3 เดือนต่อมา
รูปงานรับปริญญาของฮิมวินและงานของดีนในภายหลัง ถูกอัดใส่กรอบขนาดใหญ่ติดผนังบ้านเอาไว้อย่างดีทั้งที่ไทยและที่อังกฤษ เสร็จจากงานรับปริญญาของพี่ฮิมกับพี่วินแล้ว ผมต้องอยู่ไทยต่ออีก 1 อาทิตย์เพื่อรองานรับปริญญาของพี่ดีน จบงานของพี่ดีนก็เดินทางกลับอังกฤษทันที
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้ว ช่วงแรกยังดูอีรุงตุงนัง ต้องใช้เวลากว่าที่หลายอย่างจะเข้าที่เข้าทาง
เริ่มจากพวกพี่ๆ (ที่เคยอยู่) ในบ้านก่อนก็แล้วกัน หลังจากงานรับปริญญาเพียงสองวัน ข้าวของส่วนตัวของแต่ละคนที่อยู่ในบ้านก็ถูกขนออกจนบ้านดูว่างไปในทันที เลอดเปลี่ยวใจไม่ได้และรู้สึกดีที่ไม่เลือกเรียนต่อที่ไทย เพราะคงไม่สามารถอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวได้ มันคงโหวงเหวงแปลกๆ จากที่เคยอยู่กันเจ็ดคนกับอีกหนึ่งตัว เหลือเพียงผมคนเดียว
แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามทางที่ตัวเองอยากจะได้ ผมไม่ค่อยห่วงพวกพี่เท่าไหร่เพราะพี่ฮิมเคยบอกว่าทุกคนมีบริษัทหรืองานทำตั้งแต่ก่อนจะจบปริญญารอเอาไว้ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าจะให้เล่าว่าแต่ละคนแยกไปทำงานอะไรบ้างก็คงจะยาว ขอยกตัวอย่างพี่เกียร์ก็แล้วกัน ผมเคยถามฮิมว่าจบแล้วพี่เกียร์จะไปทำอะไรต่อ เท่านั้นแหละฮิมถึงกับปรายตามอง บอกว่าถ้าคิดห่วงเกียร์ ไปคิดห่วงคนอื่นแทนจะดีกว่า แล้วใบ้ให้ว่าการที่พี่ฮิมกลับมาศึกษางานที่อังกฤษก่อนจะขึ้นเป็นประธานบริษัทเต็มตัว ดังนั้นตอนนี้ประธานบริษัทสาขาประเทศไทยจึงว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่ง
ผมยังไม่ได้คำตอบชัดเจนว่าพี่เกียร์ขึ้นเป็นประธานบริษัทสาขาประเทศไทยแทนพี่ฮิมหรือยังไง อย่างไรก็ตาม เรื่องการงานของพี่ๆ แต่ละคน เลคงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือเป็นห่วงอีกแล้ว
“คุณหนูคะ คุณท่านฝากมาบอกว่าแขกพร้อมแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวเลไป” ผมละความสนใจจากรูป รีบเดินตรงดิ่งไปทางสวนดอกไม้หลังบ้าน วันนี้เรามีงาน เป็นปาร์ตี้เล็กๆ เนื่องในโอกาสอยากเลี้ยงฉลอง แขกก็มีแต่คนในครอบครัวทั้งนั้น รวมถึงครอบครัวของพี่ฮิมและพี่วินด้วยนะ จะว่าไปแล้วนี่เป็นการรวมตัวครั้งแรก หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษ
สำหรับเล ความวุ่นวายแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ไทย เพราะพวกพี่แยกย้ายกันไป บ้านที่เคยอยู่ด้วยกันซึ่งปัจจุบันเป็นทรัพย์สินของเลก็ต้องถูกทิ้งร้าง เพราะผมเองก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับมาอยู่ ต้องตัดสินใจว่าจะขายหรือเก็บเอาไว้ ซึ่งผลการตัดสินใจคืออย่างหลัง เก็บแล้วจ้างคนมาทำความสะอาดเดือนละครั้ง
เรื่องวุ่นที่สองคือการย้ายบ้าน เลตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านของคุณพ่อตามคำขอร้อง อีกฝ่ายบอกว่าเขาเสียช่วงเวลาวัยเด็กของผมไปแล้ว ไม่อยากเสียเวลาที่ผมกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวไปอีก ซึ่งเรื่องนี้คุณพ่อของพี่ฮิมก็เข้าใจ ทางนั้นยินยอมให้ผมย้ายและขอให้แวะมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆ แต่แน่นอนว่าเลย้ายมีหรือที่พี่ฮิมจะไม่ย้ายตาม อีกคนคือพี่วิน ผมขอให้พี่วินขายเพ้นเฮ้าส์ที่อังกฤษ เสนอให้บ้านของคุณป๋าเป็นบ้านประจำของพี่วินเวลาที่อีกฝ่ายมาอังกฤษ อีกความหมายหนึ่งก็คือให้พี่วินมาอยู่บ้านเดียวกันกับผมนั่นแหละ ทีแรกพี่ชายเลไม่ยอม แต่พอโดนอ้อนหน่อยสุดท้ายก็ใจอ่อน
เพราะจะมีคนเข้ามาอยู่เพิ่มอีกสามคน ที่อยู่สำหรับหมาแมว คือไจแอ้นหนึ่งสองสามของเลกับเปอร์เซียของพี่ฮิม (หอบมันกลับอังกฤษด้วย) รวมเป็น 4 ตัว อีกทั้งคุณพ่อยังสั่งทำห้องสำหรับแขกเพิ่มอีกสองห้อง ดังนั้นคฤหาสน์จึงต้องทำการรีโนเวตครั้งใหญ่ กว่าบ้านจะเข้าที่เข้าทางพร้อมอยู่ เฟอนิเจอร์พร้อมจริงๆ ก็ใช้เวลาประมาณสามอาทิตย์
“มาแล้วเหรอคุณหนู” ผมขยับเข้าไปหานั่งคุณพ่อของพี่ฮิม ทักทายคนตรงหน้าด้วยการสวมเข้ากอดพร้อมกับแนบแก้มทั้งสองข้าง “วันนี้ไม่มีซ้อมเหรอ แล้วไหนคราวก่อนบ่นว่าต้องซ้อมทุกวัน”
“ก็วันนี้มีปาร์ตีี้นี้ คุณป๋าเลยโทรไปขอโค้ชให้”
วันนี้หยุดเป็นกรณีพิเศษ ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่เคยกลับทันกินข้าวเย็นเลยด้วยซ้ำ
การฝึกซ้อมเพื่อเดินทางตามความฝันของผมมันหนักพอสมควร ไม่ใช่แค่ซ้อมหนัก อย่างอื่นก็หนัก เลต้องออกกำลังกายและกินอาหารบางประเภทที่ไม่ชอบเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบห้าหมู่ทุกวัน การดูแลร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญมากในตอนนี้ เพราะถ้าซ้อมทั้งปีแต่ไปเป็นอะไรในวันแข่ง ทุกอย่างมันก็จบ
ช่วงแรกยิ่งกว่าคำว่าเหนื่อย ร่างกายแทบแหลกสลายเป็นผุยผง ปวดตัวจนอยากหาหมอนวดทุกวัน หลังๆ จึงเริ่มชิน
ไม่มีทางลัดในการประสบความสำเร็จ คนรอบตัวผมรวยมหาศาล เงินทำได้แค่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้นได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม เลสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไขมันบางส่วนในร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นเนื้อหนังมังสาแล้ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเทรนเนอร์ นักโภชนาการ และเชฟที่สามารถทำอาหารจากวัตถุดิบที่เลไม่ค่อยชอบให้ออกมาอร่อยได้
“คิดถึงจัง คุณแม่ไม่มาเหรอครับ”
“ดื่มชาอยู่ตรงนู้นไง”
เลหันไปมองแล้วพยักหน้า “แด๊ดดี้ มางานเลมีของขวัญมาด้วยไหม”
“น้องอยากได้อะไร บอกคุณพ่อสิคะ ไปขอคนอื่นทำไม” คุณพ่อตัวจริงทักท้วง
“ได้จากคุณป๋าเยอะแล้วไง ขอแด๊ดดี้บ้าง” ว่าพลางหันไปทางคุณพ่อพี่วิน “ขอของคุณพ่อด้วยนะ!”
ช่วงสรรพนามหรรษา เลมีคุณพ่อเพิ่มพรวดพราดขึ้นมาตั้งสามคน เรียกคุณพ่อทีนึงหันสาม เพื่อไม่ให้สับสน ดังนั้นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ผมจะเรียกคุณพ่อว่าคุณป๋า เรียกคุณพ่อพี่ฮิมตามที่พี่ฮิมเรียกว่าแด๊ดดี้ ส่วนสรรพนามคุณพ่อที่แท้จริงตกไปเป็นของพ่อพี่วินแทน ที่เป็นเช่นนี้เพราะถ้าผมใช้สรรพนามว่าพ่อกับคนใดคนหนึ่งในสองคนแรกที่กล่าวถึง พวกเขาก็จะเขม่นกันทันที
ผมนั่งกับผู้ใหญ่อีกสักพัก ก่อนจะวิ่งไปหาคุณแม่บ้าง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเสร็จหมดทุกอย่าง จากนั้นจึงไปหาพี่ๆ ที่กำลังตักอาหารกันอยู่
ปาร์ตี้วันนี้เป็นบุพเฟ่ต์ มีทั้งคาวหวาน มากมายหลายรสชาติและอร่อยแน่นอน เพราะคุณป๋าลงทุนจ้างทั้งเซฟและปาติซีเยชื่อดัง ไม่รู้ว่าหมดไปเท่านั้น แต่รู้ว่าวันนี้เลได้อิ่มแน่ๆ
ผมเข้ากอดพี่วินจากทางด้านหลัง และโดนพี่ชายสุดที่รักหยิบเนื้อยัดปาก
“อา-ย่อย”
“อร่อยก็กิน”
“ทำให้หน่อย”
“มีมือมีตีน ทำเองบ้างเล” ปากร้ายแต่มือหันเนื้อให้หน้าตาเฉย กินเรียกน้ำย่อยแล้วมันเริ่มหิวจริงๆ ผมตักอาหาร จากนั้นจูงมือพี่วินพาไปกินโต๊ะเดียวกันที่พี่ดีนนั่งอยู่ก่อน รู้ว่าทั้งสองยังเข้าหากันไม่ติดเท่าไหร่ ต่างจากคุณป๋ากับแด๊ดดี้ที่ชอบเขม่นใส่กันแต่เข้าใจกันดี แต่พี่วินกับพี่ดีนนี่ บรรยากาศเวลาอยู่ร่วมกัน มาคุแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด
พี่ชายต่างพ่อกับต่างแม่ของเล ทั้งสองมีหนทางของตัวเองแน่ชัดและมีรูปแบบเส้นทางชีวิตคล้ายๆ พี่ฮิม คือทำงานตั้งแต่ยังเรียนอยู่ พี่วินเป็นรองประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ (ทั้งหมดทั้งมวลเลลืมบอกเรื่องหนึ่งคือ พวกพี่เรียนคณะวิศวะ แต่ไม่ใช่สาขาเดียวกันทั้งหมด) แบบที่ไม่ใช่สร้างตึกทั่วไปแต่เป็นสร้างตึกระดับเวิร์ลคลาส คิดภาพไม่ออก ลองเสิร์จภาพตึกดังๆ ในดูไบเอาก็แล้วกันนะครับ
พี่ดีนแตกต่างจากฮิมและวินนิดหน่อย ตรงที่พี่ดีนรับตำแหน่งประธานบริษัทเต็มตัวไปแล้ว ธุรกิจที่เจ้าตัวจัดการอยู่เกี่ยวกับเพชรพลอยและเหมืองแร่ วันดีคืนดีก็ทำสร้อยเพรชมาให้ จนตอนนี้ผมมีเครื่องประดับคอลเลคชันเพชรแท้เต็มตู้ไปหมดแล้ว
สองพี่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเดินทางบ่อยมากกกกกกกกกกกกก ช่วงนี้ทั้งสองเทียวไปเทียวมาระหว่างดูไบกับอังกฤษ พี่วินมีตึกที่ต้องไปจัดการ ส่วนพี่ดีนเห็นว่ากำลังจะขุดเหมืองใหม่
“น้องเลมาให้กอดหน่อย” วิ่งเข้าไปให้พี่ดีนกอดรัดฟัดแก้มสองสามทีก็ถูกพี่วินดึงคอเสื้อออกห่าง
“ขึ้นเครื่องบินมาเหนื่อยไหม” พี่ดีนกับพี่วินพึ่งถึงบ้านเมื่อเช้านี้เอง
“เหนื่อยกับคน” ว่าพลางปรายตามองคนข้างกายผม รู้เลยว่าคนที่พี่ดีนสื่อคือใคร แต่แล้วจู่ๆ นัยน์ตาคมก็จ้องผมพร้อมกับหรี่ตาลง “น้องเลนั่นแหละที่ทำพี่เหนื่อย”
ผมเม้มปากทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มองซ้ายมองขวา รีบโก่ยแนบ…
คืองี้เลรู้ว่าทั้งสองจะต้องบินมาอังกฤษในวันเดียวกัน ผมเลยขอให้คุณป๋าทำยังไงก็ได้ให้ทั้งสองได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวลำเดียวกัน (ปกตินั่งคนละลำ) เพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่ดูท่าผลลัพธ์จะตรงกันข้าม
ผมหวังว่าทั้งสองจะดีกันในสักวันหนึ่ง
“เห็นฮิมไหมครับ” ถามแม่บ้านคนหนึ่งที่เดินผ่าน เธอพยักเพยิดไปทางห้องดนตรี พอเปิดประตูเข้าไป เสียงเปียโน เพลง Nocturne op.9 No.2 ของ Chopin ก็ดังเข้าหู คนที่เล่นอยู่คือพี่ฮิมที่ผมตามหา
เจ้าของแผ่นหลังกว้างตรงเหยียดกำลังบรรเลงเพลงตามจังหวะ เลรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเล่นเสร็จจึงเอ่ยชม “เพราะจัง”
“เล่นไหมครับ”
“เลลืมหมดแล้ว” ผมพูดติดตลก เดินเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้าง วางคางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย “มีคนเล่นให้ฟังแบบนี้ดีกว่า”
โดนฮิมบีบจมูก เลเลยหอมแก้มคืน แกล้งกันไปมาก่อนจะลุกขึ้นยืน “มาตามพี่เหรอ”
“อือฮึ” จ้องหน้าเขานิ่ง ตามไม่กะพริบ
“ไปสิ”
ขวับ!
ผมยื่นมือไปจับฮิมเอาไว้ในตอนที่ร่างสูงกำลังจะเดินผ่าน พี่ฮิมคงจับความผิดปกติได้ ร่างสูงจึงยืนนิ่งยอมให้ผมลูบใบหน้าเล่นไปพลาง ขณะที่อีกฝ่ายเอียงใบหน้าแนบฝ่ามือผม ใช้ดวงตาคมจ้องเลกลับ
ตอนนี้ฮิมกลายเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของแฮมินตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างสูงต้องเรียนปริญญาโทคณะบริหารต่อ เพราะอีกไม่กี่ปีคนตรงหน้าของผมก็จะได้เป็นประธานผู้มีอำนาจสูงสุดของแฮมินตัน
คนที่อยู่ตรงหน้าเลในตอนนี้
ฮิมของผม
“เลรักพี่ฮิม มากๆ เลยนะ” ผมบอกรักฮิมเป็นพันๆ ครั้ง แต่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่คนตรงหน้าทำท่าตกใจก่อนจะยิ้มร้าย
“ทำเหมือนจะขอพี่แต่งงาน”
“ก็ฮิมไม่…” รีบเม้มปากเมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังจะพูดอะไรออกไป “ไปกันดีกว่า คนอื่นรอนานแล้ว”
ผมจับมือพี่ฮิม ตั้งใจจะเดินออกจากห้องแต่ร่างหนากลับไม่ยอมขยับ พอหันไปหาก็ถูกจู่โจมด้วยประโยคร้ายกาจเพราะมันส่งผลต่อหัวใจอย่างรุนแรง
“พี่รักเล” ตามทาบมาด้วยสัมผัสนุ่มนิ่มแนบที่ริมฝีปาก อ่อนโยนจนผมใจอ่อนยวบยาบไปหมด บรรยากาศเป็นใจเหลือเกิน ผมกลัวคนอื่นรอนานทว่าทันทีที่มือหนาล้วงขึ้นสะกิดยอดอกเลก็ทนต่อไปอีกไม่ไหว เสียเวลาอีกสามสิบนาทีในห้องดนตรี เสร็จกิจจึงรีบใส่เสื้อผ้าเดินไปหาทุกคน
ทุกสายตามองเมื่อเห็นผมกับพี่ฮิมเดินจับมือกัน ราวกับว่าทุกคนรู้ว่าผมกับพี่ฮิมทำอะไรกันก่อนมา คุณป๋าเป็นคนแรกที่ทัก
“ไปนานจังเลยนะคะน้องเล”
“นานแบบนี้ทำอะไรกับฮิมอยู่เหรอ”
“เกือบให้วินไปตามแล้วสิ” “อย่าแซวสิ!” ผมท้วง เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข มันเป็นภาพที่ผมต้องการเห็นมาโดยตลอด ภาพที่ทุกคนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ หัวเราะแบบนี้ และมีความสุขแบบนี้ งานปาร์ตี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น เราสนุกกันมาก ยิ่งมีแอลกอฮอล์เข้ามา ผมก็ยิ่งสนุกจนลืมเรื่องร้ายๆ ที่เคยผ่านมาไปจนหมด
ทุกอย่างที่ผ่านมาระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยาวนานยิ่งกว่าระยะเวลาสิบแปดปีที่ผมเกิดมา
ตั้งแต่ที่ยังเรียกพี่ฮิมว่าพ่อ เลื่อนขั้นมาเป็นแฟน เลิกกันไปหนึ่งครั้ง กลับมาคบกันใหม่ก็โดนบอกว่าเป็นพี่น้องกัน พอจะถูกขอแต่งงานพี่ฮิมก็โดนยิง และในระยะเวลาพวกนั้นมันก็เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ให้ประสบการณ์ รวมทั้งสิ่งร้ายและสิ่งดีกับผม
“เลมีความสุขจัง” ผมพึมพำให้พี่ฮิมฟัง ขณะเอนตัวพิงฮิมอยู่บนม้านั่ง “เลมีความสุขมากเลยพี่ฮิม”
อ้อมแขนแกร่งกอดเลแน่นจากทางด้านหลัง “ดีแล้วนี่”
“คิดดูสิ…”
จากเลที่อายุยังไม่ถึงสิบแปด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
ผมที่อายุสิบแปดในตอนนี้ เคยโดนทั้งเรื่องผู้หญิง เคยเจอเพื่อนที่ไม่ดี เคยแอบไปแข่งรถเถื่อน เคยเกือบถูกฆ่าโดยการวางยาพิษ เคยถูกจับลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และที่สะเทือนใจที่สุดคือเคยเห็นพี่ฮิมถูกยิิงต่อหน้าต่อตา
แต่ทุกเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมา มันทำให้ผมได้พี่วิน พี่ดีน และคุณพ่ออีกสามคน ทุกคนรวมกันเป็นสิ่งที่เลต้องการมากที่สุด เหลือแค่อีกสองสิ่งผมยังไม่ได้
“คืออะไรบ้าง” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหู
“หนึ่งคือเป็นแชมป์ Formula 1”
“แล้วอย่างที่สอง?”
เลยิ้มร้าย ผละตัวออกแล้วเดินหาทุกคนเมื่อได้ยินเสียงคุณป๋าชวนไปถ่ายรูป ผมหันไปมองพี่ฮิมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เขารอฟังคำตอบของเลอยู่
ผมเปิดปากเอ่ยเสียงเบาแต่มั่นใจว่าพี่ฮิมได้ยิน เพราะทันทีที่พูดจบร่างหนาแทบจะวิ่งมาฉุดผมเข้าไปกอดดังเดิม
“น้องเลมากลับเลยนะ!”
“ไปถ่ายรูปก่อน”
“Honey!” เสียงอ้อนจนต้องหันไปมอง ฮิมทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้ง ผมหัวเราะก่อนจะแลบลิ้นใส่ เพราะสิ่งที่สองที่เลบอกพี่ฮิมไปน่ะคือ…
‘เปลี่ยนจากแฟนเป็น Husband ยังไงล่ะ’
“ทุกคนยิ้มน่ะ เอ้า! หนึ่ง! สอง! สาม! ชีส!”
แชะ!
รูปนี้ถูกอัดเป็นภาพใหญ่ใส่กรอบติดไว้กับผนังบ้านเหมือนรูปรับปริญญาของพี่ฮิม เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจของผมว่า กว่าที่ทุกคนในภาพนี้จะมารวมตัวกัน ผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง
อดีตถือเป็นบทเรียนชีวิตอันล้ำค่า แต่ไม่ว่าสิ่งที่ได้มันจะดีหรือร้ายยังไง ปัจจุบันก็ยังสำคัญที่สุด ชีวิตมันต้องเดินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเลในตอนนี้ถึงจะเหนื่อยบ้างแต่ก็มีความสุขสุดๆ ไปเลยล่ะ
อ่ะ! เกือบแล้ว เกือบลืมกล่าวถึงอีกคนไปสินะ
ถึงคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์
เลมีครอบครัวอย่างที่ต้องการแล้วนะ
THE END
เราอยู่กับฮิมเลมานานมาก...
แต่งเกือบสี่ปีและในขณะที่แต่งเราก็โตไปพร้อมๆ กับตัวละครด้วย
มันมีหลายอย่างที่ทำให้อัพช้า แต่สุดท้ายเราก็มาถึงจุดนี้ จบจริงๆ แล้วนะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามและอยู่กับเรามาโดยตลอด เรารักพวกคุณมากๆ พวกคุณเป็นกำลังสำคัญให้เรา ที่อยากขอบคุณมากที่สุดคือขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน และอยู่กับเรามาจนถึงตอนจบนี้ค่ะ
#วิศวะแดนแฟนมีเกียร์
twitter : @_mdreds
facebook : mdred's heaven
ส่วนนี้...
แบบร่างหน้าปกค่ะ
เปิดพรีเมื่อไหร่เราจะมาแจ้งทุกคนค้าบบบ!!