ราคาฝัน # 08
...จินดาเงียบหายไปเลย...
ผ่านไปเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่วันที่เขาและสถาปนิกไฟแรงคนนั้นนั่งคุยกันที่ป้ายรถเมล์ แต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะติดต่อมาอัพเดทความเป็นไปของดีไซน์ให้ฟังเลยสักที
...ไม่มีแม้กระทั่งอีเมล์สักฉบับ...
ธีรชาติวางมือลงจากงานที่คั่งค้างชั่วคราวก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาคนที่อยู่ในความคิด แต่ไม่ว่าจะนั่งฟังเสียงสัญญาณรอสายอยู่นานเพียงไร อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะกดรับสักที
ผู้บริหารหนุ่มกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆแล้วจึงจิ้มหน้าจอเปลี่ยนเบอร์ปลายทาง
“สวัสดีค่ะ ทอมทอมสตูดิโอค่ะ” สุ้มเสียงไพเราะชวนให้พูดคุยด้วยของประชาสัมพันธ์สาวดังมาตามสาย
“สวัสดีครับ รบกวนต่อสายไปที่โต๊ะของคุณจินดาทีได้ไหมครับ?”
“วันนี้พี่จินลาป่วยค่ะ” “ลาป่วย? เป็นอะไรหรือครับ พอจะทราบไหม?”
“เมื่อวานพี่จินหน้ามืดที่บริษัท รู้สึกจะมีไข้ด้วย วันนี้พี่ต้อมก็เลยบอกให้นอนพักที่บ้านหนึ่งวันค่ะ” “อ้าวเหรอ...” ธีรชาตินิ่งไปเล็กน้อยหลังจากได้รับคำตอบ พลางในหัวก็พยายามนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้คนพลังงานสูงแบบนั้นเจ็บป่วยไปด้วย
...เห็นทีว่าคงไม่พ้นนิสัยโหมงานหนักอีกแน่...
“ไม่ทราบว่าติดต่อมาจากไหนคะ? ฝากข้อความไว้ก่อนก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้ถ้าพี่จินมาทำงานแล้วจะรีบแจ้งให้พี่จินทราบ” “อ่า...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมติดต่อเขาเองดีกว่า ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ” ธีรชาติว่าเช่นนั้นก่อนจะวางสายลงไป
.
.
.
...ไปๆมาๆนักธุรกิจนามสกุลดังก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องบานเก่าบานเดิมอีกครั้งจนได้...
ธีรชาติไม่แน่ใจนักว่าอะไรดลใจให้เขาอุตส่าห์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเช่าเก่าโทรมข้างร้านส้มตำเจ๊แมวหลังนี้ก่อนกลับเพนต์เฮาส์ของตัวเอง
...จะว่าไปก็รู้สึกเก้อๆชอบกล...
ผู้บริหารหนุ่มขยับมือเคาะข้อนิ้วลงที่บานประตู เขายืนรออยู่เพียงครู่เดียวคนในห้องก็ออกมาเปิดดูด้วยสีหน้างุนงง
ดวงตาเรียวรีของผู้เป็นเจ้าถิ่นเบิกขึ้นน้อยๆเมื่อได้พบว่าใครคือแขกยามวิกาล “...คุณ...มาได้’ไงเนี่ย?...”
“ก็...” ฝ่ามือหนาใหญ่ของคนถูกถามยกขึ้นลูบท้ายทอยไปมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตระหนักถึงอิริยาบถนั้นของตนเอง พลางสายตาก็เผลอกวาดสำรวจสภาพปัจจุบันของคนตรงหน้าไปด้วย
...ตอนนี้ร่างกายขนาดสันทัดของจินดามีเพียงบ็อกเซอร์สีซีดปกคลุมอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ใบหน้าของนักออกแบบหนุ่มดูอิดโรยอีกทั้งเนื้อตัวก็ยังดูเหนียวชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ...
“ได้ข่าวจากคนที่ออฟฟิศคุณว่าคุณไม่สบาย ผมก็เลยแวะมาดู”
“ฮะ? เอ่อ...แวะมาดูผมเหรอ? ไม่เห็นต้องลำบากเลยนี่นา...”
“มันก็..ไม่ได้ลำบากอะไร คอนโดฯผมอยู่แถวทองหล่อนี่เอง”
แม้ว่าจะยังดูมึนงงอยู่ไม่หาย แต่ถึงอย่างนั้นนายจินดาก็ยอมดึงประตูให้เปิดกว้างขึ้นแล้วเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนเข้าห้องไปแต่โดยดี
...และทันทีที่สภาพด้านในปรากฏสู่สายตา ผู้บริหารหนุ่มก็มีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เห็นโดยพลัน...
“ทำงานอยู่เหรอเนี่ย? ป่วยแล้วทำไมไม่นอนพัก?” ธีรชาติกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันเพียงนิดพลางกวาดตามองไปโดยรอบ กาวหลอดน้อยที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นถูกวางไว้แยกกับฝาของมัน ที่ปากหลอดเยิ้มฉ่ำไปด้วยเนื้อกาว หนำซ้ำใบมีดคัตเตอร์คมปลาบก็ยังโผล่ออกมาจากด้ามจนเกือบครึ่งความยาว
“พรุ่งนี้มีงานต้องเอาไปให้ลูกค้าดู” จินดาตอบเพียงสั้นๆด้วยท่าทางไม่ยี่หระพลางเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่มุมห้อง “ขอโทษทีที่ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย รอเดี๋ยวนะครับ”
“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ...แต่ผมว่าคุณควรนอนพักหน่อยดีกว่า ตอนนี้หน้าดูซีดๆ ขอบตาก็คล้ำเชียว ลองไปส่องกระจกดูสิ”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ว่ากล่าว แต่จินดาก็ยังอุตส่าห์ควานหาเสื้อยืดเก่าย้วยกับกางเกงบอลตัวเก่งจากในตู้มาสวมใส่ไว้กันอุจาดอยู่ดี “ไม่ต้องส่องหรอก ผมก็รู้แหละว่าหน้าผมซีด แต่ให้ทำ’ไง? ก็งานมันต้องส่ง” ว่าแล้วสถาปนิกผู้ขยันขันแข็งก็เดินกลับมาหย่อนตัวลงนั่งตรงกลางวงอุปกรณ์ทำโมเดลต่อตามเดิม “กินน้ำกิน’ไรไหมคุณ? ผมมีโค้กอยู่’ป๋องนึง เปิดหยิบเอาจากตู้เย็นได้เลยนะครับ”
ธีรชาติหยุดยืนนิ่งและไม่ได้ใส่ใจกับคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้านเท่าใดนัก สิ่งที่อยู่ในความสนใจของเขาตอนนี้คือแบบจำลองรูปร่างประหลาดตาที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั่นต่างหาก
ไม่รู้ว่าเป็นโปรเจ็คต์อะไร แต่ไม่ใช่งานของลิงเกอร์ฯแน่ๆล่ะ
ผู้บริหารหนุ่มเดินเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนพื้นที่ว่างซึ่งมีอยู่น้อยนิดข้างตัวจินดา
“เหลืออีกเยอะเหรอ?” เขาเอ่ยถามออกไปเช่นนั้นพลางหยิบชิ้นส่วนที่ถูกวางพักไว้ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังดู
“ก็พอสมควร อย่างน้อยๆฟาซาดแผงนี้ต้องเสร็จ จะเอาไปเสนอลูกค้า”
“เห้ย มันก็นิดเดียวเองนี่ ไม่ได้เยอะแยะสักหน่อย...ไปนอนก่อนไป แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำต่อตอนเช้าๆ”
“ประเมินฤทธิ์มันต่ำไปละคุณ...เห็นแผงเล็กๆแบบนี้ กินเวลานานเป็นชาติเลยนะจะบอกให้” จินดากล่าวหน้ายุ่ง พลางในใจก็นึกสงสัยไปด้วยว่าธีรชาติจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ ไม่รู้คำว่า ‘แวะมาดู’ ของนักธุรกิจคนนี้มันขยายขอบเขตไปถึงตรงไหนกัน?
...เทคแคร์ไม่ถูกเลย...
“แต่ผมก็แน่ใจว่ามันไม่กินเวลาขนาดที่ว่าพักมือไม่ได้เลยหรอกนะ”
จบประโยคนี้ของธีรชาติ จินดาก็ทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขายอมวางคัตเตอร์ในมือลงและหันมาพูดจากับคนข้างกายแบบเต็มหน้าเต็มตาอีกครั้ง “คุณชาติ...ผมขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ในสถานะที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษไม่ให้งานหลักเสีย อย่างที่คุณก็รู้ว่าผมยังไม่ได้บอกเรื่องโปรเจ็คต์ลิงเกอร์ฯให้พี่ต้อมทราบ ถ้าระหว่างนี้งานหลักของบริษัทมันด้อยคุณภาพลงจากมาตรฐานที่ผมเคยทำไว้ ต่อไปผมอาจถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าแอบเอาเวลางานบริษัทไปทำงานนอกเอาได้”
ผู้บริหารหนุ่มเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าที่จินดาเจ็บป่วยทรุดโทรมในครั้งนี้เป็นผลมาจากเรื่องใด เขาลืมนึกไปเสียสนิทว่าสำหรับโปรเจ็คต์ของลิงเกอร์ฯแล้ว จินดาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพียงลำพัง เพราะไม่มีใครที่ทอมทอมสตูดิโอรู้ว่างานชิ้นนี้แท้จริงแล้วยังไม่จบลง
...งานชิ้นใหม่ที่อยากได้มาครอบครองก็ต้องทุ่มเทด้วยพลังกายพลังใจมากมาย ในขณะที่งานชิ้นเก่าที่มีในมือก็ผ่อนแรงลงไม่ได้เช่นกัน....
...สุดท้ายสิ่งที่ต้องยอมสละจึงกลายเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัวนั่นเอง...
ธีรชาติค่อยๆขยับตัวเข้าหาคนข้างกายโดยไม่มีการส่งสัญญาณให้จังหวะใดๆ ทำเอาอีกฝ่ายที่กำลังตั้งท่าจะก้มกลับลงไปประดิษฐ์ประดอยแผงฟาซาดของตัวเองต่อต้องชะงักทุกการกระทำลงแล้วรีบผงะร่างถอยหนีไปตามสัญชาตญาณ
...แต่ห้องมันแคบ ถอยได้อย่างเก่งก็สักฟุตเดียวเท่านั้น...
ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แขนยาวๆของนักธุรกิจคนดังก็เอื้อมไปถึงเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ฝ่ามืออุ่นหนาทาบทับลงไปยังหน้าผากชื้นเหงื่อตรงหน้าอย่างเต็มไม้เต็มมือ
จินดาสะดุ้งตัวขึ้นน้อยๆด้วยความตกใจ
“ตัวร้อนจี๋เลยคุณจิน...” ธีรชาติเอ่ยเสียงเบาทั้งที่ยังคงวางมือค้างไว้บนหน้าผากของนักออกแบบหนุ่มในท่าเดิม
คงเป็นเพราะความใกล้ที่ดูจะมากเกินระดับความสนิทสนม จินดาจึงออกอาการอึกอักประดักประเดิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
สถาปนิกหน้าบางอ้าปากพะงาบๆราวกับต้องการเอ่ยไล่ให้อีกฝ่ายถอยหนี หากแต่กลับไม่มีถ้อยคำใดยอมเล็ดรอดผ่านกลีบปากคู่นั้นออกมาสักพยางค์
“...ไปนอนเถอะ ผมขอล่ะ” นักธุรกิจคนดังกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “งานมันสำคัญก็จริง แต่ร่างกายคุณสำคัญกว่า ถ้าร่างกายไม่พร้อมจะเอาแรงที่ไหนมาทำงาน?”
“..ต..แต่ว่า..โมเดลอันนี้มันต้องใช้พรุ่งนี้แล้ว..”
“ตั้งนาฬิกาปลุกเอาก็ได้ นอนสักนิดนึงก็ยังดี”
“แต่...”
“คุณจิน” ธีรชาติปั้นเสียงเข้ม
“ไปนอนครับ” ...ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่เข้ม หากแต่สีหน้าและท่าทางของคนพูดก็เข้มมากไม่แพ้กัน...
ถ้อยคำของคนตรงหน้าทำเอาจินดาได้แต่ปล่อยปากให้อ้าค้างไว้อยู่อย่างนั้นนานเป็นอึดใจ ตอนนี้สถาปนิกหัวรั้นกำลังสับสนไปหมดว่าเหตุใดจู่ๆตนจึงถูกคนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันมากมายเข้ามาแสดงท่าทีบังคับกันถึงในห้องของตัวเอง
“อะไรเนี่ย?...” นักออกแบบหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาพลางบ่นอุบอิบ “...อะๆ เดี๋ยวผมนอนก็ได้ วันนี้คุณกลับไปก่อนแล้วกัน”
“ยังดีกว่า ผมขอรอที่นี่ต่ออีกสักพัก”
“รออะไร? จะนั่งดูผมนอนหรือไง?”
“ตอนนี้ข้างนอกรถมันติด รอให้ถนนโล่งกว่านี้เดี๋ยวผมค่อยไป”
...เห้ย มี’งี้ด้วยว่ะ...
...ตลก...
.
.
.
จินดายกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆด้วยความงุนงง
หลังจากหายเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันอยู่พักใหญ่ สถาปนิกหนุ่มก็เดินกลับออกมาในสภาพพร้อมนอนทั้งที่ในหัวก็ยังสับสนไม่หาย
“...เอ่อ...คุณจะนั่งอยู่นี่จริงๆเหรอ?” จินดาเอ่ยถามไม่เต็มเสียงพลางพาตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงยับย่นอย่างเสียไม่ได้
“ทำไม? กลัวผมขโมยของหรือไง?”
“เห้ย! ไม่ใช่! แค่นาฬิกาที่คุณใส่เรือนเดียวก็แพงกว่าค่าเช่าห้องผมทั้งปีรวมกันแล้ว มีอะไรต้องกลัว...ผมแค่คิดว่า..ถ้าผมหลับไปแล้วคุณจะเบื่อไหมอะ?”
...ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่คำถามคาใจที่แท้จริง...
...‘เมื่อไหร่มึงจะกลับ?’...
...นี่ต่างหากล่ะที่จินดาอยากรู้...
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก คุณนอนไปเถอะ เดี๋ยวผมเบื่อผมก็หาอะไรทำเอง” พูดจบธีรชาติก็ลุกจากเก้าอี้พลาสติกตัวเก่ามาเพื่อปิดไฟ ตอนนี้ต้นกำเนิดความสว่างของทั้งห้องจึงเหลือเพียงโคมไฟดวงน้อยที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นเพียงจุดเดียวเท่านั้น
บรรยากาศรอบกายคนทั้งคู่เงียบลงไปราวกับว่ามีความมืดสลัวเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นจินดาก็รู้ตัวทันทีว่าถึงเวลาที่เขาต้องพยายามข่มตานอนแล้ว
สถาปนิกหนุ่มสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าคลุมกายผืนบาง เป็นเพราะห้องเขานั้นไม่มีแอร์ ผ้าห่มผืนหนาจึงไม่มีความจำเป็น
ทั้งที่ร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนล้าเนื่องจากอาการป่วย แต่นายจินดากลับไม่สามารถบังคับตัวเองให้เดินทางไปเฝ้าพระอินทร์ได้ดั่งใจหวังในทันที เขาขยับตัวพลิกไปพลิกมาด้วยท่าทีกระสับกระส่ายอยู่นานสองนานจนในที่สุดเมื่ออดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงตัดสินใจเปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“คุณชาติ” จินดาเอ่ยเรียกคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้พลาสติกริมห้องเสียงเบา “คุณหันหน้าไปทางอื่นได้’เปล่า? ผมนอนไม่หลับอะ ชอบนึกว่าตัวเองถูกมอง”
ได้ยินดังนั้นธีรชาติก็เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ในมือพร้อมด้วยรอยยิ้มขำขัน “ผมไม่ได้มองสักหน่อย”
“ก็นั่นแหละ เพราะคุณนั่งหันหน้ามาทางนี้ ผมเลยรู้สึกแบบนั้นไง นะๆ...หันไปทางอื่นเหอะ ขอร้อง”
คนถูกรบเร้าส่งเสียงหัวเราะออกมาพอให้ลอยไปเข้าหูของอีกฝ่ายได้ก่อนจะยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงมาหย่อนกายนั่งลงไปที่พื้นข้างเตียง
นักธุรกิจคนดังเอนหลังพิงกับขอบเตียงพลางเหลียวมองเจ้าของห้องด้วยสายตาล้อเลียน “แบบนี้พอใจหรือยัง? หลับได้แล้วนะ?”
“..อ..อื้อ..ขอบคุณมากครับ..”
จินดาเหลือบสายตามองศีรษะของธีรชาติที่อยู่ห่างจากมือเขาไปเพียงไม่กี่เซ็นติเมตรหลังจากผู้บริหารหนุ่มหันหน้ากลับไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ
...นี่เขามาถึงจุดที่มีธีรชาติ อชิรญามานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงก่อนนอนได้ยังไงวะเนี่ย?...
...คิดแล้วก็สงสัยจริง...
.
.
.
เสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้ธีรชาติได้รู้ว่าตอนนี้คนบนเตียงเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว
“กว่าจะหลับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบาแล้วจึงค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางของคนเป็นเจ้าของห้องที่วางอยู่ข้างหัวเตียงขึ้นมาเปิดดูอย่างถือวิสาสะ
แอปพลิเคชั่นนาฬิกาปลุกถูกเรียกขึ้นมาตามที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่ทีแรก
...จินดาตั้งปลุกเอาไว้ตอนเที่ยงคืน...
...เวลาปัจจุบันคือสี่ทุ่มสิบห้านาที...
...ให้เวลาตัวเองนอนน้อยเหลือเกิน แค่สองชั่วโมงเท่านั้นเอง...
ธีรชาติขยับนิ้วไปมาบนหน้าจออยู่ครู่สั้นๆก่อนจะปิดมันกลับลงไปตามเดิม ชายหนุ่มหันมองใบหน้ายามหลับของคนเป็นเจ้าของห้องอีกครั้งและเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหนีเข้าไปอยู่ในโลกของความฝันแล้วจริงๆเขาจึงยันกายลุกขึ้นจากข้างเตียงเพื่อย้ายตัวเองมานั่งลงตรงกลางห้องแทน
.
.
.
เปลือกตาบนและล่างค่อยๆแยกตัวออกจากกันช้าๆหลังจากปิดสนิทมานานหลายชั่วโมง ท่ามกลางความมืดมิดฝ่ามือเรียวสวยขยับควานหาสมาร์ทโฟนคู่ใจจากโต๊ะตัวน้อยข้างหัวเตียงตามความเคยชินและทันทีที่ตัวเลขบอกเวลาปรากฏขึ้นสู่สายตาสติสตังที่ยังตกค้างอยู่ในห้วงนิทราก็ไหลกลับเข้าสมองมาโดยพลัน
...04:36…
“ฉิบหาย! ตีสี่แล้ว!” จินดาผุดลุกผุดนั่งขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะต้องรีบกระโดดลงจากเตียงเพื่อตรงไปยังสวิทช์ไฟข้างประตูพลางในหัวก็พยายามคิดหาคำตอบไปด้วยว่าเหตุใดมือถือเจ้ากรรมถึงไม่ยอมร้องปลุกตอนเที่ยงคืนอย่างที่เขาตั้งเอาไว้ “ไม่น่านอนเลยกู!”
...หากแต่เมื่อรอบกายสว่างขึ้น สภาพห้องที่เพิ่งจะมองเห็นเดี๋ยวนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักไปในทันที...
จินดาเกือบจะคิดว่าตัวเองถูกลักพาตัวอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ได้เหลือบไปเห็นว่าผ้าปูที่นอนซึ่งรองร่างเขาไว้จนถึงเมื่อสักครู่นั้นยังเป็นสีเดิมลายเดิม ก็จะไม่ให้เข้าใจเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้ข้าวของที่เคยวางระเกะระกะเกลื่อนพื้นนั้นถูกจัดเก็บขึ้นชั้นขึ้นโต๊ะไปจนหมด ดูยังไงก็ไม่เหมือนรังหนูรังเดิมเลยสักนิด
สถาปนิกหนุ่มขี้เซาต้องใช้เวลาทบทวนความจำอยู่ชั่วครู่กว่าจะระลึกได้ว่าก่อนหน้าจะหลับไปนั้นเขาไม่ได้อยู่คนเดียว หากแต่ยังมีคุณไฮโซนามสกุลดังมานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยอีกหนึ่งคน
...บ้าแล้ว...
...อย่างธีรชาติเนี่ยนะจะมาทำความสะอาดห้องให้คนอื่น?...
...ยังฝันไม่ตื่นหรือว่าอะไรวะเนี่ยจินดาเอ๊ย!?...
แล้วในตอนนั้นเอง เสียงเครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดที่ดังบรึ้มๆมาจากทางด้านนอกก็ลอยผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาจนถึงหู จินดาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆแล้วจึงตรงไปยังหน้าต่างบานที่ว่าเพื่อชะโงกหน้าสังเกตการณ์
เมอร์เซเดส-เบนซ์เอสคลาสสีดำสนิทที่ชายหนุ่มจำได้ดีว่าเป็นของธีรชาติกำลังเคลื่อนตัวห่างจากบ้านเช่าหลังนี้ไป สิ่งที่เห็นทำให้เขาเพิ่งนี้ขึ้นได้ว่าเสียงที่ปลุกเขาขึ้นมาจากการนอนหลับอันแสนสบายเมื่อครู่นั้นที่แท้ก็เป็นเสียงปิดประตูห้องของธีรชาตินี่เอง
...ตีสี่กว่า เพิ่งกลับบ้าน...
“นั่งทำอะไรอยู่ในห้องกูตั้งนานวะ?” จินดาพึมพำขึ้นเสียงเบาด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีต่อมาหางตาของเขาก็ไปสะดุดกับบางสิ่งที่สามารถใช้เป็นคำตอบของคำถามข้อเมื่อสักครู่ได้เป็นอย่างดี
...แผงฟาซาดที่ก่อนหน้านี้เขากังวลหนักหนาว่าจะเสร็จไม่ทันเวลากำลังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานในสภาพสมบูรณ์สวยงาม...
จินดาเบิกตากว้างอ้าปากค้างราวกับเห็นผีก่อนจะปรี่เข้าไปหยิบไปจับมันขึ้นมาพิจารณา แม้กาวจะเยิ้มอยู่นิดๆและขอบกระดาษชานอ้อยจะเป็นขุยอยู่หน่อยๆแต่ก็ไม่เป็นปัญหานักในเมื่อโมเดลฟาซาดแผงนี้ถูกประกอบขึ้นมาตรงตามแบบที่เขาสเก็ทช์ไว้ชนิดไม่มีจุดไหนผิดเพี้ยน
“เอาเข้...” จินดาไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ไอ้ความดีใจที่งานเสร็จทันเวลาโดยที่ตัวเองแทบไม่ได้ลงแรงเลยน่ะต้องมีแน่อยู่แล้ว แต่ความรู้สึกอื่นๆนอกเหนือจากนั้นนี่สิมันผุดขึ้นมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะไปหมด ทั้งตกใจ ทั้งเกรงใจ ทั้งงุนงง
...และเหนือสิ่งอื่นใดคือเขารู้สึกประทับใจ...
นักออกแบบหนุ่มถอยกลับไปหย่อนกายลงนั่งบนเตียงหลังเดิมอีกครั้ง
...คราวนี้ขอบคุณด้วยมาการองแค่เจ็ดแปดชิ้นคงไม่พอแล้วมั้ง...
...ต้องซื้ออะไรไปให้วะถึงจะสมราคาเหนื่อยของคนระดับนั้น?...
จินดาหันไปยังโต๊ะข้างหัวเตียงหมายจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์คำขอบคุณส่งให้ผู้บริหารคนดัง แต่แล้วอะไรบางอย่างที่วางอยู่ข้างสมาร์ทโฟนของเขานั้นก็ทำเอาดวงตาเรียวรีอันแสนเป็นเอกลักษณ์ต้องเบิกกว้างขึ้นอีกรอบ
คงเป็นเพราะความมืดและความรีบร้อนจึงทำให้เมื่อครู่นักออกแบบหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นซองพลาสติกแบนๆจำนวนนับสิบที่วางซ้อนกันไว้อย่างเป็นระเบียบกองนี้
...นี่มันหนังแผ่นสัญชาติญี่ปุ่นที่เขาเตะมันไปแอบไว้ใต้เตียงเมื่อสักเดือนก่อนตอนที่พี่โก๋แวะมาที่ห้องนี่!!...
ชายหนุ่มมือขึ้นกุมสองข้างแก้มที่ยามนี้กำลังออกอาการร้อนผะผ่าวในทันที
ในฐานะคนที่ไปสอยมากับมือ จินดาจำได้ดีว่าเอวีแต่ละแผ่นที่เคยซื้อมาเก็บไว้นั้นเป็นแนวไหน คอลเล็กชั่นของเขามีทั้งแนวแม่เพื่อน เพื่อนแม่ เมียใหม่พ่อ เมียเจ้านาย อาจารย์สาว...พูดง่ายๆคือแนวกระดังงาลนไฟทั้งนั้น...
...อายยิ่งกว่าการถูกจับได้ว่าดูหนังโป๊ ก็คือกาถูกจับได้ว่าดูหนังโป๊แนวสาวแก่แม่หม้ายนี่แหละวะ!!...
...เวรกรรม...
...แล้วต่อไปจะมองหน้าธีรชาติติดได้ยังไงล่ะเนี่ย?...
สถาปนิกผู้หน้าบางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหยิบเอากระดาษโน๊ตใบเล็กๆที่วางทับดีวีดีทุกแผ่นไว้ขึ้นมาอ่านดู บนนั้นมีลายมือธีรชาติเขียนเป็นประโยคสั้นๆอยู่เพียงประโยคเดียวว่า...
‘รสนิยมน่าสนใจดีนะครับ’
...พ่องงงงงงงงงง!!!!!!...
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
