บทที่ 23
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว” นาฏยชี้ไปที่ห้องน้ำของโรงยิม
จันทร์เจ้าเบ้หน้า
หนีไม่พ้นครับ…
วันศุกร์ตอนเย็นตามที่บอกไว้ไม่ขาดไม่เกินสักนิด พอเลิกเรียนปุ๊บ ร่างสูงใหญ่ของนาฏยแห่งคณะประมงปีสามก็ยืนพิงเสาอยู่ใต้ตึกคณะบริหารพอดี ทุกคนแถวนั้นเริ่มชินตาเสียแล้วกับการที่มีคนดังของมหาลัยมายืนรอแฟนที่ใต้ตึก
แรกๆก็มีคนให้ความสนใจรุ่นพี่หน้าหล่อแต่ดุดันคนนี้ มีเสียงซุบซิบให้ได้ยินบ้าง แต่ทุกคนก็ต่องอดยอมรับไม่ได้ว่าอิจฉาเด็กปีหนึ่งหน้าขาวแก้มย้วยที่ได้พี่นาฏยไปครอง
นาฏยผันตัวมาเป็นแขกประจำของคณะบริหารจนไอ้อัชล้อเลียนว่าเป็นเขยคณะไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้เพื่อนเขาก็เหมือนกันตอนแรกมีคนแซวมันก็ทำหน้าดุ ถลึงตามองเพราะว่าเขินแต่พอนานๆเข้าหน่อยสงสัยเริ่มจะมีภูมิคุ้มกันเลยไม่ค่อยจะเขินแล้ว
นัยน์ตากลมๆโตมองไปรอบๆโรงยิมที่เดิมที่พี่นาฏยเคยมาเล่นบาสกับเพื่อนๆ แล้วไหนบอกจะพาไปฟิตเนทไงอะ พามาโรงยิมทำไม?
“อ่าว ไม่ได้ไปฟิตเนทหรือครับ?”
“ที่นี่แหละ” นาฏยชี้ “ผมไม่ชอบเข้าฟิตเนทพวกนั้นเท่าไร” เขารู้สึกว่าการออกกำลังกายบางทีไม่จำเป็นต้องเสียเงินขนาดนั้น อีกอย่างเขาชอบเล่นกีฬามากกว่าการไปยกดัมเบลอะไรเถือกนั้น
“มาเล่นบาสหรือครับ?” แต่เท่าที่เห็นไม่น่าใช่เลยเพราะว่าแป้นบาสถูกเก็บพับขึ้นไปอยู่ สนามก็มีคนมากกว่าจะมาตั้งทีมบาสด้วย มีคนถูกพื้นสนามอยู่
“วันนี้สนามเป็นของชมรมคาราเต้ แต่เขาให้คนนอกซ้อมได้ด้วย ทีมชาติก็ซ้อมไป แต่ว่าเขาก็มีคนสอนสำหรับคนที่สนใจ”
คาราเต้? เคยได้ยินนะที่เหมือนๆกับเทควันโดอะไรหรือเปล่า?
“ที่เหมือนเทควันโดหรือครับ”
“อืม ก็เป็นศิลปะป้องกันตัวเหมือนกัน แต่เทควันโดเป็นของเกาหลีแต่คาราเต้นี่ของญี่ปุ่น”
ตอนนี้เริ่มเห็นคนเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ บางคนใส่ชุดขาวทั้งตัวที่เอวมีสายคาดสีต่างกัน ชุดดูไปดูมาคล้ายเทควันโดที่เคยเห็นแต่ดูแล้วผ้าจะหนากว่าหน่อย
“ไปเปลี่ยนชุด”
เมื่อวานพี่นาฏยสั่งให้เขาเตรียมกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อยืดมา ยังสงสัยเลยว่าทำไมต้องขายาว
เขาเข้าไปห้องน้ำไม่นานเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมาเห็นพี่นาฏยใส่ชุดสีขาวทั้งตัวอย่างที่เห็นข้างนอก ตัวเสื้อเป็นเชือกผูกกันเลยทำให้เวลาขยับเห็นรอยแหวกตรงกลาง แผ่นอกแกร่งกับหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ
จันทร์เจ้ารู้สึกตัวเองเลือดลมเดินดีขึ้นมาทันที จมูกเริ่มร้อนๆ คงไม่ใช่ว่าเลือดกำเดาไหลหรอกนะ ทุเรศตายชักเลย
พอออกมาจากห้องน้ำ สายตาของคนในโรงยิมก็มองมาที่พวกเขา ก้มหน้างุดเดินตามหลังพี่ต้อยๆ มีเสียงกรี๊ดเบาๆจากสาวๆคณะต่างๆที่มาลองซ้อมาคาราเต้ด้วย ไม่ได้มีแต่หนุ่มถึกๆนะครับ แต่สาวๆบางคนก็ยอมมาซ้อมเล่นเพราะจะแอบมาส่องหนุ่มในชุดคาราเต้กันมากกว่า ฮ่าๆ
จันทร์เจ้าทำตาโตเมื่อเห็นพี่นาฏยหยิบสายคาดเอวขึ้นมา
“โห สายดำ” ถึงจะไม่เคยเรียนแต่ก็พอรู้มาบ้างว่าขั้นสูงสุดคือสายดำและขั้นแรกเลยคือสายขาว
จากที่ลองมองๆในสนามแล้วมีคนคาดสายดำไม่มากแล้วก็มีสายเหลือง สายเขียว สายฟ้าคละๆกันไป สายขาวเห็นทีจะเยอะสุดและก็คนที่ไม่มีสายอย่างเขาในชุดวอร์มทั่วไป
พวกสายดำที่เห็นมีธงชาติไทยติดอยู่ตรงหน้าอกด้วย สงสัยจะเป็นพวกทีมชาติที่พี่นาฏยบอก พี่นาฏยพาเขาวอร์มอัพด้วยการยืดเส้นยืดสาย
“กว่าจะโผล่หัวมานะไอ้นาฏย” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยกว่าพี่นาฏยแต่หุ่นบึกกว่าเดินมาตบไหล่ คนนี้คงเป็นทีมชาติเพราะว่ามีธงชาติไทยติดอยู่
“เออ กูไม่ได้เป็นทีมชาติอย่างพวกมึง” นาฏยตอบนิ่งๆ
“ไอ้ห่า กูเสียดายฝีมือมึงมาก อย่างมึงนี่ติดทีมชาติสบายๆเลยนะเว้ย” บ่นเสียดายเพราะว่านาฏยเข้ามาซ้อมตั้งแต่ปีหนึ่งพร้อมๆกัน ฝีมือดีจนโค้ชเรียกให้ไปเก็บตัว แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธบอกว่ามาซ้อมเพราะว่าอยากออกกำลังกายเฉยๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์สอบเลื่อนสายจนได้สายดำพร้อมๆกับพวกทีมชาติรุ่นเดียวกัน
“พาใครมาด้วยวะ?” วันนี้มันไม่ได้มาคนเดียวเว้ย
“นี่จันทร์เจ้า” ตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความอะไรต่อ
รุ่นพี่หุ่นล่ำหรี่ตาลงเหมือนกำลังใช้ความคิด “จันทร์เจ้า...น้องที่มีข่าวกับมึงบ่อยอะนะ”
จันทร์เจ้าสวัสดีคนมาใหม่
“ดีๆ พี่ชื่อโอ๊ต ปีสาม เรียนอยู่วิทย์กีฬา”
มิน่าถึงชอบเล่นกีฬา
นาฏยยักคิ้วใส่เพื่อน
“พาไปเปิดตัวหน่อยดิวะ” ทีมชาติพยักเพยิดไปที่กลุ่มทีมชาติที่กำลังวอร์มอัพกันอยู่
ร่างสูงใหญ่โดนเพื่อนลากไปจนได้ จันทร์เจ้าเลยต้องเดินตามอย่างช่วยไม่ได้ พอมาอยู่ในดงทีมชาติรู้สึกตัวเองเป็นเด็กน้อยเลย แต่ละคนรูปร่างบึกทั้งนั้น ขนาดผู้หญิงสองสามคนยังดูเฟิร์มแข็งแรงกว่าเขาอีก
“มาแล้วๆ”
“ไงนาฏย” หนึ่งในนั้นทัก ร่างกายกำยำของอีกฝ่ายเริ่มมีเหงื่อ
“ดีครับพี่เก่ง” เก่งเป็นรุ่นพี่ปีห้าของชมรมและเป็นผู้นำทีมชาติในมหาลัยเขาไปแข่งตามรายการข้างนอก
“เออๆ สนใจมาลงแข่งคาตะ*รุ่นใหญ่ไหม? กำลังขาดคนพอดี ที่ซ้อมอยู่ตอนนี้ยังไม่เข้าขั้นสักคน” ที่พี่เก่งพูดถึงก็คือการแข่งขันคาตะ หรือ ท่าเพลงมวย ที่มีตั้งแต่ท่าเพลงมวยพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง ตอนมาใหม่จะได้เรียนท่าเพลงมวยขั้นพื้นฐานพอสอบเลื่อนขั้นสูงขึ้นก็จะได้เรียนท่าเพลงที่ยากขึ้นไป
(*Kata (型 คาตะ) เป็นท่าเพลงมวย ในคาราเต้ คาตะมีความสำคัญมาก คาตะสามารถบ่งบอกถึงลักษณะเด่นของในคาราเต้แต่ละสำนักได้ว่า สำนักนั้น ๆมีจุดเด่นในการต่อสู้อย่างไร) (Soure: Google)
“หึ ก็ได้นะพี่ แต่ว่าไม่ได้เป็นทีมชาติเขาให้ลงหรอ?” จันทร์เจ้าตาโตเมื่อเห็นพี่นาฏยตกลง
“ได้ดิวะ ไม่ได้กูก็จะให้ได้อะ แต่มึงพูดจริงเปล่าวะ” เก่งถาม ไอ้รุ่นน้องจอมหยิ่งนี่เรียกให้ลงแข่งกี่ทีไม่เคยลง แต่ครั้งนี้ลองถามเล่นๆแต่มันเสือกเอาจริง “งั้นลงคูมิเต้**ให้ด้วยดิวะ จะได้ครบเซ็ท”
(**Kumite (組手 คุมิเต้) เป็นการต่อสู้) (Source: Google)
“อืม” นาฏยตอบเฉื่อยๆ เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มฝืดๆเลยอยากจะลองเข้าแข่งดูบ้าง อีกอย่างอยากวัดฝีมือตัวเองอยู่เหมือนกัน อยากลองหาประสบการณ์ดู โลกภายนอกยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าเขา
“ดีเว้ย ไอ้โอ๊ตมึงจดชื่อไอ้นาฏยลงไปเลย” คนในทีมดูดีใจมากที่จะได้นาฏยไปร่วมทัพแข่งขันอีกคน “งั้นมึงมาบ่อยๆหน่อยๆจะได้ฝึกหนักๆ ไปแข่งจะได้ไม่ขายขี้หน้าเขา”
นาฏยพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นก็วอร์มร่างกายไปด้วยสลับกับสอนกระต่ายแคระตาโตให้ทำตามแต่ดูเหมือนเด็กแคระจะหลายเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของคนในกลุ่มมากกว่า เดี๋ยวก็โดนผู้หญิงจับแขนจับแก้ม กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แก้มป่องแดงๆเพราะเขิน มีแต่คนมองคนแกล้ง
“นาฏย ฉันขอฟัดน้องได้ไหมมมม” พี่สาวสายดำคนหนึ่งยิ้มกว้าง “น้องน่ารักมาก ฮืออออ ฉันเป็นผู้หญิงยังยอมแพ้”
“ฟ่าง อย่างเธอยังนับอีกหรอ” แล้วคนพูดก็โดนพี่ฟ่างเตะตูดเต็มๆ ยิ่งเป็นคาราเต้ด้วยแรงใส่แรงไม่ยั้งอีกต่างหาก
ระหว่างที่กำลังจะวอร์มเสร็จ หูกฌได้ยินเสียงคนร้องโดยหวนจนน่าตกใจ จันทร์เจ้าหันไปมองตามต้นเสียง
เห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มแต่หน้าตาไม่เหมือนคนไทย ออกเป็นชาวตะวันออกกลางกำลังดัดหลังคนที่นั่งอยู่บนพื้นให้ก้มลงไป คนนั้นอยู่ในชุดคาราเต้สีขาวคาดสายดำเหมือนพี่นาฏย คนร้องโอดโอยเป็นหนุ่มร่างตุ้ยนุ้ยในชุดวอร์ม เอ่อ น่าจะเรียกได้ว่าอ้วนเลยมากกว่าเพราะกลมซะขนาดนั้น คือเห็นแล้วแอบยิ้ม
“โอ็ยยย ไอ้เชี่ย เบาๆๆๆ เบาๆหน่อย กูเจ็บบบบบ” พี่ตุ้ยนุ้ยแก้มกลมสีแดงเรื่อเพราะร้อน โดนจับกางขาดันหลังให้ลงไปราบกับพื้น
“ยืดลงไป” เสียงทุ้มเข้มแต่ฟังดูเปร่งๆเหมือนยังพูดไม่ชัด
“ไม่ไหวววแล้วววว ปล่อยกูๆๆๆ ฮืออออ ไอ้ฟาโรห์ปล่อยๆๆๆๆ” หนุ่มร่างตุ้ยนุ้ยร้องลั่น คนอื่นมองด้วยความขำ เป็นภาพที่เห็นจนชินตาถ้าอยู่ในชมรม
“ไอ้ชะรีฟมันแกล้งเพื่อนมันทุกครั้งเลยว่ะ” พี่เก่งขำไปพูดไป
นาฏยก็พอรู้จักอีกฝ่ายเหมือนกัน เป็นหนุ่มลูกครึ่งอียิปต์ชื่อชะรีฟ เข้ามาปีหนึ่งก็สามารถข้ามขั้นมาฝึกกับพวกทีมชาติได้เพราะว่ามันเคยเรียนจากข้างนอกมาก่อน ขึ้นปีสองก็เข้าร่วมทีมชาติกับชมรม เป็นรุ่นน้องที่ฝีมือดีเข้าขั้นทีเดียว
ที่เห็นบ่อยๆคือ ชะรีฟจะมากับเพื่อนรูปร่างอ้วนกลมเนื้อหนังหนุบหนับ หลายคนชอบเรียกว่าพะยูนบ้าง เด็กสมบูรณ์บ้าง หยั่นหว่อหยุ่นบ้าง
“ฮืออออ พี่ฟ่างช่วยพุกด้วย” หนุ่มตุ้ยนุ้ยวิ่งตุบตับมากอดพี่สาวสายดำ
“ไอ้ชะรีฟไปแกล้งหนูพุกทำไม” หนุ่มหนาคมเข้มยักไหล่ขำๆ โดนเพื่อนชี้หน้าคาดโทษ
จันทร์เจ้าขำกับภาพตรงหน้าจนไหล่กระเพื่อม “พี่นาฏยๆ พี่เขาตลกดีเนอะ” มองด้วยความสนใจ ลูกครึ่งฝรั่งหัวทองก็พอมีให้เห็น แต่ลูกครึ่งแขกอาหรับนี่ไม่ค่อยเจอแหะ
“ไปๆ พวกมึงเอาแต่เล่นกัน ไอ้ชะรีฟมึงไปนำวอร์มใหญ่เลยไป” วอร์มใหญ่คือการที่ทุกคนมายืนเป็นวงกลมแล้ววอร์มตามคนนำ ไปจนถึงการทำท่าพื้นฐานของคาราเต้
จันทร์เจ้าตั้งใจวอร์มตามที่คนนำบอก จนเริ่มรู้สึกว่าเหงื่อออกเครื่องร้อนพอดี ผ่านไปสิบหน้านาทีการวอร์มก็จบลง คราวนี้พี่เก่งแยกกันตามลำดับสาย คนที่มาใหม่ทั้งหลายถูกจัดไปอยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆที่พอเป็นอยู่แล้วก็ฝึกด้วยกัน ทีมชาติก็มีกลุ่มของตัวเองเพื่อฝึก
“ไอ้นาฏย วันนี้มึงฝึกกับทีมชาติเลย ไอ้ชะรีฟด้วย จะแข่งแล้ว” สองหนุ่มถูกดึงตัวออกไป คนมองตามตาละห้อย บางคนที่เข้ามาเรียนก็เพราะว่าจะได้มาส่องหนุ่มนี่ละ แถมวันนี้ไม่เสียเที่ยวเจอพี่นาฏย หนุ่มหล่อดีกรีดังจากประมง
จันทร์เจ้าที่ถูกแยกมาปะเข้ากับพี่ตุ้ยนุ้ยแก้มแดงเลยยิ้มให้ พี่เขาก็ยิ้มกลับ
“มาวันแรกหรอ?”
“ครับ”
“ดีเลยๆ เราชื่อหนูพุก ปีสองนายล่ะ”
“ผมชื่อเจ้า ปีหนึ่งครับ” ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เรียบร้อยก็ดีกว่าเล่นคนเดียวอะนะ ย่นจมูกใส่พี่นาฏยที่ยืนอยู่ไกลๆสองที ชวนมาแล้วก็ทิ้งเขาไปเฉยๆเลยๆ งอนมาก
“ย่ะ!!” เสียงทุ้มเปล่งเสียงดัง เสียงพั่บๆขอเสื้อและกางเกงสีกันจนทำให้ต้องหันไปมอง
นาฏยและชะรีฟกำลังยืนประจันหน้ากันโดยที่ตั้งการ์ดเตรียมพร้อมต่อสู้ มีทีมชาติยืนมองรอบๆ พี่เก่งเป็นกรรมการถือนกหวีดไว้
สัญญาณดังขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มฟุตเวิร์กกันขณะตั้งการ์ดเหมือนกำลังหยั่งเชิงอยู่ คนมองแทบลืมหายใจเมื่อร่างสูงใหญ่ของหนุ่มอาหรับก็พุ่งเข้าหารุ่นพี่ก่อน เจ้าตัวส่งหมัดหนักๆไปกลางลิ้นปี่แต่นาฏยเบี่ยงตัวหลบพร้อมปัดหมัดออกก่อนจะแย็บหมัดสวนเข้าไปในจังหวะที่อีกฝ่ายเปิดช่องว่าง
“อิปปง***” พี่เก่งผายมือไปทางนาฏย นาฏยโค้งให้กรรมการเป็นมารยาท พอมีฝ่ายหนึ่งได้คะแนนแล้วก็ต้องมาตั้งต้นเริ่มสู้กันใหม่
(***อิปปง (Ippon) เป็นการขานคะแนนในเวลาการแข่งขัน ซึ่งมีความหมายว่า 1 คะแนน)
หลังจากนั้นชะรีฟก็ได้คะแนนจากการแตะสูงเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่ายซึ่งเป็นคะแนนสามแต้ม แต่นาฏยก็สวนกลับด้วยการแตะเข้าที่ลำตัวซึ่งนับเป็นสองคะแนน
ตอนนี้ไม่มีใครมีกำลังจะซ้อมกันอีก คนฝึกทิ้งหน้าที่ คนซ้อมก็อยากดู คือมานั่งมายืนดูการต่อสู้นี้อย่างกับการแข่งขันจริง อาจจะเพราะความจริงจังของนักสู้ทั้งสองและบรรยากาศที่พาไปทำให้ทุกคนลุ้นตัวโก่ง
เริ่มมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก พอนาฏยได้แต้มก็มีคนเฮ พอชะรีฟได้แต้มก็มีคนเชียร์ ผลัดกันรุกรับจนในที่สุดกรรมการเป่าหมดเวลา
ทุกคนปรบมือให้กับการแข่งขัน (เอาจริงๆคือแค่ซ้อม) ทั้งคู่ต่างเหงื่อโซม ผลก็คือนาฏยชนะไปอย่างเฉียวฉิวด้วยคะแนนหกต่อสี่ นาฏยตบไหล่รุ่นน้องชาวอาหรับ
“เหนื่อยไหมครับ?” จันทร์เจ้ายื่นขวดน้ำไปให้ นาฏยยืนพักอยู่ข้างสนามในระหว่างที่ชมรมพักเบรค
“อืม นิดหน่อย ไอ้ชะรีฟเตะหนักเป็นบ้า” นาฏยสบถในคอ รู้สึกปวดตุบๆตรงที่โดนแตะ เป็นเพราะเขาไม่ระวังทั้งเอง ความจริงเวลาซ้อมต่อสู้พวกเขาค่อนข้างยั้งแรงเพราะไม่ต้องการให้เกิดอาการบาดเจ็บ แต่เขาพลาดถลาเข้าไปขณะที่อีกฝ่ายออกลูกเตะมาพอดีเลยทำให้โดนเต็มๆ
ชะรีฟก็คงรู้ตัวเพราะเจ้าตัวเดินมาขอโทษทันทีหลังซ้อมเสร็จ
“ทายาไหมครับ” นาฏยมียาสามัญ ยานวดทิ้งไว้ในรถอยู่แล้วเพราะเจ้าตัวเล่นกีฬาบ่อย
“เดี๋ยวกลับไปทาทีเดียว ไม่เป็นอะไร”
หลังจากนั้นพี่นาฏยก็ต้องกลับไปซ้อมต่ออีกสักพักชมรมก็เลิกพอดี ร่างสูงใหญ่ให้ร่างเล็กไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
“พรุ่งนี้วันเสาร์มีไปไหนหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ”
“ไปตลาดน้ำไหม?”
นี่คือชวนไปเดทใช่ไหม??? จันทร์เจ้าตาโต เผยอปากมองพี่นาฏยจนโดนดึงปากเบาๆ
“ว่าไง?”
แอบเห็นหูพี่นาฏยแดงๆ แถมเกาแก้มไม่ยอมหันมามองอีกด้วย เขากระพริบตาปริบๆ นี่พี่นาฏยหกำลังเขินใช่ไหม? ทำไมเขารู้ว่าอีกฝ่ายน่ารักท้ังที่ๆคำนี้ไม่น่าจะเหมาะกับคนสูงใหญ่ยักษ์ของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“คิกๆ” พอเห็นอย่างนี้ก็ขำอะ ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ประหม่าแต่พี่นาฏยก็คงไม่ต่างกัน แค่เก็บเก่งกว่าก็เท่านั้น
“ขำอะไร?” โดนดุด้วยแหนะ แต่หยุดยิ้มไม่ได้เลย
“เปล่าครับ” ปิดเบาหันหน้าหนี แต่แก้มตุ่ยขึ้นเพราะกลั้นยิ้มสุดกำลัง จนโดนดึงแก้มย้วยเลย แก้มนี่โดนตลอดอะ ยืดหมดแล้ว
“ไปไม่ไป?” เสียงดุด้วย
“ไปครับ” จันทร์เจ้าหันไปยิ้มกว้างจนคนพี่ชะงัก กระต่ายแคระยิ้มน่ารักจนเขาเสียศูนย์เล็กน้อย
รถยนต์คันหรูมาจอดที่หน้าบ้านเขาเหมือนเดิม เวลานี้ป่าป๊าหม่าม้ายังคงอยู่ที่ร้านแน่เลย พี่นาฏยอยากจะลงมาสวัสดี แต่วันนี้เห็นทีจะพลาดอีกเหมือนเคยเพราะว่าไม่มีใครอยู่
“ขอบคุณครับที่มาส่ง” เขายิ้มกับคนขับที่เปิดกระจกลงมา พี่นาฏยยิ้มให้ก่อนจะเรียก
“มานี่สิ”
“ครับ?”
“พรุ่งนี้ผมมารับ” นิ้วยาวเรียวเกลี่ยแก้มกลมไปมาอย่างอ่อนโยนจนเจ้าของแก้มเขินจัด เชยคางมนเข้าไปใกล้แล้วจุ๊บเบาๆที่ปลาย
จมูกเล็ก
จันทร์เจ้ายิ้มเขิน พี่นาฏยไม่ค่อยรุ่มร่ามเท่าไรแต่ว่าพอมาทีเล่นเอาเขาจะระเบิดตัวตาย
“เจ้าขา!!!!”
?!
ร่างเล็กสะดุ้งหันไปมองหน้าประตูบ้านตามต้นเสียง
ป่าป๊า!!!!
TBC.
++++++++++++++100%+++++++++++++++++++++++
มาแล้วจ้ามาแล้วววววว อีกครึ่งตอนที่เหลือมาแล้วจ้าาา
ตอนนี้พี่มันอ้อยระดับแม็กซ์ น้องระเหิดตัวเองหายไปในอากาศเลยจ้า ตอนนี้
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านจริงๆที่เอ็นดูน้องต่ายแคระและหมั่นไส้อีหมีไปพร้อมกับเรา
ขอบคุณทุกการแนะนำในคอมเม้นจริงๆ ทั้งเรื่องคำผิดหรืออื่นๆ เราจะทำการแก้หลังจากเราเขียนเสร็จทั้งหมดค่า
ขอบคุณทุกท่านจริงๆที่รักเรื่องนี้จนอยากให้มีการรวมเล่มเกิดขึ้น
อีพี่หมีและต่ายแคระอยากให้ทุกคนอ่านเรื่องรักตามสั่งแล้วยิ้มตามไปด้วยกันนะค่า เพราะฉะนั้นอยู่กับเราไปนานๆเนอะ
รักน้องเจ้าบวกเป็ด ปลื้มพี่นาฏยคอมเม้นโลดค่า
ปล. เยิฟฟฟฟฟฟฟฟ
ปล. อีกหนึ่งเรื่องของคนเขียน วณิพกพเนจร ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
ขอฝากไปกดไลค์เพจเฟสบุ้คกันได้นะครับบบบ เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอัพเดทเวลาที่เรา
หายไปนานๆ หรือว่าติดธุระอะไร เราจะไปอัพเดทไว้ในเฟส หรือว่าบางครั้งจะมีเขียนโมเม้นน่ารักของอีพี่กะน้องเอาไว้เล่นๆที่ไม่
ได้เอามาลงหน้านิยายนะครับ เลยอยากให้ไปพูดคุยในเฟสกันเลยยยย ถ้าคนเขียนหายไปตามจิกในเฟสจะเจอเราเร็วมากเพราะ
เราเล่นประจำ
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=tsปล.สาม. เรื่องรักตามสั่งเป็นเรื่องสบายๆคลายเครียด ฟีลกู๊ด น่ารักๆ การดำเนินเรื่องอาจจะเรื่อยๆเอื่อยๆไปบ้าง ขอต้องขออภัย
คนอ่านที่ชอบความตื่นเต้นหรือเรื่องที่ซับซ้อนนะค่า เรื่องนี้เราตั้งพลอตไว้แบบเป็น สไลด์ออฟไลฟ์ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึง
ชีวิตตัวละครจริงๆ เวลาเขียนเราค่อนข้างใส่ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆเข้าไป
คืออยากให้ลองนึกว่าพี่นาฏย น้องเจ้าและตัวละครทุกตัวเป็นคนจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่เหมือนพวกเรานี่ละค่ะ เวลาเราเขียนเรานึกถึงว่าถ้าพี่นาฏยเป็นเพื่อนเรา น้องเจ้าเป็นน้องชายเรา เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะตอนนี้ เราเขียนให้ตัวละครเราค่อนข้างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องเลยจะเป็นการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งนะค่า
ปล.สี่. อยากจะให้ทุกท่านติดตามชีวิตของพี่นาฏยกับน้องเจ้าไปด้วยกันกับเรานะค่า