8
“อืม....ตรงนั้นแหละ”
“ตรงนี้ใช่มั้ยครับ”ผมถามย้ำเขาอีกครั้งก่อนจะออกแรงกดอีกหน่อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ฉันจะจ่ายค่านอกเวลาให้”
“ตกลงครับ ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธ”
ฟรานซิสอยู่ในท่านอนคว่ำสบายๆ ส่วนผมก็นั่งคุกเข่าคร่อมตัวเขาก่อนจะใช้ฝ่ามือกดช่วงเอวชนิดที่ลงแรงแทบทั้งตัว อย่าเพิ่งเขาใจผิดว่าผมทำอะไรไม่ดี ตอนนี้ผมแค่กำลังนวดให้เขาก็เท่านั่น เขาบอกว่ารู้สึกล้าเพราะทั้งวันต้องนั่งประชุมยาวทั้งเช้าและบ่าย เขาเลยขอให้ผมช่วยนวดให้
ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะนอนโป๊อล่างฉ่าง เพราะตอนนี้เขาจัดการสวมใส่เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นผมคงคร่อมเขาไม่สนิทใจ
“ถ้าอยากจะนวดทำไมไม่จ้างหมอนวดดีๆ มา หรือให้เลขาของคุณที่ดูเหมือนจะเก่งทุกงานช่วยล่ะ”ผมเผลอกระแนะกระแหนเขา ถ้าเขาเห็นหน้าผมตอนนี้คงได้เข้าใจผิด แต่ดีที่เขาคว่ำหน้าอยู่
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวสุ่มสี่สุ่มห้า”
อ้าว! แล้วสิ่งที่ผมกำลังทำล่ะ?
“’งั้นผมพอแค่นี้”ได้ยินเขาพูดแบบนั้นมือผมถึงกับชะงักเตรียมจะผละออกจากหน้าที่กะทันหัน แต่จู่ๆ คนที่นอนนิ่งคว่ำหน้าก็พลิกตัวมาแล้วคว้าผมทุ่มลงนอนกับเตียงแล้วขังผมไว้ภายใต้วงแขน บทบาทของเราสลับกันอย่างรวดเร็ว ผมอ้าปากเหวอตามองค้าง คนเบื้องหน้ากลับจ้องผมเขม้น
“คุณจะทำอะไร คงไม่ได้จะนวดให้ผมหรอกนะ”ผมพูดติดตลกแต่สถานการณ์มันกลับไม่ใช่
“นายเป็นอะไร?”คำถามที่จู่โจมไม่รู้ว่าผมควรเอาประเด็นไหนมาตอบ มันกว้างเท่ามหาสมุทร แต่ท่าทางฟรานซิสจะเอาจริง ดวงตาของเขามองผมทำเอาผมแทบไหม้ ที่รู้ๆ มันร้อนไปถึงหูแล้ว
“คุณหมายถึงอะไรผมไม่รู้ แต่ตอนนี้คุณควรจะออกไปจากตัวผมก่อนแล้วค่อยพูดกัน”ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีแรงเท่าคนตรงหน้าแค่น้ำหนักฟรานซิสก็กินขาด แต่ผมก็พยายามใช้ฝ่ามือดันแผงอกนั่นออกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ฉันรู้ว่านายรู้ จะตอบฉันมาหรือจะให้ฉันคิดไปเองกับท่าทางและการระทำของนาย....ธัน”ฟรานซิสเอ่ยชื่อผมเสียงดุ
“ผมไปทำอะไรตอนไหนให้คุณไม่พอใจ”
“คนที่ไม่พอใจ คือนายต่างหาก”
“ผมไม่พอใจคุณตอนไหนผมนึกไม่ออก”ผมเริ่มเสียงดัง
“คล้ายว่าฉันจะจำได้”เสียงทุ้มกระซิบแผ่วใกล้ใบหู ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกชัดตรงมุมปากราวกับมีแผนการ ท่วงท่าที่เขาขยับราวกับตระเตรียมมาดี
ผมคาดไม่ผิด เพราะนาทีนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีมือใหญ่สอดเข้ามาผ่านชายเสื้อเชิ้ตลูบขึ้นผ่านหน้าท้องราบจนผมกระตุกวูบ ภายในรู้สึกปั่นป่วนเสมือนเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว
“คุณฟรานซิส! นี่คุณคิดจะทำอะไรครับ!”ผมร้องโวยพยายามหยุดมือหนาอย่างตกใจ
นี่มันคุกคามทางเพศชัดๆ
“ก็พิสูจน์ว่านายเป็นอย่างที่ฉันคิดรึเปล่า”
“เป็นอะไร เฮ้ย! คุณฟรานซิส...คุณ!”ผมกระตุกเสื้อตัวเองปิดท้องพยายามดิ้นหนีการรุกคืบชนิดที่ไม่แกรงใจชุดนักศึกษาผมสักนิด ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะมือใหญ่แสนช่ำชองนั่นเล่นเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ตอนนี้เขาเป็นบ้าอะไรเนี้ย! ฤดูติดสัดรึไง!
“ตัวนายจับแล้วถนัดมือดีใช่เล่น”
ตอบหน่อย! ผมเป็นคนหรือสากกะเบือ ไอ้ที่บอกว่าจับถนัดมือนี้เอาอะไรคิด!
“ถ้าคุณไม่พอใจอะไรในตัวผมจริงๆ คุณต่อยผมเลยดีกว่าเหอะ!!!”
“ใครว่าฉันไม่พอใจในตัวนาย การกระทำของฉันไม่ได้บอกเหรอว่านายดูน่าสนใจ และฉันก็รู้สึกสนใจนาย”
“แต่ผมเป็นผู้ชาย”
“ฉันตาบอดรึไง?”
“ถ้าไม่บอดก็อย่าเอามือมาจับคนอื่นเค้าซีซั้วสิ! ถ้าอยากจะจับนักคุณเลขาส่วนตัวของคุณน่าจะโอเคกว่าผม!”ผมตะปบมือฟรานซิสที่เอื้อมมาโอบต้นคอผม เขาใช้นิ้วเกลี่ยหลังต้นคอซะผมตัวเกร็ง
“นั่นแหละที่ฉันถามว่านายเป็นอะไร รู้ตัวมั้ยว่านายพูดจาเหมือนหึงหวงฉันกับนาวี”แววตาแพรวพราวกลอกมองผมด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮ๊ะ! อย่ามาตลก ผมกับคุณเป็อะไรกันข้อนั้นคุณน่าจะรู้นะครับคุณฟรานซิส ผมจะคิดแบบนั้นไปทำไม ไม่มีเหตุผลเลยด้วยซ้ำ!”
“สายตาของนาย ปากของนาย มันส่อ”ฟรานซิสก้มลงมากระซิบบอกความลับกับผมชนิดที่ใกล้เสียจนจะดูดปากกันอยู่แล้ว
โว้ยยยยย! นี่ผมเป็นอะไรเนี่ยถึงได้สั่นไปหมดทั้งตัวแบบนี้ และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมฟรานซิสถึงต้องเล่นมุกต้อนไก่เข้าถ้ำเสือกับผมด้วย!
“พะพูดอะไรของคุณไม่เห็นจะรู้เรื่อง ผมจะไม่พอใจอะไรคุณ ผมกับคุณแค่เจ้านายกับลูกจ้าง”ผมแก้ต่างสุดตัวและย้ำสถานะอีกครั้ง
“การที่นายพูดถึงนาวีบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะนายไม่พอใจเขารึไง”
“นั่นมันงานของคุณผมจะไปทำแบบนั้นทำไมครับ”
“เพราะนายหลงเสน่ห์ฉันน่ะสิ”
“ไม่มีทางครับ!”
วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมไม่ต้องเข้ามอ เป็นเช้าที่ดีที่สุด เป็นเช้าที่สดใส เป็นเช้าที่บรรยากาศเป็นใจ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีก
ร้องไห้สักร้อยรอบจะหายมั้ยวะ!
“ไอ้ธัน ไหนมึงบอกจะออกไปตลาดแต่เช้า แล้วไปทำงานไงวะ....ตื่นได้แล้ว”ไอ้บัสเอื้อมมือยาวๆ จากเตียงมาเขย่าตัวผมที่ยังหนีความจริงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มน้ำเสียงกึ่งหลับกึ่งตื่น มันคงจะตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุกของผม และเห็นว่าผมยังนอนเฉยมันเลยหวังดี
“รู้แล้วกูขอทำใจเดี๋ยว.....”
ผมรู้ว่าวันนี้วันเสาร์และเป็นวันหยุดของเจ้านายผู้หลงตัวเองอย่างฟรานซิส ถ้าจำได้เมื่อคืนคงได้ยินคำนั้นหลุดจากปากของเขา เขาบอกว่าผมหลงเสน่ห์เขา มีอะไรให้หลงวะ ก็แค่หล่อล่ำหุ่นดีมีกล้า มีsix pack หน้าตาดีevery thing เป็นลูกครึ่ง แถมรวยมาก เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น
นึกแล้วยังรู้สึกแค้นในอกอย่างบอกไม่ถูก ผมยังจำเสียงหัวเราะหงึกๆ ในลำคอเสมือนมีชัยที่เห็นผมกระวีกระวาดหอบหิวตัวเองออกมาจากห้องของเขาอย่างผู้แพ้ได้ ตอนนั้นผมแค่ตกใจเลยเถียงอะไรไม่ออกก็เท่านั้น
“รีบๆ เลยเดี๋ยวเจ้านายมึงไล่ออกมึงจะไม่มีแดกนะเว้ย”
“มึงนอนไปเลย กูลุกก็ได้”
ผมดีดตัวขึ้นนั่งก่อนจะเข้าห้องน้ำอาบน้ำและแต่งตัวโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ไอ้บัสมันยังคงนอนอยู่อย่างมีความสุขส่วนผมก็ต้องออกไปทำงาน ทำหน้าที่.....ที่ไม่ควรจะได้รับ
ติ๊ด ติ๊ด!
ขณะผมกาวลงจากรถเมย์เสียงข้อความก็ดังเตือนจากโทรศัพท์ ผมหยิบมันขึ้นมาดูก็มีข้อความจาก‘อากง’เข้ามา
[อากงคิดถึงแกมาก ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้อากงที่ 58.1103 อากงจะรอแกรีบมาไวๆ ล่ะ]
“เอาน้ำเกลือไปกินดีกว่ามั้ยไอ้แก่!”ผมอ่านข้อความเสร็จถึงกับเบ้หน้าแล้วลบทิ้งทันที อยากรู้ใครคนพิมพ์ข้อความจะขาด
ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้แก่เฉินมันต้องการจะเจอผม อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผมรายงานไอ้แก่เฉินไป ตอนนี้มันถึงได้เรียกตัวผมให้ไปเจอกันตามสถานที่ในรหัส นั่นคือเลขที่อยู่ กับหมายเลขห้อง อย่างที่ตกลงกันไว้ ผมก้มลงมองนาฬิกาก่อนจะรีบโบกแท็กซี่เปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางกะทันหัน
58.1103
“เฮียครับไอ้ธันมาแล้ว”
“ให้เข้ามา”
“มีอะไรก็รีบๆ พูด กูจะได้กลับไปทำหน้าที่ให้มึงไม่บกพร่อง”ผมประชดประชันสะบัดแขนที่ถูกล็อคไว้ประกบซ้ายขวาออกเป็นอิสระ
“กูขอรายละเอียดข้อมูลมากกว่านี้”ไอ้แก่เฉินเดินมาทางผมพร้อมเสียบปากกาสีเงินแท่งหนึ่งให้ผมใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“อะไร กูไม่ได้อยากได้ปากกา”
“มึงคิดว่ากูจะให้ปากกามึงไปทดเลขเล่นรึไง เก็บปากกานี้ไว้ให้ดีทุกเสียงจะถูกบันทึกไวในนี้ เอาติดตัวมึงไป มึงรู้ว่าควรจะใช้มันตอนไหน”
“ยุ่งยากชะมัด”ผมบ่นแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับเอามันออกมาพลิกดูไปมาแล้วกดทดลองดู“.....ถ้าเกิดจับได้ก็ซวยน่ะสิ”
“ไม่มีทาง มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างแนบเนียน คิดว่ามันกระจอกมึงคิดผิดแล้ว”
“กูไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว ตอนนี้กลับได้แล้วใช่มั้ย กูรีบ”
“เดี๋ยว”ผมกำลังเดินกลับออกไป แต่ไอ้แก่เฉินก็เรียกผมไว้ซะก่อน
“อะไรอีกวะ”
“ข้อมูลที่มึงให้มา แน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าถูกต้อง”
“กูไม่รู้ เห็นอะไรก็บอกมึงเท่าที่เห็นเป็นข้อมูลดิบ มึงจะคิดวะเคราะห์ ยังไงนั่นก็ไม่เกี่ยวกับกูแล้ว”
ผมบอกเรื่องที่ตัวเองไปเห็นเอกสารการจองตั๋วเครื่องบินตอนที่ฟรานซิสกับนาวีนั่งคุยกัน ซึ่งที่นั่นเป็นสนามบินในจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของเกาะจันทร์ฉายที่ไอ้แก่เฉินพูดถึง ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้อง ผมเห็นรายละเอียดไม่ชัดเจนเห็นแค่ตัวเลขวันที่ แต่เวลาผมมองไม่ถนัด ข้อมูลที่ผมให้มันก็มีเพียงเท่านี้
“ก็ทำงานได้ดีอยู่ กูชักสงสัยว่ามึงทำยังไงถึงได้ข้อมูลมาได้”
“กูจำเป็นต้องบอกมึงด้วยงั้นเหรอ”ไอ้แก่เฉินยักไหล่ไม่แยแสก่อนจะโบกมือไล่ให้ผมกลับ แต่ก่อนจะกลับมีบางอย่างที่ทำให้ผมเกิดอยากรู้ขึ้นมา“อยากรู้เรื่องของฟรานซิสไปทำไมวะ มึงคิดจะทำอะไรกันแน่”คิ้วของผมย่นเข้าหากันอย่างสงสัย
“เรื่องของผู้ใหญ่ หน้าที่ของมึงคือทำตามที่กูสั่งก็พอ.....แล้วก็จำไว้ด้วยว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง แค่มึงกระดิกตัวทำอะไรที่มันไม่ช่วยให้เรื่องมันจบง่ายๆ หรือคิดจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง ก็เตรียมรับของขวัญบรรณาการชิ้นใหญ่จากกูได้เลย เอาล่ะไสหัวไปได้แล้ว!”
เออ! ทีหมดประโยชน์ก็เอ่ยปากไล่ แม่ง! กูขอให้มึงคิดอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง!
นี่คือการแช่งจากใจจริงของผมเลย แต่ที่ส่งสัย มันต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับฟรานซิสขนาดนั้น ผมไม่ได้จะคิดเข้าข้างใครหรือเห็นว่าใครดีทั้งนั้น ทั้งไอ้แก่เฉิน ทั้งฟรานซิส ผมเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครน่าไว้ใจทั้งนั้นสำหรับผม
หากคุณมาอยู่จุดๆ นี้คุณคงจะเข้าใจผม พึ่งตัวเองเพื่อหาทางรอดนั่นคือสิ่งที่ผมคิด อาจจะไม่ดีที่สุดแต่มันก็ปลอดภัยที่สุดกับใครอีกหลายคน
ณ ตอนนี้คงไม่มีอะไรดูหน่วงหนักเท่าการเผชิญหน้ากันระหว่างผมกับฟรานซิสแล้วล่ะ ผมพยายามไม่คิดมากและบอกตัวเองว่ามันก็แค่หน้าที่ มันก็ยิ่งดีน่ะสิถ้าเขากับผมสนิทกันขนาดนั้น อะไรๆ มันจะได้ดูง่ายขึ้น
แต่ความเป็นจริงแล้ว.....แม่งคิดไม่ตกว่ะ เอาวะมันอาจจะเป็นแค่การข่มขวัญกันเฉยๆ ก็ได้ ไอ้ท่าทางแปลกๆ พฤติกรรมช่วนเสี่ยงของฟรานซิสผมควรจะระวังให้มากที่สุด
อย่าเผลอมองตาเขา
อย่างเผลอเออออตามเขา
อย่าเผลอหลงเสน่ห์เขา
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องท่องไว้ซะบ้างแล้ว
มือทั้งสองข้างของผมหิวของพะรุงพะรังไว้แน่น รวมทั้งผักสดผลไม้ต่างๆ ที่ใช้สำหรับมื้ออาหารของวันนี้ ผมเดินเข้าเพนท์เฮาส์ตามปกติ และเข้าสู่ระบบตรวจค้นความปลอดภัยด้วยความเหนื่อยหน่ายซังกะตายต่อชีวิต ซึ่งวันนี้ผมก็พบว่ามันไม่ปกติ ผมมองหน้าการ์ดที่แทบควักไส้ผมออกมาตรวจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามก่อนปากของผมมันจะโพล่งออกไป
“เสร็จแล้ว แค่นี้เหรอ?”
“นายไปได้แล้ว”
“เล่นตลกอะไรรึเปล่าเนี้ย ตรวจแค่กระเป๋าใบเดียวแค่นั้นจริงๆ อ่ะ”
“เป็นคำสั่ง เราทำตามหน้าที่”ผมมองพวกการ์ดงงๆ ก่อนจะเดินไปตามทาง ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม พวกเค้าลดการ์ดตรวจที่คุมเข้มลงเสียจนแทบจะไม่ตรวจ ผมอุตส่าห์ทำเวลาเพื่อให้มีเวลาเหลือสำหรับการตรวจค้น นั่นเท่ากับผมมาถึงที่นี่เร็วกว่าปกติน่ะสิ
ประตูระบบล็อคด้วยรหัสผ่านถูกเปิดออกด้วยการ์ดเพียงใบเดียว ซึ่งผมมีสิทธิ์ถือครองมันไว้ 1 ใบ และที่ตัวของฟรานซิสอีก 1 ใบ ภายในยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ผมเดาว่าเจ้าของบ้านยังคงนอนหลับอยู่ข้างบน ผมเลยจัดการเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดไปเก็บ และเตรียมมื้อเช้าง่ายๆ คือกาแฟดำ กับขนมปังเล็กน้อยเผื่อไว้ หากเขาจะทานมันคู่กับกาแฟ
ของที่จำเป็นต้องใช่ในครัวผมเก็บมันเข้าที่เข้าทาง และหันไปจัดการล้างผลไม้พวกแอปเปิ้ล สตอเบอร์รี่ แคนตาลูป มันอาจจะดูเยอะแต่ก็เป็นผลไม้ที่เก็บง่ายและอยู่ได้นาน สตอเบอร์รี่ผมแค่ซื้อมาเพราะว่าผมอยากจะกิน แค่นี้เขาคงไม่คิดว่าผมปล้นเงินเขาหรอกนะ
ขณะที่ผมกำลังสาละวนกับการล้างแคนตาลูปลูกใหญ่และแอปเปิ้ลหกเจ็ดลูกในชามผสมแสตนแลสใบใหญ่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี ผมรีบเอามันมากดรับเพื่อตัดเสียงรบกวนกลัวคนข้างบนตื่นแล้วหนีบมันไว้กับไหล่ มือก็ทำงานต่อ
“ฮัลโหล”
“[ไอ้ธันกูมีเรื่องจะเล่ามึงว่ะ”เสียงไอ้บัสโทรมาอย่างตื่นเต้น]”
“มีอะไรวะ พูดช้าๆ หน่อย มึงคงจะไม่ได้บอกว่าไอ้จูนเรียกมึงไปเฉ่งเรื่องโปรเจกต์พรีเซนท์ที่มึงทำไวรัสแดกหรอกใช่มั้ย”
“[เชี่ย! ไม่ใช่เรื่องนั่นเข้าเรื่องๆ!]”
“ว่า?”
“[หลังจากที่มึงออกไปทำงานตอนเช้า ไอ้เอกเพื่อนแถวบ้านที่ต่างจังหวัดของไอ้โชคมันโทรหากูเว้ย แม่งมันบอกว่าสองวันก่อนมันเห็นไอ้โชคกลับบ้าน แล้วก็รีบร้อนออกไป กูว่ามันกำลังหนีว่ะ เรื่องเรียนมันก็ลาออกไปแล้ว]”
แค่ชื่อที่ได้ยินมันก็ทำผมเดือดขึ้นมาบัดดล
“เดี๋ยวนะไอ้บัส มึงไปรู้จักไอ้เอกตั้งแต่เมื่อไหร่”ไอ้เอกไม่ได้เป็นเพื่อนในคณะ แต่เอกมันรู้จักผมกับไอ้โชคตอนสมัยเรียนมัธยมโรงเรียนประจำชายล้วนและบ้านมันอยู่ใกล้กับบ้านไอ้โชคผมเลยมีโอกาสผ่านหน้าบ้านมันออกจะบ่อยตอนไปเที่ยวบ้านไอ้โชค แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก ไอ้เอกมันอยู่คนละห้องเรียนกับผมและไอ้โชคสมัยมัธยม แต่บังเอิญมาเรียนมหาลัยเดียวกันเลยกลายเป็นคนรู้จัก เจอกันก็ทักทายกันบ้างตามประสา
“[กูเจอมันในมอแล้วสืบรู้มาว่าเป็นเพื่อนแถวบ้านไอ้โชคกูเจอเลยขอแลกเบอร์กับมัน แล้วขอช่วยมันนิดหน่อย กูไม่ยอมนะเว้ยให้
ไอ้เชี่ยนั่นหนีไปง่ายๆ ยังไงก็ต้องหาตัวมันให้เจอมึงจะได้ไม่ต้องโดนไอ้พวกเวรนั่นรังควานอีก]”
“กูขอบใจมึงมาก แต่เรื่องไอ้โชคมึงควรอยู่ห่างๆ มันไว้จะดีกว่า กับกูมันยังทำได้ขนาดนี้ ถ้ามึงไปตามมันมึงอาจเดือดร้อน”
“[ไอ้ธัน! กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย ไม่ได้เป็นเพื่อเหี้ยๆ อย่างไอ้โชค เพื่อนเอาไว้ทำอะไรวะ พากันไปแดกเหล้าอย่างเดียวรึไง มึงมีอะไรให้กูช่วยก็บอกได้เลย อย่าเก็บไว้คนเดียว]”
“กูโคตรซึงเลยว่ะ แม่งเจอกูขอกอด”
“[พอๆ เย็นนี้เลิกงานแวะมาที่ร้านหน่อย พี่เงาะเค้าอยากเจอ]”
“เออๆ ไว้กูจะ.....เห้ย!!!”
เคร้งงงง!
จังหวะที่ผมหันไปจะหยิบผ้ามาเช็ดน้ำ คนที่มายืนอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงก็ทำผมสะดุ้งตกใจจนเผลอมือพลาดไปโดนชามน้ำปริ่มๆ ที่กำลังแช่แอปเปิ้ลอยู่พลัดตกลงมาน้ำหกกระจายสาดกระเด็นโดนเสื้อลามไปถึงกางเกงของผมจนเปียกซึมถึงชั้นใน โทรศัพท์ในมือก็พาลตกพื้นไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังคุยกับไอ้บัสไม่ทันจบ
“ตกใจฉันขนาดนั้นเลยรึไง”สีหน้ากรุ่นๆ ที่ดูอบอวนไปด้วยรังสีบางอย่างชำเลือกมองผมด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ตกใจน่ะสิ มายืนแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ถ้าเกิดผมเป็นโรคหัวใจ ไม่หัวใจวายตายตรงนี้รึไงครับ ถอยไปก่อนเดี๋ยวก็เหยียบน้ำลื่น.....”
พรืดดดด!
ไม่ทันขาดคำ สิ่งที่เกิดขึ้นราวกำคำแช่งชัก แต่คนที่ประสบเหตุกลับกลายเป็นผมแทนที่จะเป็นฟรานซิส ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลกผมหลับตาตามสัญชาตญาณก่อนจะรู้สึกราวกับตัวเองโดนทุ่มลงกับพื้นกระเบื้อง แต่ปรากฏว่าร่างกายกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
คงไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งที่คนตรงหน้าทำคือการช่วยเหลืออย่างไม่ทันคิดหรือว่าตั้งใจ แต่ที่รู้ผมโถมลงมาทับคนเบื้องล่างเต็มๆ ส่วนฟรานซิสก็นอนราบลงกับพื้นอีกมือก็โอบตัวผมราวกับปกป้องสุดฤทธิ์ หน้าของผมแนบลงกับไหล่กว้างของเขา มันใกล้ชนิดที่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้น
“ฟรานซิส คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรได้ไง ฉันรู้สึกเหมือนหลังฉันจะหัก”เขาทำสีหน้านิ่งไม่ขยับตัว ผมถึงกับหน้าถอดสี
“ผมจะไปเรียกการ์ดข้างนอก คุณรออยู่ตรงนี้นะ”ผมทำท่าจะยันตัวลุกขึ้นแต่กลับถูกแขนใหญ่นั่นโอบรัดจนแน่นไม่เหลือช่องว่างระหว่างตัวให้อากาศลอดผ่าน
“นี่คุณ ไหนบอกว่าเจ็บก็ปล่อยผมสิ”แขนของผมพยายามดันตัวเขาออก และพบว่ากำลังโดนคนเจ้าเล่ห์แกล้ง
ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผมเลยจริงๆ!
“นายทำพื้นบ้านฉันเลอะ แถมยังทำให้ฉันตกอยู่ในอันตราย.....เพราะความไม่ระมัดระวังของนาย นี่คือการลงโทษ และฉันใจดีพอที่จะไม่ไปยุ่งกับเงินเดือนของนาย”
“คุณ ฟราน ซิส!”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน ภาพลักษณ์ที่แสนเพอร์เฟคนั่นมันหายไปไหนหมด แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับผมตอนนี้สิ
“นายเรียกแต่ชื่อของฉัน ข้องใจอะไรรึเปล่า”
อึก!
“คุณทำแบบนี้กับผมอีกแล้วนะ!”ฟรานซิสเหวี่ยงตัวผมให้นอนราบกับพื้นที่เปียกไปด้วยน้ำจนหลังผมชุ่ม ส่วนตัวเขาก็ขึ้นมาทาบทับร่างกายผมแทน ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
“พื้นเปียกนายก็ต้องเช็ดสิ”
“คุณก็ปล่อยผมสิ ผมจะได้ไปหาผ้ามาเช็ด!”ถึงผมจะแสดงท่าทีต้อต้านยังไงเขาก็ไม่ฟังผมอยู่ดี แถมยังมองผมด้วยดวงตาสีฟ้ามรกตนั่นอย่างดุดันและดูเคร่งขรึมผิดกับก่อนหน้านี้ ถึงริมฝีปากของเขาดูเหมือนจะเหยียดยิ้ม แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ต่างออกไปจากทุกที แต่มีหรือผมจะย้อมแพ้หลบตาเขา ตอนนี้จะมาหนีไม่มองก็ไม่ได้แล้ว ตาต่อตาฟันต่อฟันสิ ผมขี้ขลาดซะที่ไหน!
“ใครบอกว่าจะให้นายหาผ้ามาเช็ด ที่ตัวนายก็มีผ้ามากพอจะใช้ได้อยู่แล้ว”
“คุณหมายความว่าอะไร ผมไม่เล่นด้วยหรอกนะ!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่บอกว่าจะไม่กลัวแล้วแท้ๆ
“ใครว่าฉันเล่นล่ะ ทั้งหมดไม่ใช่การแสดงหรอกนะธัน”ว่าแล้วฟรานซิสก็ถือดีถลกเสื้อยืดตัวเก่งของผมขึ้นก่อนจะถอดมันออกอย่างชำนาญชนิดที่ผมไร้ความสามารถจะปัดป้อง ผมพยายามพลิกตัวเพื่อหาช่องทางหนีเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติ
“คุณเป็นบ้าไปแล้วรึไง ผมไม่ใช่ผู้หญิงของคุณนะ!”ผมร้องเตือนเขาอย่างตกใจ ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของผมมันบีบรัดอย่างหนักหน่วง
“ฉันรู้ แต่นายก็ไม่ต่าง....คงเตรียมใจไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ สำหรับ...ในหลายๆ อย่าง”สิ้นประโยคมือหนาของฟรานซิสก็รวบแขนผมขึ้นเหนือศีรษะ อวดโชว์สรีระสัดส่วนของชายหนุ่มที่ไม่ได้น่ามองน่าตื่นเต้นสำหรับผู้ชาย แต่กับคนตรงหน้ามันต่างออกไป เข้าจดจ้องสำรวจร่างกายผมจนแทบจะทะลวงเข้าไปถึงข้างในอย่าสนใจ มันทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมาจนอยากจะมุดดินหนี ร่องรอยการต่อต้านโผล่ผื่นแดงเป็นจ้ำบนผิวขาวภายใต้ร่มผ้า จนผมเห็นได้ชัด
ร้ายกว่านั้น เขาไม่เพียงบังคับผมแต่กลับโน้มตัวลงมาจนผมหน้าถอดสีพยายามหดตัวเกร็งอย่างไร้สาเหตุ ในท้องกระตุกวูบสั่นกลัวทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง และปลายจมูกโด่งเป็นสันของคนตรงหน้าก็กดลงต่ำสัมผัสไล่ลากผ่านไหล่มน จนผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกดูดกลืนกำลังไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อต้าน
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย!!!!!
“คุณทำอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”ผมฮึดสู้ขยับตัวดิ้นอีกครั้ง ราวกับจะร้องเตือนสติของเขา
“เสื้อตัวเดียวคงจะเช็ดพื้นไม่แห้งหรอก”มือหนาที่ว่างอยู่เลื่อนลงต่ำลูบผ่านเอวของผมจนไปหยุดอยู่ตรงสะโพกแล้วค่อยๆ สอดนิ้วมือผ่านขอบกางเกงยีนส์ของผมแล้วชะงักค้าง ก่อนพูดอะไรบางอย่าง
“นายอยากให้ฉันทำอะไรต่อ”เสียงทุ้มที่ฟังดูกังวานกระซิบเบาๆ ข้างใบหูของผมอย่างจงใจ ผมกัดฟันกรอดจนหน้าของผมคงแดงเถือกเต็มไปด้วยความโกรธ
“คุณฟรานซิส....ปล่อยผม!”
“แน่ใจนะว่านายจะไม่เสียดาย”
“ผมจะเสียใจมากกว่าถ้าคุณทำแบบนั้น”
“ตกลง”เขาทำเหมือนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครูเป็นแค่การเล่นมวยปล้ำของเด็กๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงต่อหน้าผมแล้วจับต้นคอตัวเองเอียงไปมาเล็กน้อยราวกับเคล็ดยอก ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันหิวแล้ว ตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อข้างบน”ร่างสูงหมุนตัวแล้วเดินจากไปอย่างไม่ยี่หร่ะ ผมนอนอึ้งมองฟรานซิสในสภาพเปลือยท่อนบน รอบๆ ก็เป็นน้ำที่เนืองนองและผลแอปเปิ้ลที่ยังคงกระจาย
มีอะไรให้ผมสติหลุดไปมากกว่านี้มั้ยบอกผมที แล้วเรื่องเมื้อกี้นั่นมันอะไรกัน ผีหอบหื่นเข้าสิงเขารึไง!
แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ ผมรู้สึกได้ว่าฟรานซิสอารมณ์ร้ายผิดปกติ วันธรรมดาเขาไม่เคยส่งสายตากร้าวใส่ผมแบบเมื่อครู่ ถ้าคุณเป็นผมจะรู้สึกเลยว่ามันน่าหวาดกลัวและเลวร้ายขนาดไหน ความรู้สึกที่ส่งแผ่มากถึงผมเหมือนเขากำลังเตือนอะไรบางอย่าง แต่ผมก็หัวทึบเกินกว่าจะรู้ความหมาย
ขอเมาท์เอา to be continued ไปเก็บก่อน
ตอนนี้ล่อซะยาวเลย
ไม่อยากตัดฉับอรรถรสของการดำเนินเรื่องค่ะ ต้องขออภัย
พูดถึงตัวละครที่มีจุดยืนของตัวเองค่อนข้างสูง โดยเฉพาะฟรานซิส
พระเอกอ่อยแรงมากกกกจริงๆ (ยอมรับเขาเลย)
ปล่อยฟีโรโมนชนิดที่ไม่มีกั๊ก
ส่วนธัน จริงๆ ก็น่าสงสารเหมือนกันไม่รู้เคาระห์ซ้ำหรือกรรมซัด
ที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ แต่ในความร้ายดำมืด เชื่อว่าธันต้องผ่านมันไปได้(หรือไม่?)
ยังไงก็ฝาก My Boss ด้วยนะคะ