‘กิจกรรมที่จะให้น้องทำในวันนี้ก็คือการล่าลายเซ็นรุ่นพี่ครับ เดี๋ยว ๆ น้องอย่าพึ่งถอนหายใจกันดิ…’
ย่อง ย่อง ย่อง
พรึบ!
ฟู่วว รอด!
“ทำไมมาช้า” เกี๊ยกกระซิบถามผมเสียงเบาหลังจากที่ผมย่องมานั่งที่ตัวเองโดยไม่ให้รุ่นพี่เห็นเนื่องจากเข้าเลทเกือบสิบนาที
“นั่งอยู่บนรถกับพ่อน่ะ”
“แค่นั้น ?” เกี๊ยกถามเหมือนไม่เชื่อ
“อือแค่นั้นแหละ” นั่งคร่อมกับซุกคอนี่คงไม่นับเนาะ “ฟู่ว เหนื่อยจังอุตส่าห์วิ่งมา”
‘น้องเลอย่าพึ่งถอนหายใจครับ พี่เห็นนะว่าน้องมาช้า!’
ผมยู่ปากใส่พี่สินที่ประกาศชื่อผมออกไมค์จนคนอื่นหันมามองกันหมด “สิบนาทีเอง อนุโลมให้เลหน่อยสิ”
‘เห็นว่าน่ารักจะอนุโลมให้แต่ถ้าครั้งหน้ามีเอง น้องเลต้องโดนลงโทษนะครับ เอาล่ะ! มาฟังกันต่อ…’
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งเมื่อพี่สินไม่ถือสา อันที่จริงคือผมก็นั่งอยู่บนตักฮิมเฉย ๆ นั่นแหละ ทว่าพอมารู้ตัวอีกทีก็เลทไปแล้วสิบนาที พ่อก็ไม่ยอมมาส่ง (ผมจำเป็นต้องพึ่งบารมีพี่ฮิมที่อยู่ปีสี่เพื่อที่จะไม่โดนลงโทษ) แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เสียงทุ้มบอกว่าโตแล้วต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเอง มีปัญหาก็ต้องแก้เอง ผมเลยต้องวิ่งมาแล้วก็ย่องเข้ามานั่งรวมกับเพื่อน โชคดีที่ไม่โดนลงโทษแม้จะโดนพี่สินเห็นก็ตาม
“เลนี่สมุดพี่เขาแจกมาให้...” เพื่อนร่วมคณะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ส่งสมุดอะไรบางอย่างมาให้ ผมพยักหน้า รับมาเปิดพลิกไปมาก่อนจะตั้งใจฟังคำสั่งของพี่สิน
‘...สมุดที่ทุกคนได้จะเป็นสมุดเก็บลายเซ็นของรุ่นพี่นะครับ เอาล่ะ! เราจะมาทวนคำสั่งกันใหม่เผื่อคนที่มาไม่ทัน’
แหม่...ผมรู้สึกเหมือนถูกแดกดันยังไงชอบกล
‘น้อง ๆ ต้องไปล่าลายเซ็นรุ่นพี่นะครับ เอาแค่สามสิบลายเซ็นก็พอ แต่ทั้งสามสิบลายเซ็นต้องมีลายเซ็นของรุ่นพี่ปีสอง ปีสามแล้วก็ปีสี่อย่างละสิบลายเซ็นนะ ห้ามปลอมลายเซ็นมาเด็ดขาด! ย้ำเลย เด็ดขาด! พี่จะให้เวลาน้องแค่ตอนเช้าถึงบ่ายโมงตรง พอบ่ายโมงให้น้อง ๆ มารวมกันที่นี่ แล้วเราจะทำกิจกรรมต่อไป อ้อ! ไม่ต้องกลัวว่าจะหารุ่นพี่ไม่เจอ วันนี้รุ่นพี่วิศวะทุกคนนัดกันใส่เสื้อช็อปครับ’ ถึงว่าทำไมวันนี้มันแปลก ๆ ที่แท้พี่ ๆ ก็นัดกันใส่เสื้อช็อปนี่เอง จะว่าไปแล้วขนาดฮิมยังใส่เลย
‘ข้าวเที่ยงยังมีให้กินเหมือนเดิมนะครับ หิวเมื่อไหร่ก็ไปเอาได้เลย’
‘ถ้าเข้าใจแล้วแยกย้ายได้ครับ’ พรึบ!
ทันทีที่พี่สินพูดจบ เหล่านักศึกษาปีหนึ่งก็แตกไปคนละทิศคนละทางราวกับผึ้งแตกรัง ในขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมองหน้าเกี๊ยกและพิษแค่สองคน เดี๋ยวนะ! สองคน
“เอ็กซ์กับดินไปไหน” ผมถาม
“ไม่รู้ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว” ว่าจบพิษก็ลุกขึ้น ร่างสูงดึงผมให้ลุกขึ้นตาม “แล้วเอาไง ตัวใครตัวมันหรือจะไปด้วยกัน”
“แยกเหอะ ไปด้วยกันไม่น่าจะเวิร์ค” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ของแบบนี้ตัวใครตัวมันดีกว่า
“งั้นเลไปนะ”
“เดี๋ยว!” เกี๊ยกหยุดผมเอาไว้ “มึงดูแลตัวเองได้นะ”
“ได้”
“อือ นาฬิกามึงเด่นดีนะ” ผมยกแขนขึ้นโชว์ Rolex ด้วยความภาคภูมิใจ
“พ่อซื้อไหมแหละ สวยใช่ไหม”
“เออสวย”
“…”
“…”
“งั้นไปนะ” ผมบอกก่อนอีกฝ่ายจะพยักหน้า จากนั้นผมรีบจึงเดินออกมาจากเพื่อนแล้วกวาดสายตามองเป้าหมาย แต่ไม่ว่ารุ่นพี่คนไหนก็โดนปีหนึ่งอย่างพวกผมโดนรุมขอลายเซ็นราวกับเป็นดารากันหมด ผมไม่ชอบคนเยอะเลยรีบถอยหลังแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินไปหาทางอื่นแทน
ขอกับใครดีน้า ? อ๊ะ!
“พี่ตี๋!” ผมรีบเรียกชื่อพี่ตี๋ทันทีที่เห็นเจ้าของใบหน้าขาว ๆ เดินมา พออีกฝ่ายโบกมือให้ผม ผมจึงรีบวิ่งไปหาก่อนจะโดนถามอย่างรู้ใจ
“จะขอลายเซ็นใช่ไหม”
“อื้อ!” ผมรีบพยักหน้ารัว ๆ แล้วหันไปมองรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายร้านขายโจ๊กของผม “เลขอลายเซ็นพี่บอมด้วยนะ”
“น้องเลจำชื่อพี่ได้ด้วยเหรอครับ โห ดีใจ”
“ให้พี่หาเพื่อนให้ไหมเล พี่มีเพื่อนเยอะนะ” พี่ตี๋เสนอความคิดแต่ผมส่ายหน้า
“เลอยากหาเองมากกว่า”
“เอางั้นเหรอ ก็แล้วแต่เรานะ” เสียงทุ้มว่าก่อนจะยื่นสมุดให้ร่างสูงที่ยื่นอยู่ข้างกายเซ็น ไม่นานนักก็เสร็จ สมุดเล่มเล็กถูกส่งกลับคืนผม
“ขอบคุณครับ”
“โชคดีนะน้องเล”
“บ๊ายบายครับ” ผมโบกมือลาก่อนจะเดินออกมาหารุ่นพี่คนต่อไป
สองชั่วโมงต่อมา
“ขอลายเซ็นหน่อยครับ”
‘ขอแค่ลายเซ็นเหรอ ? ทำไงดีพี่อยากให้ใจไปด้วย’
‘ไม่ต้องขอก็ให้ พี่ให้ทั้งใจพี่เลยคนสวย’
‘เอาเบอร์มาเดี๋ยวพี่เซ็นให้’
‘น้องเลเอาไลน์มาแลกสิครับ’
‘น้องเล…’
‘เล…’
‘เล…’
‘น้อง…’ “พี่ครับขอลายเซ็นหน่อยครับ” ผมปาดเหงื่อที่กำลังไหลเยิ้มอยู่บนหน้าผากออกขณะส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ผู้ชายห้าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“น้องเล” หนึ่งในนั้นเรียกชื่อผม เสียงวีดวิ้วดังมาตามหลัง “อยากได้ลายเซ็นพี่เหรอครับ”
ผมพยักหน้า
“เอาเบอร์น้องมาสิ” ผมยิ้มแหย่ก่อนจะรับโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ กดเบอร์ให้กับผู้ชายคนที่สิบห้าที่ขอเบอร์ผมในวันนี้แบบไม่คิดอะไรมาก โชคดีที่พวกพี่ ๆ เขาทำอย่างที่พูด เพราะในขณะที่ผมกดเบอร์ สมุดเล่มเล็กก็ถูกนำไปเซ็นจนครบทั้งห้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมยื่นโทรศัพท์กลับเมื่อกดเบอร์ของตัวเองเสร็จ มือหนารับไปก่อนจะส่งสายตาวาบวับมาให้ “เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรไปหานะครับคนสวย”
ผมยิ้มรับไม่ได้ตอบกลับก่อนจะเดินออกมา โทรมาเถอะเบอร์ที่ว่านะ เพราะโทรยังไงก็ไม่ได้คุยกับผมหรอก แถมโทรไปอาจจะได้รับเสียงโวยวายมาแทน
ก็เบอร์นั่น...มันไม่ใช่ของผมสักหน่อย
ใครจะโง่ให้เบอร์จริงของตัวเองไปละจริงไหม
ส่วนเจ้าของเบอร์ที่ผมให้ไป ถ้าเขาโกรธเอาไว้ค่อยไปง้อทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาหนัก ล่าลายเซ็นมาสองชั่วโมง ผมได้แค่ยี่สิบลายเซ็นทั้งที่ความจริงแล้วแค่ให้รุ่นพี่เซ็น ๆ ไปมันไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ แถมรุ่นพี่ยังเดินวนไปวนมาให้เห็นเกลื่อนไปทั่วแทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการหา ดูเหมือนง่ายนะแต่พอมาทำจริง ๆ นี่ไม่ง่ายเลย เพราะก่อนจะได้ลายเซ็นพวกเราต้องแลกหรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างให้ดูก่อน ในกรณีของผมไม่ให้เบอร์ก็ให้ไลน์ ยกเว้นรุ่นพี่ผู้หญิงจะขอถ่ายรูปซะส่วนใหญ่ และพอมาอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ผมถึงได้รู้ว่าคนอื่นรู้จักผมกันเยอะมาก ยังไม่ได้แนะนำตัวเขาก็เรียกน้องเลไปแล้ว
ตอนนี้ผมได้ลายเซ็นของรุ่นพี่ปีสองและปีสามครบแล้วเหลือแต่รุ่นพี่ปีสี่…
โทรหาฮิมเลยดีไหมนะ ? ฮิมก็อยู่ปีสี่ แต่ว่าแบบนั้นมันก็เหมือนโกงเพื่อนสิ ไม่เอา...หาด้วยตัวเองดีกว่า
ผมตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ในมือลงก่อนจะกวาดสายตามองรอบตัว เมื่อสังเกตุดี ๆ ถึงได้รู้ว่าตั้งแต่ล่าลายเซ็นมานี่ผมยังไม่เจอรุ่นพี่ปีสี่เลยสักคน รู้ได้ยังไง ? หนึ่งเวลารุ่นพี่เซ็นเขาจะเขียนปีให้ด้วย สองสังเกตจากรูปร่างหน้าตาไม่ก็ใช้เซ้น ปีสองก็จะดูเป็นรุ่นพี่หน่อย ปีสามจะแบบน่าเคารพ ส่วนปีสี่นี่จะน่าเกรงขาม
ว่าแต่รุ่นพี่ปีสี่หายไปไหนกันหมด แวร์อาร์ยู ?
ผมเลยได้แต่เดินวนรอบ ๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขาว หันหน้า หันหลังจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าตึกขนาดใหญ่ที่ดูยังไงก็หรูหราเกินกว่าจะเป็นตึกเรียน จากนั้นผมก็ต้องมายืนเกาหัวงง ๆ ผมว่าผมเดินมาไกลแล้วนะ แต่ก็หาไม่เจออยู่ดี จนรอบตัวผมตอนนี้ไม่มีรุ่นพี่ใส่เสื้อช็อปสีแดงมาเดินเผ่นผ่านให้เห็นอีกแล้ว อย่าว่าแต่รุ่นพี่เลยรุ่นเพื่อนสักคนยังไม่เห็นจะมี! หรือว่านี่มันจะเป็นเกม ? ให้ตามล่าหาลายเซ็นปีสี่ที่หายตัวไปอะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่น่าใช่ โอ๊ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งงง
ทันใดนั้นเองบุรุษร่างสูงในชุดเสื้อช็อปสีแดงที่เปล่งรัศมีความน่าจะเป็นรุ่นพี่ปีสี่ก็เดินวูบผ่านหน้าผมไป ไวเท่าความคิดผมรีบคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้แม้ไม่แน่ใจว่าจะใช่อย่างที่ตนคิดหรือเปล่า
“ขอโทษนะครับคือ…” ยังพูดไม่จบประโยคมันก็หยุดชะงักเพราะทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาที่ตัวสูงกว่าอยู่มากโข ที่สะดุดก็ไม่มีอะไรแค่อีกฝ่าย...
...เป็นพี่ว้ากที่หายตัวไปเมื่อวาน เขาคือพี่ซัน เฮดว้ากที่สั่งให้พวกผมวิ่งรอบสนามก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวานจนมาเจออีกครั้งในวันนี้ หน้าตาก็ยังดูปกติดีเหมือนเมื่อวันก่อนก่อน แค่มีแผลที่หางคิ้วเพิ่มมานิดหน่อย
ให้ตายเถอะ! ผมอยากถามจังเลยว่าเมื่อวานพี่เขาไปไหนมา แต่ถ้าจะถามความรู้สึกผมหลังจากที่เห็นพี่แกล่ะก็ ขอตอบเลยว่าเฉย ๆ ตอนแรกมันก็โกรธอยู่นะแต่ถ้าเทียบกับพวกที่อยู่บ้าน บางทีพี่ซันอาจจะดีกว่า บางทีนะบางที
นัยน์ตาคมตวัดมามองผมที่ยื่นนิ่งเสียงทุ้มเอ่ยถามแบบห้วน ๆ “มีไร”
“เปล่า...ไม่มีครับ” ผมส่งยิ้มแหะ ๆ ให้กับพี่ซันที่ยังคงทำหน้าไร้อารมณ์ใส่ผม เม้มปากแล้วก้มหน้าลง บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกดำเนินต่อไปเมื่อร่างสูงใหญ่ไม่ไปสักที ผ่านไปสามนาทีเราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่ง…
“ปล่อย”
“ครับ ?” ผมทำหน้างง
“ปล่อยมือกู” สรรพนามที่พี่เขาใช้ทำให้ผมตกใจนิด ๆ เพราะตอนที่เป็นพี่ว้าก พี่ซันจะแทนตัวเองว่าผมและเรียกผมว่าคุณ แต่หลังจากนั้นผมก็ทำหน้าเหวอ รีบปล่อยมือเมื่อรู้สาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่เดินไปสักที ทว่าพอปล่อยมือปุ๊บ ผมก็ไปคว้ามือของเขามาอีกครั้งเมื่อนึกอะไรออก
นัยน์ตาคมหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเคย “มีอะไรอีก”
“ตะ...ตึกของรุ่นพี่ปีสี่ไปทางไหนหรือครับ”
“ตึกนี่ไง”
“หา ?”
“ตึกที่อยู่ตรงหน้ามึงเนี่ย”
อย่าบอกนะว่า...ตึกหรู ๆ นี่นะเป็นของปีสี่!!
ผมอ้าปากค้างทำไมมันแตกต่างกับปีสองหนึ่งสามได้ขนาดนี้ คิดสภาพตามนะครับ มันเป็นตึกขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีกำแพงด้านหน้าเป็นปูนแต่เป็นกระจกแบบโปร่งแสง ตึกไม่ได้เป็นทรงสี่เหลี่ยมอย่างเดียวเหมือนกับตึกอื่น ตึกนี้ด้านหน้าจะเป็นทรงกลมแล้วค่อยมีส่วนที่ขยายออกไป ในความรู้สึกเหมือนห้างขนาดย่อม ๆ ดูน่าเข้าแต่ผมกลับไม่กล้าเข้าไป ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ตึกนี้มันดูน่ากลัวแปลก ๆ เหมือนรังสีอำมหิตจะแผ่ซ่านออกมาตั้งแต่ยังไม่ได้เดินเข้าไปเลย
“กูไปได้ยัง”
“ยัง!” ผมร้องคราวนี้ไม่จับแค่มือแต่โผล่เข้าไปกอดแขนพี่ซันเอาไว้แน่น วูบหนึ่งเหมือนอีกฝ่ายทำหน้าเจ็บแต่แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมรีบบอก “พาเลเข้าไปหน่อยสิ”
“ไม่” เจ้าของร่างสูงปฏิเสธคำขอทันทีที่ได้ฟัง เพราะรู้ว่าคนขอมันจะเอาเขาไปทำอะไร จะให้เรียกว่าอะไรดี เกราะกันบัง ? ใจของเขาคัดค้านอย่างเต็มที่ เขาไม่ได้เกลียดแต่ทางที่ดีไม่ขอเข้าใกล้อีกดีกว่า แต่ดูจากท่าทางที่กล้าเข้ามาหาแล้ว สงสัยอีกฝ่ายคงยังไม่รู้ว่าพ่อมันทำอะไรกับเขาเอาไว้บ้าง…
อีกด้านหนึ่งในห้องขนาดใหญ่บนตึกหรูของคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่สี่ สายตานับสิบคู่ที่กระจายกันอยู่แต่ละจุดของห้องกำลังจ้องผ่านกระจกโปร่งแสงลงไปยังด้านล่าง เพื่อมองรุ่นน้องปีหนึ่งที่มีกิตติศัพท์ด้านหน้าตาเข้าหูตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม
“ลูกแกะหลงทางมาจากไหนล่ะนั่น” ชายคนหนึ่งพูดแบบไม่จริงจัง “แต่เห็นหน้าแล้วอยากเป็นหมาป่าเลยว่ะ”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยหน้าอย่างมึงน้องเลคงไม่เอา”
“หรือไม่พี่ของน้องเค้าก็ไม่ให้มึงเอา” รพที่อยู่ในห้องด้วยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า นัยน์ตาคมหันไปมองเพื่อนร่วมห้องที่ยังไม่รู้ชะตากรรม เขาจึงใจบุญชี้ทางสว่างให้ก่อนที่พวกมันจะได้ไปลงนรกเพราะปากของตัวเอง “เลเป็นน้องของฮิม”
“...”
เกิดเดดแอร์ขึ้นทันทีที่พูดจบ
จากนั้นคนที่เหมือนจะเริ่มรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด จึงรีบหันหน้าไปหาร่างสูงที่กำลังนั่งกอดอกอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะรีบพูดขอโทษด้วยความละล่ำละลัก หากอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะรับคำขอโทษ ใบหน้าหล่อเหลายังเรียบนิ่งจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นัยน์ตาคมจ้องไปยังร่างเล็กที่กำลังกอดแขนเฮดว้ากปีสอง
เฮดว้ากที่พวกเขาเคยมีเรื่องด้วยจนมันต้องเข้าโรงพยาบาล
สงสัย…
มันคงอยากเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
(มีต่อ)