Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-2-
เมื่อคืนผมฝัน... ฝันแบบเดิม เหตุการณ์เดิมๆ แต่จะต่างกันก็ตรงที่ผมเห็นแววตาวูบไหวภายในดวงตาคู่คมนั้นได้อย่างชัดเจน และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตื่นสาย
กระจกสะท้อนเงาตัวผม นี่คือผมเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี แม้จะเติบโตมาตามแบบลูกชาวสวนชาวนาทั่วไป แต่ผิวที่ขาวจัดบวกกับรูปร่างหน้าตาที่ถอดแบบคุณยายมาไม่ผิดเพี้ยนและในความฝันนั้นก็เป็นเหมือนเงาในกระจกตรงหน้าไม่ผิดเพี้ยนเช่นกัน
‘อิทซุมาเดะโมะ อะนาตะฮะ วะตาชิ โวะ มิทซุเคะดะดะชิเตะกุดะไซ’
ไม่ว่านานแค่ไหน ท่านจะต้องหาข้าให้เจอ.. “อะไรกันคือสาเหตุที่ทำให้คนหนึ่งคนเจ็บปวดได้ถึงขนาดนี้??”
ยกมือขึ้นวางแนบบนอกด้านซ้ายของตัวเอง ผมถามเงาในกระจกและคำตอบที่ได้รับก็คือรอยยิ้ม
ผมยิ้มหวานให้ตัวเองในกระจกหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องนอน แค่เปิดประตูก็เจอไอ้คุณโซ่ยืนหน้าทะเล้นอยู่แล้วครับ ลูกกะตากลมโตสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ทำไมคุณจันทร์แต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ??”
ทักทายผมซะเสียเซลล์เลยครับ ผมรีบก้มสำรวจตัวเอง ผมใส่เสื้อยืดลายทหารกับกางเกงวอร์มเก่าๆ ที่ผมใช้ใส่ทำงานในสวน
“ทำไม? วันนี้แต่งแล้วดูหล่อเป็นพิเศษ?”
“อย่าหล่อไปกว่านี้เลยครับ สงสารลูกเด็กเล็กแดงในหมู่บ้านมันบ้างเถ๊อะ”
ใบหน้าคมคายฉีกยิ้มประจบ แต่ผมกลับรู้สึกทะแม่งๆ ยังไงชอบกล แต่ช่างมันเถอะครับ ผมออกไปดูน้องเห็ดของผมดีกว่า
“คุณจ้านนนน” มันเกาะแขนรั้งผมไว้
“อะร๊ายย?”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น กลับเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดเถอะครับ”
“เหตุผล?”
“ว่าที่คู่หมั้นของคุณเดือนกำลังจะมาที่บ้านสวนยังไงล่ะครับ”
“แล้ว?”
“ก็ไม่แล้วไง ก็แค่คุณจันทร์ของไอ้โซ่แต่งตัวให้ดูดีเป็นการเป็นงานเท่านั้นเองยังไงล่ะครับ”
“แล้วชุดที่ใส่อยู่เนี่ยไม่เป็นการเป็นงานตรงไหน?”
เจอคำถามของผมไป ไอ้โซ่ยืนทำหน้าเป็นหมางงเลยครับ
“ชั้นใส่ชุดนี้ไปทำงานอยู่นี่ไง ทำงานแบบจริงจังด้วย”
เข้าโรงเพาะเห็ดเสร็จแล้วจะไปดูงานในสวน เห็นมั๊ยว่าชุดนี้โคตรเป็นการเป็นงานเลยนะครับ คำตอบของผมทำเอาไอ้โซ่ไปต่อไม่ถูก ได้แต่ยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วก็เกาหัวหงิกๆ
“จันทร์”
“ครับแม่มล”
ผมหันไปยิ้มให้แม่มลที่กำลังจะเดินถือถาดดอกมะลิไปให้คุณยาย
“วันนี้จันทร์ไม่ต้องเข้าสวนสักวันนะลูก”
อ้าว??
“ไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยตามที่โซ่บอกด้วย”
เฮ้ย??
“เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ออกมาหาแม่กับยายที่นอกชานนะลูก”
ใบหน้าสวยส่งรอยยิ้มละมุนให้ผมก่อนจะเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ที่ดังอยู่ใกล้ๆ ผมจึงตวัดหางตาใส่ไปหนึ่งที ไอ้โซ่เงียบกริบเลยครับ
“เดี๋ยวผมไปช่วยครูเอี่ยมลงต้นไม้ตรงริมรั้วก่อนนะครับ”
ร่างสูงโปร่งของไอ้คุณโซ่วิ่งฉิวหายไปทิ้งให้ผมยืนทำหน้าเซ็งเพียงลำพัง จะอะไรกันนักหนาเนี่ย ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ ก็แค่เปลี่ยนจากกางเกงวอร์มเก่าๆ เป็นกางเกงขาสามส่วนลายทหารให้เข้ากับเสื้อ แหม เท่ห์ระเบิดไปเลยใช่มั๊ยครับ
โผล่หน้าหล่อๆ ออกมาสำรวจนอกห้องนอน แล้วค่อยๆ ย่องลงมาลานบ้าน ซึ่งคุณตากำลังยืนคุมไอ้โซ่ น้าสุขและน้าหมาย ช่วยกันเอาต้นมะลิ ชบา และพุดซ้อนที่เพาะชำไว้เมื่อหลายเดือนก่อนลงดินตรงริมรั้วแซมต้นเล็บครุฑ เห็นแบบนี้แล้วมือไม้ก็คันยิกๆ อยากจะช่วยด้วยอีกแรงครับ
“ตาจ๋าาา จันทร์ช่วย”
ทุกสายตาหันมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ยกเว้นเพื่อนรักอย่างไอ้โซ่ครับที่ขมวดคิ้วแล้วมองผมจากหัวจรดเท้าและจากเท้าจรดหัว คงตะลึงในความหล่อของผม
“ไม่ต้องหรอก.. เดี๋ยวเลอะเทอะ ยายกับแม่มลจะบ่นตาเอา”
“โธ่--- ตาจ๋า เลอะก็ล้างออกได้นี่นา”
ฉีกยิ้มหวาน ไถแก้มไปกับต้นแขนของคุณตาแค่นี้ท่านก็ใจอ่อน ผมจึงถลกแขนเสื้อแล้วลงมือได้เลยครับ
รั้วบ้านสวนทำแบบง่ายๆ เป็นรั้วไม้เตี้ยๆ แล้วมีต้นเล็บครุฑปลูกชิดรั้วไม้เป็นพุ่มแน่นแนวยาวโดยรอบ คุณยายกับแม่มลเก็บใบเล็บครุฑมาทำอาหารบ่อยๆ อร่อยเชียวนะครับ ส่วนพวกไม้ดอกนอกจากปลูกเอาไว้เพื่อความสวยงามแล้ว สาวๆ บ้านนี้ยังเก็บไปถวายพระได้อีกด้วย
ลงมือยังไม่ทันไร ทุกคนก็ต้องหยุดมือแล้วเงยหน้าไปตรงลานบ้านที่ตอนนี้มีรถตู้คันหรูสีดำเงาวับขับมาจอดใต้ต้นมะขาม
“สงสัยจะมากันแล้ว”
คุณตาพูดขึ้นแล้วหันมามองที่ผม
“ไปล้างไม้ล้างมือเถอะลูก”
“เดี๋ยวจันทร์เอาต้นไม้ลงให้เสร็จแล้วจะรีบตามไปดีกว่าครับ”
ส่งยิ้มหวานจนตายิบหยี คุณตาก็ทำได้แค่อมยิ้มแล้วพยักหน้าตกลง
คุณตาหันหลังเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว คนจากรถตู้ก็ทยอยลงกันมา เนื่องจากประตูรถตู้อยู่อีกฝั่ง ผมจึงมองไม่เห็นแขกผู้มาเยือน รู้แค่ว่ามากันหลายคนทีเดียวครับ โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ชาย
“อะแฮ่มๆ”
กระแอมไอให้กับยีราฟข้างๆ ครับ ไอ้โซ่ น้าสุขและน้าหมายคอยื่นคอยาวกันอย่างพร้อมเพรียง
“แหม คุณจันทร์อย่าขัดสิครับ น้าก็แค่อยากจะดูคู่หมั้นคุณเดือนตัวจริงว่าจะหล่อเหมือนในอินต้าเน็ตที่ไอ้โซ่มันเคยเอาให้ดูรึเปล่า”
น้าหมายอธิบายยาวมาขนาดนี้ผมก็ได้แต่ตวัดหางตาไปมองไอ้โซ่ที่ตอนนี้ทำตัวอำพรางไปกับพุ่มกอเล็บครุฑส่องมองด้วยความเผือกชนิดที่ตาแทบไม่กระพริบ ห้ามคนเผือกนี่ห้ามยากนะครับ เพราะฉะนั้นก็ปล่อยๆ ไป ส่วนผมรีบทำงานให้เสร็จจะดีกว่า
“แม่จ้าวโว้ยยยย”
อุทานออกมาพร้อมกันสามเสียง ผมนี่รีบเงยหน้าขึ้นจากดินด้วยความตกใจเลยครับ
“สวยยิ่งกว่านางเอกละครหลังข่าวที่เมียข้าดูทุกวันซะอีก”
“เป็นบุญตาไอ้สุขจริงๆ”
“เนื้อคู่ไอ้โซ่มาเกิดแล้วโว้ยย”
ไม่ต้องแปลกใจครับที่ทุกคนอุทานด้วยความตะลึงพรึงเพริดขนาดนั้น แม้แต่ผมเองก็ได้แต่มองค้างกลืนน้ำลายอึกๆ เพราะหญิงสาวรูปร่างเล็กกะทัดรัด ผิวขาวอมชมพู ผมซอยสั้นแต่ด้านหน้ามัดจุกเปิดโชว์หน้าผากสวยๆ ใบหน้ากลม แก้มป่องเป็นสีชมพูระเรื่อ ปากนิดจมูกหน่อย ใส่เสื้อยืดลายกราฟฟิคพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ บวกเพิ่มความสดใสด้วยการอุ้มน้องหมาหน้าย่น ออร่าความน่ารักทำให้คุณเดือนดับสนิทไปเลย ผมบรรยายซะขนาดนี้ทุกคนพอจะเห็นภาพมั๊ยล่ะครับ นี่ไม่ใช่เนื้อคู่ไอ้โซ่หรอกครับแต่เป็นเนื้อคู่ของผมนี่แหละ
“อ้าว คุณจันทร์จะไปไหนล่ะนั่น?”
น้าสุขดึงสติกลับมาได้ก่อนจึงรีบร้องทักผมที่ลุกขึ้นอย่างไวแล้วอ้อมไปทางหลังบ้าน ผมไม่ได้ตอบหรอกครับเวลานี้ขอวิ่งไปตั้งหลักเพื่อทำคะแนนก่อน หึหึ
ขึ้นมาบนบ้านทางประตูด้านหลังได้ผมก็รีบย่องเข้าห้องนอน ล้างหน้าล้างตา เปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดที่ดูดีที่สุดออกมาใส่ซึ่งเด็กบ้านนอกแบบผมก็ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนมอะไรหรอกครับ แค่มีหน้าตาเป็นอาวุธใส่เสื้อยืดสีดำเรียบๆที่ซื้อจากในห้างกับกางยีนส์สีซีดแค่นี้ก็เรียบร้อยและดูดีมากโข เสร็จแล้วก็พรมน้ำอบไทยนางลอยและหวีผมสักหน่อย อื้อหือออ หล่อระเบิดไปเลยครับหลานชายครูเอี่ยม
ออกจากห้องนอนมาก็มองซ้ายแลขวาเหมือนเดิมครับ เมื่อเห็นว่าทางโล่งก็ค่อยๆ ย่องไปห้องรับแขก แม่มลที่กำลังชะเง้อมองหาผมอยู่เห็นผมเป็นคนแรกเช่นเคย ท่านยิ้มดีใจแล้วรีบพยักหน้าให้ผมเข้าไปหาไวๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ที่นั่งยิ้มตาเชื่อมอยู่ข้างแม่มลอีกฝั่งนั่นมันเพื่อนรักหักเหลี่ยมหล่อของผมนี่นา เรื่องแบบนี้ไอ้โซ่มันไวกว่าผมจริงๆ
ผมคลานเข่าเข้าไปแทรกนั่งข้างๆ ไอ้โซ่ จากนั้นก็ยกมือไหว้ทุกคนตามมารยาทไม่ได้สนใจจะมองหน้าใครแบบจริงจัง ยกเว้นสาวน้อยอ้อยควั่นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวามือมีน้องหมาน้อยนั่งตาแป๋วอยู่บนตัก มองจากมุมที่ผมนั่งคือประจันหน้ากันจังๆ ให้ได้น้ำลายหกกันเลยทีเดียว
“คนนี้ลูกชายคนเล็กของรวินทร์นิภากับคุณวิฑูรย์ ชื่อศศิน เรียกจันทร์ก็ได้”
คุณยายแนะนำผมให้คนที่ยังไม่รู้จักได้รู้จักครับ ผมจึงฉีกยิ้มแจกทุกคนแบบลวกๆ แทบจะไม่ได้มองหน้าครบทุกคนด้วยซ้ำโดยเฉพาะคุณแม่และคุณเดือนที่ท่านคงจะไม่ค่อยอยากได้ยินสถานะตัวตนของผมสักเท่าไหร่ แต่คุณแม่ก็ยังรักษามารยาทด้วยการแปลเป็นภาษาอังกฤษสาวน้อยสุดน่ารักของผมฟังครับ เธอตั้งใจฟังมากแถมยังทำหน้าแบ๊วแล้วพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่นอะไรสักอย่างที่ผมไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่รู้แค่ว่าโคตรน่ารัก แม้เสียงจะห้าวไปนิดแต่จริตจะก้านให้ผ่านคร้าบ
อ่อ.. มาถึงตรงนี้ผมเพิ่งสังเกตว่าคุณเดือนไม่อยู่ตรงนี้นี่นา มีแต่คุณแม่ที่นั่งข้างๆ คนน่ารัก และที่นั่งตัวติดประชิดเหมือนกาวตราช้างทางด้านซ้ายของสาวน้อยคือผู้ชายหน้าหล่อคมเข้มร่างสูงสง่าผ่าเผย ขนาดใส่แค่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีนส์สีซีดยังดูดียิ่งกว่านายแบบหรือพระเอกแนวหน้าของเมืองไทยซะอีกครับ
‘ครูเอี่ยมให้พ่อพาคุณเดือนกับว่าที่คู่หมั้นและเพื่อนๆ ของว่าที่คู่หมั้นลงไปดูการเกษตรของเรา’ไม่ต้องเอ่ยปากถามใคร คำตอบก็ลอยมากระทบหูผมเบาๆ เป็นเสียงพรายโซ่กระซิบ
‘ที่นั่งอยู่เนี่ยคือคุณอิเคดะ ไอ น้องสาวคนเดียวของคุณอิเคดะ ยู และที่นั่งจนแทบจะเกยตักกันอยู่นั้นชื่อคุณหมอเปรม’ ‘อืม’ทำหน้านิ่งกระซิบอืมๆ ตอบไปแต่ในใจนี่ลิงโลดแล้วครับ คนน่ารักชื่อไอ..
‘คุณหมอเปรมเป็นผัวคุณหนูไอ’‘อืม’ยูเลิฟไอ--- ฮิ้ววววว
“เฮ้ย!! ว่าไรนะ?!!”
สติเพิ่งมาครับ มะกี้หูแว่วหรือยังไง ไอ้คุณโซ่ช่วยพูดให้ชัดๆ อีกทีสิ!
"มีอะไรกัน?”
พ่อต้อมส่งเสียงนิ่งและทำตาดุๆ มา ผมจึงเพิ่งได้รู้ตัวครับว่าเมื่อกี้โพล่งอุทานเสียงดังไปหน่อย หันมองโดยรอบทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียวกันเชียว ผมก็เลยได้แต่ส่งยิ้มเจียมเนื้อเจียมตัวกลับไปให้ทุกคน แต่ถ้าลองเงี่ยหูฟังดีๆ ทุกคนจะได้ยินเสียงดัง
‘โผล๊ะ’ ที่ดังออกมาจากอกด้านซ้ายของผมครับ
คุณตาชวนผู้ชายที่ไอ้โซ่บอกว่าชื่อคุณหมอเปรมคุยเรื่องทั่วไปโดยมีคุณแม่คอยเป็นล่ามให้สาวน้อย ผมจึงถือโอกาสนี้ถอยออกมาทำใจ ไอ้โซ่ทำท่าจะลุกขึ้นตามมาแต่ผมห้ามมันไว้เพราะคนอกหักแบบสดๆ เลือดยังซิบๆ อยากขอเวลาอยู่คนเดียวสักพัก
ตอนมาขึ้นทางครัวหลังบ้าน ตอนกลับก็กลับลงทางเดิมครับ จะต่างกันก็ตรงที่ตอนมามาด้วยหัวใจระริกระรี้แต่ตอนกลับนี่หัวใจเหี่ยวแล้วเหี่ยวอีก ทำไมคนหล่อแบบผมถึงได้อาภัพเรื่องความรักนักก็ไม่รู้ ตั้งแต่จำความได้ไม่ว่าจะแอบชอบใครเป็นอันต้องกินแห้วตลอด ถ้าบอกว่าหล่อๆ แบบนี้ไม่เคยมีแฟนสักคนจะมีใครเชื่อมั๊ยครับ
“เฮ้อออ”
ถอนหายใจด้วยความเซ็ง ผมก็แค่อยากจะรู้จักความรักแบบหนุ่มสาวบ้างเท่านั้นเอง
+
+
+
เดินแก้เซ็งมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าโรงเพาะเห็ดของตัวเอง ความเซ็งก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีแฟนก็ไม่เห็นจะตาย สู้ทำงานการเกษตรก็ไม่ได้สบายใจกว่าเยอะเลย
อ่อ ผมเคยบอกว่าจะอธิบายเกี่ยวกับการทำการเกษตรทฤษฎีแนวใหม่ตามแนวพระราชดำริของในหลวงเอาไว้ใช่มั๊ยครับ เอาล่ะ ตอนนี้ผมว่างแล้วผมจะอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ให้ฟังว่า หลักสำคัญที่สุดของการเกษตรทฤษฎีใหม่ก็คือ ‘พอกินตลอดปี’ หรือก็คือให้เกษตรกรมีความพอเพียง โดยเลี้ยงตัวเองได้ในระดับชีวิตที่ประหยัด ยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
การเกษตรทฤษฎีแนวใหม่กำหนดการจัดแบ่งพื้นที่เป็น 30-30-30-10 คือ ขุดสระร้อยละ 30 ปลูกข้าวร้อยละ 30 ปลูกพืชไร่ พืชสวน ร้อยละ 30 ที่อยู่อาศัยร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด และเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจผมขอยกตัวอย่างครอบครัวของผมนะครับ ครอบครัวของผมมีพื้นที่ 15 ไร่ แบ่งเป็นนาข้าว 5 ไร่ พืชไร่พืชสวน 5 ไร่ สระน้ำ 3 ไร่ ขุดลึก 4 เมตร จุน้ำได้ประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ 2 ไร่ แค่นี้แหละครับ ง่ายๆ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และผมนี่แหละที่จะเป็นคนรุ่นใหม่ขอเดินตามรอยเท้าพ่อครับ
“พ่อหมอคะ พี่ดาวกับน้องเดือนอยากจะไปดูปลาตรงโน้น”
“ไปสิลูก แต่ห้ามวิ่ง เดินจูงมือกันไป”
กำลังอธิบายเพลินๆ ก็มีเสียงพ่อลูกที่ไหนไม่รู้มาขัดจังหวะ ด้วยความสงสัยผมจึงชะโงกหน้ามองตามเสียงสักหน่อย เห็นแผ่นหลังของเด็กประมาณ 4-5 ขวบ ชายหญิง 2 คนเดินผ่านไปไวๆ และที่อยู่ห่างจากสายตาของผมไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นผู้ชายหน้าตาดีถึงดีมาก 2 คนกำลังยืนสนทนากัน คนหนึ่งสูงหล่อตี๋ใส่แว่น ส่วนอีกคนตัวโตและสูงกว่าไปอีกคนนี้หล่อคมเข้มแต่หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนกันนะ???
“เดินตามกูมาทำไม?”
พี่ชายใส่แว่นหยุดเดินแล้วหันไปถามพี่ชายคมเข้มด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงสุดๆ
“ผมไม่ได้เดินตามคุณหมอสักหน่อย”
“กวนตีน”
ใบหน้าคมเข้มที่ผมคิดว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนยกยิ้มแบบกวนตีนจริงๆ แหละครับ
“พี่ดาวกับน้องเดือนอยากให้อาปลื้มไปดูปลาด้วยใช่มั๊ยครับ?”
แน่ะ มีแกล้งตะโกนถามเด็กๆ อีก
“ใช่ค่ะ/ครับ”
เสียงเด็กน้อยตอบกลับมาตามประสาใสซื่อ คนตัวสูงกว่าก็ยิ้มระรื่นเชียวครับ
“เห็นมั๊ยล่ะครับว่าผมไม่ได้เดินตามคุณหมอสักหน่อย”
คนที่ถูกเรียกว่าคุณหมอยังคงทำหน้านิ่ง อีกฝ่ายยิ้มกริ่มแล้วออกเดินต่อ และช่วงจังหวะที่เดินผ่านคุณหมอเพื่อไปหาเด็กๆ นั้น น้ำเสียงทุ้มนุ่มก็พูดขึ้นอย่างสุภาพว่า “...แต่ผมแค่เดินทางเดียวกับคุณหมอต่างหาก”
เอิ่ม.. ผมกำลังจะรู้สึกขนลุกอยู่แล้วทีเดียวถ้าไม่มีคำว่า
‘สัส’ ออกมาจากปากของคุณหมอดับบรรยากาศชมพูอมม่วงซะก่อน
เอาเป็นว่าผมรู้แล้วล่ะครับว่าบุคคลแปลกหน้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่นี่คงจะเป็นคณะของว่าที่คู่หมั้นของคุณเดือนเป็นแน่ ว่าแต่คนไหนล่ะคือคนที่จะมาเป็นพี่เขยของผมในอนาคต? ที่แน่ๆ ไม่ใช่ทั้งคู่เมื่อกี้ชัวร์เพราะเป็นคนไทยทั้งคู่และดูเหมือนจะมีเมียมีลูกแล้วด้วย
“เฮ้ย! นึกออกแล้ว”
ผู้ชายสูงยาวเข่าดีหน้าตาคมเข้มดูแพงหรูคนเมื่อกี้นั่นมันเหมือนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ น้องนางคนน่ารักนี่หว่า นั่นมันคือคนที่ไอ้โซ่บอกว่าเป็นพระสวามีของน้องนางไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือทำไมมาพูดจาและส่งสายตาวิ้งวับแปลกๆ กับพี่หมอตี๋หล่อ?? มีเมียเป็นสาวน้อยน่ารักขนาดนั้นแล้วนี่มึงยังจะมีผัวอีกเหรอ???? ไม่ได้การแล้วโว้ย!! เพื่อสิทธิและเสรีภาพของสตรี ไอ้จันทร์สุดหล่อคนนี้จะเปิดโปงทุกอย่างเอง
จ้ำเท้าเดินกลับบ้านในสมองก็คิดหาคำพูดไปด้วย ถ้าไปพูดอย่างเดียวไม่มีหลักฐานมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นผมควรที่จะหาวิธีให้น้องไอจังมาเห็นภาพแบบเดียวกับที่ผมเห็นให้ได้ แต่เดี๋ยวนะ.. น้องไอเป็นสาวญี่ปุ่นนี่หว่า เราจะพูดยังไงวะ??
หยุดเท้าแล้วยกมือขึ้นเกาหัวยิกๆ อย่างใช้ความคิด ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องเปลี่ยนแผน ว่าแล้วก็หันหลังกลับเดินไปตามทางเล็กๆ ของร่องสวน จุดหมายปลายทางอยู่ที่สระน้ำที่ใช้เป็นแหล่งน้ำในหน้าแล้งและยังใช้เลี้ยงปลาหลากหลายชนิดไว้ทั้งกินและขาย ผมคิดว่าที่นั่นคงจะมีฉากเด็ดๆ ให้ผมได้ถ่ายคลิปวิดีโอเป็นหลักฐานแน่นอน
เพิ่งจะเดินกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ เสียงของคุณเดือนก็ต้องทำให้ผมทิ้งภารกิจทุกอย่างแล้วรีบวิ่งหลบเข้าไปในโรงเพาะเห็ดอีกครั้ง พี่สาวคนสวย(น้อยกว่าน้องไอ) เดินหน้างอง้ำมากับลุงฟ้อน
“อิเคดะซัง อิเคดะซางงงง แวร์อาร์ยู?”
ที่แท้ก็กำลังตามหาว่าที่สามีอยู่นี่เอง
“ไปไหนของเค้านะเนี่ย?!”
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่ไปไหนไกลหรอก และรับรองว่าไม่มีอันตรายด้วย ยกเว้นจะเดินเหยียบหัวงู”
“เงียบไปเลยก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ”
อื้อหือ อารมณ์หงุดหงิดแล้วไปลงกับคนอื่นได้ไงเนี่ย นั่นลุงฟ้อนแก่กว่าคุณพ่ออีกนะ
ขอเบ้ปากอย่างเอือมระอาให้พี่สาวนิดนึงนะครับ ว่าแต่คุณว่าที่คู่หมั้นเค้าไปเดินอิท่าไหนถึงได้หลงทางกัน สวนไร่นาของเราก็ออกจะโล่งเตียน ไม่ได้รกเป็นป่าสักหน่อย อีกอย่างคนงานก็อยู่กันเต็มสวน งงจริงๆ ว่าไปเดินหลงกันได้ยังไง?? และผมก็ขอบอกเลยว่ามันเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่งในการจะมาแอบดูคุณเดือน อีกทั้งผมก็คิดดีแล้วว่าเมียในอนาคตของผมที่ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของโลก ถึงจะอย่างนั้นผมก็ขอไม่เอาผู้หญิงที่มีนิสัยอย่างคุณเดือนเด็ดขาด ต่อให้เป็นพี่สาวสายเลือดเดียวกันแต่ผมก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าคุณเดือนเป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมสักนิดครับ
ผมค่อยๆ ถอยหลังเพราะตั้งใจจะย่องออกไปทางอีกฝั่งของโรงเพาะเห็ด แต่ดันชนกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจังจนแทบเสียหลัก
“โอ๊ะ!”
ร่างของผมถูกสองแขนแข็งแรงของใครบางคนประคองรับไว้ก่อนจะเซล้มลง และด้วยสัญชาตญาณผมรีบหันหลังเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย และนั่นเป็นวินาทีที่ผมสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นระดับขั้วโลกจนทำให้ร่างกายของผมสั่นสะท้านจนถึงขั้วของหัวใจ
“ชู่ว์---”
นิ้วเรียวยาวแตะลงบนริมฝีปากของผมและมันเป็นเพียงปราการเดียวที่กั้นไม่ให้ริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้าใกล้มากกว่านี้ ใบหน้าที่ชาดิกกลับรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่ผะแผ่วอยู่บนพวงแก้ม ดวงตาของเราทั้งคู่จดจ้องประสานกัน
ผมจำได้..
ผมจำดวงตาคู่นี้ได้เป็นอย่างดี..
ภายใต้ความเงียบผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระทึกอย่างชัดเจน นั่นเป็นเสียงหัวใจของผมหรือของอีกฝ่ายกันแน่ แล้วทำไมผมจึงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ผมอยากขืนตัวจะบอกอีกฝ่ายว่าให้
‘ปล่อย’ แต่ผมไม่สามารถควบคุมริมฝีปากของตัวเองได้ ไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกมาจากผมและฝ่ายตรงข้าม แต่ผมกลับได้ยินเสียงของตัวเองที่แว่วสะท้อนเป็นประโยคเหมือนอย่างในความฝัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้มันเป็นเสียงสะอื้นที่สุดแสนโศกตรม
‘คิมิโวะ มิทซุเคะรุ’
ตามหาผมให้เจอ...หยดน้ำไหลรินจากหางตาของผมโดยไร้สาเหตุ ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในขณะนี้ได้ รู้แค่ว่ามันเจ็บปวดและทรมานจนแทบจะขาดใจ ผมขยุ้มมือตรงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับว่าต้องการจะยึดไม่ให้คนตรงหน้าหายไปไหน
‘อิทซุมาเดะโมะ อะนาตะฮะ วะตาชิ โวะ มิทซุเคะดะดะชิเตะกุดะไซ’
ไม่ว่านานแค่ไหน ท่านจะต้องหาข้าให้เจอ.. หากแม้นใครได้ยินคงคิดว่านี่คงเป็นการอ้อนวอนขอร้องที่น่าเวทนาที่สุด แต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกได้ว่ามันคือ
‘คำอธิษฐาน..’ จากหัวใจที่รวดร้าวอย่างแสนสาหัสต่างหาก
เหมือนว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง รวมไปถึงร่างกาย และหัวใจของผมเช่นเดียวกัน ผมไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวใดๆ จากภายนอก จะมีเพียงแค่ปลายจมูกโด่งที่ปัดผ่านผิวแก้มผะผ่าวที่เปรียบได้ดั่งเป็นวินาทีต้องมนต์ราวกับปาฏิหาริย์ ความหนาวเหน็บถูกแปรเปลี่ยนเป็นละอองของไออุ่น ขั้วหัวใจที่เย็นเหยียบราวกับโดนแช่แข็งมานานแสนนานบัดนี้ได้ถูกหลอมละลายด้วยเปลวเพลิงละมุนอุ่นซ่านไปทั้งอก และมันก็ทำให้ผมหายใจไม่ออก
“ฮึก...”
เขื่อนน้ำตาพังทลายพร้อมกับลมหายใจที่อ่อนแรง
‘มิทซุเค็ตตะ..’
เจอแล้ว....เสียงแผ่วเบาราวสายลมกระซิบด้วยภาษาที่ผมไม่คุ้นเคยแต่ทว่ากลับเข้าใจในความหมาย และนี่คือการรับรู้สุดท้ายก่อนที่สติของผมจะดับวูบลง
.
.
.
.
.
TBC..

ดีใจจังเลยค่ะที่คนอ่านยังไม่ลืมกัน รินขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

และขอแสดงว่ายินดีกับคุณแม่ยุ้ยและคุณเดือนด้วยนะคะสำหรับชื่อใหม่ --- เปื่อยยุ่ย และ ไส้เดือน

ฮ่าาาาาาาาาาาา

**พูดไม่ค่อยเก่งแต่รัก(ทุกความคิดเห็น)หมดใจ**
