[จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8  (อ่าน 150004 ครั้ง)

ออฟไลน์ Fasai25448

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากกกกกเชียร์ให้บุ๋นโดนพี่หมอกด55555 :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2016 11:58:38 โดย Fasai25448 »

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คนเขียนกระดาษหมดหรอ อะเราให้กระดาษ

บุ๋นเอ้ย ออกนอกหน้าไปละ วันหน้าวันหลังก็จำหมอให้ได้ดิ จะได้รู้ซักทีว่าอ่อยเจ้าตัวอยู่ อ่อยจนหมอเขินหมดละ

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1



        ฐานทัพเดินมาตามทางฟุตบาทพร้อมกับเหงื่อที่ผุดออกมาเพราะความร้อนของเสื้อที่เขาใส่รวมไปถึงสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนเป็นพิเศษ ทุกอย่างจะดีกว่านี้ถ้าเขามีจักรยานแต่ดันโดนเพื่อยืมไปซื้อของตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้เขายังไม่เจอเพื่อนที่ยืมจักรยานเขาไป



   ร้อน




   ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับซับเหงื่อบนใบหน้า เขามองทางข้างหน้าด้วยความรู้สึกท้อใจ ระยะทางไปซุปเปอร์กับคณะเขาไกลกันจนท้อ ถ้าวันนี้มีรถโดยสารของมหาลัยก็คงจะดี




   กริ๊ง กริ๊ง!




   เสียงกระดิ่งจากจักรยานดังขึ้นพร้อมกับจักรยานของมหาลัยที่ขับมาปาดหน้าเขาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเจ้าของใบหน้าที่ฐานทัพเห็นถึงกับถอนหายใจยาวๆแล้วมองเหงื่อบนใบหน้าของคนที่คร่อมจักรยาน




   “จะไปไหนครับ” บุ๋นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หอบจนแทบหายใจไม่ทัน



   “หืม?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้น ถามเขาทำไม




   “พี่จะไปไหน”




   “ซุปเปอร์” เขาตอบสั้นๆ




   “เหมือนผมเลย!!” บุ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นราวกับว่าลืมความเหนื่อยทั้งหมดที่สั่งสมมา “ไปด้วยกันไหม”




   “บังเอิญเนอะ” เขามองท่าทางของคนตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “ไม่เป็นไร”




   “เห้ยได้ไง ผมรีบปั่นมา…” บุ๋นยกมือขึ้นปิดปากอย่างลืมตัว “ผมชอบปั่นจักรยานเร็วๆ”




   “ปั่นเร็วแล้วเท้า…” ฐานทัพหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจำเขาตอนใส่ผ้าปิดปากไม่ได้




   เท้าดูหายดีแล้ว




   “เท้าผม?”




   “หมายถึงรองเท้าไม่หลุดหรอ” เขาแก้ตัวหน้าตาย เกือบหลุดปากถามออกไปแล้ว ถ้าหลุดออกไปจริงๆคนๆนี้คงถามเขาต่อยาวแน่ๆ




   “อ่อ ไม่หลุดหรอกครับ ผมเก่ง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ไปละ”




   “เห้ยพี่ ไปกับผมดิ เนี่ยซ้อนท้ายผม” เขาไม่ยอมให้หมอเดินไปแน่ๆ หมอจะรู้ไหมว่าเขารีบปั่นขนาดไหนเพื่อที่จะมาให้ทันเจอหมอตรงนี้




   “ไม่เป็นไร”




   “เป็นดิ”




   “เป็นอะไร”




   “เป็น…เป็น…” ถามมาแบบนี้แล้วจะตอบยังไงครับหมอ “ก็ทางเดียวกันก็ต้องไปด้วยกันไงพี่ เร็วเถอะ ซ้อนผม” บุ๋นคะยั้นคะยอคนที่ยืนถือผ้าเช็ดหน้ามองเขานิ่งๆ




   ดูก็รู้ว่าร้อน




   “มะ…”




   “ไม่ต้องปฏิเสธ อีกตั้งไกลกว่าจะถึงซุปเปอร์ พี่เลิกปฏิเสธแล้วซ้อนท้ายผม”




   “อืม” ฐานทัพถอนหายใจแรงๆเพราะไม่รู้จะเถียงกับคนตรงหน้าไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายเขาก็เถียงไม่ชนะอยู่ดี “ไปก็ไป”




   “ก็แค่นั้นแหละ” คนที่ทำสำเร็จเผยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาก่อนจะจับแฮนจักรยานแน่น “เกาะผมไว้ดีๆนะพี่ เดี๋ยวตกรถ”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะเอื้อมมือไปจับเหล็กข้างหลังที่ยื่นออกมานิดนึงเพื่อให้ทรงตัวได้




   บุ๋นค่อยๆปั่นจักรยานออกมาช้าๆจนแทบจะเรียกว่าเต่าเดิน เขารู้สึกอยากจะให้ช่วงเวลานี้อยู่กับเขาไปนานๆ ช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับหมอ มันเป็นความสุขเล็กๆที่เขาไม่อยากให้มันหมดไป




   “ปั่นดีๆ” ฐานทัพพูดขึ้นเมื่อเห็นจักรยานขยับอย่างกับเต่าเดิน




   “คร้าบบบบบ~” บุ๋นรับคำเสียงสดใสก่อนจะเร่งแรงปั่นให้เป็นปกติ




   โถ่หมอ…โรแมนติกหน่อยก็ไม่ได้



   

   ซุปเปอร์ในช่วงเช้าดูโล่งเป็นพิเศษ ฐานทัพเดินเข้าไปพร้อมกับคนที่เดินไปยิ้มไปจนคนในซุปเปอร์ที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ถึงกับหันมามองเพราะท่าทางของเขาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ




   ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะมองว่าบุ๋นเป็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างดี หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูหล่อโดยไม่ต้องผ่านมีดหมอ แต่ในสายตาของฐานทัพเขามองบุ๋นเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ออกจะไปทางประหลาด




   ประหลาดจริงๆ




   “ตามทำไม” ฐานทัพหันไปมองคนที่เดินตามทุกฝีก้าวอย่างสงสัย นึกว่าพอมาถึงซุปเปอร์แล้วจะแยกย้าย




   “ผมลืมว่าจะต้องซื้ออะไร” คนที่เดินตามไม่ได้รู้สึกเลยว่าคนตรงหน้ากำลังไล่เขาแบบอ้อมๆอยู่ “เดินตามพี่ดีกว่า”




   ฐานทัพถอนหายใจกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรคนที่ยืนยิ้มอย่างกับคนบ้าแล้วเดินไปตรงแผนกของตามที่เพื่อนฝากซื้อในการทำกิจกรรมฐาน




   “ผมถือตะกร้าให้” บุ๋นไม่รอให้ฐานทัพตอบตกลง มือของเขาดึงตะกร้าที่ยังไม่ได้ใส่อะไรมาถือไว้ก่อนจะพูดต่อ “เลือกสิครับ ตามสบายเลย”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆแล้วหันกลับไปหาของต่อ




   “หาอะไร ให้ผมช่วยไหม?” คนที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง




   “ช่วย” ฐานทัพตอบพร้อมหันกลับมา “ช่วยอยู่เฉยๆ”




   “โอ้…” เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มต่อ “ครับ จะอยู่เฉยๆ”




   ฐานทัพไม่ได้ตอบกลับ เขาหยิบของใส่ลงตะกร้าพร้อมกับบุ๋นที่เดินตามติดทุกฝีก้าว ถึงแม้ฐานทัพจะพูดเชิงไล่เขายังไงแต่เจ้าตัวก็ยังดึงดันที่จะช่วย




   “ของเยอะเหมือนกันนะครับ” บุ๋นพูดเมื่อเดินมาพักหนึ่งแล้วของเริ่มล้นตะกร้า





   “ถ้าหนักก็เอามา” ฐานทัพยื่นมือไปขอตะกร้าคืน




   บุ๋นไม่ตอบแต่เอามือข้างที่ว่างอยู่ไปแตะมือคนตรงหน้าเบาๆ ฐานทัพหันมามองหน้าอย่างสงสัยก่อนจะดึงมือกลับไป





   “อะไร”





   “แปะไง”





   “แปะ?”





   “แปะไว้ก่อน รอบหน้าพี่ค่อยถือ”





   “รอบหน้า” ฐานทัพเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองหน้าคนเจ้าเล่ห์ “ไม่มีรอบหน้า”





   “ต้องมีสิ” บุ๋นยิ้มรับ “ยังไงก็ต้องมี”




   “เฮ้อ…” ฐานทัพถอนหายใจเสียงดัง เขาไม่ได้รำคาญถึงขนาดทนไม่ได้แต่แค่ไม่เข้าใจว่าคนๆนี้มาตามติดเขาทำไม




   ทั้งๆที่ตัวเขาก็ไม่ได้ทำตัวให้น่าสนิท




   “ท้องพี่ร้องหรอ” บุ๋นยกมือขึ้นป้องหู “พี่หิวข้าวหรอ?”




   “เปล่า” เขาตอบกลับทันที จะท้องร้องได้ยังไงในเมื่อเขาเพิ่งกินข้าวไปเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว




   “แต่ผมได้ยิน พี่ไม่ต้องอายหรอกน่า”




   “เปล่า”




   “ซื้อของเสร็จไปกินข้าวกัน” บุ๋นเหมือนไม่ได้ยินคำปฏิเสธของคุณหมอ เขาถือตะกร้านำไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงินก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง




   อ้าว…หายไปไหน





   “เอ้า…” เขาหลุดออกมาอย่างงงๆก่อนจะเดินไปหาตามล็อคต่างๆ




   หายไปตอนไหนนะ




   “มาแล้ว” เสียงของหมอดังขึ้นพร้อมกับถุงแครอทในมือ “ไปจ่ายตัง”




   “นั่นก็ต้องใช้หรอครับ?” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้ไปที่ถุงแครอทที่ดูไม่น่าทานเอาเสียเลย




   “เปล่า ซื้อไปกินเอง”




   “แล้วนี่คือถุงที่ดูดีที่สุดแล้วหรอครับ ผมว่ามันไม่น่าทานเท่าไหร่”




   “ดีไม่ดีก็กินได้”




   “ไม่ได้ครับ รสชาติมันต่างกันนะ” บุ๋นถือวิสาสะหยิบถุงแครอทในมือของหมอเดินไปเก็บก่อนจะกวาดตามองหาถุงใหม่ที่น่ากินกว่าถุงเดิม




   ถึงเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานของที่บ้านแต่เขาก็คลุกคลีกับผักผลไม้มาเยอะและเขาก็พอดูออกว่าการเลือกผักผลไม้ต้องดูจากอะไรบ้าง




   ฐานทัพเดินตามคนที่เดินดุ่มๆมาอย่างไม่เข้าใจ เขามองบุ๋นที่ดูสนใจกับการเลือกแครอทตรงหน้าให้เขาด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้เพราะคิดว่ากินแบบไหนก็เหมือนกันหมด




   ไม่เห็นจะต่างตรงไหน




   “ถุงนี้น่ากินที่สุดแล้ว” บุ๋นหันกลับมาพร้อมกับชูถุงแครอทที่เลือกอยู่นานให้คนตรงหน้าดู “ก็ไม่ได้น่ากินเท่าไหร่หรอก แต่ก็ดีกว่าที่พี่เลือก”



   “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้ “ขอบคุณ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะเดินนำไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงินเพราะจะเอาของไปให้เพื่อนเพื่อเตรียมกิจกรรม ถึงจะเป็นกิจกรรมช่วงบ่ายแต่การเผื่อเวลาไว้ก่อนมันคงดีกว่า





   “ไว้ผมจะปลูกให้พี่กินนะ” บุ๋นวางตะกร้าลง “พี่ชอบทานผักผลไม้อะไรบ้างครับ”




   “ปลูก?” ฐานทัพมองคนตรงหน้า “ไม่เป็นไร”




   “ผมเต็มใจ” บุ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คำตอบของเขาทำเอาคุณหมอที่ยืนอยู่ถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง




   “ไม่เข้าใจ” ฐานทัพเอ่ยเสียงเบา





   “ครับ?”





   “เปล่า” เขาส่ายหน้า “แยกกันตรงนี้นะ”





   “ไม่ครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” บุ๋นพูดพร้อมกับรวบถุงของเอาไว้ในมือเดียว “ของเยอะขนาดนี้จะถือกลับไปได้ยังไง ไกลก็ไกล”




   “แต่…”




   “ถ้าเกรงใจก็ไปกินข้าวกับผม” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตกลงตามนี้นะครับ”




   “งั้นเดิน”





   “โหพี่…” บุ๋นเอ่ยเสียงอ่อน “รังเกียจกันขนาดนี้เลยหรอ”





   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “ล้อเล่น” เขาพูดกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย





   “เย้!” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่ใจดีที่สุดเลย”    





   ทั้งสองคนเดินออกมาจากซุปเปอร์พร้อมกับของที่ซื้อมาถุงใหญ่ ฐานทัพหยุดเดินก่อนที่จะเอื้อมมือไปสะกิดไหล่คนที่เดินนำอยู่สองก้าวแล้วชี้ไปที่ร้านอาหารข้างทางที่เดินไปไม่ไกลมากจากจุดที่ยืน




   “ครับ?” เจ้าตัวหันมาถามพร้อมกับรอยยิ้ม





   บางครั้งฐานทัพก็นึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนๆนี้ถึงยิ้มตลอดเวลาที่คุยกับเขา อาจเพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่ยิ้มเก่งขนาดนี้และทำไมรอยยิ้มของคนๆนี้มันดูมีเสน่ห์มากกว่าหลายๆคนที่เขารู้จัก





   แปลกดี





   “ยังพอเหลือเวลา ไปกินก่อนไหม”





   “ได้หรอครับ?”





   “อืม”





   “ไปครับ” บุ๋นพยักหน้ารัว เขาหิวข้าวมาสักพักใหญ่ๆแล้วแต่พออยู่กับหมอก็ดันลืมความหิวไปซะหมด ถ้าทนไปอีกสักพักท้องคงร้องประสานเสียงแน่ๆ



    บุ๋นเดินนำเข้ามาในร้านก่อนจะเดินไปสั่งโดยไม่ต้องดูเมนูหน้าร้านอาหาร ฐานทัพหันไปมองคนที่ยืนสั่งอย่างคล่องแคล่วก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้านในของร้าน เขายังรู้สึกอิ่มๆอยู่เลย




   “ของพี่ครับ” เสียงของบุ๋นดังขึ้นพร้อมกับถุงน้ำหวานกระดาษที่อยู่ข้างๆร้านอาหาร




   “หืม?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองถุงน้ำหวานที่บุ๋นยื่นให้ “น้ำอะไร”





   “ชาเขียวครับ”





   “ไม่ชอบชา” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะเห็นสีหน้าที่ฉีกยิ้มดูสลดลงเล็กน้อยที่เขาพูดออกไปแบบนั้น





   “งั้นหรอครับ” บุ๋นเอ่ยเสียงอ่อย “ของผมเป็นชาดำเย็น พี่คงไม่ชอบ”




   “อืม”





   “ไม่เป็นไรครับ ผมกินสองถุงก็ได้” บุ๋นยิ้มอีกครั้งก่อนจะดึงถุงน้ำหวานมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง





   “เดี๋ยว” ฐานทัพเอ่ยขัด “กินก็ได้…เผื่ออร่อย” เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงหน้าเขาก็เลือกที่จะพูดออกมา




   “จริงหรอครับ” บุ๋นตาโต “อร่อยสิครับ พวกเพื่อนๆชอบซื้อมาฝาก” บุ๋นยื่นถุงชาเขียวกลับไปตรงหน้าคุณหมอ





   “ขอบคุณ” ฐานทัพรับมาก่อนจะเจาะถุงแล้วดูดเพื่อชิมรสชาติของชาเขียวที่เขาไม่เคยถูกปากเลย





   อืม…ไม่ถูกปากจริงๆ แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูดีใจของคนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเห็นสีหน้าผิดหวัง





   “ชอบไหมครับ?”





   “อืม อร่อยดี” เขาโกหกกลับไป ฐานทัพไม่ชอบอะไรที่หวานมากนัก ปกติเขาเองก็ดื่มแค่กาแฟเป็นชีวิตจิตใจ




   “ไว้ผมจะซื้อให้พี่อีกนะ” บุ๋นพูดพร้อมกับดูดชาดำเย็น “พี่จะได้คิดถึงผม”




   “ไม่…เพ้อเจ้อ” ฐานทัพเสมองไปทางอื่นพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากเล็กๆ




   อยู่กับคนๆนี้ก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด




   อาหารมาเสริฟพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกของทั้งสองคน บุ๋นยื่นจานแรกให้ฐานทัพก่อนจะรับอีกจานมาวางไว้ตรงหน้าของตัวเอง เขาเลือกที่จะสั่งราดหน้าให้ฐานทัพเหมือนกับตัวเขาที่ชอบทานอาหารนี้มาตั้งแต่เด็กๆ




   “ทานเลยครับ ผมเลี้ยงเอง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะตักราดหน้าเข้าปาก ถึงจะไม่หิวแต่ปฏิเสธตอนนี้ก็ดูจะเสียน้ำใจกันเกินไป เขาพยายามกินให้ช้าที่สุดเพื่อให้คนตรงหน้าเห็นว่าเขากำลังกินอยู่ ไม่ได้เขี่ยอาหารไปมา




   ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าบอกไปตรงๆว่าไม่หิว




   “ขึ้นปีสามแล้วเหนื่อยแย่เลยนะครับ” บุ๋นชวนคุยระหว่างที่กำลังกินข้าว




   เขาอยากจะให้เวลาในตอนนี้อยู่กับเขาไปนานๆ




   “อืมเหนื่อย” ฐานทัพหยักหน้าก่อนจะชะงักไป “รู้ได้ยังไงว่าปีสาม”




   บุ๋นกลืนราดหน้าที่เคี้ยวอยู่ลงคออย่างลืมตัว เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มแห้งๆ ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาหลุดปากพูดอะไรพวกนี้ออกมา



   ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยย!!!




   “ผมเดาไง” เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ




   “หรอ” ฐานทัพมองอย่างจับผิด “กินต่อเถอะ”




   “แล้วพี่ไม่มีแฟนหรอครับ” บุ๋นอดไม่ได้ที่จะถามตรงๆ คำถามของเขาทำเอาคนที่กำลังจะตักราดหน้าเขาปากถึงกับชะงักไป




   “ไม่มี” ฐานทัพถอนหายใจ “ไม่อยากมี”




   “ทำไมล่ะครับ”




   “เรียนก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีเวลาไปดูแลใคร” ฐานทัพพูดอย่างไม่ใส่ใจ แฟนไม่เคยอยู่ในหัวเขาอีกเลยตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามหาลัย





   “ให้เขาดูแลพี่สิครับ” บุ๋นสบตาคนตรงหน้านิ่ง “บางทีอาจจะมีคนที่พร้อมจะดูแลพี่อยู่ก็ได้”




   “ใคร” ฐานทัพสบตากลับ เขามองบุ๋นตรงๆพร้อมนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ได้คุยกันเมื่อวันที่บุ๋นโดนรับน้อง วันที่บุ๋นจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร




   “ผม…” บุ๋นเว้นช่วง “ไม่รู้สิครับ แหะๆ”




   “ช่างเถอะ” ฐานทัพบอกปัด เขาไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเข้ามากวนใจเขานอกจากเรื่องเรียน ขึ้นปีสามแล้วงานก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีเขาก็จะต้องเรียนจบและไปใช้ทุนต่อ




   ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องอะไรพวกนี้




   “ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่าจะเจอกันบ่อยแค่ไหน”




   “…”





   “พี่จะยอมให้เขาเข้ามาดูแลพี่ไหม?”




---------------- 100%
มาต่อแล้วค่าาาาาา ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
ติดตามกันไปยาวๆเลยยยยย
5555555555555555  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:



ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
บุ๋นเอ้ยยย
น่ารักจังเลยยยย :ling1:
พี่ฐานทัพใจอ่อนเร็วๆนะคะ555555

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่หก

   “ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่าจะเจอกันบ่อยแค่ไหน”



   “…”




   “พี่จะยอมให้เขาเข้ามาดูแลพี่ไหม?”




   น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังเอ่ยถามคนตรงหน้าที่เงียบไป ขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกถูกยกขึ้นมาตีหัวคนที่จริงจังเบาๆก่อนที่คุณหมอจะวางขวดน้ำไว้ที่เดิม




   “ถึงเวลาก็รู้เอง”




   แปดโมงเช้ากับการเปิดเทอมวันแรกของปีหนึ่ง…



   “ง่วงว่ะ” บุ๋นเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากหาวเป็นรอบที่สามหลังจากที่ลากสังขารตัวเองมาถึงตึกเรียนรวมของมหาลัยได้อย่างทันเวลา




   “กาแฟไหม” เดชพูดพร้อมกับยื่นกาแฟกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดมาตรงหน้า




   “ไม่ว่ะ ทนได้”




   “เออตามใจ” เดชเปิดกระป๋องก่อนจะยกดื่มจนหมดในเวลาไม่นาน




   เดชเป็นเพื่อนคนแรกที่บุ๋นได้คุยด้วยจริงๆจังๆหลังจากที่ผ่านกิจกรรมของคณะ จากหลายๆอย่างทำให้เขาคิดว่าเขากับเดชน่าจะเข้ากันได้ เดชเป็นคนนิ่งๆแต่มักจะมีเรื่องต่างๆมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ รู้ทุกเรื่องของมหาวิทยาลัยราวกับเป็นพี่เนียนแต่ติดตรงที่เขาเฉลยพี่เนียนกันไปหมดแล้ว ถึงแม้หน้าจะแก่เกินกว่าจะอยู่ปีหนึ่งแต่นี่ก็คือเพื่อนคนเดียวที่เขาคุยด้วยบ่อยที่สุดในคณะเกษตร




   “จบนี่แล้วมึงไปไหนวะ” บุ๋นหันไปถามฆ่าเวลาระหว่างรออาจารย์เข้าห้อง



   “ว่าจะไปสมัครชมรมแล้วไปหอสมุดต่อ มึงล่ะ?”




   “ไปไหนก็ได้ที่กูนอนได้” พูดอีกก็หาวอีก “งั้นกูไปรอมึงที่หอสมุด สมัครเสร็จก็ตามมาละกัน”




   “เออเอางั้นก็ได้”




   ทั้งห้องเงียบลงเมื่ออาจารย์วัยกลางคนเดินเข้ามาด้วยสายตาตำหนิตั้งแต่คาบแรก บุ๋นเลิกหันไปคุยกับเดชก่อนจะสนใจเนื้อหาตรงหน้าที่แทบจะไม่ไหลเข้าสมองเขาเลยราวกับว่าพูดกันคนละภาษา




   บ้าไปแล้ว




   เขาไม่เข้าใจ…




   “อะไรวะ” บุ๋นอุทานออกมาหลังจากที่อาจารย์สอนไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพร้อมกับสไลด์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่รอให้นักศึกษาจดเลกเชอร์




   “ไม่ทันตรงไหน” เดชหันมามองสมุดที่เปิดหน้าไว้พร้อมกับปากกาที่อยู่ในมือบุ๋น “อะไรของมึง” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาในเมื่อกระดาษของบุ๋นว่างเปล่าราวกับพึ่งซื้อใหม่แล้วไม่กล้าทำให้สมุดเป็นรอย




   “กูจดไม่ทัน ทำไมไวแบบนี้วะ” เขาพูดพร้อมกับขยี้หัวตัวเอง




   เมื่อก่อนก็คิดว่าตัวเองเรียนพอใช้ได้…พึ่งรู้วันนี้ว่าตัวเองโง่




   “ใจเย็น” เดชพูดพร้อมกับยื่นสมุดจดของตัวเองให้ “เอาของกูไปลอก”




   “เออขอบ…โอ้โหเหี้ย” บุ๋นสบถออกมา “นี่มันตัวหนังสือคนจริงๆหรอวะ” เขามองตัวหนังสือที่ตวัดไปมาจนแทบอ่านไม่ออกก่อนจะมองหน้าเดช




   “ไม่จดแล้วยังว่า ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา” เดชพูดพร้อมกับดึงหนังสือกลับมาก่อนจะหันไปสนใจอาจารย์ต่อ




   “เอ้า…แล้วกู…”




   ไม่ทันที่บุ๋นจะพูดต่อนิ้วเล็กๆของคนที่นั่งถัดไปก็สะกิดเขาเบาๆพร้อมกับใบหน้าขาวใสของผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งถัดจากเขาไปอีกหนึ่งเก้าอี้ ยิ้มหวานปรากฏขึ้นภายใต้กรอบแว่นทรงกลมที่ดูรับกับใบหน้ารูปไข่ เธอยิ้มให้บุ๋นอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นสมุดสีชมพูลายการ์ตูนน่ารักมาให้เขา




   “ยืมของเราก็ได้นะ”




   “ยืม?” บุ๋นทำท่างงก่อนจะพูดต่อ “อ่อ…ขอบคุณมากนะ” เขารับมาแม้จะไม่รู้จักคนข้างๆแต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา




   “เราชื่อน้ำฟ้านะ” น้ำฟ้าแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มหวานที่ใครๆเห็นก็ต้องใจละลาย “บุ๋นใช่ไหม?”




   “อืม ใช่ครับ” บุ๋นยิ้มตอบ “เดี๋ยวเรายืมถ่ายรูปแล้วจะเอาคืนให้เลย” บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาระหว่างที่อาจารย์ออกไปเข้าห้องน้ำ




   “จ้ะ” น้ำเสียงหวานตอบกลับ




   เธอหันไปมองคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเลกเชอร์ของเธอทีละหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏขึ้น บุ๋นผู้เข้าประกวดเดือนคณะเกษตรศาสตร์และน้ำฟ้าผู้เข้าประกวดดาวคณะเกษตรศาสตร์ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว




   คนๆนี้มีเสน่ห์มากจนเธอไม่อยากละสายตา…



.   


   หอสมุดในวันเปิดเทอมวันแรกดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ไม่แปลกเพราะเด็กปีหนึ่งที่พึ่งเข้าใหม่ก็เข้ามารับแอร์เย็นๆก่อนเข้าเรียนเป็นเรื่องปกติ แต่เสียงในหอสมุดเจี้ยวจ้าวมากเกินกว่าที่จะอ่านหนังสือเตรียมเข้าห้องเรียนได้ เสียงที่น่ารำคาญแบบนี้มันไม่ควรจะมีในหอสมุดของมหาวิทยาลัย




   ฐานทัพปิดหนังสือลงหลังจากที่ทนมาได้พักหนึ่ง เสียงไม่ได้ดังมากแต่มันน่ารำคาญสำหรับเขาที่ต้องการสมาธิ หนังสือเล่มหนาถูกยกขึ้นมาถือไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปขึ้นบันไดเพื่อไปหาชั้นที่เสียงจะเงียบลงกว่านี้หน่อย วันนี้เขามีเรียนตอนบ่ายโมงแต่ออกมานั่งอ่านหนังสือรอที่หอสมุดตั้งแต่สิบโมงเกือบสิบเอ็ดโมงรอเพื่อนอีกสองคนมา




   ชั้นสองของหอสมุดไม่ได้ต่างจากชั้นแรกมากนัก เขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสามของหอสมุดที่แบ่งเป็นโซนอ่านเดี่ยวและโซนโต๊ะกลุ่ม แปลกอีกอย่างคือโซนอ่านเดี่ยวเต็มทุกโต๊ะจนไม่มีที่ว่างให้เขาเลยสักที่เดียว โซนโต๊ะกลุ่มก็มีคนเอาคอมพิวเตอร์มาเล่นกันราวกับเป็นร้านเกมส์ขนาดย่อมและเอาไว้นอนอยู่หลายโต๊ะ ที่เห็นว่าว่างที่สุดก็โต๊ะข้างในสุดที่มีร่างของคนๆหนึ่งฟุบอยู่กับโต๊ะพร้อมสมุดที่เปิดอ้าไว้และโทรศัพท์ที่วางข้างตัว ฐานทัพคิดอยู่นานก่อนจะยอมเดินตรงไปที่โต๊ะกลุ่มในสุดเมื่อหาโต๊ะนั่งเดี่ยวไม่ได้




   อย่างน้อยคนที่นอนอยู่ก็ไม่น่าจะเสียงดังเท่ากับข้างล่าง




   ขอนั่งด้วยคงไม่เป็นไร




   “ขอนั่งด้วยได้ไหม?” เขาถามเสียงเบาหากแต่ว่าคนที่นอนอยู่กลับไม่ได้ยินเสียงของเขา




   อืม…ถือว่าตกลง




   ฐานทัพไม่รอฟังคำตอบจากคนที่เขาหลับอยู่ ร่างสูงวางหนังสือเล่มหนาลงก่อนจะค่อยๆลากเก้าอี้ออกมาเพื่อสอดตัวเข้าไปนั่งเงียบๆเพื่อไม่ให้รบกวนเวลานอนของคนตรงหน้า




   บทเรียนที่อ่านค้างไว้ถูกเปิดอีกครั้งพร้อมกับคุณหมอที่เริ่มอ่านหนังสือต่อจากเมื่อครู่ เขาค่อยๆไล่สายตาอ่านที่ละตัวอักษรอย่างใจเย็น ความรู้ค่อยๆแล่นเข้าไปในหัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆจากหนังสือที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นพี่ปีสูง เขามักจะอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนเสมอเพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและเก็บเรื่องที่ไม่เข้าใจไปทำความเข้าใจในห้องตอนที่อาจารย์สอน ทำแบบนี้มาเสมอจนติดเป็นนิสัย ไม่แปลกที่ฐานทัพมักจะได้คะแนนติดอันดับท๊อปของรายวิชาอยู่เสมอ




   พึ่บ พึ่บ




   กระดาษที่ปิดหน้าอยู่ค่อยๆร่วงลงเมื่อคนตรงหน้าขยับตัว เขาหันไปสนใจคนตรงหน้าเพราะกลัวว่าจะทำให้คนที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมา ทันทีที่มองชัดๆเขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เขาบังเอิญเจอๆคนนี้ จะว่าไปก็เกือบสองอาทิตย์ที่เขาไม่ได้เจอหน้าคนๆนี้เลย




   ควรย้ายโต๊ะ…




   ความคิดแรกแล่นขึ้นมาในหัว ฐานทัพปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงอีกครั้ง เขามองคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อหาที่นั่งใหม่ ขืนถ้าตื่นขึ้นมาตอนนี้เขาเชื่อเลยว่าต้องถูกรบกวนจนอ่านหนังสือต่อไม่ได้แน่ๆ




   “อืม…” เสียงในลำคอดังขึ้นพร้อมกับสมุดที่ถูกดันออกมาจากที่ๆแขนทั้งสองทับราวกับลืมไปแล้วว่ากำลังนอนทับสมุดอยู่




   ฐานทัพมองตัวหนังสือที่แทบจะอ่านไม่ออกก่อนจะมองคนที่นอนหลับอยู่สลับกับสมุด ตัวหนังสือที่ใหญ่จนล้นเส้นบรรทัดกับคำอธิบายที่ดูเข้าใจยากทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่ยากจะเขียนให้มันดูยากทำไม




   “เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจของคุณหมอดังขึ้นอย่างรำคาญตัวเอง เขาดึงสมุดที่ถูกเขี่ยออกมามาไว้ฝั่งตัวเองก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง




   ปากกาที่เหน็บกระเป๋าเสื้อไว้ถูกดึงออกมาพร้อมกับคำอธิบายที่เขาเขียนลงหน้าใหม่ข้างๆหน้าเดิมเพื่อให้ดูเข้าใจง่ายมากกว่าเดิม แม้จะไม่ใช่ธุระอะไรของเขาแต่ในเมื่อเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้




   อย่างน้อยคนๆนี้ก็เคยช่วยงานเขาหลายครั้ง




   เนื้อหาถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับตัวหนังสือที่อ่านง่ายกว่าเดิม ฐานทัพใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีในการสรุปบทแรกจบในสองหน้า เขาปิดสมุดลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของคนตรงหน้าขึ้นมาทับสมุดไว้เผื่อเจ้าตัวปัดสมุดทิ้งไปทางอื่นอีก




   ดวงตาทั้งสองข้างที่หลับสนิทกับท่าทางที่ดูไม่มีพิษมีภัยทำให้เขาหยุดมองอยู่พักใหญ่ ฐานทัพมองคนตรงหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด คนๆนี้จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง เสียอยู่อย่างเดียวคือเพี้ยนไปหน่อย




   “…” เขายิ้มมุมปากก่อนจะสลัดความคิดแปลกๆในหัวทิ้ง




   ร่างสูงของหมอค่อยๆเหยียดตัวยืนขึ้น เขายกหนังสือที่เตรียมมาอ่านขึ้นไว้กับตัวก่อนจะมองคนที่นอนหลับไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้




   ดีแล้วละ




   ฐานทัพค่อยๆลากเก้าอี้ให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนจะเดินออกมาปล่อยให้เจ้าตัวยังคงนอนหลับสบายอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปลุกให้ตื่น




   เปิดเทอมวันแรกก็หลับแล้ว…บุ๋น




   เดชเดินเข้ามาหลังจากที่หมอเดินออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เขาหันมองฐานทัพแว๊บหนึ่ง เหมือนเขาเห็นคนๆนี้นั่งโต๊ะเดียวกับเพื่อนของเขา




   คงไม่ใช่มั้ง




   “ไอ้บุ๋น” เดชเรียกเพื่อนตัวเองพร้อมเขย่าให้คนที่ฟุบหลับอยู่ตื่น




   บอกเขาเองแท้ๆว่าจะมานั่งรอที่หอสมุด ก่อนออกห้องก็พูดไว้ดิบดีว่าจะจดเลกเชอร์ที่ไปยืมของอีกคนมาเขียนให้เสร็จ แล้วไหงหลับไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแบบนี้




   “อืม..” บุ๋นขยับตัวหันหน้าไปอีกข้างราวกับไม่ได้อยู่ในหอสมุด




   “ถ้ามึงไม่ตื่นมึงจะเข้าเรียนคาบบ่ายไม่ทัน”




   “อืม…เรียนๆ” เสียงงัวเงียตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่ค่อยๆเหยียดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ บุ๋นขยี้ตาตัวเองก่อนจะหยิบสมุดที่ยังเขียนไม่ถึงไหนขึ้นมาเปิดหน้าที่เขียนค้างไว้




   “ยังไม่ถึงไหนสินะ” เดชพูดเหมือนรู้ทัน




   “เออดิ หลับไปตอน…เห้ย!” เขาร้องเสียงหลงก่อนจะมองตัวหนังสือที่เป็นระเบีบยกับคำอธิบายที่เข้าใจง่ายข้างๆหน้าที่ตัวเองยังเขียนไม่เสร็จ “นี่มันไม่ใช่ลายมือกู”




   “ไหน” เดชพูดพร้อมชะโงกหน้ามาดู “เออ เป็นระเบียบดี ใครทำให้วะ”




   “ไม่รู้” บุ๋นขมวดคิ้ว “มึงเขียนให้กูรึเปล่า”




   “ถ้ากูเขียนให้มึงสวยขนาดนี้กูคงเขียนให้ตัวเองก่อน”




   “แล้วใครวะ…” เขาค่อยๆไล่สายตาอ่านตัวหนังสือที่เป็นระเบียบทุกบรรทัดพร้อมโน๊ตจุดสำคัญไว้ว่าตรงไหนที่ควรจำ มันทำให้เรื่องที่เขาไม่เข้าใจกลับมาเข้าใจได้เพราะสรุปสองหน้า




   ใครวะ…




   “เมื่อกี้กูเห็นคนมานั่งโต๊ะกับมึงตอนมึงหลับอยู่” เดชเริ่มประมวลภาพความทรงจำ “พึ่งเดินออกไปตอนที่กูเข้ามา”




   “ใครวะ”




   “ไม่รู้ กูจะไปรู้ได้ยังไง รู้แค่ว่าถือหนังสือมาหนามาก”




   “หรอ…” บุ๋นตอบกลับอย่างไม่สนใจก่อนที่สายตาจะสะดุดที่คำสุดท้ายในหน้าที่สองของบทเรียนที่ถูกสรุปจากคนนิรนาม



   เปิดเทอมวันแรกก็หลับแล้ว...บุ๋น



   “หมอ” คำแรกที่หลุดออกมาจากปากเขาทำเอาเดชที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้มากๆ”




   “อะไรวะ?”




   “คนที่มานั่งกับกูเมื่อกี้ หน้าตาดูฉลาดไหม?”




   “ก็ดูฉลาดกว่ามึง”




   “เออ ถือว่าเป็นคำตอบที่ดี” แม้อยากจะตบกะโหลกคนตรงหน้าสักทีแต่บุ๋นก็ทำได้แค่คิด เขาปิดสมุดตัวเองลงก่อนจะใส่เก็บไว้ในกระเป๋า




   ไม่ผิดแน่ๆ…





------------------------- 50%
ตอนนึงยาวมากเลยต้องแบ่งมาลง ฮื้อออออออ
ไหนใครอ่านอยู่บ้างขอเสียงหน่อยยยยยยยย
รู้สึกเหมือนพูดคนเดียว ว๊ากกกก  ถถถถถถถถถถถถถถถ  :hao5: :hao5: :hao5: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หมอก็น่าร้ากกกกชอบบ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนเลิ้บบบ :katai2-1:

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

ออฟไลน์ Fasai25448

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากกกกชอบบบบบุ๋นน่ารักพี่หมอก็น่าร๊ากกกก :mew1:

ออฟไลน์ tungz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   

   สองทุ่มตรง…



   นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามทยอยเดินออกมาจากห้องเลกเชอร์ใหญ่ที่ถูกเลื่อนเวลาให้มาเรียนเย็นกว่าเดิมเพราะอาจารย์ติดธุระตั้งแต่วันเปิดเทอมวันแรก ฐานทัพที่เดินตามหลังปกป้องกับคินบอกลากันหน้าคณะเพราะตัวเขาอยู่หอในของมหาวิทยาลัยแต่คินกับปกป้องออกไปเช่าหอข้างนอกอยู่ด้วยกัน เหตุผลที่เขาไม่ออกไปด้วยก็คงเป็นเพราะเขาชอบอยู่คนเดียวมากกว่า




   “ไม่ไปกินข้าวด้วยกันหรอวะ” คินถามเสียงเหนื่อย




   ขนาดเปิดเทอมวันแรกยังเหนื่อยขนาดนี้ เขาเดาไม่ออกเลยว่าวันถัดๆไปจะเป็นยังไง แค่ตอนปีสองที่สภาพพวกเขาอย่างกับศพก็รับไม่ได้มากพอแล้ว ปีสามจะเป็นยังไงไม่อยากจะนึกภาพเลย




   “ไม่ละ เดี๋ยวหาไรกินทางกลับหอ” ฐานทัพตอบกลับ




   “เออ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะมึง”




   “อืม บาย” เขาโบกมือลาเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะเดินไปทางจักรยานตัวเองที่จอดไว้อีกตึกตั้งแต่เช้า




   เขารู้สึกเพลียเกินกว่าที่จะทำอะไรได้อีก ในความคิดของฐานทัพตอนนี้คิดถึงแต่เตียงนุ่มๆ อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีก




   ทำไม่ได้…




   สายตาของเขาสะดุดเข้ากับร่างของคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ที่บันไดทางขึ้นตึกเหมือนมารอใครสักคน มือหนึ่งเกาแขนตัวเองอีกมือหันไปตบยุงบริเวณรอบตัว




   “บุ๋น” เขาเรียกชื่อคนๆนั้นเสียงเบาเป็นเวลาเดียวกับที่ใบหน้าได้รูปหันมามองทางเขาพอดี รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาคุณหมอ




   ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ามารอใคร




   “นึกว่าจะไม่เจอซะแล้ว” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บุ๋นมารอคุณหมอที่ตึกตั้งแต่ห้าโมงเย็นหลังจากที่เขาเลิกเรียน เขาต้องการถามในสิ่งที่เขาค้างคาใจ




   ไม่อยากปล่อยไว้ข้ามวัน




   “มีอะไร” ฐานทัพถามกลับ เขามองรอยแดงๆที่แขนสองสามจุดของบุ๋นสลับกับใบหน้าที่ยังคงยิ้มไม่หุบ




   “ผมแค่จะมาถามว่า…” บุ๋นพูดพร้อมกับหยิบสมุดเลกเชอร์ของตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าที่เขาไม่ได้เป็นคนเขียนให้คนตรงหน้าดู “พี่เขียนให้ผมใช่ไหมครับ”




   “ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ฐานทัพถามกลับ




   “ไม่รู้สิ ผมแค่คิดว่าเป็นพี่” บุ๋นเกาหัวแก้เก้อ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “อ่านแล้วเข้าใจไหม” เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนให้อีกคนจะทำให้งงกว่าเดิมหรือเข้าใจมากขึ้น




   “เข้าใจครับ” บุ๋นตอบกลับด้วยท่าทางดีใจ “เป็นพี่จริงๆด้วย” เขายิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่กว้างจนทำให้ตาทั้งสองข้างเหลือขีดเดียวทำให้ฐานทัพหัวเราะออกมา





   “อืม ดีแล้ว”




   “ขอบคุณมากนะครับ” บุ๋นปิดสมุดลงแล้วกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น “ผมจะเก็บรักษาอย่างดี”




   “อืม”




   “ผมมาถามแค่นี้แหละ…ผมไปนะ” เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วเขาก็หันหลังทำท่าจะเดินออกมา ความรู้สึกในตอนนี้ของเขามันล้นเอ่อจนกลัวจะแสดงพฤติกรรมแปลกๆให้คนตรงหน้าเห็น




   “เดี๋ยว” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะเรียกคนตรงหน้าให้หยุด “หิวข้าวไหม” ไม่รู้ทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น แต่การที่บุ๋นมานั่งรอเขาจนโดนยุงกัดทั้งตัวเพื่อต้องการคำยืนยันจากเขานั่นก็ทำให้เขาอดที่จะถามไม่ได้




   มานั่งรอเพราะต้องการคำตอบแค่นี้




   “หิวครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมกลับไปกินที่หอได้”




   “อ่อ” เขาพยักหน้า “จะชวนไปกินข้าว”




   “ครับ?” บุ๋นทำตาโต “ชวนผมหรอ”




   “ไม่เป็นไร ไปกินที่หอเถอะ”




   “เป็นครับ เป็นแน่ๆ” บุ๋นพูดเสียงดังฟังชัด “ผมหิวพอดี หิวมากจนทนไม่ไหวคงกลับไปกินที่หอไม่ได้แน่ๆ”




   “เว่อร์”




   “เราไปกันเลยไหมครับ?”




   “ทันทีเลยนะ” ฐานทัพเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน บุ๋นหัวเราะนิดๆก่อนจะดึงหนังสือที่ฐานทัพถืออยู่มาถือไว้




   “ผมถือให้นะ พี่คงถือมันมาทั้งวันแล้ว”




   “ไม่เป็นไร”




   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นไม่รอให้หมอพูดอะไรต่อ เขาเดินนำไปที่รถจักรยานของตัวเองก่อนจะวางหนังสือทั้งหมดไว้ที่ตะกร้าหน้ารถ




   ฐานทัพควานหาของบางอย่างในกระเป๋าก่อนจะยื่นยากระปุกเล็กๆให้คนที่กำลังจะไขกุญแจรถจักรยาน บุ๋นมองยาอย่างไม่เข้าใจความหมายก่อนจะชี้นิ้วเข้าตัวเองเป็นคำถามว่า ผมหรอ




   “ยุงกัด” ฐานทัพถอนหายใจ “ทายาสิ”




   “อ่อ…” บุ๋นลุกขึ้นยืนก่อนจะรับยาจากคุณหมอมา “ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม”




   “ไม่ได้ห่วง” เขาตอบกลับแทบจะทันที




   ไม่ค่อยได้ใช้ยาเท่านั้นเอง




   “ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงครับ” คนที่รับมาแอบยิ้มก่อนจะเปิดกระปุกยาแล้วทาบริเวณที่โดนยุงกัด เขามานั่งรอหมอนานจนเกือบจะถอดใจกลับหอ




   ดีที่ไม่กลับ




   “ทาไม่ถึงเลย” คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมกับแกล้งทำท่าแขนสั้น “ทำไมทายากแบบนี้นะ”




   “เยอะไป” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะพูดต่อ “หิว”




   “ขอโทษครับ แหะๆ” บุ๋นรีบปิดกระปุกยาที่ยังทาไม่เสร็จลงก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยานแล้วหันไปยิ้มให้คนที่ยืนมองอยู่ “ขึ้นสิครับ”




   “เดี๋ยวเอาจักรยานก่อน” ฐานทัพพึ่งนึกได้ว่าเขาต้องเอาจักรยานของตัวเองปั่นกลับหอ มัวแต่ยืนดูคนๆนี้ยืนยิ้มจนลืมสิ่งที่ตัวเองจะทำ




   “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมปั่นไปส่ง” บุ๋นพูดพร้อมกับปั่นจักรยานมาหยุดตรงหน้าฐานทัพ “ดูท่าทางพี่เหนื่อยมาก ให้ผมปั่นไปส่งนะ”




   “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เรียนเช้า”




   “งั้นเดี๋ยวผมปั่นกลับมาส่ง ยังไงก็ทางผ่านกลับหอผมอยู่แล้ว” เขาโกหกคำโต ทางกลับหอเขาอยู่คนละทางกับคณะแพทย์




   แค่อยากจะยืดเวลาให้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้




   “ทางเดียวกัน…เหรอ” ฐานทัพแม้จะรู้อยู่ในใจว่ามันคนละทางแต่เพราะความเหนื่อยและขี้เกียจเขาเลยพยักหน้าแกล้งไม่รู้เรื่องแล้วขึ้นซ้อนท้ายคนที่รออยู่ “ตามใจ”




   “ครับ” บุ๋นตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง




   เขาปั่นจักรยานออกมาจากคณะแพทย์ตรงไปตามทางที่ฐานทัพบอก แสงไฟจากร้านอาหารที่มีผู้คนบ้างประปราย จากตรงนี้กลับคณะแพทย์ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ บุ๋นสังเกตสีหน้าของคุณหมอที่ดูเพลียเต็มทนเขาเลยอาสาไปสั่งอาหารให้แล้วให้อีกคนไปรอที่โต๊ะก่อน




   “พี่เอาอะไรครับ”




   “ข้าวผัดหมู” ฐานทัพในตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะคิดว่าตัวเองอยากกินอะไร เขาอยากจะฟุบหลับไปตรงนี้แต่เพราะเสียงท้องร้องทำให้เขาต้องฝืนตัวเองให้ตื่น




   “ผมว่าให้ผมกลับไปส่งพี่เถอะ” เมื่อเห็นสภาพของคนตรงหน้าบุ๋นเองก็อดห่วงไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นคุณหมอแสดงอาการเหนื่อยอ่อนขนาดนี้มาก่อน





   “ไม่เป็นไร” ยังไงฐานทัพก็ยังยืนยันคำเดิม





   “งั้นผมจะปั่นไปส่งพี่ที่หอด้วย” บุ๋นพูดเสียงเบาก่อนจะเดินไปสั่งอาหารตามที่ฐานทัพบอก “เป็นห่วงพี่ว่ะ” เขาพึมพำเบาๆไม่ให้คนที่นั่งรออยู่ได้ยิน




   “ดื่มน้ำก่อนครับจะได้สดชื่น” บุ๋นยื่นแก้วน้ำที่ไปตักมาให้ฐานทัพก่อนจะนั่งลงมองคนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจความสกปรกของโต๊ะอาหาร




   “อืม ขอบคุณ” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมารับแก้วน้ำจากบุ๋นก่อนจะยกดื่มจนหมด “ทำอะไร” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางสื้อกันหนาวไว้ตรงหน้าเขา




   “ถ้าทนไม่ไหวก็นอนบนเสื้อผมก่อน พี่นอนลงไปแบบนั้นสกปรกจะตาย”




   “ไม่เป็นไร”




   “ผมต้องพูดคำนั้นครับ” บุ๋นพูดเสียงแข็ง อดห่วงไม่ได้ อีกอย่างเสื้อกันหนาวที่เตรียมมาก็เอามาไว้อย่างนั้นไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว




   เขาไม่ได้เป็นคนขี้หนาว




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอย่างคนขี้เกียจเถียงก่อนจะฟุบหน้าลงไปกับเสื้อกันหนาวที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนๆ




   หอม




   “เปิดเทอมวันแรกพี่เหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ” บุ๋นมองคนตรงหน้าอย่างปกปิดความรู้สึกห่วงข้างในไม่ได้




   “ตื่นตั้งแต่เช้า เลยเพลียๆ” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเอาเสื้อกันหนาวของบุ๋นวางไว้ที่เก้าอี้ข้างตัวเมื่อเห็นว่าอาหารมาเสริฟแล้ว




   “เรียนหมอนักมากเลยหรอครับ”




   “อืม หนัก” เขาตอบกลับไปตามความจริง





   “แล้วพี่ไหวไหม”




   “ไม่ไหวก็ต้องไหว” ฐานทัพพูดพร้อมกับตักข้าวผัดเข้าปาก “เลือกแล้ว”




   “นั่นสิ” บุ๋นยิ้มบางๆ “ผมเชื่อว่าพี่ทำได้”





   “เชื่อ?” ฐานทัพเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้ เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้ตั้งแต่วันแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาแพทย์




   แต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำหน้าที่แพทย์ได้ดีอย่างที่ทุกคนหวังรึเปล่า ฐานทัพรู้ตัวเองดีว่าเขาเป็นคนพูดน้อยจนหลายคนคิดว่าเขาเป็นใบ้ เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่งเรียกว่าติดลบเลยก็ว่าได้ ฐานทัพพูดคำหวานๆไม่เป็นปลอบใจคนก็ไม่เป็นเช่นกัน เขาคิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้นจนบางทีทำให้หลายๆคนไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูด




   “ครับ ผมเชื่อว่าพี่จะเป็นคุณหมอที่เก่งและใจดีมากๆ” คำธรรมดาที่เปล่งออกมาจากปากของคนที่เขาเคยเจอกันไม่กี่ครั้งแววตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งบางอย่างถูกส่งมายังคนที่อยู่ตรงหน้า “จริงๆนะครับ”




   “ขอบคุณ” เขาพูดคำๆนี้ออกมาอย่างง่ายดาย “ที่เชื่อ”




   “ถ้าวันไหนที่พี่เหนื่อยหรือทนไม่ไหวก็ปล่อยมันออกมาบ้างก็ได้”





   “…”





   “พี่ไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้คนเดียว” แววตาที่ส่งผ่านทุกความรู้สึกทำให้ฐานทัพรับรู้ได้ทุกอย่าง แม้เขาอยากจะถามคำถามที่ค้างคาใจแต่ก็ทำได้แค่พยักหน้ารับ





   ไม่ถามดีกว่า





   “มีคนเป็นห่วงพี่นะ”





   “ใคร” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบุ๋นทำให้ฐานทัพถามกลับทันที เขาสบตาคนตรงหน้าเหมือนต้องการคำตอบจากสิ่งที่บุ๋นพูดออกมา





   “ผมไง” บุ๋นยิ้มกว้าง “เดี๋ยวไม่มีคนคอยจดเลกเชอร์สรุปให้” สุดท้ายก็ดึงเรื่องอื่นเข้ามาเป็นข้ออ้างเพราะไม่กล้าบอกเจ้าตัวไปตรงๆ





   “ฝันไปเถอะ” ฐานทัพถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “รีบกิน อยากกลับไปนอน”





   “งั้นมาแข่งกันไหมครับ”





   “แข่ง?”





   “ใครกินหมดช้าคนนั้นเลี้ยง”





   “อืม” ฐานทัพตอบรับทันที “ไม่มีปัญหา”




   “เริ่ม” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงสนุกก่อนที่จะเริ่มกินข้าวตรงหน้าโดยที่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของทั้งสองคนอีก



   ถึงแม้บุ๋นจะหิวข้าวมากไม่ต่างจากฐานทัพแต่เจ้าตัวก็ผ่อนแรงลงให้กินช้ากว่าคุณหมอตรงหน้าที่ดูจะหิวจริงจัง เขาไม่ได้อยากชนะ




   แค่อยากให้คนตรงหน้าผ่อนคลาย…




   “หมด” ฐานทัพพูดพร้อมกับวางช้อนส้อมที่ถืออยู่อย่างภาคภูมิใจ ถึงเขาจะหมดแรงแต่เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยแพ้ใคร





   “โห…ผมแพ้สินะ” คนที่รู้อยู่แล้วแกล้งทำเสียงเสียใจก่อนจะยิ้มนิดๆ “งั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงเองครับ”




   “ไม่ต้อง เดี๋ยวจ่ายให้” ฐานทัพพูดดักไว้ ถึงเขาจะกินหมดก่อนแต่ก็ตั้งใจจะเลี้ยงอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการเลี้ยงที่มานั่งรอเขาจนโดนยุงกัดเต็มตัว




   ถึงจะไม่ได้บอกให้รอก็ตาม




   “ไม่ครับ ผมแพ้ผมต้องจ่าย” บุ๋นไม่รอให้คุณหมอพูดอะไรต่อ เขาเดินไปจ่ายตังก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วยิ้มให้คนที่ดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนแรกที่มาถึงร้าน “กลับกันครับ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบเสื้อของบุ๋นขึ้นมา “เดี๋ยวซักแล้วจะคืนให้”




   “ไม่ต้องครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับดึงเสื้อคืน “เดี๋ยวพี่เหนื่อย”




   ฐานทัพอยากจะดึงเสื้อกลับมาแต่พอเห็นเจ้าตัวพูดแบบนั้นเขาเลยปล่อยเลยตามเลย ไม่ชอบเถียงกับใครอยู่แล้ว




   “เดี๋ยวผมพากลับไปเอาจักรยานนะครับ” พออีกคนขึ้นซ้อนแล้วบุ๋นก็ปั่นจักรยานออกมาทันที ตอนนี้เวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ถ้าเขาปล่อยให้ยืดเยื้อกว่านี้คนที่ซ้อนอยู่คงไม่ไหวแน่ๆ




   ลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าของเขาพร้อมกับความเงียบบริเวณรอบข้าง ในมอช่วงค่ำแทบจะไม่มีคนเพ่นพ่านเหมือนตอนกลางวันเลยทำให้บรรยากาศดูสงบและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน




   “พรุ่งนี้พี่เรียนกี่โมงหรอครับ” เขาถามคนข้างหลังทำลายความเงียบที่เข้ามาปกคลุม





   “…” ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนซ้อนมีเพียงของหนักๆที่พิงกับแผ่นหลังของเขาแทนคำตอบ





   “พี่ครับ พี่…” บุ๋นชะลอจักรยานลงก่อนจะหยุดลงในที่สุดแล้วหันมองข้างหลัง





   ภาพที่เห็นทำให้คนที่มองหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคุณหมออยู่ใกล้เขาเพียงเอื้อมมือ ตาทั้งสองข้างหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลียที่สะสมมาทั้งวัน บุ๋นมองภาพตรงหน้าราวกับถูกหยุดเวลาไว้ รอยยิ้มของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะลมหายใจของหมอ




   “เหนื่อยขนาดนี้ให้ผมไปส่งพี่นะ”




   บุ๋นค่อยๆเอื้อมมือไปจับแขนทั้งสองข้างของหมอให้โอบรัดรอบตัวเขาไว้เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอันตรายระหว่างทางกลับ มือของเขาข้างหนึ่งจับมือของหมอที่โอบรอบตัวไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนข้างหลังจะเป็นอันตรายก่อนจะเปลี่ยนทิศทางปั่นจักรยานกลับไปทางหอพักนักศึกษาแพทย์





   ตอนนี้แค่เขาได้ทำหน้าที่ตรงนี้ก็พอใจแล้ว





   จักรยานเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆไม่นานก็ถึงหน้าหอพักของนักศึกษาแพทย์ เขาค่อยๆชะลอจักรยานจนหยุดนิ่งก่อนจะหันไปมองคนที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างกับว่าหลังของเขาเป็นหมอน





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกเสียงเบา ใจจริงก็อยากจะพาขึ้นไปส่งถึงห้องแต่กฏของหอพักในมหาลัยทุกที่เหมือนกันคือห้ามคนนอกเข้า อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าหมออยู่ห้องไหน





   “พี่ครับ…ถึงแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกเรียกยังไม่ตื่นเขาเลยต้องเรียกอีกครั้งพร้อมเขย่าแขนเบาๆให้ฐานทัพรู้สึกตัว





   “อืม…” เสียงในลำคอตอบกลับมาพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจ





   “ถึงแล้วครับ” บุ๋นพูดประโยคเดิมอีกครั้ง




   “ถึง?” ฐานทัพทวนคำพูดก่อนที่เขาจะตาสว่างเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเป็นหอพักนักศึกษาแพทย์ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าพึ่งออกมาจากร้านอาหารตามสั่ง





   “พี่หลับไประหว่างทาง” บุ๋นไขข้อสงสัยก่อนจะหันมายิ้ม “ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะลงจากจักรยานแล้วเดินมาหยิบหนังสือที่อยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานของบุ๋น





   ปกติก็ไม่เคยเผลอหลับไประหว่างทางแบบนี้





   “พี่จะเอาจักรยานผมไปใช้ก่อนไหมครับ ผมเห็นพี่หลับไปก็เลยพามาส่งที่หอเลย”




   “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยไปเอา” ฐานทัพตอบอย่างไม่ใส่ใจ ถึงแม้จะขี้เกียจเดินไปคณะแต่ในเมื่อเขาเผลอหลับไปแบบนี้จะโทษใครก็คงไม่ได้





   “พี่ล็อกกุญแจไว้รึเปล่าครับ หรือว่าใส่รหัสไว้”





   “ใส่รหัส”





   “รหัสอะไรหรอครับ” บุ๋นถามด้วยความสงสัย





   “2114” อาจเพราะความง่วงเลยทำให้คนที่ตอบกลับไปลืมคิดว่าคนตรงหน้าจะถามไปทำไม





   “โอเคครับ” บุ๋นยิ้มรับ “พี่ไปนอนเถอะครับ ดึกแล้ว”





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอีกครั้ง เขาหันหลังกำลังจะเดินกลับเข้าหอแต่กลับต้องชะงักฝีเท้าลงอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เขาควรจะพูด “ขอบคุณ”





   คนที่ยังรอคุณหมอเดินขึ้นหอพักยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจ เขาคิดว่าหมอจะไม่หันกลับมาพูดอะไรกับเขาแล้วซะอีก บุ๋นมองคนที่คิดว่าตลอดมาไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่ในตอนนี้คนๆนั้นกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา





   แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ได้พัฒนา แต่สำหรับเขาถือว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้




   “ฝันดีครับ” ทุกคำพูดถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกข้างใน บุ๋นเริ่มแน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าความรู้สึกพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง




   เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ




   “อืม ฝันดี”





   “แล้วเจอกันอีกนะครับ” บุ๋นพูดตามหลังคนที่ปิดประตูหน้าหอลง




   เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินในสิ่งที่เขาพูดไหม หากแต่ว่าใบหน้าที่มองกลับมาทางเขานิดๆนั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็น




   คือรอยยิ้มของหมอฐานทัพ…





   บุ๋นปั่นจักรยานกลับมาที่คณะแพทย์อีกครั้งก่อนจะมองหาจักรยานของคุณหมอฐานทัพที่ไม่ได้ยากต่อการตามหา เพราะบริเวณนั้นเหลือจักรยานที่จอดอยู่เพียงคันเดียว เขาเลือกที่จะจอดจักรยานของตัวเองไว้ที่คณะแพทย์ก่อนจะไปปลดล็อกกุญแจตามรหัสที่หมอบอกไว้





   เขาปั่นจักรยานกลับมาที่หน้าหอพักนักศึกษาแพทย์เป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งนี้จักรยานที่ปั่นไม่ใช่จักรยานของเขาเหมือนครั้งแรก ฐานทัพจอดจักรยานลงในที่จอดจักรยานก่อนจะล็อกล้อไว้เหมือนตอนแรกที่หมอทำ




   หอพักที่ยังคงมีไฟเปิดไว้อยู่หลายห้องนั่นคงเป็นการบอกว่าหลายชีวิตในหอกำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็ทำกิจวรรคส่วนตัวต่างๆ เขามองหอพักตรงหน้าอยู่พักหนึ่งพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมช่วงนี้ถึงยิ้มบ่อย พักหลังๆเขายิ้มจนรู้สึกว่าตัวเองใกล้เป็นคนบ้าขึ้นทุกวัน





   “ฝันดีนะครับ…หมอฐานทัพ” บุ๋นพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่พูดถึงชื่อของหมอ





   ร่างของบุ๋นหมุนตัวกลับไปเอาจักรยานของตัวเองเพื่อที่จะได้กลับหอซึ่งป่านนี้เพื่อนอีกสองคนคงอาบน้ำเตรียมตัวนอนกันแล้วเพราะมีเรียนเช้าเหมือนกันทุกวันเลยทำให้คนที่ปกตินอนตีหนึ่งตีสองเปลี่ยนเวลามานอนตั้งแต่หัวค่ำหลังจากที่ถูกนัดรับน้องหลายวันจนเหมือนเปิดเทอมมานาน





   ถ้าในตอนนี้เพื่อนอีกสามคนรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่พวกนั้นคงงงกันไปสามวันเจ็ดวันแน่ๆ ไม่เคยมีใครคิดว่าคนดิบๆอย่างเขาจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเป็น บุ๋นเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรให้ใครก่อน เขาไม่ได้เป็นผู้ให้ กลับกันเขาเป็นผู้รับมากกว่า เขาไม่เคยใส่ใจไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเอง เขาเป็นคนพูดตรง คิดอะไรก็พูดออกไป และนั่นคือสิ่งที่เขาเปลี่ยนไป





   ตั้งแต่เจอหมอ…เขาก็ไม่เคยพูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกไปตรงๆเลยสักครั้ง





------------------------- 100%
มาแล้วจ้าาา วันนี้มาดึกไปหน่อยยยยย
เม้นๆกันเยอะๆน้าาาาา ขอกำลังใจจจจจจ
อ่านแล้วเป็นยังไงบอกกันด้วยนะคะ  :z2: :z2:

ปล. น้องบุ๋นกับหมอฐานทัพมี #ผมจีบหมอ  แล้วนะรู้รึยัง? อยากติดตามฟีดแบคอย่าลืมติดแฮชแท็กนะคะ
เข้าไปส่องกันได้น้าาา เจอกันในทวิตเตอร์ อิ้อิ้   :hao6: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Fasai25448

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นกำลังใจให้น้องบุ๋นจีบพี่หมอให้ติดเร็วๆนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ตามลุ้นทุกตอนเลย   พี่หมอน่ารักอ่ะ รอๆ  (เสมือนตามจีบพี่หมอเองเลยทีเดียว :hao7:)  ชีวิตมหาลัย  อยากโตเร็วๆ

ออฟไลน์ LonelyBoiZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ชอบมากกกกก มาต่อบ่อยๆนะครับ

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่เจ็ด


   “ครับ” น้ำเสียงตอบรับรอบที่ห้าของวันเอ่ยออกมาเนือยๆ บุ๋นพยักหน้ารับทุกคำพูดที่รุ่นพี่กำลังบอกเขาเกี่ยวกับวันประกวดดาวเดือนของคณะในอาทิตย์หน้าที่จะถึง




   แม้จะไม่ได้สนใจและไม่อยากลงเข้าประกวดแต่ก็ต้องโดนลากมาเพียงเพราะในตอนนี้เขาโดนรุ่นพี่ว๊ากหลายคนหมายหัวไว้ ถ้าขัดคำสั่งตอนนี้ทุกอย่างคงแย่ลงกว่าเดิม




   “น้องบุ๋นมีอะไรจะถามพี่ไหมคะ” รุ่นพี่ที่พูดยิงยาวมาเกือบยี่สิบนาทีถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นหากแต่คนฟังไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น




   “ไม่มีครับ” บุ๋นทำท่าจะลุกออกไปจากลานคณะที่มีคนมานั่งฟังเหมือนเขาเกือบสิบคน





   “เดี๋ยวน้องบุ๋น!” รุ่นพี่เรียกเขาไว้อีกครั้ง “อย่าลืมบอกการแสดงกับพี่ภายในวันศุกร์นี้นะ”





   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะยกมือไหว้ด้วยความเคารพแล้วขอตัวออกมา





   มีหลายคนที่ลงประกวดก็จริงแต่เหมือนรุ่นพี่จะต้องการเขามากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ที่เอาใบสมัครมาให้ถึงหน้าห้องเรียน เรียกไปพูดเรื่องการประกวดบ่อยๆ รวมถึงพูดชื่อของเขาบ่อยมากกว่าเพื่อนที่ประกวดด้วยกัน




   เฮ้อ…




   ยังไม่ทันที่จะเดินออกมาจากคณะเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะซื้อของกลับเข้าไปกินที่ห้อง วันนี้เลิกเรียนตั้งแต่บ่ายโมงเลยทำให้เขาพอมีเวลาทำอาหารกินเอง ถึงแม้ว่าปกติจะชอบซื้อทานมากกว่าก็ตาม ไหนๆเขาก็เรียนอยู่คณะเกษตร อุดหนุนคณะตัวเองก็ไม่แปลก




   บุ๋นเดินเข้ามาในร้านเล็กๆที่เปิดอยู่ในคณะของตัวเอง ภายในร้านเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์จากคณะเกษตร แยมทาขนมปัง นมเกษตร รวมไปถึงผักปลอดสารพิษ เขากวาดตามองไปทั่วร้านอย่างกับหาจุดสนใจไม่ได้ในเมื่อของในร้านดูน่าซื้อไปหมดทุกอย่าง จนสายตาของเขาหยุดลงที่แครอท




   แครอทที่ไม่ได้ใหญ่เท่าที่หมอเคยซื้อ…มันคือเบบี้แครอท




   พอเห็นแครอทเขาก็นึกถึงหน้าของหมอขึ้นมาทันที ไม่รอให้ความคิดแล่นไปมากกว่านี้ บุ๋นหยิบเบบี้แครอทที่ใส่ถุงไว้อย่างดีขึ้นมาก่อนจะหันไปเลือกของอีกสองสามอย่างเพื่อกลับไปทำกับข้าวกินกับสองและสามที่หอ




   จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา



.


   แลปสามชั่วโมงในตอนบ่ายไม่สามารถดึงสมาธิของคนที่สวมเสื้อกราวด์ให้อยู่ได้โดยไม่ง่วง ฐานทัพเดินออกจากห้องมาเพื่อล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวก่อนที่จะกลับเข้าไปเผชิญแลปที่แสนง่วงอีกครั้ง ความจริงเขาก็ดื่มกาแฟตั้งแต่เช้าแล้ว สงสัยคาเฟอีนในร่างกายยังไม่พอ




   ระหว่างทางที่กำลังเดินไปห้องน้ำสายตาของเขาก็หยุดลงที่ร่างของคนคุ้นตาเดินตรงมาที่จักรยานของเขาอย่างไม่ลังเลพร้อมกับถุงพลาสติกที่มีของอะไรบางอย่างอยู่ในถุง บุ๋นแขวนถุงไว้ที่แฮนจักรยานก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วฉีกสมุดหน้ากลางออกมาพร้อมกับเขียนข้อความยุกยิกอยู่พักหนึ่งแล้วม้วนสอดเข้าไปในถุง




   ทุกการกระทำถูกจับจ้องด้วยสายตาของเจ้าของจักรยานที่ไม่เข้าใจว่าบุ๋นกำลังทำอะไรอยู่ ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มดูมีความสุขหลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุ๋นหมุนตัวทำท่าว่าจะเดินกลับแต่ดันหันมาอีกรอบทำให้คนที่กำลังมองเพลินๆถึงกับต้องรีบหมุนตัวไปซ่อนหลังเสาต้นใหญ่



   ทันใช่ไหม




   ฐานทัพนึกในใจก่อนจะค่อยๆยื่นหน้าไปดูอีกครั้งแต่กลับไม่พบร่างของคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่อีกแล้ว เขาถอนหายใจช้าๆก่อนจะมองถุงที่แขวนอยู่ที่จักรยาน ใจก็อยากจะเดินลงไปดูว่ามันคืออะไรแต่เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น ฐานทัพมองถุงตรงหน้าอีกพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าห้อง




   โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครอีกคนจ้องมองเขาอยู่…




   บุ๋นค่อยๆยื่นหน้าออกมาจากบันไดชั้นสองที่เขารีบวิ่งขึ้นมาหลังจากที่เห็นเงาแว๊บๆมองเขาตอนที่อยู่ข้างล่าง ทันทีที่รู้ว่าเป็นหมอฐานทัพใจก็อยากจะเดินเข้าไปทักเหมือนทุกทีแต่เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ควรทำแบบนั้น ท่าทางของหมอดูเหมือนตั้งใจจะไม่ให้เขาเห็น




   งั้น…เขาแอบดูอยู่ตรงนี้ก็ได้




   ถ้ามันจะทำให้หมอสบายใจมากกว่า





   ฐานทัพกลับเข้ามาในห้องแลปอีกครั้งก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับปกป้องและคินที่มีสภาพไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ เห็นทีวันนี้เขาต้องหลับเป็นตายเหมือนวันก่อนๆอีกแน่ๆ




   เวลาในการเรียนผ่านไปช้าๆราวกับหนึ่งปีจนเข็มยาวชี้เลขสิบสอง เสียงถอนหายใจจากคุณหมอหลายๆคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงของอาจารย์ที่บอกให้เก็บอุปกรณ์แล้วกลับได้ ฐานทัพจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่ทำหน้าตาเหมือนต้องการกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ




   “พรุ่งนี้เจอกัน” คำพูดลาที่มักพูดกันทุกวันหลังเรียนเสร็จ ฐานทัพโบกมือลาเพื่อนอีกสองคนก่อนจะตรงไปที่รถจักรยานของตัวเองที่จอดอยู่พร้อมกับถุงที่ยังไม่หายไปไหน




   วันนี้ขาดูก้าวยาวผิดปกติ เขาเดินมาถึงที่รถพร้อมกับดึงกระดาษที่สอดอยู่ออกมากางดูข้อความที่เขียนสั้นๆแต่ใช้กระดาษได้สิ้นเปลืองพื้นที่ เนื้อความเขียนว่า…
   



   ‘เห็นแครอทแล้วนึกถึงพี่ผมเลยซื้อมาฝาก ลองทานดูนะครับ




   แต่นี่ไม่ใช่แครอทนะ…เรียกว่า เบบี้แครอท’




   ตัวหนังสือที่ค่อนข้างอ่านยากลงท้ายชื่อที่คุณหมอคุ้นเคย ฐานทัพม้วนกระดาษเก็บไว้อย่างเดิมก่อนจะเปิดดูถุงที่ใส่เบบี้แครอทสีสวยไว้ข้างในจนคนที่เห็นแอบยิ้มในใจ ถ้าเรียงลำดับผักผลไม้ที่ชอบทานมากที่สุดสิ่งแรกของฐานทัพก็คือแครอท ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบแต่เห็นทีไรก็อดใจซื้อกลับไปไว้ที่หอไม่ได้ทุกที





   เขาหยิบถุงที่แขวนไว้ใส่ตะกร้าหน้ารถก่อนจะปลดล็อกจักรยานเพื่อเตรียมตัวกลับหอพัก พอเห็นจักรยานก็นึกขึ้นได้ถึงวันนั้นที่ตอนเช้ามาจักรยานก็มาจอดอยู่หน้าหอเขาทั้งๆที่เขาจอดทิ้งไว้ที่คณะ แต่ไม่ต้องสงสัยนานเขาก็พอจะเดาออกว่าใครเป็นคนเอามาจอดไว้ให้เขา





   มีคนเดียวที่รู้รหัส





   ฐานทัพปั่นจักรยานกลับมาที่หอพักในเวลาเกือบห้าโมงเย็น เป็นวันที่เรียกว่าเลิกไวที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาจอดจักรยานโดยไม่ลืมที่จะหยิบถุงแครอทที่อีกคนซื้อให้ติดมือขึ้นไปด้วย





   ขอบคุณสำหรับแครอท   


.



   สนามบาสของมหาลัยมีผู้คนพลุกพล่านผิดปกติ คนที่ถูกโทรเรียกจากเพื่อนจอดจักรยานไว้ข้างสนามก่อนจะเดินไปหาเจ้าตัวที่นั่งยิ้มดีใจที่เห็นเพื่อนตัวเองยอมมาตามคำคะยั้นคะยอของเขา




   “อะไรวะสอง” บุ๋นที่โดนเรียกออกมากลางคันทำหน้างงๆ ความจริงมีอะไรด่วนก็กลับไปคุยกันที่หอก็ได้ไม่เห็นต้องเรียกมาถึงที่นี่




   รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้




   “นึกว่าจะไม่มาแล้วครับพ่อว่าที่เดือนคณะ” คนที่ติดนิสัยกวนๆลุกขึ้นเดินมากอดคอบุ๋นไว้ “มาแล้วมึง” สองพูดพร้อมกับหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้า





   ไอ้หนึ่ง ไอ้สาม





   อะไรของพวกมันวะ…





   ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรใครอีกคนก็เดินมาตบบ่าบุ๋นหนักๆก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยคำพูดสบายๆที่ทำให้อีกคนถึงกับเงียบไปชั่วขณะ





   “ไงบุ๋น ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”





   “พี่ต้า” บุ๋นเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างไม่เต็มเสียง ความทรงจำเก่าๆที่เขาเคยพยายามลบออกไปเริ่มกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง





   ทั้งๆที่ไม่อยากจะให้ความทรงจำพวกนั้นกลับมาอีก





   “กูขอตัว” บุ๋นแกะมือสองออกแล้วทำท่าจะเดินออกมาโดยไม่รักษามารยาท ทำให้เพื่อนอีกสองคนที่เห็นท่าว่าจะไม่ดีต้องรีบวิ่งเข้ามาขวาง





   “ไอ้สี่…ใจเย็นดิวะ” สามพูดก่อนจะเหลือบไปมองพี่ต้าที่ยังคงหันมายิ้มให้เพื่อนของเขา





   “พากูมาเจอมันทำไม” บุ๋นกดเสียงลงต่ำ พยายามข่มอารมณ์ที่พลุ้งพล่านอยู่ข้างใน “กูถามว่าพากูมาเจอมันทำไม!!!”





   “ใจเย็นดิมึง” หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น เขารู้ดีว่าระหว่างไอ้สี่กับพี่ต้ามีเรื่องที่ไม่ดีต่อกันมานานและมันทำให้เพื่อนของเขาไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่รักต่อ





   เพราะไม่อยากให้จมอยู่กับอดีตเลยต้องให้มันมาเผชิญหน้า





   “เย็นยังไงวะ พวกมึงก็รู้ว่ากูเกลียดหน้ามัน” เขาไม่เคยโมโหอะไรเท่าวันนี้มาก่อน วันที่เพื่อนทุกคนรู้ทุกอย่างแต่ยังดันให้เขามาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ





   “ก็เพราะรู้ว่ามึงเกลียดกูเลยพามึงมาเจอไง” สองที่เดินตามมาพูดขึ้นบ้าง “มึงไม่อยากกลับไปแก้ไขอดีตหรอวะ”





   “หึ…กูกลับไปแก้ไขอะไรได้วะ” บุ๋นรู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อและเขาไม่ชอบตัวเองทุกครั้งที่เป็นแบบนี้





   “ฟังกูนะไอ้สี่…” สองถอนหายใจก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่เขาต้องการบอก “มึงวิ่งหนีมากี่ปีแล้ววะ มึงไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับมันบ้างหรอ”




   “ไม่…” บุ๋นพูดพร้อมก้มลงมองขาตัวเอง




   ขาที่กว่าจะกลับมาเดินได้ปกติ ขาที่เขาต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาตัวนานแรมปี ขาที่เขาเคยเดินวิ่งได้สะดวกสบายแต่กลับโดนมันทำให้ความฝันทุกอย่างของเขาจบลง





   “มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก” เขาพูดอย่างคนยอมแพ้





   บุ๋นไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆแต่กับเรื่องนี้เขายอมที่จะเป็นฝ่ายถอยออกมาเพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับคนๆนี้อยู่ดี ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่เคยทำอะไรให้มันก่อน




   ไม่เคยเลย





   “เชื่อในพวกกูสักครั้ง มึงลองวิ่งชนปัญหาครั้งนี้ได้ไหมวะ เหมือนครั้งก่อนๆที่มึงเคยทำ” สองพูดออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลายภายในใจ




   ไม่อยากให้ไอ้สี่ต้องทิ้งความฝันของตัวเองเพียงเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น





   “จะให้กูทำยังไงวะ”




   “สมัครเป็นตัวแทนบาสมหาวิทยาลัย”





   “…!!!” คำพูดของสองทำเอาคนที่ถามออกไปเงียบลงทันทีที่เพื่อนพูดจบ บุ๋นถอนหายใจออกมาหนักๆก่อนจะส่ายหน้าแทนคำปฏิเสธ




   เขาไม่กล้า





   “กูแค่อยากให้มึงหลุดจากเหตุการณ์ในวันนั้น” สองพูดต่อ “ยังไม่ต้องให้คำตอบพวกกูตอนนี้ก็ได้ แค่อยากให้มึงกลับไปคิด”




   “อืม” บุ๋นพยักหน้ารับคำแม้ว่าในใจลึกๆจะไม่คิดลงสมัคร





   “พรุ่งนี้สมัครวันสุดท้าย”





   “…”




   “กูหวังว่ามึงจะทำ…เพื่อตัวมึงเอง”





   เขาปั่นจักรยานออกมาจากสนามบาสหลังจากที่คุยกับเพื่อนอีกสามคนเสร็จ บุ๋นขอตัวกลับมาที่หอก่อนส่วนอีกสามคนยังคงอยู่ที่สนาบาสดูคนอื่นๆเล่นบาสเพื่อรอเวลานัดช่วงเย็นที่ทั้งสี่คนว่างตรงกันเพื่อไปหาร้านนั่งกินแถวมหาลัย ในตอนนี้หัวสมองของเขาขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปทั้งๆที่ในใจเขาก็ยังคงต่อต้านอยู่ลึกๆ





   แต่เพราะความกลัว…





   กึก!




   จักรยานของเขาหยุดลงเมื่อเห็นใครบางคนกำลังเดินสวนกับจักรยานของเขา ถ้าเป็นเหมือนทุกครั้งบุ๋นเองก็คงจะกระตือรือร้นแล้วรีบวกจักรยานกลับไปหา แต่ในครั้งนี้เขาทำเพียงแค่หันไปมองดูอีกคนเดินออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ จนคนๆนั้นหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมามองเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมองเขาอยู่




   “มีอะไร” ฐานทัพเป็นฝ่ายเริ่มถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูสีหน้าไม่ดี เขาแค่จะเดินออกไปซื้อของไม่ไกลจากที่ยืนอยู่ คุยสักพักก็คงไม่เป็นไร





   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้าแล้วพยายามยิ้มให้อีกฝ่ายดู เขาค่อยๆถอยจักรยานเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตะโกนคุยกับหมอ “พี่จะไปไหน…ผมไปส่งไหม”





   “เป็นอะไร” ฐานทัพไม่ได้สนใจคำถามของคนตรงหน้า เขารู้สึกแค่ว่าวันนี้รอยยิ้มที่เห็นนั้นเปลี่ยนไป มันเหมือนเป็นการฝืนยิ้มทั้งๆที่ในใจมีเรื่องบางอย่างอยู่




   ซึ่งถ้าคนตรงหน้าไม่เล่าเขาก็คงไม่ถามต่อเพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเปล่าๆ





   “ผม…”




   “โกหก” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เตรียมตัวจะเดินออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่อยากจะเล่า ฐานทัพเองไม่ใช่คนที่อยากรู้อะไรต้องรู้ให้ได้ขนาดนั้น





   ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อม เขาก็ไม่ถามต่อ





   “พี่ครับ” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยเรียกอีกคนให้หยุดเดิน “พี่ว่างไหม”





   “…”





   “อยู่กับผมก่อนได้รึเปล่า”





   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง สีหน้าของคนตรงหน้าบ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี




   บุ๋นจอดจักรยานลงข้างๆริมฟุตบาทก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ไม่ไกลจากที่จอดจักรยาน ร่างของหมอฐานทัพนั่งลงเงียบๆเพื่อรอฟังสิ่งที่คนข้างตัวกำลังจะเอ่ยออกมา





   “เมื่อก่อน…ผมชอบเล่นกีฬามากๆ” บุ๋นเหม่อมองออกไปไกลสุดสายตาราวกับกำลังหวนนึกถึงอดีตที่ข่มขื่น “กีฬาที่ผมชอบเล่นที่สุดคือบาสเกตบอล”





   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆแล้วหันไปมองแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด





   “ผมเล่นเก่งมาก เก่งชนิดที่อาจารย์ขอให้ผมเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกีฬาระดับภาค มันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่เป็นนักกีฬาของโรงเรียนว่าสักวันผมต้องได้ไปแข่งระดับภาคให้ได้ เพราะมันไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ถ้าเกิดฝีมือดีก็อาจจะได้เป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ” บุ๋นหัวเราะเบาๆ “แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด…”






   เสียงของเขาขาดห้วงทำให้คนที่กำลังฟังอยู่เงียบๆหันไปมองคนข้างๆอีกครั้ง ในแววตาคู่นั้นมีความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ซ่อนอยู่ ทั้งเศร้า เสียใจ และ ความเกลียด ฐานทัพกำลังจะบอกให้บุ๋นหยุดเล่าแค่ตรงนี้แต่ยังไม่ทันที่จะพูดขัดเสียงของบุ๋นก็เล่าต่อ





   “ผมมีรุ่นพี่ที่เคารพอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อพี่ต้า พี่ต้าเป็นหัวหน้าทีมของโรงเรียน เป็นคนที่เก่งที่สุดในทีมก็ว่าได้ ในตอนนั้นผมเคยฝันว่าอยากจะเล่นบาสเก่งให้ได้ครึ่งของพี่ต้า แล้ววันนั้นก็มาถึง ผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งระดับภาคโดยที่ผมเป็นเด็กมอสี่คนเดียว นอกนั้นเป็นรุ่นพี่ของผมทั้งหมด ผมได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงและพี่ต้าโดนเปลี่ยนไปเป็นตัวสำรองเพียงเพราะช่วงนั้นพี่เขาไม่ได้มาซ้อมเพราะมีปัญหากับแฟนบ่อย ครูเลยลงโทษพี่เขาโดยการเปลี่ยนผมที่เป็นตัวสำรองขึ้นมาเป็นตัวจริงและให้พี่เขาเป็นตัวสำรองแทน”






   “แล้วทำไมไม่เปลี่ยนกับคนอื่น”





   “ผมก็ไม่รู้ แต่ครูบอกว่าอยากจะให้ผมเป็นตัวจริงแทนพี่ต้า”





   “แล้วเขาไม่โกรธ?”





   “โกรธสิครับ โกรธมากด้วย” บุ๋นหันมายิ้มบางๆให้ฐานทัพ เป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นจากคนๆนี้ “วันนั้นเป็นวันก่อนไปแข่งสองวัน ผมนัดกับพวกเพื่อนๆไปเล่นเกมส์ที่ร้านเกมส์เหมือนปกติทุกวัน แต่ผมไปช้ากว่าเพราะผมติดซ้อมที่โรงเรียน กว่าจะเลิกก็เกือบหนึ่งทุ่ม...ผมเดินไปตามทางที่เคยไปทุกวันเหมือนปกติ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดไว้” บุ๋นพูดพร้อมกับก้มหน้าลงพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง




   ทั้งๆที่เขาพยายามจะลืม…





   “ถ้าไม่ไหว ก็หยุดก่อน”





   “ผมไหวครับ ถ้าพี่อยากจะฟังต่อ” บุ๋นหันมายิ้มให้อีกครั้ง “จู่ๆก็มีของแข็งฟาดลงที่ขาของผมอย่างแรง ในตอนนั้นตัวผมทรุดลงไปกับพื้น ผมร้องเสียงดังจนคิดว่าคนในละแวกนั้นต้องได้ยิน แต่ทางที่ผมเดินมันเป็นซอยลัดที่ไปถึงร้านเกมส์ได้ใกล้กว่า คนเลยไม่ค่อยพลุกพล่าน ผมถูกรุมกระทืบโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทั้งๆที่ผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร ที่แปลกก็คือพวกมันดันสนใจขาทั้งสองข้างของผมเป็นพิเศษ…ไม้หน้าสามตีลงมาที่ขาผมอย่างไม่ยั้งจนผมรู้สึกเหมือนกระดูกของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเสียงๆหนึ่งก็สั่งให้คนพวกนั้นหยุด…ผมหันไปมองตามต้นเสียงนั้น พี่รู้ไหมว่าใคร”





   “…”





   “พี่ต้า” บุ๋นพูดน้ำเสียงสั่น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “ผมโทรไปหาเพื่อนอีกสามคนหลังจากที่พวกมันไปกันแล้ว ขาผมหักต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ส่วนพี่ต้าได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งเพราะผมได้รับบาดเจ็บเลยต้องขอสละสิทธิ”





   “อืม…” ฐานทัพไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในเมื่อสิ่งที่เขาได้ฟังมาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของคนที่มีใจรักในสิ่งหนึ่งมากๆ





   “ผมจะไม่โกรธถ้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมทำตัวเอง…แต่ที่ผมโกรธเพราะผมทำอะไรไม่ได้ ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน” พูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะในสายตาหลายๆคนพี่ต้าคือเทวดาใจดี ส่วนเขามันก็แค่เด็กคนหนึ่งที่พาลว่าพี่ต้าเป็นคนทำร้าย “ความจริงผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าพวกเพื่อนมันไม่โทรเรียกผมให้ไปเจอพี่ต้าวันนี้”





   “ไปเจอทำไม”





   “พวกมันอยากให้ผมแก้ปมในอดีต อยากให้ลงสมัครคัดเลือกบาสมหาลัย”





   “สมัครสิ”





   “ครับ?” บุ๋นเลิกคิ้วขึ้นเมื่อหมอตอบกลับมาทันที “พี่บอกผมว่าให้สมัครหรอ”





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “จะยอมทิ้งสิ่งที่รักเพราะคนๆเดียวงั้นหรอ”





   “ผมกลัว…กลัวว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”





   “อย่าพึ่งคิดไปก่อน” เขาหันมาสบตาคนข้างๆ “ถ้ายังเอาชนะตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีวันชนะคนอื่น”





   “ผมรู้”





   “เชื่อว่าทำได้” ฐานทัพหันมาพูดด้วยความรู้สึกที่คิดอย่างนั้นจริงๆ เหมือนที่อีกคนเคยเชื่อมั่นในตัวเขา “ต้องทำได้”





   “ขอบคุณนะครับ” บุ๋นหันมายิ้มให้คนข้างๆ “ขอบคุณที่เชื่อ”





   ขอบคุณที่เชื่อทั้งๆที่ตัวเขาเองยังไม่เคยเชื่อ…





   “เหมือนที่เชื่อ” ในตัวของเขา ฐานทัพเลือกที่จะเก็บคำหลังไว้เหลือเพียงแค่ความคิด เขารู้สึกเหมือนคนข้างๆเริ่มรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนแรก “กำลังจะไปไหน”






   “ไปไหน?” บุ๋นทวนคำถามอย่างไม่เข้าใจ






   “เมื่อกี้” ตอนที่ขับสวนกัน





   “อ่อ…” บุ๋นยิ้มออกมาบางๆ “ไม่รู้ครับ…ไม่รู้ว่าจะไปไหน”





   “…”





   “รู้ตัวเองอีกทีก็ปั่นมาแถวนี้แล้ว” คำตอบที่ไม่ได้กุเรื่องขึ้นมา ตอนแรกตั้งใจจะกลับไปที่หอก่อนที่จะออกไปอีกครั้ง แต่รู้ตัวอีกทีจักรยานก็ดันขับมาคนละทางกับหอพัก





   “อ่อ” ฐานทัพรับคำสั้นๆ “สบายใจขึ้นรึยัง”






   “ครับ” บุ๋นตอบกลับมาทันที คำถามของหมอฐานทัพอาจจะเป็นเพียงคำถามธรรมดาทั่วไป แต่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยในคำถามนั้น “พี่จะไปไหน ให้ผมไปส่งไหม”




   “ไม่เป็นไร”





   “แต่ผม…”






   “ครั้งนี้ห้ามปฏิเสธ” ฐานทัพรีบพูดดัก หลายครั้งแล้วที่เขาโดนเด็กปีหนึ่งคนนี้พูดคำๆนี้ใส่ ถึงเวลาที่เขาต้องพูดกลับบ้าง “กลับไปพักผ่อน”






   “ครับ…ขอบคุณมากนะครับที่รับฟังผม”





   “ไม่เป็นไร”





--------------------------------------
50%
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ  :hao5:
เค้าขอโทษน้าาาาาา กลับมาอัพเดทแล้วค่าา
ฝากติดตามกันด้วยน้าาาาา คอมเม้นกันหน่อยยยย พลีสสสสสส
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:


ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ร้ายกาจมาก
จะร้องไห้สงสารน้องบุ๋นนฮืออออ

ออฟไลน์ Puufah

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วหงุดหงิดอ่ะ   คนถูกทำร้ายให้กลับไปแก้ปัญหาในอดีต บ้าป่าว  เพื่อนก็ปัญญาอ่อนคิดได้ไง

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เกลียดอิพี่ต้าาา!!!  :z6: :z6:

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   “จะไม่ให้ผมไปส่งจริงๆหรอ”




   “ไม่” ฐานทัพตอบกลับมาทันควันทำเอาคนที่มีความตั้งใจเต็มที่ถึงกับทำหน้าจ๋อย




   “ครับบบบ…ไม่ถามแล้ววว” บุ๋นยกมือยอมแพ้




   “เลิกทำหน้าแบบนี้” ฐานทัพลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป เขาหันกลับมามองคนที่ยังคงทำหน้างงก่อนจะพูดต่อ “ทำหน้าแบบเดิมดีกว่า”





   แบบเดิม…





   บุ๋นหยุดคิดไปพักหนึ่ง ไม่ทันที่เขาจะถามอะไรต่อร่างของหมอฐานทัพก็เดินจากเขาไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งคำพูดให้เขาต้องมานั่งแปลความหมายในสิ่งที่หมอพูดออกมา





   ทำหน้าแบบเดิม…




   หรือว่าหมอจะหมายถึง…เวลาเขายิ้ม





   “ยิ้ม…” พอคิดได้รอยยิ้มของบุ๋นก็เผยออกมา สายตาของเขาทอดยาวไปยังทางที่คุณหมอเดินไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่หายไปจากใบหน้าได้รูป





   ต่อให้ต้องยิ้มจนตีนกาขึ้น…มันก็คุ้มสำหรับเขา





   เขานั่งอยู่ที่เดิมพักใหญ่ก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะดังพร้อมกับข้อความแจ้งเตือนของเพื่อนๆที่บอกว่าให้ไปเจอกันที่ร้านแถวมหาลัยในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า บุ๋นถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง ทั้งโล่งอก ทั้งสบายใจและกดดันไปในเวลาเดียวกัน





   ต้องทำได้สิ…ในเมื่อมีอีกหลายคนเชื่อมั่นในตัวเขาและหนึ่งในนั้นก็คือคนสำคัญ




   พี่จำไว้นะ ที่ผมกล้ากลับไปเล่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่เชื่อในตัวผม…



.

   ร้านแถวมหาลัยเต็มไปด้วยผู้คนแน่นเกือบทุกร้าน เป็นโซนกว้างที่ร้านต่างๆจะตั้งเรียงกันเป็นแถว อยากจะเดินไปสั่งร้านไหนกินก็ได้ กว่าทั้งสี่คนจะได้ที่นั่งก็รอคิวไปเกือบยี่สิบนาที ทันทีที่ได้นั่งเมนูที่วางอยู่ก็ถูกดึงจากทั้งสี่ทิศราวกับว่าใครหยิบก่อนกินฟรี





   “เอ่อ…เดี๋ยวไปเอาเมนูมาให้เพิ่มนะคะ” พนักงานที่เตรียมจะจดรายการถึงกับยิ้มนิดๆก่อนจะเดินไปหยิบเมนูเครื่องดื่มและอาหารออกมาให้ทั้งสี่คนเพิ่ม





   “รีบอะไรขนาดนั้นวะ” หนึ่งที่แย่งเมนูมาถือไว้ไม่ทันเป็นฝ่ายพูดก่อน ทำเหมือนตัวเองไม่ได้แย่งเมนูเมื่อครู่





   “แพ้อะดิเลยพาล” สองยิ้มชอบใจเมื่อเป็นฝ่ายชิงเมนูมาดูได้เป็นคนแรก




   “เปล่า กูไม่หิวอยู่แล้ว” หนึ่งแก้ตัวน้ำขุ่นๆก่อนจะเปิดเมนูที่พนักงานเอามาให้เพิ่มดูรายการอาหารและเครื่องดื่ม





   “ผมเอา…ชาเขียวกับราดหน้าครับ” บุ๋นสั่งคนแรกโดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดเมนูให้ยุ่งยาก ปกติเขาก็กินอะไรซ้ำๆเดิมๆแบบนี้ประจำ





   “โห่ไอ้สี่ มึงมาถึงนี่ยังจะแดกราดหน้าอีกหรอวะ ไม่อินเตอร์เลย” สองอดแขวะเพื่อนไม่ได้ “ผมเอาส้มตำปูปลาร้าครับ”





   ครับ…เมนูมึงอินเตอร์มาก





   “ผมเอาโกโก้เย็นกับข้าวผัดก็ได้ครับ” สามที่เลือกอยู่นานหันไปบอกบ้าง





   “งั้นเอาเหมือนกันครับ” หนึ่งที่คิดเมนูไม่ออกหันไปเลือกเมนูตามสามเหมือนทุกๆครั้งที่ขี้เกียจคิดจนทำเอาคนที่สั่งก่อนหันมามอง





   “ลอกกูอีกแล้ว” สามพูดทีเล่นทีจริง “นี่ถ้ากูมีแฟนมึงจะเอาแฟนคนเดียวกับกูอีกไหม”





   “ไม่ว่ะ กูไม่อยากมีแฟน” หนึ่งรีบปฏิเสธออกมาทันที “แค่เรียนกูก็หัวปั่นแล้ว มีแฟนอีกกูคงตายแน่ๆ” ว่าที่หมอหมาพูดออกมาพร้อมส่ายหัว





   “เอ้า มึงจะโสดหรอวะ” สองแซว





   “โสดไม่โสดไม่รู้ รู้แค่ตอนเรียนกูยังไม่อยากมี” หนึ่งพูดต่อ “เรียนก็หนักแล้ว จะเอาเวลาไหนไปดูแลวะถามจริง”





   “อืม นั่นสิ” บุ๋นที่นั่งเงียบไปนานพึมพำเบาๆ “คนที่เรียนสายนี้คิดแบบนี้กันหมดเลยหรอวะ”





   “ก็ไม่มั้ง แต่ส่วนมากก็คงคิดแบบนี้”





   “ช่างเถอะ มาพูดเรื่องเครียดทำไมวะ มาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ” สองที่เห็นสีหน้าของเพื่อนเริ่มซีเรียสเอ่ยขัดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ




   “คุยไร กูขอบ่นก่อนได้ปะ” คนที่มีเวลานอนน้อยสุดยกมือขึ้นนิดๆ “งานเยอะชิบหาย ไหนจะงานของปีหนึ่ง งานวิชาเรียนอีก” สามทึ้งผมตัวเองที่ปล่อยให้ยาวจนระต้นคออย่างหงุดหงิด




   “ของกูแทบไม่มีอะไรเลย แค่ต้องไปล่าลายเซ็นรุ่นพี่” สองพูดตาม “คณะกูไม่เคร่งมากว่ะ”




   “เหมือนกัน” หนึ่งพูดต่อ “ของกูก็รับน้องทั่วไป ไม่มีอะไรมาก คงเพราะแค่เรียนก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้วมั้ง”




   “แต่ของกูเคร่งว่ะ” บุ๋นที่นั่งฟังเพื่อนพูดถึงรับน้องถึงกับพูดขึ้นมาบ้าง “ตอนนี้ยังไม่ได้รุ่น ไหนจะต้องเข้าห้องเชียร์เกือบทุกเย็นอีก ขี้เกียจ”





   “นี่หรอวะเรื่องผ่อนคลาย” สองหันไปมองหน้าสามที่จุดประเด็น “หน้าไอ้สี่แทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว”





   “เออกูขอโทษ”





   “พวกมึงเลิกนอกเรื่องได้แล้ว เข้าประเด็นเลย” บุ๋นที่นั่งจับผิดพฤติกรรมของเพื่อนทั้งสามคนตั้งแต่แรกทนไม่ไหว ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าพวกนี้ต้องการจะพูดอะไรกับเขา





   เพียงแค่ไม่มีใครกล้าเริ่ม





   “รู้ได้ไงวะ” สามยอมรับคนแรกก่อนจะมองไปทางสองเหมือนให้เป็นฝ่ายเริ่มพูด “มึงเลย คนต้นคิด”





   “ทีงี้ละโยนให้กูเลยนะ” สองมองค้อนก่อนจะหันกลับมาทำสีหน้าจริงจัง “คือ…”




   “พูดมา” บุ๋นเร่ง





   “กูบังเอิญเจอพี่ต้าก่อนกลับหอ แล้วก็เลยนึกถึงมึง”




   สองพูดในสิ่งที่เขารู้สึกออกมา แม้จะเป็นการเสี่ยงที่สี่จะโกรธแต่เขาก็อยากจะลองเพื่อให้เพื่อนตัวเองได้กลับไปทำในสิ่งที่มันรัก ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าบุ๋นรักการเล่นกีฬามากแค่ไหน เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงเพราะใครที่ไม่หวังดี





   “กูไม่อยากให้มึงฝังใจกับเรื่องนี้ อยากให้มึงลองเผชิญหน้ากับปัญหา ถึงมันจะยากแต่มึงไม่ต้องกลัว” สองระบายยิ้มออกมาบางๆ “พวกกูอยู่ตรงนี้…มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก”





   “อืม…เห็นด้วยกับมันนะ” ภายใต้กรอบแว่นหนามีสายตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง “ตอนที่มึงเล่นบาส มึงเหมือนคนละคน”





   “อืม…” คนที่นั่งฟังตอบรับสั้นๆ





   เขารู้ รู้มาตลอด





   “ครั้งนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก เชื่อพวกกู” หนึ่งพูดด้วยแววตามุ่งมั่น ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเพื่อนเจออะไรมาบ้าง แต่จะให้เขาทำตัวเป็นศัตรูกับฝ่ายนั้นก็ดูจะโจ่งแจ้งไปนิดนึง





   ค่อยๆทำให้อีกฝ่ายตายใจน่าสะใจกว่า




   “อืม รู้แล้ว” บุ๋นถอนหายใจ ความจริงเขาก็คิดมาตลอดระหว่างทางที่มาร้าน แม้ใจจะไม่อยากกลับไปแต่อีกใจก็ยังบอกให้ลองอีกครั้ง




   ยิ่งคำพูดของคนๆนั้น…





   “กูจะพยายาม” คำพูดของบุ๋นทำเอาอีกสามคนตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง





   “ทำไมครั้งนี้มึงรับคำง่ายจังวะ” สองดูสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น




   “ไม่รู้ว่ะ” บุ๋นยิ้มออกมา “คงถึงเวลาที่กูต้องลองเผชิญกับมัน”





   เพื่อนทั้งสามคนหันไปแปะมืออย่างดีใจก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าบุ๋นกันคนละทีสองที พวกเขาไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้จะตอบตกลงง่ายขนาดนี้ ทั้งๆที่แต่ก่อนกว่าจะเชื่อสักอย่าพวกเขาต้องหาเหตุผลมาร้อยแปด





   “กูจะทำเต็มที่” บุ๋นหันไปมองเพื่อนก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง “กูไม่อยากทำให้คนที่เชื่อมั่นในตัวกูผิดหวัง”

.



   ร่างของคนที่ตื่นมาเรียนวิชาแรกตอนแปดโมงเดินออกมาจากห้องเลกเชอร์หลังจากที่อาจารย์สอนยาวไปสามชั่วโมง บุ๋นยกสมุดขึ้นมาปิดปากหาว ถ้าดูตารางดีๆไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่ต้องตื่นเช้า ทั้งๆที่คิดว่าอยู่มหาลัยแล้วจะไม่ต้องตื่นเช้า




   คิดผิด…





   “ไปหาไรกินไหมวะ กูหิว” บุ๋นหันไปมองเดชที่สภาพไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ คนที่ถูกเรียกชื่อพยักหน้าตอบรับก่อนจะหาวตามคนถาม




   “เออ เอาดิ” เป็นการตกลงที่ไม่ต้องมากความ ทั้งสองคนเดินตรงไปที่โรงอาหารกลางของมหาลัยอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าโรงอาหารคณะไม่น่าจะมีที่ว่างเหลือให้พวกเขาสองคน





   “บุ๋น เดช!” น้ำเสียงใสดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กๆของหญิงสาวที่ถือแฟ้มสีสดใสไว้ในมือกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขาสองคนอย่างรีบร้อน





   “มีอะไรรึเปล่า” เดชเป็นฝ่ายถาม นานๆทีสาวสวยในคณะจะเรียกชื่อก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา





   “จะไปโรงอาหารกลางกันใช่ไหม” เธอถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ





   “อืม ใช่”




   “เราไปด้วยได้ไหม” น้ำฟ้าเว้นช่วงไปนิดก่อนจะพูดต่อ “พอดีเรามีเรียนต่อแต่เพื่อนไม่มีเรียนเลยกลับกันไปหมดแล้ว”





   “อืม ได้ดิ” เดชเป็นฝ่ายตอบเมื่อเห็นว่าบุ๋นไม่ได้คัดค้านอะไร




   “ขอบคุณนะ” รอยยิ้มหวานหันไปยิ้มให้เดชก่อนจะหันไปยิ้มให้บุ๋น





   “อืม ไปเถอะหิวแล้ว” บุ๋นตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินนำไปโดยปล่อยให้น้ำฟ้ากับเดชเดินคุยไปเรื่อยๆถึงแม้เจ้าตัวจะต้องหันไปตอบคำถามน้ำฟ้าบางครั้งก็ตาม





   โรงอาหารกลางไม่แตกต่างจากโรงอาหารคณะมากนัก อาจเพราะเป็นเวลาเลิกคลาสของหลายๆวิชาเลยทำให้คนแน่นเต็มโรงอาหาร บุ๋นกวาดสายตาเพื่อหาโต๊ะว่างสำหรับนั่งกินข้าว ถึงจะเห็นโต๊ะว่างหลายโต๊ะแต่พอมองดูดีๆก็ล้วนแต่มีของวางจองทั้งนั้น





   “กูนึกว่าแจกข้าวฟรี คนเยอะชิบ” เดชบ่นตามประสาคนใจร้อน





   “มึงไปซื้อก่อนไป เดี๋ยวกูหาโต๊ะให้” บุ๋นหันไปบอกเดชกับน้ำฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหลัง





   “เดี๋ยวเราไปหาโต๊ะกับบุ๋นก็ได้ เดชไปซื้อข้าวก่อนเลย” น้ำฟ้าหันไปบอกพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักที่ทำเอาคนที่ถูกเรียกชื่อถึงกับพยักหน้าด้วยความเขินอาย





   ปกติก็ไม่ได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มผู้หญิงมากขนาดนี้ แต่รอยยิ้มของน้ำฟ้ามันเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้เดชอดเขินไม่ได้





   “โอเค จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า”





   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปซื้อเอง” บุ๋นไม่ได้หันไปตอบเพราะสายตาของเขากำลังกวาดตาหาที่นั่งอยู่





   ไม่ไกลจากจุดที่บุ๋นยืนอยู่มีสายตาของคนๆหนึ่งที่เงยหน้าขึ้นไปเห็นพอดี ฐานทัพมองภาพตรงหน้าผ่านกรอบแว่นที่ใส่อยู่ ร่างของคนที่เขาเคยเจออยู่บ่อยๆกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักข้างตัวที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน





   ช่างเถอะ






   “ใช่ปะไอ้ฐาน”






   “…”





   “ไอ้ฐาน!!” คินที่เรียกชื่อเพื่อนเพื่อต้องการคนสนับสนุนกับเรื่องที่ตัวเองพูด “ไอ้หมอ” ถึงกับเรียกเพื่อนซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ตอบ






   ฐานทัพเหม่อมองภาพตรงหน้าอยู่นานจนถูกดึงความสนใจกลับไปเมื่อคินที่นั่งอยู่มองตามฐานทัพด้วยความอยากรู้ว่าเขาเหม่ออะไร





   “เด็กนั่นหน้าคุ้นๆว่ะ”




   “…”





   “มึงรู้จักปะไอ้ฐาน” คินถามเพื่อนที่ยังคงมองภาพตรงหน้าอยู่




   “กินข้าว” ฐานทัพละสายตาก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่อาหารตรงหน้าที่กินไปได้ไม่กี่คำ





   “เหมือนเขาไม่มีที่นั่งว่ะ ชวนเขามานั่งไหม”




   “ไม่ต้อ…”





   “เฮ้ยน้อง มานั่งด้วยกันดิ!!!” ไม่ทันที่ฐานทัพจะพูดจบคินก็หันไปโบกไม้โบกมือเรียกคนที่ยังคงหาที่นั่ง





   ทันทีที่บุ๋นเห็นว่าคนที่เรียกเป็นใครและคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นใครขาทั้งสองข้างก็รีบก้าวไปหาโดยอัตโนมัติ เขายิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าจะได้นั่งกินข้าวกับหมอฐานทัพอีกครั้ง





   ฐานทัพถอนหายใจยาวๆเมื่อร่างของบุ๋นมาหยุดยืนตรงหน้า ความจริงเขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเพราะก็เห็นอยู่ว่าในโรงอาหารแทบจะไม่มีที่นั่งเหลือ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขารู้สึกไม่อยากร่วมโต๊ะด้วย





   “สวัสดีครับพี่” น้ำเสียงร่าเริงของบุ๋นเอ่ยทักฐานทัพเหมือนทุกๆครั้งหากแต่ว่าครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่คนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมา






   “วางของไว้ก่อนดิ จะได้ไปซื้อข้าว” คินบอกพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้ชิดตัวฐานทัพเพื่อให้บุ๋นและน้ำฟ้านั่งได้





   “อ่อ ขอบคุณครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับวางของไว้บนเก้าอี้ข้างๆปกป้องที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรก่อนจะหันไปหาน้ำฟ้า “ไปซื้อเลยไหม”





   “อืม…ไปสิๆ” น้ำฟ้ายิ้มตอบก่อนจะเดินตามบุ๋นออกไป





   “น่ารักว่ะ” คินพูดหลังจากที่ร่างเล็กเดินออกไปแล้ว คุณหมอเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อนทั้งสองคน “มึงว่าไง”





   “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะตักข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งจานเข้าปาก





   “เฉยๆ” ปกป้องที่กินข้าวอยู่เงียบๆตอบออกมาเป็นประโยคแรก มือข้างหนึ่งตักข้าวเข้าปากส่วนอีกข้างเลื่อนดูความเป็นไปในโทรศัพท์มือถือ






   “อะไรวะ น้องเขาน่ารักจะตาย”   





   “รีบๆกินเถอะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” ปกป้องพูดขัดคนที่มัวแต่พูดก่อนจะหันไปมองฐานทัพที่เงียบตั้งแต่ที่บุ๋นเดินออกไป




   ไม่หรอก…ปกติก็เงียบแบบนี้อยู่แล้ว






   บุ๋นเดินกลับมาพร้อมกับเดชส่วนน้ำฟ้าบอกว่าจะเดินตามมาเนื่องจากร้านที่จะกินคนต่อแถวยาวเหยียด ทันทีที่มาถึงโต๊ะก็ประสบปัญหานั่งไม่พอเพราะขนาบทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผู้คน บุ๋นให้เพื่อนนั่งลงข้างๆปกป้องก่อนที่เขาจะหันไปถามคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ






   “พี่ครับ ผมไปนั่งข้างๆพี่ได้ไหม” ถ้าเขาไปนั่งเบียดกับฝั่งของหมอฐานทัพและพี่คิน น้ำฟ้าจะได้นั่งสบายกว่านั่งเบียดกันหมด





   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆก่อนจะขยับตัวเข้าไปชิดร่างของเพื่อนสนิทมากกว่าเดิม





   “ขอบคุณครับ” บุ๋นยิ้มให้คนตรงหน้าบางๆก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วนั่งลงข้างๆคุณหมอ ถึงแม้ว่าจะดูอึดอัดไปหน่อยแต่สำหรับเขามันคือการกินข้าวมื้ออร่อยที่สุด





   “วันนี้พี่เลิกเรียนกี่โมงหรอครับ” บุ๋นหันไปชวนคนข้างๆคุย




   “หก” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ





   “แล้วจะไปไหนต่อไหมครับ”





   “ไม่”





   “แล้ว…”





   “บุ๋น เรานั่งตรงนี้ใช่ไหม?” เสียงของน้ำฟ้าขัดคำถามที่บุ๋นกำลังจะถามต่อ เขาหันไปพยักหน้าให้คนที่ถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวก่อนจะหันไปมองคุณหมอที่ไม่พูดอะไรต่อ





   สงสัยวันนี้คงอารมณ์ไม่ดี





   “คนเยอะมากเลยวันนี้ กว่าเราจะได้รอนานมาก” น้ำฟ้าพูดตามประสาคนชอบชวนคุย






   “อืม ก็จริงนะ” ถึงจะไม่ได้เจาะจงว่าเขาต้องตอบแต่ในเมื่อสายตาของน้ำฟ้าจ้องมาที่เขาบุ๋นก็อดที่จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้




   “เอ้อ แล้วบุ๋นคิดการแสดงออกรึยัง”





   “การแสดงประกวดดาวเดือนหรอ”





   “ใช่ๆ”





   “ยัง ค่อยคิด”




   “เราคิดไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันดีรึเปล่า”





   “คงดีกว่าเรา” บุ๋นตอบเลี่ยงๆ เขารีบกินอาหารตรงหน้าให้หมดเมื่อเห็นว่าหมอกำลังจะกินข้าวเสร็จแล้ว





   ฐานทัพวางช้อนส้อมลงเมื่อจัดการอาหารตรงหน้าหมดเกลี้ยง เขาหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่กินเสร็จพร้อมๆกันก่อนจะพยักหน้าเหมือนบอกเป็นเชิงว่าให้ลุก




   “พี่จะไปแล้วหรอครับ” ยังไม่ทันที่จะก้าวขาน้ำเสียงของคนข้างๆก็ถามขึ้นทันที





   “อืม”





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกฐานทัพไว้อีกครั้งทำให้คนที่กำลังจะหันหลังเดินออกไปหันหน้ากลับมาอีกครั้งพร้อมเลิกคิ้วเชิงถามว่ามีอะไร “เหนื่อยหรอครับ”





   “นิดหน่อย” เขาตอบกลับไปแม้ว่าจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อยแต่ไม่ได้เหนื่อยขนาดที่ทนไม่ไหวหรือแสดงอาการอะไรมากมายขนาดนั้น




   “วันนี้พี่หน้าบึ้งกว่าทุกวันนะ” บุ๋นทำหน้าเลียนแบบคนตรงหน้า “หน้าแบบเดิมดีกว่านะ” บุ๋นพูดพร้อมรอยยิ้ม




   “อืม” ฐานทัพตอบสั้นๆ “รู้แล้ว”




   “สู้ๆนะครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลิกเรียนแล้ว!” บุ๋นพูดพร้อมกับชูกำปั้นเป็นการบอกว่าสู้




   “อืม” ไม่กี่ชั่วโมงอะไรล่ะ เขาต้องเรียนอีกตั้งห้าชั่วโมง “ไปละ”




   “พี่ครับ” น้ำเสียงที่เบาจนแทบจะเรียกว่ากระซิบเอ่ยขึ้น “ยิ้มก่อน”





   ฐานทัพขมวดคิ้วใส่คนตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนแต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะเล่นด้วยแน่ๆ บุ๋นเห็นสีหน้าของหมอที่แปลกไปกว่าทุกวันเขา ถึงหมอฐานทัพจะชอบทำหน้านิ่งๆแต่วันนี้มันนิ่งเกินไป นิ่งกว่าทุกวันที่เคยเจอกัน





   “เย็นนี้ผมไปหานะ” บุ๋นพูดดักไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “ผมเลิกเรียนหกโมงพอดี เลกเชอร์ที่พี่จดให้ผมงงอยู่นิดนึง ว่าจะถามแล้วลืมถาม”





   “อืม แล้วแต่” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปหาปกป้องกับคินที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่นั่ง






   บุ๋นมองตามร่างของหมอฐานทัพที่เดินออกไปก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อยๆหายไปตามร่างที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าวันนี้หมอแปลกไป





   “วันนี้มึงเลิกบ่ายสามไม่ใช่หรอวะ” เดชที่แอบอ่านปากเพื่อนถามออกมาอย่างต้องการคำตอบ





   “เออ ช่างเถอะ” รออีกสามชั่วโมงจะเป็นอะไรไป




   ไม่ได้งงเลกเชอร์ตามที่บอก…แค่หาข้ออ้างในการเจอ




   แค่เป็นห่วง







------------------------
100% แล้วจ้าาาาาา
ไหนใครติดตามอยู่บ้างง ขอเสียงหน่อยยยยยยยย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ xxSunShinexx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไมยิ่งอ่านยิ่งอยากให้สี่เป็นรับ ถถถถ
มีความละมุน~ แหน่ะๆ พี่หมอแอบหึงด้วยคิดอะไรกะน้องแล้วล่ะสิ
 :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
พี่หมอเริ่มมีอาการล่ะ :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ ก๊าบก๊าบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่หมออออออ ฮั่นแน่ คิดอะไรกับน้องสี่แน่ๆเลยยยมีหงมีหึงงง กิ๊วๆๆ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เรื่องนี้น่ารักมากๆ เลยคับ ให้ความรู้สึกละมุน เรื่อยๆ แต่ไม่น่าเบื่อ เป็นกำลังใจให้คนเขียน เขียนจนจบนะคับ อยากอ่านตอนต่อไปแล้วสิ..

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จะจีบติดเมื่อไรน้อเอาใจช่วยนะบุ๋นนนน

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่แปด


   เวลาหกโมงเย็นของหลายๆคนคงจะเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปเดินเที่ยวตลาดหน้ามหาลัยไม่ก็นอนกลิ้งอยู่บนเตียงเล่นๆเพื่อรอพระอาทิตย์ตกดิน หากแต่ว่ากลับมีอีกกลุ่มที่ใช้เวลาพวกนี้อย่างมีค่า ในห้องปฏิบัติการคณะแพทย์เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีที่สามสวมเสื้อกราวด์กำลังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่กำลังจะสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า




   ฐานทัพถอดแว่นตาของตัวเองออกก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างลงเพื่อพักผ่อนสายตาที่จดจ้องอยู่กับจอโปรเจคเตอร์และเนื้อหาที่เรียนในห้องปฏิบัติการ เสื้อกราวด์ถูกถอดออกพร้อมกับเสียงจากสวรรค์ที่บอกเลิกคลาสหลังจากที่เลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมง เขามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงครึ่งก่อนจะหันไปมองนาฬิกาผาผนังที่บอกเวลาต่างกันไม่กี่นาที





   คงกลับไปแล้ว





   “ไปไหนต่อปะมึง” คินถามขณะที่กำลังเดินออกจากห้อง





   “หาไรกิน” เขาตอบกลับสั้นๆก่อนจะหันไปถามเพื่อนอีกคนที่เดินมา “มึงไปไหน”





   “ไม่รู้ว่ะ” ปกป้องที่ดูอ่อนล้าจากเนื้อหาที่เรียนตอบเสียงเบา “ไปหาไรกินแล้วค่อยแยกย้ายไหม”




   “ได้” ฐานทัพไม่ปฏิเสธ ไปผ่อนคลายกับทั้งสองคนบ้างก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่เปิดเทอมมาเขาก็แทบจะไม่ไปไหนเลิกเสร็จก็รีบกลับหอ





   ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี





   ทั้งสามลงลิฟท์จากชั้นสี่มาถึงชั้นหนึ่งก่อนจะตรงไปที่จอดรถข้างหลังตึกของคณะหากแต่ว่าคนที่เดินช้าสุดค่อยๆกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งที่บอกว่าจะมารอเขา ลานคณะข้างล่างไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหา มีเพียงเด็กปีหนึ่งที่นั่งทำบอร์ดรายชื่อตามคำสั่งของรุ่นพี่ปีสองอยู่เป็นกลุ่มใหญ่





   คงกลับไปแล้วจริงๆ





   “พี่ครับ!!!” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงวิ่งตรงมาทางคุณหมอที่หยุดยืนรอนิ่งๆก่อนจะหยุดลงหอบหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าปอด





   เกือบไม่ทัน…





   “พี่รอนานไหม ผมขอโทษ” เสียงหอบหายใจทำให้คนที่กำลังจะอ้าปากถามถึงกับเงียบลงเมื่อเห็นว่าในมือของเขาถือถุงอะไรบางอย่างอยู่ “ผมถูกพี่ที่คณะเรียกตัวไป ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่ยืนรออยู่ คินทำท่าชี้ไปทางที่จอดรถเป็นเชิงว่าจะไปรออยู่ตรงนั้น ฐานทัพพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับมาสนใจคนตรงหน้าต่อ




   “ผมซื้อแครอทมาฝาก มันดูอวบอ้วนดี ผมว่าน่าจะอร่อยนะ” ถุงแครอทถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เผยให้เห็นลักยิ้มบางๆ




   “อวบอ้วน?” ฐานทัพทวนคำพูดอย่างไม่เข้าใจ




   “แครอทไง”




   “ขอบคุณ” เขารับถุงมาถือไว้ แม้จะอยากปฏิเสธแต่เมื่อเห็นความตั้งใจก็ไม่อยากจะทำให้เสียน้ำใจ “ไม่เข้าใจตรงไหน”




   “ครับ?” ดูเหมือนคนที่คิดข้ออ้างจะลืมไปสนิทว่าพูดอะไรไว้ บุ๋นทำหน้าไม่เข้าใจจนคนที่ถามถึงกับขมวดคิ้ว




   “เลกเชอร์ที่บอกตอนกลางวัน”




   “อ่ออออออออ” ถึงกับตอบรับเสียงดัง บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะตอบกลับ “ผมเข้าใจแล้ว”




   “ฮะ?” ฐานทัพทวนอย่างไม่เข้าใจ ตอนกลางวันพึ่งบอกเขาไปว่าไม่เข้าใจ ทำไมตอนนี้ถึงเข้าใจ “แล้วแต่”




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับเมื่อตอนกลางวัน” บุ๋นถามเรื่องที่ค้างคาใจออกมาทันที แววตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงคนตรงหน้าอย่างปิดไม่มิด




   หมอไม่เคยเย็นชาแบบนี้มาก่อน





   ถึงจะเย็นชาอยู่แล้วก็เถอะ…




   คนถูกถามเงียบไป แววตาคมมองคนตรงหน้าตรงๆก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง เขาไม่มีคำตอบให้บุ๋นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร




   “ไม่มีอะไร”




   “มีสิ” คนเป็นห่วงตอบกลับทันที “แววตาพี่มันบอกว่ามี”




   “หรอ” ไม่คิดว่าคนๆนี้จะสังเกตเขามากขนาดนี้ “ถ้ามี…คิดว่าเป็นอะไร” ฐานทัพโยนคำถามกลับมาที่คนถามอีกครั้ง




   “ผมไม่รู้” บุ๋นส่ายหน้า “รู้แค่ว่าพี่แปลกไป”




   “อืม” เขาพยักหน้าช้าๆ “ไม่มีอะไร”




   “แน่นะ” บุ๋นย้ำถามเพื่อความแน่ใจ แม้ว่าลึกๆเขาจะรู้สึกว่าหมอเป็นแต่ในเมื่อหมอบอกว่าไม่ เขาก็จะเชื่อแบบนั้น





   “อืม”




   “งั้นยิ้มหน่อย ทำหน้าเครียดบ่อยๆตีนกาจะขึ้นนะครับ” บุ๋นยิ้มให้คนตรงหน้าพร้อมทำหน้าตาประหลาดให้คนที่มองเขาอยู่หัวเราะออกมา




   “เพี้ยน” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆแต่กลับมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจนคนที่แลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ถึงกับยิ้มกว้างอีกครั้ง




   แบบนี้สิ…คุณหมอฐานทัพคนเดิม




   “ทำหน้าแบบนี้ดีกว่าเมื่อตอนกลางวันเยอะเลยครับ” บุ๋นมองใบหน้าที่ดูผ่อนคลายลงกว่าตอนกลางวันมากพร้อมรอยยิ้ม




   ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร…แต่ตอนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็พอแล้ว




   “รู้แล้ว”




   “ถ้าแครอทหมดก็บอกผมนะ เดี๋ยวจะซื้อมาให้พี่อีก”   




   “พอ” ฐานทัพยกมือห้าม “เกรงใจ”




   “เกรงใจก็มาติวหนังสือให้ผมสิครับ แลกกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น บุ๋นกระพริบตาปริบๆเชิงอ้อนวอนแต่ใช้ไม่ได้ผลกับฐานทัพ




   “ไม่” เขาเว้นช่วง “ไม่มีเวลา”





   “ใจร้าย”




   “แน่นอน” ไม่ปฏิเสธ “ไปล่ะ”




   “อย่าเป็นแบบนั้นอีกนะครับ” บุ๋นตะโกนไล่ตามหลังคนที่กำลังจะก้าวเดิน “ผม…”




   ฐานทัพหยุดรอฟังคำที่บุ๋นกำลังจะเอ่ยออกมา ถึงอยากจะเดินไปที่รถแต่ขาก็บังคับให้หยุดรอฟังสิ่งที่คนข้างหลังจะพูดให้จบ




   ไม่เข้าใจ




   “ผม…ผม…” พอจะพูดคำที่คิดปากมันก็สั่น บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะ “ผม…ไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนั้นอีก”




   โถ่เว้ย!!!




   เขานึกหงุดหงิดในใจ แค่คำๆเดียวยังพูดออกไปไม่ได้ทั้งๆที่หมอรอฟังอยู่แท้ๆ บุ๋นยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะได้ยินเสียงของฐานทัพตอบกลับ




   “ถ้าไม่เข้าใจก็มาถาม…ถ้าช่วยได้จะช่วย” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปไม่รอฟังคำขอบคุณจากปากของคนที่กำลังเป็นบ้า





   “ขอบคุณครับ!!!” บุ๋นป้องปากตะโกนออกไปก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง




   ถึงปากจะบอกว่ายุ่งแต่จริงๆแล้วหมอก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะไม่สนใจเลย…อย่างน้อยเขาก็พร้อมจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้




   พี่ครับ…รู้ไหมเราใกล้กันมากกว่าเดิม





   “ผมห่วง ห่วงพี่ เข้าใจไหมมมมม!!!!” บุ๋นพูดกับตัวเอง อยากจะตบปากสักสิบรอบ ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้ทั้งๆที่มีโอกาส




   แค่คำว่าห่วง ทำไมมันยากจังวะ!!!

.


   ‘ห่วง’
   


   คำสุดท้ายที่ดังแว่วเข้ามาในหูติดอยู่ในความคิดเขาจนถึงตอนนี้ พยายามสลัดออกไปเท่าไหร่คำๆนี้ก็เวียนกลับเข้ามาทุกครั้ง ฐานทัพถอนหายใจรอบที่สามตั้งแต่เดินไปสั่งอาหารจนถึงตอนนี้





   เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้หูแว่วและพอจะเดาได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร




   บุ๋น




   ชื่อแรกที่แล่นเข้ามาในหัวโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาจำชื่อของคนๆนี้ได้แม่น ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องรู้จักกับคนๆนี้





   แปลก





   “คิดอะไรอยู่วะ” ปกป้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้นหลังจากสังเกตมาพักหนึ่ง





   “เปล่า” ฐานทัพไล่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวทิ้งไปก่อนจะหันไปหาคินที่ฟุบโต๊ะอยู่ “ถ้าไม่ไหวก็ขอห่อกลับ”





   “กูไหว” คินค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ “ปวดหัวนิดหน่อยว่ะ”





   “รีบกิน กลับไปจะได้กินยา” ปกป้องพูดพร้อมดันจานข้าวของคินที่ยังกินไปไม่ถึงครึ่งไปตรงหน้า “กิน”




   “เออ รู้แล้วน่า” คินทำท่ารำคาญกับความจู้จี้ของเพื่อนแต่ก็ยอมกินตามที่ปกป้องบอก กลับไปกินยาแล้วจะได้นอนยาวเลย





   “ฝนใกล้จะตกแล้ว มึงจะกลับก่อนรึเปล่า” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่จอดจักรยานไว้ในมหาลัย




   “ไม่เป็นไร” เขาบอกปัด “กลับพร้อมกัน”




   “จะซื้ออะไรกลับไปที่หอไหม”





   “คงไม่” กินแค่นี้ก็อิ่มแล้ว กลับไปเขาก็คงอาบน้ำแล้วนอนเลย




   ฟ้าฝนทำท่าจะตกเหมือนที่ปกป้องพูดจริงๆ ฐานทัพเริ่มเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าพร้อมกับคินที่กินใกล้จะเสร็จแล้ว เขาไม่คิดว่าวันนี้ฝนจะตกเลยไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนกับร่มติดออกมา





   คงต้องรีบปั่นกลับหอ




   “เสร็จแล้ว ไปเถอะ” คินเอ่ยเสียงเนือย เขารู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมา “ให้พวกกูขับไปส่งมึงก่อนไหม” ถึงจะปวดหัวมากแต่เห็นฝนทำท่าจะตกก็อดห่วงเพื่อนไม่ได้ ระยะทางจากตรงนี้กลับหอพักไม่ได้ใกล้




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ “ห่วงตัวเองก่อน กูกลับได้”




   “เออ ขอบใจว่ะ” คินตบบ่าเพื่อนสนิท เขาเคยชวนฐานทัพออกมาอยู่หอข้างนอกด้วยกันแต่เพื่อนก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอจนเขาถอดใจที่จะชวน




   ยังไงมันก็ปฏิเสธอยู่ดี





   “ไว้เจอกัน” ปกป้องพูดพร้อมโบกมือลา “พรุ่งนี้”





   “อืม” ฐานทัพรับคำ “อย่าลืมให้มันกินยา”





   “เออรู้แล้วน่า” เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงหันมาทำคิ้วยุ่งใส่ก่อนจะเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์





   ฐานทัพรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมก่อนที่ฝนจะตกลงมา อยากจะตกก็ตกแต่ช่วยตกตอนที่เขากลับไปถึงหอแล้วเพราะในตัวเขาตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะใช้กันฝนได้เลย





   เสียงฟ้าร้องมาพร้อมฟ้าแลบ ฐานทัพเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปทั่วทั้งบริเวณ เขารีบเดินไปที่จักรยานตัวเองก่อนจะไขกุญแจแล้วรีบขึ้นคร่อมเพื่อปั่นกลับหอให้ไวที่สุด




   ครึมมม!!





   เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระลอกราวกับส่งสัญญาณเตือน ขาทั้งสองข้างปั่นจนแทบจะพันกันเมื่อจักรยานปั่นได้ไวสุดเท่านี้ สุดท้ายเขาก็ไม่ทันตามที่คิดไว้เมื่อเม็ดฝนค่อยๆลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องหาที่จอดหลบฝน





   ตึกเรียนรวมในตอนนี้เงียบสงัดไปทั่วบริเวณ อาจเพราะตอนนี้เวลาเกือบสองทุ่มแล้วเลยทำให้นักศึกษาทยอยออกจากตึกไปหมดเหลือเพียงแค่เขาที่ต้องจอดจักรยานเพื่อหลบฝน เอกสารการเรียนที่พึ่งได้มาวันนี้ฐานทัพคงไม่คิดจะเอาไปเสี่ยงกับการกลับหอแน่ๆ รวมๆแล้วก็หลายร้อยบาทถ้าจะถ่ายเอกสารใหม่หมด




   รอสักพักฝนคงหยุดตก




   นั่งได้ไม่นานเสียงคุยของคนกลุ่มใหญ่ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เขาค่อยๆหันไปมองต้นเสียงพร้อมกับสายตาที่จับจ้องคนๆหนึ่งได้อย่างอัตโนมัติ เขามองอยู่พักหนึ่งอย่างลืมตัวจนคนๆนั้นหันมาสบตากับเขา





   “อ้าว พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงดังขึ้นพร้อมกับขายาวๆที่ก้าวนำกลุ่มที่ยืนคุยออกมาหาคนที่นั่งอยู่




    ฐานทัพมองคนตรงหน้าที่การแต่งกายดูแปลกตาไปกว่าทุกวัน เสื้อกีฬาหลวมกว่าตัวเล็กน้อยกับกางเกงกีฬาเข้าชุดกับเสื้อและรองเท้าวิ่งสีดำเรียบหรู ใบหน้าที่มีเลือดฝาดบริเวณแก้มทั้งสองข้างพร้อมกับรอยยิ้มที่มีให้เขาทุกครั้งที่เจอ




   บุ๋น




   “ติดฝน” เขาตอบกลับไปสั้นๆพร้อมกับมองออกไปข้างนอกที่ดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกแถมยังตกหนักกว่าตอนแรก




   “อ่อ พี่ไม่มีเสื้อกันฝนหรือร่มหรอครับ”





   “ไม่มี”





   “งั้น…” บุ๋นหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อน” เขานั่งลงข้างๆเจ้าตัวโดยที่ไม่รอฟังคำตอบจากคุณหมอ





   “ไม่เป็นไร”





   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับหันไปมองกลุ่มเพื่อนนักบาสที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เป็นเชิงว่าให้กลับไปก่อน





   “ไม่ไปต่อด้วยกันหรอวะ” หนึ่งในนั้นถามขึ้น





   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูนั่งอยู่กับพี่ ไปกันเลย” บุ๋นโบกมือลาเพื่อนที่นัดกันว่าจะไปหาอะไรกินหน้ามหาลัยหลังเล่นบาสเสร็จ





   ทั้งๆที่เขาจะกลับไปตอนนี้ก็ได้เพราะเพื่อนขับรถยนต์…แต่เขาไม่กลับ




   เสียงฝนยังคงกระทบกับพื้นราวกับว่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ บุ๋นยืดขาเหยียดตรงหลังจากที่ไปเล่นบาสกับเพื่อนมาตั้งแต่ช่วงหกโมงกว่าๆ เขารู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ





   “ผมไปสมัครบาสมาแล้วนะครับ” เมื่อเห็นว่าคนข้างๆได้แต่นั่งเงียบเขาก็เลยเปิดประเด็นชวนคุย





   “อืม พอรู้” ฐานทัพเหยียดขาตาม “เป็นไง”





   “ก็ดีครับ แต่ไม่ได้เล่นนานก็เลยยังไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่”




   “ค่อยๆเล่นไป”




   “ครับ ผมคงจะไปซ้อมทุกๆวัน” บุ๋นยิ้ม “เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก พอกลับมาเล่นอีกครั้งผมรู้สึกโกรธตัวเองลึกๆที่ทิ้งมันไป”




   “อืม รู้ก็ดีแล้ว” ฐานทัพไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรในเมื่อคำๆนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา





   “แล้วพี่มานั่งรออยู่ตรงนี้นานรึยังครับ”




   “ไม่นาน”




   “อยากกลับหอแล้วใช่ไหมครับ” บุ๋นดูท่าทางคนข้างๆออก หมอฐานทัพมองออกไปข้างนอกตลอดเวลาราวกับว่าอยากจะออกไปจากที่ตรงนี้





   “อืม” เขารับคำสั้นๆ




   “เดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้ว ไม่นานหรอก” พูดไปแบบนั้นแม้ว่าตัวเขาเองก็พอจะรู้ว่าอีกสักพักใหญ่ๆกว่าฝนจะหยุดตก





   ฐานทัพอาจจะอยากให้ฝนหยุดตกไวๆแต่สำหรับเขาแล้ว…เขาอยากให้ฝนตกนานๆ




   ครั้งนี้เป็นความบังเอิญที่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเจอหมอจริงๆ บุ๋นไม่คิดว่าเขาจะได้มาเจอหมอฐานทัพที่นี่ในเวลาแบบนี้ทั้งๆที่เขาคิดว่าหมอน่าจะกลับไปที่หอพักแล้วแท้ๆ





   พรมลิขิตช่วยผมหรอครับ…ขอบคุณนะ




   “พี่ครับ…” เขาค่อยๆหันไปหาคนข้างๆที่เงียบไปสักพัก ภาพตรงหน้าตอบทุกคำถามที่อยู่ในหัว




   ร่างของคุณหมอที่เอาหัวพิงกับเสาข้างตัวด้วยท่าทางสบายๆ ตาทั้งสองข้างหลับสนิทมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆที่ทำให้รับรู้ว่าคนข้างๆยังอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏขึ้นกับผู้ที่ได้มองเห็นอีกครั้ง บุ๋นค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ๆแม้จะกลัวหมอได้กลิ่นตัวก็ตามแต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นช่วงที่เขาจะได้พูด




   พูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด




   “ผม…ห่วงพี่นะ” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายเอ่ยออกมาให้กับคนที่อยู่ข้างๆได้ฟังชัดๆ แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆที่ไม่ได้เสียงดังแต่กลับเต็มไปด้วยทุกความรู้สึกของผู้พูด





   บุ๋นค่อยๆหลับตาลงช้าๆพร้อมกับเพลงที่แล่นเข้ามาในหัว



   
แล้วเธอก็เข้ามา เปลี่ยนหัวใจที่เคยอ่อนล้าให้มีหวัง




   ภาพวันแรกที่เจอกันยังคงติดอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ แววตาคู่นั้นที่มองมา สีหน้าและท่าทาง บุ๋นจำได้หมดทุกอย่างราวกับว่าพึ่งผ่านมาเมื่อวาน




   
ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน
   ให้เธอเป็นดังเจ้าหญิงในใจฉัน และจะมีเธอเท่านั้น



   ที่มีค่า สูงเกินกว่า จะหาคำมาอธิบาย







----------------------------
50%
สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมต้องแบ่งอัพขอบอกว่าเนื้อหามันยาวเกินกว่าตัวอักษรกำหนด เลยต้องแบ่งนะคะ T^T
เป็นยังไงกันบ้างง เริ่มตกหลุมรักบุ๋น หมอฐานทัพ ขึ้นมาบ้างรึยังคะ ?
อ่านแล้วยิ้มตามเหมือนคนเขียนรึเปล่า ^^
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จะพยายามอัพบ่อยๆจ้าา

ติดตามกันต่อได้ทางแฟนเพจ perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun
อยากพูดคุยเรื่องของหมออย่าลืมติดแฮชแท็ก
#ผมจีบหมอ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2016 13:08:49 โดย perlina »

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หลงรักทั้งคู่ซะแล้วสิ  :mew1:

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เค้าน่ารักกันจังเลยค่ะคุณณ :ling1:

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   เสียงฝนค่อยๆซาลงพร้อมกับคุณหมอที่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ตัวเองเผลอหลับไป ฝนที่ตอนแรกตกหนักในตอนนี้เหลือเพียงเม็ดฝนบางๆที่ใกล้จะหยุดตกเต็มที นาฬิกาข้อมือบอกเวลาใกล้จะสี่ทุ่ม เขาเผลอหลับไปเกือบสองชั่วโมง




   รู้สึกเหมือนงีบหลับไปแค่สิบห้านาที





   ฐานทัพเตรียมจะลุกขึ้นกลับหอแต่รู้สึกถึงอะไรหนักๆที่ซบพิงมาทางเขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่พิงอยู่ที่ไหล่เขากับดวงตาทั้งสองข้างที่หลับสนิท ในมือของเขาถือถุงพลาสติกไว้






   บุ๋น





   “ตื่น” เขาแตะขาคนข้างๆ “ฝนหยุดแล้ว”




   ไม่ใช่แค่เขาที่หลับแต่คนข้างๆก็หลับด้วย





   “ตื่น…ตื่นได้แล้ว” คุณหมอเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนข้างๆไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนข้างๆที่ปกติเขาไม่เรียกบ่อยนักหากแต่ว่าคนข้างๆกลับยังไม่รู้สึกตัว





   ฐานทัพยื่นมือไปแตะหน้าผากคนข้างตัวเบาๆ ไออุ่นจากบริเวณหน้าผากพอที่จะทำให้เขารู้ว่าคนข้างๆเริ่มที่จะไม่สบาย เป็นไปได้เพราะพึ่งเล่นกีฬามาเหนื่อยๆแล้วต้องมานั่งตากละอองฝนรออยู่กับเขา





   ทำไปทำไม ทั้งๆที่กลับไปก่อนก็ได้





   “ตื่น ตื่น” ฐานทัพเพิ่มเสียงเรียกให้ดังกว่าเดิม





   “ครับ…ครับ” เสียงเนือยๆตอบก่อนที่บุ๋นจะค่อยๆลืมตา “ผมหลับไปตอน…ขอโทษครับ!!!” พอเห็นว่าหัวของเขากำลังพิงไหล่หมออยู่บุ๋นก็เด้งตัวออกอัตโนมัติ





   ทำอะไรลงไป!!!





   “ประหลาด” ฐานทัพโล่งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้างๆไม่ได้เป็นอะไรมาก “ฝนเริ่มหยุดแล้ว”





   “อ่อ…” บุ๋นพูดพร้อมกับมองตาม “ผมเห็นพี่เหนื่อยก็เลยไม่กล้าปลุก”





   “คราวหลังปลุกได้”




   “คราวหลังแสดงว่าต้องมีอีกใช่ไหมครับ” บุ๋นพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ถึงจะรู้ว่าหมอไม่ได้คิดแบบที่พูดออกมาแต่เขาก็อดคิดไม่ได้




   “เพ้อเจ้อ” ฐานทัพส่ายหน้า “กลับได้แล้ว”




   “ผมให้” บุ๋นยื่นถุงพลาสติกที่ถือไว้ก่อนหน้านี้ให้คนตรงหน้า “พอดีมันเหลืออันสุดท้าย ก็เลยเลือกสีไม่ได้”





   “อะไร” ฐานทัพถามพร้อมกับรับมาถือไว้ “เสื้อกันฝน?” เขาเลิกคิ้วก่อนจะหยิบเสื้อกันฝนสีชมพูสดใสออกมาจากถุง





   “ผมว่าพี่ควรมีติดตัวไว้ เผื่อฉุกเฉินเหมือนวันนี้”





   “ไม่เป็นไร”




   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นตอบกลับประโยคของฐานทัพด้วยคำพูดเดิมๆ




   “ฝนหยุดแล้ว”




   “มันก็ยังตกอยู่ เดี๋ยวเอกสารพี่จะเปียกนะ”





   “ใส่สิ” ฐานทัพยื่นเสื้อกันฝนคืน “เอาไปใส่แล้วถือของด้วย”





   “ทำไมต้องเป็นผมล่ะ” บุ๋นชี้ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เขาตั้งใจจะซื้อมาให้ฐานทัพไม่ได้ซื้อมาให้ตัวเองใส่สักหน่อย





   “เดี๋ยวไปส่ง”





   “ครับ?” ดูเหมือนเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ฐานทัพจะสื่อ “ไปส่งผมหรอ”





   “อืม”





   “แต่ว่าผมปั่น…เอ้ย ใช่ ผมไม่ได้ปั่นจักรยานมานี่นา ว้า~ ลืมไปเลย” บุ๋นพูดรัวจนลิ้นแทบพันกัน โกหกว่าไม่ได้ปั่นจักรยานมาทั้งๆที่จักรยานของเขาจอดอยู่ที่สนามบาส




   ไม่เป็นไร…พรุ่งนี้ค่อยมาเอา





   “ใส่” ฐานทัพไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแกะถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มเสื้อกันฝนออกก่อนจะยื่นเสื้อกันฝนสีชมพูให้บุ๋น





   “ทำไมผมต้องใส่สีชมพูด้วยเนี่ย” บุ๋นดูมีท่าทีทำใจที่จะใส่ไม่ได้แต่ก็ยอมรับมาใส่ตามที่หมอฐานทัพบอก ทำยังไงได้ มันดันเหลือสีนี้สีเดียว




   ฐานทัพวางเอกสารไว้ข้างๆก่อนจะเดินนำออกมาไขกุญแจรถจักรยานที่จอดไว้ไม่ไกลจากที่นั่งพัก เขาปัดน้ำฝนออกจากเบาะนั่งก่อนจะปัดน้ำฝนที่เบาะคนซ้อน





   “ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสีชมพูก็วันนี้” เสียงบ่นดังขึ้นพร้อมกับมนุษย์เสื้อกันฝนสีชมพูสดใสที่ทำเอาคุณหมอที่กำลังทำหน้านิ่งๆถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ





   “เหมาะดี”





   “พี่ไม่ต้องมาหัวเราะผมเลยนะ…บอกว่าอย่าหัวเราะไงงงงง” บุ๋นลากเสียงยาวเมื่อเห็นว่าฐานทัพกำลังหัวเราะชุดที่เขาใส่อยู่





   ไม่ได้อยากใส่เลยโว้ยยยยยยยย!!!




   “ไม่ได้แย่” ฐานทัพพยายามไม่หันไปมอง บอกตรงๆเลยคือสีชมพูมันขัดกับบุคลิกของคนตรงหน้ามากจริงๆ เหมือนเด็กที่โดนแม่บังคับให้ใส่





   “ไม่ได้แย่แล้วพี่หัวเราะทำไม” ถึงจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นฐานทัพหัวเราะแต่เขาก็อดที่จะอายไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่พี่ผมไม่ยอมใส่หรอก” เขาพูดประโยคหลังเสียงเบาจนคนที่เตรียมขึ้นจักรยานหันมาถาม





   “หืม?”





   “เปล่าครับ…กลับกันเถอะ” บุ๋นรีบปฏิเสธก่อนจะกระชับเอกสารในมือที่กอดไว้ภายใต้เสื้อกันฝนให้แน่นกว่าเดิม





   อากาศเย็นๆในช่วงค่ำเวลาที่ฝนพึ่งหยุดตกเหมือนกับหน้าหนาวในเดือนธันวา ฐานทัพปั่นจักรยานช้าลงกว่าเดิมเพราะความเย็นของบรรยากาศรอบข้าง เขาไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวผิดกับอีกคนที่ชอบอากาศหนาวมากกว่าอากาศร้อน





   “พี่ครับ อาทิตย์หน้าผมมีประกวดดาวเดือนคณะ พี่ว่างไหม” บุ๋นถามทำลายความเงียบรอบข้าง “ผมอยากจะ…เอ่อ ชวนพี่”





   “คงไม่ว่าง” ฐานทัพตอบกลับมาแทบจะทันที





   “ไม่ว่างเลยหรอครับ แต่ประกวดช่วงเย็นนะ” คนถามถามออกไปอย่างมีความหวัง ถึงเขาจะไม่ได้สนใจในการประกวดแต่เขาก็อยากให้คนที่เป็นเสมือนกำลังใจมาดูเขาในวันประกวด





   “เรียนเต็ม”




   “แต่ว่า…”





   “เลี้ยวข้างหน้าใช่ไหม” ฐานทัพไม่รอฟังคำตอบ เขาเลี้ยวไปตามทางเหมือนครั้งแรกที่เคยมาส่ง




   “ครับ…ว่าแต่” บุ๋นเงียบไปพักหนึ่ง “พี่รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่หอตรงนี้”




   “ก็เคย…” ฐานทัพชะงัก เขาลืมไปว่าครั้งที่แล้วเจ้าตัวไม่รู้ว่าเป็นเขาที่มาส่ง “เพื่อนเคยอยู่แถวนี้”




   “อ่อ ครับ” บุ๋นไม่ได้นึกสงสัยอะไรต่อ ไม่แปลกที่หมอจะคิดว่าเขาอยู่หอในชายฝั่งนี้ในเมื่ออีกฝั่งเป็นหอของคณะแพทย์และคณะสายสุขภาพซะส่วนใหญ่





   รถจักรยานค่อยๆจอดลงหน้าหอพักชายพร้อมกับฝนที่หยุดตก บุ๋นลงจากรถจักรยานก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งดึงเสื้อออก เขาพลิกเสื้อฝั่งที่อยู่ด้านในออกก่อนจะวางลงในตะกร้าหน้ารถแล้วเอาเอกสารวางลงไปตาม




   “เผื่อระหว่างกลับฝนตก” บุ๋นบอกพร้อมรอยยิ้มโดยที่ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเขามีคนตรงหน้าจ้องอยู่ด้วยความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัว




   “ขอบคุณ” ฐานทัพเอ่ยออกมา จากที่ปกติเขาพูดคำๆนี้น้อยมากกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนแต่กับบุ๋นเขารู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาบ่อยและไม่ได้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อ





   ทุกครั้งที่เขาพูด…เขารู้สึกขอบคุณบุ๋นจริงๆ




   “ผมเต็มใจ” บุ๋นพูดออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี




   แค่นี้ยังน้อยไปสำหรับการทำอะไรเพื่อคนๆหนึ่ง





   “รอก่อน” ฐานทัพพูดดักไม่ให้บุ๋นเดินขึ้นหอทั้งๆที่คนตรงหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีรีบขึ้นหอ ในทางกลับกันบุ๋นอยากจะยืนอยู่ตรงนี้นานๆ




   ฐานทัพเปิดกระเป๋าของตัวเองก่อนจะเปิดซิปเล็กที่มีถุงยาสามัญติดตัวไว้อยู่ เขาหยิบออกมาอ่านอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเลือกแผงยาที่ยังไม่เคยแกะใช้ออกมาแล้วหันไปยื่นให้คนที่ยืนรออยู่





   “กินด้วย” เขาไม่รอให้คนตรงหน้ายิงคำถาม “เดี๋ยวจะไม่สบาย”





   “ให้ผมหรอ” บุ๋นยังคงความซื่อเสมอต้นเสมอปลาย ถึงจะรู้สึกปวดหัวหน่อยๆแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่เขาจะต้องกินยา





   แต่ถ้าหมอสั่ง…ก็กินครับ





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ตัวร้อน”




   “ตัวร้อน…” บุ๋นทวนคำก่อนจะทบทวนคำพูดอยู่พักหนึ่ง “พี่จับตัวผมหรอ!!!!!” คนตรงหน้าเอ่ยเสียงดังพร้อมกับทำตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง





   ไม่จริงใช่ไหม…ไม่จริง





   “อืม แปลกตรงไหน?” ฐานทัพดูไม่เข้าใจกับปฏิกิริยาตรงหน้าหรือว่าบุ๋นเป็นโรคผิวหนังเขาถึงจับตัวไม่ได้





   “ไม่แปลกครับ ไม่แปลกเลย” คนที่หัวใจหลุดลอยไปถึงดาวอังคารยิ้มแก้มปริ “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ” ถึงจะพยายามเก็บอาการแต่ยังไงตอนนี้ก็เก็บไม่อยู่





   “ไม่เป็นไร”





   “ผมจะรีบกินยาเลย”




   “กินข้าวก่อน” ฐานทัพเอ่ย “กินข้าวก่อนกินยา”





   “ผมไม่หิว ไม่มีอะไรกินด้วย”





   “ต้องกิน” ฐานทัพถอนหายใจ ทั้งๆที่แค่มาส่งก็จบแล้วแท้ๆ ทำไมเขาต้องทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมด้วย “ให้” ฐานทัพยื่นถุงขนมปังที่ซื้อไว้ในกระเป๋าเมื่อเช้าให้คนตรงหน้า





   “ให้ผมหรอครับ”




   “นับหนึ่ง”





   “เอาสิครับเอา” บุ๋นรีบรีบมาถือไว้แน่น “ผมจะกินขนมปังแล้วกินยาตามเลยครับ หลังจากนั้นก็จะเข้านอนแล้วตื่นมาด้วยความสดใสในพรุ่งนี้เช้า”





   “ดี” ฐานทัพพยักหน้า “กลับล่ะ”





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกคนที่กำลังจะขึ้นคร่อมจักรยาน “คืนนี้…ฝันดีนะครับ”





   “อืม” ฐานทัพมองหน้าคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่ปากจะเผลอเรียกชื่อออกไป “บุ๋น”





   “ครับ?”





   “ตั้งใจประกวด” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าว่าง…จะแวะไปดู”   




   “ผมจะรอนะครับ” บุ๋นตะโกนตามหลัง รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบ่งบอกความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี ร่างสูงยืนมองคนที่ปั่นจักรยานออกไปจนไกลลิบตาก่อนจะเดินขึ้นหอพัก




   วันนี้ถือเป็นวันพิเศษอีกวันสำหรับเขา




   “อ่าว ยังไม่นอนหรอวะ” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็เห็นสามนั่งวุ่นอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือกับกระดานวาดภาพแผ่นใหญ่




   “เออ ปั่นงานอยู่” สามตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าเพื่อน นิ้วมือเต็มไปด้วยผงดินสอ “มึงว่างปะ เหลาดินสอให้กูหน่อย” พูดพร้อมยื่นดินสอแท่งยาวที่ไม่หลงเหลือความแหลม





   “เอาวางไว้ กูกินยาก่อนแล้วเดี๋ยวเหลาให้” บุ๋นไม่ปฏิเสธ มือหนึ่งฉีกถุงขนมปังที่หมอให้มากินส่วนอีกมือดึงผ้าเช็ดตัวเตรียมไปอาบน้ำ “ว่าแต่ไอ้สองไปไหน”





   “มีนัดเลี้ยงสายมั้ง เห็นคืนนี้บอกว่าอาจจะกลับดึกไม่ก็ไม่กลับเลย”




   “อ่อ เออๆ”





   “แล้วมึงเป็นอะไร กินยาทำไม”





   “ไม่รู้ว่ะ” บุ๋นตอบตรงๆ “รู้แค่ต้องกิน”





   “อะไรของมึงวะ” สามปรายตามองก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ วันนี้ถ้าไม่เสร็จเขาตายแน่ๆ





   “เหลืออีกเยอะปะ” บุ๋นชะโงกหน้าดูงานที่เพื่อนกำลังนั่งวาดอย่างตั้งใจ ไอ้สามมันวาดรูปสวยเขารู้แต่ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้





   “เกินครึ่ง” คนที่ขอบตาเริ่มดำจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนจะอ้าปากหาว “กาแฟก็เอาไม่อยู่แล้วตอนนี้”




   “แล้วไมไม่ทำตั้งแต่เนิ่นๆวะ”




   “เรื่องมันยาว ขี้เกียจเล่า” สามตัดบท “รีบกินยาแล้วเอาดินสอกูไปเหลาด้วย”




   “เออครับ รู้แล้ว”




   ขนมปังที่ปกติก็ไม่ได้อร่อยมากมายแต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันอร่อยผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะคนให้หรือเพราะคนทำที่เปลี่ยนสูตร แต่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลแรกมากกว่า




   แผงยาที่ไม่เคยถูกแกะออกไปกินทำให้บุ๋นนึกสงสัยในใจว่าหมอให้เขามาทั้งแผงทำไม ทั้งๆที่ให้แค่เม็ดหรือสองเม็ดก็น่าจะพอหรือคิดว่าเขาขี้โรค…ก็ไม่น่าใช่




   จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันไม่สำคัญเท่ากับคนที่ให้สิ่งนี้กับเขามา




   คุณหมอฐานทัพ





   “อย่าทำให้กูรู้สึกกลัวไปมากกว่านี้เลย” เสียงของสามทำลายจินตนาการในหัวของคนที่กำลังมองแผงยาอยู่ บุ๋นค่อยๆหันไปมองก็พบว่าสามหันมาจ้องเขาอยู่





   “กลัวอะไร”




   “มึงไง คนบ้าอะไรยิ้มให้ยาวะ” สามมองบุ๋นด้วยความหวาดกลัว “หรือว่ามึงยิ้มให้กับสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่นะ ไม่…”





   “เพ้อเจ้อ” บุ๋นตอบกลับไปก่อนจะยิ้มออกมา





   เพ้อเจ้อ…





   พูดคำนี้แล้วคิดถึงใครบางคน…คนที่ชื่อว่า ฐานทัพ   



.

   ประตูห้องปิดลงพร้อมกับร่างของคุณหมอที่ทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจว่าสภาพตัวเองตอนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำ ฐานทัพวางของทุกอย่างไว้บนโต๊ะข้างประตู ความเหนื่อยล้าถาโถมจนเขาอยากจะนอนหลับไปโดยไม่ต้องอาบน้ำหากแต่ว่าความจริงเขาทำแบบนั้นไม่ได้





   ครืดดดดด!





   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นเรียกสติของคนที่กำลังจะจมลงสู่ห้วงนิทราให้ตื่นขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยไม่ดูว่าเจ้าของเบอร์คือใคร





   เหนื่อย





   “ครับ” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยพร้อมกับมืออีกข้างที่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาให้สบายตัวมากขึ้น




   ( กูโทรหามึงกี่สาย ทำไมไม่รับ )





   “ไม่ได้ยิน” ฐานทัพตอบกลับ เขาค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลงเมื่อรู้ว่าปลายสายคือเพื่อนสนิทของตัวเอง




   ( เลิกตั้งเป็นเสียงสั่น มึงจะได้รับโทรศัพท์ชาวบ้านเร็วๆ )




   “อืม ไว้จะทำ” เขาถอนหายใจ “มีอะไร”




   ( คินมันฝากบอกว่ามันโอเคขึ้นแล้ว )





   “อืม แค่นี้?”




   ( เออ ตอนแรกก็จะโทรมาถามว่าถึงหอรึยังด้วย )





   “ถึงแล้ว”




   ( รู้แล้ว คราวหลังก็ช่วยเปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย )




   “อืม”




   ( แค่นี้แหละ ไว้เจอกัน ) ปกป้องเตรียมจะกดวางสายหากแต่ว่าเสียงของฐานทัพเรียกให้เขาอยู่ฟังต่อ




   “อาทิตย์หน้ามีเรียนนอกตารางไหม” เสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ถามออกไปทำเอาคนที่อยู่ปลายสายถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง





   ( คิดว่าไม่มี ทำไมวะ จะไปไหน )




   “เปล่า” เขาปฏิเสธ “ไม่มีอะไร”




   ( เออๆ พรุ่งนี้เจอกัน )




   “อืม” เขาตอบกลับก่อนที่ปลายสายจะตัดไป ฐานทัพปล่อยโทรศัพท์ลงบนเตียงพร้อมกับความง่วงที่เริ่มคลืบลานเข้ามา




   วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกว่าการรอฝนหยุดไม่ได้น่าเบื่อเหมือนทุกๆครั้งอาจเพราะเขาไม่ได้ติดฝนอยู่คนเดียว

.

   
   สวนเกษตรที่ถูกเซ็ทเป็นที่สำหรับการถ่ายรูปโปรโมทดาวเดือนของคณะเกษตรเต็มไปด้วยผู้คนยี่สิบกว่าชีวิตที่ยืนอยู่คนละจุดเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่และความเรียบร้อยของผู้เข้าประกวดทั้งสิบคน เสื้อผ้าของผู้เข้าประกวดถูกออกแบบมาจากรุ่นพี่ปีสองที่ดูสนุกกว่าคนที่ได้ใส่จริง เสื้อสีกรมแขนยาวกับผ้าขาวม้าที่มัดคาดเอวของฝ่ายชายให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่างจังหวัด หมวกปีกกว้างที่สานทอมาอย่างดีถูกนำมาสวมใส่ให้เข้ากับเสื้อผ้า ฝ่ายหญิงเป็นเสื้อลายสก๊อตกับกางเกงยีนส์ดูดีขัดกับฝ่ายชาย





   “เสื้อนี่ใส่แล้วผมต้องคืนปะครับ” บุ๋นที่ดูจะมีความสุขในการแต่งตัวหันไปถามรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น




   “คืนสิจ้ะ น้องบุ๋นจะเอาไปใส่ต่อที่ไหนหรอลูก” รุ่นพี่ตอบกลับด้วยความเอ็นดู ถ้าได้รู้จักบุ๋นดีๆแล้วเขาเป็นเด็กที่น่ารัก เคารพรุ่นพี่และมีสัมมาคาราวะ





   “ผมว่ามันใส่สบายดี” บุ๋นมองเสื้อผ้าของตัวเองที่สวมใส่อยู่ก่อนจะหยิบหมวกปีกกว้างขึ้นมาใส่





   “พี่นึกว่าน้องบุ๋นจะไม่ชอบซะอีก” พี่ที่เป็นคนคิดรูปแบบเสื้อผ้าถึงกับยิ้มแก้มปริ “ปีนี้คณะเราไม่เน้นหล่อ เราเน้นความเป็นเด็กเกษตร”





   “ดีครับ ผมชอบ” บุ๋นยิ้มกว้าง “จะให้ผมถ่ายตอนไหนบอกได้เลยนะครับ”





   “จ้า รออีกสักพักนะ” หลังจากที่จัดแจงเสื้อผ้าของบุ๋นเสร็จรุ่นพี่ก็เดินไปจัดการเสื้อผ้าของผู้ประกวดคนอื่นๆต่อ




   อากาศร้อนชิบ…บุ๋นคิดพร้อมยกมือขึ้นมาพัดอย่างคนขี้ร้อน แป้งที่ทาอยู่บนหน้าคงหายไปพร้อมกับเหงื่อของเขา บุ๋นเป็นคนเหงื่อออกง่ายและขี้ร้อนมาก




   “พัดไหม” น้ำเสียงเล็กๆถามขึ้นพร้อมกับพัดลมจิ๋วที่เปิดอยู่ “เราเตรียมมาเผื่อ”




   “อ่าวน้ำฟ้า” บุ๋นหันไปตามเสียงก่อนจะมองคนที่ยืนอยู่ด้วยสายตาอึ้งปนทึ่ง




   ปกติน้ำฟ้าเป็นคนสวยอยู่แล้วแต่วันนี้อาจเพราะแต่งหน้าทำผมเลยทำให้เสน่ห์ของน้ำฟ้าพุ่งทะลุปรอดขึ้นอีกจนเขาเองไม่อาจละสายตามองไปทางอื่น ถ้าย้อนกลับไปสักสามปีเขามั่นใจเลยว่าเขาจะจีบผู้หญิงคนนี้แน่ๆ




   “ตกลงเอาไหม” น้ำฟ้าถามอีกครั้งเมื่อเห็นคนตรงหน้าเงียบไป




   “อ่อ…ไม่เป็นไร น้ำฟ้าใช้เถอะ” บุ๋นยิ้ม “เดี๋ยวเครื่องสำอางหายหมด ของเราเดี๋ยวเติมแป้งก็โอเคแล้ว”




   “ก็ได้จ้ะ” น้ำฟ้าดึงมือกลับก่อนจะมองคนที่นั่งอยู่ด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากบุ๋น เสื้อผ้าที่น้อยคนจะใส่แล้วดูมีราศีจับแต่บุ๋นคือหนึ่งในนั้นที่ใส่แล้วดูดี “ขอเรานั่งด้วยได้ไหม ยังไม่ถึงคิวถ่ายเลย”





   “อ่อ…อืม ได้ๆ” บุ๋นพยักหน้าก่อนจะขยับเก้าอี้ของตัวเองห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อให้อีกคนเข้ามาอยู่ในร่มไม่โดนแดดจากข้างนอก




   “ขอบคุณนะ” น้ำฟ้ายิ้มให้กับความเป็นสุภาพบุรุตของคนข้างๆ จะมีสักกี่คนที่เห็นมุมนี้ของบุ๋น เธอรู้สึกดีใจที่เธอเป็นหนึ่งในนั้น “บุ๋นใจดีจัง”





   “ใจดียังไง” บุ๋นยิ้ม “แบบไหนที่เรียกว่าใจดีหรอ”





   “ก็แบบที่บุ๋นทำอยู่นี่ไง”





   “ไม่หรอก เราก็ทำกับทุกคน” เขาตอบกลับอย่างไม่คิดอะไรหากแต่ว่าทำให้อีกฝ่ายชะงักไปพักหนึ่ง




   “งั้นหรอ” น้ำฟ้ายิ้มเจื่อน “ถ้าใครได้เป็นบุ๋นแฟนคงโชคดีมากแน่ๆเลย”




   “คิดแบบนั้นหรอ” บุ๋นหันมายิ้ม “ทำไมล่ะ?”





   “เพราะบุ๋นใจดี” น้ำฟ้าหันไปตอบพร้อมจ้องมองตาคนข้างๆที่หันมาสบตากับเธอพอดี ความรู้สึกที่มีต่อบุ๋นเริ่มชัดเจนขึ้นทุกวัน




   “อืม…” บุ๋นเป็นฝ่ายหลบตาหันไปอีกทาง “เราก็หวังให้เป็นแบบนั้น”




   “…”





   “หวังว่าเขาจะดีใจที่มีแฟนเป็นเรา”





   “อะ...อื้ม นั่นสิเนอะ” น้ำฟ้าตอบกลับ แม้เธอจะไม่รู้ว่าคนที่บุ๋นพูดถึงคือใครแต่อย่างหนึ่งที่เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนคือ





   คนๆนั้นไม่ใช่เธอ





   “น้องบุ๋นมาเลยจ้า” เสียงร่าเริงของรุ่นพี่ที่เป็นฝ่ายจัดคิวถ่ายภาพเรียกบุ๋น “มาหาพี่เร็วหนุ่มน้อยยยยยยยยย”





   “ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” บุ๋นตะโกนกลับไปก่อนจะหันไปหาน้ำฟ้า “ขอตัวนะ”





   “อืม จ้ะ”





   ร่างสูงของบุ๋นรีบวิ่งออกไปตรงจุดที่ตั้งกล้องอยู่ ในสายตาของรุ่นพี่หลายๆคนบุ๋นถือเป็นตัวเต็งในการประกวดดาวเดือนของคณะเพราะมีความโดดเด่นกว่าผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ




   “แอ็กท่าไหนก็ได้ตามสบายเลยลูก หล่อทุกท่า”




   “ได้ครับ” บุ๋นยืนเตรียมตัวจะเข้าไปยังจุดที่ถูกทำเป็นสัญลักษณ์ไว้




   “ว่าแต่น้องบุ๋นจะแสดงอะไรวันประกวดจ้ะ พี่อยากรู้จังเลย”




   “บอกไม่ได้ครับ” เขายิ้ม “เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น”




   “โถ่น้องบุ๋น แอบกระซิบเจ้หน่อย”




   “ไม่ได้ครับ ยังไงก็บอกไม่ได้”




   “…”





   “เพราะคนที่มาดูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”




--------------------------
100% มาแล้วจ้าาาาาาาาาาาา
เป็นยังไงกันบ้างงงง  :hao6: :hao7: :hao6: :hao7: :hao6: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด