Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-14-
“คุณจันทร์ตื่นได้แล้วครับ”
เสียงไอ้โซ่เข้ารบกวนโสตประสาทจนต้องขมวดคิ้วแล้วย่นคอซุกเข้าใต้หมอน
“คุณจ้านนนนน”
แสบแก้วหูขนาดคงจะหนีไม่พ้นต้องตื่นแน่นอน
“อือๆๆ ตื่นแล้ว”
ขานรับไปก่อนเอาให้เพื่อนรักได้สบายใจ ไอ้โซ่เองก็เงียบไปครู่ใหญ่ผิดวิสัยจอมตื๊อจนผมต้องผงกหัวและเปิดเปลือกตาขึ้นมอง จึงได้รู้ว่าไอ้โซ่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง
“คุณจันทร์”
เสียงที่เรียกผมมันเบาหวิวจนรู้สึกใจหายและไม่กล้าแม้แต่จะกระดุกกระดิกตัว ผมครางตอบ ‘อือ’ ในลำคอ ไอ้โซ่หันหน้ามาสบตากับผม ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มแบบฝืดๆ จากนั้นก็ยกมือชี้ไปที่กองผ้าห่มแบบสโลว์โมชั่น
“คุณจันทร์ฝันเปียก?”
หืมม???? ตาโตหูตั้งกับประโยคของไอ้โซ่ และยังไม่ทันที่ผมจะแก้ตัวหรือถามความใดๆ เพิ่มเติม ไอ้โซ่ก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างไวแล้วจิ้มจึกเข้าที่คอ
“แล้วที่คอนี่.. รอยอะไรครับ?”
ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดพร้อมยกมือขึ้นลูบที่คอตัวเอง
“ย..”
“อย่าตอบว่ายุงหรือมดกัด..”
อ้าว เฮ้ยยย! โดนดักทางแบบนี้แล้วผมจะตอบว่าไงละ ไอ้โซ่เหลือบหางตามองผมแล้วทำเสียง
‘จิ๊จ๊ะ’“ไอ้โซ่ไม่เคยสอนให้คุณจันทร์ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบนี้นะครับ”
คนเพิ่งจะตื่น สติยังไม่ทันจะครบสมบูรณ์พอจะคิดหาคำตอบได้ทันก็อย่าเพิ่งมั่วสิครับคุณเพื่อน ขอคิดหาคำแก้ตัวนิดนึงก่อนไม่ได้รึไง
“อ อะไรเล่า?”
แก้ตัวไม่ทันก็ตีหน้ามึนไปก่อนละกัน แต่ท่าทางไอ้โซ่จะไม่เชื่อหรอกครับ ยกมือเท้าสะเอวจ้องหน้าผมยังกับองค์แม่มลเข้าประทับร่าง
“รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยเสียตัวให้คุณพี่ยูก็ได้นี่ครับ ของคุณจันทร์เล็กนิดเดียวไม่อายคุณพี่ยูเขารึไง?”
เดี๋ยวๆๆ ทำไมมันฟังทะแม่งๆ เหมือนโดนหลอกด่าชอบกล
“อ้าว มัวแต่นั่งทำตาโตอ้าปากพะงาบๆ อยู่นั่นแหละ ลุกขึ้นไปอาบน้ำสิครับ ไอ้โซ่ต้องรื้อผ้าปูที่นอน กับผ้าห่มไปซักอีก”
ตกลงไอ้โซ่มันเป็นห่วงผมจริงๆ ใช่มั๊ยครับเนี่ย? แต่ผมเล่นบทตีหน้ามึนก็มึนให้ขั้นสุดครับ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างมึนๆ นี่แหละง่ายสุด
.
.
.
.
.
โดนไอ้โซ่บ่นพึมพำจนถึงมหาวิทยาลัยมันจึงยอมหยุดให้ผมได้ไปเรียนส่วนตัวมันเองก็ไปสิงสถิตอยู่ในห้องสมุดเช่นเคย และจากการที่ไอ้โซ่มาเรียนกับผมแทบจะทุกวันทำให้พักนี้มีเพื่อนผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า
‘สาววาย’ เข้ามาทำความรู้จักผมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลไปยังคำฮิตประจำคณะอย่าง
‘ชาวจันทร์’ ที่นอกจากจะใช้เรียกพวกหัวโบราณล้าหลังแล้วยังรวมถึงรักร่วมเพศประเภทไม้ป่าเดียวกันด้วย ถูกต้องแล้วครับผมกับไอ้โซ่เราทั้งคู่ถูกมองว่าเป็นคู่รักกัน เรียกได้ว่าเรื่องของผมแต่ละเรื่องดังยิ่งกว่าดาวเดือนคณะซะอีก แต่ถามว่าเราแคร์มั๊ย? แล้วไง? ใครแคร์??? พ่อแม่ส่งผมให้มาเรียนครับไม่ได้ให้มานั่งคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้
หมดวิชาคาบบ่ายรุ่นพี่ก็นัดประชุมเรื่องออกค่ายที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า แจกกำหนดการเวลาและกิจกรรมพร้อมกับจับฉลากคู่นอนเต้นท์ละ 3 คนซึ่งคละรุ่นพี่รุ่นพี่น้องกันครับ โดยมีกล่องใส่ชื่อรุ่นพี่ปี 2 ถึง 4 เอาไว้แยกเป็นชายหญิงอย่างละกล่องแล้วให้รุ่นน้องปี 1 ไปจับ ผู้ชายก็จับกล่องผู้ชาย ผู้หญิงก็จับกล่องผู้หญิง ผมนั่งมองเพื่อนๆ จับฉลากก็ไม่เห็นมีอะไรให้ตื่นเต้นแต่เมื่อถึงคิวผมเท่านั้นแหละจับฉลากขึ้นมาแล้วเอ่ยชื่อรุ่นพี่ผู้โชคดีทั้ง 2 คนปุ๊ปเสียงกรีดร้องกลองรัวกึกก้องลั่นลานกิจกรรมเลยทีเดียว ส่วนผมนะเหรอ? ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ
หมดไปอีก 1 วันสำหรับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย วันนี้คนที่มารับผมกับไอ้โซ่เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาละอ่อนใสกริ๊กที่ชื่อว่า
‘พบรัก’ ครับ
“จำน้องเปี๊ยกได้มั๊ย?”
ผมกับไอ้โซ่พยักหน้าพร้อมกัน ใครจะจำน้องเปี๊ยกไม่ได้บ้างละครับ ขึ้นมาบนรถมินิคูเปอร์คันเล็กแต่ราคาไม่เล็กตามขนาดนอกจากจะเจอเจ้าของรถแล้วยังมีน้องชายของเจ้าของรถสี่ขาอีกตัวนึงด้วยนะครับ หน้าตายับย่นแต่น่ารักและฉลาดแสนรู้ที่สุด
“ไหนๆ ก็รู้แระ เรียกพี่ว่าพี่ไอละกัน”
“ครับ พี่ไอ”
ระหว่างทางพี่ไอก็ชวนคุยโน่นนี่นั่นจนลืมไปเลยว่าเมื่อก่อนตอนเจอคุณหนูไอครั้งแรกผมกับไอ้โซ่นั่งเกร็งขนาดไหน และที่สำคัญคือลบภาพคุณหนูแสนหวานสาวในฝันของผมทิ้งไปได้เลยเพราะถึงแม้พี่ไอจะตัวเล็กหน้าเด็กและหน้าตาน่ารักสักแค่ไหนแต่เมื่อเป็นตัวของตัวเองแบบนี้แล้วนิสัยแมนสุดๆ เลยครับ นี่แหละไอดอลแบบที่ผมหามานาน
“เดี๋ยวเราหาอะไรกันกินก่อนแล้วค่อยเดินดูของละกันนะ”
“ครับ”
ลูกพี่ว่าไงพวกผมก็ว่าตามนั้นแหละครับ อ่อ ลืมบอกไปว่าวันนี้พี่ไออาสาพาผมกับไอ้โซ่มาซื้อของใช้จำเป็น เพราะจะให้ผมไปพึ่งพาพี่ยูก็คงจะต้องรอไปอีกครึ่งชาติกว่านักธุรกิจคิวทองจะว่าง
กว่าจะฝ่าการจราจรมาถึงห้างดังใจกลางเมืองหลวงได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งความจริงแล้วห้างนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่พักสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมกับไอ้โซ่ก็ไม่เคยออกมาเดินเที่ยวสักทีด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ชอบบรรยากาศผู้คนจอแจดังนั้นวันหยุดก็มักจะหมกตัวพักผ่อนอยู่ในห้องซะมากกว่า
“อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
พี่ไอเลือกร้านอาหารสุกี้ยอดฮิตเพราะคงคิดว่าง่ายสุดสำหรับพวกผม แต่ดูจากราคาเมนูแล้วผมคิดว่าให้พี่ไอเป็นคนสั่งให้น่าจะดีกว่านะครับ
“อ้าว สั่งสิ”
“พี่ไอสั่งมาเถอะครับพวกผมกินได้หมด”
จะกินจนหมดให้คุ้มกับราคาเลยล่ะครับ
“เอางั้นนะ?”
“คร้าบบบ”
หลังจากกวาดสายตาดูเมนูครู่หนึ่ง พี่ไอก็สั่งรวดเดียวจนผมกับไอ้โซ่ฟังแทบไม่ทัน และเมื่อพนักงานรับออร์เดอร์เสร็จน้องเปี๊ยกที่หลบอยู่ในกระเป๋าผ้าก็โผล่หน้าออกมาส่งสายตากลมใส พี่ไอบอกว่าพาน้องเปี๊ยกมาเดินเล่นในห้างบ่อยๆ จนรู้มุมหลบสายตาผู้คนและพนักงาน น้องเปี๊ยกก็ฉลาดนะครับไม่มีส่งเสียงหรือสร้างความรำคาญใดๆ เลย บางครั้งผมยังแอบคิดว่าน้องเปี๊ยกฟังและเข้าใจทุกเรื่องที่พวกเราพูดกันด้วยซ้ำ
ไม่นานพนักงานก็เดินมาเสิร์ฟอาหารจนเต็มโต๊ะ กินกันไปคุยกันไปจนอิ่มพี่ไอก็ชวนไปเดินช้อปปิ้งย่อยอาหารกันต่อ และขณะที่กำลังเดินตามพี่ไอช้อปปิ้ง ผมก็เห็นป้ายโฆษณาภาพยนตร์ญี่ปุ่นโบราณเรื่องหนึ่ง มันทำให้ผมหวนคิดถึงความฝันครั้งล่าสุด อ้อมกอดอันแสนคิดถึงที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาปคาวเลือดจากชุดเกราะซามูไร ในความฝันมีสัมผัสที่คุ้นชิน โดยเฉพาะแผ่นหลังกว้างที่เป็นเหมือนดังเกราะกำบังคอยปกป้องผม และคิดไปคิดมาก็พาลทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน.. ฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมมือของผมไว้ให้ขยับเคลื่อนไหว รูด และรั้ง จน...
“จริงเหรอน้องจันทร์?”
ห ห๊า??? อะไรเหยอ???
“อ อ่อ ครับ”
ก็ไม่รู้หรอกว่าพี่ไอกับไอ้โซ่คุยเรื่องอะไรกันแต่เพื่อกลบเกลื่อนความใจลอยก็ต้องเออๆ ออๆ ไปก่อนล่ะกัน
“ใจลอยและหน้าแดงแบบนี้คิดอะไรอยู่เอ่ย??”
อ้าว โดนจับได้ว่าใจลอยซะงั้นแล้วทำไมทั้งคู่ต้องหันมามองผมด้วยสายตาจับผิดแบบนั้นล่ะ???
“เพลงเพราะนะเนี่ย”
ยังไม่ทันจะคิดหาข้อแก้ตัว จู่ๆ พี่ไอก็เปลี่ยนประเด็นแบบโค้กหักศอก แล้วลากผมกับไอ้โซ่เดินเข้าไปในโซนเครื่องเขียน แต่ผมเห็นนะว่าพี่ไอหันไปขยิบตากับไอ้โซ่ด้วย
“ฟังสิครับคุณจันทร์ เพลงนี้ไง”
เออๆ ฟังก็ได้ หยุดสนใจสิ่งรอบข้างแล้วตั้งใจฟังเพลงที่เปิดอยู่ในโซนเครื่องเขียน
... ท้องทะเลท้องฟ้ามีเพียงแค่เรา ท่ามกลางหาดทรายขาว
แสงดวงดาวพร่างพราว ประกายสวยงาม
ดั่งบนสวรรค์เปิดทาง ให้คนอ้างว้างอย่างฉัน
บอกความในใจให้เธอได้ฟัง โอกาสอย่างนี้ ต้องพูดไป...
“ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น อยากให้เชื่อกัน พยานคือฟ้าที่เฝ้าดู”
ท่อนนี้พี่ไอกับไอ้โซ่ประสานเสียงกันร้องคลอตามเบาๆ ว่าแต่ทำไมต้องเหลือบมองมาทางผมพร้อมกันด้วยครับเนี่ย ผมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ฟังเพลงต่อไป จะว่าไปผมก็ชอบเพลงนี้มาตั้งนานแล้วเพราะมันน่ารักดี ฟังกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ
..แล้วเธอคิดอย่างไรเมื่อได้รู้บอกที อยากฟังจากปากเธอ
หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีๆ เหมือนกัน
แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา
แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา ก็พอ...
อ้าวเฮ้ย! ฟังเพลงอยู่ดีๆ แล้วทำไมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและสายตาที่แสนเร่าร้อนของพี่ยูถึงลอยวาร์ปเข้ามาในหัวของผมได้ละเนี่ย???
...และฉันจะขอเป็นคนนั้นที่ดูแลหัวใจ
ไม่เคยบอกรักใครคนไหนเพิ่งจะมีแค่เธอ....
“และฉันก็อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเธอ...”
เหยดด ผมเผลอแหกปากออกมาเสียงดังเชียว แล้วเป็นไงล่ะครับทีนี้ ผมก็ตกเป็นเป้าสายตาจากทุกคนน่ะสิ ไม่ใช่แค่พี่ไอ ไอ้โซ่และน้องเปี๊ยกนะครับ คนที่อยู่ในโซนเครื่องเขียนหันมามองผมเป็นตาเดียว เล่นเอาผมอายจนต้องย่อตัวลงนั่งแล้วยกมือปิดหน้าเอาไว้ ไอ้พี่ยูบ้าเอ้ย! ทำผมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน คราวหน้าจะไม่ให้เข้ามาในห้องนอนอีกเลยคอยดู!
เพลงยังคงบรรเลงไป ผมก็ได้แต่ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ งานนี้ต้องโทษพี่ยูคนเดียวเลยล่ะครับ เมื่อคืนดันทะลึ่งมาสอนผมช่วยตัวเองให้ถึงจุดสุดยอดไม่พอยังบังคับให้ผมช่วยแท่งยักษ์มโหฬารให้พ่นน้ำอีก แค่คิดก็อ๊าอิยาอิยา.. เหมือนในเพลงนั่นแหละครับ และก่อนที่ผมจะอายจนต้องดึงเสื้อมาปิดหน้า ท่อนฮุคก็วนกลับมาอีกรอบ ความเงียบและความรู้สึกอ๊าอิยาอิยา ของผมก็ปิดฉากลงด้วยรอยยิ้มที่มาพร้อมกับเสียงประสานของพี่ไอและไอ้โซ่ในท่อนจบของเพลง
“แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ...”
หืมมม?? ผมเงยมองพี่ไอกับไอ้โซ่ตาปริบๆ ไอ้โซ่ยักคิ้วให้ผม พี่ไอก็ต่อยลงบนหัวไหล่ผมเบาๆ เหมือนจะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ โอเคครับ ผมจะเชื่อพี่ไอคิดซะว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติดินฟ้าอากาศลมฝนล่ะกัน
.
.
.
.
.
อย่าถามว่าผมกับไอ้โซ่ได้อะไรกลับมาจากห้างหรูเช่นนั้นบ้าง เอาเป็นว่าเค้ก ขนม น้ำผลไม้ และของในซุปเปอร์มาเก็ตจำพวกผักสดและของแห้งทั้งหมดที่อยู่ในตู้เย็นขณะนี้เป็นของสมนาคุณจากพี่อั้ให้ผมและไอ้โซ่ได้ติดไม้ติดมือกลับมา
หลังจากอาบน้ำกันเรียบร้อยแล้วผมกับไอ้โซ่ก็มานั่งคุยโทรศัพท์กับคนที่บ้านสวนให้พอได้หายคิดถึง จากนั้นไอ้โซ่ก็เปิดทีวีฟังข่าวสารบ้านเมืองไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย ส่วนผมก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างๆ ไอ้โซ่นี่แหละ อ่านไปอ่านมาหนังตาก็หย่อนจนเผลอหลับไป และนี่เป็นอีกครั้งครับที่ทำให้ผมฝัน.. ความฝันของเรื่องราวในคืนฤดูใบไม้ผลิ เรื่องเดิม แบบเดิม ซ้ำที่เดิม วนลูปเหมือนกับความฝันเมื่อครั้งก่อนที่ผมจะเจอพี่ยู..
ในความฝันมีเรื่องราวมากมายที่น่าจดจำ ทั้งความงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่งภายใต้แสงจันทร์ อีกทั้งอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นและความคิดถึงที่ล้นปรี่เต็มหัวใจ แต่สันชาตญาณของผมกลับไม่ได้โฟกัสอยู่ที่สิ่งสวยงามเหล่านั้น มีแค่เพียงภาพที่ผมมองไม่เห็น ภาพที่ถูกแผ่นหลังอันแข็งแกร่งบดบังเอาไว้ราวกับว่าไม่ต้องการให้ผมได้เผชิญกับเขาคนนั้น เจ้าของน้ำเสียงอันไพเราะแต่ทว่าเฉียบขาดและทรงอำนาจ... มิกิ?
“คุณจันทร์?”
ผมสะดุ้งตื่น
“ฝันร้ายเหรอครับ?”
ไอ้โซ่มองหน้าผมด้วยความเป็นห่วง ผมจึงส่ายหน้าเพราะจะตอบว่าฝันร้ายก็ไม่ใช่แต่จะตอบว่าฝันดีก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน
“กี่ทุ่มแล้วเนี่ย?”
“สี่ทุ่มครับ คุณจันทร์ลุกขึ้นไปนอนในห้องเถอะ”
ผมพยักหน้ารับแล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปล้มตัวลงนอนบนเตียง แต่ผมกลับนอนไม่หลับ.. พลิกตัวไปมาก็แล้ว นับแกะก็แล้ว ข่มตายังไงก็ไม่หลับ ไม่หลงเหลือความง่วงแม้แต่นิดเดียว ผมนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ จนความอดทนหมดลงจึงลุกขึ้นมานั่งขยี้หัวตัวเองเล่น ขณะนี้เวลา 23 นาฬิกา 14 นาที ถ้าผมจะเดินไปเคาะประตูห้อง 1809 จะดูน่าเกลียดมั๊ยน๊า???
“เฮ้อออ”
ถอนหายใจให้ตัวเองก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบนมมา 1 กล่อง แล้วเดินออกจากห้องไปหยุดยืนอ่านตัวเลข 1809 อยู่พักใหญ่ สุดท้ายมือก็เผลอไปกดออดหน้าห้องจนได้ ซึ่งแน่นอนครับคนเปิดประตูคือคุณมาซารุ ผมค้อมศีรษะขอโทษที่มารบกวนในตอนดึกพร้อมทั้งฉีกยิ้มหวานและส่งนมในมือให้คุณมาซารุ ได้โปรดอย่าคิดว่ามันเป็นสินบนนะครับ
คุณมาซารุรับนมจากผมด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนเคย จากนั้นก็ผายมือเชิญผมเข้าไปในห้อง และเหมือนเดิมครับเจ้านายของคุณมาซารุยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานชั้น 2
ก๊อกๆแม้ประตูจะเปิดไว้แต่เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาทผมจึงเคาะประตูหน้าห้อง คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมองผม วินาทีที่สบตากันผมกลับเห็นพี่ยูเป็นภาพของคนที่อยู่ในอดีต เส้นผมยาวที่ถูกรวบไว้ด้านหลังหลุดลงมาปรกใบหน้าคมเข้มเล็กน้อย แววตาคู่นั้นฉายชัดถึงความเจ็บปวดแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็ทำให้ภายในอกด้านซ้ายของผมสะท้านวูบไหว
“จันทร์..”
“พ พี่ยู?”
ตอนนี้คนตรงหน้าของผมกลับมาเป็นอิเคดะยูคนเดิม คิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะวางปากกาแล้วลุกขึ้นเดินมาหาผม
“เธอร้องไห้?”
หืม?? ยกมือขึ้นแตะๆ บนแก้ม จึงได้รู้ว่าผมร้องไห้จริงๆ
“เธอเห็นอะไร?”
“ซามูไร”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม
“ผมเห็นพี่ยูในอดีต”
“ฉันในอดีต? ทำไม?”
นี่แหละครับคือคำถามที่ผมเองก็อยากรู้เช่นกัน ทำไมทุกครั้งที่ผมเห็นภาพซ้อนทับของพี่ยูในอดีตผมจะต้องร้องไห้คล้ายจะสำนึกผิดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ แม้จะบอกตัวเองว่าอย่าไปยึดติดกับอดีตให้มองแค่ปัจจุบันมีผมและมีพี่ยูเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะทำยังไงอดีตก็ยังคงมาวนเวียนราวกับต้องการจะบอกอะไรกับผม อะไรบางอย่างที่มีแค่ตัวผมเองนี่แหละที่สามารถหาคำตอบได้ คำตอบของความจริงที่ทซึกิปิดบังไว้..
“พี่ยูรู้บ้างมั๊ยว่าในอดีตทซึกิเป็นคนยังไง?”
“ฉันรู้ในรายละเอียดมากนัก ฉันแค่สัมผัสได้ว่าทซึกิแตกต่างจากเธอในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน และรู้แค่ว่าทซึกิโกรธฉัน”
“โกรธเรื่องอะไร?”
พี่ยูส่ายหน้า
“นั่นแสดงว่าเราไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง”
“ฉันรู้เท่าที่คุณปู่ทวดบอกไว้ และรู้เท่าที่สันชาตญาณของฉันจะสัมผัสได้”
“คุณปู่ทวดของพี่ยูบอกอะไรพี่ยูไว้อีกบ้าง? โดยเฉพาะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณซามูไร ทซึกิ และมิกิ..”
พี่ยูเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเราประสานกันแน่นิ่ง
“มิกิคือพี่สาวของทซึกิ เธอทั้งคู่เป็นบุตรของท่านโชกุน ฉันในอดีตเป็นซามูไรที่ท่านโชกุนหมายหมั้นจะให้แต่งงานกับมิกิ แต่หลังจากที่ท่านหญิงผู้เป็นท่านแม่ของทซึกิสิ้นไป ท่านโชกุนก็ให้ฉันดูแลทซึกิและให้เราเข้าพิธีชุโดกัน”
“พิธีชุโด.. คืออะไรเหรอครับ?”
“ชุโด คือ ประเพณีแห่งสายใยรักที่เปรียบได้ดัง
‘ดอกไม้แห่งจิตวิญญาณของซามุไร’ สำหรับสังคมซามุไร นี่ถือว่าเป็นประเพณีที่มีเกียรติ เป็นการปฏิบัติที่สำคัญ”
คนอธิบายไม่อธิบายแค่เปล่าๆ สายตาส่องประกายวาววับมือก็ขยับกระชับสะโพกผมไว้ แล้วทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนมีใครเอาไฟมาอังไว้บนใบหน้าแบบนี้ละครับ
“พ พี่ยู..”
เรียกสติก่อนสตาร์ท เฮ้ย! เรียกสติแล้วมาต่อกันครับ หายใจลึกๆ คิดถึงหน้าตายายและพ่อต้อมแม่มลไว้ ‘ส่งลูกมาเรียนไม่ได้ให้มาหาผัว’ เพราะฉะนั้นห้ามเคลิ้มเด็ดขาด!
“พี่ยูฟังจันทร์นะ.. ในความฝันของจันทร์ คุณซามูไรบอกให้ทซึกิหนี.. หนีจากอะไรสักอย่างที่มันคงจะน่ากลัว แล้วทซึกิก็อธิษฐานให้คุณซามูไรตามหาเขาให้เจอ ในความรู้สึกตอนนั้นทซึกิเจ็บปวดอย่างที่สุด และผมคิดว่าทซึกิมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ปิดบังคุณซามูไรเอาไว้”
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่?”
“พี่ยูลองคิดดีๆ สิ พี่ยูตามหาจันทร์เพราะความรักที่คุณซามูไรมีต่อทซึกิใช่มั๊ย? แต่เหตุผลที่ทซึกิต้องการให้คุณซามูไรตามหาล่ะ? จันทร์คิดว่านอกจากเหตุผลที่ทซึกิเองก็รักคุณซามูไรแล้วมันยังมีเหตุผลอื่นด้วย”
“เกี่ยวกับมิกิอย่างนั้นเหรอ?”
“จันทร์เองก็ไม่แน่ใจแต่จันทร์คิดว่าจันทร์อยู่เฉยๆ หรือทิ้งมันไว้แบบนี้ไม่ได้ จันทร์จึงจำเป็นต้องหาคำตอบ”
“นั่นอาจจะทำให้เธออาจจะตกอยู่ในอันตราย”
“จันทร์จะไม่เป็นอะไรเพราะจันทร์มีพี่ยูอยู่ตรงนี้แล้วไง.. ไหนหันหลังสิ”
จับพี่ยูหมุนตัว ตอนนี้ผมยืนอยู่ด้านหลังของพี่ยู แผ่นหลังกว้างแข็งแรงบดบังผมแทบมิดแบบนี้แหละ คือคนๆ นี้คนเดียวที่คอยปกป้องผมไว้เสมอ
“สมมติว่าในมือของพี่ยูมีดาบของซามูไรและมีคนร้ายยืนอยู่ตรงนั้น”
ชี้ไปที่พื้นที่ว่างด้านหน้าของพี่ยู ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอแต่ถึงอย่างนั้นพี่ยูก็ยังแสดงบทบาทตามที่ผมกำกับ มือทั้งสองข้างยกดาบของซามูไรขึ้นด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ผมยกมือขึ้นวางบนแผ่นหลังที่เปรียบดั่งเหมือนเกราะกำบังคุ้มภัย ชุดนอนผ้าแพรที่พี่ยูสวมใส่เปลี่ยนเป็นสัมผัสหยาบกระด้างของผ้าดิบ ปลายผมยาวที่ถูกรวบไว้ด้านหลังระอยู่บนหลังมือของผม
“โอนี่จัง..”
“หืม?”
คนที่รับบทเป็นซามูไรยืดแผ่นหลังตรงแล้วหันกลับมามองหน้าผม
“จันทร์จะกลับไปเป็นทซึกิ.. จันทร์จะเปิดใจตัวเองในฐานะทซึกิ..”
“เพื่อ?”
“จันทร์อยากจะรู้ความลับที่ทซึกิซ่อนไว้.. เพราะนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้คุณซามูไรไม่ต้องรอคอยทซึกิอย่างทรมานอีกต่อไป”
เหตุผลของผมทำให้คนฟังเงียบ ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าของผมไว้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกกลัวในการที่จะเปิดใจเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ถ้าหากคุณซามูไรยังคงจมอยู่กับความทรมานนั่นก็หมายความว่าจิตใจส่วนลึกของพี่ยูในปัจจุบันก็ยังคงถูกรบกวน เช่นเดียวกับผมที่ต่อให้พยายามหนีทซึกิสักแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยหนีพ้นเลยสักครั้ง เพราะจิตวิญญาณของทซึกิยังคงซ้อนทับอยู่ในตัวผม อดีตของเราทั้งคู่ทำให้เราได้มาเจอกันไม่ใช่เพียงเพราะ
‘รัก’ แต่มันยังมีเหตุผลบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้
“ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น ฉันก็มีหน้าที่ปกป้องเธอ”
“น่ารักที่สุดเลยแฟนใครเนี่ย?”
“แฟนน้องจันทร์”
อั่ยยะ! ตอบถูกใจ งั้นผมให้จูบเป็นรางวัลละกัน สบตาให้หวานฉ่ำแล้วเขย่งเท้า คว้าคอหมับโน้มมาประทับริมฝีปากเลยสิครับรออะไร
.
.
.
.
.
.
TBC...
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของรินล้วนๆ นะคะ เรื่องราว เหตุการณ์ และข้อมูลต่างๆ ล้วนเอามาดัดแปลงให้เข้ากับเนื้อเรื่องและใช้เพื่อเพิ่มอรรถรสเท่านั้นค่ะ
รักคนอ่านและ + เป็ด ทุกความคิดเห็นนะคะ
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆ เลยนะคะ
[/b]