆ  ลองอัพเเล้วเปลี่ยนชื่อเรื่องโดยเพิ่มวันที่เเล้วก็ตอนให้เเล้วนะคะ ไม่รู้อัพจริงเเล้วจะขึ้นรึเปล่า ถ้าไม่ขึ้นเดี๋ยวคราวหน้าจะลองทำใหม่ดูอีกทีค่ะ ฮือ ไม่ถนัดไอทีจริงๆ55
ขอบคุณที่เข้ามาคอมเมนท์เเล้วก็อ่านกันนะคะ พออ่านเเล้วก็อยากอัพอีกรัวๆ เเต่ติดงานอันมหาศาล5555   จะพยายามเข้ามาอัพถี่ๆ ค่ะ ฮึบๆ  :z2: :z2:

ป.ล. สุดท้ายก็ยังไม่ขึ้นค่ะTT พิมพ์เปลี่ยนตรงไหนเนี่ย ทำได้เเต่ตรงรีพลาย ไว้ตอนหน้าจะลองหาวิธีใหม่ดูนะคะ ขอโทษด้วยค่า

หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 18-10-2016 22:12:05
ขึ้นแล้วค่ะะ ขอบคุณนะคะ :pig4: :pig4:
-------------------------------------
อ้าว มาดูอีกทีขึ้นตรงที่เป็นเนื้อหาอย่างเดียวค่ะ comment ไม่ขึ้นให้
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 19-10-2016 16:10:59
สู้ๆนะ

กิ่งก้านใบ

พี่หมอยินกำลังสอนน้องสินะ


หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 19-10-2016 16:14:37
หูยๆ มาต่ออีกคับมาต่อบ่อยๆเลยชอบๆ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ...
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 20-10-2016 01:55:36
หมอยินนี่พูดเพื่อให้เจ้ากิ่งหรือตัวเองแน่ใจในความรู้สึกกันแน่คะ  :hao3:

หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (ตอนที่ 4 คลิปฉิบหายยยย 18/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 20-10-2016 14:26:40
มี something wrong กันมาก่อนใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (ตอนที่ 5 เข้าเว็บหาความรู้ 20/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 20-10-2016 21:09:45
ตอนที่ 5


   ผมไม่รู้ว่าหมอมันจำได้ด้วย  เมื่อห้าปีที่แล้วตอนที่ทั้งผมและพี่มันยังเป็นเด็กมัธยมหัวเกรียน วิ่งเล่นเตะบอลตามประสาเด็กไม่รู้จักโตไปวันๆ   ตอนนั้นทั้งผมและมันไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันครับ


   กิ่งที่ตอนนั้นกำลังจะไปสอบเข้าโรงเรียนม.ปลายชื่อดังแห่งหนึ่งกับธันวาเพื่อนซี้ค่อนข้างจะเป็นกิ่งที่นักเลงมากครับ ตอนนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนเดินชนนิดๆ หน่อยๆ แล้วไม่ขอโทษละก็เป็นได้มีเรื่องตลอด  อาจเป็นเพราะผมเริ่มรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่นแล้วแหละมั้ง เลยเอาอารมณ์สับสนไปลงกับคนอื่น ดีที่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนดีๆ คอยช่วยเตือนสติมาบ้างจนทำให้เรียนจบม.ต้นที่โรงเรียนเดิมแบบหวุดหวิด  พอมารู้สึกตัวอีกทีว่าทำตัวนิสัยไม่ดีจนคนทั้งโรงเรียนเกลียดไปแล้วก็เลยอยากเริ่มต้นใหม่โดยการไปสอบเข้าที่โรงเรียนมัธยมชื่อดังใหม่ 


   เช้าวันนั้นผมนอนไม่พอเพราะอ่านหนังสือจนถึงดึกดื่น  แถมตอนเช้ายังโด๊ปกระทิงดำเข้าไปอีกหนึ่งขวดเต็มๆ อีกจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนข้ามถนนก็ยืนเหม่อจนโดนรถเสยเข้าตูม! ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของชาวบ้านและนักเรียนแถวนั้น

   ตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรเลยครับ ไม่ว่าจะเจ็บหรือปวด  จำได้แค่ว่าได้ยินเสียงคนแถวนั้นระงมไปหมด สักพักก็มีเงาดำๆ พาดทับตัวผมไปทั่วจนมองไม่เห็นอะไร  คาดว่าไทยมุงได้เข้าควบคุมสถานการณ์ไว้หมดแล้ว… จนกระทั่งวินาทีที่ผมเกือบจะสลบไปแล้วนั่นแหละครับที่ได้เจอกับหมอยินเป็นครั้งแรก


   ตอนนั้นหมอมันยังเป็นเด็กม.ปลายหัวเกรียน  ใส่กางเกงขาสั้นเก้งก้าง ยังไม่ดูบึกบึนเท่าตอนนี้ แต่มันก็สามารถแหวกฝูงชนออกได้ด้วยคำพูด  ถึงจะล่องๆ ลอยๆ ไปบ้าง แต่ผมก็จำได้ว่ามันนี่แหละครับที่เป็นคนโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมและอยู่รอจนกระทั่งผมถูกนำตัวส่งขึ้นรถพยาบาลไป   พอได้สติและฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งหมดที่ผมจำได้ก็มีแต่พี่คนนั้น… 


   ผมจำชื่อหมอยินได้เพราะตอนที่ตัวเองนอนเดี้ยงอยู่บนถนนนั่นขยับตัวไม่ได้เลย ได้แต่อ่านชื่อจากตัวอักษรผ้าที่ปักอยู่บนอกข้างขวาของเขา …ยินดี สายปัญญา  อืม ชื่อคนอะไรไม่รู้อย่างกับยี่ห้อน้ำส้ม คิดได้อย่างนั้นก็แอบหัวเราะอยู่ในใจแม้ว่าจะใกล้ตายเต็มทนครับ


   หลังจากนั้นถึงแม้จะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน  แต่ผมเองก็แอบสืบประวัติจากธันวาที่สอบติดที่นั่นไปเพราะไม่รู้ว่าผมเกิดอุบัติเหตุอยู่ มันเองก็รู้สึกผิดที่ไปสอบโดยไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง เลยยอมหาข้อมูลให้แล้วก็พาไปเที่ยวที่โรงเรียนเพื่อแอบส่องหมอมันอยู่เป็นประจำ  จนกระทั่งเราตัดสินใจจะเข้าเรียนที่คณะนี้ด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะผมอยากทำให้เรื่องของหมอยินมันจริงจังมากขึ้นบ้างเสียที แล้วธันวามันเองก็อยากเรียนคณะนี้อยู่เหมือนกัน


   …มันไม่ได้เป็นเหตุผลที่มากมายอะไรอย่างที่หมอยินว่ามาเลยครับ ก็แค่เด็กคนหนึ่งประทับใจคนที่เคยช่วยเขาเอาไว้  แถมคนๆ นั้นก็ไม่ได้มาผายปอดดูดปากหรือกระโดดเอาตัวบังรถให้แบบในหนัง แต่กลับทำให้ผมคลั่งเพ้ออยู่ได้หลายปีมาจนถึงวันนี้ 
   

   “พี่เขาได้ว่าอะไรเรื่องคลิปโป๊ไหมวะ”


   ถามได้ขัดจังหวะการเล่าอดีตที่สวยงามของผมมากครับธันวา “พี่หมอเขาบอกว่า ขี้เกียจแก้ตัวเลยปล่อยพี่นั่นเข้าใจผิดไปแทน”


   “หูย ว่าแต่มึงนี่ก็ใช่เล่นนะคะ ดูอย่างเดียวไม่พอต้องโหลดมาเก็บไว้ด้วย”  ธันวาซู้ดปากแล้วกระชากมือถือผมไปกดดูคลิปที่ว่านั่นแต่ผมลบไปแล้ว มันเลยทำหน้าเซ็งก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนผมมา  “หมอเขาเป็นอะไรรึเปล่าวะ… กูว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ  ปากก็บอกว่าไม่ชอบไม่เอาผู้ชาย แต่การกระทำนี่อ่อยมึงชัดเหลือเกิน”


   “กูก็ไม่รู้…”  ผมที่หลงรักพี่เขาและคิดว่ารู้ดีมาหมดทุกอย่างแล้วยังได้แต่ถอนหายใจเลยครับ   เพื่อนสาวของผมทำหน้าเห็นใจ ตบไหล่ผมให้กำลังใจเบาๆ 



   …ดีจริงๆ ที่มีเพื่อนดีแบบนี้


   จะเป็นเพศอะไรก็ช่าง แต่ผมโชคดีจริงๆ ที่มีคนใส่ใจจากใจจริง


   “แล้วที่ว่าจะจีบนี่จะทำยังไง”

   ผมไม่ตอบอะไรธันวา แต่ยิ้มกระหยิ่มก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์หาหน้าเว็บที่แคปเก็บไว้แล้วยื่นให้มันดู


   “กูมีวิธีของกูแล้วกันน่า คอยดูเหอะ พี่ยินก็พี่ยิน หมอก็หมอเถอะ ไม่มีทางรอด…”




.
.
.

   กระทู้ฮิตเว็บคันยิบ :: อยากจีบหมอนี่ต้องทำยังไงเหรอคะ

   คอมเมนท์ 1 : หมอชายนี่ไม่รู้ครับ แต่หมอหญิงเสร็จไปแล้วเรียบร้อย55 ตอนนี้เราแต่งงานกันมีความสุขดีครับ

   คอมเมนท์ 19 : หมอโดยทั่วๆ ไปนี่ก็เหมือนคนธรรมดาแหละครับ แต่เป็นคนธรรมดาที่เวลาน้อย ขอบตาคล้ำ แล้วก็เครียดตลอดเวลาเท่านั้นเอง /อีโมติคอนหน้าตลก/


   คอมเมนท์ 34 : สำหรับผมแล้ว ผมชอบคนที่ดูแลกันมากกว่าอย่างอื่นนะครับ งานประจำเราก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ก็อยากจะได้คนที่มาคอยดูแลแล้วก็เป็นห่วงกันบ้างอะไรบ้าง




   ….และอีกสารพัดสารพันคอมเมนท์ที่ผมนั่งไล่อ่านดูมาตั้งแต่เมื่อวานจนไม่เป็นอันเรียนหนังสือ  ตอนนี้ผมอยู่ในห้องคนเดียวเพราะพี่เนย์กับพี่เปาเปียวยังไม่กลับมา ดังนั้นผมเลยกล้าเปิดเพลงเสียงดังให้ชีวิตได้ผ่อนคลายจากการเครียดของชีวิตอันไร้สาระบ้าง


   กระทู้คันยิบที่ผมอ่านถูกตั้งขึ้นมาสองปีแล้ว  ยอดคอมเมนท์ก็เลยพุ่งทะลุเกือบสามร้อยกว่าๆ ตามประสากระทู้ฮิตที่มีคนเข้ามาให้ความสนใจเรื่อยๆ   ผมเลื่อนไปมาเพื่อหาคำตอบที่ตรงใจมากที่สุดแล้วก็เจอไม่กี่ข้อ  ส่วนใหญ่ก็มันพูดไปแนวๆ เดียวกันว่าต้องคอยเอาใจใส่ ไม่ขี้บ่นไม่จู้จี้  ทำตัวเข้าใจง่ายและเข้าใจหัวอกของคนอื่น… นี่คุณสมบัติแฟนหมอหรือคุณสมบัติคนดีศรีสังคมครับเนี่ย  คนอะไรมันจะประเสริฐได้ขนาดนี้



   แกร๊ก



   เสียงประตูดังขึ้นตามมาด้วยพี่รูมเมททั้งสองในสภาพอิดโรยใกล้ตายเหมือนขาดน้ำมาแรมปี  พี่เนย์เหวี่ยงกระเป๋าลงบนเตียงพี่เปาเปียวที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดก่อนจะลงมือถอดเสื้อทั้งๆ ที่ยังเดินไม่ถึงห้องน้ำ


   “เหนียวตัวฉิบหาย  กูบอกให้ขึ้นแท็กซี่มาก็ไม่ขึ้น ไงล่ะมึงเดินซะขาแทบลาก”

   “ก็ไม่อยากเปลืองเงิน”

   “รวยซะเปล่านะมึง ไอ้คุณหนู”


   พี่เปียวยักไหล่ไม่แคร์สื่อ คุณชายผู้ดีปลดกระเป๋าลงจากไหล่ช้าๆ เผยให้เห็นเสื้อนักศึกษาที่เปียกเหงื่อจนแนบแผ่นหลังกว้าง ก่อนจะเดินไปเก็บของเข้าที่ให้เป็นระเบียบ ทิ้งกระเป๋ายุ่ยๆ ของพี่เนย์ไว้เหมือนเป็นวัตถุอันตรายโดยไม่แตะต้อง


   “กินข้าวยังกิ่ง”


   “ยังครับพี่ ว่าจะกินมาม่าวันนี้”


   “แดกแต่มาม่า ระวังสักวันมึงจะเป็นโรคไตตาย”


   “เดี๋ยวให้หมอยินช่วยรักษาให้ก็ได้ครับ” ใครจะไปบอกว่าหมดตูดเพราะมัวแต่เอาเงินไปทำบุญหวังผลกันล่ะครับ  พี่เนย์ทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเสียงช้งเช้ง(นี่อาบน้ำหรือรบสงครามเวียดนาม)  ทั้งสองคนดูเหมือนจะชินแล้วล่ะครับที่มีผมคอยพูดอวยหมอยินอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ แหม คนมันรักก็ต้องแสดงออกให้รู้สิครับ


   “กูซื้อไข่มาด้วย จะเอาไปใส่ก็ได้นะ”


   ร่างสูงชี้ให้ผมดูถุงพลาสติกสีขุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ   ลาภปากแท้ๆ  ดีที่เกิดมามีมนุษย์สัมพันธุ์ดีนะครับเนี่ย ไม่งั้นมื้อนี้ได้กินแต่แป้งกากๆ แล้วก็โซเดียมแหงๆ “ขอบคุณครับพี่เปียว เดี๋ยวผมจะซื้อมาคืนให้”


   พี่เปียวพยักหน้าเออออเพราะรู้ว่ายังไงผมก็พูดไปตามมารยาทเท่านั้นและไม่ได้คิดจะซื้อมาคืนแต่อย่างใด(อ้าว)   เหลือบมองนาฬิกาก็เกือบสองทุ่มแล้วครับ มิน่าถึงได้หิวไส้กิ่วขนาดนี้ มัวแต่เอาเวลาไปหาวิธีจีบหมออยู่นี่เอง


   ระหว่างที่รอมาม่ากับไข่ในไมโครเวฟสุก  (แน่นอนครับว่าผมรู้ว่ามันควรจะต้องทำยังไงให้มันไม่ระเบิด… เอาเป็นว่าไม่ได้โง่เสมอไปครับ กิ่งเองก็มีมุมฉลาดอยู่บ้างแม้จะน้อยนิดก็ตาม)   ผมก็ไลน์ไปหาคนที่เป็นตัวการทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่หลายวันในช่วงนี้  กินเวลานานนิดหน่อยก่อนที่หมอยินจะตอบกลับมาแบบสั้นๆ



   HAPPYYIND : อยู่หอกับเนย์เหรอ


   ผมส่งรูปถ้วยมาม่าและคำชวนกินข้าวไปครับ แต่สงสัยจะถ่ายมุมกว้างไปหน่อยเลยติดกระเป๋ายุ่ยๆ ของพี่เนย์เข้าไปด้วย  หมอยินมันคงจะเห็นเลยถามมา


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ครับหมอ กับพี่เปียวด้วย

   HAPPYYIND : ดวงนายนี่มัน

   HAPPYYIND : กินไปเหอะ ฉันกินข้าวแล้ว

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : กินกับอะไรอะครับ

   HAPPYYIND : ยุ่ง

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : บอกมาเท้ออออ

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : /สติ๊กเกอร์เกาะขา/



   …แล้วก็เสต็ปเดิมครับ อ่านแต่ไม่ตอบ  แอบรักข้างเดียวนี่มันเจ็บจนชินจริงๆ  กว่าจะลืมตาอ้าปากได้ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกันนะ



   พี่เนย์เดินออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพที่เถื่อนกว่าเดิม คือไม่มีอาภรณ์อะไรติดเนื้อติดตัวเลย …ปล่อยไอ้นั่นโทงไปเทงมาอย่างไม่แคร์สื่อตามสไตล์ “ถ้าพี่จะอวดกันขนาดนี้ก็ควักมาตีหน้าผมเลยเถอะครับ ผมไม่ถือ”


   “ไม่ต้องถือหรอกมึง เพราะมันใหญ่แล้วก็หนักมาก” พี่เนย์หัวเราะให้กับมุกทรามๆ ของตัวเองพลางแต่งตัวไปด้วย  ไม่รอช้าพี่เปียวก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำต่อทันทีเหมือนผีเข้า เอ่อ ไม่ต้องแย่งกันครับ ห้องน้ำอยู่นี่ไม่ไปไหน และผมก็ไม่แย่งอาบหรอกครับ มันเปลืองน้ำ

   “คุยกับใครอยู่วะ หนุ่มที่ไหน”

   ผมยื่นโทรศัพท์ที่ยังค้างหน้าจอการแชทกับหมอยินอยู่ให้พี่เนย์ดูด้วยสีหน้าปลาบปลื้มถึงขีดสุด แหม่ นึกว่าจะไม่ถามซะแล้วครับ อยากเล่าใจจะขาด “หมอยินนนนน ผมคุยไลน์กับหมอยินด้วยแหละ”


   “กูขอร้องให้มึงเลิกพูดชื่อไอ้ยินต่อด้วยคำว่าหมอสักทีเถอะ ฟังทีไรแล้วขนกูลุกทุกที”

   “ขนส่วนไหนอะ”


   “เด็กเวร มึงนี่มันนนน” พี่เนย์แกล้งเอาผ้าเช็ดตัวเปียกๆ ของพี่แกมาวางโปะไว้บนหัวผมแล้วเขย่าโคลงเคลงไปมา แอ่ก ไม่สนุกเลยครับยังกับจะขาดใจตาย แถมรู้สึกเหมือนได้เอาหน้าไปแนบกับไอ้นั่นพี่เขาอีก “ก็หมอเขาเป็นหมอนี่หว่าพี่ จะให้เรียกว่าพี่เฉยๆ ได้ไง”


   “อ้าวไอ้นี่ แล้วนี่กูเรียนเหี้ยไร วิศวะเหรอ เรียกกูหมอเนย์บ้างดิ”

   “หมอยินเขาพิเศษ คนพิเศษย่อมคู่ควรกับการใส่ไข่”

   “เกรงว่าไข่มึงนั่นแหละที่เขาจะไม่เอา”

   “โอ๊ยหยาบคาย กิ่งไม่เล่นละ เป็นเด็กใสๆ”

   “ไสยศาสตร์สิมึง”

   พี่เนย์จบท้ายด้วยการเหวี่ยงผมแรงจนกลิ้งหลุนๆ ตกขอบเตียงไป แหม่ หัวแตกไปนี่แอนตาซิลไม่จ่ายนะครับ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้



   ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่ยังค้างอยู่ที่แชทของหมอยินอย่างหลงใหล  จากนั้นก็กดสลับหน้าจอไปยังกระทู้คันยิบที่ยังอ่านไม่เสร็จ หวังว่าจะเจอทิปอะไรเด็ดๆ กว่าการปฏิบัติตนเป็นพ่อพระบ้าง


   สายตาผมเลื่อนไปหยุดอยู่ที่คอมเมนท์ที่หนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ด มีคนกดถูกใจอยู่มากมายเลยทีเดียว


   เนื้อหามันมีอยู่ว่า…
   

.

.

.

   “เด็กนี่อีกละ กูว่าแม่งเริ่มสตอล์เกอร์เกินไปแล้วว่ะ”

   เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มพี่ปีสามที่เดินผ่านไปมาไม่ได้ทำให้ผมย่อท้อแม้แต่น้อย ในใจหวังแต่ว่าจะเจอหมอยินเดินผ่านมาสักจึ๋งก็ยังดี ไม่งั้นข้าวกล่องที่อุตส่าห์ทำมาคงจะต้องเป็นหมันไปแน่แท้


   เมื่อคืนหลังจากเจอคอมเมนท์ที่ถูกใจแนะนำว่า การจีบหมอนั้นควรจะเริ่มจากการทำกับข้าวเป็น เพราะหมอไม่มีเวลาหาอะไรดีๆ กินอย่างชาวบ้านเขา  ผมก็วิ่งแจ้นลงไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมาเตรียมไว้ทันที ดีที่ในห้องยังมีหม้อไฟฟ้าของพี่เนย์ไว้กินสุกี้ยามต้นเดือน ผมเลยสามารถตื่นมาทำข้าวกล่องใสๆ สไตล์กิ่งก้านได้อย่างไร้ปัญหา


   ปัญหาเดียวที่มีนี่ก็เห็นแต่จะเป็นหมอยินล่ะครับ คราวที่แล้วที่ให้ดอกไม้ไปยังเจอปฏิเสธมาหน้าแหก คราวนี้หวังว่าคงไม่โดนกล่องข้าวโปะหน้าหรอกนะ

   “…นั่นมันเด็กโรคจิตนี่หว่า”

   เสียงคุ้นๆ …พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่แนนหน้าจืดนั่นกำลังเดินมากับเพื่อนสาวอีกสองคน  เธอจ้องหน้าผมเขม็งก่อนจะสะบัดบ๊อบหนี เอาเลยครับ ตามสบาย ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเจอหน้าพี่หรอก

   “มายืนรอไอ้ยินเหรอจ๊ะ กิ๊วๆ”

   เสียงคุ้นๆ (อีกรอบ)  เป็นกลุ่มพี่ปีสามกลุ่มเดิมที่เคยแซวผมเมื่อวันที่ผมแจกเบอร์หมอยินมันไปหน้าโรงอาหารนั่นแหละครับ  คณะแพทย์นี่คนมันน้อยขนาดนี้เลยเรอะ เจอหน้าแต่อริอยู่ได้ “ใช่ครับพี่ ทำไม หรืออิจฉาที่ตัวเองไม่มีใครมาทำแบบนี้ให้บ้าง”


   คราวนี้กลุ่มเพื่อนมันหัวเราะกับคำตอบของผมบ้าง  พี่ปีสามคนนั้นโกรธที่เพื่อนไม่เข้าข้างตัวเองจนหน้าแดงก่อนจะเดินมาจ้องหน้าผม เอาสิครับ เรื่องจ้องหน้านี่ไม่เคยหวั่นอยู่แล้ว

   “มึงนี่…”


   “…” ต่อยมาต่อยกลับ ไม่โกงครับ แต่นี่มันในโรงพยาบาล แถมพวกเราเองก็ใส่ชุดนักศึกษาอยู่  พี่เขาเองก็พอจะรู้ข้อนี้ดีเลยไม่ได้ทำอะไรมาก 


   แต่ระหว่างที่กำลังหันตัวกลับนั่นเอง มือของมันก็ตวัดถุงพลาสติกในมือผมจนหล่นลงไปกองกับพื้น กล่องทัปเปอร์แวร์ข้างในที่มีหนังยางรัดไว้แน่นหนาไม่ถึงกับแตกออกมา  แต่การที่มันคว่ำลงแบบนี้ก็ทำผมใจคอไม่ดีเลย


   “พี่ทำอย่างนี้ทำไมวะ ผมก็อยู่ของผมดีๆ”


   “ปากมึงดีไง”

   “พี่แม่งเหี้ย”

   “จรรยาบรรณกูมีตอนนี้ แต่ตอนที่ถอดชุดนักศึกษาแล้วก็ไม่แน่ ระวังตัวไว้ดีๆ ไอ้กิ่ง”  มันพูดก่อนสะบัดเสื้อกาวน์เดินหนีไป อะไรวะ โดนพี่แนนสะบัดบ๊อบใส่ไปก็แล้ว นี่ยังจะมาสะบัดกาวน์ใส่กันอีก  ผมยืนนิ่งไม่รับรู้อะไร พอได้สติคืนมาก็ก้มลงเก็บกล่องข้าวขึ้นมา แกะหนังยางที่รัดไว้และปลดล็อกมันออกเพื่อตรวจความเสียหายภายใน


   เละครับ ไม่ได้เละจนถึงขั้นกินไม่ได้ แต่ไอ้ที่พยายามตกแต่งมาแม่งก็เลือนหายไปด้วย


   “…ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ควรไปขอโทษนะ”


   เสียงคุ้นๆ (อะเกนแอนด์อะเกน)  แต่คราวนี้ผมกลับไม่ยอมหันไปตามเสียงนั้นเพราะกลัวน้ำตาจะไหลออกมา ไม่รู้ว่าหมอมันมายืนอยู่นานแค่ไหนแล้วและเห็นอะไรไปบ้าง “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ จะขอโทษทำไม”


   “บางครั้งก็ต้องยอมให้กันบ้าง เห็นขยะหล่นตามถนนแล้วบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำแต่ไม่ได้เก็บมันก็ไม่ดี”

   “หมอแม่ง แทนที่จะช่วย”

   “แล้วนั่นอะไร”


   คนตัวสูงโน้มตัวลงมาดูกล่องข้าวที่ผมถืออยู่ ผมยื่นให้หมอมันดูชัดๆ แล้วสาธยายว่า “ข้าวผัดห่อไข่แห่งความรัก …จริงๆ แล้วตรงหน้ามันผมวาดซอสเป็นรูปหน้าหมอด้วยนะ แต่แม่งคว่ำไปแล้ว เละหมดเลย”


   “ดูจากหน้าตาแล้วไม่น่ากินได้”


   “หมออะ!” ผมทุบแขนหมอมันแรงๆ ไปทีนึงแบบอดไม่ได้ ถึงรักก็ทำร้ายได้นะครับ “แทนที่จะให้กำลังใจ เดี๋ยวนี้พระเอกเขาพูดแต่อะไรแบบนี้กันเหรอฮะ”


   “คิดจะจีบก็ต้องทำใจ”


   มันก็จริงครับ ไม่มีอะไรผิดจากที่หมอมันพูดเลย คิดจะจีบก็ต้องทำใจ 


   หมอยินถอนหายใจแล้วช่วยผมปิดฝากล่อง มันถือไว้เฉยๆ แล้วรอให้ผมรัดหนังยางจนเสร็จ “ขอบใจละกัน”


   “…เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมทำมาให้ใหม่ คราวนี้จะวาดมาสวยๆ ประคองตระกองกอดมาตั้งแต่หอเลย”


   “ไม่ต้องอะ ฉันไม่ค่อยกินข้าวเช้า”


   “กินเป็นมื้อเที่ยงก็ได้นี่ครับ”

   “แล้วนายจะให้ฉันถือไอ้ถุงนี่ไปมาทั้งวันเนี่ยนะ”

   “งั้นเดี๋ยวพักเที่ยงผมเอาไปให้! หมอจะกินที่ไหนเดี๋ยวเอาไปส่งเลย”

   “อย่าดีกว่า นายมาแล้วก็มีแต่ปัญหา” ผมนึกไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ไปสร้างเวรกรรมไว้กับพี่แนนแล้วก็นึกยิ้มในใจ อย่างน้อยก็ตัดศัตรูไปได้อีกหนึ่ง “รับรองว่าไม่มีแน่นอนครับ! สาบานด้วยหัวใจ!”

   “…ทำอย่างกับเชื่อได้นักล่ะ”


   “จริงจริ๊งง” พูดไปพร้อมกับตีหน้าใสซื่อสุดฤทธิ์ “หมอให้โอกาสผมแล้วนี่ ให้ผมได้ใช้มันจริงๆ จังๆ เหอะนะ”


   “ทำแบบนี้มันน่ารำคาญ พอเหอะไอ้พล็อตทำกับข้าวมาให้เนี่ย”


   ตอนนี้คือสภาพเหมือนหมอยินมันถือหอกไว้ วิ่งตรงเข้ามาแล้วขว้างใส่ผมจนถูกเสียบเข้ากับกำแพงอะครับ ฮือ ใจร้ายจริงหมอบ้า


   “แล้วหมอจะให้ผมทำไงดีล่ะ”


   “คิดจะจีบก็คิดเองสิ …ฉันจะไปเรียนแล้ว ขอบใจสำหรับนี่แล้วกัน ว่าแต่กินได้แน่นะ”


   “หมอ! กินได้ดิ!”

   “นี่คงไม่ได้ใส่อะไรพิเรนๆ ลงมาใช่ไหมเนี่ย”


   “หูย นี่ลืมคิดไปเลยอะว่ามันทำอย่างนั้นได้ รู้งี้น่าจะใส่ไปสักน้ำสองน้ำ”


   “ไอ้เด็กโรคจิต”


   หมอยินไม่อยู่ต่อปากต่อคำกับผมต่อ เดินหันหลังขวับไปพร้อมกับถุงกล่องข้าวหน้าตาประหลาดๆ ที่ผมทำให้…  ผมยืนมองมันจนกระทั่งตัวสูงๆ ของมันลับของตึกไป ผมถึงได้ชูสองมือขึ้นฟ้า กระโดดเหยงๆ ต่อหน้าคนทั้งชั้นเมื่อเห็นว่าเป้าหมายในวันนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี




   โอ๊ยยย คนมันมีความสุขครับ  จะมองก็มองมาเถอะ ผมไม่ได้ไปทำร้ายใครสักหน่อย




tbc.
 
*****************************************
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ตื่นเต้นจุง55 มีอะไรพลาดก็จะพยายามเเก้ตามคำติชมค่าา
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 5 เข้าเว็บหาความรู้ 20/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 21-10-2016 00:51:21
จากความรักที่เคยมีให้กิ่ง เราเริ่มหมั่นไส้มันแล้ว โอ้ยกิ่งงงงง แกกกกกก 55555555 เอ็นดู

ทำไมรู้หมอยินใจดีขึ้นเรื่อยๆ ฮั่นแน่!
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 5 เข้าเว็บหาความรู้ 20/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 21-10-2016 12:25:32
สนุกสนานกันไป จิ้มๆ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 5 เข้าเว็บหาความรู้ 20/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 21-10-2016 12:39:05
อีโก้สูงไปไหนนน หมอยอมน้องเถิด
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 5 เข้าเว็บหาความรู้ 20/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 21-10-2016 13:10:49
สู้ต่อไปนะกิ่ง. แต่ชั้นอิจเทอมากกว่า
มีอาหารตาให้ดูอยู่ทุกวัน แอร๊ยยยยย ตั้ง  2 คน
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 6 กินเหล้าเข้าสังคม 22/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 22-10-2016 11:06:59

ตอนที่ 6






   “ร้อนฉิบหายยยย”


   “บ่นได้บ่นดี”


   เสียงเล็กๆ ของหมวยด่าขึ้นเมื่อผมบ่นเป็นรอบที่ร้อยแปดของวัน   ในช่วงเวลาบ่ายสามที่พระอาทิตย์กำลังแสดงศักยภาพอยู่นั้น นายกิ่งและผองเพื่อนอีกสามคนอันได้แก่ธันวา หมวยหมวย และเป็นใจ สี่สหายแห่งเวชนิทัศน์ก็ได้ยืนอยู่กลางแดดจ้าพร้อมกล้องที่เลนส์ใหญ่เท่าต้นขาและน้ำหนักอันมหาศาลของมัน   กลุ่มของพวกเรานั้นนับได้ว่าเป็นศูนย์รวมแห่งความจัญไรมากครับ  แค่ผมกับธันวาก็ว่าแย่ละ นี่ยังมีหมวยหมวย สาวน้อยผู้มีเสียงหัวเราะที่โคตรแหลมและวาจาอันยากจะทำความเข้าใจว่ามันหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่  และเจ้าเป็นใจ สาววายผู้ช่ำชองของห้องซึ่งในหัวคิดเรื่องอื่นนอกจากความรักระหว่างชายชายไม่ได้เลย


   “กูลืมเอาครีมกันแดดมา เหี้ยยยย”

   เป็นใจโวยวายเหมือนโลกจะแตกเมื่อพบว่าตัวเองลืมไอเท็มสำคัญในประเทศไทยไป  แหม่ แต่ทั้งตัวมันก็มีแค่มือกันหน้าเท่านั้นแหละครับที่โผล่พ้นร่มผ้ามา แต่งตัวมายังกับจะไปเดินพารากอน


   “เอ้า”

   ธันวาเปิดกระเป๋าตัวเองค้นกุกกักแล้วโยนกันแดดหลอดส้มของตัวเองให้มันไป เป็นใจกรี๊ดกร๊าดก่อนจะอาบครีมสีขาวไปทั่วมือและคอของมัน ส่วนหน้านั้นต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ารองพื้นที่โบ๊ะมาอาจหลุดได้ “จบปีสี่กูว่าได้เป็นมะเร็งกันไปข้างอะ”


   “กูแถมโรคออฟฟิซซินโดรมให้ด้วยเอ้า” หมวยหมวยแทรกขึ้นมาพร้อมทำท่าขนลุก  คณะผมขึ้นชื่อเรื่องงานเยอะแยะมหาโหดมากครับ เพราะต้องเรียนแบบศิลปกรรมแล้วก็ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน งานเลยมาแบบอัลติเมทไม่มีจบสิ้น “แล้วดูสิสั่งงานอะไรมา ให้ถ่ายรูปสิบรูปส่งภายในอาทิตย์นี้เนี่ยนะ วันหยุดก็มีแค่นี้ วันธรรมดาก็เรียนเต็มวัน การบ้านก็ต้องทำ จบไปกูว่ากูคงต้องไปบำบัดจิตก่อนทำงานสักปี”


   เป็นใจลูบหลังหมวยหมวยที่บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะชี้นาฬิกาให้ดูว่าเราเหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่ก่อนที่ช่วงเวลาแดดเป็นใจจะหมดลง  พวกเราทั้งสี่คนเดินล่องพื้นที่ริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าจะเจอวิวสวยๆ ให้เราได้ถ่ายภาพไปส่งการบ้านบ้าง

   “แล้วมึงกับพี่หมอเป็นไงบ้างอะกิ่ง”

   สาวเลือดม่วงถามผมเมื่อเราเดินฉีกตัวออกมาถ่ายต้นไม้ใหญ่ตรงท่าเรือกันสองคน  ผมมองเป็นใจที่กำลังรัวชัตเตอร์แบบไม่กลัวเปลืองเมมแล้วตอบไปว่า  “ไม่รู้ว่ะ ก็โอเคอะมั้ง พี่เขาน่าจะเสร็จกูแหละ”

   “หูว ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างมึงมีเรื่องที่ไม่มั่นใจกับเขาด้วย”  ผมมองค้อนไอ้เป็นใจไปทีนึง “งี้แหละ พวกหมออะสเป็คสูง อยากจะจีบใครก็จีบติดอยู่แล้วเลยไม่เดือดร้อนอะไร กูล่ะเกลียด”


   “อย่ามาว่าวิชาชีพของพี่หมอกูนะเว้ย! กูแค่อ่านท่าทีเขาไม่ออกเลยไม่มั่นใจเท่านั้นเอง …ไม่รู้ดิ เหมือนเขาให้ความหวังกู แต่ก็ปฏิเสธกูทุกครั้งที่กูเข้าใกล้เขามากเกินไป แม่ง…”


   เขาว่ากันว่าคนโสดนี่เหมาะกับการปรึกษาเรื่องความรักครับ  โดยเฉพาะคนโสดที่ถนัดเรื่องความรักแบบแมนๆ คุยกันแบบเป็นใจนี่แหละ “เขาอาจจะแบบไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ปะ เหมือนหลอกตัวเองว่ายังแมนทั้งแท่งอยู่”


   “มึงว่าพี่เขาจะแท่งขนาดไหนวะ”


   “ไอ้…!!!!” เป็นใจดูไม่เก็ทกับมุกตลก(อันแสนจริงจังของผม)  มันหน้าแดงไปนิดหน่อยแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรไม่รู้ยุกยิกซึ่งก็คาดว่าน่าจะเป็นพล็อตสำหรับโดจินเรื่องใหม่ของมัน “จะใหญ่ไม่ใหญ่หรืออะไรยังไง กูว่าเขาสับสนอยู่และคงยังไม่อยากใช้มันกับมึงในเร็วๆ นี้ว่ะ เสียใจด้วยนะกิ่ง”


   ลองให้เจ้าแม่วายอย่างเป็นใจมันพูด ผมเองก็คงจนปัญญาแหละครับ  คงได้แต่รอต่อไปจนกว่าโอกาสและฟ้าจะเริ่มพลิกล็อคให้เข้าทาง  ผมคิดเป็นตุเป็นตะในใจก่อนจะยกกล้องในมือขึ้นมาถ่ายด้วยใจหน่วงๆ



   “ร้อนนนนนนนน อีกิ่ง!! หาร้านที่มีแอร์! ด่วน!”

   “ร้านนั้นมะ”

   “ห่า เย็นตาโฟหม้อไฟ! เหมาะกับการกินตอนกูจะธาตุไฟแตกตายมาก!”

   “ให้เลือกแล้วยังจะเรื่องมากอีก…”


   ธันวามองค้อนผมขวับเมื่อได้ยินเสียงบ่นอุบอิบ  ตอนนี้เป็นใจตายไปแล้วครับ และก็เป็นหมวยหมวยนั่นเองที่ช่วยรักษาศพมันไว้โดยการใช้แผ่นกระดาษโบกเป็นพัดให้ใต้ร่มไม้ “ใครเขาให้มันใส่เสื้อแขนยาวมาถ่ายรูปที่วัดวะ ไม่เป็นฮีทสโตรกตายก็ดีตายห่า”

   “มันกลัวดำ เห็นใจผู้หญิงหน่อยเหอะกิ่ง”

   “ไม่เห็นน่ากลัวเลย ดำๆ สิเท่ดี”

   “เหรอออ แต่กูว่าหมอยินเขาน่าจะชอบคนที่ขาวๆ ไม่ใช่เหรอวะ เห็นแฟนคนแรกแกก็ขาวๆ หมวยๆ”


   
   พรึ่บ! ผมหันไปจ้องหมวยหมวยตาขวางทันทีที่มันพูดจบ …เรื่องแฟนพี่หมอยินนี่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามพูดให้ผมได้ยินครับ เพราะมันสะเทือนใจม้ากกกกกมาก   เป็นที่รู้ๆ กันว่าคนหน้าตาดีแบบหมอยินนั้นยังไงก็คงต้องเคยผ่านมือหญิงสาวสุดสวยมาก่อน ซึ่งช่วงนั้นนับได้ว่าเป็นยุคมืดของชีวิตผมเลยที่ต้องทนร้องไห้ทุกๆ วันที่เห็นรูปพี่สองคนนั้นกำลังนั่งกินข้าว เดินเล่น หรือคุยกันอยู่สองคนจากฝีมือปาปาราซซีนามว่าธันวา


   …คนที่หมวยหมวยมันพูดถึงก็คือพี่แฟ้มครับ เป็นคฑากรมือหนึ่งของโรงเรียน ประกวดอะไรไม่รู้เกี่ยวกับวงการจนได้เล่นโฆษณาไปเยอะแยะ  ถึงชื่อจะเหมือนผู้ชายและยี่ห้อผงซักฟอก แต่พี่เขาก็เป็นผู้หญิงที่ผมรู้สึกว่าสวยและเหมาะกับหมอยินมาก  แน่นอนว่ามันไม่เหมาะเท่ากับผมหรอก แต่ทำไงได้ครับ ยังไม่ถึงเวลาของเราก็ได้แต่ตาห้อยมองตามหลังไปพลางๆ   หมอยินคบกับพี่แฟ้มไปได้ประมาณสามเดือนก็เลิกกัน  ผมเองก็อยากรู้เหตุผลแทบตาย แต่ไม่ว่าใครก็ตามต่างเป็นต้องพ่ายแพ้ในการหาข่าวมาให้ผมเสพเสียหมด   กล่าวคือไม่มีใครรู้เลยแม้แต่นิดเดียวครับว่าทำไมหมอยินถึงได้บอกเลิกพี่แฟ้ม แม้แต่เพื่อนสนิทของพี่เขาเองก็ไม่รู้มาก่อน


   “กูว่าหมอเขาไม่ได้มองคนที่ภายนอกหรอก”

   “จ้า พ่อหมอคนดี พ่อคนประเสริฐ เท่าที่ดูมานี่ก็อยู่แต่กับกลุ่มเพื่อนหน้าดีๆ ทั้งนั้น”

   “ไก่ย่อมคบกับไก่”

   “มิน่าเขาถึงไม่รับรักมึง”

   “กูก็หล่อนะเว้ย! หมอเขาเคยชมว่ากูหน้าหวานด้วย!”


   “กรี๊ดด!!”    ทุกเสียงเงียบลงเมื่ออยู่ดีๆ เป็นใจมันก็กรี๊ดออกมา “เอ่อ เปล่าไม่มีอะไร กูแค่รู้สึกว่ามันฟินดีเฉยๆ  อะๆๆ เล่าต่อๆ กิ่ง กูอยากรู้”

   “ไม่ค่อยจะเลยนะคะอีกเป็นใจ…” ธันวาแขวะ นั่นเรียกเสียงหัวเราะให้พวกเราทั้งกลุ่มได้เป็นอย่างดี  สุดท้ายแล้วพอนั่งคุยกันจนหายเหนื่อยเราก็ตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปยังห้างที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาข้าวเย็นกินกันก่อนกลับหอ  หอของธันวาอยู่ทางเดียวกับหมวยหมวยครับ  ส่วนเป็นใจมันอยู่หอในของผู้หญิงที่ไปอีกทาง สุดท้ายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันกลับเมื่องานเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย



.
.
.


   ผมมาถึงที่หอราวๆ สองทุ่มเพราะไอ้เป็นใจมันยื้อให้เล่าเรื่องหมอยินให้มันฟังเสียนานสองนาน  พอตั้งท่าจะแตะบัตรเข้าหอไปผมก็เจอกับดวงใจของผมที่นั่งเล่นอยู่ข้างนอกกับกลุ่มเพื่อนครับ

   “หมอ!”

   ผมเรียกหมอมันเสียงหวานเยิ้มก่อนจะถลาเข้าไปทำท่าจะจูบ และก็ได้ผลครับ ถูกกระทืบออกมา “แอ่ก! หมอใจร้าย เดี๋ยวผมจะฟ้องแพทยสภา”

   “น้องมันร้ายว่ะยิน ฮ่าๆๆ กูกลัวใจ”

   เสียงเพื่อนในกลุ่มของพี่เขาหัวเราะตามมา  คนที่ตามสืบประวัติหมอยินมาตลอดอย่างผมย่อมรู้จักครับว่าใครเป็นใคร…  คนที่พูดขึ้นมานั่นชื่อพี่ผึ้งครับ  ส่วนคนที่ยืนประกบข้างหมอยินนั่นคือพี่เป้กับพี่อ๊อฟ โปรไฟล์ดีภาษีเริศกันทั้งกลุ่ม “หมอมาทำอะไรที่นี่อะครับ”


   “มีทำเมินด้วย”

   “มารอเอาชีทให้เนย์มัน”

   อ้าว! ไปเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่เห็นรู้ 


   “ฉันกับมันนั่งเรียนแถวๆ เดียวกันเลยพอได้คุยกันบ้าง”

   “…หมอเหมือนอ่านใจผมได้เลยอะ เขินนะเนี่ย”

   “แค่ดูหน้านายเขาก็รู้หมดแล้วมั้งว่าคิดอะไรอยู่”

   “หมอมองหน้าผมด้วย เขินจัง สนใจถ่ายรูปคู่กันไหมครับ”

   “พอๆๆ มาสวีทอะไรกันตรงนี้ คุยกันสองคนจุ๋งจิ๋งหงุงหงิงกันอยู่ได้ กูขนลุก”


   ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนในกลุ่มได้ทันที ผมเองก็แกล้งหัวเราะไปด้วยเผื่อพี่พวกนี้เขาจะคิดว่าผมน่ารักและคอยช่วยส่งเสริมอยู่บ้าง “แล้วพี่เนย์ยืมอะไรจากพี่เหรอครับ ให้ผมเอาขึ้นไปให้ไหม”


   อาสาครับอาสา ทำตัวเป็นคนดี บุญนี้ใหญ่หลวงนัก “ไม่ต้อง เดี๋ยวมันก็ลงมาละ อีกอย่างยังไงที่นี่ก็ทางผ่านอยู่แล้ว"


   ผมเหลือบมองหน้าหมอมันน้อยก่อนจะประเมินเครื่องแต่งกายของทุกคนในกลุ่ม …เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ทุกคนเลยใส่ชุดลำลองกันหมด แตมีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันพิเศษกว่าเป็นชุดไปรเวทธรรมดาๆ นั่นคือความหล่อร้ายที่แต่ละคนเหมือนเก็บไว้ในลิ้นชักห้องแล้วจะควักมาใช้แต่ในวันแบบนี้อะครับ พูดไม่ถูก จะว่ายังไงดี มันเหมือนเป็นเซนส์ที่รับรู้ได้น่ะครับว่าพวกเขากำลังจะออกเที่ยวกัน

   แม่ง พูดแล้วก็หน่วงๆ  เที่ยว กินเหล้า เมา แล้วก็คงจะได้ผู้หญิงกลับมา โอ๊ยยย แค่คิดก็ตาร้อนผ่าวๆ ครับ

   “ขอผมไปด้วยได้ไหมอ่า”  ไม่รอให้โอกาสหลุดมือ ผมรีบสบตาหมอยินพร้อมกระพริบตาปิ๊งๆ หวังจะให้มันหิ้วไปด้วย

   “ไม่ ขึ้นหอไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เหม็นเหงื่อ”

   เอิ๊กกกก ฝันสลาย โดนกระทืบหัวใจซ้ำมาด้วยหนึ่งดอก  ผมกอบกุมหัวใจอันแตกเป็นเสี่ยงๆ ไว้  คราวหลังผมจะพกน้ำหอมติดตัวไว้ตลอดเวลาเลยคอยดู เจอหน้ากันเมื่อไหร่จะงัดมาฉีดๆ ให้มันสำลักกันไปข้าง


   “ใจร้ายอีกละยิน น้องเขาอยากไปก็ให้น้องเขาไปเหอะ”

   ผู้สนับสนุนหลักใจดีของผมอันได้แก่พี่เป้พูดขึ้น  พี่เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน คงจสงสารผมหน่อยๆ ที่ทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ ดีครับ ดีเลย สงสารผม พาผมไปด้วย

   “เกะกะเปล่าๆ”

   “ไอ้คนใจร้าย ให้น้องมันไปด้วยเหอะ น่าสนุกดีออก”

   “สนุกกับผี”

   หมอยินเริ่มเหวี่ยงใส่กลุ่มเพื่อนแล้วครับ  ก่อนที่มันจะอ้าปากพูดอะไรอีกเสียงเปิดบานประตูของหอพักก็ดังขึ้น เป็นพี่เนย์นั่นเองที่เดินออกมาพร้อมกระเป๋าคาดไหล่แบบที่แม่ค้าเขาชอบใช้กัน เมื่อบวกกับรังสีแบดบอยที่คาดว่าพี่เขาก็คงจะไปฟาดฟันพร้อมกันกับกลุ่มหมอยินแล้ว  …เอิ่ม มีใครเคยบอกพี่เขาไหมครับว่ามันเถื่อนมากเลย นี่ตกลงเรียนหมอจริงใช่ปะเนี่ย


   “อ้าวกิ่ง ไปด้วยเหรอวะ”

   “ครับพี่”

   “เปล่า ไม่ได้ไปด้วย เอ้านี่เนย์ชีท”

   “…พี่เนย์ ผมไปด้วยคนน้าาา”


   คราวนี้ผมตีบทหน้าเศร้า คลานลงกอดขาพี่เนย์ เจ้าตัวทำท่าสบัดๆ ผมออก แต่ด้วยความที่เหนียวหนึบทนทานเลยยังเกาะอยู่ได้ “ผมสัญญาจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่แย่งพี่อาบน้ำ ให้พี่ยืมไม้แขวน ต้มมาม่าให้กิน อุ่นข้าวรอเมื่อพี่อาบน้ำ…”


   “เยอะไปละ”


   “กูว่าให้น้องไปเหอะ มันตลกดีออก”







   กลายเป็นว่าสามในสี่ของกลุ่มเพื่อนหมอยินยินดีให้ผมร่วมทางไปด้วย (บวกกับอีกหนึ่งเสียงแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนักของพี่เนย์)  และแม้เจ้าตัวจะทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกเมื่อกลายเป็นว่าเราต้องนั่งเบียดกันบนรถอย่างทุลักทุเล ผู้ชายตัวเท่าควายโตเต็มไวหกคนนั่งเกยกันอยู่บนรถบีเอ็มคันงามของหมอยิน ดูๆ ไปแล้วก็พานให้นึกถึงลิฟต์ที่ตึกคณะช่วงเวลาเช้าๆ ดีเหมือนกัน


   “เหงื่อมึงไหลจะโดนง่ามตีนกูอยู่ละกิ่ง” พี่เนย์ที่ตอนนี้ถูกผมนั่งตักอยู่พูด 

   “ผมว่าไม่ใช่เหงื่อหรอกพี่ น้ำอย่างอื่นมากกว่า”

   “แม่งใสไป ของมึงต้องข้นกว่านี้”

   “เนย์…”  พี่เป้ที่นั่งอยู่ริมสุดของอีกฝั่งเอ่ยขึ้นมา “นี่อย่าบอกนะว่ามึงกับน้อง…”

   “อยู่ห้องเดียวกันมันก็เคยๆ กันบ้าง”


   พี่เนย์พูดจากนั้นทุกคนบนรถก็หัวเราะ… ซึ่งก็ยกเว้นหมอยินอีกเช่นเคย  เอาเลยครับ จะเมินผมให้หัวใจดวงน้อยๆ นี่แหลกเฉาตายไปเลยก็ไม่เป็นไร  “แล้วงี้เปียวไม่ว่าเหรอวะ?”


   “มึงจะพูดชื่อมันขึ้นมาทำไมวะ”

   “อ้าว ไม่ใช่ว่ามึงกับเปียวคบกันอยู่เหรอ…”

   ก่อนที่พี่เป้จะเสร็จสิ้นประโยคดี  มือหนาๆ ของพี่อ๊อฟก็ตะครุบปากบางนั่นไว้ได้ทัน  จากที่หัวเราะกันมาอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเงียบกริบไปเลยซะงั้น

   “เอาอะไรคิดวะว่ากูจะคบกับเปียว ลูกคุณหนูแบบนั้นกูไม่ไหวหรอก”

   “กูว่ามึงน่ะลูกคุณหนูกว่ามันอีก ขี้ร้อนขี้หงุดหงิด เปียวมันรึออกจะนิ่งๆ ไม่มีแอร์ก็อยู่ได้”

   “มึงจะเอาอุณหภูมิมาวัดความเป็นคุณหนูกันยังงี้ไม่ได้นะเว้ย”

   “เปียวมันก็แค่ดูลุคเป็นแบบนั้นเท่านั้นแหละ ไม่ได้อะไรไปมากกว่านั้นหรอก”

   หมอยินที่เป็นสารถีมาตลอดพูดขึ้นมาเป็นประโยคแรกตั้งแต่ขึ้นรถ  พี่ผึ้งที่นั่งหน้าคนเดียวก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับเพื่อนตัวเอง  เห็นแบบนี้แล้วผมก็รีบพยักหน้าตามเลยครับ พอดีว่าอยากเป็นฐานเสียงช่วยหมอยิน “จริงๆ แล้วพี่เปียวเขาธรรมดามากครับ แค่ท่าทางดูนิ่งๆ เท่านั้นเอง ผมว่าก็เท่ดีออก”


   “กิ๊วว ยิน น้องมึงเขาว่างั้นแหนะ ไม่หึงหน่อยเหรอ”

   “ไม่หึงหรอกครับ หมอยินเขารู้ว่ายังไงซะเขาก็เป็นนัมเบอร์วันของผมเสมอ”

   “…กูพูดเล่นนะกิ่ง ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้”

   “ผมจริงจังครับพี่ผึ้ง ผมจริงใจด้วยยยย”

   “ยังไม่ทันกินก็เมารักไปซะและ” พี่ผึ้งพูดพลางกลั้วหัวเราะ  ผมลอบมองคนขับรถที่ตอนนี้ก็ยังทำหน้านิ่งๆ ไม่แคร์ใครเหมือนเดิม  “แล้วนี่คิดยังไงมึงถึงมาจีบไอ้ยินตอนนี้ฮะ ได้ข่าวว่าหลงรักมาก็หลายปี”


   เป็นพี่เนย์ครับที่พูดขึ้นมา อืมโอเคครับพี่ มาถามอะไรเอาตอนนี้ กลับห้องไปค่อยถามไม่ได้เรอะ “ก็ตอนปีหนึ่งไม่ได้เรียนวิทยาเขตเดียวกัน ส่วนเทอมแรกผมก็มัวแต่ยุ่งๆ กับเรื่องงานแล้วก็พัฒนาตัวเองอะ ตอนนี้พร้อมแล้วเลยลุยโลด”


   “น้องมันคนจริง ฮ่าๆๆ” พี่เป้หัวเราะสองคนกับพี่อ๊อฟครับ   แต่คนหลังนี่ดูเหมือนจะทำเพื่อเอาใจคนแรกไปเท่านั้นแหละ “แล้วมึงว่าไงอะยิน พร้อมจะรับรักน้องเขายัง”

   ไม่ใช่แค่พี่เป้ครับที่รอฟังคำตอบอยู่  ผมเองก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ รอฟังไปพร้อมๆ กับเขาด้วยเหมือนกัน  คิดถูกจริงๆ ที่เข้าหาทางเพื่อนครับ  อย่างว่าเวลามีเพื่อนมาแซวเรื่องผู้หญิงคนไหนผมก็เขินๆ เหมือนกัน มันคงเป็นอิมแพ็คบางอย่างที่มักจะได้รับจากเพื่อนฝูงสินะ


   “ว่าไงยิน” คราวนี้เป็นพี่ผึ้งที่ช่วยกดดันคำตอบอีกคนครับ  พี่เขายิ้มมุมปากเหมือนว่าจะสนุกด้วยอยู่หน่อยๆ เมื่อได้แกล้งภูเขาหินอย่างหมอยิน




   “กูชอบผู้หญิง”


   แป่ว จบข่าวครับ “แต่หมอพูดกับผมว่าคงถนัดเป็นฝ่ายเอาผมมากกว่าแล้วนี่! ไม่ใช่ว่าผมก็มีความหวังเหรอ”
ฮิ้ววววววววว พอผมพูดจบประโยคเท่านั้นแหละครับ  ทั้งรถก็พากันเห่าหอนอย่างไม่ต้องนัดหมาย  พี่เป้หน้าแดง ส่วนพี่อ๊อฟเองก็ยิ้มมุมปากอยู่หน่อยๆ  แต่พี่ผึ้งนี่ไปไกลมาครับ หัวเราะดังลั่นพร้อมกับทุบคอนโซลรถราคาหลายล้านเหมือนเป็นแค่แท่งเหล็กโง่ๆ ประกอบจังหวะไปด้วย  …ส่วนหมอยินเหรอครับ ก็ยังหน้าตายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมันเหยียบเบรกอย่างแรงจนผมคอแทบหัก    แอ่ก


   “ยินมึงไปพูดกับน้องอย่างงี้ได้ไงวะ! เป็นกูกูก็คิดว่ามึงอ่อย! ฮ่าๆๆ เอ้ะหรือว่ามึงอ่อยน้องจริงๆ วะ!”

   “หุบปากไปเหอะผึ้ง”

   “แล้วมันหมายความว่ายังไงวะยิน” พี่อ๊อฟผู้นิ่งอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง “ถ้ากูได้ยินใครพูดแบบนี้กูก็ว่าเขาก็มีใจให้กูนั่นแหละ”

   “กูก็แค่บอกรสนิยมบนเตียงของกูไป ก็แค่นั้น ไม่ได้หมายความว่ากูจะเอาจริงๆ”

   เหมือนโดนโจรกราดยิงหัวใจซ้ำๆ อะครับ  ยิ่งได้ยินยิ่งอยากร้องไห้ ไม่น่าเปิดเรื่องขึ้นมาเล้ยยย แล้วดูเหมือนหมอยินมันจะโกรธอยู่หน่อยๆ ด้วยที่ผมเอามันมาประจานต่อหน้าเพื่อนมัน “หมอผมขอโทษ แค่อยากให้พี่ๆ เขาสนุกเท่านั้นเอง”


   “แล้วถ้าเกิดกูอ่อยมึงจริงๆ  แล้วมึงเอามาเล่าให้เพื่อนกูฟังเนี่ย  คิดว่ากูจะเพิ่มแต้มให้มึงเหรอวะกิ่ง”


   อึ้งครับ  ปกติหมอมันค่อนข้างจะระวังคำพูดกับผมอยู่ตลอด อาจจะเป็นเพราะเป็นรุ่นน้องต่างสาขาที่ไม่ค่อยสนิทกันด้วยแหละมั้ง  แต่คราวนี้กลายเป็นว่าหมอยินพ่นคำหยาบออกมาเป็นประโยคเต็มๆ   แถมดูท่าจะไม่ยอมกลับไปพูดดีๆ กับผมเหมือนเดิมแล้วด้วย

   ตายห่าน หรือว่าหมอมันจะโกรธผมจริงๆ วะ


   “…ไอ้ยินใจเย็นๆ”

   “กูไม่เย็น”


   “ยิน …คือกูว่านะ  บางทีมึงก็ควรจะยอมรับออกจากปากมึงจริงๆ ได้แล้วว่า…”



   เอี๊ยดด!!!




   เมื่อคนขับอยู่ดีๆ ก็หักรถเข้าข้างทางแบบกะทันหันจนคนนั่งหัวสั่นหัวคลอน พวกผมทั้งรถก็หุบปากนั่งเป็นใบ้กันไปหมดเมื่อหมอยินมันดูท่าว่าจะโกรธจริงๆ … แบบโกรธ โมโห แล้วก็หงุดหงิดจริงๆ ที่ได้ยินพี่ผึ้งพูดแบบนั้นออกมา  ตอนนี้แม้กระทั่งพี่เนย์ที่กวนตีนมาโดนตลอดทางก็ยังนั่งเงียบ


   กลายเป็นว่าทั้งรถไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย  แต่ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังมากครับ น้ำตาก็พานจะไหลอยู่รอมร่อ ไม่น่าเลยว่ะไอ้กิ่ง ไม่น่าเลย… “หมอ… ผมขอโทษ”


   จบประโยคนั้นของผมก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทุกคนดูเหมือนไม่กล้าหายใจเสียด้วยซ้ำ


   กินเวลาประมาณห้านาทีก่อนที่พี่อ๊อฟจะพูดขึ้นมาทำลายความน่าอึดอัดนี้ “ยิน มานั่งนี่มา เดี๋ยวกูขับเอง”



   “อืม”



   ร่างสูงยอมทำตามที่เพื่อนว่าง่ายๆ   มือเรียวปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกแล้วยอมลงจากที่คนขับให้พี่อ๊อฟขึ้นไปนั่งแทนแต่โดยดี  ตอนนี้ผมไม่กล้ามองหน้าหมอมันเลยครับ  ได้แต่นั่งภาวนาให้ถึงร้านเร็วๆ


   ถึงคนอย่างกิ่งจะโง่และก็หน้าด้านไปบ้าง  แต่ผมว่างานนี้ผมผิดจริงๆ อะครับ


   แถมเรื่องในคราวนี้ก็ทำให้ผมเริ่มปะติดปะต่ออะไรหลายๆ อย่างได้แล้วด้วย





tbc.

******
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 6 กินเหล้าเข้าสังคม 22/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 22-10-2016 14:57:21
หมอยินนทั้งโกรธ ทั้งหึงรึเปล่าาา
แต่กิ่งปากแบบบ.... :z3: ผิดเต็มๆนะลูกก
รุ้สึกค้างงงมากกก ต่อเลยได้ไหมมมค๊าาาา
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 6 กินเหล้าเข้าสังคม 22/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-10-2016 16:32:48
งานกร่อยเลยป่ะเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 6 กินเหล้าเข้าสังคม 22/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 22-10-2016 20:27:25
โหใจจะขาดอะไรจะขนาดนี้มาต่ออีกนะครับรอๆ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 6 กินเหล้าเข้าสังคม 22/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 23-10-2016 00:03:10
กิ่งนี่เปรี้ยวเกิ๊นน

คิดว่าหมอน่าจะทั้งโกรธทั้งเขินอ่ะแหละ ฮือ อย่างไรก็ตาม สนุกมาก ค้างสุดๆ อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 23-10-2016 18:31:54
ตอนที่ 7









   “เอ้าแดกกกกกกกก”




   พี่ผึ้งผู้ร่าเริงตลอดกาลยกแก้วใส่น้ำอำพันของตัวเองขึ้นท่ามกลางเสียงเพลง  ทุกคนที่ดูเหมือนกับลืมไปแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบนรถต่างก็พากันยกแก้วของตัวเองขึ้นแล้วกรอกลงไปในลำคอบ้าง  โดยเฉพาะพี่เนย์นี่คือกินเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนไม่รู้อะครับ

   ส่วนกิ่งน้อยอย่างผมก็ได้แต่ยกแตะริมฝีปากเฉยๆ ครับ… แหม่ ตามพ่วงกลุ่มหมอเขามากินเหล้าทั้งที  ต่อให้ไม่เคยกินมาก่อนแต่ก็ต้องแอ๊บเถื่อนไว้ครับ เดี๋ยวค่อยหาวิธีสลับแก้วกับพี่เนย์ที่อยู่ข้างๆ เอา  น้ำตาจะไหล เพื่อรักนะครับเนี่ยถึงยอมทำขนาดนี้


   “อยากกินไรอีกเปล่าวะกิ่ง มึงสั่งได้นะ”


   พี่เนย์ยื่นเมนูมาให้ผมบ้าง  ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งผับครับ ไม่ถึงกับโจ๊ะตึงๆ อะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แค่มากินข้าวอย่างเดียวอะไรแบบนั้น  ผมมองเมนูที่ราคามหาโหดแล้วก็ถอนหายใจช้าๆ  …หวังว่าในกลุ่มนี้จะมีเสี่ยสักคนที่ยอมเลี้ยงข้าวรุ่นน้องตาดำๆ อย่างผมนะครับ “พี่เนย์สั่งยำเห็ดให้หน่อยดิ”


   “สั่งเองสิวะ”


   “สั่งไม่เป็นอะ ร้านนี้เขาทำกันยังไง”

   “มึงนี่ป๊อดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ”  ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่หมอเถื่อนก็ยังยอมยกมือเรียกบริกรมาแล้วสั่งอาหารให้ผมครับ  จริงๆ พี่เนย์เขาก็แอบเถื่อนไปอย่างนั้นแหละ นิสัยลึกๆ พี่เขาก็เป็นคนที่เหมาะจะเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคน แถมยังใจดีแบบแปลกๆ อีกต่างหาก


   “มึงจะขับรถกลับเหรอวะยิน”

   พี่อ๊อฟถามขึ้นเพราะเห็นว่าร่างสูงไม่แตะอะไรนอกจากเบียร์กับกับแกล้มในจานเลย “อืม เดี๋ยวขากลับกูขับเอง”


   “งั้นเดี๋ยวกูกับเป้กลับแท็กซี่ ขามาแน่นฉิบ ตะคริวกินไปสามรอบ มึงพาน้องกับไอ้เนย์ไอ้ผึ้งกลับแค่นั้นแหละ”

   “เออ”


   หมอยินไม่พูดอะไรอีก  ได้แต่ละเลียดเบียร์ในมือโดยไม่สบตาใคร  ผมเองที่กินมาตั้งนานแล้วแต่น้ำสีเหลืองทองในแก้วยังไม่พร่องลงไปเลยก็ได้แต่มองฟ้า มองเพดาน มองไปเรื่อยแหละครับในเมื่อใจมันยังว้าวุ่นอยู่ขนาดนี้


   “มึงแดกหรือดมเนี่ย”


   ไม่อยากตอบไปว่าไม่แดกของมึนเมาครับ แต่ก็ได้แค่ยิ้มแหยๆ ส่งพี่ผึ้งกลับไป พอเจ้าตัวเห็นอย่างนั้นก็คงรู้ว่าผมไม่ถูกโรคกับอะไรแบบนี้ ยิ้มเหยียดมุมปากก่อนจะกระชากแก้วในมือผมไป “ไม่ชอบที่ไอ้เนย์ชงให้อะดิ คงขมไป เดี๋ยวกูชงให้ใหม่”


    “คือ… ผมเกรงใจอะพี่ ไม่เป็นไรๆ กินได้”


   “โฮ้ยยย เกรงใจอะไรคนกันเอง”


   พี่ผึ้งหัวเราะดังลั่นก่อนจะเอาแก้วผมไปกระดกดื่มจนหมดรวดเดียว เอ่อ นี่แก๊งหมอใช่ไหมครับเนี่ย นึกว่าลูกเจ้าของร้านเหล้า

   พ่อหมอที่ดูท่าทีชินกับการชงอะไรแบบนี้แล้วเทน้ำอัดลมผสมลงไปในแก้วก่อนจะเอาของเหลวสีทองใส่ลงไปในปริมาณที่ เอ่อ… ควายดมก็คงเมาอะครับ  แต่ผมพูดอะไรมากไม่ได้เพราะอยากตามเขามากินเอง ฮือ แต่อยากมากับหมอยินนี่นา ไม่ได้อยากมาดื่ม!


   “เอ้านี่! สูตรสำหรับสาวน้อย” สาวน้อยมากครับพี่ ผสมซะแรงจนแค่ดมผมก็แทบจะเป็นลม “อย่าให้เห็นว่าดมอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน”


   ฮือ กลัวแล้วครับ


   ผมใจสั่นเล็กน้อยเมื่อรับแก้วนั้นจากมือพี่ผึ้งมา พี่เนย์หัวเราะในลำคอขึ้นมาหน่อยนึงเมื่อเห็นว่าผมมือสั่นเป็นเจ้าเข้า นะโมพุทโธสังโฆ  ผมกำลังจะผิดศีลห้าข้อที่อาราธนาไว้งั้นหรือนี่


   “หมดแก้วให้ไอ้กิ่งมันหน่อยเร้ววว”

   “เฮ้!”


   แหม่ แต่ละคนนี่ร่าเริงมากครับ  เมื่อตะกี๊ยังเงียบเป็นเป่าสากกันทั้งกลุ่มแท้ๆ  ผมมองพวกพี่หมอทั้งหลายที่สนุกสนานไปกับการเชียร์ให้ผมดื่มและก็แอบเหลือบมองคนหน้านิ่งอีกเล็กน้อย …มันยังคงนิ่งเหมือนเดิมครับ ไม่หือไม่อือ ทำเหมือนเป็นอากาศธาตุไปวันๆ  ดูท่าคราวนี้คงจะอารมณ์เสียจริงๆ


   “ดื่มมมม”


   พี่เป้ที่เริ่มอ้อแอ้แล้วยุให้ผมกินบ้าง  ผมมองแก้วเหล้าในมือ กลืนน้ำลายดังเอื๊อก… เอาวะ  กินก็กิน! อย่างมากก็แค่เมา! และความเมานั้นหายได้!


   “เฮ้!!”

   เสียงเฮดังขึ้นเมื่อผมดื่มรวดเดียวหมดแก้ว  พี่ผึ้งดูจะชอบใจมากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหล้าที่ตัวเองชงถูกรุ่นน้องกล้ำกลืนฝืนกินไปจนหมดแบบนี้ เพราะเมื่อผมวางแก้วลงกับโต๊ะพี่มันก็รีบกุลีกุจอเอาไปชงให้ใหม่ทันที “กูบอกแล้วว่าสูตรนี้อร่อย ฮ่าๆๆ เดี๋ยวทำให้ใหม่นะไอ้น้อง”

   ครับไอ้พี่ ใส่มาเลยคนอย่างกิ่งไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว ศีลห้าที่เคยรักษาไว้ได้(เสียส่วนใหญ่…) ได้พังลงไปแล้ว  แต่ก็อย่างว่าอะครับ  ผมเข้าวัดทำบุญเพราะอยากให้หมอยินรับรัก  แต่ถ้าการกินเหล้ามันช่วยให้หมอยินหันมามองได้


   ผมก็ยอม…




.
.
.
.
   “แอะ …จะอ้วกอะ”

   “เฮ้ยทนไว้ก่อนไอ้กิ่ง ยินมึงจอดข้างทางแป๊ปดิ้! เชี่ย! อีกิ่ง กางเกงกูววววว”

   ไม่ไหวแล้วครับ ตอนนี้ผมแม่งรู้สึกแย่มากกกกกกกกกกกก เหมือนอ้วกจะพุ่งออกได้อยู่รอมร่อ  ไม่มีสติสัมปชัญญะอะไรใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว   พี่เนย์ที่กรี๊ดเป็นสาวอยู่ข้างๆ ดันเอาหัวผมออกไปให้พ้นกางเกงยีนส์ดีเซลสีซีดของแกเมื่อผมทำท่าว่าจะกดอ้วกไว้ไม่อยู่แล้ว


   รถบีเอ็มคันงามของหมอยินชิดข้างทางตามที่คนเถื่อนข้างๆ บอกอย่างนิ่มนวล  พี่เนย์รีบเปิดประตูรถออกและถีบผมลงข้างทางทันที …และผมก็อ้วกทันทีครับ

   ไม่เอาอีกแล้วของมึนเมา ลาขาดดดด

   “…กูด่ามึงตอนนี้ทันไหมวะไอ้ผึ้ง”

   “มึงก็ยุน้องเขากินเหมือนกันแหละเนย์”

   “ใครจะไปรู้ว่าแม่งจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้! ไอ้เป้ก็ด้วย เห็นหงิมๆ แม่งขี้ยุอย่างกับเด็กเชียร์เบียร์!”


   ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วครับว่าใครเป็นใคร ตอนนี้สมองรวนถึงขีดสุดจนพานคิดไปถึงว่าจะกลับไปปั่นการบ้านต่อไหม รูปที่ไปถ่ายมาวันนี้ก็ยังไม่ได้คัดไปส่งอาจารย์และไม่รู้ว่าต้องไปถ่ายซ่อมรึเปล่า  งานคอม งานสีน้ำ สอบอนาโตมี่ โอยยยยย ทำไมเพิ่งมารู้สึกห่วงงานเอาป่านนี้วะ! ถ้าห่วงได้ตั้งแต่ทีแรกก็คงไม่กระโดดเกาะขาหมอมันมาหรอก!


   “…น้องมันหน้าซีดจังวะ”

   “คนอ้วกก็งี้แหละ”

   “แต่เหมือนมันจะตัวร้อนๆ อะมึง”

   “มึงเป็นผัวน้องมันเหรอวะเนย์ เปียวแม่งน้อยใจแย่”

   “ปากมึงนี่นะผึ้ง เปียวมันไม่…”


   มือหยาบแตะลงบนที่หน้าผากผมอย่างนุ่มนวล  ตั้งแต่วินาทีแรกที่มันสัมผัสผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันวูบไป เสียงทะเลาะของใครสักคนก็เริ่มเงียบไปแล้วด้วย 


   มือนั่นเสยผมให้ผมเมื่อเห็นว่าหน้าผากเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ  แหงะ จริงๆ แล้วผมอายหัวเถิกของตัวเองมากครับ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะล้านแน่นอน ผมเลยต้องรีบโกยผมหน้าม้าลงมาปิดหน้าผากเหมือนเดิม


   “…ไม่ร้อนรึไง”

   ร้อนครับ แต่ไม่อยากให้ใครเห็นหัวเหม่งอะมันตลก 

   “มึงไปหยิบขวดน้ำหลังรถมาที”

   ผมได้ยินเจ้าของเสียงนั่นสั่งอะไรสักอย่าง จากนั้นเสียงกุกๆ กักๆ ก็ตามมา และความรู้สึกเย็นๆ ที่หน้าก็ค่อยๆ เมแผ่ขยายลงไปตามซอกคอ  อืม… เหมือนได้อาบน้ำเลยอะครับ เฟรชมากๆ

   นอกจากความรู้สึกที่เหมือนได้อาบน้ำแล้ว ผมก็ยังรู้สึกอุ่น ร้อน แล้วก็เย็นไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆ แบบนี้… แต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ได้ก็มีแค่หมอยินมันคนเดียวแหละครับ


   ผมเผลอตัวเอาหน้าเข้าไปซุกมือหนานั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะวูบลงไปอีกครั้ง



.
.
.


   “อยากกินไรไหม กูกำลังจะลงไปเซเว่น”

   อยากครับ อยากได้ชีสไบท์ ไส้กรอกวุ้นเส้น ข้าวผัดไส้กรอก โค้กแก้วใหญ่ใส่น้ำแข็งเยอะๆ  อกไก่นุ่มใส่พริก โบโลน่า  ลูกชิ้นปลา วุ้นมะพร้าว

   แต่สิ่งที่ผมตอบกลับไปได้มีแค่ “…ขอข้าวกล่องนึงครับพี่”



   หลังจากที่กลับมาจากร้านเหล้านั่นเมื่อคืน  ความทรงจำของผมก็หยุดอยู่แค่ตอนที่ลงไปนั่งอ้วกข้างทางนั่นอย่างกับในหนัง  ไม่รู้ว่าไปกินเหล้ามาหรือดื่มยาล้างสมองมากันแน่  มาถึงห้องได้ยังไงก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เช้าแล้ว และผมปวดหัวมาก และผมรู้สึกหิวเหมือนไส้จะขาด


   “วันนี้…” วันอะไร

   “วันอาทิตย์ แต่เดี๋ยวพวกกูต้องเข้าไปคณะแล้ว”

   เป็นพี่เนย์ครับที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดๆ  ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหมอเถื่อนที่ยืนเกาหัวแกรกๆ ใส่กางเกงในตัวเดียวอยู่ “พี่แบกผมขึ้นมาเหรอ ขอบคุณครับ”


   “เออ หนักชิบหาย เห็นตัวเตี้ยๆ นี่มึงเอาน้ำหนักไปซ่อนไว้ที่ไหนวะ กูนับถือ”


   ผมไม่มีแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับพี่แกอีกเลยไม่ได้พูดอะไรกลับไป  สาบานแล้วครับว่าจะไม่แตะของมึนเมาทุกชนิด  คนเรานะคนเรา รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีก็ยังจะไปกินกันอีก  ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

   กินเวลาไปประมาณสิบห้านาที พี่เปียวก็กลับมาพร้อมข้าวกล่องเซเว่นที่ผมฝากไป  ผมดันตัวขึ้นนั่งบนเตียง หัวระบมไปหมดเมื่อเปลี่ยนท่าแบบกะทันหัน


   “กูซื้อน้ำส้มมาให้ด้วย เผื่อช่วยได้”

   “ขอบคุณครับพี่”



   ข้าวผัดกุ้งแบบกล่องกับน้ำส้มพอจะช่วยทำให้ท้องผมหายประท้วงไปได้ แต่อาการปวดหัวกลับยังไม่หายไปไหนจนผมได้แต่เบ้ปาก  พรุ่งนี้ถ้าไปเรียนไม่ไหวอาจจะต้องขอโดด… เพียงแต่งานก็ยังไม่ได้ส่งนี่สิ เอาไงดีวะ

   ในระหว่างที่ผมกำลังกลุ้มเรื่องงานอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนข้อความจากแอพแชทสีเขียวก็ดังขึ้น …เมื่อคืนไม่รู้ว่าไปนอนอีท่าไหนครับ โทรศัพท์ถึงยังค้างอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่เลย


   ว่าแต่ …เมื่อวานผมไปถ่ายรูปมา

   แล้วกระเป๋ากล้องผมล่ะ



   “เฮ้ยยยยยพี่เนย!! กระเป๋ากล้องผมล่ะ!” อย่าบอกนะว่าไปลืมไว้ที่ร้านเหล้า โอ๊ยยยยย ไอ้กิ่งไอ้สมองปลาทอง!! เห็นหมอยินเข้าหน่อยนี่ก็อัลไซเมอร์ไปเลยนะ! “ผมเอาไปด้วยอะ! พี่ได้เอาขึ้นมาให้รึเปล่า!”


   “หา กระเป๋าอะไรวะ”


   “กระเป๋ากล้องผมไงพี่!” ฮือออ นิคอนดีเจ็ดพันสองและเลนส์สิบแปดร้อยสี่สิบ …ตายกูตาย ลาออกไปทำงานหาเงินยังไม่รู้จะต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะซื้อได้ครบ “กระเป๋าใบแดงๆ ดำๆ อะ! ที่ผมสะพายไหล่ไว้ตอนไปด้วย…”


   พี่เนย์ยังคงทำหน้างงๆ ใส่ผมจนใจเสีย ลืมไปแล้วซึ่งอาการเจ็บปวดใดๆ  ผมผุดลุกขึ้นยืนทันที ตั้งใจว่าจะกลับไปหาที่ร้านเหล้าเผื่อไปวางลืมไว้ แต่เสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้นอีกครั้งจนผมอดเอามาเปิดดูไม่ได้


   ตายห่าน แบตเหลือแค่เก้าเปอร์เซ็นต์


   ผมรีบเปิดดูข้อความก่อนที่แบตเจ้ากรรมจะหมด พอเห็นเจ้าของข้อความเท่านั้นแหละครับ …ผมก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความโล่งใจ




   HAPPYYIND : นี่ของนายใช่ไหม


   หมอยินแนบรูปกระเป๋ากล้องใบโตของผมมาด้วย ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองวิ่งเข้าเส้นชัยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกตัวอะครับ แบบมันโล่งใจมากกกกกก จนต้องกระโดดดึ๋งๆ ด้วยความปีติ


   “อะไร ใครทักมา”


   “กระเป๋ากล้องอยู่กับหมอยินอะพี่! โล่งอกไป”

   “…กูว่ามึงควรจะหนักใจมากกว่านะที่อยู่กับไอ้ยินน่ะ”


   กึก


   จากที่กระโดดเป็นแมวน้ำเจอปลาแซลมอนอยู่ผมก็นิ่งไป  จริงสิ… เมื่อคืนผมไปก่อเรื่องอะไรไว้จนงานแทบกร่อย ทำไมถึงจะจำไม่ได้ แถมยังเมาเรื้อนจนต้องเสียเวลาดูแลอีก ผมควรจะรู้สึกหนักใจมากกว่าจริงๆ ด้วย



   “พี่ว่าหมอยินจะโกรธผมไหมวะ…”


   “เรื่องอะไร เรื่องที่มึงไปประจานมันต่อหน้ากลุ่มเพื่อน หรือเรื่องที่เมาจนเกือบอ้วกใส่บีเอ็มมัน”


   อะเฮื้อ เจ็บจริงยิ่งกว่าในละครครับ  “ทั้งหมดนั่นแหละพี่ ผมควรทำไงดีอะ ผมไม่อยากให้หมอยินเกลียด…”


   แค่นี้ก็ไม่รู้จะจีบติดไหม ดันไปทำตัวนิสัยไม่ดีใส่เขาอีกครับ ตอนแรกก็นึกว่าเริ่มทำแต้มได้บ้างแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนยิ่งดิ้นยิ่งทำตัวให้ติดลบไปเรื่อยจนผมกลัวผลที่จะออกมา

   “ขอโทษมันดีๆ  ยินมันไม่ใช่คนใจน้อย แค่รู้สึกผิดจริงๆ มันก็โอเคแล้ว”

   พี่เนย์ลูบหัวผมช้าๆ ก่อนจะเดินหนีไปที่อื่น  ผมมองหน้าจอแชทจากหมอยินแล้วก็ลังเลว่าจะตอบอะไรกลับไป  ควรจะพูดเรื่องกล้องก่อนดีหรือควรจะขอโทษมันก่อนดี…  เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ผมเริ่มกลัวว่าอะไรๆ มันจะสายไป

   แต่ก่อนที่จะได้ตอบกลับแชทหมอยินไป  เสียงแจ้งเตือนของอีกข้อความหนึ่งก็ดังขึ้น  ด้วยความป๊อดผมเลยกดดูข้อความนั้นก่อนเพื่อที่จะได้มีโอกาสหายใจให้ทั่วท้องมากขึ้น


   มันเป็นข้อความที่มาจากผู้ใช้ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ดูจากรูปโปรแล้วผมก็พอรู้ครับว่าเป็นพี่อ๊อฟ หนุ่มเงียบในกลุ่มหมอยินเมื่อวาน


   น่าแปลกที่เป็นพี่เขา ทั้งๆ ที่เราก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยแท้ๆ


   OFCOURS : น้องกิ่ง

   OFCOURS : วันนี้ว่างไหม


   …ผมนั่งอ่านแชทพี่เขาแล้วก็ตอบไปเรียบๆ  ดูเหมือนว่าทางนั้นก็กำลังรอคำตอบอยู่เหมือนกันเลยตอบกลับมาในแทบจะทันที


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ว่างครับพี่ พี่มีอะไรครับ

   OFCOURS : มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย

   OFCOURS : สะดวกที่ไหน


   เอ่อพี่ครับ คือผมยังไม่ได้ตกลงเลย  …คิดไปงั้นแต่สุดท้ายก็ต้องพิมพ์ตอบกลับไป ด้วยเพราะลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหมอยินและเรื่องเมื่อคืน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ที่ใต้หอผมได้ไหมพี่ ผมยังแฮงก์ๆ อยู่เลย

   OFCOURS : ครึ่งชั่วโมง

   ครึ่งชั่วโมง… ผมยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย! แต่ก็ช่างมัน   เผื่อเรื่องที่ผมกำลังจะได้ยินจากปากพี่อ๊อฟจะช่วยอะไรในการง้อหมอยินให้ผมได้บ้าง …เท่านั้นจริงๆ ที่ผมคิด


   ก็ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วนั่นแหละ ที่ในหัวผมคิดได้แต่เรื่องของหมอมันน่ะ





tbc.

******************************
ตอนนี้อาจจะยังมีอะไรไม่มากนะคะ หมอยินยังโกรธอยู่บทเลยน้อย555
เเต่ตอนถัดไปกำลังจะไปง้อ ...จะพยายามมาอัพเร็วๆ นะคะ  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 23-10-2016 20:32:36
หนูกิ่่งสุ้ๆ :sad4: ง้อให้ได้น้าาา
ดีใจที่หมอยิน ช่วยน้องเช็ดหน้าเช็ดตาให้  :mew6:
แอบประท้วงง ตอนสั้นไปค่าา อยากเห็นเค้าง้อกันแล้ววว :katai1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 23-10-2016 21:32:01
แอบกลัวพี่อ๊อฟ พี่จะเล่นอะไรคะ เรื่องกิ่ง หรือเรื่องหมอยิน  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 23-10-2016 21:56:28
ตามอ่านจนทันตอนล่าสุด
หมอยินมีซัมติงอะไรกับกิ่งป่ะว้า 5 ปีที่แล้ว แต่ก็จำกิ่งได้
ถ้าไม่สนใจจะจำว่าเป็นคนเดียวกันได้ไง

ดูเหมือนอ่อยๆ แต่ก็ไม่ชอบ  :hao4:

ตามต่อไป
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 23-10-2016 22:59:49
ยัยกริ่งงงงงงง ง้อนะคะหนูลูก สู้เค้านะคะหนูลูก

/สงสารปนขำกับน้อง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 24-10-2016 01:37:18
รอวันที่กิ่งฝันจะเป็นจรืง~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 7 ปากพาซวย 23/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 24-10-2016 18:11:11
 สงสัยต้องให้เลิิกชอบแล้วมีคนมาจีบชัย
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 24-10-2016 22:09:58
ตอนที่ 8






   “ช้า”


   “…โทษครับพี่ ผมเพิ่งตื่น”


   สายไปแค่ห้านาที  แต่พี่อ๊อฟมันก็ยังบ่นเป็นหมีตีรังแตนอยู่ได้  ผมที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในครึ่งชั่วโมงเลยลงมาข้างล่างในสภาพที่ยังหัวเปียกๆ พร้อมกล่องข้าวผัดที่ยังเหลืออยู่ในมือ


   “ขอเสียมารยาทกินข้าวไปด้วยนะพี่”

   “ถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องกลัวเสียมารยาทแล้วมั้ง”

   “แฮ่ พี่ก็พูดซะผมอายเลย”

   “ช่างมันเหอะ อยู่นี่คนเยอะ มานี่มา”


   พี่อ๊อฟผู้มีรูปร่างเหมือนหมีเล่นกล้ามเดินนำผมไปแถวๆ หลังหอ  แถวนั้นจะมีโต๊ะม้าหินอ่อนไว้ให้นักศึกษาได้นั่งเล่นกันครับ เช้าวันหยุดแบบนี้คนจะค่อนข้างน้อยเพราะส่วนใหญ่ยังไม่ลุกจากเตียงกัน


   “พี่มีไรอะ”

   ผมถามทันทีที่พวกเราหาโต๊ะนั่งกันได้แล้ว  ตรงนี้มุมดีครับ น้อยคนนักที่จะผ่าน สงสัยจะเป็นเรื่องลับจริงๆ


   “เรื่องยินนั่นแหละ”

   ว่าไง ตรงเป๊ะ ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง “…พี่ คือเรื่องเมื่อคืนผมเสียใจจริงๆ นะที่ทำทุกอย่างกร่อยไปหมดเลย ผมไม่คิดว่าหมอยินมันจะโกรธ”

   “มึงไปแตะด้านที่มันไม่อยากให้แตะมากเกินไป”

   “…ผมไม่รู้”

   “งั้นมึงก็ควรรู้ตั้งแต่ตอนนี้”


   “ผมแค่หงุดหงิดที่หมอมันชอบพูดจาทำร้ายจิตใจผมอะ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่กันสองคนไม่เห็นจะพูดอะไรแบบนั้นเลยแท้ๆ…”  จริงๆ หมอยินก็พูดแหละครับ เพียงแต่ว่าจะน้อยกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ 

   “มึงไม่คิดกลับกันบ้างล่ะ ว่าเพราะอะไรมันถึงพูดดีๆ แต่กับตอนที่อยู่กันสองคน”

   ประโยคของพี่อ๊อฟทำเอาผมสะอึก ทุกอย่างที่พี่แกพูดมามันถูกหมดเลย  เหมือนผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรอยู่นานสองนาน
 
   “อย่าทำให้พวกกูนึกเสียใจที่เปิดโอกาสให้มึง”

   “ครับพี่  …แล้วผมควรขอโทษหมอยินยังไงดี”

   “บอกมันตรงๆ” พี่อ๊อฟพูดเหมือนกับที่พี่เนย์พูด แต่ก็มีเสริมต่อมาบ้างว่า “มันชอบกินอะไรเย็นๆ ตอนอารมณ์ไม่ดี มึงลองซื้อไปฝากมันดูดิ”


   “เฮ้ยพี่ มีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ”

   ผมนี่แทบจะกราบเท้าพี่อ๊อฟเลยครับ ถ้าไม่ติดว่าสายตาพี่มันจะมองแบบขู่ๆ ว่า ‘มึงอย่าทำอะไรน่าขายหน้านะ ไม่งั้นกูกระทืบมึงแน่’ …อะไรประมาณนั้นอะครับ


   “กูกลับล่ะ แค่อยากคุยกับมึงให้แน่ใจว่าคราวหน้าจะไม่มีอะไรแบบนี้อีก”

   “ครับพี่ พี่อยู่หอไหนอะเดี๋ยวผมไปส่ง”

   “มีรถเหรอมึง”

   “…เดี๋ยวยืมจักรยานเพื่อนไปครับ”


   พี่หน้าโหดแผ่รังสีอำมหิตใส่ผมเล็กน้อยก่อนจะลุกเดินหนีไป ผมเกือบจะปล่อยพี่เขาเดินออกจากหอไปด้วยความกลัวอยู่แล้วแท้ๆ ถ้าไม่นึกขึ้นได้มาก่อนว่าควรจะถามอะไรเพิ่ม


   “พี่อ๊อฟ! ผมขอถามอีกอย่างได้ไหมครับ”

   ขวับ  หันมาธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องทำหน้าดุใส่ด้วย “อะไร”

   “…เรื่องที่พี่ว่าแตะไม่ได้อะ มันใช่เรื่องเดียวกับที่ผมคิดหรือเปล่าครับ”

   “แล้วมึงคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”

   “ก็…”


   ผมไม่รู้ว่าควรจะถามออกไปดีไหม  ใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะไม่ใช่ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะใช่ขึ้นมาจริงๆ… แล้วผมมีสิทธิ์ถามเรื่องนี้ไหมผมก็ยังไม่แน่ใจ


   “บอกมาเหอะ”

   “หมอยินเขามีอคติอะไรกับพวกเกย์รึเปล่าอะพี่… แบบ รังเกียจ หรือไม่ชอบเข้าใกล้ อะไรทำนองนั้น”


   “…ก็ไม่เชิง มันแค่ไม่ชอบพวกผิดเพศ”


   อึก สะอึกรัวๆ ตั้งแต่แรกที่ได้คุยกันเลยครับ  น้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อ   แต่ก่อนที่ผมทันจะได้ตีโพยตีพายไปก่อนนั้นพี่อ๊อฟก็ต่อประโยคมาจนจบ



   “เเต่ที่มันไม่ชอบก็เพราะมันไม่อยากยอมรับนั่นแหละ ว่ามันก็เป็นหนึ่งในนั้น”




   “…”

   “ตอนนี้มันคงสับสน ถ้ามึงคิดจะจีบมันจริงๆ ก็ต้องอดทนหน่อย รอให้มันก้าวข้ามสิ่งที่มันก่อไว้ตั้งแต่เด็กให้ได้ก่อน”

   “พี่หมายความว่า…”

   “คิดเอง กูไปล่ะ”



   จากนั้นร่างหมีนั่นก็ทำตัวเหมือนกับพวกตัวละครลับในเกมที่พูดจบแล้วก็ต้องเดินหนีไป ผมเดินกลับขึ้นห้องของตัวเอง ระหว่างนั้นก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับที่ได้ยินมาจากพี่อ๊อฟไปเรื่อย พอถึงห้องผมก็ทรุดลงกับเตียงทันที พี่เนย์กับพี่เปียวน่าจะออกไปคณะแล้ว ทั้งห้องเลยไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงลมหายใจของผมเอง

   โทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตค้างไว้มีแชทมาจากหมอยินอีกสองข้อความ ผมเปิดดูด้วยใจสั่นๆ



   HAPPYYIND : อ่านแล้วไม่ตอบหมายความว่าไง


   HAPPYYIND : จะมาเอาตอนไหน


   ผมมองนาฬิกาก่อนพิมพ์ตอบกลับไป  อีกสิบห้านาทีได้ไหมหมอ เดี๋ยวรีบไป พี่อยู่หอNNใช่ปะ


   HAPPYYIND : ไหนบอกไม่รู้ว่าอยู่หออะไร


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ถามพี่เนย์มาอีกทีอะ



   HAPPYYIND : จะมาก็รีบมา จะลงไปรับ




.
.
.
.
.
.


   ไม่อยากจะเชื่อครับว่า ไอ้กิ่งคนนี้กำลังจะได้เหยียบห้องหมอยิน!!!


   โอ้ว มาย ก็อดเนสสสสส นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ 


   “…นายกำลังทำให้ฉันเริ่มรู้ว่าคิดผิดแล้วที่พาเข้ามา”


   สงสัยความหื่นจะโจ่งแจ้งออกนอกหน้าไปหน่อยครับ  ทันทีที่หมอยินไขกุญแจเปิดประตูห้องหมายเลขหกศูนย์หนึ่งแปดออก ผมก็ได้พบกับห้องของคนรัก(ในอนาคต)ของผมที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียน  โต๊ะอ่านหนังสือที่วางชิดอยู่มุมซ้ายของห้องมีโคมไฟเล็กๆ สีดำและโน๊ตบุ้กหนึ่งเครื่องวางพับไว้  ข้างๆ กันเป็นกองหนังสือจำนวนมหาศาลและลังพลาสติกที่คาดว่าน่าจะไว้ใส่ชีทเรียงกองๆ กันอยู่  ถัดจากนั้นไปก็เป็นตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น และห้องน้ำ


   ส่วนห้องทางขวามือเป็นส่วนของเตียงทั้งหมดครับ  ตัวเตียงขนาดห้าฟุตแบบเรียบง่าย ผ้าปูลายจุดสีน้ำเงินดูไม่เข้ากับความเงียบขรึมของหมอมันนักแต่ก็น่ารักดี หมอนใบโตที่วางกองกันอยู่สามใบเหมือนเชื้อเชิญให้ผมไถลตัวลงไปนอนแล้วสูดกลิ่นกายของคนที่รักเข้าไป…


   “เอ้านี่กล้อง กลับไปได้แล้ว”

   อ้าวเฮ้ย! หมอจะมายื่นของให้แล้วไล่กลับง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!  สงสัยหมอยินจะได้ยินเสียงความหื่นในใจผม แต่แล้วไงใครแคร์ คิดจะจีบก็ต้องกล้าๆ ไว้ครับ “หมออย่าเพิ่งดิ! นี่ผมเอาไอ้นี่มาฝากด้วยนะ”


   “อะไร”


   “นี่ไงครับ”


   ผมแกล้งล้วงๆ กระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วทำมือออกมาเป็นคำว่ารัก นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วก้อย แถมขยิบตาให้อีกทีหนึ่ง จริตจะก้านเต็มที่เลยครับ … แม่งเลี่ยนมาก เขินจัง


   “ฉันไม่ต้องการ กลับไปได้แล้ว”

   “เฮ้ยหมอออ!” โห่ อุตส่าห์คิดมุกนี้ตั้งนาน “ผมล้อเล่นๆ  นี่ต่างหากล่ะของฝาก”


   ทาดา เสียงประกอบฉากที่ดังขึ้นเฉพาะในหัวของผมโผล่ออกมาพร้อมกับเฉาก๊วยสามถุงและน้ำแข็งที่ละลายกำลังได้ที่ ทำเอากระเป๋าเป้ผมเปียกไปทั้งแถบ “อย่างน้อยก็กินไอ้นี่เป็นเพื่อนผมหน่อยดิครับ”


   “…เอามาฝากแล้วยังจะมาขอกินด้วยอีกเนี่ยนะ”


   “แหะๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวขอกินด้วยกันก่อนแล้วจะกลับครับ สัญญาๆ ไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน”

   ผมเดินเบี่ยงร่างสูงที่ยืนหน้าโหดอยู่กลางห้องไปหาถ้วยชามที่วางไว้บนซิงค์ตรงระเบียงอย่างเป็นระเบียบ เปิดถุงเฉาก๊วยแล้วเทลงไปในชามใบใหญ่ ตักน้ำแข็งในถุงใส่พอเป็นพิธี  จากนั้นก็หาช้อนสองคันวางเรียงกันก็เป็นอันเรียบร้อย


   พอรู้ว่ามีโอกาสมาง้อหมอยินถึงห้อง  ผมก็รีบตามหาของเย็นๆ ตามที่พี่อ๊อฟว่าไปทันทีครับ  ใครจะไปรู้ว่าไอ้ของเย็นๆ นั้นจะหายากในละแวกนี้  พอจะไปซื้อเซเว่นก็กลัวว่าจะดูไม่จริงใจไปเลยต้องเดินเลยหอหมอยินไปอีกตั้งไกลแล้วค่อยวกกลับมาอีกที  คนตัวสูงเลยบ่นเมื่อผมสายไปเกือบสิบนาที แถมยังโดนสายตาเย็นชาเชือดเฉือนใส่มาตลอดทั้งทาง


   พอผมกลับเข้ามาในห้อง  หมอยินมันก็เอาโต๊ะไม้ตัวสูงที่วางพับไว้มากางไว้เรียบร้อย ส่วนเจ้าของห้องก็เดินสวนไปหยิบแก้วน้ำที่ระเบียงและแวะหยิบเหยือกน้ำในตู้มาวางคู่กัน



   แค่นี้ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองใช้บุญจากทั้งชาติหมดไปแล้วอะครับ  สงสัยพรุ่งนี้จะต้องหาเวลาไปเลี้ยงเพลพระสักวัดซะแล้ว
   
   “รีบกินแล้วก็รีบกลับ ฉันต้องเข้าไปคณะบ่าย”

   “พี่เนย์กับพี่เปียวก็เหมือนกัน มีงานเหรอครับหมอ”

   “อืม”


   ตอบแบบไม่บอกรายละเอียดอะไร สงสัยไม่อยากให้ผมรู้… งั้นต้องเปลี่ยนเรื่อง “หมอลองชิมนี่ดู อร่อยดีนะ เฉาก๊วยเหนียวเหมือนพลาสติกเลย”


   “พูดแบบนี้ฉันคงกล้ากินหรอกนะ”

   “แหะๆ ล้อเล่นๆ  แต่อร่อยจริงๆ นะครับ”

   เพราะไม่มีเก้าอี้นั่งและหมอมันก็กางโต๊ะไว้ใกล้เตียง ผมเลยถือวิสาสะเลื่อนโต๊ะเข้าไปชิดเตียงแล้วนั่งลงกับเตียงนุ่มๆ นั่น  อาห์ สวรรค์  นี่สินะสิ่งดีๆ ที่เรียกว่าการฉวยโอกาส


   “แล้วทำไมไม่แบ่งสองชาม”

   “หมอเป็นตับอักเสบเหรอ”

   “ไม่ได้เป็น แค่กลัวติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากนาย”

   “ไม่ได้เป็นเหมือนกันครับ งั้นก็หายห่วง มาๆ กินกัน”


   ผลของการทำหน้ามึนคือการได้รับมะกอกหนึ่งผล  ผมถึงกับมึนไปพักใหญ่ๆ เลยครับ ไม่รู้จักยั้งมือเลยสิให้ตาย

   หมอยินลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมานั่งฝั่งตรงข้าม คว้าโทรศัพท์มือถือมาสไลด์ๆ เล่นระหว่างกินไปด้วย …โอ๊ยยยยย มาความสุขอะไรจะเบอร์นี้!!  ไอ้กิ่งกำลังจะสำลักความสุขตาย ใครก็ได้ส่งหมอยินมาผายปอดที


   “ทำหน้าประหลาด”

   คนตรงข้ามมองหน้าผมแล้วแค่นหัวเราะ เอ่อ อยากจะด่า แต่ติดที่ว่าหน้าตอนแค่นหัวเราะมันดูดีมากเลย ได้โปรดดูถูกผมอีกเถิดหมอ “อร่อยไหมครับ เจ้านี้ดังนะ”

   “ฉันกินมาตั้งแต่ปีสอง ก็ไม่เห็นว่าจะดังอย่างที่ว่า ออกจะร้างๆ เสียด้วยซ้ำ”


   “…เหรอ แต่ผมว่าดังดีออก อย่างน้อยหมอก็รู้จักไง”

   ผมยิ้มแบบที่คิดว่าสวยที่สุดให้หมอมันไป เผื่อจะส่งอิทธิพลอะไรบ้าง แต่ร่างสูงก็ยังคงก้มหน้าก้มตากินไปเล่นโทรศัพท์ไปอยู่ดีครับ  ไม่รู้ติดใจหน้าจออะไรนักหนา

   เพราะเห็นว่าหมอยินดูจะไม่อยากคุย ผมเลยมองเล่นรอบๆ ห้อง  ใจจริงก็อยากจะควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายเก็บไว้ดูเล่นนะ แต่ก็กลัวโดนชามเฉาก๊วยฟาดหน้าไปเสียก่อน 



   ห้องหมอมีแต่ของใช้ที่จำเป็นจริงๆ ครับ  ไม่มีกรอบรูป เครื่องดนตรี หรืออะไรที่คนทั่วไปเรียกว่างานอดิเรกอยู่เลย  สงสัยเรียนหมอจะหนักจริงอย่างเขาว่า พี่เนย์พี่เปียวนี่คงเป็นเคสยกเว้นอะครับ

   และเพราะมัวแต่มองนู่นนี่เพลินๆ  ผมเลยมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ตักได้แต่น้ำเปล่าโหรงเหรงอะครับ …พอเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้าม หมอยินมันก็ดูจะหยุดกินไปนานแล้ว แต่ก็ยังนั่งเล่นโทรศัพท์ต่อไปอยู่ดี


   พอเห็นว่าบรรยากาศไม่ได้คุกรุ่นเหมือนเมื่อคืนแล้ว… และตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสดีในการพูดคุยกันในเรื่องของหัวใจ(?)  ผมเลยเอ่ยปากออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า


   “หมอ เรื่องเมื่อคืนผมขอโทษนะ”

   “…”

   ไม่มีเสียงตอบรับอีกแล้วครับ  แต่ผมมั่นใจว่าร่างสูงได้ยิน เพียงแค่ไม่อยากตอบกลับมาเท่านั้น

   “ผมปากเสียไปจริงๆ  คิดๆ ดูแล้วมันก็จริงอย่างที่หมอว่า ขอโทษนะครับ”

   “…”

   “จริงๆ ที่ผ่านมาผมก็คิดแค่ว่าจะใช้ใจเอาชนะแค่อย่างเดียว แต่ต่อจากนี้ผมจะใช้สมองให้มากๆ ขึ้นด้วยครับ”


   “…”



   คนตรงข้ามยังเอาแต่นั่งเงียบ  ถึงจะรู้ว่าเป็นปกติของหมอยินมันแต่ผมก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ครับ 


   “หมอ… ดูนี่ มีอะไรมาง้อด้วย”


   สิบห้านาทีที่ต่อรองกับหมอไว้และอีกสิบนาทีที่ผมเลทไม่ได้มีไว้แค่เพื่อเฉาก๊วยเพียงอย่างเดียวครับ… ผมควักเอากระเป๋าดินสอเน่าๆ ของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเป้ หยิบเอาปากกาเขียนแผ่นซีดีที่เพิ่งซื้อออกมาแล้วหงายมือข้างซ้ายขึ้น   วาดรูปหน้าของตัวเองแบบง่ายๆ ลงไป เน้นให้ดูเอ๋อๆ หน่อยหมอจะได้รู้ว่าเป็นผม  จากนั้นก็เปลี่ยนไปเขียนอีกข้างโดยวาดหน้าดุๆ ของหมอยินลงไปที่นิ้วชี้ด้านขวา



   หมอมันดูจะเริ่มสนใจผมขึ้นมาหน่อยนึงแล้วละครับ เมื่อผมเลื่อนชามเฉาก๊วยไปอยู่มุมโต๊ะ จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า



   “กิ่งน้อยเป็นเด็กชายในโลกแห่งจินตนาการ กิ่งน้อยไม่เคยเข้าใจว่าจริงๆ แล้วโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร กิ่งน้อยจึงได้แต่อยู่ในห้อง เพราะสิ่งที่เขาเข้าใจมากที่สุดก็คือตัวของเขาเอง”


   ผมดัดเสียงทำเป็นเหมือนว่ากำลังพากษ์การ์ตูนพลางโยกนิ้วชี้ที่โผล่พ้นขอบโต๊ะมา  กิ่งน้อยในร่างนิ้วชี้ของผมกำลังเดินไปมาอย่างน่าขัน


   “กิ่งน้อยเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว โง่ อ่านสถานการณ์ไม่ออก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เจอกับเทพบุตรขี่ม้าสีหมอกมา” ฟิ้ววว  จากนั้นนิ้วชี้ข้างขวาที่รับบทเป็นหมอยินก็โผล่ขึ้นมา  “เทพบุตรคนนั้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้  นอกจากนั้นแล้วยังเป็นคนที่สอนให้เขาเข้าใจถึงการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นด้วย”



   “…”


   “ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเทพบุตรคนนั้นก็ไม่ได้สอนอะไรเขาหรอก  กิ่งน้อยก็แค่มโนไปเรื่อย เพียงแต่กิ่งน้อยได้รับรู้ความรู้สึกที่เหมือนกำลังดูทีวีอยู่  เทพบุตรคนนั้นสอนกิ่งน้อยด้วยกิจวัตรประจำวันง่ายๆ ของเขาเพียงเท่านั้น”


   “…”


   “กิ่งน้อยเริ่มเข้าใจคำว่าการให้  การเสียสละ การอุทิศตน ทั้งหมดนั่นก็เพราะเทพบุตรคนนั้น”


   “…”


   “แต่แล้วความโง่ของกิ่งน้อยก็ทำให้เทพบุตรเสียใจ”  มาถึงตรงนี้ นิ้วชี้กิ่งน้อยก็วิ่งเข้าชนนิ้วชี้หมอยินอย่างแรงจนนิ้วชี้หมอยินล้มลงไป   “กิ่งน้อยไม่รู้ กิ่งน้อยแค่อยากจะเข้าใกล้เทพบุตรมากขึ้นเท่านั้นเอง”


   “…”


   “กิ่งน้อยขอโทษ เทพบุตรของกิ่งน้อยจะให้อภัยไหมนะ”



   พอจบประโยคนี้ผมก็ปล่อยนิ้วตัวเองราบลงกับโต๊ะ  เงยหน้าขึ้นมองหมอยินมันหวังจะดูว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง… แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ  ร่างสูงยังคงมองมาที่ละครนิ้วตลกๆ ของผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย กลายเป็นว่าผมเองที่ดันทำหน้าเหมือนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ




   นานทีเดียวที่ความเงียบเข้าครอบคลุม  ผมตัดสินใจหยุดความเงียบนั่นโดยการชูนิ้วชี้ที่มีหน้าตัวเองขึ้น ส่ายนิ้วไปมาแล้วพูดว่า “ผมรักหมอยินนะ”



   เสียงพัดลมที่สุดแสนจะเงียบยังดังกว่าบรรยากาศตอนนี้เลยอะครับ  ผมรอคำตอบนานมากจนกระทั่งหมอยินลุกขึ้นไปเก็บชามเฉาก๊วยไปที่ระเบียง เสียงน้ำและเสียงช้งเช้งคงจะมาจากการที่หมอมันล้างชาม อนามัยดีจริงๆ ครับ เป็นผมคงแช่ทิ้งไว้ก่อน จะกินใหม่ค่อยล้างอีกที



   ร่างสูงเดินมาเช็ดมือที่ผ้าเช็ดตัวหน้าตู้เสื้อผ้าก่อนหันกลับมามองหน้าผม ผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่าหมอคิดอะไรอยู่ ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่หมอกำลังจะพูดนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากฟังมากที่สุดในชีวิต


   “ฉันไม่ใช่เทพบุตรอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ช่วยให้นายเป็นคนดีขึ้นมาได้หรอก”



   ผมไม่พูดอะไร  นั่งรอฟังหมอที่ดูเหมือนมีเรื่องจะพูดอีกเยอะแยะ  “ฉันก็แค่คนธรรมดาที่บังเอิญเข้าไปช่วยนายไว้ ไม่ใช่คนดีวิเศษวิโสอะไร บ้านไม่ได้รวย ไม่ได้ขี่ม้าสีหมอก บีเอ็มนั่นก็ยืมญาติมา เรียนจบแล้วก็คงต้องคืน”


   “…”


   “แต่ก็ขอบใจที่มาขอโทษฉันวันนี้ เฉาก๊วยอร่อยมาก”

   “…”


   “เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง เอาเป็นว่าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”

   ผมเอามือปาดที่แก้มของตัวเองดู ว่าแล้วเชียวว่าอะไรเปียก… ตอนแรกก็นึกว่าน้ำลาย  ไม่อยากจะเชื่อว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ แถมหนักมากเสียด้วย  ก้มดูอีกทีก็เห็นว่าทำที่นอนหมอเปียกเป็นวงๆ ไปแล้วเรียบร้อยด้วย


   “หมอหายโกรธผมยัง”

   “คิดว่านะ” หมอมันถอนหายใจ ยืนพิงตู้เสื้อผ้าแล้วมองมาทางผม “ฉันอารมณ์แปรปรวน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากพูดหรอก คำพูดมันมีพลังนะ พูดไปแล้วมาเสียใจทีหลังมันก็คงไม่ดี”


   ใช่ แบบผมนี่ไง “เรียนจบแล้วหมอจะบวชเหรอ เทศเก่งจัง… สนใจเบียดก่อนไหม”


   “นี่เพิ่งเตือนไปหยกๆ”  ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่หมอมันก็หัวเราะออกมานิดๆ ครับ “กลับหอไปนอนได้แล้ว ยังแฮงก์อยู่ไม่ใช่เรอะ เดี๋ยวไปส่ง”

   ผมส่ายหน้า ไม่อยากกลับอะ ยังไม่รู้เลยว่าหมอหายโกรธจริงๆ หรืออาจจะบอกปัดไปงั้นเพราะรำคาญผมก็ได้  แถมไม่ใช่ว่าจะได้มีโอกาสเข้าห้องหมอมันทุกวันซะหน่อย


    “ดื้อ”

   “หมอแหละดื้อ รับรักผมเหอะ ถ้าหมอไม่รีบรักผมละก็ผมได้เฉาตายก่อนแหงๆ”

   “ก็ดี จะได้รู้ว่าเด็กสมัยนี้ความอดทนมันต่ำ”


   เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้เรื่องที่พี่อ๊อฟเล่านะครับ  ที่ว่าเกลียดพวกผิดเพศอะไรนั่นน่ะ  แต่เห็นว่าตอนนี้เรายังไม่สนิทกันมากพอที่ผมจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของมัน  เอาไว้ให้เราเป็นแฟนกันก่อนหรือสนิทกันมากกว่านี้ก็ได้


   เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็… ดีแล้วล่ะมั้งครับ  ผมไม่รู้สิ  ผมแค่มีลางสังหรณ์ว่ามันอาจจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้

 
   “ถ้าไม่อยากกลับก็นอนนี่ไป ฉันจะไปคณะก่อน”


   หา

   ว่าไงนะ

   หมอว่าไงนะ


   “…หมอจะให้ผมนอนที่นี่ได้จริงๆ เหรอครับ”

   “หรือถ้าไม่อยากก็ติดรถกลับไปด้วยกันนี่แหละ”

   “หูยยย!! อยากสิครับอยาก! นอนนี่แหละ! โอ๊ยปวดหัวจังเลย เดินไม่ไหวแล้ว ขอนอนก่อนล่ะ แอ่ก” ไม่ว่าเปล่าแอกติ้งต้องมาครับ  ผมหงายหลังลงกับเตียงแบบพอดี ก่อนจะกระดึ๊บๆ ตัวขึ้นไปจนถึงหมอนใบโตอันกลางนั่น(เพราะเดาว่าหมอน่าจะนอนใบนี้)  จากนั้นก็ฝังจมูกลงกับหมอน สูดลมหายใจยาววววๆ จนหมอมันขว้างไม้แขวนเสื้อมาใส่หัว


   “ไอ้เด็กโรคจิต”


   “แหะๆ”  ผมลูบหัวตรงที่โดนไม้แขวนเสื้อพิฆาตป้อยๆ  ลากผ้าห่มมาคลุมไว้จนถึงไหล่ก่อนจะแกล้งหลับตาพริ้ม “โอ๊ยปวดหัว นอนก่อนนะครับหมอ ขอบคุณที่ให้ที่พึ่งพิง”

   “เด็กบ้า”

   “หมอจะกลับมากี่โมงอะครับ” …ผมจะได้อยู่รอ

   “ไม่บอก แต่กลับมาแล้วฉันหวังว่าจะไม่เจอนานนอนอยู่บนเตียงฉันนะ”

   “หมอใจร้ายยย”

   “ขากลับอย่าลืมกระเป๋ากล้องแล้วก็กล่องทัปเปอร์แวร์นั่นด้วย”

   “ไอ้ใบที่ผมใส่ไข่นั่นไปใช่ไหม อร่อยรึเปล่าครับ”

   “ก็พอกินได้ ดีที่ไม่ท้องเสีย”

   “ไม่เสียหรอกครับ ผมลองเลียชิมแล้วไม่เป็นอะไร”


   “ไอ้เด็กเปรต”


   ผมหัวเราะคิก  จากนั้นหมอมันก็หยิบเสื้อแขนยาวจากในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ติดบัตรนักศึกษาให้เรียบร้อยแม้ว่าจะอยู่ในชุดลำลอง  คนมันหล่อ ต่อให้ใส่แค่กางเกงยีนส์เสื้อยืดก็รัศมีกระจายมากครับ


   “ผมรักหมอจัง”


   “พูดบ่อยๆ แล้วฟังดูเปลืองชะมัด”


   “หมอเปิดใจให้ผมน้า”



   “…เออๆ”




   …จากนั้นก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูของหมอมัน


   ผมนอนรอให้ทุกอย่างนิ่ง ก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงด้วยความ… ความอะไรดีล่ะ มันบอกไม่ถูกอะครับ  รู้สึกเหมือนตัวเองได้โลกทั้งใบมาอยู่ในกำมือเลย รู้สึกเหมือนถ้าเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปตอนนี้ก็คงบินกลับขึ้นมาได้อะครับ มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ



   ผมเปิดโทรศัพท์แล้วเข้าแอพแชทสีเขียวอ่อนนั่น  เปิดแชทของตัวเองกับพี่อ๊อฟแล้วพิมพ์ไปว่า

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ง้อได้แล้วครับพี่ ขอบคุณหลายยย


   ใช้เวลาไม่นานพี่หมีอ๊อฟก็ตอบกลับมา


   OFCOURS : ดี


   สั้นง่าย กระชับได้ใจความ  ผมนอนกลิ้งไปมาอีกรอบแล้วว้ากใส่หมอนดังๆ ด้วยความดีใจ จากนั้นก็สูดกลิ่นของหมอยินเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ คนอะไรมันจะหอมได้ขนาดนี้ครับ ขนาดกลิ่นหัวติดหมอนยังหอมเลย


   เสียงข้อความเข้าจากแชทดังขึ้นอีก ผมเปิดดูก็พบว่าเป็นเจ้าเก่าที่ยังพูดไม่จบ


   OFCOURS : อย่าไปทำให้มันโกรธอีกก็แล้วกัน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ครัยพี้



   ผมพิมพ์ตอบไปแบบสะกดผิดๆ เพราะใช้มือข้างไม่ถนัด …ก็แบบว่า พอดีว่ามือขวาไม่ว่างอะครับ แหะๆ



tbc.

****************************************
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนท์นะคะ หวังว่าจะเอนจอยกับตอนนี้ไม่มากก็น้อย

กิ่งมันก็พยายามในเเบบของมันอะเนอะ  เราตั้งใจจะให้กิ่งค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงหมอยินได้อะค่ะ

เเล้วหมอยินเองก็จะค่อยๆ ลดกำเเพงลงมาหาเอง เพราะมองว่าน้องมันอาจปีนไม่ถึง55

ว่าเเต่ อยากเขียนฉากncไวๆ จัง ฮาาาา เขียนอีกตอนเป็นจักรวาลอื่นได้มั้ยเนี่ย5555 คนเขียนใจร้อน

จะพยายามมาอัพวันเว้นวันนะคะ เเต่ถ้าไฟเเรงเเละไม่มีการบ้านอาจจะมาได้ทุกวัน อิ_อิ

ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่าา //กราบ


หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 24-10-2016 23:17:28
มีตอนพิเศษวาร์ปไปตอนที่ได้กันแล้วก็ได้ค่ะ  (ได้เหรอ?!!555555)

โอ้ยมันดจีจจจจจต่อใจจริงๆอ้ะ อ่านแล้วกระชุ่มกระชวยสุดๆ ขอบคุณค่ะ นี่รีเฟรชบ่อยม้าก อิอิ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 24-10-2016 23:52:06
ชอบอะ
น่าร้ากกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 25-10-2016 01:29:49
ฮืออออ ชอบตอนหนูกิ่งง้อเป็นนิทานเลยย น่าร้ากกกกก  :-[ หมอยินนนใจอ่อนไวๆๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 25-10-2016 03:47:08
ง้อน่ารักมากเลยกิ่ง
อย่างน้อยก็เข้าใกล้หมอยินได้อีกขั้น
หมอน่าจะเปิดใจให้บ้างแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 25-10-2016 08:01:36
กิ่งน่ารัก พยายามต่อไปนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 25-10-2016 11:01:00
พยายามต่อไปนะกิ่ง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 8 ง้อยังไงให้ได้ใจหมอ 24/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 26-10-2016 09:14:01
ง้อสำเร็จแล้ว เอากันได่แล้ว
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 26-10-2016 20:04:01
ตอนที่ 9






   “มึ้ง!!!!!”



   อาห์ สวัสดีวันจันทร์ สวัสดีเสียงที่แสนจะแสบแก้วหูของผองเพื่อน


   “ไปทำอีท่าไหนวะ! ทำไมหมอเขายอมให้มึงขึ้นห้อง! อีกิ่ง!! ไฟแห่งความอิจฉาของกูกำลังลุกโชน!!” ธันวาเพื่อนสาวในกางเกงนักศึกษา


   “กูว่ามันไม่ได้ทำสักท่าอะ! พี่เขาน่าจะเป็นฝ่ายออกท่าเองเสียมากกว่า” หมวยหมวยกับมุกใต้สะดือของเธอ


   “…เล่าให้กูฟังหน่อยดิ ขอละเอียดๆ” และเป็นใจผู้ถือโทรศัพท์และเปิดโปรแกรมอัดเสียงไว้ในมือ  อืม ครบองค์พอดีครับ นี่มาเรียนหรือมาเมาท์


   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่ไปกินเหล้ากับพวกพี่เขาแล้วก็เลยสนิทกัน” ขอละเรื่องที่ทำหมอมันโกรธไว้ในฐานที่เข้าใจครับ  “แล้วกูก็ไปกินเฉาก๊วยด้วยกัน แอร๊ย ฟิน”


   “แล้วไงต่อ!!”

   “ก็ไม่แล้วไงอะ พี่เขาก็มาคณะ กูก็หลับจนตะวันตกดิน จบข่าว”

   “ไม่ได้เรื่อง!” เป็นใจตะโกนขึ้นมา สองมือกุมหัวเหมือนพลาดอะไรไปบางอย่าง “ไม่ได้เรื่อง! ได้ขึ้นห้องพี่เขาทั้งที มึงได้แค่แดกเฉาก๊วยเนี่ยนะ!! เป็นกูนะจะเลียตั้งแต่ตาตุ่มยันหนังหัวเลย”


   “…กูก็เพิ่งรู้นะว่าเพื่อนเราเป็นได้ขนาดนี้”

   “สต๊อปปุธันวา มึงนั่นแหละตัวการใหญ่  พอเมื่อวานมึงรู้ว่าอีกิ่งไปนอนห้องพี่เขาละกรี๊ดโวยวายกว่าเพื่อนเลยนะ หาว่าเพื่อนได้ออกเรือนก่อนตัวเอง”


   ออกเรือนกับอุ้งมือตัวเองล่ะสิไม่ว่า หาทิชชู่แทบไม่ทัน “เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ  เราสองคนกำลังพยายามเดินคู่ไปด้วยกันครับ ความรักครั้งนี้จะค่อยๆ งอกงามเหมือนดอกของต้นกระบองเพชร งดงามและคงทน”


   “ดอกกระบองเพชรบ้านมึงคงทน สองวันก็ร่วงละ”

   “แล้วมึงเนี่ยนะปลูกกระบองเพชรแล้วออกดอก เคยเห็นแต่ตายคามือล่ะสิไม่ว่า”


   ชิ ไอ้พวกนี้ ได้ทีแล้วเอาใหญ่  แต่ไม่เป็นไรครับคนอย่างกิ่งไม่ถือ  คิดซะว่าเพิ่มบุญกุศล “แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้เริ่มทำงานเนี่ย นั่งเมาท์อยู่ได้”

   ผมกำลังพูดถึงซับเจ็คสำหรับคาบวิชาสีน้ำในวันนี้อยู่ครับ  ดอกเฮลิโคเนียหรือที่เรียกกันว่าดอกธรรมรักษาสีแดงอมส้มตั้งเด่นอยู่หน้าห้องพร้อมใบอะไรไม่รู้แซมๆ อยู่ รอให้นักเรียนอย่างพวกเราวาดมันลงไปบนผืนกระดาษว่างเปล่าและต้องเสร็จให้ทันภายในชั่วโมง “นี่ถ้าคาบวาดพอร์เทรตได้หมอยินมาเป็นแบบนะ จะวาดให้สวยจนพี่เขายอมรับรักเลยเอ้า”


   “ฝันไปเหอะค่ะ”


   ผมหัวเราะแล้วนั่งวาดรูปต่อไปโดยมีอาจารย์สาธิตคร่าวๆ ให้ดูหน้าห้อง(ซึ่งผมไม่เคยไปดูเลยสักครั้งด้วยความติสต์)  สาขาของเรามีคนค่อนข้างน้อยครับ แต่ก็ดีเวลาที่เรียนภาคปฏิบัติอาจารย์จะสามารถเข้าถึงนักศึกษาได้มากขึ้น ความรู้ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


   ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ตัวเองไปง้อหมอยินมันถึงที่ห้อง  รู้สึกเขินๆ แปลกๆ ที่มีเฉาก๊วยที่ผมซื้อให้อยู่ในตู้เย็นของพี่เขา มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องเขาไปแล้วอะครับ


   หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัวด้วยมือขวาจนเสร็จสิ้นแล้ว ความโล่งใจก็ทำให้ผมหลับเป็นตายจนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง  แต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมาสักที ผมเองก็เริ่มห่วงการบ้านที่จะต้องส่งในวันนี้แล้วเลยรีบบึ่งกลับหอก่อนจะอยู่รอเจอหน้าร่างสูง  พอกลับมาถึงห้องก็เจอพี่เนย์กับพี่เปียวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบๆ คนละมุมเหมือนนักมวยพักยก คู่นี้ก็ไม่รู้อะไรยังไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เห็นแซวกันมาหลายคนเหลือเกิน


   “แล้วนี่มึงใช้ใครเป็นแบบอะกิ่ง”


   หมวยหมวยที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามผมหลังจากที่เงียบไปนาน “หา แบบอะไร”


   “งานถ่ายรูปพอร์เทรตอาจารย์นิดไง หรือมึงลืมไปแล้วเนี่ย”

   งานถ่ายภาพคนหรือภาพพอร์เทรต… ผมนึกย้อนไปสมัยอดีตชาติแล้วก็ร้องอ๋อขึ้นมา  งานที่อาจารย์เคยเปรยๆ สั่งไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยนี่เอง ว่าแต่เดดไลน์มันวันไหนนะ


   “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ามึงลืมเดดไลน์ไปแล้วแหง… กูมีข่าวดีจะบอก”

   “อย่าบอกนะว่าอาทิตย์หน้า!”

   “เปล่าค่ะ ศุกร์นี้” เป็นธันวาที่หันมาตอบ เฮ้ย! ทำไมผมไม่เห็นจำได้เลยวะว่าเป็นศุกร์นี้! คุณพระ แล้วผมจะไปหานางแบบที่ไหนมาถ่ายให้ทันล่ะครับเนี่ย  นอกจากจะเป็นงานด่วนแล้วยังจะใช้งานเขาฟรีอีก ใครจะไปอยากมาทำให้


   “มึงทำยัง” ผมถามรวมๆ หมายถึงทุกคนในกลุ่ม


   “เรียบร้อย” ประสานเสียงกับอย่างพร้อมเพรียงเลยครับ …เหลือก็แต่ผมกับผมแล้วก็ผม

   “ทำไมต้องหักหลังกันอย่างนี้วะเพื่อนฝูง”

   “หักหลังบ้าอะไร เขาคุยกันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วว่าจะถ่ายกันยังไงอะไรวันไหน ไลน์กลุ่มน่ะเคยเปิดอ่านบ้างไหม”


   “กูว่าอ่านแต่แชทหมอยินแหง งี้แหละ ช่วงนี้อะไรๆ ก็หมอยินๆ”


   ก็ไม่ขนาดนั้นนะ… แต่ดูจากการที่ผมพลาดงานสำคัญไปแล้วก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ  ผมนั่งวาดรูปไปด้วยคิดสะระตะในหัวไปด้วยว่าจะเสกรูปพอร์เพรตสิบรูปขึ้นมาในสามวันให้ได้ยังไง  จริงๆ ระยะเวลาในการถ่ายไม่ใช่ปัญหาครับ ลั่นชัตเตอร์เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ  แต่เรื่องติดต่อนางแบบนายแบบ เสื้อผ้าหน้าผม โลเคชั่นนี่สิเรื่องใหญ่  แถมงานรอบที่แล้วผมก็แทบจะกราบพี่เปียวกับพี่เนย์ให้มาช่วยเป็นนายแบบให้ไปแล้ว รอบนี้จะใช้แบบซ้ำเดิมก็มีความเสี่ยงที่จะโดนด่าสูง… 


   “รู้แล้ว มึงก็ไปขอพี่เป้ให้มาเป็นแบบให้มึงสิ”


   ขวับ!  ผมหันหน้าไปมองเป็นใจผู้เป็นแหล่งกำเนิดไอเดียอย่างรวดเร็วจนคอแทบหัก มันเงยหน้าขึ้น เอาพู่กันจิ้มปากเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขระดับสิบ  “แล้วมึงก็ขอพี่อ๊อฟมาถ่ายด้วย คอนเซปต์ ‘เพียงรัก’ เล่าเรื่องราวของความรักที่ไม่มีเรื่องของเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง”

   “เดี๋ยวๆๆ ทำไมต้องเป็นพี่เป้กับพี่อ๊อฟด้วยวะ”

   “มึงไม่รู้เหรอว่าสองคนนี้แหละตัวดีเลย  ดังถึงขนาดมีฟิคเป็นของตัวเองด้วยนะเว้ย”

   “…ใครแต่งวะ”

   “กูเองแหละ”

   “เป็นใจ! มึงจะมาเที่ยวจับคู่คนอื่นเขาไปทั่วไม่ได้นะเว้ย ถ้าพี่เขามายด์ขึ้นมาจะทำไง”


   “กูดูแล้วกูรู้ คู่นี่แหละเรียลสุด” เรียล เรียลอะไร  สองคนนั่นน่ะนะจะมีซัมธิงกัน  “ตัวติดกันมาตั้งแต่ม.ปลาย  เข้ามหาลัยเดียวกันคณะเดียวกัน เรียนเสคเดียวกันตอนปีหนึ่ง แถมขึ้นปีสองมาก็อยู่หอด้วยกันอีก แอร๊ย”

   “ก็แค่เพื่อนสนิทธรรมดาๆ รึเปล่าวะ”

   “ไม่รู้แหละ มึงรู้จักกลุ่มพี่พวกนั้นแล้วก็ลองสังเกตดูดีๆ” เป็นใจมันทำหน้าจริงจังมากครับ แหม ถ้าเรื่องเรียนจริงจังได้ขนาดนี้แล้วเกียรตินิยมเหรียญทองคงอยู่ไม่ไกลอะครับ  “ถ้าได้ความอะไรแล้วก็บอกกูด้วย”


   “กูว่าแทนที่จะชวนพี่เป้กับพี่อ๊อฟมาถ่าย ทำไมมึงไม่ชวนหมอยินเขามาถ่ายเลยวะคะ”

   “ไอเดียดี กูซื้อ”

   “อ้าว! กูเสนอไอเดียมึงตั้งนานสองนาน ไปเลือกไอเดียธันวามันเฉย”


   “อะไรที่เกี่ยวข้องกับหมอยินมันก็เอาหมดนั่นแหละ…”


   จากนั้นพวกมันก็พูดอะไรไร้สาระไปอีกเรื่อยเปื่อยครับ แต่ตอนนี้ผมเริ่มแพลนในหัวแล้วว่าจะไปสู่ขอพี่หมอยินมาเป็นนายแบบได้ยังไง …คือก็เพิ่งง้อกันไปแล้วยังจะไปขอให้เขามาช่วยทำงานให้เนี่ยนะ  ฟังดูเสียมารยาทไปหน่อยแต่ถ้าลองเสี่ยงดูก็น่าคุ้มครับ


   ยังไงแค่ถามไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร  ถ้ามันจนปัญญาจริงๆ ผมก็อาจจะลองขอคนอื่นดู… ซึ่งก็ยังไม่ได้คิดว่าเป็นใคร


   ไม่รีรออะไร ผมรีบเข้าโปรแกรมแชทแล้วส่งข้อความหาหมอยินทันที  แต่นานแล้วนานเล่าเฝ้ารอคอยหมอเขาก็ไม่ตอบกลับมาสักทีครับ  สงสัยกำลังเรียนอยู่ แหม่ ทำไมภรรยาที่ดีแบบผมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยนะ แต่ไม่เป็นไรผมรอได้ นานแค่ไหนผมก็จะรอ




.
.
.

   “เป็นไงกิ่ง ตกลงมึงจะถ่ายวันไหน”

   “…ถ่ายกับผีอะไร หมอเขาไม่โอเคอะ”

   อรุณสวัสดิ์เช้าที่สดใสครับ แต่ตอนนี้ขอบตาผมดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าที่อดนอนมาอีกทีนึงเพราะเรื่องเมื่อคืน  หลังจากที่ผมส่งข้อความไปหาหมอ พอเลิกเรียนกลับหออาบน้ำอาบท่าเสร็จหมอยินก็ตอบกลับมาพอดีครับ  สั้นง่ายได้ใจความว่า


   HAPPYYIND : อาทิตย์นี้ไม่ว่าง เรียนหนัก


   แล้วก็ดูท่าว่าจะเรียนหนักจริงๆ ครับ เพราะหลังจากนั้นผมพิมพ์อะไรกลับไปก็ไม่ตอบมาเลย… ฮือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ละความพยายาม ไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล  ได้หมอยินอย่างน้อยได้เพื่อนในกลุ่มมาก็ยังดีครับ  พอคิดได้แบบนั้นก็ลองทาบทามพี่เป้พี่อ๊อฟไปตามที่เป็นใจบอก  แต่ทั้งสองคนก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครเอาไปเผยแพร่ เหตุผลดารามาก  แต่พอพูดมาแบบนั้นแล้วผมก็เลยได้แต่นั่งห่อเหี่ยวใจ เดดไลน์จ่อคอหอยแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนไม่หลับไปวันๆ


   “แล้วเอาไงต่อ”


   ธันวาพูดพลางเคี้ยวขนมหมีโคอาลาเป็นอาหารเช้า ผมเองก็โกยเข้าปากแก้เครียดไปเช่นกัน “ไม่รู้อะ คิดไม่ออกแล้ว รู้งี้น่าจะหาเพื่อนเยอะๆ เข้าไว้”


   “ถ่ายกูสิ”

   “ไม่อะ พอร์เทรตมันควรถ่ายคนไม่ใช่เหรอ”

   พูดจบเท่านั้นแหละผมก็โดนกล่องขนมฟาดหน้าทันที 


   “ลองไปถามรุ่นพี่รุ่นน้องเราดูสิ”

   “กลัวอาจารย์ว่าว่าไม่ลงทุนอะ”

   “ใครบอกให้ลืมเอง สม”


   “ว่าแต่โคอาลาสีนี้รสอะไรวะ มันแปลกๆ กลิ่นหึ่งๆ เหมือน…”


   “รสน้ำผึ้งไง”


   อ้อ… รสน้ำผึ้งนี่เอง


   เดี๋ยวนะครับ  …พี่ผึ้ง  พี่ผึ้งเขาจะว่างมาเป็นแบบให้ผมไหมวะ


   แต่ถ้าหมอยินว่าเรียนหนักก็คงจะเรียนหนักอย่างที่ว่าจริงๆ   ทว่าคนอย่างกิ่งไม่เคยคิดยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มครับ  ผมกดเปิดหาแชทพี่อ๊อฟแล้วขอไลน์ของพี่ผึ้งมา  คนหน้าโหดให้มาเกือบจะทันที  …เห็นแล้วก็อดคิดถึงหมอยินไม่ได้ กะอีแค่ไลน์ ทำไมถึงได้ตอบช้านัก แล้วก็ชอบจริงเนี่ยไอ้ที่อ่านแล้วไม่ตอบ


   พอกดเพิ่มเพื่อนไปได้ไม่นานพี่ผึ้งก็รับครับ  ผมรีบแชทไปด้วยความเร็วสูงทันที

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่ผึ้งครับ นี่ผมกิ่งนะ คือผมอยากถามว่าพุธนี้พี่ว่างมั้ยอะครับ


   ผึ้งน้อย : ว่างดิ มีไรเหรอ

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่สนใจมาเป็นนายแบบให้ผมไหมครับ คือผมจะส่งการบ้าน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่เองก็จะได้รูปหล่อๆ ไว้เปลี่ยนรูปโปรไง


   ผึ้งน้อย : 55555555

   ผึ้งน้อย : เอางั้นก็ได้ กี่โมงล่ะ


   เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! กรุงศรีไม่สิ้นคนดี!! ผมกระโดดโลดเต้นเป็นหมาได้กระดูกไปรอบๆ ห้อง ปากก็กรี๊ดแบบไม่มีเสียงไปด้วยจนธันวามันถึงกับสะดุ้งเมื่อเพื่อนรักลุกมาดิ้นเหมือนคนโดนของ


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : สี่โมงเย็นได้ไหมครับพี่ พี่เลิกเรียนกี่โมง


   ผึ้งน้อย : อ่า พี่ว่าโดดได้ เจอกันสี่โมง

   ผึ้งน้อย : /สติ๊กเกอร์ผึ้งน้อย/



   โหยยยย ดูเหมือนว่าแต้มบุญด้านการเรียนจะพุ่งพรวดๆ ครับ  แม้ว่าแต้มความรักอย่างหมอยินจะยังกระเตื้องแบบหอยคลานอยู่ก็ตามที แต่แค่ได้พี่ผึ้งดีกรีหมอเพลย์บอยมาถ่ายแบบด้วยก็โชคดีสุดๆ แล้ว อย่างน้อยก็เข้าทางเพื่อนให้พี่เขาเห็นครับว่า เราทำดีกับทุกคนรอบๆ ตัวเขา แม้ว่ามันจะเป็นการทำดีหวังผลสองต่อก็ตามแต่(ฮา) 


   “มึงบ้าไปแล้วเรอะ”


   “หึๆๆ  กูได้นายแบบแล้ว! ดูนี่ซะก่อน”


   พอเปิดรูปพี่ผึ้งโชว์ให้ธันวามันดูเท่านั้นแหละครับ  เพื่อนสาวของผมก็เบิกตากว้าง คว้าหมับเอาโทรศัพท์ของผมไปโดยแล้วโวยวายเสียงดัง “หล่อ!!! มาก!!! ดูแบดสุดด! ใครวะ!!”


   “กูนึกว่ามึงจะรู้จัก พี่ผึ้งไง ที่อยู่ในกลุ่มหมอยิน”


   “ผึ้ง… ผึ้งไหนวะ ทำไมเรดาร์คนหล่อกูถึงได้หาเขาไม่เจอ”


   “ผึ้งที่เหมือนจะเจ้าชู้หน่อยๆ อะ”

   “โอว มิน่าล่ะ พอดีเรดาร์กูจับได้แค่คนดีๆ”

   “เขาก็ดีนะ”

   “ดีแต่เจ้าชู้ก็ไม่ไหวค่ะ” ธันวาทำเมินแล้วคืนโทรศัพท์ผมมา แหม่ ตะกี๊ยังทำเป็นกรี๊ดกร๊าดจะเป็นจะตาย “แล้วหมอยินเขาจะไม่ว่าว่ามึงเปลี่ยนใจง่ายเหรอวะ แบบ เหมือนพี่เขาปฏิเสธแล้วมึงก็ไปหาคนอื่น”


   “อันนี้มันงาน กูว่าพี่เขาคงไม่ซีเรียส… ทำไมมึงพูดเหมือนเขาเป็นแฟนกับกูแล้วอะ”


   “จริงๆ ในขั้นจีบมันก็ควรที่จะซีเรียสแบบนี้แหละมั้ง”


   หลังจากนั้นเพื่อนในห้องก็ทยอยมากันจนครบ  ผมแทบไม่ได้สนใจบทเรียนต่างๆ ที่ว่ามาเลย เพราะในหัวมีแต่เรื่องของหมอยินลอยเต็มไปหมด ผมจะทำยังไงให้เขายอมรับตัวผมนะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน



.
.
.

   “หูวววว พี่ผึ้ง! หล่อสุดๆ นี่กินอะไรเป็นอาหารครับเนี่ย ใช่ข้าวรึเปล่า”

   “ฮ่าๆ อันนี้คือชมใช่ไหมวะกิ่ง”

   “ชมครับชม”


   เย็นวันพุธตามที่นัดกันไว้ พี่ผึ้งโผล่มาด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดแขนสามส่วนสีกระดำกระด่างที่ดูโคตรเท่เมื่อพี่เขาใส่ ผมหยักศกไม่ได้ถูกรวบไว้อย่างที่พี่เขาเคยทำ แต่ทุกอย่างมันกลับดูเสริมให้พี่ผึ้งเข้ากับคอนเซปต์วันนี้เข้าไปใหญ่
เพราะพี่ผึ้งดูเป็นลุกแบดบอยสุดเจ้าชู้ที่พร้อมจะขยี้ใจสาวๆ  ผมเลยเลือกคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมืองให้พี่เขา… จริงๆ มันก็ไม่ได้ชื่อตีมนี้หรอกครับ  แค่ธันวามันพูดขึ้นมาแล้วผมชอบก็เท่านั้นเอง


   “ตีมวันนี้เป็นตีมเพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์นะครับพี่”

   “คือกูถ่ายเป็นซานตาครอสเรอะ”

   “เปล่าครับ แต่พี่กำลังจะได้ขี่กวาง…”


   ผ่างง!! ทันใดนั้นกวางน้อยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้  …ล้อเล่นน่ะครับ ไม่มีกวางหรอก แล้วก็ไม่มีใครด้วยนอกจากผมกับพี่เขาที่ยืนงงๆ กันอยู่ตรงนั้น


   “คือผมหมายถึงพี่มาที่เมืองนี้เพื่อจะหาเหยื่อสาวน้อยอะไรอย่างนั้นอะครับ ตามหลักแล้วพี่จะเป็นแวมไพร์”  พอจบประโยคนี้ผมก็ยื่นผ้าคลุมสีดำที่ตัวเองเคยใช้คอสเพลย์สมัยม.ปลายไปให้ คนตัวสูงรับไว้แล้วลองใส่มันเข้าด้วยท่าทางที่… โคตรขี้เก๊ก อืม เห็นแล้วแสบตา


   “อย่างงี้ใช่ไหม”

   แล้วพี่แกก็เก๊กท่าต่างๆ นาๆ สารพัดไปครับ  เอ่อ ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าหมอจะเป็นอะไรแบบนี้ได้ด้วย หรือว่าเรียนหนักเกินไปเลยต้องหาทางแก้เครียดกันนะ  “ก็พอได้ครับพี่ ผมว่าเราเริ่มถ่ายเลยดีกว่า เดี๋ยวแสงหมด”


   พี่ผึ้งยกมือโอเคให้ผม  ผมเลยเดินนำพี่เขาไปยังโลเคชั่นที่ตัวเองหาไว้  มันเป็นตึกเก่าๆ ที่ผมบังเอิญมองเห็นจากหอได้พอดี ไอเดียก็ปิ๊งขึ้นมาภายในสามวิเพราะงานต้องรีบส่งแล้ว  พี่ผึ้งไม่อิดออดเมื่อต้องเข้ามาอยู่ในที่ที่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ กลับกันแล้วเขากลับดูสนุกที่ได้มาอยู่ในตึกร้างนี่เสียมากกว่า


   “มีกราฟฟิตี้ด้วย”


   ร่างสูงชี้ให้ดูตรงมุมกำแพงที่มีลวดลายจากสีสเปรย์พ่นไว้  อ่านไม่ออกครับ ถึงเป็นเด็กศิลป์แต่ก็ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นจริงๆ  มันดูเฉพาะทางเกินไป


   “อยากถ่ายตรงนั้นว่ะ”


   “ครับพี่ แต่เดี๋ยวผมขอเวลาแป๊ปนึงนะ”


   เพราะเป็นช่างภาพแบบเร่งรีบผมเลยไม่มีตัวติดสอยห้อยตามมาตามปกติ  จริงๆ แล้วอุปกรณ์พวกขาตั้งกล้อง แฟลช รีเฟล็คอะไรเนี่ยต้องมีคนคอยช่วยถือช่วยจัดให้ครับ แต่งานนี้กิ่งน้อยฉายเดี่ยว แบกเองถ่ายเองคิดงานเอง ฮือ ไม่น่าลืมเดดไลน์เลย


   “มา กูช่วย”


   หูย เป็นพระคุณมากครับ  พี่ผึ้งเดินมาช่วยผมกางขาตั้งกล้องอย่างทะมัดทะแมงจนผมอดถามขึ้นไม่ได้ “พี่เคยถ่ายรูปมาก่อนเหรอครับ ดูคล่องจัง”


   “กูอยู่ชมรมถ่ายภาพนะ แต่เดี๋ยวนี้เรียนหนัก เวลาจะชาร์ตแบ็ตกล้องยังไม่ค่อยมี”


   “เรียนหมอนี่หนักเนอะ”

   “เรียนอะไรก็หนักหมดแหละ จะให้กูซิ่วไปเรียนคณะอื่นกูก็คงบ่นเหมือนเดิม”


   “ฮ่าๆๆ พี่พูดถูก”


   “แล้วนี่ทำไง”  พี่ผึ้งถามถึงแผ่นรีเฟล็ค …จริงๆ แล้วแผ่นนี้จะต้องมีคนคอยช่วยถือส่องไฟให้สะท้อนไปยังนายแบบในมุมที่มืดครับ  แต่ก็อย่างว่า มาคนเดียวคงทำอะไรมากไม่ได้ “เดี๋ยวผมกำหนดตำแหน่งวางเองครับ พี่แต่งตัวรอก่อนเลย ขอหล่อๆ”


   “โอเค”

   จากนั้นพวกเราก็ต่างเซ็ตตัวเองกันอีกสักพัก เเล้วก็เริ่มถ่ายทำกันด้วยคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมือ… เอ๊ย เพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์  (จริงๆ ผมว่าทั้งสองชื่อมันก็ตลกพอๆ กันแหละครับ”


   “พี่ผึ้ง งอศอกอีกนิดครับ”

   “พี่ผึ้ง ขอยิ้มที่แบบ …เหมือนกำลังอยากกินเลือดในหัวอะ  ไม่ใช่ๆๆ พี่ไม่ได้ยิ้มแบบนั้นอะ มันเหมือนพี่กำลังอยากกินหัวกิ่งมากกว่า ขอยิ้มใหม่ๆ”


   “พี่ผึ้ง ขอมุมลอดหว่างขา”


   “พี่ผึ้ง… ขอเสยผม สายตาอยากฟัน”


   และอีกสารพัดท่าครับที่ผมขอให้พี่เขาแอคติ้งตาม  แรกๆ พี่ผึ้งก็ทำตามแต่โดยดีอยู่หรอก แต่หลังๆ ไปดูเหมือนว่าช่างภาพจะกลายเป็นทาสเสียมากกว่า นายแบบจะเก๊กยังไงก็ต้องถ่ายไปซะงั้น


   “มุมนี้กูหล่อไหม”


   ว่าแล้วพี่แกก็หันหลังให้ผม จากนั้นก็มองข้ามไหล่สี่สิบห้าองศามาแบบแรดๆ “หล่อมากพี่ ค้างไว้นะผมขอวัดแสงแป๊ป”
   
   จากนั้นเสียงรัวชัตเตอร์ก็ดังรัวขึ้น ถ้ากล้องเป็นปืนล่ะก็ป่านนี้พี่ผึ้งก็คงพรุนตายไปแล้วแหละครับ  เราถ่ายกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงหมด  เกือบหกโมงเย็นตอนที่ผมกับพี่ผึ้งเดินออกมาจากตึกร้าง เสียงหมาหอนเกรียว ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับถ้าไม่ติดว่ามันจะหอนกันอยู่ทุกวัน อยู่บนหอทีไรผมก็ได้ยินทุกทีช่วงนี้


   “บรื๋อ น่ากลัวว่ะ”


   แต่กลายเป็นว่าคนข้างๆ เองที่กลัวไป พี่ผึ้งกอดอกตัวเองแล้วทำตัวสั่น “โหยพี่ไม่มีอะไรหรอก ผมได้ยินมันหอนแบบนี้ทุกวันแหละครับ สงสัยรำคาญเสียงระฆัง”


   วัดแถวนี้ชอบเคาะระฆังครับ หมาแถวนี้ก็ชอบหอนตามอีกเช่นกัน  ผมเดินนำพี่ผึ้งออกจากแถวนั้นเพื่อไปหาร้านข้าวที่ตั้งใจจะเลี้ยงขอบคุณนายแบบในวันนี้  พอถึงร้านพี่ผึ้งก็เป็นฝ่ายจัดแจงสั่งนู่นนี่นั่นไปทั่วครับ โถ่ถัง ห้าร้อยจะพอไหมวะเนี่ย




.
.
.

   พอเรากินเสร็จ… ผมก็เดินตัวปลิวแยกกับพี่ผึ้งทันทีที่บอกลากันเสร็จเรียบร้อย กลัวโดนไถค่าของหวานต่ออีกครับ คนเรานี่มันมองกันแต่หน้าไม่ได้จริงๆ  ผมเปิดประตูแบบทุลักทุเลเพราะในมือมีทั้งขาตั้งกล้องแล้วกระเป๋าของอีกสารพัด  ภายในห้องยังคงมืดเหมือนถูกตัดไฟอยู่ ซึ่งนั่นหมายถึงรูมเมทคู่จิ้นของผมยังไม่กลับมา  ผมวางของกองๆ ไว้แถวหน้าห้อง เปิดไฟเปิดโน๊ตบุ๊กคู่ใจให้เรียบร้อยแล้วแกะเอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องมาเสียบเพื่อถ่ายข้อมูล  ไม่รีบไม่ได้ครับ ไหนจะต้องคัดรูปแต่งรูป ไม่รู้จะเสร็จภายในคืนนี้หรือเปล่า


   “…ไฟล์เป็นไรวะ”


   เมื่อเห็นรูปที่อยู่ในเมมโมรี่การ์ดที่ถ่ายมาผมก็เผลอหลุดอุทานทันที… ไฟล์ภาพที่ควรจะเป็นเซ็ตภาพถ่ายสุดหล่อของพี่ผึ้งขวัญใจกวางน้อยกลับกลายเป็น… ภาพถ่ายที่… ภาพถ่ายที่ควรจะมีพี่ผึ้งอยู่คนเดียวกลับกลายเป็น…




   ภาพหมู่…




   ติ๊ง!!


   “เชี่ยยยย!!!!”



   ผมหลุดกรี๊ดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงข้อความที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ไม่รอช้า ผมคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้องประหนึ่งเดอะแฟลช  กดลิฟต์ลงไปข้างล่างแล้วกระโดดเข้าไปเพื่อไขว่คว้าหาผู้คนทันที โอยยย ไม่ไหวแหล่ว ไม่ไหวแล้ว!  พุทโธนะโมสังโฆ ทำไมกิ่งจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยวะครับเนี่ย!!


   เมื่อลิฟต์พาผมลงมาสู่ชั้นโถงของหออย่างปลอดภัย ผมก็รีบควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดเปิดดูข้อความที่ส่งมาได้จังหวะปอดแหกพอดิบพอดี กะว่าจะด่ากลับให้เสียชาติเกิดไปเลย แต่พอเห็นชื่อว่าใครส่งมาเท่านั้นแหละครับ ชีวิตผมก็เหมือนเปิดทางสว่างให้แก่ตัวเองทันที


   ผมคอลไลน์หาหมอยิน รออยู่นานสองนานเหมือนหมอมันทักมาแล้วก็เขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งไปจนกระทั่งมีเสียงตอบรับมาจากปลายสาย


   “หมอออ!! ผมเจอชัตเตอร์!!!!”


   (อะไรวะ)


   ดูท่าว่าปลายสายจะไม่เก็ตกับสิ่งที่ผมพูดครับ ผมเลยอธิบายกลับไปแบบปากสั่นๆ  กลัวก็กลัว แต่โชคดีที่ตอนนี้ยังมีคนพลุกพล่านแถวใต้หอให้ใจชื้นบ้าง “คือผมไปถ่ายรูปกับพี่ผึ้งมาอะ ไอ้งานการบ้านที่เคยขอหมอ แล้วทีนี้… พอมาเปิดดูอะ แล้วทีนี้ โฮวววววว”


   ไม่ไหวแล้วครับ  ผมนี่ขาสั่นจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น  แค่คิดว่าตัวเองถ่ายรูปกับพี่ผึ้งอยู่สองคนในนั้นนานสองนานก็แทบจะฉี่แตก ขอโทษนะเจ้าฝูงหมาทั้งหลายที่ฉันคิดไปว่าพวกแกหอนไปเล่นๆ งั้นๆ แหละ ฮือ แม่งมีจริงนี่หว่า โอ๊ยยยยยย

   
   “หมอคิดดู! ถ่ายพี่ผึ้งอยู่แค่คนเดียว พอเอามาเช็คในคอมเท่านั้นแหละแม่ง! ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะ! แล้วคิดดูว่าพี่เนย์พี่เปียวไม่อยู่ห้อง! ผมเปิดดูรูปนั้นคนเดียวแล้วหมอก็ยังจะไลน์มาถูกจังหวะอีก อ๊ากกก จะบ้าตาย กลัวเว้ยยย”


   เมื่อขาสั่นจนไม่ไหวผมก็ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น เรียกความสนใจจากบรรดาหมอๆ ที่เดินผ่านใต้หอจนหลายคนต้องหยุดดู  แต่วินาทีนี้ผมไม่สนครับ ยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี


   (ภาพมันเสียเองรึเปล่า)


   “เสียไรล่ะหมอ! มาเป็นคนๆ เลยเหอะ ชัดยิ่งกว่าพี่ผึ้งอีกมั้ง!”


   (แล้วนี่อยู่ไหน)


   “ใต้หอครับ ตอนหมอทักมานั่นแหละผมก็รีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงมาเลย โอย พุทโธธรรมโมสังโฆ อาเมน”


   (เดี๋ยวเหอะ ทำเป็นพูดเล่นไป เดี๋ยวเขาก็มา…)


   “หยุ๊ดดดดด!! สต็อปปุเลยหมอ! แค่นี้ผมก็กลัวจนจะบ้าแล้ว!”

   (ปกติก็บ้าอยู่แล้วเหอะ)

   “หมอ ถ้าไม่ช่วยปลอบก็ไม่ต้องพูดเลยนะ”


   (อ้าวเหรอ งั้นฉันวางสายล่ะ แค่นี้นะ)


   “เดี๋ยวววว! หมออย่าทำงี้ดิ ผมกลัว อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”


   แค่คิดว่าจะต้องกลับไปห้องนั้นที่มีรูปนั่นเปิดค้างอยู่ผมก็ใจสลายแล้วครับ  ไม่รู้พี่เนย์พี่เปียวจะกลับมาตอนไหนด้วย …แต่ตามสถิติแล้วทั้งคู่จะชอบกลับห้องช่วงสองสามทุ่ม และนั่นก็เป็นเรื่องของอีกสองชั่วโมงให้หลังครับ


   และถ้าพวกพี่เขากลับเลทกว่านั้น นั่นก็หมายความว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ…


   “หมอ ขอผมไปสิงหอหน่อยนะครับ! ไหว้ล่ะ ผมไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วจริงๆ”

   (อะไร เพื่อนนายมีตั้งเยอะแยะ)

   “มันยังอยู่คณะกันอยู่เลยมั้ง!”

   (ก็ไปคณะดิ)

   “ทางไปมันผ่านตึกตรงนั้นด้วยอ๊ะ!”


   สาเหตุหลักก็นี่แหละครับ ฮือ กลัวพวกพี่เขามาทวงรูป  “ขอล่ะหมอ ผมจะอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ไม่หือไม่อือ ขออาศัยอยู่แค่สามทุ่มเท่านั้นแล้วผมจะรีบกลับ นะครับ นะ นะ นะ”


   (…)


   อย่าเงียบสิใจคอไม่ดีเลย


   (เดี๋ยวลงไปรับข้างล่าง)


   “เย้!! หมอยินใจดีที่สุดเลย!! ร้ากกกหมออออ”


   ตู้ดดด… ไม่รอให้ผมพูดประโยคแสดงความยินดีจบ  หมอยินก็ตัดสายไปด้วยความเร็วแสง  พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็รีบวิ่งไปหอหมอยินทันทีครับ  วินาทีนี้จะมาคิดเรื่องหลอกแต๊ะอั๋งในห้องหออะไรก็คงไม่ใช่แล้ว ขอแค่อยู่ห่างๆ จากตึกแล้วก็รูปพวกนั้นให้มากที่สุดก็เพียงพอ
   





   ว่าแต่… ผมควรจะไปขอบคุณพวกพี่ๆ เขาดีไหมอะครับ ที่ทำให้ผมได้ไปห้องหมอยินอีกครั้งเนี่ย




tbc.

*********************************************

บทนี้เป็นบทเเนะนำพระรองค่ะ๕๕๕๕๕

 :katai4: :katai4:
   
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 26-10-2016 20:47:35
ชอบอะ  สนุกกกกกกกกกกกก
รักคนเขียน  :-[
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-10-2016 20:57:52
นั่น!!~~ พระรองเจ็บปวดอีกแล้วววว :z3:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 26-10-2016 21:56:57
อะไรขะโชคดีปนโชคร้ายขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 26-10-2016 22:06:31
เอ้ะ ทำไมหลอน ทำไมตอนเปิดตัวพี่ผึ้งคนแซ่บถึงมีเรื่องน่ากลัว

โอ้ยกิ่งเพราะแกทำบุญเยอะหรือเปล่าเขาถึงอยากเข้าใกล้55555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 26-10-2016 23:39:53
กิ่งเอ้ยยย :m20: ควรดีใจนะได้ไปห้องหมอยินอีกรอบ รอบดึกด้วย :hao7:
โมเม้นท์ กิ่งกับหมอผึ้งแอบน่ารักเบาๆ ขอบทหมอผึ้งอีกกก หมอยินจงหึงงงง  :-[
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 9 ชัตเตอร์ กดติด... 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-10-2016 01:17:45
เจอของดีมั้ยล่ะกิ่งงานนี้ :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 10 สิงหอหมอ... 28/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 28-10-2016 18:44:54
ตอนที่ 10






   สวัสดีผ้าปูที่นอนลายจุด สวัสดีหมอนสามใบ สวัสดีตู้เย็น โต๊ะกินข้าว โต๊ะคอม และแน่นอน สวัสดีครับสุดที่รัก


   หลังจากที่ผมขอจรลีหนีผีมาอาศัยที่ห้องหมอยินผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากครับ  ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีใครขี่หลังอยู่แบบในหนังหรือเปล่า



   “หมอกินข้าวยังอะ”


   “ยัง จะกินดึก”

   ร่างสูงชี้ให้ดูถุงกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งผมไม่ทันได้เห็น  สงสัยจะตื่นเต้นกับกลิ่นของหมอที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ในห้องนี้มากเกินไป…


   หมอยินที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายสีน้ำตาล …ย้ำนะครับว่าชุดนอน ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากคาแร็คเตอร์ของหมอมากกก  จริงๆ ของใช้หลายๆ อย่างในห้องนี่ก็ค่อนข้างไม่ตรงคอนเซ็ปต์หมอเขานะครับ  สงสัยจะเป็นประเภทที่ไม่ค่อยเลือกของใช้มาก มีอะไรก็ใช้ เห็นอะไรก็ซื้อล่ะมั้งครับ



   ผมสีดำเข้มของหมอยังคงชื้นๆ อยู่นิดๆ  เห็นแล้วอยากเข้าไปขยี้ๆ ให้ผมนั่นฟูเล่นๆ  …และที่สำคัญ


   ตอนนี้หมอมันใส่แว่นอยู่ครับ


   “ผมเพิ่งรู้อะว่าหมอใส่แว่นด้วย!! หล่อสุดๆ ไปเลยอะ!”



   แม้จะเป็นแค่แว่นกรอบดำหนาๆ ธรรมดาผมก็ว่าดูดีครับ ดูฉีกลุคหมอแนวๆ แบบเขาไปเลย กลายเป็นเด็กคงแก่เรียนไปซะงั้น “หมอสั้นเท่าไหร่อะ …หมายถึงสายตานะ”


   “ข้างซ้ายสี่ร้อย ข้างขวาสองร้อยกว่าๆ …หมายถึงสายตาเหมือนกัน”


   “หมอยั่ว”


   “นายนั่นแหละยั่ว หมายถึงยั่วโมโหน่ะนะ”  คนตัวสูงทำหน้าเอือม ถอนหายใจสั้นๆ ทีนึงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมที่ตอนนี้มีแต่ชีทเรียนกับเท็กซ์บุ้ควางเต็มไปหมด  “จะทำอะไรก็ทำ สามทุ่มก็กลับไปได้แล้ว”



   “หมอจะไปส่งใช่ไหมครับ”


   “ไม่ ฉันต้องอ่านหนังสือ”

   “หมอ! ผมกลัวอะ! ไปส่งเหอะนะแค่นิดเดียวเอง!”  ทีเอาชีทไปให้พี่เนย์ยังไปได้เลยอะครับ  แล้วทีงี้ทำไมไม่ยอมไปกับผมบ้าง


   “…อย่าเรื่องมากน่า เดี๋ยวโทรให้เนย์มารับ”

   เหมือนเด็กประถมเลยครับ  แต่ผมก็ต้องจำใจให้หมอยินทำแบบนั้นเพราะวันนี้กลัวจนหางจุกตูดแล้วจริงๆ   เกิดมากิ่งน้อยก็เพิ่งจะเคยสัมผัสประสบการณ์ขนหัวลุกแบบนี้เป็นครั้งแรก และมันก็ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับคนที่เปิดไฟนอนเป็นอาจินอย่างผม แงง หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนะ

   “เดี๋ยวฉันจะอ่านหนังสือ นายนอนหรือไม่ก็เล่นเน็ตไปก็ได้ รหัสไวไฟอยู่ตรงนั้น” มือหยาบชี้ให้ผมเห็นโพสท์อิทที่แปะไว้บนหัวนอน  …ดูเหมือนเจ้าตัวจะตั้งใจเขียนไว้ให้ผม ผมเลยถือวิสาสะแอบจิ๊กเก็บเข้ากระเป๋าทันทีเป็นของที่ระลึกในการมานอนค้างอ้างแรมวันนี้

   จากนั้นหมอยินก็หันหน้าเข้าโต๊ะ หลอมร่างเข้ากับหนังสือไปตลอดกาล… ล้อเล่นน่ะครับ  หมอเขาก็อ่านหนังสือไปธรรมดาแบบไม่สนใจผมนั่นแหละ น่าน้อยใจชะมัด


   แต่จากกระทู้คันยิปที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ครับว่า  ริอ่านจะเป็นแฟนหมอต้องทำใจ  แม้เขาไม่มีเวลาให้ก็ต้องอดทนเป็นคุณแฟนที่ดี


   ผมนอนเลื้อยเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหมอยินไปมา คิดถึงตอนที่มาทำอนาจารไว้บนเตียงหมอเขาแล้วก็เขินขึ้นมาครับ ไม่รู้ว่าถ้าหมอตัวสูงมันรู้แล้วผมจะยังได้มีสิทธิ์ขึ้นห้องมันอยู่เหมือนตอนนี้รึเปล่า บางทีอาจจะโดนบล็อกไลน์ไปเลยด้วยซ้ำ ฮา


   พอเปิดเฟสบุ้คมาเช็คนู่นนี่นั่นเล่นตามประสาวัยรุ่นทั่วไป  ผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ครับว่าไม่ได้ส่องเฟสหมอยินมันมานานแล้ว …จริงๆ แล้วเฟสบุ้คหมอยินผมก็ได้อภินันทนาการมาจากไอ้ธันวามันอีกที  เพราะตอนนั้นหมอเขาฮ็อตมาก คำขอเป็นเพื่อนจากคนที่ไม่รู้จักอย่างผมเลยถูกปฏิเสธไป  แต่ผมก็กดติดตามไว้แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้อัพเดตชีวิตอะไรมากมายลงโลกโซเชียลนัก  มีแต่จะแชร์เพลงไม่ก็รูปตลกๆ  กับรูปภาพที่เพื่อนๆ เขาแท็กมา… เหมือนอย่างเมื่อสี่วันก่อน

   วันที่พวกเราไปดื่มกันนั่นแหละครับ  ไม่รู้ว่าพี่เป้ถ่ายรูปไว้ตอนไหน แต่ที่แน่ๆ คือติดหน้าผมซึ่งกำลังเมาแอ๋เต็มที่ไปด้วย  มือข้างขวาของผมกำลังดึงชายเสื้อหมอยินมันจนย้วยแทบติดมือ ส่วนคนตัวสูงก็กำลังทำหน้าเบื่อโลกอยู่อย่างเคย


   แคปชั่นภาพที่พี่เป้ขึ้นไว้คือ ‘ขอแต่งงานต่อหน้าเพื่อนฝูง น้องแม่งเจ๋งว่ะ555555’


   และในคอมเมนท์ครึ่งหนึ่งของจำนวนยี่สิบกว่าคนนั้นต่างถามว่า ไอ้น้องที่กำลังเกาะแกะหมอยินคนหล่ออยู่นั่นคือใคร ใช่คนเดียวกับที่อยู่ในคลิปสารภาพรักสุดฉาวนั่นหรือไม่…


   โอ ไม ก้อด


   “หมอ… พี่เป้เขาโพสรูปนี้ไมอะ แล้วผมขอแต่งงานหมอไปเหรอ”


   ขอแหกกฎที่ว่าจะไม่รบกวนสมาธิไปสักครู่ครับ  คนตัวสูงหันกลับมามองผมที่ยื่นรูปในโทรศัพท์ไปให้ดูแล้วร้องอ๋อ “ไอ้เนย์มันถ่ายไว้ เป้มันขอไปโพสเอง”


   “ผมขอแต่งงานหมอเหรอ เขินจัง”


   “เออ ขนลุก ไม่รู้พูดอะไรของนายออกมาบ้าง ฉันเองยังฟังไม่เข้าใจ”

   “…แหะๆ  สงสัยที่เขาว่าแอลกอฮอลจะทำให้คนเราแสดงสันดานดิบออกมานี่ท่าจะจริงนะครับ”


   หมอยินมองค้อนใส่ผมทีนึงแล้วหันกลับไปจมอยู่กับเท็กซ์บุ้คเล่มหนาเท่าเขาควายต่อ  ผมกลับมานั่งไล่อ่านคอมเมนท์จากเพื่อนๆ ในเฟสบุ้คของหมอแล้วก็ละเหี่ยใจ…  ถ้าไม่ใช่คอมเมนท์เชิงเหยียดแบบ ‘น้องสายเหลืองคนนั้นเหรอวะ’ หรือไม่ก็ ‘เปิดประตูหลังใบใหม่เลยดิไอ้ยิน’ ก็จะเป็นความคิดเห็นที่แสดงออกมาแบบเชิงตลกขบขัน  ทั้งล้อหมอยิน ผม พี่เป้พี่อ๊อฟ แล้วก็พี่ผึ้งที่นั่งเบียดสาวสวยที่ไหนไม่รู้ติดเฟรมมาด้วยอีกหน่อยนึง


   และไอ้หนึ่งในคอมเมนท์เหยียดนั่นก็เป็นพี่คนที่หาเรื่องกับผมไปเมื่อวันนู้น  …คนที่ทำข้าวไข่ยัดไส้แห่งความรักของผมคว่ำนั่นแหละครับ


   ‘มึงเอาจริงเหรอวะเนี่ยไอ้ยิน 5555น้องแม่งโรคจิต มึงก็เหมือนกัน’


   พออ่านคอมเมนท์นี้เสร็จผมก็ปรี๊ดแตก  แทบจะวิ่งลงไปต่อยไอ้พี่บ้านั้นแล้ว แต่ติดที่ว่าไม่รู้แม้แต่ชื่อและที่อยู่ของมัน


   …สังคมเรานี่ก็แปลกนะครับ  ทั้งๆ ที่ความรักมันเป็นเรื่องส่วนตัวแท้ๆ  แต่พอจะทำอะไรก็กลับถูกคนส่วนใหญ่กำหนดไปเสียหมดว่าสิ่งนี้ทำได้สิ่งนั้นทำไม่ได้ 

   ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของคนสองคนก็เท่านั้นเอง   

   โทรศัพท์ผมสั่นขึ้นช่วงที่กำลังอ่านคอมเมนท์พวกนั้นอยู่  เสียงกีต้าร์สบายๆ ดังต่อเนื่องจนกระทั่งผมกดรับสายเรียกเข้าจากพี่เปียว “ฮัลโหลครับพี่เปียว มีไรอ่า”

   (มึงอยู่ไหน)

   “หอหมอยินครับ…”

   ว่าแล้วก็บิดตัวแก้เขินเป็นเลขแปดสิบที แหม่ ช่วยไม่ได้ครับ  คนมันฮ็อต


   (เห็นเปิดคอมทิ้งไว้แล้วไม่กลับมาสักที …นี่มันรูปบ้าอะไรวะเนี่ย)


   โอ้ว แค่คิดถึงก็ขนลุก “พี่เปียว… ฝากพี่ลบรูปใบเมมทิ้งที่ดิ นะ เอาให้เกลี้ยงเลยนะครับ”

   (งานไม่ใช่เหรอ ถ่ายสวยดีหนิ  ว่าแต่คนที่ยืนข้างๆ ไอ้ผึ้งนี่ใครวะ ไม่คุ้นเลย)

   “โฮ้ยยย พี่ไม่ต้องสนใจหรอกครับ! ลบมันไปเถอะผมขอร้อง”

   (…แล้วทำไมคนนี้เขาไม่มีขาด้วยวะ)


   “…”  ผมเงียบ และคาดว่าพี่เปียวก็น่าจะรู้แล้วเช่นกันว่าคนที่ยืนข้างๆ พี่ผึ้งนั่นเป็นใคร  ปลายสายมีเสียงกุกกักเพราะสัญญาณขาดไปสักพักก่อนที่เสียงหอบหายใจหนักของพี่เปียวจะดังขึ้น (เชี่ย นี่อย่าบอกนะว่ามึงเก่งจนถึงขั้นถ่ายติดสิ่งที่ไม่ใช่สสารแล้ว… กิ่ง มึงควรไปทำงานกับเดอะช็อค)


   “เดอะช็อคบ้านพี่ดิ!” ผมโวยวาย “ลบให้ผมเถอะนะพี่! ผมกราบล่ะ นี่ไม่กล้ากลับหอจนต้องมาสิงห้องชาวบ้านเขาอยู่เนี่ย”


   (ลบไม่ได้ว่ะ…)

   อ้าว! อย่าบอกนะว่าติดคาถาอะไรอีก!  ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเอาโน๊ตบุ๊กไปพรมน้ำมนต์ก่อนใช่ไหมเนี่ย…

   (คือกูออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ไอ้เนย์อาบน้ำอยู่ ตอนนี้กูอยู่ห้องเพื่อนที่ชั้นสิบเอ็ดแล้ว)

   ฮือ  เอาล่ะครับ  ต่อจากนี้ก็คงจะต้องรับโทรศัพท์จากพี่เนย์ที่โทรมาว้ากใส่สินะ  เสียงพี่เปียวคุยกับเพื่อนคนที่ว่าไปด้วยก่อนจะบอกตัดสายผม  จากนั้นไม่นานก็โป๊ะเชะครับ  พี่เนย์โทรตามมาด่าผมติดๆ โทษฐานที่ไม่เตือนกันก่อน


   (ห่า! แล้วไอ้เปียวก็ทิ้งกูไว้! กูใส่แต่บ๊อกเซอร์ออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เจอใครละ พอมาดูคอมมึงก็เจอรูปเหี้ยพวกนั้น… แสรส)


   “แล้วตอนนี้พี่อยู่…”


   (ห้องเพื่อนกูชั้นสิบสาม! ใครมันจะกล้าไปอยู่ต่อวะไอ้กิ่ง! กลับมารับผิดชอบสิ่งที่มึงพากลับห้องมาเดี๋ยวนี้!!)


   ฮือ!! ใครมันจะไปทำได้วะ!  ต่อให้เช้าแล้วผมก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะกล้ากลับไปดูรูปพวกนั้นอยู่ไหม “ผมจะกลับไปสามทุ่ม… พี่เนย์บอกพี่เปียวลงมาพร้อมกันดิ เดี๋ยวเข้าห้องพร้อมกัน ไปลบรูปพร้อมกัน”


   (มึงก็กลับมาตอนนี้เลย! อยู่ห้องไอ้ยินซะคุ้มเลยนะมึง)


   ก็ต้องมีบ้างครับ   …วินาทีนี้ต้องคิดถึงสิ่งที่จะคุ้มค่าที่สุด  รูปจะกลับไปลบตอนไหนก็ได้  แต่ห้องหมอเปิดกว้างให้ได้ถึงแค่สามทุ่ม  พี่เนย์สบถหยาบใส่ผมอีกหลายประโยคก่อนจะตัดสายไป  คิดว่าในอนาคตถ้าเจอผีในห้องพร้อมกันสามคน ผม พี่เนย์ พี่เปียวก็คงวิ่งชนกันตายที่ประตูอะครับ  เร่งรีบกันเหลือเกิน


   “กลับห้องไป เนย์กับเปียวมาแล้วไม่ใช่เหรอ”


   คราวนี้เป็นเสียงของหมอยินที่คงจะแอบฟังผมคุยโทรศัพท์อยู่นาน  เจ้าตัวพูดทั้งๆ ที่ยังไม่หันหน้ามาเสียด้วยซ้ำ ขยันเรียนสมกับเป็นเด็กทุนคณะจริงๆ ครับ  “ตอนนี้พี่เนย์พี่เปียวเขาลี้ภัยอยู่ห้องเพื่อนอะครับ กลับไปก็ไม่ไหวหรอก”


   “แล้วทำไมต้องเป็นสามทุ่ม”


   “ก็ ก็ ก็อยากอยู่กับหมอนี่นา  แถมถ้าเกิดขืนกลับไปตอนนี้แล้วพี่เนย์พี่เปียวรวมหัวกับหลอกผมให้ผมเข้าไปในห้องคนเดียวล่ะ  สองคนนั้นยิ่งเจ้าเล่ห์ๆ อยู่”


   “ก็ไม่เห็นเป็นไร ก็แค่รูปถ่าย”

   “หมอไม่กลัวผีเหรอครับ”

   “กลัว แต่ไม่ได้ทำไม่ดีอะไร ถึงเห็นก็คงเห็นเพราะเขาแค่อยากมาคุยด้วยเฉยๆ…”

   พ่อพระมากครับ สงสัยเรียนจบแล้วจะบวชต่อจริงๆ  ไม่รู้ทำไมพวกเราถึงวกเข้ามาเรื่องที่เหมาะกับรายการเดอะช็อคแบบนี้ได้  ตอนนี้บรรยากาศในห้องเลยเย็นขึ้นมาอีกระดับหนึ่งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดแอร์ครับ  โอว ขนลุกไปหมดเลยครับท่านผู้ชม


   “งั้นหมอกลับไปลบเป็นเพื่อนหน่อยดิครับ”


   ผมพยายามดัดเสียงให้ดูน่าสงสาร กระซิกๆ  แต่หมอโย่งๆ คนนั้นก็ยังคงไม่ยอมหันกลับมามอง  ผมเลยเปลี่ยนแผน รอหน้ามึนกลับหอตอนสามทุ่มดีกว่า  กลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร


   พอเห็นว่าหมอยินไม่ได้สนใจที่จะไล่ผมกลับแล้ว  ผมก็ลุกขึ้นเดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ แบบไม่ส่งเสียงอะไร จะเดินยังต้องเดินแบบย่องๆ อะครับคิดดู


   กองหนังสือของหมอยินดูจะเละเทะขึ้นมากกว่าเมื่อวันก่อน  สงสัยร่างสูงคงจะยุ่งอยู่กับการเรียนมากเกินไปจนไม่มีเวลาจัดของในห้อง  ดูอย่างตะกร้าผ้าที่พูนทะลักจนแทบจะล้นออกมากับถังขยะใบเล็กที่ตอนนี้แทบเต็มไปด้วยกล่องข้าวและขวดเครื่องดื่มชูกำลังก็คงจะยุ่งจริงๆ   ผมเดินไปหยิบถุงขยะขึ้นมา เขย่าๆ แล้วมัดปากถุงให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปทิ้งที่ถังขยะใหญ่หน้าลิฟต์  รู้สึกเป็นภรรยาที่กำลังดูแลสามีในยามงานยุ่งเลยครับ เขินจัง


   ผมกลับเข้ามาในห้องพอดีกับช่วงที่คนตัวสูงบิดขี้เกียจเปลี่ยนอิริยาบถอยู่พอดี  เขาไม่ว่าอะไรที่ผมไปรื้อหาที่เก็บถุงดำไปทั่วจนกระทั่งได้มันมาใส่รองถังขยะไว้ตามเดิม  พอเห็นว่าเขาไม่ว่า ผมก็เลยปฏิบัติการแม่บ้านสามีหมอด้วยความรวดเร็ว  เริ่มตั้งแต่ปัดกวาดเช็ดถู  เก็บขยะรอบๆ ห้อง  ลงท้ายด้วยการเปิดตู้เย็นรินน้ำเย็นเจี๊ยบใส่แก้วใบใหญ่และเอาไปวางไว้ข้างๆ หมอ…  ไม่รักไม่ทำให้ขนาดนี้นะครับเนี่ย  ห้องตัวเองยังทำความสะอาดแค่ปีละครั้ง


   “ขอบใจ”


   หมอมันมีมารยาทเสมอครับ น่ารักจริงๆ  ผมแอบอมยิ้มไม่ได้เมื่อหมอยินยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม  หัวใจมันพองโตเหมือนสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่เพิ่งเจอรักแรก… อา โคตรมีความสุข สงสัยพรุ่งนี้ผมคงต้องทำบุญตักบาตรยกใหญ่แล้วล่ะครับ ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลายที่อนุเคราะห์ภาพหมู่มาให้ผมด้วย ณ ที่นี้…


   ว่าแต่… ถ้าไอ้ภาพพวกนั้นมันกลายเป็นภาพหมู่และจำเป็นจะต้องลบไปหมดแล้ว  ผมจะเอาอะไรส่งงานวะ


   ลัคกี้อินเลิฟน็อทลัคกี้อินเกมส์ครับงานนี้  สงสัยจะต้องบากหน้าไปขอเลื่อนส่งงานกับอาจารย์นิดแบบส่วนตัว …ซึ่งก็คงโดนงาบหัวกลับมาด้วยวาจาเชือดเฉือนอีกเป็นแน่แท้


   “มีอะไร”

   “หืม อะไรเหรอครับหมอ”  อยู่ดีๆ หมอยินมันก็โพล่งมาแบบนั้นครับ ผมเลยไม่รู้ว่าพี่มันหมายถึงอะไร 


   “ก็เห็นบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นึกว่าถูกผีสิงไปซะอีก”


   “สต๊อป! หมอจะลากเข้ามาเรื่องนี้ทำไมเนี่ย! คนอุตส่าห์ลืมไปแล้ว”

   “เออ ก็ใครใช้ให้นายพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเล่า”


   สงสัยว่าผมจะเผลอพูดคนเดียวไปอีกแล้วล่ะครับ  นึกว่าแค่คิดเองในใจแต่ปากกลับไวกว่าซะงั้น  คนเราหนอคนเรา “คืองานที่ผมถ่ายพี่ผึ้งแล้วมัน… เอ่อ ติดชัตเตอร์มาอะ มันต้องส่งศุกร์นี้ ผมคงถ่ายใหม่ไม่ทันแล้ว เลยบ่นๆ เพราะไม่อยากฟังอาจารย์ด่าอะครับ”


   “ส่งเลทไม่ได้เหรอ”


   “มันก็ได้แหละครับ… แต่ก็ต้องไปพูดกับอาจารย์ดีๆ เอา  ไม่รู้ว่าแกจะหักกี่แต้มอะไรยังไง”


   เทอมที่แล้วก็จบมาแบบคาบเกี่ยวเส้นยาแดงผ่าแปดครับ คราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรอดอยู่ยั้งยืนยงเหนือโปรได้หรือเปล่า


   “ก็ถ่ายไอ้ผึ้งเหมือนเดิมดิ มันหล่ออย่างนั้นคงขึ้นกล้องดี ถ่ายพรุ่งนี้ก็ได้”


   “ไม่ได้หรอกครับ ผมหมดตูดแล้ว พอบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเท่านั้นแหละสั่งอะไรไม่รู้ตั้งสี่ห้าอย่าง พี่ผึ้งนะพี่ผึ้ง  ถ้าขอให้มาถ่ายซ่อมอีกก็ไม่รู้จะไถเงินผมไปได้อีกเท่าไหร่  เพราะฉะนั้นถ้าหมอยินว่างก็ได้โปรดเถอะครับ นะ นะ นะ อาทิตย์หน้าก็ได้ ไหนๆ ก็จะขอเลื่อนส่งงานแล้ว”


   คนตัวสูงไม่พูดอะไรกับการอ่อยแบบเนียนๆ ของผม  ซึ่งมันก็ทำให้ผมเสียเซลฟ์ไปนิดหน่อย แงง ไอ้หมอบ้า  ขี้เก๊กแล้วยังจะหยิ่งอีก ขอสาปแช่งให้มีแฟนเป็นผู้ชายชื่อกิ่งเลย


   “ผึ้งมันก็ติดเรียนเหมือนๆ กับฉัน ไปรบกวนมันบ่อยๆ มันน่าเกลียด”


   “หมอก็เลยจะยอมมาเป็นนายแบบให้เหรอครับ”


   “เดี๋ยว ฉันพูดแบบนั้นตอนไหนกัน”


   “ผมเดาเอาน่ะ แหะๆ  แต่ก็ถูกใช่ไหมล่ะ หมอจะมาเป็นแบบให้ผมใช่ม้า”


   หมอยินไม่ได้หันหน้ามาแต่ก็พยักหน้าทั้งๆ อย่างนั้น “ถ้าอาทิตย์หน้าก็พอได้อยู่”

   “เฮ้ยยย! หมอเอาจริงเหรอ! ผมแค่แซวเล่นนะเนี่ย!!”

   “…งั้นไม่ถ่าย?”


   “ถ่ายดิครับ ถ่ายๆๆๆ”  แหม โอกาสเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว ไม่คว้าเอาไว้ก็คงจะไม่ใช่ไอ้กิ่งอะครับ  ผมยิ้มให้กับคนที่ยังคงนั่งหันหลังอยู่แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม 


   บางคนนี่ก็ใจดีแต่ปากแข็งไปงั้นแหละ ก็เป็นซะแบบนี้ ไม่รักจะให้ทำยังไงไหว




.
.
.
.

   “พี่เนย์พี่เปียว!! ห้ามหนีนะเว้ย! อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”

   “มึงนั่นแหละตัวดีเลย ออกตัวเร็วกว่ากูอีก”

   “ก็ผมนึกว่าพวกพี่ทิ้งผมไว้แล้วอ้ะ!”


   ตอนนี้พวกเราสามหน่อยืนอยู่หน้าห้องครับ เป็นความพยายามครั้งที่สองในการกลับมาลบรูปพวกนั้นหลังจากที่ครั้งแรกเข้าไปแล้วก็ปอดแหกวิ่งหนีกันออกมาทั้งโขยง  พี่เนย์ที่ยังอยู่ในบ๊อกเซอร์ตัวเดียวเพียวๆ อยู่ตบหัวผมแล้วพูดว่า “ทิ้งห่าอะไร ไป เข้าไปกัน แม้ว่ากูจะมีซิกแพคที่งดงามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะชอบยืนโป๊อยู่แบบนี้นะเว้ย”


   “กูว่าเข้าไปเลยเหอะ”


   กลายเป็นว่ายิ่งเถียงกันลูกบ้ายิ่งมาครับ  การบุกเข้าห้องเพื่อลบรูปในคราวนี้จึงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย  พี่เปียวที่ได้คาถากันผีมาจากแม่เมื่อกี้ก็ท่องใหญ่เลยครับ  แทบจะเอาน้ำมนต์พรมโน๊ตบุ้กผม


   “มึงไปถ่ายที่ไหนมาวะ โคตรเฮี้ยน”

   “…ตึกร้างตรงนั้นอะพี่เปียว”

   “เวร ที่หมามันชอบหอนบ่อยๆ ใช่ไหม…”

   “ครับ…”


   มองหน้าเหมือนรู้ใจ  ทั้งผมพี่เปียวพี่เนย์ก็ต่างพากันเดินไปรูดปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างฝั่งที่มองเห็นตึกนั้นได้ทันที  ได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆ มาตามลมเป็นพักๆ ไปจนถึงเกือบเที่ยงคืนครับ…   พรุ่งนี้ผมคงต้องตื่นมาใส่บาตรเป็นแน่แท้ และบางทีเสาร์อาทิตย์หน้าคงต้องหาเวลาไปทำบุญที่วัดด้วยอีกเหมือนกัน ช่วงนี้เรื่องดีๆ ของผมกับหมอยินเกิดขึ้นค่อนข้างถี่ครับ มาเป็นคอมโบ กลัวจะหมดโปรบุญเลยต้องไปเติมอีกสักหน่อย หึๆๆ
   


tbc.

************************************

  พระรองหลบไป พระเอกมาเเล้วว55555







หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 10 สิงหอหมอ... 28/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 29-10-2016 09:03:57
อุตส่าห์ถ่ายรูปพี่ผึ้งมา ติดชัตเตอร์หมดเลย  :m20:
ถึงกับลั่น ที่พี่เนย์พี่เปียว พร้อมใจกับวิ่งหนีไปห้องเพื่อน  :m20:
จะได้ถ่ายหมอยินแล้วน้าา
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 10 สิงหอหมอ... 28/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 29-10-2016 12:04:23
สงสัยต้องไปขอบคุณคุณพี่ๆที่อนุเคราะห์ภาพหมู่ให้จริงๆ55555555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 10 สิงหอหมอ... 28/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Nene promporn ที่ 29-10-2016 13:37:26
#ทีมหมอผึ้ง
5555
เปลี่ยนจากหมอผึ้งเป็นหมอผีเเทนเถอะค่ะ
ถึงเเม้เฮียเเกจะเป็นพระรอง เเต่ขอโมเม้นท์สักนิดก็ยังดี
ส่วนหมอยิน น้องก็ชอบนะ รักหมออะ 5555
นายเอกชื่อไรนะ ลืมชื่ออะ เรียกเฉาก๊วยมาตั้งเเต่ตอนด่อนนู้น
5555  คนเขียน สู้ๆ ชูป้ายไฟ ฮริ้งงง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 10 สิงหอหมอ... 28/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 29-10-2016 20:20:52
น่าสงสารแต่ดีนะได้อยู่ใกล้หมอ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 11 หาเรื่องใส่ตัว... 31/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 31-10-2016 21:20:15
ตอนที่  11







   อุ๊ย ฟังเสียงนกร้องนั่นสิ ไพเราะเพราะพริ้งจริงเชียว  แล้วก็ดูนั่น แสงอาทิตย์สีส้มอมชมพูทีสาดส่องเข้ามาถึงกลางใจ ก่อให้เกิดความอบอุ่นเหลือประมาณ …ขนาดเมฆบนท้องฟ้ายังลอยเป็นรูปหัวใจเลยอะ


   “เสพหนักไปหน่อยสินะมึงช่วงนี้ ตาเยิ้มเชียว”


   “กัญชาหรือยาม้าคะเนี่ย”


   ผมหันไปมองไอ้พวกตัวทำลายบรรยากาศข้างๆ  ถลึงตาใส่หนึ่งที “คนมีความรักแบบกูมองอะไรก็สวยงามสดใสได้โดยไม่พึ่งยาเสพติดเว้ย”


   “รักข้างเดียว/แอบรัก เนี่ยนะ”


   เหมือนโดนเพื่อนรุมกระทืบทางคำพูดอะครับ  ผมส่ายหัวจุปาก ทำหน้าแบบ ‘พวกเอ็งจะรู้อะไรกันเล่า’ ใส่หมวยหมวยและเป็นใจที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างๆ  เรียกเสียงด่าของพวกมันมาได้อีกกระบุง


   ถึงจะเป็นตอนเช้าแต่โรงอาหารก็คนเยอะมากครับ  กลุ่มสี่หน่อของผมขาดธันวาไปหนึ่งเพราะมันโหมงานหนัก ทำงานแบบข้ามคืนจนน็อกไป สงสัยจะมาเรียนอีกทีก็บ่ายๆ โชคดีของมันที่วันนี้เป็นคาบเรียนไม่เช็คชื่อ มันเลยได้โอกาสนอนยาวๆ แบบไร้กังวลไป


   ข้าวมันไก่หอมฉุยราดน้ำจิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธีเสิร์ฟคู่กับโค้กแก้วเล็กที่ซ่าถึงใจ  ผมละเลียดกินประหนึ่งว่าวันนี้ไม่มีเรียน แหม ก็เพิ่งบอกไปอยู่หยกๆ ว่าไม่มีเช็คชื่อ แปลว่าเข้าเลทได้ไงครับ ไอ้สองสาวข้างๆ นี่มันก็คงคิดเหมือนกัน แถมมีแพลนต่อว่าจะกินของหวานกันต่ออีกต่างหาก


   “ว่าแต่มึงนี่ก็โชคดีนะกิ่ง  วันที่ทำงานไม่ทันอาจารย์ก็ไม่เข้าคาบ แถมเลื่อนส่งไปเป็นศุกร์หน้าอีก”



   หมวยหมวยมันพูดถึงการบ้านพอร์เทรตชัตเตอร์อันนั้นแหละครับ  …หลังจากที่ผมคิดหนักว่าจะไปคุกเข่าอ้อนวอนอาจารย์ยังไงดี แชทไลน์กลุ่มของสาขาที่ผมเปิดอ่านอาทิตย์ละครับก็เด้งขึ้นมา ใจความว่าอาจารย์ป่วยเลยต้องขอลาหยุด ส่วนงานที่ต้องส่งก็ให้ยกยอดไปเป็นของศุกร์หน้าแทน


   อยากจะเต้นระบำเป็นนกยูง ติดอยู่ที่ว่าต้องสำรวมกิริยาว่าที่ภรรยาหมอไว้ครับ  “กูติดต่อนายแบบใหม่ไว้ได้ละ พวกมึงรอตะลึงกันได้เลย”


   “ใครวะ ดวงไหนในตึกเหรอ”

   “ถ้ามึงเป็นกูมึงจะไม่กล้าล้อเล่นแบบนี้  มันน่ากลัวจริงๆ นะเว้ย กูยังไม่กล้าบอกพี่ผึ้งเขาเรื่องนี้เลย กลัวเขาจะกลัวตามไปด้วย”


   “จริงๆ มึงควรจะเก็บรูปไว้ขายรายการผีๆ นะ กูว่ามึงน่าจะเอาดีด้านนี้ไปเลย คนอื่นเขาถ่ายได้แบบเสี้ยวๆ ติดไม่กี่รูป มึงนี่คมชัดจัดเต็ม ยังกะเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคของเหล่าวิญญาณ”


   “เป็นใจ ไอเดียมึงต่ำมาก…”

   “ฮ่าๆๆ …เฮ้ย กิ่ง”


   อะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็หัวเราะอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าซีเรียส  ผมหันหลังไปดูต้นเหตุที่ทำให้เป็นใจมันเป็นไบโพล่าร์ก็ถึงกับต้องร้องอ๋อ  …คืออย่างนี้  ข่าวสารในกลุ่มของผมจะไวมากครับ เช่นเรื่องที่ผมมีปัญหากับพี่ปีสามคนนั้นก็ถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็วมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมขี้บ่นเอง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเพื่อนของผมมันชอบเรื่องของชาวบ้านมากครับ


   พี่ปีสามเจ้าปัญหาเดินมากับกลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิมของมันครับ  ถึงคนจะเยอะแค่ไหนแต่ด้วยความที่คงจะเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พี่มันเลยมองเห็นโต๊ะผมและเดินมาหาได้อย่างง่ายดาย

   “นี่ไงมึง น้องมันกินเสร็จแล้วกำลังจะลุก ไปซื้อข้าวรอเลย”

   เพื่อนพี่เขาหัวเราะก่อนจะเดินแยกย้ายกันไปซื้อข้าว  …กินเสร็จแล้วบ้านพี่เขาคงความหมายเดียวกับคำว่าข้าวยังพูนจานอยู่เลยมั้ง  เพราะพวกผมทั้งสามคนยังไม่มีใครกินข้าวถึงครึ่งจานเลยด้วยซ้ำ


   “พี่คะ พวกหนูยังไม่ลุกอะค่ะ พี่หาโต๊ะอื่นเหอะ”


   โอ้หมวยหมวย  พลังแห่งความโมโหหิวสินะ ได้ข่าวว่าอย่างกินของหวานต่อด้วย

   “อ้าวเหรอ แต่พี่บอกเพื่อนไปแล้ว น้องก็ลุกไปกินโต๊ะอื่นเถอะนะ”

   สภาพโรงอาหารตอนนี้เหมือนป่าช้าแตก คงจะเหลือโต๊ะว่างให้พวกผมเข้าไปแทรกหรอกมั้ง  …เหมือนพี่มันก็รู้ดีและตั้งใจมากวนผมเล่นไปงั้นแหละ แค่ยิ้มเฉยๆ รังสีบาปก็แผ่ออกมาเต็มที่แล้ว


   “เพื่อนผมจะกินของหวานต่อด้วยครับ คงอีกนานกว่าจะลุก”

   “ไม่รู้รึไงว่าคนเยอะๆ แบบนี้เขาไม่ให้นั่งแช่กันนะ มันเสียมารยาท”


   มันเน้นประโยคหลังชัดและช้ามากจนผมรู้สึกได้เลยว่าคิ้วตัวเองกำลังกระตุกอยู่  ตอนนี้หมวยหมวยมันจ้องหน้าพี่เขาเขม็ง แต่คนหาเรื่องก็ยังคงทำท่าไม่แคร์สื่อ ยืนโบกมือเรียกเพื่อนมันมายืมรุมกดดันโต๊ะผมอย่างไม่รู้จักยางอาย

   นี่ถ้าไม่เห็นบัตรนักศึกษาที่ห้อยอยู่ผมก็คงไม่คิดว่ามันเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ  แต่ก็อย่างว่า ทุกวิชาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี  ในเมื่อผมได้เจอคนที่ดีแบบเทพบุตรอย่างหมอยินแล้ว ทำไมจะมาเจอคนที่เลวรากไม้แบบพี่คนนี้อีกไม่ได้


   “ลุกได้แล้ว อิ่มแล้วไม่ใช่หรือไง หรือต้องให้ไอ้ยินมาเดินร่อนมึงถึงจะยอมลุกไปเดินตามตูดมันน่ะ”


   ผึง


   เสียงฟางแห่งสติเส้นสุดท้ายขาดผึง ระรานกิ่งได้แต่อย่าดึงหมอยินลงมายุ่งครับ หมอมันไม่เกี่ยว “พี่เก็บปากพี่ไว้กินข้าวเถอะนะ ก่อนที่จะแก่จนไม่มีแรงระรานคนอื่น”


   “ไอ้เด็กเวร”  พริบตาที่ผมพูดจบ มันก็กระชากคอเสื้อผมขึ้นทันที และเพราะผมขืนตัวไว้ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึง กระดุมเม็ดแรกๆ ก็พากันพร้อมใจสละชีพหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง ตายห่าน ไม่น่าซื้อรุ่นที่ถูกๆ ไว้ก่อนเลย ไม่เคยคิดนี่ครับว่าจะต้องซื้อของดีมาเผื่อไว้มีเรื่องกับชาวบ้านแบบนี้


   “คนอื่นมองอยู่นะครับพี่”


   “กูรู้ และกูไม่ทำอะไรมึงตอนนี้หรอก”


   “พี่หาเรื่องผมก่อนเองนะ”

   “มึงมันทำตัวโรคจิตเอง”

   มันปล่อยคอเสื้อผมแล้วเดินไปหาโต๊ะอื่นนั่งกับเพื่อนต่อ  แต่ระหว่างนั้นมันก็ยังคงส่งสายมามองมาเป็นระยะๆ แบบที่อันธพาลทั่วไปเขาทำกัน  เป็นใจที่เห็นว่าดูท่าจะไม่ดีแล้วเลยรีบเก็บของเตรียมจะลุก


   “มึงไม่ต้อง ไม่มีอะไรแล้ว”


   “กิ่ง พี่เขาเป็นโรคจิตอะไรรึเปล่าวะ ขนลุกเลยอะ”


   “ช่างมัน ต่างคนต่างอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นก็ให้มันเกิด”


   เราไปห้ามให้คนไม่เกลียดไม่ได้หรอกครับ ถึงเหตุผลจะขี้ปะติ๋วยังไงก็เป็นความรู้สึก   ผมจับคอเสื้อให้เข้าที่เพราะเริ่มเย็นๆ แล้ว  มองซ้ายขวาหากระดุมที่หล่นหายไปเผื่อว่าจะเอากลับขึ้นไปซ่อมได้


   หมวยหมวยกับเป็นใจเองก็ช่วยกันมองหาด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอ ผมเองก็ไม่อยากจะนั่งตรงนี้อีกเลยตัดสินใจไม่หาต่อแล้วพากันขึ้นตึกไปทั้งๆ ที่สองสาวนั่นก็ยังไม่ได้กินของหวาน ก่อนเดินออกจากโรงอาหารผมก็หันไปมองหน้าฝ่ายหาเรื่องเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน   


   มันยิ้มมุมปากให้ผมจากนั้นก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนมันตามปกติ ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่มันเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องมาเป็นศัตรูกันแล้ว  ตลกดี





.
.
.
.

   “มึงต้องระวังตัวด้วยนะกิ่งช่วงนี้”


   ธันวาที่มาทีหลังและเพิ่งรู้เรื่องเริ่มโวยวายออกมา หาว่าผมไปหาเรื่องพี่เขาบ้าง อยู่เฉยๆ ไปก็จบแล้วบ้าง แต่แหม นี่ก็นั่งเฉยๆ อยู่จนกระทั่งมาโดนระรานนั่นแหละครับ  แค่ฟิวส์ขาดไปว้ากกลับก็เท่านั้นเอง


   “กูรู้ ช่วงนี้เลยว่าจะกลับดึกๆ หน่อย”

   “ถุย นั่นเรียกระวังตัวเหรอวะ”

   “ส่วนใหญ่พวกหมอเขาไม่อยู่ดึกๆ กันหรอก  กลับเวลาปกตินั่นแหละเสี่ยงตีนกว่า”


   “แล้วนั่นทำไมไม่จัดการเย็บให้เรียบร้อยคะ” ธันวาชี้มายังคอเสื้อของผมที่แบะออกกว้างประหนึ่งนายแบบนิตยสารเกย์แล้วก็หรี่ตามอง “หรือมึงอยากโชว์”


   “ถ้าหมอยินเขาอยากดูกูก็ยินดีโชว์”


   “ห่า หัวนมไม่ชมพูแล้วยังเสือกอวด”


   ว้าก อีบ้าธันวา มาพูดอะไรตรงนี้ ผมเลยตีหลังมันไปแรงๆ   เจ้าตัวหัวเราะใหญ่เลยครับเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ …จริงๆ มันก็ไม่ได้ดำหรอกครับ  แต่จากที่ศึกษานิยายวายที่ได้รับเป็นกุศลมาจากเป็นใจมา ผมก็ค่อนข้างฟันธงได้เลยว่า คุณสมบัติของศรีภรรยาหนุ่มที่ดีนั้นต้องมีหัวนมสีชมพู  สีน้ำตาลอ่อนของผมนี่ยังห่างชั้นจากคำว่าอุดมคติเยอะครับ พอคิดมากก็ไปปรึกษาธันวา แล้วมันก็ตอกกลับมาด้วยคำที่ว่า ‘มึงจีบพี่เขาให้ติดก่อนเถอะ ถ้ารักจริงต่อให้มึงหัวนมขาดไปข้างเขาก็เอามึง’


   “กูจะทำยังไงดีวะ มึงว่าพวกมันจะไปหาเรื่องหมอยินต่อไหม”


   แล้วผมก็เล่าเรื่องคอมเมนท์เฟสบุ้คที่ไปเจอมาให้ธันวามันฟังครับ  เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกหงักแล้วกูพูดว่า “พวกทัศนคติแปลกๆ  นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ววะ ยังเหลือคนคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ”

   “กูว่าก็คงเป็นธรรมดาแหละมั้งที่รับไม่ได้ แต่รับไม่ได้แล้วมาหาเรื่องกันนี่ก็เกินเยียวยาว่ะ”

   “มึงจะบอกพี่หมอยินเรื่องนี้ไหม ให้เขาเตรียมตัวไว้ไรงี้”


   “ไม่เอาอะ เดี๋ยวโดนด่าอีก”  รอบที่แล้วยังไม่ยอมมาช่วยกันเลยครับ เห็นทีคงไม่สำคัญพอที่จะออกหน้าช่วย แถมยังโดนไล่ให้ไปขอโทษดีๆ อีก “กูจะอยู่ทำงานที่นี่ถึงสักสองสามทุ่มแล้วกัน บางทีอาจจะขอเดินกลับพร้อมพวกพี่เนย์ด้วย”


   “ระวังตัวด้วย กลุ่มนี้แม่งแปลกๆ  ทะแม่งๆ”


   ผมพยักหน้ารับความหวังดีของเพื่อน  จากนั้นหมวยหมวยและเป็นใจเองก็พูดในทำนองเดียวกันว่าผมไม่ควรทำอะไรคนเดียวตอนนี้  แต่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอหมด เหลือไว้แค่ผมที่นั่งโง่ๆ อยู่บนตึกคณะตอนสองทุ่มครึ่ง


   จริงๆ แล้วคณะผมนี่มีเรียนถึงแค่สี่ห้าโมงเย็นครับ แต่ในกรณีที่กลับหอไปแล้วทำงานไม่ได้หรือต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ  ทางคณะก็อนุญาตให้อยู่ได้จนถึงสามทุ่มครับ เพราะอย่างนั้นตอนนี้เลยยังพอมีรุ่นพี่รุ่นน้องแวะเวียนมาทำงานกันบ้าง แต่ก็ค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แล้วเช่นกัน


   ผมกดเบอร์พี่เปียวแล้วโทรออก  ขืนโทรหาพี่เนย์อาจจะโดนด่าได้ครับ ต้องโทรหาคนนี้  รอสายอยู่ไม่นานพี่เขาก็รับด้วยเสียงแปลกๆ เหมือนคนเป็นหอบ


   (ฮัลโหลกิ่ง มีไร)



   “พี่เปียวจะกลับหอยังอะครับ”



   (พี่… ไม่แน่ใจว่ะ น่าจะอีกไม่นานแหละมั้ง  …มึงบอกมันไป อีกนาน นานมากเลยด้วย)



   เสียงพี่เนย์ดังแทรกขึ้นมาประโยคสุดท้าย ไม่รู้ทำอะไรกันอยู่แล้วสายก็ถูกตัดไป  ผมนั่งงงๆ กับความไม่รู้เรื่องในการสนทนาครั้งนี้ เอาวะ อย่างน้อยก็ได้รู้จุดประสงค์หลักว่า ต้องเดินกลับหอคนเดียวสินะ…


   ผมเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบโต ถือโทรศัพท์ไว้ในมือแน่น ตั้งใจว่าถ้ามีอะไรจะรีบโทรหาพี่เปียวอีกรอบทันที  พอลงมาจากตึกได้ผมก็ชะโงกซ้ายขวามองสถานการณ์ เมื่อคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรแล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับหอทันที


   ไม่เคยคิดเลยครับว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องระแวงชาวบ้านเขาขนาดนี้  ตอนม.ต้นที่ว่าเฮี้ยวแล้วมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่วนี่ไม่เคยกลัวอะไรเพราะตอนนั้นตัวมันเท่าๆ กันหมด แต่ตอนนี้กิ่งน้อยกลายเป็นเด็กขาดสารอาหารในหมู่โจรเถื่อนไปแล้วครับ เพราะงั้นจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวกันนิดนึง เดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวจะหักคามือคนอื่นเขาเอา


   ทางกลับหอของผมต้องข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำอีกทีนึง  ตอนนี้บนสะพานยังพอมีรถวิ่งขวักไขว่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนทำให้อุ่นใจมากเท่าไหร่  ผมคิดถึงเรื่องภาพหมู่แล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ครับ… ห่านจิก นี่ผมต้องเดินข้ามตึกตรงนั้นด้วยนี่หว่า! กลัวคนจนลืมกลัวผี! โอ๊ยไอ้กิ่งเอ๊ยยยยย


   “เอาไงดีวะ…”


   ผมเผลอพึมพำกับตัวเองขึ้นมา ตอนนี้ผมอยู่ที่เชิงสะพานเรียบร้อยแล้วครับ  เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงหอ แต่ไอ้ตึกเจ้ากรรมนั่นมันดันขวางทางอยู่อย่างสง่างาม  หมาที่แต่ก่อนเคยหลับสนิทตลอดในเวลานี้กลับลุกขึ้นมายืนเตรียมพร้อมจะเห่าหอนเต็มที่ถ้าผมเดินผ่านไป อืม ให้มันได้อย่างนี้สิ นี่ไม่ใช่ว่าผมคงโดนดักกระทืบตอนนี้หรอกนะ…



   แปะ



   “กรี๊ด!!!!”


   “เฮ้ย!!!”


   ผัวะ!!!


   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากครับ! มีอะไรก็ไม่รู้มาแปะโดนไหล่ผม! ด้วยความตกใจผมเลยกรี๊ดออกไปสุดเสียงพร้อมเหวี่ยงหมัดออกไปด้วย  ในใจตอนนั้นคิดได้อยู่อย่างเดียวคือไม่ผีก็ศัตรู… เพราะอย่างนั้นตอนที่ผมได้มองชัดๆ ว่าใครเป็นใครทุกอย่างก็เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที


   คนที่โดนหมัดผมไปไม่ใช่ไอ้พี่ปีสามคนนั้นครับ …แต่เป็นหมอผึ้งผีสิงคนงามของเรานั่นเอง ตอนนี้คนเจ้าชู้ลงไปนอนกองกับพื้นเรียบร้อยพร้อมกุมแก้มข้างขวาไปด้วย “ไอ้กิ่ง! มึงเป็นบ้าอะไรของมึงขึ้นมาเนี่ย!”


   “แหะๆ พี่ผึ้งเล่นมาแบบไม่ส่งเสียงอะไรก่อนนี่ครับ ผมก็ตกใจเป็นนะ นึกว่าจะโดนฉุดซะแล้ว”


   “น่าฉุดตายเหอะมึงน่ะ”  พี่ผึ้งบ่นอุบก่อนยื่นมือมาให้ผมช่วยฉุดขึ้นยืน แก้มข้าวขวาของพี่แกปรากฏรอยแดงนิดๆ แต่ก็ดูท่าว่าคงจะไม่ร้ายแรงอะไรอยู่  ผมฉุดพี่เขาขึ้นยืนแถมช่วยปัดฝุ่นให้ตามตัวพลางขอโทษขอโพยที่ทำให้เจ็บตัวไปด้วย


   “แล้วนี่ทำไมกลับดึก”


   “ผมทำงานค้างอยู่ที่คณะอะพี่”

   “แล้วไป นึกว่าอยู่กับสาว”

   “ผมไม่สนสาวหรอกครับพี่”  สนก็แต่เพื่อนพี่แหละ  เล่นตัวอยู่ได้

   “เออว่ะลืมไป  เฮ้ยอย่าซีเรียสนะ”

   “ซีเรียสเรื่องอะไรอะครับพี่”

   “เรื่องที่กูพูดไปไง คือไม่ได้ตั้งใจจะประชดมึงนะ จริงๆ กูก็เป็นไบเหมือนกัน”


   อยู่ดีๆ พี่ผึ้งก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมีกลองมีจะเข้อะไรเลยครับ   เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตะลึงอะไรมากหรอกที่พี่ผึ้งเขาเป็นไบ เจ้าชู้ขนาดนี้ขอแค่เป็นคนก็คงจะยอมเล่นด้วยอะครับ เพศสภาพใดๆ พี่เขาก็คงไม่แคร์ “พี่แม่งคนจริงว่ะ ผมนับถือ”


   “กูว่ามึงสิน่านับถือกว่า จีบคนอย่างไอ้ยินเนี่ยนะ ยอมใจ”


   “เกิดมาทั้งทีต้องซื่อสัตย์กับชีวิตครับพี่ ไม่รู้ว่าชาติหน้าผมจะได้ไปเกิดเป็นไส้เดือนรึเปล่า เพราะงั้นชาตินี้เลยต้องทำในสิ่งที่อยากทำมากๆ ไว้ก่อน”


   พี่ผึ้งหัวเราะกับท่าทีจริงจังของผม  เราสองคนเดินคุยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลยไอ้ตึกเดอะช็อคนั่นมาได้อย่างปลอดภัยครับ  ไอ้แก๊งหมานั้นตั้งท่าจะหอนแล้วแต่คงติดว่ามีพี่ผึ้งเดินมาด้วยมันเลยเปลี่ยนมาเป็นมองตาเยิ้มแทน แม้แต่หมาก็ยังหลงเสน่ห์ คนอะไรก็ไม่รู้


   “พี่งั้นผมขึ้นหอก่อนนะครับ ขอบคุณที่เดินมาเป็นเพื่อน แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ต่อยไปด้วย กราบบบ”


   ผมแกล้งพนมมือขึ้นจนหว่างคิ้วแล้วทำท่าบูชาจนพี่ผึ้งหัวเราะ คนตัวสูงโยกไปมาเหมือนแผ่นดินไหวแล้วก็บอกว่า “ช่างมันเหอะ กูผิดเองที่วิ่งมาจับไหล่มึงแบบเงียบเกินไป ไอ้ยินมันก็เตือนกูแปปๆ อยู่ว่ามึงอะขี้กลัว”

   โอ้ว ไม่ยักกะรู้ว่าหมอยินเป็นห่วงผมด้วย ว่าแต่… “พี่ผึ้งมากับหมอยินเหรอครับ”

   “เออ กูเดินมากับมันจนกระทั่งเห็นหลังมึงเดินไปไวๆ นั่นแหละ” พี่ผึ้งมันยิ้ม โชว์เขี้ยวแวมไพร์กระชากใจสาวแก่แม่หม้ายออกมาเต็มที่ “ไม่รู้แม่งไปไหนละ แวะเซเว่นมั้ง”


   “อ่อ…” 


   ผมซ่อนความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในใจ  พี่ผึ้งรีบวิ่งมาเพื่อทักผมในขณะที่หมอยินมันไม่ได้สนใจไยดีอะไรสักนิด นี่ผมจะโดนฉุดไปก็คงไม่คิดจะช่วยเลยมั้งเนี่ย


   “ทำหน้าเป็นตูดอยู่ได้ คิดถึงหมอมึงล่ะสิ… กูไปละ  รถจอดอยู่หอไอ้ยิน”

   “ครับพี่ เดินทางปลอดภัยครับ”

   แวมไพร์หนุ่มโบกมือให้ผมพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งก่อนหมุนตัวออกเดินไปแบบนายแบบบนรันเวย์  ผมชะเง้อไปทางสะพานที่เพิ่งเดินมา หวังว่าจะได้เจอกับคนตัวสูงๆ ที่เดินมาพร้อมกระเป๋าหนักๆ และสัมภาระอีกมากมายตามเคย  แต่รอแล้วรอเล่าหมอยินก็ยังไม่โผล่มา  ผมที่เริ่มตงิดใจหน่อยๆ แล้วเลยเปิดมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาร่างสูง


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : หมออยู่ไหนอะ แวะเซเว่นเหรอ อยากกินชาเขียว


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : /สติกเกอร์สงสัย/



   ถึงผมจะส่งสติกเกอร์ไปราวๆ ทุกๆ ห้านาทีหมอยินก็ยังไม่ตอบกลับมาครับ  เกือบลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายชิงแชมป์เมินไลน์ระดับประเทศไทยอยู่ ผมถอนหายใจก่อนเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง สงสัยคงเปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่กลับหรือไม่ก็แวะกินข้าวข้างทางล่ะมั้งครับ


   ช่วงที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องโถงของหอพอดี เสียงเรียกชื่อผมจากไกลๆ ก็ทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมองเพราะหวังว่าจะได้เจอกับหมอตัวสูง …แต่เปล่าครับ  ไม่มีใครเลย ใต้โถงเงียบฉี่ โนบอดี้ บัท กิ่ง


   บรู๋ววววววววววว



   ทันใดนั้นแก๊งหมาอันธพาลมันก็หอนขึ้นมา ขนแขนแสตนด์อัพโดยไม่ทราบสาเหตุครับ ผมรีบหันหลังตั้งท่าจะเข้าหออย่างเดียวจนกระทั่งมีเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นอีก พอหันไปมองก็ไม่เห็นว่าจะมีใครยืนอยู่เป็นตัวเป็นตนแล้วเรียกผมเลย


   จนกระทั่งเสียงหมามันหยุดหอนไปนั่นแหละครับ ผมก็ได้ยินเสียงอื่นลอยตามลมมา   


   จากนั้นกิ่งน้อยก็วิ่งครับ  วิ่งแบบไม่รู้ไปเอาพละกำลังมาจากไหน วิ่งเหมือนเป็นนักวิ่งทีชาติที่ฉีดสารกระตุ้นมาอีกที… คราวนี้ผมไม่ได้วิ่งหนีผีครับ แต่ผมกำลังวิ่งไปหาผีเลยต่างหาก!



   บรู๋ววววว




   “มึงหยุดหอนได้แล้ววว! กูรู้แล้ว!”



   ไม่มีเวลาแวะทะเลาะกับหมาข้างถนนครับ ผมเลยตะโกนด่ามันไปตอนวิ่งผ่านตึกนั่น  ปกติแล้วสะพานที่พวกผมใช้ข้ามกันมานั่นเป็นสะพานสำหรับรถวิ่งครับ แต่ขอบข้างๆ มันก็เป็นที่สำหรับให้คนเดินเหมือนกัน โดยทางขึ้นของทางคนเดินนั่นจะเป็นแถวๆ กึ่งกลางของสะพาน โดยข้างล่างนั่นค่อนข้างเปลี่ยวมากเพราะเป็นที่ใต้สะพานแถมยังมีรถเก่าๆ จอดทิ้งไว้อยู่เต็มอีก


   มันเลยเป็นที่ที่เหมาะมากสำหรับการกระทืบกันมากกกก


   พลั่ก!!


   “หมอ!!”


   ผมที่วิ่งมาจนหอบเหนื่อยไปหมดตะโกนเรียกคนที่อยู่ตรงกลางวงนั่น  …ว่าแล้วเชียว! ไอ้พวกสารเลว! “มึงหยุดทำเดี๋ยวนี้! กล้าดียังไงมาต่อยหมอของกู! ไอ้พวกหมาหมู่!!”



   “ไอ้กิ่ง ไอ้เด็กเวร”


   ไอ้พี่ปีสามที่เป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกนั้นจับคอเสื้อผมลากเข้าไปในวงบ้าง  ผมทั้งสะบัดทั้งเตะต่อยไปเรื่อยแต่ก็ต้านแรงพวกมันไม่ได้เลย  พอถูกโยนไว้ตรงกลางวงข้างๆ กับหมอยินที่ตอนนี้สภาพไม่รู้เละไปขนาดไหนแล้วบ้างผมก็ถูกรุมประเคนฝ่าพระบาทให้ครับ 


   “คนอย่างมึงต้องโดนอย่างนี้จริงนะแหละ แม่งถึงจะรู้สึก!”


   “มึงมันหมาหมู่! แน่จริงก็ตัวต่อตัวดิวะ!!”


   “เออกูยอมเป็นหมาหมู่! อย่างน้อยก็ดีกว่าหมู่เพื่อนตุ๊ดหมาๆ ของมึงนั่นแหละไอ้กิ่ง!!”


   พลั่ก!!


   จากนั้นก็ตามมาด้วยลูกเตะพิฆาตใส่ท้องผมเต็มที่ครับ จุกจนรู้สึกเหมือนอาหารเย็นจะทะลักออกมาทางปาก จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วครับ ผมแทบมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำจนกระทั่งคนข้างๆ ผมลุกขึ้นมายืน ช่วยปัดมือปัดเท้าที่มากระหน่ำผมออกไปบ้าง ผมเองพอเห็นอย่างนั้นก็ช่วยคนตัวสูงไปด้วย แม้จะไม่มากมายเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยครับ  จนกระทั่งมาถึงตอนที่ทุกอย่างมันเริ่มวุ่นวายมากเกินไปแล้ว และผมเองก็อยากจบเรื่องทะเลาะบ้าๆ นี่สักที  ความตั้งใจที่ว่าจะเลิกทะเลาะวิวาททุกประการตั้งแต่ตอนม.ต้นก็พังทลายไป ผมประเคนหมัดใส่คางไอ้เวรที่ไหนไม่รู้ข้างหน้าผมไปจังๆ จนมันล้มหงายหลังลง 


   ผัวะ!!


   จากนั้นก็ตามด้วยหว่างขาของใครสักคน คาง แล้วก็หน้าแข้ง สารพัดจะทำได้ผมก็ทำไปหมดแล้ว …เกิดเป็นคนตัวเล็กต้องรู้จักการหาจุดอ่อนครับ แต่ตอนนี้ทัศนะวิสัยของผมเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตาบวมหรือกรรมบังตาอยู่ ผมเหมือนไม่ได้ยินหรือรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองอีก มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกหมอยินรวบตัวเข้าไปไว้กับอกแล้ว


   “มึงพอกิ่ง พอได้แล้ว”


   ผมหอบหายใจเหนื่อย  พอตั้งสติขึ้นมาได้ก็รีบตะปปหน้าคนตัวสูงทันที  พอสำรวจว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าขอบปากช้ำๆ และรอยแตกที่คิ้วกับเลือดบนใบหน้านั่นแล้วก็รีบกอดหมอยินเข้าแน่นๆ ทันที


   ไม่รู้ว่าพวกเวรนั่นมันหนีไปตั้งแต่ตอนไหน พี่เนย์กับพี่เปียวที่ไม่รู้โผล่มาได้ยังไงก็ยืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน… 


   “มึงจะปลอดภัยแล้วกิ่ง มึงจะปลอดภัย”




   แม่ง ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายวิ่งมาช่วย แต่ผมกลับถูกปลอบจนร้องไห้โยเยอยู่แบบนี้เนี่ยนะ ไม่แมนเลยว่ะ




tbc.

**********************************
ขอโทษที่มาสายนะคะ ฮือ เสาร์อาทิตย์นี้ต้องตระเวนไปทำการบ้านจนไม่มีเวลาปั่นเลย

ตอนต่อไปน่าจะมาพรุ่งนี้นะคะ  เป็นการฟิตทดเเทนคำขอโทษคำโตๆ 5555

 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 11 หาเรื่องใส่ตัว... 31/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 31-10-2016 22:10:44
เกลียดรุ่นพี่จะอะไรเยอะแยะ ขอให้โดนหมอเอาคืน   :z6:
หมอปลอบใจกิ่งด้วยนะ
ปล.รออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 11 หาเรื่องใส่ตัว... 31/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 31-10-2016 22:55:05
เกลียดดดดดด ไอพวกรุ่นพี่งี่เง่านี้มากเลย เป็นไรมากไหม หาเรื่องชาวบ้าน
น้องกิ่งฟิวส์หลุดร้องไห้เลย หมอยินปลอบน้องหน่อย หมอผึ้งหายไปไหนนไม่เห็นเหตุการณเหรอ :katai1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 11 หาเรื่องใส่ตัว... 31/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 01-11-2016 18:45:58
เดี่ยวๆนี่ใครมาช่วยใครๆ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 11 หาเรื่องใส่ตัว... 31/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 01-11-2016 19:14:39
ทำไมพวกนั้นต้องรังแกหมอยินด้วย
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 01-11-2016 22:35:34
ตอนที่ 12







   “อ๊ากกกก”


   “หุบปากทีเถอะกิ่ง เดี๋ยวแอลกอฮอลก็เข้าปากมึงหรอก”

   “ก็พี่เนย์ทำเจ็บอะ! หมอยินช่วยผมหน่อยดิ!!”


   ผมรีบกุลีกุจอวิ่งไปซบอกคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที หมอยินดันหัวผมออกแบบไม่เกรงใจบาดแผลบนใบหน้าผมเลยสักนิด “ไปให้ไอ้เนย์ทำดีๆ  เรื่องมาก”


   แหงะ พอโดนว่าที่สามีด่าเข้าแล้วผมก็เลยต้องยอมนั่งนิ่งๆ ให้หมอเถื่อนเขาช่วยจัดการความบอบช้ำทั้งหลายแหล่ให้ครับ

 
   โชคดีที่บนหน้าผมมีแผลไม่มาก  มีแค่รอยช้ำกับรอยแตกที่ปากนิดหน่อย คงเพราะพวกมันเน้นกระทืบมากกว่าบาดแผลเลยไปอยู่ที่ช่วงตัวซะส่วนใหญ่  หมอยินเองนอกจากรอยแตกสั้นๆ ที่คิ้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ


   “มึงนี่นะ หาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว เป็นไงล่ะเจอกลุ่มไอ้แอมมัน โดนกระทืบกลับมาหัวแทบหลุด”


   อ้อ เพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าที่ตีกันมาตั้งนานชื่อแอม… คนเราจะเกลียดกันทั้งทีชื่อแส้ไม่สำคัญเลยจริงๆ


   “ผมไม่ได้หาเรื่องนะ พวกมันนั่นแหละที่เริ่มก่อนเอง ตั้งแต่วันก่อนๆ แล้วด้วย”


   “แล้วมึงก็ไม่อดทน”


   ไม่น่าเชื่อครับว่าคนเถื่อนๆ อย่างพี่เนย์จะเป็นสายนี้  แหม่ แต่นี่ผมก็ว่าผมเก่งแล้วนะครับที่อดทนมาได้ถึงขนาดนี้


   “ผมไม่ชอบให้มันดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวอะ ถ้ามันด่าผมคนเดียวคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก  อ้ากกก! เจ็บเว้ยยย!!” ผมร้องลั่นเมื่อพี่เนย์แกล้งกดสำลีใส่ยาลงไปบนแผลที่ไหล่แรงๆ  ไอ้พี่บ้า! แถมพี่เปียวก็ดันหัวเราะได้ใจไปกับความเจ็บปวดของผมอีก นี่เป็นเอสกันหมดเลยใช่ไหมเนี่ย!


   “หูยยยย พ่อพระเอก พูดอะไรมึงก็พูดไปเหอะ สุดท้ายแล้วพวกกูก็ต้องเข้ามาเกี่ยวอยู่เหมือนเดิม”


   “…นั่นแหละพี่ ขอโทษด้วยครับ”


   ผมไหว้ทุกคนในห้องด้วยความรู้สึกที่อยากขอโทษจริงๆ จากใจ  …ตอนนี้พวกเราอยู่กันในห้องของหมอยินครับ  เนื่องจากหอในของพวกผมพาคนนอกขึ้นไม่ได้ แต่ถึงได้ก็ไม่ควรเอะอะกันขนาดนี้  พวกเราสี่หน่อเลยมาหยุดกันอยู่ที่หอหมอยินแทน


   ผมมาฟังพี่เปียวเล่าทีหลังว่า  ช่วงที่ผมกำลังเลือดขึ้นหน้าอยู่นั่นพี่เนย์พี่เปียวก็ผ่านมาพอดี  พอเห็นว่าท่าจะไม่ดีเท่าไหร่แล้วพี่เนย์เลยแกล้งตะโกนเรียกน้ายามมา ซึ่งมุกควายๆ แบบนี้ก็ใช้ได้ผลดีครับ  พวกนั้นมันพากันวิ่งหนีหางจุกตูดไป  ตามที่พี่เปียวเล่าก็ดูเหมือนกับว่าพวกมันเองก็เจ็บหนักมากเหมือนกัน เหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ต้องให้เพื่อนแบกด้วยซ้ำ



   …ที่ผมรู้ได้ว่าหมอยินโดนยำอยู่นั้นส่วนหนึ่งก็เพราะได้พวก ‘พี่ๆ’ เขาช่วยไว้ด้วยครับ  หลังจากเสียงเรียกชื่อหลอนๆ ของผมนั่นหยุดไปผมก็ได้ยินเสียงโวยวายจางๆ มาตามลม พอฟังดีๆ ก็รู้ว่าเป็นเสียงของหมอยินที่โดนไอ้พวกนั้นรุมอยู่  สงสัยคราวนี้คงจะต้องทำบุญใหญ่เพื่อขอบคุณในหลายๆ เรื่องซะแล้วล่ะครับ คนดีผีไม่ทิ้ง บุญเยอะจริง



   “เออๆๆๆ ช่างมันเหอะ กูไม่ได้อะไรมาก เกลียดพวกมันอยู่ละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะฟ้องอาจารย์ปกครอง เอาให้แม่งโดนหมายหัวหนักๆ ไปเลย”


   “เฮ้ยพี่ไม่เอา ถึงขั้นนั้นมันน่ากลัวอะ ปล่อยมันไปเหอะ มันได้มารุมยำผมแล้วน่าจะพอใจได้แล้วล่ะ”


   “…เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง”

   เสียงแหบๆ ของหมอยินที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นมา  ผมหันไปมองหน้าหมอเขาที่ถึงจะบอบช้ำยังไงก็ยังดูหล่อ …และตอนนี้หน้าหล่อๆ นั่นก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาไกลหลายร้อยไมล์แล้วครับ คาดว่าพวกนั้นน่าจะกำลังจามอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน


   “จะดีเหรอหมอ… ผมเกรงใจหมอที่สุดแล้วที่ลากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย จริงๆ นะ”


    “ถ้าฉันบอกว่าฉันจะจัดการเองก็คือจัดการเอง เข้าใจนะ”

   หมอตัวสูงไม่ตอบอะไรต่ออีก  เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องสีดำออกมาจากกระเป๋าเป้เปื้อนฝุ่น จากนั้นก็ออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียงด้วยรังสีอำมหิตที่ยงคงแผ่ออกมาแบบไม่ปราณีใคร


   “ติดต่อแบ็คมันชัวร์”


   พี่เปียวพึมพำขึ้นมา พี่เนย์เองก็พยักหน้ายิ้มๆ ตาม  …แบ็คหมอยิน ใครวะ ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าหมอมันมีแบ็คอะไร “ใครอะพี่”

   “พ่อเลี้ยงมัน”


   ผมไม่ยักกะรู้ว่าหมอยินเป็นลูกเลี้ยง…  คิดนิยายดราม่าอยู่ในใจได้ไม่นานก็โดนพี่เปียวเบรกไว้ครับ “มันไม่ได้เป็นลูกเลี้ยงนะ มันมีพ่อสองคน คนหนึ่งเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ กับอีกคนเป็นพ่อเลี้ยงอยู่รัสเซีย”


   ข้อมูลใหม่ครับ ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาพี่เปียวทันที “เทลมีพลีส”

   “พ่อเลี้ยงมันเป็นคนรัสเซีย รู้แค่นี้แหละ”

   “อ้าว! ไอ้เราก็นึกว่าจะมีต่อ! เล่าๆๆ กิ่งอยากรู้ นะ นะ นะ”

   “แหม่ ทีอยากอ้อนอะไรขึ้นมาแล้วมีแทนตัวเองว่าก่งกิ่ง กูจะอ้วก”

   พี่เนย์สวนขึ้นมาทันทีเมื่อผมแอ๊บน่ารักเพื่อล้วงข้อมูลจากพี่เปียว ผมเบ้ปากใส่พี่มันก่อนจะหันกลับมาทำคิขุอาโนเนะใส่พี่เปียวต่อ “แล้วทำไมแบ็คถึงใหญ่อะ เป็นมาเฟียรัสเซียเหรอครับ”

   “ประมาณนั้นมั้ง มึงลองถามมันดูดิ”


   “ใครจะไปกล้า”


   “เออ กูก็ไม่กล้าเหมือนกัน ไปทำแผลต่อได้ละกิ่ง เดี๋ยวถ้ามันอยากบอกมันก็บอกเองแหละ ชิ่วๆ”

   ไล่อย่างกับหมูกับหมาเลยครับ คราวนี้ผมเลยเบ้ปากใส่พี่เปียวต่อบ้างและมานั่งจุมปุ้กรอให้พี่เนย์ทารุณกรรมผ่านทางการทำแผลต่อ  ผมถอดเสื้อออกให้พี่เนย์ดูแผลแถวๆ ท้องที่รู้สึกแสบๆ มานานแล้ว  สงสัยว่าตอนที่โดนกระทืบจะถูกส้นรองเท้าขูดเอาล่ะมั้งครับ  แผลถลอกเลือดซิบๆ เป็นทางยาวตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ลงมาสุดที่ใต้สะดือทำเอาผมอยากจะกลับไปกราดยิงพวกมันทิ้งซะเหลือเกิน เวรเอ๊ย


   “มึงมีอะไรจะสั่งเสียกับกูก่อนไหมกิ่ง”

   “ฝากบอกหมอยินว่า ดูแลลูกของเราด้วยนะ”


   “ส้น….”


   จากนั้นพี่หมอเถื่อนคนถ่อยก็ราดแอลกอฮอล์ลงไปทันทีครับ… เจ็บจนไม่ร้จะพูดยังไง เจ็บจนแหกปากไม่ออก เจ็บจนได้แต่กำผ้าห่มแน่นเหมือนเสียสาว ในใจได้แต่ด่าไอ้พี่เนย์เป็นร้อยๆ รอบในหัวต่อกันไปมาก่อนที่ปลายหางตาจะเหลือบไปเห็นหมอยินที่เดินเข้ามาในห้องพอดี   คนตัวสูงทำหน้าเฉยๆ เหมือนเคย แต่บรรยากาศรอบตัวเขาบอกว่า เจ้าตัวอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว



   “เดินตัวปลิวมาเลยนะมึง ถอดเสื้อออกดิ จะดูให้ว่ามีแผลตรงไหนอีกบ้าง”

   เอกเซลเลนส์ครับพี่เปียว  “ถอดกางเกงออกด้วยนะครับหมอ เดี๋ยวมีแผลตรงไหนที่ไม่ได้ทายาแล้วมันจะอักเสบเอา”


   “ทะลึ่ง” ร่างสูงมองค้อนให้ผม แต่ก็ยอมถอดเสื้อแล้วนั่งลงบนเตียงให้พี่เปียวตรวจตราแต่โดยดี  …แน่นอนว่าโอกาสดีๆ หายากแบบนี้คนอย่างกิ่งมีหรือจะพลาดครับ นี่เตรียมเคลียร์เมมโมรี่ในสมองไว้บันทึกภาพพวกนี้ไว้จนวันตายเรียบร้อย


   “จ้องอยากกับจะแดก”


   “แดกได้ก็ดีนะ…”


   “มึงพูดเหมือนลืมไปเลยว่าไอ้ยินมันก็อยู่ตรงนี้”

   ผมหัวเราะกับพี่เนย์แต่ตาก็ยังจ้องเป็นมันอยู่ที่หมอยินที่กำลังหันหลังอยู่ อูหูวววววว นั่นหลังคนหรือหลังเทวดาชั้นเจ็ดครับเนี่ย  ปีกสวยเหลือเกิน  หมอมันไม่ใช่คนบึกมากแค่พอมีกล้ามเนื้อติดตัว ตอนนั่งหลังโค้งๆ แบบนี้เลยมองเห็นริ้วกระดูกสันหลังค่อนข้างชัดเจน…


   “สำหรับฉันนี่ถือว่าเป็นการลวนลามนะ”


   ชะอุ้ย แฮ่ๆ  โทษทีครับ  รู้สึกตัวอีกทีมือเจ้ากรรมก็เผลอตัวไปลูบไล้หลังเนียนๆ นั่นเสียแล้ว “แหะๆ ขอโทษครับหมอ  แค่อยากจะเช็คดูว่าเป็นอะไรมากไหม”

   “แค่เช็คนี่มึงต้องตั้งขนาดนี้เลยเหรอ”

   หมับ! มือผมตะปบลงที่เป้ากางลำตัวตัวเองทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดปฏิกิริยาโดยไม่รู้ตัวตามที่พี่เนย์บอก… แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ยังคงนอนเรียบสงบอยู่  ไอ้พี่หมอเถื่อนมันได้ใจใหญ่เลยครับที่หลอกผมได้ ลงไปหัวเราะกลิ้งอยู่กับพื้นไปแล้วเรียบร้อย   


   “พี่เนย์นั่นแหละ ตอนโทรไปจะขอเดินกลับด้วยทำอะไรกันอยู่”


   ได้ผลครับ  คนตัวโตกว่าที่กำลังหัวเราะอยู่ชะงักกึกเหมือนโดนสต๊าฟ  ก่อนจะหันกลับมาตีหน้าโหดใส่ผมแล้วแกล้งพี่เปียวต่อเป็นทอดๆ “ถามไอ้เปียวดูดิ นี่ก็งงๆ เหมือนกัน แต่มันเป็นฝ่ายชวนเองจะปฏิเสธก็กะไรอยู่”


   “ไอ้เวรเนย์…”


   “พวกมึงคุยอะไรก็เกรงใจกูบ้าง…”


   เป็นหมอยินครับที่ทำลายบทสนทนาสาวไส้กันเองของพวกผมลง  ผมหัวเราะแหะๆ ให้หมอที่ตอนนี้หันหน้ามาทางผมแบบเต็มตัวแล้วเรียบร้อย… กล้ามเนื้อหน้าท้องลอนสวยมีครบแปดอันเป้ะพอดีและแผ่นอกกว้างน่าซบนั่นกำลังเชื้อเชิญผมครับ  เหมือนเห็นมันมีปากและกำลังพูดว่า ‘มาซบฉันสิกิ่ง’ ด้วยซ้ำ  แถมต้นแขนที่กล้ามเนื้อดูจะแข็งแรงกว่าที่อื่นๆ นั่นก็กำลังท้าทายคมฟันของผมให้ขบลงไปอีกเช่นกัน…


   “ถ้ายังไม่หยุดมองฉันจะต่อยนายแล้วจริงๆ นะ”


   “โอ๊ยยยย  กลัวแล้วครับทูนหัว” ผมแกล้งก้มกราบแทบตักหมอแล้วก็เนียนนอนตักต่อไปด้วยแบบมึนๆ  ยิ้มเผล่ให้กับเจ้าของร่างกายอันแสนงดงามนี้แล้วก็ลูบกล้ามท้องสวยๆ นั่นเบาๆ


   …ก่อนจะถูกถีบตกเตียงลงไป

   “หมออ! นี่เจ็บนะเนี่ย! ถีบมาได้!”


   “ก็ดี จะได้รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”


   “แต่ผมว่าก็คุ้มนะ ไหนขออีกทีดิ้”


   ผมแกล้งจะกระโดดกอดหมอมันอีกครั้งแต่ก็เจอพระบาทายันไว้ได้ก่อน ตอนนี้ผมเลยกลายสภาพเป็นโคอาล่าเกาะปลายขาหมอยินไปแล้วเรียบร้อย


   “พวกมึงเล่นตลกกันเหรอวะ”


   พี่เปียวพูดออกมาด้วยสีหน้าเอือมๆ   เมื่อเห็นว่าตัวของเพื่อนหมอด้วยกันไม่ได้มีแผลอะไรมากไปกว่ารอยช้ำ คุณชายหมอคนงามเลยเก็บกล่องพยาบาลอย่างเป็นระเบียบแล้วเดินไปวางไว้ที่ชั้นเดิมแล้วหันมาบอกรูมเมทของตัวเองว่า “กูว่าจะกลับห้องแล้วนะเนย์ กูอยากอาบน้ำ”


   “ไปดิ”


   ถึงคำพูดจะดูเหมือนไล่พี่เปียวอยู่กลายๆ  แต่พี่เนย์ก็ยินยอมลุกตามไปแต่โดยดี ผมหันมามองหน้าหมอยินที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการป้องกันร่างกายตัวเองจากการลวนลามของผมอยู่แล้วก็ตีหน้าน่าสงสารสุดฤทธิ์พลางพูด “หมอออ ขออยู่ต่ออีกแป๊ปนึงนะครับ จิตใจบอบช้ำเหลือเกิน”


   “จริงๆ แล้วคนที่บอบช้ำมันควรจะเป็นฉันมากกว่าไม่ใช่เรอะ  ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยแท้ๆ ยังโดนยำซะงั้น”

   “หมอกำลังพูดให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าเดิมนะเนี่ย…”

   “ก็สมควร  แทนที่จะขอโทษไปดีๆ ตั้งแต่แรก  ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ไปได้”

   …ก็แต่ก่อนกิ่งน้อยเป็นนักเลงแบบที่หมอว่ามานั่นแหละ 


   เสียงปิดประตูตามหลังร่างของพี่เนย์และพี่เปียวทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่กันสองต่อสองกับหมอยินแล้วเรียบร้อย  ร่างสูงเองก็ไม่ได้ไล่ผมออกจากห้องแต่กลับลุกไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกินแทน ซึ่งผมก็ถือซะว่านั่นเป็นการยอมรับให้ผมสิงที่นี่ต่อไปแล้วด้วย (หน้ามึนซะไม่มี)


   “มีมาม่า จะกินไหม”


   ร่างสูงกันมาถามตอนที่ค้นของเหนือตู้เย็นพอดี  ผมพยักหน้าแรงๆ  จริงๆ ก็กินข้าวเย็นมาแล้วแหละครับ  แต่หลังจากการต่อยตีอย่างหนักหน่วงเมื่อครู่นั่นก็ทำเอาเสียพลังงานไปหลายหน่วยทีเดียว ได้มื้อดึกมาเยียวยาบ้างก็ดี


   ผมลุกขึ้นไปช่วยจัดจานชาม ส่วนหมอยินเองก็กดกาน้ำร้อนแล้วไปฉีกซองเตรียมบะหมี่… ทำงานเข้าคู่กันดีมากครับ ชีวิตคู่ที่แสนสมบูรณ์แบบ

   ใช้เวลาไม่นานนักบะหมี่หอมๆ ก็ถูกจัดวางบนโต๊ะตัวเดิมที่คุ้นเคยครับ  ผมนั่งอยู่บนเตียงและหมอเองก็อยู่บนเก้าอี้เหมือนเคย  และวันนี้ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับหมอยินอีกครับว่าหมอมันเป็นประเภทที่กินมาม่ากับตะเกียบ น่ารักซะไม่มี


   “ผมเพิ่งรู้ว่าหมอมีพ่อเลี้ยงเป็นคนรัสเซียด้วย”


   ผมพยายามเปิดบทสนทนาที่เกี่ยวกับหมอมันขึ้นมาครับ หลอกถามแบบเนียนๆ ทำเหมือนกับว่าก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมาย แค่บังเอิญสงสัยและได้ยินมาเท่านั้นเอ๊งงงง


   คนตัวสูงชะงัดไปนิดหน่อย …นิดหน่อยจริงๆ ครับ  แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างเมามันส์ ท่าจะหิวจริง


   “อืม”


   โอ้ เป็นคำตอบที่ปราบเซียนพวกขี้เผือกจริงๆ ครับ  ไปต่อไม่เป็นเลยกู


   “หมอรู้ไหม ผมเองก็มีพ่อเลี้ยง”


   “ไม่”

   “พ่อเลี้ยงผมแต่งงานกับแม่ตอนผมอยู่ม.หนึ่งอะ จำได้ว่าตอนนั้นหงุดหงิดมากกกก เหมือนจะโดนแย่งความสนใจไป”  ในเมื่อหมอมันไม่ยอมเล่าเรื่องของตัวเองผมก็ขอเล่าเรื่องของผมบ้างแล้วกันครับ  อยากน้อยจะได้รู้ไว้ว่าผมยินดีที่จะแชร์เรื่องครอบครัวกับมัน “แล้วผมก็เลยมีน้องสาวที่อายุห่างกันสิบสี่ปีอะ คิดดูดิหมอ ผมโคตรอายเวลาโดนน้องเดินตามต้อยๆ เหมือนเป็นลูกติดอีกคน”


   “แล้วตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”


   ได้ผลครับ! หมอมันเหมือนจะสนใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วด้วย  “ห้าขวบครับ กำลังน่ารักเลย ชื่อแก้ว”


   “เหรอ”


   “แต่ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่อะ งานเยอะ  นี่ก็คิดถึงหมาที่บ้านเหมือนกัน”

   “บ้านฉันก็มีหมา”

   “จริงเหรอครับหมอ! โหยยย ข้อมูลใหม่ๆ”  ผมทำท่าเป็นเหมือนจดๆ ลงในสมุดอากาศ  หมอมันเลยโบกหัวผมเบาๆ เพราะเห็นว่ากำลังเล่นตลกแบบไม่สนใจสถานการณ์อยู่ “บ้านผมเลี้ยงมาพันทางแหละ น่ารักมากมีสี่ตัว โคตรคิดถึง”


   “บ้านฉันก็พันทาง  พอดีคนแก่ที่บ้านขี้เหงา ฉันไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่เหมือนกัน”


   โอ้วววว ข้อมูลใหม่มาเยอะจริงๆ ครับวันนี้  ผมอมยิ้มเมื่อเห็นหมอมันเริ่มต่อบทสนทนาได้เรื่อยเปื่อย  เพราะงั้นแม้ว่ามาม่าในชามพวกเราจะหมดแล้วแต่ผมกับหมอก็ยังนั่งคุยกันอยู่ครับ  ทั้งเรื่องของที่บ้าน เรื่องชีวิตตอนเด็กๆ  แล้วก็เรื่องนู่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยจนผมเริ่มง่วงนอน  พอดูนาฬิกาในมือก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วพอดี  ร่างสูงลุกขึ้นเก็บกวาดจานชามอย่างเป็นระเบียบ  และในขณะที่ผมกำลังคิดมากว่าจะกลับหอยังไงให้ไม่โดนผีหลอกอีกดีหมอยินก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า



   “จะค้างที่นี่ไหม”


   จะค้างที่นี่ไหม


   จะค้างที่นี่ไหม


   
   จะค้างที่นี่ไหม…




   “…แค่ถามเฉยๆ  ทำไมต้องเลือดกำเดาไหล”


   ผมเอามือป้ายใต้จมูกตัวเองอย่างงงๆ แล้วก็พบกับเลือดสีแดงๆ ที่ไหลออกมาจากจมูก สาเหตุก็เนื่องมาจากจินตนาการสำคัญความรู้นั่นแหละครับ… “สงสัยโดนพวกนั้นต่อยมา ความดันเลือดเลยสูงไปนิดครับ”


   “งั้นกลับไปนอนห้องนายเถอะ ท่าจะไม่สบายหนัก”

   “โฮ้ยยย หมอ ไม่เป็นไรครับ แค่นี้สบายมาก ค้างได้ๆ”

   “ถ้าสบายมากก็กลับไปนอนหอไป”

   “แค่กๆ โอยไม่สบาย ปวดหัวจังเลย อยากนอนแล้วอะ สัญญาว่าจะนอนเฉยๆ ไม่ดื้อไม่กวนครับ”

   หมอมันทำหน้าไม่ไว้ใจผมอย่างแรงเมื่อเห็นว่าผมทำหน้าจริงจังทั้งๆ ที่ยังมีเลือดกำเดาไหลอยู่เนืองๆ  ร่างสูงถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วโยนชุดนอนมาให้ผม


   “ถ้าจะนอนก็ไปอาบน้ำไป”

   “มีการมาไล่ไปอาบน้ำก่อนนอนด้วย เขินอะ”

   “ไอ้เด็กเวร”

   “ฮ่าๆๆ ไปแล้วครับหมอๆ  ขอบคุณสำหรับชุดนอนครับ”


   เมื่อเห็นท่าว่าร่างสูงอาจจะหงุดหงิดเข้าจริงๆ ผมก็รีบคว้าชุดนอนแล้ววิ่งฉิวเข้าห้องน้ำมาทันที  …โอ้โถส้วม
สะอาดตา  โอ้ฝักบัวและเครื่องทำน้ำอุ่นอันงดงาม โอ้แชมพู โอ้สบู่…


   แค่คิดว่าจะได้ใช้สบู่กลิ่นเดียวกันและขวดเดียวกันกับหมอแล้วก็รู้สึกคึกขึ้นมาทันทีครับ แก้ผ้าตัวเองหมดจดภายในสองวิ  เปิดน้ำแต่น้อยๆ แล้วพรมเฉพาะส่วนที่สำคัญ  ส่วนช่วงตัวที่มีแต่แผลเต็มไปหมดนั้นขอละไว้ในฐานที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้แล้วกันครับ


   สบู่ที่หมอใช้ก็เหมือนสบู่เหลวทั่วๆ ไปที่ชาวบ้านเขาใช้อะครับ  แต่ผมนี่ก็จดยี่ห้อและกลิ่นในหัวไปแล้วเรียบร้อย กะว่าจะซื้อใช้ตาม  โฟมล้างหน้ากับแชมพูก็จำครับ เผื่อจะหน้าใสไร้สิวแบบหมอเขาบ้าง


   ผมอาบน้ำเร็วๆ เพื่อที่จะได้เก็บเวลาไว้ทำอย่างอื่นในห้องน้ำต่อครับ… ต้องทำเผื่อไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวนอนใกล้กันแล้วมันจะออกมาเซย์ฮัลโหลหมอเขาเอา ไม่สมควรกับคืนแรกเป็นอย่างยิ่งครับ


   พอเสร็จทุกอย่างแล้วผมก็สวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนที่หมอเตรียมมาให้อย่างเรียบร้อยครับ  กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นของยี่ห้ออะไรชวนให้อยากรู้ขั้นรุนแรง สงสัยพรุ่งนี้จะต้องไปแอบดูในตะกร้าซะแล้ว

   ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำหมอยินก็อยู่ที่โต๊ะหนังสือไปเรียบร้อยแล้วครับ  ขยันจริงๆ  ไม่รู้ว่านี่เรียนหรือสอบชิงแชมป์จักรวาล จริงจังเหลือเกิน

   “หมอไม่อาบน้ำเหรอครับ”

   “เดี๋ยวจะนอนค่อยอาบ”

   “อ้าว หมอยังไม่นอนเหรอ”

   “นายนอนไปก่อนเลย”


   เรื่องอะไรจะยอมเสียโอกาสนอนข้างๆ กันไปล่ะครับ   ผมเลยอยู่รอจนกว่าหมอมันจะอ่านหนังสือเสร็จ  แต่ไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปตอนไหนเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงหมออาบน้ำอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อยไปแล้วครับ แหม่ เก่งจริงกูเรื่องเดินทางข้ามเวลา 


   มองเวลาอีกครั้งก็ตกใจเพราะนี่มันก็เกือบจะรุ่งสางแล้วครับ …เกือบจะตีสามพอดีที่หมอมันออกมาจากห้องน้ำ  มันดูแปลกใจที่เห็นผมนั่งหัวโด่อยู่แทนที่จะหลับ  แต่ร่างสูงก็ไม่ได้พูดอะไร  หมอมันเก็บนู่นนี่อีกสักพัก เดินไปปิดไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง  เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนตามบ้าง จริงๆ ก็อย่างกระเถิบเข้าไปซบอกใกล้ๆ …ถ้าไม่ติดหมอนใบโตที่หมอมันเอามาคั่นไว้น่ะนะ


   “นอนไปดีๆ พรุ่งนี้มีเรียน”

   “หมายถึงถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเรียนก็จู๋จี๋ได้สินะครับ…”

   “ทะลึ่ง พูดมากฉันไล่กลับหอจริงๆ นะ”

   “แอ่ก กลัวแล้วครับ”


   ถึงรู้ว่าจะตีสามแล้ว แต่ถ้าหมอมันไล่จริงๆ ก็คงต้องกลับแหละครับ  ผมเลยซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม นอนลืมตาฟังเสียงลมหายใจของคนข้างๆ อย่างตั้งใจ  ไม่นึกเลยว่าวันที่จะได้นอนเตียงเดียวกับหมอมันจะมาถึงครับ  นี่ถ้ามีบ้านคงต้องขายบ้าน มีรถคงต้องขายรถไปทำบุญแล้วมั้งครับเนี่ย อะไรมันจะสมพรได้ขนาดนี้


   “หมอหลับยัง”


   เงียบ สงสัยไม่ช็อต เอ้ย สงสัยหลับไปแล้วจริงๆ 

   “หมอ ถ้าหมอไม่ตอบผมจะถือว่าลวนลามหมอได้จริงๆ นะเว้ย”

   ผมเรียกหมอมันอีกสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อเช็คว่าคนตัวสูงหลับไปแล้วจริงๆ อย่างที่คิดรึเปล่า  หมอยินหลับตาพริ้ม นอนตะแคงหันหน้าหนีผมอย่างงดงามครับ… สงสัยจะอาย  เห็นอย่างนั้นแล้วผมเลยกดริมฝีปากตัวเองลงไปที่แก้มข้างซ้ายของหมออย่างแผ่วเบาเหมือนแมลงปอป่วยใกล้ตายเกาะบนน้ำอะครับ  เบามากจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคนข้างๆ


   ผมพลิกตัวกลับมานอนเหมือนเดิมเงียบๆ  แต่หัวใจในอกนี่เต้นรัวอย่างกับรัวกระเดื่องคู่ในเพลงเมทัล  มันเต้นแรงมากจนผมกลัวว่าเตียงจะสั่นแล้วคนข้างๆ จะตื่นอะครับเลยได้แต่นอนตะแคงเอาตัวข้างขวาลงกับเตียงแทน แม่ง โคตรเขิน นี่ผมได้หอมแก้มหมอจริงๆ เหรอเนี่ย… แม้จะในเวลาที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็เถอะ


   เปิดใจให้เร็วอีกนิดเถอะนะครับหมอ ก่อนที่อะไรๆ มันอาจจะสายไปสำหรับผม



   ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัวหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีด้วยความเหนื่อยล้า  …ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าผมตื่นอยู่ล่ะก็ ผมคงจะต้องลงไปร้องไห้ด้วยความอายกับพื้นแน่ๆ ถ้ารู้ว่าหมอมันยังตื่นอยู่ตอนที่ผมกระทำการอุกอาจแบบนั้นลงไป…






tbc.

*********************************************

มาลักหลับหมอกันเถอะ #ผิด
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 01-11-2016 23:16:49
เริฟกิ่งเริฟหมอเหลือเกิน (หักลบคะแนนค.น่าหมั่นไส้ของยัยกิงไปนิดนึง55555)

โอยละอีกคู่นี่อะไรร ncของอีกคู่ก่อนก็ได้นะคะ อิ

เริฟคนแต่งด้วย สองวันติดเลย ดีต่อจิตใจเราสุดๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 02-11-2016 07:49:36
กรี้้้ดดดดด ตอนนี้เค้าแอบหวานนน :-[
ที่กิ่งพูดว่าจะไม่มีโอกาสนี่ยังไง จะมีมาม่าเหรอค้าา :sad4:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 02-11-2016 08:31:47
โอ๊ยพี่ยิน นี่อ่อยหรือใจดีเอ่ย :-[ :-[
ทำไมน้องกิ่งน่ารักอย่างเน้
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 02-11-2016 10:35:29
กิ่งน้อยผู้น่าสงสาร 555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 02-11-2016 12:04:59
 :L1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 02-11-2016 18:37:53
หอมแก้มหมอๆ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 02-11-2016 19:58:52
แง คุณน้องกิ่งกับหมอน่ารักมากเลย ฮือ จะเอาๆๆ

 :ling1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 12 เเผนรุกบุกห้องหมอ... 1/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-11-2016 23:34:35
น้องกิ่งจะสมหวังใช่ไหมครับ หมอยินอย่าใจร้ายกับน้องเลย
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 03-11-2016 22:50:37
ตอนที่ 13







   “แล้วพวกมันโดนอะไรบ้างอะพี่”


   ผมถามสองหมอในห้องตอนที่ยังนั่งกอดหมอนอยู่ปลายเตียง  พี่เนย์เป็นฝ่ายหันมาตอบผมด้วยน้ำเสียงกวนโอ๊ยเหมือนเดิมว่า



   “ดร็อปไปแล้ว”


   “ทำไมดร็อปออกอะ อย่างนี้ก็ต้องหยุดเรียนอยู่เฉยๆ ไปปีนึงเนี่ยนะ”


   “พ่อเลี้ยงไอ้ยินนั่นแหละขู่ แม่งน่ากลัวชิบหาย”


   “…ขนาดนั้นเลยเหรอวะพี่  มาเฟียรัสเซียของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์”


   หมอเถื่อนยักไหล่แล้วหันกลับไปสนใจเท็กซ์บุ๊คในมือต่อ เรื่องพ่อเลี้ยงของหมอยินนี่ก็ยังคงเป็นความลับอยู่ตลอดกาลครับ  ไม่มีใครรู้ลึกไปมากกว่านี้  และรู้แค่ว่าเป็นคนที่ไม่ควรไปทำให้ไม่ชอบใจโดยเด็ดขาด เพราะงั้นการที่กลุ่มพวกพี่แอมอะไรนั่นมารุมยำหมอในวันนั้นก็เลยยิ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์ของคณะมากยิ่งขึ้น  เท่าที่รู้มาก็เหมือนกับว่าจะไม่มีผู้หญิงกล้าเข้าไปเกาะแกะหมอมันมากเท่าเดิมแล้ว ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากครับ ปล่อยให้คนหน้าด้านอย่างผมทำคะแนนเถอะ

   

   และเนื่องจากว่าผมและหมอยินต่างก็ถูกยำบาทาทั้งคู่สภาพหน้าเลยยับเยินไม่ต่างกัน และนั่นทำให้ตำแหน่งนายแบบของหมอยินหลุดลอยไปอีกไกลโข  ลำพังความสามารถอย่างผมยังไม่อาจรั้งหมอเขาไว้ได้ครับ  สุดท้ายแล้วก็เลยต้องจำยอมถ่ายรุ่นน้องร่วมคณะส่งงานไปพลางๆ อย่างน้ำตาตกใน…  หมอนะหมอ อยู่ดีๆ ก็มายกเลิกงานคนอื่นเขา  แต่นี่ยอมไม่โกรธเพราะเห็นว่าอยากให้คนตัวสูงได้พักผ่อนบ้างครับ  วันนั้นที่ไปนอนค้างด้วยกันก็ทำให้ผมรู้ว่าหมอเป็นคนที่ขยันมากกว่าที่ผมคิดซะอีก และเพราะอย่างนั้นช่วงนี้ผมเลยไม่กล้ารบกวนหมอให้หมอเหนื่อยไปมากกว่าเดิมด้วย




   นับจากวันที่ผมได้ไปค้างห้องหมอก็ผ่านเลยมาเกือบเดือนแล้วครับ  เหล่านักศึกษาต่างก็เข้าสู่ช่วงสอบกลางภาคพอดี  สาขาของผมส่วนใหญ่จะเป็นการสอบภาคปฏิบัติหรือไม่ก็โปรเจ็คใหญ่ซะส่วนมาก แทนที่จะอ่านหนังสือเหมือนพวกหมอๆ เขาก็กลายเป็นต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำงานยักษ์ใหญ่ให้เสร็จตรงตามกำหนดแทน  เรียกได้ว่าเป็นช่วงเส้นตายแห่งชีวิตครับ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็เหมือนจะสบายขึ้นมานิดนึงนะ… มั้ง


   “แล้วมึงเป็นไงกับไอ้ยินบ้าง”


   พี่เปียวที่นั่งจมจ่อมอยู่กับชีทหนาๆ ในมืออยู่นานถามขึ้นมา 


   “ก็ไม่เป็นไงอะครับ โซโซ”


   ไม่ตอบอย่างเดียว ผมชูหน้าจอโทรศัพท์ที่มีแอพแชทสีเขียวระหว่างผมกับหมอยินค้างอยู่โชว์หรา  ข้อความของอีกฝ่ายที่กำลังเด้งขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นอีกคำตอบหนึ่งที่ทำให้พี่เปียวถึงกับอึ้งไป “นี่พวกมึงคบกันแล้วเหรอวะ คุยกันโคตรยาว”



   จริงๆ มันก็ไม่ได้ยาวมากหรอกครับ แต่พี่เปียวเขาน่าจะรู้ว่าหมอยินมันไม่ใช่พวกสิ้นเปลืองคำพูด เพราะงั้นแค่ประโยคธรรมดาๆ สองสามประโยคต่อกันจากหมอยินนี่ก็ถือว่ายาวมากพอให้ตกใจแล้ว



   “ยังอะพี่เปียว ตอนนี้ก็กำลังคุยๆ กันอยู่”


   อ๊ากกกก พูดเองก็เขินเอง  ผมกอดหมอนในมือแล้วล้มลงกลิ้งๆ บนเตียงเหมือนคนบ้าคลั่ง “ถามเขาหรือยังว่าเขาอยู่ในสถานะคุยๆ กันอยู่อะไรนี่ของมึงเหมือนกันไหม  เขาอาจจะแค่สงเคราะห์เกย์อัปลักษณ์ๆ อย่างมึงก็ได้”



   “พี่เนย์ อ่านหนังสือต่อไปเหอะ คนจะคุยกับพี่เปียว”


   “กูหมั่นไส้มึงชิบ”


   “มีความรักมันก็ดีอย่างนี้แหละ”



   เสียงถุยน้ำลายของพี่เนย์ดังมาเป็นระลอกใหญ่ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติเหมือนเดิม… คือต่างฝ่ายต่างก็หันหน้าเข้ากับหนังสือและงานของตน  ผมวางโทรศัพท์ที่แชทค้างไว้ข้างๆ ตัว  เพื่อที่จะได้วางมือจากงานมาตอบได้ไวๆ  เพราะรู้ดีเช่นกันครับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ว่าจะยอมคุยด้วยแต่โดยดีเหมือนอย่างครั้งนี้ทุกครั้ง  มีโอกาสดีๆ ต้องรีบคว้าไว้แน่นๆ



   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : หมอสอบเสร็จวันศุกร์นี้ใช่ปะ ไปหาไรกินกันไหมครับ


   ผมส่งข้อความนั้นไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว  หมอยินยังไม่ได้อ่านและไม่ตอบกลับมาจนกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง สงสัยว่าจะเป็นช่วงพักจากหน้าหนังสือพอดีถึงว่างมาตอบครับ


   HAPPYYIND : ไม่ว่าง


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : แหงะ หมอทำอะไรอะครับ งั้นวันอื่นได้ปะ


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : น้าาา




   HAPPYYIND : มีธุระ  แต่เสาร์น่าจะได้



   เฮ้ยยยยยยยย ผมกระโดดดึ๋งๆ บนเตียงเหมือนคนบ้าครับ  ไม่ได้วันศุกร์ก็ไม่เป็นไร วันเสาร์สิดีขึ้นไปใหญ่  ผมเลยรีบพิมพ์ตอบตกลงหมอมันพร้อมนัดเวลาเสร็จสรรพ  เครื่องหมายอ่านแล้วขึ้นเตือนพร้อมการหายตัวไปของหมอยินอีกเหมือนเคย… ถ้าบอกว่าไม่โกรธที่อีกฝ่ายมาๆ หายๆ แบบนี้คงจะฟังดูทาสรักเกินไป แต่มันก็เป็นเรื่องจริงครับ …ผมคงเกินเยียวยาไปแล้วจริงๆ แฮะ





.
.
.
.
.

   และแล้ววันเสาร์ก็มาถึงครับ ไวเหมือนตอแหล  แต่ชีวิตช่วงก่อนหน้านี้ผมบัดซบมากครับ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสกิปเวลารัวๆ เหมือนกัน มาถึงช่วงเวลาที่น่ายินดีปรีดาได้เร็วๆ เท่าไหร่ยิ่งดี



   แผนชวนหมอยินเดินห้างกินไอศกรีมของผมสำเร็จแค่ครึ่งเดียว  ผมลากหมอยินออกมาได้แต่ก็ไม่ได้ไปกินอะไรสวีทๆ กันในห้างอย่างที่หวัง  กลายเป็นว่าหมอมันดันพาผมมานั่งกินสุกี้ยามเย็นกันที่ห้องของพี่เป้กับพี่อ๊อฟแทน ช่างมันครับ ยังไงก็ได้อยู่กับหมอเหมือนกัน จะที่ไหนหรือกินอะไรก็ไม่เกี่ยง


   “อ้าวไอ้น้องกิ่ง มาๆ นั่งๆๆ แต่วันนี้ห้ามแดกของมึนเมานะ กูขี้เกียจแบกละ ฮ่าๆๆ”



   พอพวกเราเข้ามาถึงห้องของพี่เป้พี่อ๊อฟได้ไม่ทันไร เสียงหนวกหูของพี่ผึ้งก็ดังออกมาทันที …ดูจากจำนวนของขวดสีขุ่นๆ ที่วางระเกะระกะอยู่ข้างๆ หม้อสุกี้แล้วก็สามารถอนุมานได้ว่าพวกพี่เขาดื่มกันมานานแล้วเพื่อรอเวลากินสุกี้เท่าและเพื่อให้ที่ประชุมครบองค์  วันนี้พี่เนย์พี่เปียวไม่ได้มาด้วยครับ คนหลังหนีกลับบ้านไปเพราะพ่อโทรมาตาม ส่วนหมอเถื่อนนั่นผมก็ปล่อยนอนหลับเป็นตายต่อไปครับ ไม่ควรพามาเป็นก้างขวางคอ



   พี่ผึ้งผู้ทิ้งหมอยินไว้ให้โดนยำในวันนั้นโดนผมด่าในใจไปเยอะแล้วครับ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะไม่แก้แค้นอะไร  นายแบบหมอผีฉุดผมให้นั่งลงข้างๆ แล้วจัดจานชามให้เป็นอย่างดี “กินเยอะๆ จะได้อึ๋มๆ นะอีหนู”



   “แค่นี้ก็ผัวรักผัวหลงแล้วครับพี่”



   “อ้อลืมไป ขอแต่งงานกันแล้วนี่หว่า”



   ทั้งกลุ่มหัวเราะครืนกับมุกของพี่ผึ้งครับ  สงสัยจะเกี่ยวข้องกับไอ้เรื่องวันที่เมาไม่รู้เรื่องนั่นแหละ  ผมมองดูเพื่อนๆ ในกลุ่มของหมอแต่ละคนแล้วก็อดหัวเราะในใจไม่ได้   คิดเปรียบเทียบเสื้อยืดกางเกงบอลในวันนี้กับชุดหล่อลากไส้ในคืนวันนั้นแล้วก็ขำครับ อย่างกับคนละคนกัน  ยิ่งพี่เป้นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เห็นว่าเป็นห้องตัวเองแล้วเลยเหลือแค่บ็อกเซอร์กับเสื้อกล้ามซะงั้น… ทำเอาผมที่แต่งตัวมาซะเต็มที่กลายเป็นหมาไปเลย



   “เอ้านี่ ส่งต่อๆ”



   ช้อนส้อมถูกส่งต่อมาจากทางพี่ผึ้งและวนไปเรื่อยๆ  หมอยินนั่งอยู่ข้างผมและแน่นอนว่าตามหน้าที่ศรีภรรยาที่ดีอย่างผมต้องส่งตะเกียบให้เขาครับ  “ฮั่นน่อววว รู้ด้วยว่าไอ้ยินแดกตะเกียบ ทำการบ้านมาดีนะมึง”



   พี่เป้แซวครับ ผมเองก็บิดเอวเขินเล่นมุกตามน้ำเรียกเสียงหัวเราะไปเรื่อย ระหว่างที่รอสรรพสิ่งทั้งหลายในหม้อนั่นสุกผมก็เลยนั่งฟังพวกหมอๆ เขาบ่นเรื่องข้อสอบเล่นกัน



   “บล็อกนี้เหี้ยมมาก กูแทบจะอ้วกตอนเจอข้อสอบ กูว่าเขาสอนลึกแล้วนะ ข้อสอบแม่งยังสามารถลึกได้มากกว่านั้นอีกว่ะ”


   “กูนับข้อที่มั่นใจได้ไม่ถึงยี่สิบอะ”


   “ดีแล้วอ๊อฟ ดึงมีนไปเยอะๆ กูไม่ถือ”


   “ฮ่าๆ”  ไม่รู้จะแจมอะไรก็หัวเราะไว้ก่อนครับ  มันช่วยให้เราอยู่ในวงสนทนามากขึ้น ฮือ เมื่อไหร่จะรีบๆ สุกวะ อยากกินให้ปากไม่ว่างแล้ว


   แกรก


   แก้วใสๆ ใส่น้ำแข็งถูกวางไว้เงียบๆ ตรงหน้าผมด้วยฝีมือของคนข้างๆ ครับ…  ไม่ใช่หมอยิน แต่เป็นพี่ผึ้งที่ยิ้มกว้างให้พร้อมรินน้ำอัดลมสีเข้มใส่ “อยากมึงกินแค่นี้ก็พอ วันนี้กูไม่มอมละ เข็ด”


   “อ้าว งี้แปลว่าวันก่อนพี่ตั้งใจมอมผมเรอะ”


   “อุ๊ปส์ ซวอรี่” สำเนียงพี่มันกระแดะมากครับ  พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็เผลอทำปากเบะใส่เหมือนตอนที่อยู่กับพวกธันวาไป เรียกเสียงหัวเราะจากพี่ผึ้งได้อีกกระบุงโกย “ทำหน้าอะไรของมึง โคตรทุเรศ กร๊ากกกก”

   หัวเราะจริงจังมากครับ “ใครจะไปหน้าตาดีเหมือนพี่ล่ะ”

   “เออ แล้วนี่เป็นไงภาพเซ็ตคัมมิ่งทูทาวน์ของกู ไม่เห็นส่งรูปมาให้กูเลย”

   โอ้… แค่ได้ยินผมก็ขนลุกซู่ซ่าไปหมดแล้วครับ  เมื่อวานตอนที่ว่างหลังจากการทำโปรเจ็คผมก็เพิ่งไปทำบุญเจ็ดวัดมา แถมเอาเพ็ดดีกรีไปเซ่นไอ้แก๊งหน้าหอนั่นอีกกระบุงโกยเพื่อเป็นการขอบคุณ  แม้ว่าจะสบายใจขึ้นมากแล้วแต่การพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังทำให้ผมอดหวั่นๆ อยู่ไม่ได้


   “เอ่อ ไฟล์มันเสียอะครับพี่ เอาไว้เดี๋ยวพี่มาเป็นแบบใหม่ให้ผมแล้วกัน คราวหลังเดี๋ยวพาไปถ่ายที่อื่น…” ที่มันน่าจะไม่มีคนอื่นรบกวนเท่าที่นั่น  ประโยคหลังนี่ต่อในใจครับ ไม่กล้าเอ่ย


   “เหนื่อยฟรีเลย โคตรเจ๊ง แล้วนี่ทำไง”

   “ให้รุ่นน้องที่คณะเป็นแบบให้แก้ขัดไปครับ”

   “คราวหน้านะเว้ย สัญญากับกูด้วย”


   พี่ผึ้งยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วผมโดยไม่ได้ดูเลยครับว่านั่นมันนิ้วโป้ง… สงสัยจะเมาแล้วจริงๆ  เพราะเจ้าตัวยังคงเขย่าทำสัญญาแบบผิดนิ้วนั่นต่อไป


   กลิ่นหมูหมักหอมๆ โชยมาพร้อมควันสีขาวที่พวยพุ่งเป็นสัญญาณว่าของในหม้อพร้อมให้พวกเราจัดการแล้วครับ  พี่อ๊อฟเป็นฝ่ายเปิดฝากระจกของหม้อออกและนั่นทำให้ท้องของผมร้องโครกครากหนักกว่าเดิม …ใครมันจะไปเชื่อว่าหมอแปลกๆ พวกนี้สามารถทำสุกี้โฮมเมดออกมาได้น่ากินขนาดนี้ นี่ไปเปิดร้านหมูกระทะกันเหอะครับ น่าจะรุ่งกว่า



   ถึงจุดๆ นี้ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาเลยครับ มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกันช้งเช้งดังไปหมด เรื่องแย่งกินนี่ขอให้บอก ไอ้กิ่งน้อยถนัดนัก  ว่าแล้วก็จัดการหมูมาเกือบครึ่งหม้อสำหรับผมและหมอยินที่นั่งใบ้อยู่ข้างๆ ครับ


   “เอ้านี่หมอ ผักบุ้ง ช่วยเรื่องสายตา อ่านหนังสือเยอะๆ สายตาจะสั้นขึ้นนะ ต้องบำรุง”

   “ขอบใจ”


   “แล้วก็นี่ตับ ช่วยเรื่องธาตุเหล็กและวิตามินมากมาย ของดีมีประโยชน์โปรดบอกต่อ”

   “…กินๆ ไปเหอะ ไม่ต้องมายุ่ง”


   หูย รักนี้เจ็บจนชินครับ  ทำร้ายกิ่งอีกเถิดคุณหลวง ได้โปรดใช้คำพูดเฆี่ยนตีกิ่งอีก “ถ้าหมอไม่สนใจงั้นผมไปกินตรงนู้นละกัน อยากดูทีวีอะ”


   “ไปสิ”


   โฮววว ไม่มีรั้งเริ้งใดๆ ทั้งสิ้น  ผมที่ประชดไปแบบไม่นึกว่าจะต้องไสหัวตัวเองมานั่งนอกวงจริงๆ ก็ได้แต่เดินเบะปากไปเรื่อย ทีวีก็ไม่มีอะไรดู ไม่น่าเลยกู


   ห้องพี่เป้กับพี่อ๊อฟค่อนข้างใหญ่กว่าห้องหมอยินมากเพาะอยู่กันสองคน มีสองเตียงรกๆ กับทีวีเครื่องใหญ่พร้อมคอมอีกหนึ่งเครื่อง  ถ้าเป็นใจมันรู้ว่าผมได้มาเหยียบห้องคู่จิ้นสุดฟินของมันคงจะกรี๊ดจนเส้นเสียงอักเสบตาย ผมเลยถือโอกาสเบื่อๆ นี้งัดโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปก่อนส่งเข้าไลน์กลุ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจ




   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ให้ทายว่าอยู่ห้องใคร บอกใบ้ให้ว่าเป็นนศพ.ทั้งคู่ คนนึงเตี้ยคนนึงสูง


   ใช้เวลาไม่นานจริงๆ อย่างที่คิด  เป็นใจมันก็ตอบกลับมาด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจรัวๆ  จากนั้นหมวยหมวยและธันวาก็เข้ามาผสมโรงด่าว่าผมลืมกำพืดตัวเอง หนีไปคบกับพวกหมอเสียหมด  ผมหัวเราะคิกคักเมื่อทะเลาะกับเพื่อนในไลน์จนกระทั่งไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเดินมาปิดทีวีเรียบร้อยแล้ว


   “จะกินก็กินดีๆ  ไม่ใช่เล่นไปด้วยกินไปด้วย”



   คนตัวสูงที่เป็นเจ้าของมือแม่นากที่ปิดทีวีไปนั้นพูด  “แฮ่ โอเคครับ ไม่เล่นละ กินดีกว่า”


   เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมกินไปเล่นโทรศัพท์ไป พื้นที่รอบๆ ชามสุกี้ของผมเลยเต็มไปด้วยรอยหกเลอะเทอะมากมาย ลำบากให้ผมต้องลุกขึ้นไปหาทิชชู่มาเช็ดอีก …เอ ทิชชู่ ทิชชู่ พี่เขาเก็บทิชชู่ไว้ตรงไหนกันนะ


   สายตาสอดส่ายมองหากระดาษขาวๆ จนกระทั่งเจอมันวางอยู่เงียบๆ เหนือหัวเตียง  แล้วก็ไม่ตะโกนเรียก ปล่อยให้มองหาตั้งนาน



   “ไอ้กิ่ง! หน้ามึงเหมือนคนกำลังทะเลาะกับทิชชู่อยู่เลยว่ะ ฮ่าๆๆ”


   พี่ผึ้งที่เมาเต็มที่แล้วพูดขึ้นมา …ไม่รู้ว่าไปเรียนวิชาเหนือมนุษย์มาจากสำนักไหนครับ เฮี้ยนดีเหลือเกิน


   ผมเดินมาเช็ดโต๊ะที่ตำเองทำเลอะให้เรียบร้อย  ส่วนหมอยินก็หายไปไหนไม่รู้ครับ  ตอนนี้วงที่นั่งล้อมหม้ออยู่ก็มีแต่พี่ผึ้งกับคู่จิ้นแค่นั้น  ด้วยความสงสัยใคร่รู้ในชีวิตของคนอื่น(เรียกง่ายๆ ว่าเผือกนั่นเอง) ผมเลยเดินตามหาร่างสูงไปทั่วจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ประตูระเบียงที่มีเสียงแว่วๆ ลอยตามลมมา


   “ไม่กลับ… คิดว่าคง… เหรอ อืม ขอโทษครับ”



   เป็นหมอยินจริงๆ ที่ยืนคุยอะไรไม่รู้อยู่ข้างนอกนั่น จากนั้นร่างสูงก็พูดอะไรอีกไม่รู้หลายประโยคที่ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง  ดูจากความสุภาพของคำพูดแล้วน่าจะคุยกับพ่อแม่ครับ แต่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้างนี่สิ…


   “ถ้าจะมาก็บอกก่อนนะ ผมต้องเคลียร์งานก่อน ถ้ามาแบบไม่บอกอาจจะไม่ว่าง”  ฮะ อะไรนะ  ไม่ได้ยินเว้ย…




   พรวด!



   อยู่ดีๆ หมอยินก็เปิดประตูพรวดออกมาครับ  จะไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยถ้าผมไม่เอาตัวและหูแนบชิดอยู่กับประตูมากเสียจนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นระเบียงตามแรงดึงของคนตัวสูง  หมอยินก้มลงมองหน้าผมที่แนบพื้นอยู่แล้วถามด้วยสีหน้าอารมณ์เสียระดับสิบ “มาแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์เรอะ เสียมารยาท”



   “แค่บังเอิญเดินผ่านมาเท่านั้นเอ๊งง”


   “ลุกขึ้นมาดีๆ”  ไม่มีการช่วยฉุดหรือดึงอะไรทั้งนั้นครับ  ผมเลยต้องพยุงตัวเองขึ้นมายืนเอง แถมคนตัวสูงยังเดินหนีกลับเข้าวงไปแล้วเรียบร้อยด้วย


   ผมลูบจมูกตัวเองป้อยๆ เพื่อเช็คดูว่าความสูงของมันยังเป็นปกติ… เดี๋ยวเสียโฉมไปแล้วจะจีบหมอมันยากกว่าเดิมครับ  แค่นี้ก็เสริมหล่อทุกวันจนไม่มีเงินจะกินข้าวแล้ว


   จากที่ฟังมาเมื่อกี้ เท่าที่จับใจความได้ก็น่าจะเป็นพ่อของหมอเขานั่นแหละครับ คงกลับบ้านไม่ได้พ่อแม่เลยจะมาหา… มั้ง ผมเองก็ได้ยินไม่ค่อยชัดเหมือนกัน แต่ก็เดามั่วๆ ไปยังงั้นแหละ


   ว่าแต่ อยากเจอหน้าพ่อแม่หมอจังเลยน้า  …ถ้าได้เจอก็คงจะดี



   “ยืนเอ๋ออะไรตรงนั้น จะกินก็มากิน”


   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดอันสุดแสนจะสตอล์กเกอร์ของตัวเองออก โอ้วจีซัส… นี่ผมโรคจิตถึงขั้นจะไปแอบตามดูพ่อแม่หมอเขาแล้วเรอะ! ถ้าไอ้ธันวารู้เข้าคงโดนมันพาไปเข้าสถาบันพัฒนาจิตแหงๆ โทษฐานทำตัวโรคจิตเกินเพื่อนจะรับได้  ผมเลยเดินไปหยิบชามที่ว่างเปล่าของตัวเองแล้วก็นั่งลงข้างๆ หมอยินแล้วตักสุกี้กินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น …แต่ผมค่อนข้างสัมผัสได้ครับว่ามีอะไรที่แปลกขึ้นไปกว่าเดิมนิดหน่อย


   “…อะไร”


   หมอยินมันดูงงๆ เมื่อผมอยู่ดีๆ ผมก็ลุกไปรินเบียร์ให้พร้อมน้ำแข็งเต็มแก้ว  ผมหัวเราะแหยๆ ตามสไตล์แล้วพูดว่า “เห็นหมอเครียดๆ เลยไปรินมาให้ แถมตั้งแต่มาหมอยังไม่ได้กินเบียร์เลยอะ”


   “…รู้ได้ไง”


   “ก็หมอกินแต่น้ำเปล่า”


   “ไม่ ฉันหมายถึงนายรู้ได้ยังไงว่าฉันเครียด”


   อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินครับว่าแอบมองมาตั้งห้าปี  ใส่ใจคิดถึงก่อนทุกมื้ออาหารและก่อนนอนอย่างนี้จะจับความผิดปกติไม่ได้ได้ยังไง  แต่ก็กลัวจะโดนเอาหม้อสุกี้สาดหน้าฐานทำตัวโรคจิตครับ เลยได้แต่ตอบไปอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า




   “เดาเอาอะ เหมือนคิ้วหมอจะขมวดนิดนึง ปากก็ยกขึ้นสูงกว่าปกตินิดหน่อย”



   เพิ่งมารู้สึกตัวก็ตอนตอบไปแล้วนั่นแหละครับว่ามันดูโรคจิตกว่าเดิมอีก ตายกูตาย  แต่ดีที่หมอมันไม่ได้รู้สึกแปลกๆ อะไรเลยคุยต่อตามปกติ ไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือดครับ


   “แล้วนี่รินเบียร์ประสาอะไรใส่น้ำแข็งซะเยอะ”


   “ก็เห็นหมอชอบกินอะไรเย็นๆ อะครับ เลยใส่มาให้เยอะๆ”


   “จางหมด เสียของชะมัด”

   หมอมันพูดไปอย่างนั้นแต่ก็ยกขึ้นดื่มจนได้  …ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลหรือเพราะอะไร แต่ผมก็ดีใจขึ้นมาเมื่อใบหน้านั้นไม่ดูตึงๆ อย่างที่เคย  แถมหลังจากนั้นหมอมันก็ยอมกินสารพัดสิ่งที่ผมตักให้มันเรื่อยๆ โดยไม่ปริปากด่าครับ 




   เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ เก่งมากไอ้กิ่ง สู้ต่อไปนะกู





tbc.

****************************



หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 03-11-2016 23:29:26
สู้ต่อไปเจ้าหนูกิ่ง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Nene promporn ที่ 03-11-2016 23:59:09
สู้ต่อไปนะ ...!!!

คนเเต่งอะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 04-11-2016 02:24:36
ฮือ ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 04-11-2016 05:54:17
น้องกิ่งสู้ต่อไป  o13
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 04-11-2016 08:10:45
สู้ต่อไปนะกิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง
หมอก็ไม่ได้เย็นชาใส่เท่าไหร่แล้ว
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 04-11-2016 15:47:37
หมอเริ่มใจอ่อนขึ้นแล้วว เจ้ากิ่งสุ้ๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 04-11-2016 16:24:09
กิ่งเอ๊ยยยย...เกรียนได้อีก 555
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 04-11-2016 17:35:13
โหเท่อไหร่จะได้กัย
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 04-11-2016 18:36:10
หมอไม่ได้เครียด แค่เปิดโหมดหวงก้างแค่นั๊นเอ๊ง~ :hao7:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 04-11-2016 21:25:43
สู้ต่อไปนะเจ้าหนูกิ่ง
ถ้าเจ้เป็นพี่ยินนะ ทำขนาดนี้เจ้โคตรหวั่นไหวอ่ะ
 :hao7: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 05-11-2016 21:24:39
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 13 สุกี้ไหมจ๊ะ... 3/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 05-11-2016 23:00:59
กิ่งเกรียนดี
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 05-11-2016 23:28:18
ตอนที่ 14







   “นี่ครับพี่ อีโนคลายกรดลดแน่นเฟ้อ”




   ผมชูถุงพลาสติกจากเซเว่นที่ข้างในมีอีโนหลายสิบซองอัดแน่นอยู่  …พี่เป้ที่นอนกลิ้งอยู่กับที่เพราะลุกไปไหนไม่ได้ด้วยความอิ่มจนจุกยื่นมือมารับอย่างเชื่องช้า



   “ขอบใจเว้ย”


   “ครับพี่ ให้ผมชงให้เลยป้ะ”


   “โอ ประเสริฐ จัดมาอย่าให้ช้า”


   มือนั้นชักกลับไปทันทีเมื่อผมพูดออกไปว่าจะชงให้  …ก่อนหน้านี้ผมลงไปซื้อยาลดแน่นท้องพวกนี้มาจากเซเว่นครับ  เพราะขับรถยนต์ไม่เป็นแถมไม่มีใครมีจักรยาน ผมเลยต้องเดินฝ่าฟันความมืดไปตัวคนเดียวเปลี่ยวๆ  หันไปขอความช่วยเหลือจากว่าที่สามีในอนาคตก็ไม่สนใจ แถมยังฝากผมซื้อไอศกรีมมาให้ละลายเล่นระหว่างทางอีกต่างหาก


   “ชงเผื่อกูด้วย โอ้กกก”


   พี่ผึ้งที่อยู่ในห้องน้ำตะโกนออกมาพร้อมเสียงอ้วกอีกหนึ่งที  …พอดีวันนี้ไม่รู้พวกพี่เขานึกครึ้มอะไรกันครับ  เล่นพนันนู่นนี่ท้ากันดื่มไปเรื่อยจนต่างฝ่ายต่างเลยลิมิตของตัวเอง  แถมกินไปดื่มไปจนจุกไปหมดแบบพี่เป้ เดือดร้อนให้ผมที่มีสติสตางค์ครบถ้วนที่สุดลงไปซื้อยามาอีกต่างหาก


   “กินอีโนตอนอ้วกได้เหรอพี่”


   ผมหันไปถามพี่อ๊อฟที่สติดีเหลือรองลงมา แต่หน้านี่แดงพอๆ กับหมูดิบที่วางอยู่ข้างๆ จนนึกว่ากินสารเร่งเนื้อแดงไปด้วยอีกคนแล้ว   พี่อ๊อฟตอบกลับมาแบบนิ่งๆ เหมือนเดิม แต่สำเนียงนี่ยังกับคนใต้อะครับ ทองแดงมาเชียว “น่าจะได้นะ เคยกินกันอยู่”


   “ได้”


   ร่างสูงที่นอนอยู่บนโซฟาช่วยยืนยันผมมาอีกเสียงครับ  ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวชงให้กินไปแล้วตายหมู่ เดือดร้อนผมต้องหาชุดดำไปงานศพอีก


   “หมอเอาด้วยไหมอะครับ”


   “ไม่ ขอน้ำเปล่าพอ”


   “ครับผม”
   


   พอชงอีโนแล้วเอาไปยื่นให้ถึงมือแต่ละคนแล้ว ผมก็รีบรินน้ำเย็นๆ แถมน้ำแข็งอีกก้อนแล้วส่งให้หมอยินทันที  ตอนนี้คนตัวสูงนอนเหยียดอยู่บนโซฟา เท้าเลยออกข้างนอกไปไกลโข แขนสองข้างก็เหยียดออกเต็มที่จนดูเหมือนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้านออกจากลำต้น  …ถึงจะเป็นต้นไม้แต่ก็เป็นต้นไม้ที่หุ่นดีมากครับ เห็นแล้วอยากจะลงไปฟัด


   “เลิกมองได้แล้ว”


   แฮ่  โดนจับได้ว่าลวนลามทางสายตาด้วย

   “หมอไม่เอาอีโนจริงๆ เหรอ”

   “ไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น”   

   “ผมอุตส่าห์ตักให้หมอตั้งเยอะ นี่ยังน้อยไปอีกเหรอเนี่ย!”   

   “ฉันแอบเขี่ยทิ้งไปตั้งหลายชิ้น”

   “โฮ หมอใจร้าย”

   “หึ”


   หมอมันหัวเราะในลำคออีกก่อนลุกมากินน้ำที่ผมหาไปให้  บรรยากาศตอนนี้มันชวนให้คิดไปไกลจริงๆ ครับ อย่างกับสามีภรรยาตัวอย่าง  แต่ติดตรงที่พี่เป้และพี่อ๊อฟที่นอนเรออยู่ตรงนั้นแล้วก็เสียงอ้วกของพี่ผึ้งยังคงดังออกมาจากห้องน้ำอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างเลยดูวุ่นวายเกินกว่าจะมาคิดเรื่องโรแมนติกในหัว


   “กิ่งมึงเข้าไปดูผึ้งดิ้ มันตายรึยังวะ”


   พี่อ๊อฟตะโกนสั่งผมที่ยืนจ้องหมอยินกินน้ำอยู่  ขัดลาภตาจริงๆ ครับ อุตส่าห์จะเก็บภาพคอลเล็คชั่นใหม่ไว้ในหัวสักหน่อย
ผมเดินไปห้องน้ำเพื่อดูพี่ผึ้งตามที่โดนบอกมา   …สภาพในห้องน้ำนี่อย่าให้บรรยายเลยครับ  กลัวแต่ว่าตำแหน่งหนุ่มเพลย์บอยของพี่เขาจะถูกสั่นคลอน   ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วตบหลังคนเมาเบาๆ “พี่ผึ้งไหวปะ เอาน้ำเปล่าไหม”



   “ก็ดีว่ะ อ้วกกก”

   “เฮ้ย! อ้วกพี่มันกระเด็นโดนหน้าผมอะ! สิวจะขึ้นรึเปล่าวะเนี่ย!”

   “เอาน้ำมา โอ๊กกก”


   ไม่รอให้ถูกสั่งอีก ผมรีบวิ่งไปรินน้ำใส้แก้วมาให้พี่ผึ้งโดยทันทีครับ  ระหว่างที่รออีกฝ่ายดื่มจนหมดก็รีบล้างหน้าเอาของสกปรกออกด้วย สิวยิ่งขึ้นง่ายๆ อยู่



   “เอาอะไรอีกไหมครับพี่”


   ผมถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งเกาะขอบโถส้วมอยู่  สงสัยจะสอบหนักไปจนเครียด พอมีเวลาปลดปล่อยหน่อยก็เลยล่อซะเกินเหตุไปหน่อย  มือหนานั่นยื่นมาข้างหน้าเป็นสัญญาณว่าต้องการจะให้ผมฉุดลุกยืน  แต่เท่าที่คำนวนดูแล้วตัวเล็กๆ อย่างผมไม่น่าจะฉุดพี่เขาได้ไหวครับ  ผมเลยตัดสินใจย่อลงไปหิ้วปีกเขาขึ้นมาแทนมากกว่า จะได้ไม่เสี่ยงต่อการล้มหัวฟาดพื้นไปพร้อมกันทั้งคู่


   “พี่เดินเองด้วยนะ ผมแค่พยุงไม่ได้อุ้ม”


   “ไอ้กาก”


   “พี่มั่นใจแล้วใช่ไหมเนี่ยว่าจะไม่อ้วกอีก”  อย่ามาอ้วกรดกันนะเว้ยยย


   “เออ… มั้ง อ่อก”



   พี่ผึ้งทำท่าเหมือนจะอ้วกออกมาอีกทีจนผมต้องรีบเอามืดอุดปากไว้ แต่ดูเหมือนกับว่าครั้งนี้จะเป็นแค่การหยอกเล่นๆ เพราะร่างสูงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีหวาดระแวงของผม เอ้อ กระทืบคนเมานี่มันบาปไหมครับเนี่ย



   “พากูไปนั่งโซฟาที”

   หันไปมองโซฟาที่หมอยินเหยียดแข้งขาจนเต็มแล้วก็หันมาพูดกับพี่ผึ้งต่อ “หมอยินนั่งเต็มแล้วอะ พี่ผึ้งไปเตียงแทนป้ะ"

   “มึงก็ไปบอกให้มันขยับหน่อยดิ กูจะนั่งงง”


   “ไปเตียงเหอะพี่”

   “กูไม่อยากนอนทับเตียงพวกมันอะ กูไม่ชอบนอนเตียงชาวบ้าน”


   หูย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผมนี่ยังอยากนอนเตียงหมอยินเขาเลย “หมอเขานอนแล้วอะพี่ เดี๋ยวพาไปนั่งกับพวกพี่เป้ก็ได้”


   “ทำไมมึงไม่เรียกกูว่าหมอบ้างวะ”


   อยู่ดีๆ พี่ผึ้งก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา  ผมหันไปมองร่างสูงที่ยังคนนอนเฉยอยู่บนโซฟา หลับตาพริ้มพร้อมขมวดคิ้วหน่อยๆ เพราะฤทธิ์เหล้า คิดว่าคงไม่ได้ยินแล้วเลยพูดไป “ก็หมอเขาเคยช่วยชีวิตผมไว้”


   “แล้วมึงก็เลยชอบมันเหรอวะ”


   หูยยยยย นี่พี่ผึ้งหรือสรยุทธ  มาถามอะไรกันต่อหน้าชาวบ้านเขา “ให้ผมเล่าเรื่องหมอยินนี่ผมเล่าได้เป็นวันๆ เลยนะ แต่ขอนอกรอบได้ป้ะ ต่อหน้าหมอมันผมเขิน”


   บิดตัวโชว์อีกนิดหน่อยเพื่อความสมจริงครับ   ทุกลักทุเลกันอยู่นานกว่าจะพาพี่เขามาแลนดิ้งที่ข้างๆ พี่อ๊อฟได้ แถมอีกฝ่ายยังรั้งผมไว้ด้วยการชวนคุยอีก ตอนปกติก็ว่าพูดมากแล้วแต่เทียบกับตอนเมาไม่ได้เลยครับ


   “แล้วมึงจะไม่เรียกหมอคนอื่นว่าหมอเลยเหรอวะ”

   “ไม่อะ หมอยินเขาพิเศษ”

   “กูจะอ้วก”

   “ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับพี่ แต่ไปเองนะคราวนี้ ไม่พยุงแล้ว”


   พี่เป้หัวเราะกับคำตอบของผมนิดหน่อยก่อนจะหันไปคุยงุบงิบสองคนกับพี่อ๊อฟต่อ   ส่วนพี่ผึ้งคนงามก็สลบไปเรียบร้อยแล้วครับ สงสัยจะเมามากจริงๆ 


   ระหว่างที่กลุ่มหมอๆ เขาพักฟื้นกันอยู่ ผมก็ถือวิสาสะเก็บกวาดจานชามไปล้าง ไหนๆ ก็ไม่ได้จ่ายเงินแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้บ้างครับ เผอิญว่าเป็นคนดี


   พอทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจนสิ่งสกปรกเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือพวกพี่ๆ เขานั้น  ผมก็แอบมานั่งข้างๆ โซฟาที่หมอยินนอนกางอยู่  เปิดโทรศัพท์แล้วนั่งตอบแชทของพวกธันวาต่ออย่างเมามันจนกระทั่งรู้สึกถึงแรงสะกิดจากด้านบน


   “อ้าวหมอ นึกว่านอนแล้ว เอาอะไรเปล่าครับ”


   หมอยินในสภาพที่เหมือนหมีจำศีลลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจซ้ายขวา โชว์หน้าท้องนิดๆ จนผมเผลอเอานิ้วไปจิ้ม… และแน่นอนว่าก็ถูกตีมือแทบหักกลับมาครับ “ไอ้เด็กทะลึ่ง”


   “ขอโทษแทนมือไม่รักดีของผมด้วยครับ แหะๆ”

   “กี่โมงแล้ว”   


   “เกือบห้าทุ่มแล้วครับ” ผมตอบพลางมองดูนาฬิกาบนข้อมือ  ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เล่นโทรศัพท์อยู่แท้ๆ แต่ดันไม่ยอมมองในโทรศัพท์ คนเรานี่ก็แปลกนะครับ “หมอจะกินน้ำอีกปะ  เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”


   “ไม่ต้อง จะเข้าห้องน้ำ”


   “หูย เดี๋ยวผมพาไป บริการจับให้ด้วยเผื่อขี้เกียจล้างมือ”

   “ทุเรศ”


   หมอมันด่าหน้าตายแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ เห็นอย่างนั้นผมเลยรีบลุกไปหยิบของจากในถุงเซเว่นอีกถุงแล้วยื่นให้หมอมัน “อะหมอ ผมซื้อมาเผื่อ”



   ร่างสูงทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้าขอบใจก่อนรับไว้   …ผมไม่รู้ว่าจะต้องมาค้างเลยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าหรือแปรงสีฟันมาครับ แต่โชคดีที่มันสมองอันชาญฉลาดสั่งให้ซื้อแปรงสีฟันจากเซเว่นเมื่อกี้นี้มา และแน่นอนว่าผมซื้อมาเผื่อสุดที่รักของผมด้วย เผื่อว่าเปลี่ยนใจอยากจะมีซัมธิงกันแล้วจะอายกลิ่นสุกี้ขึ้นมา กร๊าก ผมนี่โคตรฉลาด


   ระหว่างที่รอหมอเข้าห้องน้ำผมก็เดินไปแปรงฟันที่ซิงค์ล้างจานแทน คิดว่าอีกไม่นานน่าจะต้องปิดไฟนอนเพราะแต่ละคนร่วงโรยกันหมดแล้ว พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เจอกับหมอยินที่ออกมาจากห้องน้ำพอดีครับ


   เหมือนหมอมันจะอาบน้ำแล้วก็ใส่ชุดเดิม ปลายผมกับหน้าเลยยังเปียกๆ อยู่หน่อยๆ




   “เซ็กซี่จัง”



   “เคยมีคนบอกไหมว่าบางเรื่องแค่คิดก็ได้ ไม่ต้องพูด”

   “แฮ่ อะล้อเล่นขำๆ สะเก็ดดาวววว”


   “ขำตายล่ะ”


   ร่างสูงเดินนำไปยังเตียงที่มีหมอนและผ้าห่มวางอยู่ จากนั้นก็อุ้มผ้าห่มไปโปรยใส่กลุ่มเพื่อนของตัวเองที่นอนหลับเป็นตายกับพื้นห้อง เหมือนจะมีน้ำใจมากครับ แต่ก็ไม่ได้ดูเลยว่าผ้าห่มจะทับหน้าทับตาใครไปบ้าง  ผมเลยไปเขี่ยๆ ผ้าห่มออกให้แต่ละคนมีอากาศได้หายใจ  พอดีว่าไม่อยากไปงานศพเพื่อนของว่าที่สามีครับก่อนวัยอันควรครับ


   “หมอ เตียงว่างนะ สนไหม”


   ผมชี้ไปที่เตียงว่างๆ เพราะเจ้าของห้อมเฝ้าพื้นไปแล้วเรียบร้อย  หมอมันไม่หันมามองเลยสักนิดแต่ก็ส่ายหัวแบบเอือมๆ ให้ก่อนกดปิดสวิตช์ไฟ  จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด มีเสียงกรนของพี่ผึ้งและพี่เป้ดังมาอยู่จางๆ พอให้รำคาญบ้างนิดหน่อย
   ร่างสูงล้มตัวลงนอนที่โซฟา จากนั้นก็หลับไปโดยไม่สนผมที่ยืนหอนหมาอยู่เลยสักนิด


   “หมอออ แล้วจะให้ผมนอนไหนอะ”


   เงียบ ไม่ตอบ แต่ยังขยับตัวสบายใจเฉิบอยู่ครับ


   “หมอขึ้นมานอนเตียงด้วยกันเหอะ ไหนๆ มันก็ว่างแล้ว จะไปขดอยู่บนโซฟาทำไม”

   “…”

   “มีตั้งสองเตียง หรือจะนอนเตียงเดียวกันผมก็ไม่ถือนะ”

   “…ฉันไม่อยากนอนเตียงของสองคนนั้น จบนะ”

   อยู่ดีๆ ผมก็คิดถึงคำพูดของพี่ผึ้งขึ้นมาครับ  “ทำไมมีแต่คนไม่อยากนอนเตียงพี่เป้พี่อ๊อฟอะครับ”


   “ไปถามมันเองสิ”


   อ้าว  โยนให้ผมไปถามเจ้าของเรื่องเองเฉย  ใครมันจะไปกล้าถามวะครับ  …ผมหันไปมองเตียงกว้างๆ สองเตียงที่ราวกับจะเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปนอนคนเดียวอย่างสบายใจเฉิบสลับกับหมอที่นอนคู้ตัวอยู่ในโซฟาสั้นๆ   ไม่รู้ว่ามันจะมีอาถรรพ์ฝันสยองอะไรหรือเปล่าคนอื่นเขาถึงได้หวาดระแวงกัน ช่วงนี้ยิ่งมีแต่เรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นรอบตัวอยู่ด้วย ผมเลยไม่เสี่ยงที่จะขึ้นไปประสบกับเหตุการณ์แบบนั้นคนเดียวครับ ได้แต่เดินไปเลือกหมอนเหมาะๆ มาใบหนึ่งแล้ววางลงที่พื้นข้างๆ โซฟาหมอยิน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน


   “ฝันดีครับหมอ”


   และแน่นอนครับว่าต้องไม่ลืมบอกฝันดีด้วย





.
.
.
.

   ‘อยากจะทำอะไรก็เชิญ’


   ‘ไม่ต้องรอให้พี่พูดกิ่งก็จะทำอยู่แล้ว!’


   ‘อย่าลืมที่ตัวเองพูดไว้ก็แล้วกัน เรื่องก่อนหน้านี้น่ะ…’


   ‘เออ คอยดูเลยนะ แล้วพี่จะเสียใจที่ไม่สนับสนุนกิ่งตั้งแต่แรก’



   ...ผมค่อนข้างรู้สึกตัวว่าตัวเองฝันไปครับ  เพราะฉะนั้นก็เลยบังคับให้ตัวเองตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วก่อนที่เหตุการณ์ในฝันมันจะบานปลายมากขึ้นไปเรื่อยๆ   บางทีคนเราก็ฝันร้ายถึงเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง และบางทีคนเราก็ฝันร้ายกับเรื่องในอดีตที่ยังตามมาหลอกหลอนเหมือนอย่างเช่นคืนนี้


   ห้องที่ไม่คุ้นตาทำให้ผมต้องนอนนิ่งๆ เพื่อให้สายตาปรับเข้ากับความมืดแล้วรูปทรงของห้อง  เงียบจนผมได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาตัวเองเดิน เข็มสั้นชี้อยู่ที่เลขสามในขณะที่ผมเริ่มชินกับทุกอย่างพอดี


   บางทีการที่อยู่ดีๆ ก็ฝันร้ายในห้องของคนที่ไม่สนิทนักก็ทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ แถมยังปวดหลังเพราะต้องทนนอนบนพื้นแข็งๆ อีก สุดท้ายผมก็เลยลุกขึ้นนั่งแล้วบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยสักหน่อย

   แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะหันกลับไปดูสุดที่รักครับ  …หมอยินนอนหลับตาพริ้ม แต่ดูยังไงก็รู้ว่านอนไม่สบายแน่ๆ เพราะแขนขาเหยียดได้เก้งก้างอวกาศมาก เห็นแล้วอยากถ่ายรูปไปแบล็คเมล์จริงๆ


   หมอมันไม่ใช่คนหล่อมากมาย แต่ก็มีเสน่ห์แม้ว่านิสัยจะเสียและไม่น่าเข้าใกล้สุดๆ ครับ   ผมเองก็เป็นหนึ่งในแมงเม่าที่พร้อมจะบินเข้าปากปล่องภูเขาไฟเต็มที่ ถ้าไม่แก่ตายไปซะก่อนก็คงจะต้องตายเพราะความร้อน ซึ่งไม่ว่าทางไหนก็ดูไม่น่าอภิรมย์ทั้งนั้น


   ผมควานหาโทรศัพท์ตัวเองในความมืดและพบว่ามันแบตหมดไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะอยู่นานผมเลยไม่ได้เตรียมของมา  ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากลับหอค่อยไปชาร์ตแล้วกัน ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรมากมาย เสียดายแค่โอกาสที่จะได้ถ่ายรูปหมอยินตอนนอนเท่านั้นแหละครับ


   ว่าแล้วก็หันกลับไปลวนลามทางสายตาอีกรอบ… คนอะไรไม่รู้ ยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์  ไรหนวดบางๆ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพวกหมอๆ เขาหลังสอบกันครับ  อ่านหนังสือจนไม่มีเวลาโกน หมอยินเองก็คงจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ดูจากความจริงจังของเจ้าตัวแล้วก็คงอ่านหนังสือโต้รุ่งหรือไม่ก็ดึกดื่นเหมือนเคย หน้าหล่อๆ นั่นก็เลยดูโทรมลงไปหน่อยนึง



   ผมมองดูจนแน่ใจว่าหมอไม่ตื่นมาแน่ๆ แล้วก็ขโมยหอมแก้มไปอีกทีนึง  คราวที่แล้วนี่รีบทำมากครับเพราะกลัวว่าคนตัวสูงจะตื่น แต่คืนนี้หมอทั้งเหนื่อยแล้วก็ดื่มเบียร์ไปด้วย คิดว่าคงไม่ตื่นมากระทืบผมได้ง่ายๆ  เพราะงั้นผมเลยยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แทนที่จะหยุดอยู่แค่ที่แก้ม ผมยังหวังไปไกลถึงขั้นริมฝีปากนั้น


   ปากหมอนุ่มแต่ก็ติดหยาบนิดๆ ตามประสาผู้ชายที่ไม่ชอบดูแลตัวเอง  พอแอบจูบเสร็จผมก็มานั่งรู้สึกผิดกับตัวเอง โอ๊ยยยย ทำไมผมถึงได้โรคจิตขนาดนี้วะ  ถ้าหมอเขารู้ผมจะต้องทำยังไง จะเอาหน้าที่ไหนไปมองหมอเขาในเมื่อยังทำตัวลามกจกเปรตกับเขาอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ไอ้กิ่ง ไอ้เลววววววว




   ตืดดดด ตืดดดดดดด…



   ไม่ครับ ไม่ใช่เสียงของพยาธิที่ไหน  แต่เป็นเสียงโทรศัพท์ของใครสักคนที่วางอยู่เหนือโซฟา  ด้วยอารามตกใจกลัวว่าหมอมันจะตื่นมาเห็นผมซึ่งกระทำการอุกอาจอยู่ ผมเลยรีบคว้ามันไว้แล้วเผลอกดรับหวังจะให้หยุดส่งเสียงโดยไม่รู้ตัว… ซวยฉิบ!  วางสายตอนนี้ทันไหมวะ!



   (ฮัลโหล ฮัลโหล ได้ยินไหมยินดี)

   ไม่ทันแล้วครับ  …แถมยังตอกย้ำความซวยกว่าเดิมด้วยเพราะพบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของหมอยินเอง โอ้จีซัส  หรือนี่จะเป็นบาปกรรมที่ผมได้ทำไว้จากการลวนลามหมอเขาวะครับ ฮือ กิ่งน้อยขอโทษ



   (ยิน ฮัลโหล ได้ยินรึเปล่า)



   เสียงจากปลายสายยังคงดังออกมา  ผมมองดูหน้าจอแล้วพบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเบอร์ของพ่อ… เอายังไงดีวะ จะปลุกหมอขึ้นมาไหม แล้วหมอมันจะโกรธที่ผมรับโทรศัพท์มันก่อนรึเปล่า  หรือถ้าหมอมันตื่นขึ้นมาตอนนี้แล้วรู้สึกได้ว่าผมเพิ่งแอบจูบมันไปผมจะโดนสั่งห้ามเข้าใกล้ตลอดชีวิตไหมอะครับ โอยยยย สารพัดความกลัวจะเข้าครอบงำ


   …สุดท้ายแล้วสมองน้อยๆ ของผมก็สั่งให้ผมเดินย่องออกไปนอกระเบียงเพื่อเริ่มบทสนทนาครับ


   “เอ่อ… สวัสดีครับ คือผมเป็นเพื่อนของหมอเขาครับ ขอโทษที่เผลอกดรับก่อนครับ”


   อากาศตอนกลางคืนไม่หนาวครับ แต่ตอนนี้ขนผมลุกซู่เลยทีเดียวเมื่อรู้ว่าได้คุยกับใครอยู่ ว่าที่พ่อตานั่นเองครับ แฮ่!


   (เพื่อน คนไหนกันล่ะ เป้หรือผึ้ง)


   “ผมเป็น… เพื่อนอีกสาขาหนึ่งอะครับ”

   (แล้วชื่ออะไร อย่าบอกนะว่ากำลังหาเรื่องลูกชายฉันอยู่)


   อูยยย แค่ฟังก็เสียวสันหลังวูบแล้วครับ  อยู่ดีๆ ภาพตัวเองโดนโบกปูนถ่วงน้ำแถวๆ รัสเซียก็ลอยขึ้นมา “ไม่ใช่ครับ! ผมเป็นรุ่นน้องหมอยินเขา… ชื่อกิ่งครับ”


   (ไม่เห็นจะรู้ว่าคนเราจะเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องได้ด้วย…) จริงๆ ก็หวังจะเป็นมากกว่าเพื่อนนั่นแหละครับ (แล้วนี่ยินดีไปไหน ทำไมเธอถึงได้มาคุยแทน)



   “หมอเขาหลับอยู่ครับ”



   (แล้วเธอก็ถือวิสาสะรับสายเองโดยไม่ได้รับอนุญาต?)


   …ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ไลค์ฟาเธอร์ไลค์ซันมากครับ  เเม้ไม่เห็นหน้าเเต่สายตาทิ่มแทงพร้อมน้ำเสียงเย็นชานี่มาเต็มเลยทีเดียว


   “…ผมกลัวว่าเสียงดังแล้วหมอเขาจะตื่นอะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับคุณพ่อ”


   (ใครพ่อเธอ)

   มาแล้วครับ  ประโยคพ่อตาแม่ยายในตำนาน “ขอโทษครับ… งั้นเดี๋ยวผมไปปลุกหมอยินให้นะครับ”

   (ไม่ต้อง)


   อ้าว  ผมชะงักกลางอากาศเมื่อเสียงในโทรศัพท์ห้ามไว้  สุดท้ายแล้วผมก็ได้มานั่งคุยนอกระเบียงมืดๆ อยู่ดี “พ่อ… เอ่อ คุณลุงมีอะไรจะฝากบอกหมอเขาไหมครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะบอกให้”


   (ยังอยู่ที่ห้องเป้กันอยู่เหรอ)


   “ครับ”



   ปลายสายเงียบไปสักพักเหมือนใช้ความคิดอยู่   ผมไม่รู้ว่าทำไมพ่อของหมอยินเขาถึงไม่อยากให้ผมไปปลุกลูกชายตัวเองให้  ทั้งๆ ที่โทรมาดึกดื่นป่านนี้เหมือนมีเรื่องจะพูดแท้ๆ  แต่สุดท้ายแล้วว่าที่พ่อตาก็ไม่ปล่อยให้ผมงงนาน  เสียงที่ติดจะออกแหบห้าวเหมือนกันนั้นพูดออกมาว่า


   (เธอใช่คนที่เป็นต้นเรื่องให้ยินดีถูกซ้อมวันนั้นใช่ไหม)


   “…ครับ”



   รู้สึกเหมือนเป็นคนเลวที่พาลูกชายชาวบ้านออกนอกลู่นอกทาง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นเรื่องของความวิปโยคทุกอย่างครับ…


    “ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ  ผมไม่เคยคิดอยากจะให้หมอยินเจ็บตัว ผม…”


   (ฉันไม่ได้โทษเธอ)

   “แต่ผม…”


   (เธอว่างมาเจอฉันไหม)


   หา


   ว่าไงนะ


   “…คุณลุงพูดว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ค่อยชัด”


   (หาเวลาว่างมาแล้วโทรมาบอกฉัน ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากได้วันอาทิตย์ต้นเดือนหน้าสองทุ่ม)


   กำหนดมาให้เสร็จสรรพขนาดนี้แล้วมีเหรอครับที่ผมจะปฏิเสธ… ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนานเพราะรู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาท ผมเลยรีบตอบตกลงไป “ได้ครับ แล้วจะให้ผมไปที่ไหน…”


   (ไม่ต้อง)


   อ้าว กรรม แล้วงี้จะหมายความว่ายังไง คือผมต้องโทรจิตทางไกลไปคุยเหรอครับ “แล้วผม…”


   ขณะที่กำลังจะอ้าปากถามไปนั่นเองครับ  ผมถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วว่าหมอมันต่างชั้นกับผมขนาดไหน  เรื่องพ่อเลี้ยงมาเฟียอะไรนั่นแล้วก็อิทธิพลที่ทำให้นักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งถึงขั้นต้องดร็อปออกไปได้นี่มัน… 


   อยู่ดีๆ ลำคอผมก็เกิดตีบตันขึ้นมาจนผมต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

 
   (ฉันจะให้คนขับรถไปรับ ห้ามสายล่ะ แล้วก็จำไว้ด้วยว่าเธอจะต้องไม่บอกใครเรื่องนี้ แม้แต่กับยินดีเองก็ตาม)



   “…”



   (ทุกคำพูดของฉันเป็นเด็ดขาด เข้าใจนะ)




tbc.
***********************************

หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 06-11-2016 00:44:26
คุณพ่อตาจะเรียกหนูกิ่งไปทำไมเนี่ย
ลุ้นๆ
ปล.คนเขียนมาอัพบ่อยมาก เยี่ยมเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 06-11-2016 02:10:17
คุณพ่อตาจะทำอะไรนู๋กิ่งมั้ยว้าาา
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 06-11-2016 02:31:22
หนูกิ่งมีอดีตอะไร
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 06-11-2016 08:28:25
ขอให้ความเกรียน..เอ๊ยยยย...ความดีชนะทุกอย่างนะกิ่ง
ปล. หวังว่าอดีตจะไม่ม่านะ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 06-11-2016 09:51:19
ทำไมคุณพ่อโหดจัง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 06-11-2016 10:43:48
เด็ดขาดจริงครับคุณพ่อ55
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 06-11-2016 12:09:24
เอาเลยกิ่งพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ทำคะแนนกับพ่อตาเลย /ผิด

ปล. แอบกิ๊วก๊าวใจที่พ่อเรียกหมอว่ายินดี ชอบบ
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 14 สายเรียกเข้ากลางดึก... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 06-11-2016 21:01:10
นีกำลังจะมาม่าใช่ไหม
กิ่งมีอดีตอะไร ว่าที่พ่อตาจะเรียกตัวไปทำไม น่าสงสัย ฮืออ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 5/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: steppenwolf ที่ 07-11-2016 23:35:31
ตอนที่  15









   หูยยยยย





   หึยยยยยยยยย



   โอววววววววววววววววววววว





   “อะไรของมึงคะ ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม เพื่อนเขากลัวกันหมดแล้ว”



   ธันวาตบหัวผมจนกะโหลกลั่นไปหมด มึนจนรู้สึกเหมือนสมองสั่นคลอน “กู กู กู… กูไม่ขอโทษ”



   แทนที่จะเถียงหรือด่าออกไปเหมือนเดิมอย่างที่ผมชอบทำ พอขอโทษออกไปธันวามันก็เลยทำหน้าอึ้ง อ้าปากหวอแล้วจับหน้าผมโยกไปมาแรงๆ

 


   “มึงเป็นใคร มึงมันไม่ใช่ไอ้กิ่งเพื่อนกู มึงเป็นเอเลี่ยนที่แดกร่างมันมาใช่ไหม!!”


   “บ้า” ผมโยกหน้าหนีออกจากมือมันไปแล้วไม่ได้เถียงอะไรต่อ   เห็นอย่างนั้นธันวามันก็ยิ่งอ้าปากกว้างขึ้นไปใหญ่


   “อย่าบอกนะว่าพี่ยินเขาทำอะไรมึง…”


   “ตลกละ! พอๆ  ไม่มีอะไรหรอกมึง กูแค่คิดมากไปเรื่อยเปื่อยแค่นั้น”


   ผมส่ายหน้าแล้วโบกมือเป็นสัญลักษณ์ให้เพื่อนรักยุติการสอบสวน  เพื่อนสาวคนดีของผมยอมถอยไปแต่โดยดีครับ  แต่ก็ยังติดความสงสัยไว้บนใบหน้าอยู่ …ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่ายังไงก็บอกไม่ได้ครับ ไม่ได้เด็ดขาด คำสั่งของพ่อตาคือประกาศิตที่ยิ่งใหญ่ ใครจะล่วงรู้ไม่ได้แม้ว่าผมจะอยากเมาท์มอยหอยสังข์มากแค่ไหนก็ตาม


   หลังจากที่ตัดสายเสร็จ ผมก็ไม่ลืมที่จะลบประวัติการโทรออกจากโทรศัพท์หมอมันออกไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองทั้งจากคนลูกและคนพ่อครับ  ในภาวะที่อยากพูดแต่พูดไม่ได้แบบนี้นั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะกรี๊ดให้ตัวแตกเข้าไปใหญ่ ติดที่ว่าทำไม่ได้ เลยได้แต่หวีดร้องในใจแล้วโดนเพื่อนด่าแบบนี้นั่นเอง


   คาบเรียนดำเนินต่อไปตามปกติเหมือนว่าผมไม่ได้มีส่วนสำคัญใดๆ ในห้อง  ผมมองเหม่อไปเรื่อย ไม่ได้สนใจเรียนอะไร ในหัวคิดไปแต่เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น… ผมจะโดนถ่วงน้ำโทษฐานเป็นตัวการที่ทำให้หมอยินโดนกระทืบรึเปล่าวะ  หรือว่าจะโดนเรียกไปตักเตือน เอาปืนจ่อแล้วบอกให้เลิกยุ่งกับลูกชายฉันซะ… อะไรอย่างนี้รึเปล่าวะ



   สงสัยจะเครียดและเหม่อมากจนไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ ก็หมดคาบแล้วครับ ได้เวลากินข้าวและใช้ชีวิตประจำวันต่อแล้ว ช่วงนี้ผมไม่ค่อยไปดักเจอหมอยินเท่าไหร่แล้ว เพราะบางวันก็ไปสิงห้องหมอมันบ้างไม่ก็เกาะติดไปเที่ยวด้วยบ้างจนกลัวหมอมันเบื่อ แถมพวกรุ่นพี่บ้าๆ พวกนั้นก็ไม่อยู่แล้วด้วย พักเที่ยงของผมเลยไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่ (นี่คือเสียใจ?)



   ถึงอย่างนั้นความกังวลใจของผมก็ยังคงไม่หมดไปจากสีหน้าครับ …หมวยหมวยมันถึงกับเอาหลอดชี้หน้าแล้วพูดด้วยความเกรี้ยวกราดอันเกิดจากความอยากรู้ว่า “ถ้ามึงยังไม่บอกกูมาเดี๋ยวนี้มาเกิดอะไรขึ้น กูจะเอาโปรเจ็คมึงไปเผา”


   “…กูยอม” ขืนบอกไปผมนี่แหละมั้งครับที่จะถูกเผาสดแทน


   “อีกิ่งงงงง มึงเป็นอะไรเนี่ย!! ถ้าเกิดมึงไม่อยากบอกก็ทำหน้าให้มันปกติๆ หน่อยได้ปะวะ กูอยากรู้นะเนี่ย”


   “เจือก”


   “อีเวร งั้นหลังจากนี้อย่าหวังว่าจะได้ความช่วยเหลืออะไรจากกูเลยเหอะ”



   ผมเบ้ปากใส่ความช่วยเหลือของมัน… ช่วงที่ผมโดนยำแรกๆ ก็ไม่มีใครรู้เลยครับ แถมพอมาเรียนด้วยหน้าปูดๆ ยังล้อแล้วล้ออีกจนผมแทบจะมุดดินเรียน ใส่หน้ากากอนามัยมาก็โดนดึงทิ้งแล้วถ่ายรูป… เพื่อนรักมักให้ความช่วยเหลือจริงๆ ครับ


   ผมตักข้าวใส่ปากอันเป็นการบอกเชิงสัญลักษณ์ว่าจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วจนทำให้คนทั้งโต๊ะโวยวายไปด้วยความหงุดหงิด แต่ไม่นานนักบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเมื่อกลุ่มของหมอยินเดินเข้ามาใกล้… น่าเสียดายที่ไม่มีหมอตัวสูงเดินมาด้วยครับ



   “กินข้าวเหรอกิ่ง”


   พี่เป้เป็นฝ่ายทักผมมาก่อนครับ  หน้าไอ้เป็นใจนี่แบบกั้นเสียงไว้เต็มที่มาก ให้เดาว่าตอนนี้ในหัวมันคงกำลังเต้นรำเฉลิมฉลองอยู่ด้วยซ้ำ



   “ครับพี่ พี่มีโต๊ะยัง เดี๋ยวพวกผมใกล้ลุกละ”



   “เดี๋ยวหาๆ เอา นั่งไปเหอะ”



   นี่ครับคนดีที่แท้จริง  “แล้วหมอยินไปไหนอะครับพี่ ไม่มากินข้าวเหรอ”


   “มันฝากซื้อนมขึ้นไป เขียนงานอยู่”


   หูยยย ได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็รีบตบโต๊ะพร้อมลุกขึ้นยืนแบบไม่สนเพื่อนฝูงเลยครับ  คืออย่างนี้  โรงอาหารใต้ตึกผมนี่อยู่ห่างจากเซเว่นไปประมาณร้อยเมตรครับ ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินได้แบบไม่เหนื่อย “เดี๋ยวผมไปซื้อให้ครับ หมอเขากินยี่ห้ออะไรอะ”



   “แหม เร็วเชียวนะมึง แดกข้าวให้หมดก่อนไหม” ธันวามันชี้มาที่จานผัดกะเพราของผมที่กำลังจะเป็นหมัน


   “อิ่มละ เอาอะไรเซเว่นไหม”


   “มึงซื้อนมไปเปย์ผออย่างเดียวมึงเถอะ”


   “พูดอะไรเกรงใจรุ่นพี่บ้างนะ ฮ่าๆ”



   พี่ผึ้งผู้อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาสวนขึ้นมาบ้างครับ  ทั้งโต๊ะมองพี่มันเป็นตาเดียวกันเลยครับเมื่อพี่ผึ้งยิ้ม… หึหึหึ เป็นไงล่ะ นายแบบสุดเฮี้ยนของกิ่งน้อย


   “ขอโทษค่ะพี่ พอดีหนูมองอะไรไม่ค่อยเห็น ออร่าพี่มันจ้ามากค่ะ”


   “พูดแบบนี้เอาไลน์พี่ไปเลยไหม”


   แล้วหมวยหมวยกับธันวามันก็หวีดร้องขึ้นมาครับ  ดี๊ด๊าจนลืมความเป็นสตรีไทยไปหมดสิ้น เฮ้อ หมดคำพูดกับเพื่อนที่อยากมีผู้จนตัวสั่นครับ เรียบร้อยสู้กิ่งน้อยไม่ได้เลยจริงๆ



   “แล้วตกลงหมอยินเขากินยี่ห้ออะไรอะครับ”



   ผมหันมาสนใจกับประเด็นที่จะทำให้หมอยินแฮปปี้สมชื่อต่อ  พี่เป้ยื่นแบงค์ร้อยในมือให้แล้วบอกว่า “อะไรก็ได้แหละ เอาขวดใหญ่สามขวด”


   นี่กินหรือเอาไปอาบครับเนี่ย  อยากถามไปแบบนั้นแต่ก็กลัวว่าจะโดนด่ากลับมาเลยได้แต่รับเงินไว้พร้อมยิ้มแหยๆ  “แล้วนี่หมออยู่ไหนอะครับ เดี๋ยวผมซื้อแล้วเอาขึ้นไปให้เลย พวกพี่จะได้กินข้าวนานๆ ไม่ต้องรีบ”



   “น่ารัก สปอร์ต ใจดี กทม.”



   “ชมกันแบบนี้ผมก็เขินแย่นะครับพี่ผึ้ง แอร๊ย”


   “เพลาๆ หน่อยไอ้กิ่ง…” สงสัยท่าเขินบิดเอวเอสของผมนี้คงจะมากเกินพอดีไปจริงๆ ครับ  เพราะพี่อ๊อฟถึงขั้นเอ่ยปากด่ากันเลยทีเดียว  จากนั้นพี่เป้ก็บอกที่อยู่ของหมอยินมา “แฮ่ๆ ครับพี่ งั้นเดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันบนห้อง”


   ประโยคหลังผมพูดกับกับพวกธันวาครับ  พวกมันพยักหน้าหงึกหงักพร้อมหน้าเอือมๆ เมื่อเห็นว่าผมรีบวิ่งแจ้นไปทำภารกิจหัวใจโดยทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลัง …ไม่มีดราม่าใดๆ ในกลุ่มเรื่องนี้หรอกครับ มีแต่อยากให้ผมรีบๆ ได้หมอเข้าทั้งนั้น คงเบื่อจะฟังเสียงโหยหวนที่ผมร้องทุกครั้งเมื่อเห็นหมอเขาเดินกับผู้หญิงคนอื่น






   ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงเซเว่นที่โคตรแคบและของก็น้อยจนไม่สามารถเลือกอะไรได้  ผมเดินเข้าไปเลิกนมมาสามขวดตามที่พี่เป้บอก ไหนๆ ก็ไม่ได้เจาะจงยี่ห้อมาแล้วผมก็เลยเลือกขวดที่ผมชอบกินไปแทนครับ คิดว่าอย่างน้อยถ้าหมอมันชอบก็อาจจะได้มีเรื่องที่เหมือนๆ กันในชีวิตบ้าง



   ระหว่างที่รอคิดเงินผมก็หยิบขนมปังไปเผื่ออีกสองห่อครับ อันนี้กะว่าจะออกเอง ไม่อยากให้หมอมันใช้นมเลี้ยงท้องไปวันๆ  เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง


   “ทั้งหมดเก้าสิบเจ็ดบาทค่ะ”



   ผมจ่ายเงินไปแล้วบวกลบค่าขนมปังไว้ในใจก่อนแทนเงินใส่เงินทอนเพื่อจะได้เอาไปคืนหมอมันถูก   พอเดินออกจากเซเว่นผมก็มุ่งตรงไปยังตึกเรียนของหมอทันทีครับ ระหว่างทางก็แอบส่องกระจกบ้างว่าหน้ามันไหม หัวฟูรึเปล่า… คนเรานี่ก็เป็นเอามากเนอะ



   ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่หมอเรียนเสร็จ  หันซ้ายหันขวาไม่นานก็เจอกับคนตัวสูงที่กำลังนั่งปั่นงานหัวฟูอยู่ตรงโต๊ะหน้าห้องเรียนครับ  ผมเดินเข้าไปเบาๆ กะว่าจะเซอร์ไพรส์ แต่ก็ถูกคนขยันเงยหน้าขึ้นมาเจอก่อนจนได้


   “ซื้อนมมาให้ครับหมอ”


   “เจอกับพวกอ๊อฟมาเหรอ”


   “ครับผม หมอทำไรอยู่อะ”


   ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ คนตัวสูงแล้วชะโงกหน้าดูสิ่งที่หมอกำลังเขียนอยู่ แต่ไม่ว่ายังไงก็อ่านไม่ออกครับ นี่ลายมือหรืออะไร สงสัยที่เขาว่ากันว่าหมอมักจะลายมือห่วยนี่ท่าจะจริง



   “รายงาน”


   “หมอดองไว้หรืออะไร ทำไมมานั่งทำอยู่คนเดียวล่ะครับ”


   “เมื่อคืนฉันเผลอหลับไป… ถ้าจะมานั่งกวนก็กลับไปเรียนไป ฉันจะทำงาน”


   เงียบ ระบบหุบปากโดยอัตโนมัติเปิดทำงานครับ… แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนั่งหน้าทนดูหมอทำงานเงียบๆ ต่อไป  ดูไปดูมาก็ไม่มีทีท่าว่าหมอจะกินนมสักทีครับ แล้วนี่ก็เกือบหมดคาบพักแล้วด้วย ผมเลยมัดมือชกด้วยการเปิดขวดนมแล้วเสียบหลอดให้พร้อมจ่อปากไปทันที


   “หมอกินดิ เดี๋ยวเป็นลม”


   …ไม่แม้แต่จะหันมามองครับ ฮือ  โอกาสที่จะได้ป้อนนมหมอมาอยู่ในมือ แต่ไอ้กิ่งคนนี้กลับไร้เสน่ห์เกินไปจนไร้ผล   พอค้างมือไว้อยู่นานจนรู้ว่าหมอมันไม่น่าจะยอมดื่มจริงๆ ผมถึงได้วางนมไว้บนโต๊ะแล้วหันมาจ้องหน้าคนตัวสูงแทน หมอยินเป็นผู้ชายที่น่ามองมากครับ  ถึงจะมีรอยคล้ำใต้ตาแบบนี้อยู่บ้านแต่ก็ยังดูดี ผมมองเลยไปยังไรหนวดที่เจ้าตัวก็คงยังไม่มีเวลาโกนอีกแล้วจนเผลอพูดออกไปว่า  “หมอไว้หนวดก็น่าจะดูดีนะ แต่ผมชอบแบบหน้าเกลี้ยงๆ มากกว่าอะ”



   ได้ผลครับ  หมอมันหันมาสนใจ… แต่ก็ด้วยสายตาอำมหิตทันที  เจ้าตัวลุกขึ้นยืนแล้วหิ้วคอเสื้อผมไปทิ้งเหมือนแมว “กลับไปเรียนได้แล้ว รำคาญ”



   “หมอออ ผมขอโทษษษ ขออยู่จนกว่าจะบ่ายโมงนะ”


   “บอกให้ไปก็ไป”


   จากนั้นผมก็ถูกโยนเข้าลิฟต์ แถมมีการยื่นมือมากดเลขชั้นให้เสร็จสรรพครับ  พอถึงพื้นผมก็เดินน้ำตาตกในกลับตึกไป ไม่น่าปากมากเลยกู ก็รู้อยู่ว่าหมอมันขี้รำคาญ  เสียโอกาสทำคะแนนเลย



   “อ้าว กลับแล้วเหรอ”


   ระหว่างทางกลับผมก็เดินสวนกับกลุ่มเพื่อนพี่หมอครับ… พี่ผึ้งเป็นฝ่ายตะโกนทักผมที่เดินหน้างอมาก่อนพร้อมรอยยิ้มอันเจิดจ้า “โดนไล่กลับมาชัวร์ น่าสงสาร”



   “สงสารจริงมึงไม่ยิ้มแบบนี้หรอกผึ้ง”


   “พี่อ๊อฟพูดถูก พี่ผึ้งนะพี่ผึ้ง สมน้ำหน้าก็บอกมาเถอะ”



   ผมทำหน้าบึ้งใส่พี่ผึ้งจนเจ้าตัวหัวเราะใส่ ก่อนจะโอบไหล่ผมอย่างสนิทสนมไม่แคร์สื่อ “แค่มึงกล้าจีบมันกูก็เชียร์เต็มที่แล้ว เรื่องอะไรจะมาสมน้ำหน้า”



   “แน่ใจนะพี่ว่าเชียร์ ไม่ใช่ว่ารอหัวเราะเยาะอยู่แน่นะ”


   “ถึงเวลานั้นกูคงไม่หัวเราะเยาะมึงหรอก”


   “พี่จะแกล้งมอมเหล้าผมให้เมาเล่นๆ น่ะสิ”


   “ไม่ให้มึงเมาเล่นๆ หรอก เสียของจะตาย มอมไปทำอย่างอื่นดีกว่า”


   “เย้ยยยย พี่ครับ ผมกลัวแล้ว”



   “ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น” พี่ผึ้งโคลงหัวผมไปมา  ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบโดนชาวบ้านเขาจับหัวโยกบ่อยนักเชียว “ไปๆ กลับตึกไปได้แล้ว เพื่อนมึงขึ้นกันหมดแล้ว”


   “ครับพี่ บายครับ”


   “เออบาย จุ๊บๆ”


   ผมยิ้มแหยๆ ให้เมื่อพี่เขาส่งจูบโดยการตบหน้าผมประกอบเสียง  คิดว่านี่ไม่น่าจะเรียกว่าการจุ๊บนะครับพี่ผึ้ง





   พอกลับขึ้นมาบนตึกเรียนผมก็เจอสายตาทิ่มแทงจากผองเพื่อนครับ… ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้พวกมันดูดุเดือดกันมากเลยทีเดียว เพราะเข้าห้องไปได้ไม่ทันไรผมก็ถูกลากไปคุยยังมุมมืดทันที



   “มีอะไรวะ”



   “มึงทิ้งเรื่องไว้ให้พวกกูได้ไงเนี่ย”


   “เรื่อง เรื่องไรวะ” ธันวามันทำหน้าเอือมเมื่อผมไม่รู้เรื่อง  …เออะ จะไปรู้ได้ไงวะว่าเกิดอะไรขึ้น เล่ามาเร็วๆ สิ


   “พี่ผึ้งตัวดีของมึงนั่นแหละ นายแบบเดอะช็อคของมึงอะ”


   หมวยหมวยมันพูดเสริมขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังมากครับ ไม่รู้ไปตีกับแตนที่ไหนมา หน้าบวมเชียว “แม่งมาหม้ออีเป็นใจ… แล้วก็ตบท้ายด้วยการขอไลน์กู”


   “ตึ่งโป๊ะ! พี่เขาเล่นมุกรึเปล่ามึง”


   นึกภาพตามก็น่าจะเป็นแค่มุกขำๆ ครับ  แต่ติดที่เพื่อนทั้งสามคนมันไม่ขำด้วย  “มุกบ้าอะไร! จีบเป็นใจแบบอ่อยแรงมาก แล้วมึงคิดดูว่าคนอย่างพี่ผึ้งแค่พูดสวัสดีครับเฉยๆ กูก็ระทวยแล้วมั้ง นี่มาแบบรัวๆ  …จากนั้นก็มาขอเบอร์กูแบบหักหน้าเป็นใจโคตร! มึงดูที่พี่เขาทำไว้ดิวะ!”


   “ใจเย็นๆ กูไม่ได้โกรธพี่เขาหรอก”


   เป็นใจที่เงียบอยู่นานสวนขึ้นมาครับ แต่ดูยังไงมันก็ไม่โอเค


   “มึงไม่โกรธแต่กูโกรธค่ะ! กูว่าแล้วเชียวหล่อๆ แบบนี้มันต้องมีปมแย่ๆ อะไรสักอย่างชัวร์! นี่ดันชอบมาเล่นกับความรู้สึกผู้หญิง กูรับไม่ได้”


    “พี่เขาแค่หยอกเล่นอะมั้ง”


   “มึงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ เพราะงั้นมึงไม่รู้หรอกว่าเรื่องมันจริงจังขนาดไหน แล้วแม่งก็ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะตอนที่อีเป็นใจมันหน้าเสีย… กูนี่อยากจะเอาชามข้าวฟาดหน้าเข้าให้”


   ผมหันไปมองหน้าเป็นใจที่ยังดูช็อกๆ อยู่ คิดว่าถ้าคุยกันต่อไปเรื่องจะยิ่งแย่ขึ้นไปกันใหญ่ เพราะอย่างนั้นผมเลยรีบดันหลังธันวาหัวโจกให้มันกลับห้องไป ถึงอย่างนั้นเสียงบ่นของพวกมันก็ยังคงดังผสานกับเสียงพูดของเป็นใจอยู่เป็นระยะๆ



   วันนี้ผมได้รู้ซึ้งถึงความเจ้าชู้ของพี่ผึ้งแล้วจริงๆ ครับ… และผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายได้มากกว่านี้อีกเยอะ

   




.
.
.
.
.
   “เอ้านี่ ยินมันฝากมาคืน”


   พี่เนย์เดินเข้าห้องมาพร้อมกับแบงค์ยี่สิบอีกสองใบ  ผมที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ก็เลยถามออกไปแบบงงๆ


   “ค่าอะไรอะพี่ สินสอดเหรอ”


   “สินสอดบ้านมึง! มันบอกค่าขนมมั้ง กูฟังไม่ถนัดเหมือนกัน”


   อ้อ ค่าขนมปังที่ผมเลี้ยงหมอเขาไปนั่นเอง  ผมรับเงินจากมือพี่เนย์มาแล้วก้มหน้าทำงานต่อ… จริงๆ ก็อยากเลี้ยงนั่นแหละครับ  แต่รู้ว่าถ้ายึกยักไม่รับไว้ก็คงจะโดนรำคาญใส่อีกเหมือนเคย รอบที่ซื้อเฉาก๊วยไปให้นั่นก็โดนยัดเงินกลับมา เถียงแล้วเถียงอีกก็โดนหงุดหงิดใส่  เพราะงั้นไว้เดี๋ยวค่อยหาทางเอาไปคืนทีหลังแล้วกัน


   “แล้วพี่เปียวอะพี่”


   ร่างสูงชะงักกึกเมื่อผมถามหาคู่หูที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอย่างพี่เปาเปียว จากนั้นก็ตอบกลับมาแบบแกนๆ ว่า “เดี๋ยวมันก็มาแหละมั้ง แม่งนั่งทำงานอยู่”


   “อ่อ เคพี่ ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย”


   “เรื่องของกู”



   จบครับ สรุปเป็นอันรู้กันว่าแตะไม่ได้ เห็นอย่างนั้นผมก็หันกลับมาสนใจกับงานในมือต่อ …ที่เห็นๆ ว่าเรียนวาดรูปไปวันๆ นี่ไม่ได้สบายเลยนะครับ  งานเยอะซะยิ่งกว่าจำนวนวัน ปั่นวันละงานก็ยังไม่ทัน


   ตอนที่พี่เนย์เดินเข้าไปอาบน้ำตามสไตล์ไม่ชอบดองเค็มไลน์ของผมก็เด้งขึ้นมาทันทีครับ  จริงๆ จะไม่ตื่นเต้นอะไรเลยถ้าชื่อที่ขึ้นมาจะไม่ใช่คนตัวสูงที่ผมเฝ้าเพียนจะฝันหาอยู่ทุกวันแบบนี้



   HAPPYYIND : ได้เงินรึยัง


   แม่นเหมือนตาเห็น แม่นเหมือนฝังกล้องไว้ที่หน้าผากผม  ผมนี่ทิ้งงานทุกอย่างแล้วไปนั่งเกาะพิมพ์แชทตอบไปทันทีครับ



   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ได้แล้วครับ


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : จริงๆ หมอไม่ต้องคืนก็ได้นะ นี่ตั้งใจเลี้ยงง



   HAPPYYIND : ไม่ต้อง


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : งั้นเดี๋ยวผมซื้อเป็นขนมไปให้อีกที


   HAPPYYIND : ฉันก็จะฝากเงินคืนไปอีกนั่นแหละ



   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : เอามาเลยครับ เดี๋ยวผมจะเอาเงินที่หมอให้เก็บใส่กระปุกไว้เผื่อไปสู่ขอหมอ

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : โห่ฮี้โห่ววว ฮิ้ววววววววว //ซ้อมร้อง



   HAPPYYIND : ตลก?


   ผมหัวเราะชอบใจกับการตอบกลับมาของหมอยิน คิดภาพหน้าบึ้งๆ นั่นพูดคำนี้ตามออกมาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ครับ  นี่สินะที่เขาเรียนกันว่าคลั่งรัก  ต่อให้อีกฝ่ายทำอะไรก็ดูดีในสายตาเราไปหมด


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : หมออยากไปเล่นห้องหมออะ


    กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พรุ่งนี้ไปได้ปะครับ งานเสร็จรึยัง




   หมอมันอ่านแล้วนิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนตอบกลับมาครับ คงกำลังลังเลว่าจะให้ผมไปปรนนิบัติดีรึเปล่า ไปห้องหมอมันแต่ละทีนี่นึกว่ากลายสภาพเป็นซินเดอเรลล่า เก็บกวาดเช็ดถูกยังกับเมียทาส


   HAPPYYIND : ได้ แต่ห้ามกวนตอนอ่านหนังสือ




   “เยสสสสสสสสสสสส!!”


   “อะไรของมึง”


   พี่เนย์ที่อาบน้ำเสร็จออกมาใหม่ๆ ทำหน้างงๆ ใส่ผมที่กำลังชูสองมือขึ้นฟ้าพร้อมตะโกน  ผมไม่ตอบพี่เขาไปครับเพราะมัวแต่คิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรยังไงดี  …หมอยินใจดีขึ้นเยอะนับจากวันแรกที่ได้คุยกันครับ เหมือนกับว่าอะไรๆ มันจะเริ่มเป็นใจให้ผมมากขึ้นทุกที





   ‘ฉันจะให้คนขับรถไปรับ ห้ามสายล่ะ แล้วก็จำไว้ด้วยว่าเธอจะต้องไม่บอกใครเรื่องนี้ แม้แต่กับยินดีเองก็ตาม’




   …ยกเว้นก็แต่เรื่องของคุณพ่อตานี่แหละครับที่เข้ามากวนตะกอนความสุขของผมให้ขุ่นมัวขึ้น  อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะเข้าสู่วันนั้นแล้วครับ  วันที่ผมจะต้องเดินขึ้นเขียงด้วยตัวเอง ไม่บอกใคร(จริงๆ คือบอกใครไม่ได้ ฮือ)อย่างห้าวหาญ ถึงตายก็ตายเพราะความรักอย่างภักดีครับ




   แต่เอาจริงๆ ก็อย่าให้ถึงกับตายเลยนะครับ ฮือ แค่ผมไปจีบลูกชายพ่อเท่านั้นเอง




tbc.
*****************************************

ขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์เลยนะคะ นักเขียนมือใหม่ปลื้มใจทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนท์ของทุกคน ขอบคุณมากค่ะ ฮือ


เรื่องนี้ตั้งใจว่าจะให้ดำเนินไปเรื่อยๆ  ไม่ได้อยากจะเน้นเเค่ความสัมพันธุ์ระหว่างคนสองคนอะค่ะ

อยากจะพูดถึงทุกๆ รูปเเบบของความสัมพันธุ์ด้วย ทั้งเพื่อน ครอบครัว คนรัก อะไรเเบบนี้ค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งที่ตามอ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ ^^ สัญญาว่าจะพยายามอัพให้ถี่ๆ เเบบนี้ตลอดไป555 เเม้งานจะรัดตัว

เเต่เราเองก็เเฮปปี้ทุกครั้งที่ได้อัพเเล้วก็อ่านคอมเมนท์ฟีดเเบ็คนะคะ

อิอิ เลิฟยอล
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 08-11-2016 00:36:49
ย ยังไม่เห็นแววพระรองจากพี่ผึ้งเลย /เอ้ะหรือเข้าทางธันวานะ เอ้ะ สรุปว่าม่อจริงๆใช่มะ เอ้ะ

ดีใจที่คนเขียนอัพบ่อยๆเหมือนกันค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากๆเลย  :3123:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 08-11-2016 08:50:27
รอลุ้นวันไปเจอคุณพ่อตา
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 08-11-2016 10:48:59
พี่ผึ้งนี่คู่กับธันวาหรือเปล่าาา  :hao7:
หมอยินใจดีกับหนูกิ่งขึ้นแล้วว
แต่รอดูตอนหนูกิ่งปะกับว่าที่พ่อตาซิ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 08-11-2016 11:24:26
ชอบกิ่ง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 08-11-2016 17:16:42
เดียวจะได้ไปหาพ่อตาแล้วไง
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 10-11-2016 01:32:57
พี่เปาไปไหนคู่นี้ยังไง

กิ่ง ด้านต่อไป
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 14-11-2016 18:11:50
วิ่งเข้ามารอ ฮือออ ไรท์หายย คิดถึงน้องกิ่งงง :hao5:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 14-11-2016 18:56:03
ปูเสื่อนั่งรอหนูกิ่งค่า
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 14-11-2016 19:49:19
ติดตามต่อไปค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Starry[Blue] ที่ 24-11-2016 17:14:34
แอบมานั่งรออ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 13-12-2016 17:09:25
บางทีก็กลัวว่าคนเขียนจะลืมเรื่องนี้
มาต่อเถอะค่ะได้โปรด อิชั้นนั่งรอนอนรอให้พี่มาต่อเรื่องนี้ตลอดเวลาเลย :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 05-01-2017 00:57:03
แง๊ ใจไม่ดีเลย อย่าทิ้งเลยนะค้า ชอบน้องกิ่งหมอยินมากเลยย8 :hao5:
หัวข้อ: Re: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-12-2017 19:48:37
รอ  :call: :call: :call: