บทที่ 21
สถานีกรุงเทพ หรือสถานีรถไฟหัวลำโพง ต้นสายของปลายทางรถไฟทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย ช่วงเช้าตรู่แบบวันเสาร์ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ คนจากทั่วสารทิศทั้งผู้ที่เดินทางเข้ามากรุงเทพฯหรือจากกรุงเทพฯออกสู่ต่างจังหวัด
นอกจากรถไฟที่จอดรอหรือจอดส่งผู้โดยสารแล้ว บรรดารถราอื่นๆอย่างรถโดยสารสาธารณะก็จอดเรียงรายรอรับผู้โดยสารเช่นกัน
นาฏยและจันทร์เจ้าลงจากรถยนต์ส่วนตัวที่จอดเอาไว้ในลานจอดรถ เจ้ากระต่ายแคระขยี้ตาหนุบหนับ พอลืมตาขึ้นมาก็ยิ้มแหะๆใส่ร่างสูง
เพราะที่บอกไว้ดิบดีว่าจะนั่งเป็นเพื่อน สรุปคือหลับยาวมาจนถึงหัวลำโพงนี่แหละ
เสียราคาคุยชะมัด
พี่ก็ส่ายหน้าแต่ยิ้มมุมปาก จัดแจงล็อครถให้เรียบร้อย เดินหิ้วถุงผ้าเข้าไปด้านใน
จันทร์เจ้าเห็นคนกลถ่มใหญ่ยืนออกันที่จุดนัดเรียบร้อยแล้ว แต่พอเดินเข้าไปก็โดนโห่
“วี้ดวิ้ว เขามาด้วยกันละเทอว์” น้ำเสียงกระแหนะกระแหนจากไอ้ลูกครึ่ง คนอื่นหัวเราะผสมโรงไปด้วย
นาฏยรับไหว้รุ่นน้องบางคน ไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลายยืนหน้าสลอนจนอยากจะเตะพวกแม่งไปหลายที
“กลิ่นไรวะ โคตรหอม” ไอ้เอกหันซ้านหัวขวา
“ข้าวเหนียวหมูทอด แล้วก็มีหมูฝอยด้วย กูทำมา” จันทร์เจ้าเฉลย
เด็กปีหนึ่งผู้หิวโหยแทบจะกราบกรานเพื่อนตัวเล็ก พวกเขากำลังร่ำๆจะไปซื้อของกินมารองท้องอยู่พอดี พระมาโปรดชัด
“กินได้เลยไหมวะ?” ไอ้แพนถาม
“ได้ แต่ไปกินบนรถนะ” จันทร์เจ้าไม่อยากให้มาเปิดกินแถวนี้เดี๋ยวจะวุ่นวายแล้วขึ้นรถไม่ทัน
“ได้เลยครับแม่” ปากแบบนี้แม่งไม่น่าให้กินเลย
แพนรีบเสนอตัวถือถุงผ้าให้แทน นาฏยก็ไม่ได้ว่าอะไรยกให้อีกฝ่ายถือแต่โดยดี พลางสะกิดคนตัวเล็ก
“คุณพวกฝากของหน่อยสิ” นาฏยส่งกระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือพร้อมกุญแจรถให้
ตากลมๆมองของที่อยู่ในมือใหญ่ ปลดเป้ใบย่อมๆตัวเองออกจากหลังเปิดซิปแล้วให้อีกฝ่ายใส่ของลงมา แต่พอตอนที่จะสะพาย
ขึ้นไหล่ตัวเอง มือใหญ่ก็มาคว้าไปสะพายแทน
“อ๊ะ...”
“ผมถือเอง” บอกเสียงนิ่งๆ
จันทร์เจ้าอมยิ้มเขินๆ ในใจอุ่นวาบเพราะการกระทำที่ใส่ใจทุกอย่างของอีกฝ่าย แม้จะไม่ค่อยพูดแต่การกระทำที่แสดงออกหลาย
อย่างทำให้เขายิ้มได้ตลอด
ยอมปล่อยกระเป๋าเป้ใบย่อมที่ให้อีกฝ่ายไป
“เอาหมวกมาหรือเปล่า?” อากาศช่วงนี้ค่อนข้างร้อนขึ้นเรื่อยๆ พี่นาฏยเลยกำชับตั้งแต่เมื่อวานให้เอาหมวกมาด้วย
“เอามาครับ เอามาเผื่อพี่นาฏยด้วยครับ” เขายิ้มชี้ไปที่กระเป๋าบนหลังอีกฝ่าย
เห็นพี่ท็อป พี่นิวเดินออกไปร้านมินิมาร์ทในสถานีเพื่อซื้อน้ำเปล่า ไอ้อัชต้นคิดของทริปรถไฟนี้ก็เอาตั๋วที่มันอุตส่าห์ดั้นด้นไปจองมาฉีกแจกทุกคนคนละใบ
...ขบวนที่สาม…
ที่นั่งก็เรียงๆติดๆกัน เขาได้เลขที่ 61
รถไฟนำเที่ยวขบวนนี้เป็นที่นั่งสี่ที่หันหน้าเข้าหากัน พวกเขามีกันสิบคนเพราะฉะนั้นจะมีสี่คนนั่งเข้าหากัน ฝั่งตรงข้ามก็จะมีอีกสี่คน ส่วนอีกสองคนต้องไปกับคนอื่นแต่ก็อยู่ติดๆกัน
สุดท้ายพี่เตเตกับเปเปสละจะไปนั่งที่สองคนให้ เด็กปีหนึ่งบริหารก็นั่งด้วยกัน ส่วนปีสามคณะประมงก็นั่งอีกฝั่งแทน
เวลา 7:05 พวกเขาก็ทยอยเดินขึ้นรถไฟกัน
พี่เอ็ดมันด์ขึ้นไปปุ๊ปก็นั่งตามเลขของตัวเองแต่กลับโดนพี่นิวตบไหล่ๆหนักๆ
“ไอ้ฝรั่ง มึงแหกตาดูยังว่านี่ใช่ขบวนมึงที่ไหน นี่มันเพิ่งสิบสี่ ของเราขบวนที่สาม” คนในขบวนนั้นหันมามองตามกลุ่มเกือบทุกคน
อาจจะเพราะด้วยหน้าตาแต่ละคนที่โดดเด่นไม่น้อย รวมถึงความสูงความใหญ่ที่เดินทีหัวเกือบชนพัดลมเพดานกัน เห็นทีคนที่ตัวเตี้ยสุดจะเป็นพี่นิว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าอยู่เกณฑ์สูงอยู่ดี
จันทร์เจ้าขมวดคิ้ว คงมีแต่เขานี่แหละที่ความสูงไม่ได้กระเตื้องไปไหน มีที่ไหนสูงกว่าเปเปที่เป็นผู้หญิงนิดเดียวเอง เฮ้อ อนาจจิตแท้
แต่พวกพี่นาฏยก็เด่นจริงๆ เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมองตาม ยิ่งวันนี้วันหยุดคนเต็มขบวนรถไฟตั้งแต่สถานีต้นทาง พอเดิน
มาถึงขบวนที่สามก็เห็นที่ว่างที่น่าจะเป็นของพวกเขานี่แหละ
แต่พอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ๆนั่งเบียดกันก็อดขำไม่ได้ คือพี่นาฏยนั่งกับพี่ท็อปนะแต่ดันหันหน้าเข้าหาพี่เอ็ดมันด์ ทั้งสองคนเลยมีแตะขากันไปแตะขากันมาเพราะว่าไม่มีที่วางขากัน ขายาวเกินไปนั่นเอง
“ไอ้ห่า ขามึงเกินมาละ” เสียงฝรั่งโวยวาย
“สัส” พี่นาฏยไม่ค่อยพูด แต่พูดทีก็ไม่ไว้หน้า
“พวกมึ๊งงง ไม่ต้องทะเลาะกันนนนน” พี่นิวขำไปห้ามไป
จันทร์เจ้านั่งกับอชิระเพราะว่าตัวใหญ่ ส่วนตัวเขาเล็กๆเลยไม่ค่อยเบียดเท่าไร หลังจากรถไฟผ่านสถานีบางซื่อไป ผู้ร่วมทริปหิวโหยทั้งหลายก็ร้องขอข้าวเช้ากันใหญ่ ไอ้แพนที่รับผิดชอบกระเป๋าผ้าใส่อาหารก็เอาออกมาแจกจ่ายให้ทุกคนกิน
“อร่อยวะ” นิวกับท็อปตาโต
“น้องเจ้าทำกับข้าวอร่อยมาก” พอมีคนชมก็เกาแก้มเขินๆ
“บ้านไอ้เจ้ามันเปิดร้านอาหารด้วยนะพี่” ไอ้อัชเสริมต่อ ขณะกัดข้าวเหนียวคำใหญ่
“เออดีๆ ไว้ไปอุดหนุน”
ดูเหมือนว่าข้าวเหนียวหมูทอดจะไม่คณามือของผู้หิวโหยพวกนี้เพราะเพียงไม่นานก็ทยอยลงท้องแต่ละคนไปอย่างรวดเร็ว
พอท้องอิ่มบางคนก็ขอหลับงีบเอาแรง บางคนก็ยังคุยกันเบาๆ ส่วนจันทร์เจ้านั้นขอหลับเอาแรงดีกว่า โชคดีว่าไอ้อัชเพื่อนรักให้
เขานั่งติดริมหน้าต่างเลยเอาหัวพิงกับตัวรถไฟไป ลมโกรกระหว่างที่รถไฟกำลังทำให้เขาหลับลงอย่างง่ายดาย
“อืม...” เสียงรถไฟฉึกฉักๆค่อยๆเบาลง ทำให้ร่างเล็กค่อยรู้สึกตัว นัยน์ตากลมๆปรือขึ้น ค่อยปรับโฟกัส ไอ้เอกกับไอ้แพนหลับหัวชนกันไปเรียบร้อยแล้ว
จากที่นอนเอียงไปทางขวาพิงกับตัวรถ เขารู้สึกว่าน่าจะเปลี่ยนข้างเอาหัวมาพิงกับไหล่คนข้างๆแทน
“อัชขอน้ำหน่อย” พึมพำเสียงค่อยกับเพื่อนสนิท
ขวดน้ำที่คลายความเย็นไปบ้างถูกส่งมาตรงหน้า มือรับมาทั้งที่ใบหน้าเล็กๆยังคงพิงกับไหล่อีกฝ่าย ตอนยกดื่มก็ไม่ยักจะเอาหัวขึ้นมาด้วย สรุปคือกินน้ำทั้งๆที่ซบไหล่เพื่อนนั่นแหละ
“อยู่ไหนแล้ว”
“อยุธยา” พยักหน้าหงึกหงึกกับไหล่ หลับตาลงอีกครั้ง
“ถึงแล้วปลุกด้วย” นอนไหล่เพื่อนไม่ต้องมีคำว่าเกรงใจหรอก เดี๋ยวถ้ามันเมื่อยมันก็ผลักหัวเขาไปวางไว้อีกฝั่งเองนั่นแหละ
“เฮ้ย! เอาอะไรไหมวะ เขาจอดสถานีนี้แปปนึง มีคนเอาของขึ้นมาขายบนรถ” แอบปรือมามองคนพูด
ไอ้อัชแม่งเสียงดัง จะกินอะไรก็ซื้อสิวะ มายืนถามปาวๆ
แต่...รู้สึกว่า…
มันมีอะไรไม่ค่อยถูกต้องแหะ?
เมื่อกี้คือไอ้อัชที่มายืนถามปาวๆ อ้าว…
...แล้วไอ้อัชที่เขานอนพิงไหล่อยู่นี่มันไอ้อัชไหนวะ?!...
ฉิบหาย!
ขอดูหน้าหน่อยสิว่าเป็นไอ้อัชแน่หรือเปล่า...เมื่อกำลังมึนๆอาจจะมองผิดก็ได้
“รีบลุกขึ้นมาทำไม?”
พราก...น้ำตาไหลพราก...ไอ้อัชที่นอนซบนี่ไม่ใช่ไอ้อัช
ทำไมถึงเป็น...พี่นาฏยไปได้ละ ฮืออออ
“ง่า...” ลูบหน้าลูบตา หัวเหอเผ้าผมให้มันกลับมาเป็นผู้เป็นคนก่อนค่อยว่ากัน
“ไม่นอนแล้วหรือ?”
คงจะกล้านอนลงอีกอะ ทีนี้เขาตื่นเต็มตาเลย ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงเด่ว เห็นไอ้เพื่อนตัวดีมันย้ายไปนั่งอีกฝั่งแทน อยากจะถามว่ามึงย้ายไปนั่งทำไมตรงนู้น แล้วพี่นาฏยมานั่งตรงนี้ได้ยังไง? ตอบบบบบบ
“อ่าครับ...” ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆในลำคอ “แล้ว...พี่นาฏยมานั่งตรงนี้ได้ไงครับ?”
“ขี้เกียจทะเลาะกับมัน” มือใหญ่ชี้ไปที่เพื่อนลูกครึ่งฝรั่งที่นอนกรนไปล่ะ จันทร์เจ้ายิ้มตาม พี่เอ็ดกับพี่นาฏยนี่ทะเลาะกันได้ทุกเรื่องจริงๆ
แต่ยิ่งตีกัน ลูกยิ่งดก???
ผิดๆๆๆ
เห็นไอ้อัชกลับขึ้นมาบนรถไฟพร้อมแก้วน้ำอัดลมมีหูหิ้วห้าแก้ว มันเรี่ยแจกให้กับคนที่ยังตื่นอยู่
พี่นาฏยรับมาก่อนยื่นให้เขา ส่ายหน้าแล้วบอกให้พี่นาฏยกินก่อน
พี่นาฏยดูดไปสองสามอึกแล้วส่งต่อให้เขา หลังจากดื่มไปเกือบครึ่งแก้วเพราะหิวน้ำมาก
ช่วงสายๆอากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกถึงไอร้อนที่มากับลม
“พี่นาฏยครับขอกระเป๋าหน่อยครับ”
พี่ส่งเป้ไปให้อีกฝ่าย จันทร์เจ้าล้วงหยิบกระดาษทิชชู่เปียกห่อเล็กขึ้นมา
“นี่ครับ” ท่าทางพี่นาฏยขี้ร้อนพอสมควรเพราะนั่งมาไม่นานเหงื่อซึมตามไรผมเต็มไปหมด รวมทั้งเสื้อยืดชื้นเหงื่อ
มือใหญ่รับไปเช็ดหน้าเช็ดตา เขาร้อนมากแต่ไม่ได้บ่นอะไรมาก
นั่งตากลมได้สักพักกระต่ายแคระแก้มป่องก็เริ่มหาวหวอดอีกครั้ง
“อ๊ะ!” ตกใจเล็กน้อยเพราะว่าโดนมือใหญ่รั้งต้นคอเบาๆให้ไปพิงกับไหล่แข็งๆ
“ชู่ว...นอนซะ” นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างแต่สัมผัสอุ่นๆตรงขมับทำให้เริ่มผ่อนคลาย มือใหญ่ๆลูบหัวทุยๆเบาๆคล้ายกับกล่องเด็กนอน จนเด็กแก้มป่องค่อยๆหลับตาลง
ริมฝีปากอุ่นๆหอมลงบนกลุ่มผมนุ่มสลวย แต่เสียดาย...กระต่ายแคระหลับไปเสียแล้ว
ถึงแล้ววววว!
หลังจากนั่งรถไฟนานกว่าสามชั่วโมง นั่งจนเมื่อยอะ รถไฟนำเที่ยวจอดเทียบชานชะลาสถานีเขื่อนป่าสักฯเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าเรายังไม่ลงสถานีนี้เพราะว่าถ้าจะไปชมวิวรางรถไฟกลางน้ำยังต้องนั่งต่อไปอีกสถานี ผู้โดยสารตอนนี้ไม่มีอยู่กับที่ละ ใครมี
กล้องกยิบกล้อง ใครมีไอโฟนหยิบขึ้นมา ใครไม่มีก็ยื่นหัวออกไปดู (อันตรายน้า อย่าทำตามเด็ดขาด)
ทั้งสองฝั่งรางรถไฟเป็นสายน้ำสีฟ้าอมเขียว พอโดนแสงเป็นประกายระยิบระยับสะท้อนขึ้นมา แม้จะร้อนแต่พอเห็นความสวยนี้ก็
ลืมไปหมด
กระต่ายแคระแก้มป่องซ่าอยากท้าลมร้อนเลยยื่นหน้าออกไปมองด้านนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่เอาหัวออกไปได้ไม่นานก็โดนท่อนแขนแข็งแรงคว้าเอวดึงกลับเข้ามา
“เอาหัวออกไปทำไม” ว่าเสียงดุ
ร่างเล็กถูกกระชับแน่นเกือบจะนั่งเกยตักของอีกฝ่าย พอรู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ในท่าแบบไหนก็อดหน้าร้อนไม่ได้ แต่พี่นาฏยไม่ได้สนใจสายตาล้อเลียนทั้งหลายสักนิด กลับก้มหน้าเอาตาดุๆมาจ้องอีก แค่นี้ก็กลัวจะแย่แล้ว
“ก็อยากเห็นชัดๆนี่ครับ” ตอบเสียงอู้อี้ กลัวพี่จะว่าอีกเลยทำหน้าอ้อนๆอย่างไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวรถไฟก็จอดแล้ว รอก่อนสิ”
“คร้าบบบ” ตอบเสียงยานคางจนโดนดีดเหม่งเข้าให้ ขยับตัวกลับมานั่งดีๆ แต่เจอสายตากรุ้มกริ่มของเพื่อนฝั่งตรงข้าม
“มองเชี่ยไร”
“พูดดีๆ”
อุ๊ย...หลุด
ลืมไปเลยว่าพี่นาฏยนั่งอยู่ด้วย
ไอ้เอกกับไอ้แพนหัวเราะ มีการหันไปพยักเพยิดกับไอ้อัชอีกด้วย
เสียงฉึกฉักเบาเรื่อยๆพร้อมกับรถไฟที่หยุดพอดิบพอดี เสียงประกาศบอกว่าให้เวลาสามสิบนาที บรรดาผู้คนก็แห่กันลงไปหมด
“ไปๆๆลงๆๆ” เอ็ดมันด์ที่นอนมาตลอดทางกระปรี่กระเปร่าลงจากรถไปคนแรก ตามด้วยขบวนเพื่อนๆตามไปเป็นพัลวัน
“พี่นาฏยไม่ลงหรอ?” กระต่ายแคระแก้มป่องถาม
ไอ้พี่หมีก็พยักหน้า “ลง แต่เดี๋ยวก่อน คนยังอออยู่เห็นไหม?” ด้านนอกคนยังทยอยลงไม่หมดเลยทำให้ติดขัดเดินไปไหนไม่ได้
“ไอ้เจ้า เอาหัวออกมาหน่อย” ไอ้แพนที่ควักกล้องโปรขึ้นมาตะโดนเรียกเพื่อน
จันทร์เจ้าโผล่หน้าออกไปทางหน้าต่างรถไฟแล้วยิ้มแฉ่ง กดชัตเตอร์เรียบร้อยได้มาสองสามรูป
“ไอ้เชี่ยนาฏยเมื่อไรจะลง” เสียงหนุ่มลูกครึ่งตะโกนเรียกเพื่อนรักเช่นกัน
ร่างเล็กตัวแข็งเมื่อร่างสูงใหญ่ขยับมาที่หน้าต่างพลางโผล่หน้าออกมาคู่กัน “เมื่อนั้นแหละมึง” ใครบอกหน้านิ่งๆ นี่สุดยอดของความกวนตีนครับขอบอก
“ถ่ายรูปหน่อยๆ” ตากล้องจำเป็นยกกล้องขึ้นมาอีกครั้ง จันทร์เจ้าขยับตัวจะหลบออกจากหน้าต่างแต่ว่ากลับโดนแขนแกร่งกระชับเอวให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม ใบหน้าคมขยับเข้ามาชิดจนคนตัวเล็กใจเต้นระรัว
จันทร์เจ้าสาบานกับตัวเองว่าจะต้องไปเขย่าคอไอ้แพนเพื่อนเอารูปคู่พี่นาฏยมาให้ได้โดยเร็ว
“เหวอ!” แต่พอตอนกำลังจะดึงตัวกลับเข้ามาดันไปชนกับไหล่กว้างเลยเสียหลักเกือบจะล้ม แต่ว่าโชคดีที่พี่นาฏยไหวตัวทันจับร่างเล็กเอาไว้ได้พอดี
...แต่ว่า...
แก้มป่องๆของกระต่ายแคระดันไปปะเข้ากับริมฝีปากได้รูปของพี่นาฏยพอดิบพอดี ตากลมๆเบิกกว้างขึ้นอีกรีบดึงแก้มตัวเองกลับ
มา ร่างสูงยังคงทำหน้านิ่งแต่สายตาพราวระยับจนคนมองตาพร่า กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนเด็กของอีกฝ่ายทำให้นาฏยรู้สึกอยากจะฝังจมูกลงไปอีกรอบ แก้มป่องนุ่มเหมือนขนมโมจิ
“พี่นา..ฏย เอ่อ ขอโทษครับ” ก้มหน้างุด ไม่ต้องบอกตอนนี้ก็รู้ว่าใบหน้าเขาร้อนทะลุจุดเดือดไปแล้ว ตากลมๆล่อกแล่ก กลัวว่าจะมีคนเห็น แต่โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนลงไปข้างล่างกันหมด
รีบลุกจะหนีลงไปข้างล่างแต่ว่ากลับโดนข้อมือใหญ่กระตุกให้นั่งลงบนตักเสียก่อน
“พี่นาฏย!” ร้องเสียงหลง
“ชู่ว เบาหน่อย” ใบหน้าคมดุแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ที่สุด
ไม่คิดว่าหน้าดุๆแบบนี้จะเป็นคนแบบนี้
เขินก็เขินอายก็อาย “พี่นาฏย” พูดสียงอ่อย “ปล่อยผมเถอะครับ”
“เจ้าขา...” อยู่ก็พูดขึ้นมา แถมเรียกชื่อที่ไม่มีใครนอกจากครอบครัวเรียกอีกด้วย
“หา?”
“แทนตัวเองว่าเจ้าขาสิ”
หัวทุยๆส่ายหน้ายิก แต่กลับโดนอ้อมแขนกระชับเข้าที่เอว
“งั้นก็นั่งอย่างนี้แหละ” พี่นาฏยคนดุหายไปไหนแล้ว กลับมาเข้าร่างด่วน
ใบหน้าขาวขึ้นสีจัด ปสกเล็กๆอ้อมแอ้ม “พี่นาฏย...ปล่อยเจ้าขานะ...” ใจกล้า กัดฟันแถมตาอ้อนๆไปอีกที
นาฏยรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มกว้างทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเขาเท่าไร แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่ากระต่ายแคระตัวนี้ทำให้เขายิ้มได้ตลอดเวลา ใบหน้าเวลาหัวเราะ เขิน หรือโมโห ก็น่ารัก เขาไม่ใช่คนที่ชอบสนิทกับใครง่ายๆแต่ว่าพอเป็นกระต่ายแคระตัวนี้แล้วอยากจะทำยิ่งกว่าสนิทอีก
เขาโตพอที่จะแยกแยะได้ว่าความรู้สึกตอนนี้ของตัวเองคืออะไร ช่วงแรกๆแปลกใจกับตัวเองว่าทำไมถึงชอบมองหากระต่ายแคระ ไม่คิดว่าจะมีความรู้สึกกับเพศเดียวกันท้ังที่เมื่อก่อนก็ยังคุยกับผู้หญิงเป็นปกติแต่ไมได้เจ้าชู้ เขาชอบและสนิทกับคนยากเพราะฉะนั้นการที่จะสนิทกับใครจนถึงขั้นชอบหรือรักนั้นมีน้อยมาก
เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้มีมากกว่าคำว่าอยากจะสนิทด้วย
“คบกันไหม?”
TBL.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พี่หมีขี่อ้อยตัวพ่อนางเปิดเกมส์แล้วน้าาาา เล่นเอาน้องตั้งตัวไม่ทันเลยยยยย
นางเป็นคนจริงทำจริงนะจ้าาาาา หุๆๆ
ขอบคุณที่ติดตามกระต่ายแคระและพี่หมีมาตลอดค่า
ขอบคุณทุกการติดตามค่า
เลิฟ
รักน้องเจ้าบวกเป็ด ปลื้มพี่นาฏยคอมเม้นโลดค่า
ปล. อีกหนึ่งเรื่องของคนเขียน วณิพกพเนจร ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=tsปล.สาม. เรื่องรักตามสั่งเป็นเรื่องสบายๆคลายเครียด ฟีลกู๊ด น่ารักๆ การดำเนินเรื่องอาจจะเรื่อยๆเอื่อยๆไปบ้าง ขอต้องขออภัย
คนอ่านที่ชอบความตื่นเต้นหรือเรื่องที่ซับซ้อนนะค่า เรื่องนี้เราตั้งพลอตไว้แบบเป็น สไลด์ออฟไลฟ์ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึง
ชีวิตตัวละครจริงๆ เวลาเขียนเราค่อนข้างใส่ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆเข้าไป
คืออยากให้ลองนึกว่าพี่นาฏย น้องเจ้าและตัวละครทุกตัวเป็นคนจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่เหมือนพวกเรานี่ละค่ะ เวลาเราเขียนเรานึกถึงว่าถ้าพี่นาฏยเป็นเพื่อนเรา น้องเจ้าเป็นน้องชายเรา เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะตอนนี้ เราเขียนให้ตัวละครเราค่อนข้างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องเลยจะเป็นการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งนะค่า
ปล.สี่. อยากจะให้ทุกท่านติดตามชีวิตของพี่นาฏยกับน้องเจ้าไปด้วยกันกับเรานะค่า