พิมพ์หน้านี้ - ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 22-07-2016 21:28:16

หัวข้อ: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 22-07-2016 21:28:16
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



แถลงไขแด่นักอ่าน :-[
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคน สถานที่ เหตุการณ์จริงแต่อย่างใด
อาจมีคำหยาบคายตามบริบทของตัวละครเพื่ออรรถรสในการอ่าน และความบันเทิง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หวังว่านักอ่านจะเปิดใจรับเรื่องนี้อีกเรื่องไว้พิจารณานะคะ :impress2:
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ New+ตอน 1 UP :: 22/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 22-07-2016 22:24:56
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



1



“ไอ้ธันเป็นเรื่องแล้ว พวกเวรนั่นมันดมกลิ่นมาเจอมึงแล้วว่ะ กำลังเข้ามาในร้านมึงรีบหนีเหอะ!”เสียงหอบเหนื่อยของไอ้บัสเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมมหาลัยที่วิ่งรี่มาทางหน้าร้านบาร์‘บีโลน’ กำลังรายงานเรื่องสำคัญให้ผมทราบ

“เชี่ย! จนได้”ผมสบถอย่างตกใจเมื่อรู้ว่านั่นหมายถึงอะไร ผ้าเช็ดโต๊ะที่อยู่ในมือถึงกับร่วงลงพื้น

“หลังร้าน มึงออกทางนั้นเลย เร็ว!”ไอ้บัสชี้นิ้วรัวๆ ไปทางด้านหลังตรงทางออกประตูหนีไฟตบโต๊ะเร่งผมให้รีบวิ่ง
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกำลังเกิดขึ้น ข่าวร้ายที่สุดของที่สุดกำลังมาเยือน เอาเป็นว่าผมจะเล่าทีหลังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ผมคงต้องสลัดผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มพนักงานเสิร์ฟพาทไทม์ของบาร์ ‘บิโลน’ ออกชั่วคราวแล้วเร่งฝีเท้าโกยแน่บสุดชีวิตเท่าที่จะทำได้

โครม!

ไม่ถึงห้าวินาทีหลังจากที่ผมวิ่งออกมาจากทางหลังร้านไปไม่เท่าไหร่ เสียงเอะอะโวยวายและข้าวของที่ดูเหมือนจะถูกทำลายก็ดังไล่หลังผมมาอย่างฉิวเฉียด

ถ้าโดนจับได้ ไอ้พวกเวรนั่นมันไม่เลี้ยงผมไว้แน่!

“ไปจับไอ้สวะนั่นไว้! ถ้าจับไม่ได้พวกมึงเป็นศพแน่!”

เสียงตะโกนโหวกแหวกตามหลังผมมาชนิดที่แทบไม่ทิ้งห่าง เพราะตรอกซอกซอยที่ผมใช้เป็นเส้นทางหนีนั้นไม่ได้กว้างไปกว่าทางหมาลอดสักเท่าไหร่ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวิ่งฉิวเป็นจรวดได้

ไอ้เชี่ยบัส! นี่มันแนะนำทางหนีที่ดีกว่านี้ให้ไม่ได้แล้วรึไงวะ!

ผมขอบ่นหน่อยเหอะ แม่ง! นี่มันทางลงเหวชัดๆ แบบนี้จะหนีพ้นได้ไงวะ!

ไม่ผิดไปจากที่ผมคิด พอวิ่งมาได้สักระยะผมก็รู้แล้วล่ะว่าผมมาผิดทาง จะไม่ผิดทางได้ยังไงก็ในเมื่อทางตรงหน้าผมมันกลายเป็นกำแพงคอนกรีตของตึกไปแล้ว อยากเอาองค์สไปเดอร์แมนมาสิงร่าง!

เวรเอ้ย!!!

“เป็นไงล่ะ! คิดจะหนีสุดท้ายก็ต้องเหนื่อยเปล่า”เสียงทุ้มแสดงถึงความสะใจดังออกมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินเรียงหน้ากันมาหกคน แต่ละคนสูงใหญ่หุ่นล่ำไม่แพ้นักมวยปล้ำระดับโลก และที่สำคัญพวกมันยังพกอาวุธชนิดที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดินกันเลยทีเดียว

“แฮ่กๆ ใจเย็นๆ กูจะยอมคุยกับพวกมึงดีๆ โอเคมั้ย?”ผมรู้ว่าถึงดิ้นไปตอนนี้ก็คงไม่รอด เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ดีกว่าราดน้ำมันลงกองไฟจริงมั้ยล่ะ

“ฮึ! คุยเหรอวะ ได้แต่มึงต้องไปคุยกับหัวหน้ากูโน่น! ไปลากตัวมันมา!”ชายใส่ชุดสูทสีดำสั่ง ผมเดาว่าคงจะใหญ่สุดในกลุ่มกำลังสั่งการพวกหน้าโหดนั่นให้มาลากตัวผม แต่ใครจะยอมเอาชีวิตตัวเองไปให้พวกมันเฉือนทีละชิ้นกัน

“ไม่มีทางไปกับพวกมึงหรอก!”

ผมตะโกนสุดเสียงตั้งท่าป้องกันตัวและเตรียมสู้สุดใจขาดดิ้น เหตุการณ์โกลาหนจึงเกิดขึ้น ผมสวนหมัดไปหาไอ้ตัวที่เข้าใกล้ผมเป็นคนแรกก่อนจะใช้เท้าแตะคนที่ทำท่าจะพุ่งหมัดใส่ผม ไอ้คนที่มาด้านหลังเข้ามารัดคอผมจนผมต้องดิ้นม้วนตัวกระชากมันกระแทกกับพื้นก่อนที่ผมจะถูกใครบางคนถีบอย่างแรงมาจากทางด้านหลังจนร่างของผมกระเด็นอัดกำแพง

ผู้ชายอีกสามคนเข้ามากระชากตัวผมขึ้นแล้วรัวหมัดใส่หน้าผมไม่ยั้ง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งปาก ผมพยายามต่อสู้แต่สุดท้ายกลับถูกของแข็งบางอย่างฟาดลงกลางหลัง ความเจ็บแล่นเข้าสู่โซนประสาทตูมเดียวจนผมควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้คือตัวเองล้ม และมองเห็นเพียงรองเท้าหนังเปื้อนโคลนตรงหน้าที่กำลังบนขยี้มือผมราวกับพรมเช็ดเท้าก็เท่านั้น


“ปลุกให้มันตื่น”เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นประจวบเหมาะกับที่ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว ตอนนี้ร่างกายผมปวดร้าวราวกับโดนหักกระดูกไปทั่งตัว ก่อนที่จะถูกน้ำเย็นๆ ราดลงบนหัวเรียกสติให้กลับมา

ไอ้บ้าเอ้ย มันทำเหมือนผมเป็นหมาข้างถนน!

“แฮ่กๆ”

“ตื่นสักทีคราวนี้ก็ต้องคุยกันยาวหน่อย”เสียงรองเท้าหนังสีหัวมันวาวกระทบกับพื้นซึ่งกำลังย่างกรายมาทางผม ชายร่างสูงออกไปทางท้วมใบหน้ามีรอยย่นประปราย อายุราว 50 ปีเศษๆ สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีสีฉูดฉาดลวดลายสะดุดตาบ่งบอกถึงฐานะอย่างชัดเจน
 
“ถุย! คุยงั้นเหรอ กูไม่มีอะไรจะคุยกับพวกกุ้ยอย่างพวกมึงหรอก ไอ้พวกทำนาบนหลังคน!!!”

“กุ้ยเหรอวะ!”ผมไม่น่าปากหมาสวนกลับมันไปเลย คราวนี้เลยโดนหลังแหวนเข้าเต็มๆ

“อย่ามาทำปากดี คนอย่างพวกมึงที่เชิดเงินคนอื่นหนีเป็นล้านอย่างนี้จะให้พวกกูเรียกมึงว่าไง”

“เงินล้าน! อย่ามาตลก”ผมถึงกับผงะเมื่อได้ยินไอ้แก่หน้าเลือดนั่นพูดถึงเงินล้าน

“หยิบสัญญากู้ยืมให้มันดู”ไอ้หน้าเลือดกระดิกนิ้ว เพียงไม่นานกระดาษเอสี่แผ่นสีขาวที่มีลายเซ็นของไอ้โชค กับผมก็ปรากฏหราอยู่ต่อหน้า เล่นเอาผมแทบลมจับ

“เป็นไปไม่ได้ เงินที่ไอ้โชคยืมมันแค่ 5 แสน พวกมึงเอาอะไรมาพูดเป็นล้าน!”ผมเถียงใจขาดดิ้น

“มึงก็ไปถามเพื่อนที่แสนดีของมึงดู ตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะถึงกับทิ้งมึงให้มาออกหน้ารับแทนอยู่แบบนี้”

ทันทีที่ไอ้พวกเวรนั่นพูดถึงไอ้โชค ผมก็แทบอยากจะแหกปากร้องให้ลั่นด้วยความคับแค้นอยู่ในอก คงเคยได้ยินคำที่เขาพูดกันว่า เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมั้ย นั่นแหละชีวิตผม เดิมทีไอ้โชคเป็นเพื่อนผมตั้งแต่มัธยมจนกระทั่งเข้ามหาลัย จนวันหนึ่งมันเดือดร้อนเรื่องเงิน และมาอ้อนวอนผมให้ช่วยไปค้ำประกันให้มัน ไอ้ผมมันใจแข็งซะที่ไหนยิ่งเป็นเพื่อนที่คบกันมา 6 ปี 7 ปี แต่สุดท้าย ไอ้โชคชั่วเพื่อนเวรนั่นมันก็หอบเงินหนีไม่ติดต่อผมอีกเลย แถมกรรมยังมาตามตกที่ผมต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากพวกทวงหนี้นอกระบบ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้กินไม่ได้ใช้สักแดงเดียว

แล้วจู่ๆ ก็มาได้ยินไอ้พวกเวรนี่บอกว่าหนี้สินไอ้โชคเป็นล้าน จะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง ถึงจะแค่เงินแสนผมก็ไม่มีชดใช้ให้พวกมันอยู่ดี

“จะพัน จะหมื่น จะแสน หรือเป็นล้านอย่างที่พวกมึงบอกกูก็ไม่มีให้”ผมกำหมัดแน่นด้วยความแค้น

“ก็มึงมันโง่เองที่มีเพื่อนเฮงซวย แต่ถึงยังไงมึงก็เป็นคนค้ำ พวกกูก็ไม่ใช่โรงทานจะมายกหนี้ตัดสินให้กันไปง่ายๆ ธุรกิจก็คือธุรกิจ เงินก็ต้องแลกด้วยเงินไม่มีเงินก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต หรือไม่....มึงก็ต้องเอาอย่างอื่นมาแลก”มันเว้นวรรคคำพูดไป ผมหายใจหอบถี่เมื่อถูกกดดัน“…..เว้นเสียแต่เอาเพื่อนหน้าโง่ของมึงมาให้กูเชือดแทนตอนนี้เลย!”

ไอ้ตัวหัวหน้ามันพูดก่อนจะเอากระบอกปืนมาเล็งที่หัวของผมแล้วกดปากกระบอกปืนจนหัวผมเซไปตามแรง หัวใจของผมแม่งก็แทบจะหยุดเต้น

“.....แต่ว่ากูมีข้อเสนอเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ปลดหนี้ 5 แสนกับดอกเบี้ยอีก 5 แสนที่พวกมึงไม่เคยส่งทั้งต้นทั้งดอก มึงจะรับมั้ย”ปลายกระบอกปืนยังคงไม่ห่างจากหัวผม ข้อเสนอจึงไม่ต่างกับการบังคับให้รับปาก ตอนนี้ชีวิตของผมเหมือนอยู่ขอบเหวถ้าตุกติกก็จะถูกไอ้ห่านั่นถีบลงเหวไปสู่ความตายทันที ผมมีทางเลือกมั้ยล่ะ!

“มึงทำแบบนี้ไม่ยิงกูทิ้งไปเลยล่ะ!”

“ยิงทิ้งกูก็ไม่ได้อะไรเลยสิวะ สู้ใช้มึงให้เป็นประโยชน์ก่อนจะให้ตายไม่ดีรึไง ฮ่าๆ”แล้วเสียงหัวเราะชอบใจก็ดังครืนกันทั้งห้อง แม่งไอ้พวกเวรนี่มันโรคจิตชัดๆ เห็นคนอื่นจะตายแล้วมีความสุข

“กูไม่ทำห่าอะไรทั้งนั้น กูไม่ได้เป็นคนเอาเงินพวกมึงไปใช้ กูไม่รับผิดชอบเว้ย!!”

“ไม่ทำ ได้งั้นกูคงต้องเอาพวกเพื่อนมึงเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้วว่ะ งานนี้คงได้สนุก!”ไอ้เวรนั่นโปรยภาพที่แอบถ่ายคนที่อยู่รอบตัวผม ทั้งไอ้บัส ไอ้ปอน ไอ้จูนเพื่อนผู้หญิงที่มหาลัย และคนอื่นๆ อีก นั่นทำให้ผมประสาทแทบจะแดก

“หยุดความคิดเลวๆ ของพวกมึงเดี๋ยวนี้!”

“มึงก็รับข้อเสนอไปสิวะ”

“ไม่!”

“งั้นอย่ามาเสียใจทีหลัง”

“อย่ามากดดันกู!”

“มันเป็นหน้าที่ของมึงต่างหาก ถ้าไม่ทำชีวิตเพื่อนมึงสักคนสองคนก็คงพอแลกได้”ไอ้หน้าเลือดหยิบรูปของเพื่อนผมขึ้นมาสุ่มดูสองสามใบแล้วกระตุกยิ้มยะเยือกจนผมหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

แบบนี้มันเท่ากับขีดเส้นให้ผมเดินน่ะสิ!

“ก็ได้กูจะทำ! แต่อย่าเอาเพื่อนกูไปเกี่ยวคนพวกนั้นไม่รู้อะไรด้วย!!!”ผมพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายที่มันไหลออกมาเองอย่างสิ้นหนทางเลือก ต่อให้กัดฟัน กำหมัดแน่นแค่ไหนมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลย

ผมก็เพิ่งรู้ซึ้งถึงชีวิตบัดซบก็วันนี้

“งานที่ให้ทำมันไม่ยากหรอกนะ หน้าตาก็ดูน่าไว้ใจ ไหนจะปากดีแบบนี้อีก และดูมึงก็ท่าทางหัวไวคงไม่ทำให้พวกกูผิดหวัง”ไอ้เชี่ยนั่นยื่นมือมาจับคางผมให้เชิดขึ้นแล้วหันไปมาอย่างพินิจสองสามที ผมจะสะบัดหน้าหนี มันยิ้มอย่างพอใจจนผมขนลุก
ตกลงที่ผมเผลอรับปากไป ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะให้ผมไปทำอะไร คงไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย หรือไปทำอะไรที่มันเกินตัวผมหรอกนะ

“มึงจะให้กูทำงานอะไร”

“หนอนบ่อนไส้ มึงรู้จักมั้ย?”ไอ้หน้าเลือดกระตุกยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องอับๆ ไปแล้วเหมือนจะกระซิบมอบหมายงานอะไรบางอย่างให้ลูกน้องมันทำต่อ ถึงผมจะอยากรู้แค่ไหนแต่ก็ไกลเกินไปที่หูผมจะได้ยิน

“ใครก็ได้เอาไอ้เด็กนี่ไปล้างเนื้อล้างตัวที เอาข้าวเอาน้ำให้มันกินด้วย แถมยาและทำแผลให้มัน พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมารับ”
ผมฟังแทบจะไม่ทัน แต่ที่จับใจความได้มันบอกว่าจะมีคนมารับ

รับไปไหน? แล้วผมต้องทำอะไร ไม่ๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว

“เดี๋ยว! มีคนมารับหมายความว่าไง จะให้กูไปไหนวะ”ผมตาโตมองไอ้หน้าโหดสองตัวที่มาหิ้วปีกผมแล้วลากไปยังอีกห้องหนึ่งอย่างสิ้นสภาพ

“เดี๋ยวมึงก็รู้เอง งานนี้มึงอาจต้องเปลืองตัวหน่อยแล้วว่ะ ขอบอกไว้ก่อนนะว่าเป็นเกียรติของชีวิตมึงแน่ๆ ที่จะได้ทำงานนี้ อาจจะได้ตายในหน้าทีอย่างพวกทหารก็ได้ ฮ่าๆ ”แล้วพวกมันก็หัวเราะราวกับผมเป็นตัวตลก ในหัวผมมันตื้อไปหมด มืดทั้งแปดด้าน ไม่รู้ว่าอะไรกำลังรอผมอยู่

ไอ้เหี้ยโชค กูอยากจะฆ่ามึงก็ตอนนี้หละ มึงทำชีวิตกูพังพินาศทั้งชีวิตจริงๆ! ไอ้บัดซบ




ฝากตอนแรกด้วยนะคะ ^^
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ New+ตอนที่ 1 UP ร้อนๆ 22/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 22-07-2016 22:26:33
ติดตามค่าาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 2 **23/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 23-07-2016 11:32:58
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



2



“บอสจะไปแน่เหรอครับ”

“ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะปฏิเสธ”

“ถ้าพวกมันเล่นไม่ซื่อ เรามีแต่เสียเปรียบ”

“อาเธอร์ไปเตรียมรถ”เสียงทุ้มฟังกังวานสะบัดข้อมือเป็นเชิงไล่ลูกน้องคนสนิท นาฬิกาเรือนหรูโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อสูทกำลังทอแสงระยับกับแสงไฟภายในห้องทำงานที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูโอ่อ่าสมฐานะและตำแหน่ง CEO ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทรัพย์สินเป็นอันดับต้นๆ จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีในแวดวงธุรกิจ แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักหน้าตาและตัวตนที่แท้จริงของ‘ฟรานซิส’ หนุ่มไฟแรงวัย 30 ต้นๆ ที่มีเงาเป็นตัวตนในแวดวงสังคมสีเทาอีกด้วย

เรื่องราวและประวัติส่วนตัวของฟรานซิสซับซ้อนและลึกลับ ยากที่จะหาข้อมูลส่วนตัวที่ถูกต้องของเขาเจอ บ้างก็ลงข้อมูลประวัติของเขาถูกต้องเพียงชื่อกับอายุเท่านั้น

หลังจากอาเธอร์ลูกน้องคนสนิทปิดประตูลง ฟรานซิสก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังเต็มความสูงที่แตะเกือบ 2 เมตร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกครึ่งฝรั่งอย่างเขาจะมีร่างกายสมชายเต็มร้อยที่ได้มาจากพ่อแท้ๆ มาเต็มคราบเช่นนี้ บวกกับใบหน้าที่หล่อคมคายดวงตาดุดันเฉกราชสีห์ ณ ที่นี้คงไม่มีใครเปรียบเขาได้ ลูกผู้ชายอกสามศอกยังน้อยไปสำหรับฟรานซิส ชายผู้ขึ้นชื่อเรื่องทรงเสน่ห์อย่างร้ายกาจคนนี้

ภายในเวลาเพียงไม่นานรถยุโรปยี่ห้อหรูที่ถูกสั่งทำขึ้นพิเศษก็มาเทียบหน้าบันไดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีตึกสูงระฟ้านับร้อยชั้น ประตูรถด้านข้างถูกเปิดออกรอท่าผู้เป็นนาย บอดี้การ์ดรวมแล้วสิบคนค้อมตัวลงจนแทบหัวจรดพื้นเมื่อผู้เป็นนายเดินผ่าน ไม่มีใครกล้าที่จะสบตากับเขา ความเงียบเป็นสิ่งที่ฟรานซิสโปรดปรานและทุกคนตระหนักดี

รถหรูคันสีดำที่ถูกประกอบขึ้นมาสามารถกันกระสุนได้อย่างดีเลิศคงบ่งบอกได้ว่าชีวิตของเขานั้นสำคัญไฉน ภายในรถที่ดูกว้างขวางในช่วงเบาะหลัง ร่างสูงสง่านั่งไขว่ห้างสายตาเหลือบมองริมทางอย่างใช้ความคิด นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆ ลงบนท่อนแขนกำยำเป็นจังหวะ

“แหล่งของเรารายงานมาว่าคนพวกนั้นเหมือนกำลังซุ่มจะทำอะไรบางอย่าง”

“..........”

“และวันนี้ พวกมันก็นัดบอสเพื่อไปเจรจาเรื่องอำนาจการแบ่งลูกค่าและเรื่องการซื้อขายเกาะ ผมรู้สึกไม่ไว้ใจ”

“เราถึงต้องไปให้เห็นกับตาว่าคนพวกนั้นจะทำอย่างที่คิดจริงรึเปล่า ยังไงเราก็ถือไพ่เหนือกว่า การบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปไม่เข้าท่าจะพานให้เจ็บตัว เพราะฉะนั้นลดการ์ดเหลือแค่สามให้เข้าไปกับฉันก็พอ”สายตาเย็นยะเยือกของฟรานซิสเป็นเชิงตำหนิอาเธอร์ที่ทำนอกเหนือคำสั่งคือการจัดบอดี้การ์ดเสียมากมายจนดูเกินจำเป็น

“ครับบอส”คำสั่งของฟรานซิสถือเป็นสิทธิ์ขาด ใครก็ตามแต่ไม่สามารถขัดคำสั่งเขาได้



Restaurant

ให้ตายเถอะ ผมหายใจไม่ทั่วท้องราวกับถูกสั่งประหารชีวิต มือของผมทั้งเย็นทั้งเกร็งไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรด้วยซ้ำจนกระทั่ง

ปัง ปัง!

“ทำไมมึงเข้าห้องน้ำนานจังวะ! ออกมาได้แล้ว!”เสียงถีบประตูห้องน้ำบ่งบอกว่าอารมณ์ของคนเฝ้ากำลังตึงเครียดสุดๆ ผมออกมาจากห้องน้ำก็เจอกับปากกระบอกปืนที่เตรียมเล็งจะยิงประตูไม่ก็หัวผม

“มึงจะทำบ้าอะไรวะ คนเข้าห้องน้ำยังจะตามมาอีก”

“หน้าที่กูคือเฝ้ามึงจนงานสำเร็จ ถ้ามึงคิดหนีไปก่อนล่ะก็ เจอยมบาลก่อนวัยอันควรแน่”

“เออๆ กูรู้แล้ว”ผมทำท่ารำคาญเดินหนีออกมา จริงๆ กลัวลูกตะกั่วเฉี่ยวหัวมากกว่า

ตอนนี้ผมไม่ได้ถูกขังอยู่ในห้องโทรมๆ เหมือนก่อนหน้านี้ ผมมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ได้กินอาหารที่พอกินได้ แถมได้มาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารหรูระดับหกดาวอีก แต่ที่มันไม่ปกติก็คือ สิ่งที่ผมทำอยู่ล้วนเป็นการจัดฉากทั้งนั้น นี่คือส่วนหนึ่งในงานใหม่ที่ไม่เต็มใจของผมก็ว่าได้

“โบว์มึงเบี้ยวจัดใหม่”

“รู้แล้วๆ มึงไม่ต้องเอาปากกระบอกปืนมาชี้แทนนิ้วมึงหรอก.....นิ้วด้วนรึไง”ประโยคหลังผมพึมพำเบาๆ เหมือนคุยกับตัวเอง
เชี่ย! ขู่ชิบหาย

ผมจัดการดูแลเรื่องการแต่งกายในยูนิฟอร์มพนักงานร้านอาหารที่ดูดีไม่มีที่ติ ทั้งเสื้อเชิ้ตแขนยาวขาวผ่องติดโบว์สีดำรั้งถึงคอ และมีเสื้อกั๊กสีเข้ากับโบว์สามทับ ทั้งกางเกงสีดำรีดเรียบชนิดที่บาดมืออีก ไหนจะรวมถึงทรงผมที่ปาดเรียบไปด้านหลังเผยสัดส่วนรูปทรงของใบหน้าความคนชัดระดับ HD ถ้าไม่หน้าตาดีจริงผมทรงนี้คงทำผมดับ แต่โชคดีหน่อยที่ผมก็จัดอยู่ในกลุ่มคนหน้าตาดูได้ถึงจะไม่ได้ระดับพระกาฬก็เหอะ

“ฮัลโหลว่าไง.....ได้ อืม”ผมเหลือบตาไปมองด้วยความอยากรู้และทำทีเป็นจัดเสื้อ

“มีอะไร”ผมเลิกคิ้วถาม

“ไปทำหน้าทีของมึงได้แล้ว จำไว้ถ้ามึงเสือกพูดอะไรที่มันไม่เข้าท่าหรือเผยความลับรับรองว่าไม่ใช่มึงคนเดียวที่ไปเฝ้ายมบาลแน่ กูเตือนแค่นี้ ไป!”

มันผลักผมด้วยกระบอกปืนให้ไปทำหน้าที่ แค่งานบริการมันไม่เกินกำลังผมหรอก แต่เบื้องหลังของงานนี่สิที่แม่งทำผมซี๊ดไปถึงหัวใจ แค่คิดตัวผมก็สั่นแล้ว

และตอนนี้ ภายในร้านผี ผมขอเรียกแบบนั้นเพราะมันเงียบจริงๆ ผมกำลังยืนทำใจอยู่หน้าบาร์น้ำ รอสัญญาณเพื่อทำหน้าที่ให้บริการแขกพิเศษในคืนนี้ แน่นอนว่าเป้าหมายของผมคงไม่พ้นแขกที่มาคืนนี้ ผมได้ฟังกิตติศัพท์มากจากพวกสวะนั่นมาบ้างแล้ว กำลังใจของการใช้ชีวิตให้รอดของผมเป็นศูนย์แทบทันที จะให้ผมเข้าไปอยู่ในถ้ำของเสือ พวกมันคงอยากจะฆ่าผมให้ตายในรูปแบบนี้สินะ

นี่ผมคิดดีแล้วใช่มั้ยถึงได้ตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ พวกนี้ หากคืนนี้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับผมผมจะทำยังไง แค่คิดผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่จริงๆ

ผมได้แต่ครวญครางในใจ ก่อนที่จะที่ผู้จัดการร้านจะมาเรียก ผมไม่รู้ว่าไอ้ผู้จัดการร้านติ๋มแตกนี่จะเป็นหนึ่งในแผนการด้วยรึเปล่า แต่ดูเหมือนมันไม่รับรู้ถึงความตึงเครียดห่าเหวอะไรเลย หรือว่าที่นี่มีแค่ผมคนเดียวที่ปลอม!

“พนักงานใหม่ จะมายืนเซ่อทำไมแขกมาโน่นแล้ว แบบนี้จะไหวมั้ยห๊ะ....เด็กเส้นก็อย่างนี้ล่ะนะ”แล้วผู้จัดการร้านก็บ่นงึมงำแล้วจากไป

เชี่ย! ผมว่ามันใช่อย่างที่คิดเลยว่ะ นี่กูเป็นเหยื่ออยู่ตัวเดียวสินะ

“ครับขอโทษครับ!”หน้าที่ของผมคือเป็นบริกรบริการเครื่องดื่ม พวกมันบอกว่าผมจะได้อยู่ใกล้ชิด แต่ผมว่าการอยู่ห่างๆ มันก็จะดีกว่า แต่ผมเลือกไม่ได้นี่สิ

เพียงเวลาไม่นานเสียงกระดิ่งของประตูร้านก็ดังขึ้นไอ้ชั่วที่บงการชีวิตผมก็เดินเข้ามาในร้านเสมือนแขกทั่วไป พร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสี่คน มันเดินมานั่งตรงโต๊ะด้านในที่จัดไว้ ผมเลยต้องเดินไปทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม

“ฮึ ดูดีนิ ไม่เลว”ไอ้แก่นั่นเอ่ยปากชม แต่ผมไม่ดีใจสักนิดกลับกัดฟันกรอดด้วยความชังเสียมากกว่า พูดอย่างเดียวไม่ว่าแต่แม่งเอามือมาลูบสะโพกผมด้วยจนผมเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ

“เฮ้ย!”

“ไม่ต้อง”ไอ้แก่นั้นสั่งห้ามลูกน้องที่ทำท่าเหมือนจะชักอะไรบางอย่างออกมาจากใต้สูทนั่น ผมถึงกับหน้าซีด
อย่าบอกนะว่าไอ้แก่นี่มันวิตถาร คนปกติที่ไหนเอามือมาลูบตูดคนอื่นวะ แถมผู้ชายอีก!

“พวกมันมากันแล้วครับ”มีคนๆ หนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมารายงานเรื่องให้ทราบด้วยท่าทางตึงเครียด ผมถึงกับกลั้นหายใจประหม่าจนเหงื่อตก

ไม่ถึงห้านาที กลุ่มชายสองคนท่าทางดูดีมีมาดก็เดินเข้ามาก่อนจะเปิดทางให้ใครคนหนึ่งเดินนำ ไอ้แก่นั่นลุกขึ้นจากเก้าอี้เผยรอยยิ้มที่ดูยังไงก็หลอกลวงไปให้กับแขกคนสำคัญที่เพิ่งเดินเข้ามา ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าของคนๆ นั้น สาบานว่ากรามของผมแทบค้างเมื่อได้เห็น คำว่าไม่มีที่ติมันอยู่ตรงหน้าของผมตรงนี้นี่เอง สิ่งที่ชายทั้งโลกปรารถนาไม่ว่าจะหน้าตา รูปร่าง ส่วนสูง มันอยู่ที่เขาแทบจะทุกประการ

ผู้ชายอะไรวะดูดีเป็นบ้า แถมยังหน้าตาอย่างกับนายแบบทะลุปกนิตยสารต่างประเทศ

ผมสลัดความคิดตัวเองที่เริ่มฟุ้งซ่าน เมื่อมีสายตากดดันจ้องมาทางผม ผมจึงรีบทำหน้าที่ตัวเองอย่างว่องไวกดเก็บความเกร็งไว้ภายในอกสุดแรง ทำเหมือนเรื่องทุกอย่างปกติ ผมเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ให้กับเขา ก่อนจะจัดการบริการเครื่องดื่มเป็นไวท์แดงที่ขวนหนึ่งตกราคาเกือบแสน มือผมมันสั่นเล็กน้อยจนปากขวดกระทบกับขอบแก้วดัง ‘กิ้ง’ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเผลอหันไปมองแขกคนสำคัญ

และวินาทีนั้นสายตาของผมก็ประสานเข้าให้กับเขา ทุกอย่างยิ่งกว่าหิมะตกในประเทศไทย ความรู้สึกเย็นยะเยือกและดุดันวิ่งพล่านผ่านทางดวงตาผมทันที ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแทบจะดูดผมเข้าไปให้ตกอยู่ในภวังค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนมีเสียงๆ หนึ่งที่กระชากผมออกมา

“แฮ่ม! คุณฟรานซิส.....อย่าไปถือสาพนักงานเลยเรื่องของเราสำคัญกว่า....ไปได้แล้ว”ไอ้แก่นั่นโบ้ยหน้าไล่ ผมถอยออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียวโค้งคัมนับอย่างสุภาพก่อนเดินออกไป

เอาแล้วไงไอ้ธัญ มึงทำอะไรลงไปตั้งสติหน่อยสิวะ อยากจะยีหัวตัวเองแรงๆ ให้ตายเถอะ!
 
ผมพยายามเตือนตัวเอง และพยายามสลัดภาพฟรานซิสออกไป ผมได้ยินว่าเขาชื่นฟรานซิสมันเป็นชื่อที่ผมคงจะจำไปอีกนาน
 
“ฟูว์....แต่ผู้ชายอะไรวะแม่งเสน่ห์แรงชิบหาย”ผมพึมพำกับตัวเองแล้วลูบอกที่หัวใจแทบระเบิดเหมือนเจอดาราฮอลลีวูด
เพียงไม่นานอาหารก็ค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟ ผมต้องเข้าไปเพื่อเติมเครื่องดื่มที่ถูกจิบจนเกือบหมดแก้ว บทสนทนาบนโต๊ะอาหารจึงผ่านเข้าหูผมอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“จากทั้งหมด ฉันคิดว่านายได้มันไปมากกว่าครึ่ง ทำไมถึงไม่คิดว่าการที่ทำแบบนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติพวกเราบ้าง”

“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิตใจคน เราบังคับไม่ได้หรอกนะ ความน่าเชื่อถือของเรามันต่างกัน ถ้าหากผมตกลงก็ใช่ว่าคนที่ผิดสัญญาจะเป็นฝ่ายเรา”

“เฮ๊อะ! คุณฟรานซิสคงไม่ได้หมายถึงพวกเราไม่มีเครดิตพอที่จะมัดใจลูกค้าได้เองอย่างนั้นเหรอ และการที่เราเป็นแค่บริษัทเงินทุนเล็กๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาคุณหรือลูกค้าส่วนใหญ่ คุณหมายถึงแบบนั้นใช่มั้ย”

“คุณก็น่าจะฉลาดพอ ผมคงไม่ต้องพูดรายละเอียดในส่วนนั้น และการที่คุณขอให้ผมปฏิเสธลูกค้าที่เต็มใจมาทำธุรกิจกับผมเพียงเพราะอยู่ในพื้นที่ที่คุณดูแล แบบนั้นมันไม่น่าตลกไปหน่อยรึไง คุณคงต้องกลับไปคิดเรื่องพวกนี้ใหม่แล้วในฐานะนักธุรกิจไม่ใช่ในฐานะผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และผมอยากให้คุณไปคิดให้มากก่อนจะมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง ผมยินดีเป็นผู้ร่วมทำธุรกิจ แต่ไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือทางธุรกิจอย่างที่คุณอยากจะให้เราเป็น ทุกอย่างคือการแข่งขันคุณก็รู้”

ท่าทางตอนนี้บนโต๊ะอาหารแทบจะล้มโต๊ะกันอยู่แล้ว ผมสังเกตได้จากสีหน้าของไอ้แก่นั่นที่เอ็นปูดขึ้นตรงขมับแถมยังหน้าแดงสุดๆ

ตึง!

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ไอ้แก่นั่นก็ลุกขึ้นตบโต๊ะแล้วตะคอกเสียงดัง มันกำลังจะเริ่มเกมแล้วใช่มั้ย?

“แกคิดว่าพวกฉันเป็นใครถึงได้พูดจาไร้ความคิดแบบนั้น เด็กอย่างแกที่เพิ่งทำธุรกิจอย่ามาทำตัวเหมือนที่นี่เป็นสนามเด็กเล่น มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ”

“ฮึ! ที่ผมมาวันนี้ก็ไม่ได้หวังอะไรจากคุณอยู่แล้ว และอีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดให้ชัดเจน เกาะจันทร์ฉายที่ทางเรากำลังจะลงทุนกว้านซื้อผมจะนับคุณในฐานะคู่แข่งหากคุณอยากจะได้ที่ตรงนั้นเหมือนกับเรา”ดูเหมือนฟรานซิสแทบจะไม่สะทกสะท้านกับคำสบถด่านั่นเลย แถมยังพูดเหมือนประกาศสงครามกันชัดๆ

“แกพูดว่าอะไรนะ!”

“ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่ม”ฟรานซิสจิบไวท์ในแก้วเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนจะปล่อยแก้วไวท์ในมือให้ร่วงลงพื้นแทนที่จะวางไว้บนโต๊ะเหมือนก่อนหน้า

“คนอย่างแก อย่าคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ง่ายๆ!”

ทันใดนั้นฝ่ายบอดี้การ์ดไอ้แก่ก็ล้วงปืนออกมาเล็งไปที่ฟรานซิส ส่วนบอดี้การ์ดของฟรานซิสก็ไวไม่แพ้กันส่งปากกระบอกปืนสวนกลับไปทางด้านไอ้แก่และคนอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างรู้เกม

เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วเข่าผมแทบทรุด ถึงแม้จะรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นก็ตาม เอาจริงๆ นี่มันเกินไปมั้ย เรื่องจริงนะเว้ยไม่ใช่ละคร! ใครมันจะใจเย็นยืนมองดูสถานการณ์แบบนี้ได้หน้าตาเฉย

ให้ตายเถอะ! ใครก็ได้ต่อยผมให้ตื่นจากความฝันบ้าๆ นี้สักที!!!!

“ฟังให้ดี.....แผนนี้จะไม่มีวันล่ม มึงจะต้องเข้าใกล้ฟรานซิสและพามันหนีให้ได้ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มพวกมัน เข้าไปแล้วก็อย่าให้เรื่องมันแดง ถ้ามึงทำงานนี้พลาดก็จะไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ชีวิตคนรอบตัวมึงก็จะพลอยซวยไปด้วยเข้าใจมั้ย!”

“ทำไมจะต้องเอาคนไม่เกี่ยวข้องมาพัวพันด้วยวะ พวกมึงไม่แฟร์!”

“พวกกูทำได้ทุกอย่าเพื่อผลประโยชน์ และถ้ามึงทำตัวไม่มีประโยชน์พวกกูก็จะเป่าทิ้ง!”

บทสนทนาก่อนหน้านี้ที่พวกมันขู่ ยังดังอยู่ในหัวผมอยู่เลย แม่งกดดันสุดติ่งแล้วแบบนี้จะทำงานได้ไงวะ!

วินาทีที่ผมหันไปสบตาไอ้แก่นั่น มันก็ให้สัญญาณผมโดยการส่งสายตาและกระตุกคิ้วเป็นนัย ผมนี่แม่งใจหมาเพราะขาแทบจะไม่ทำงาน แต่ดีที่มีไอ้เหี้ยมตัวไหนไม่ทราบเล่นมาประกบด้านหลังผมแล้วเอาของแข็งสีเงินมาจ่อตรงท้ายทอย ผมไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ตอนนี้แม่งดูกลมกลืนไปหมด ไม่รู้ว่าไอ้คนข้างหลังผมเนี่ยมันเซ็ทฉากหรือของจริงกันแน่

“นี่สินะสิ่งที่คุณเฉินต้องการจริงๆ”

“ใช่! ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ แกก็สมควรจะรู้ว่าผู้ใหญ่เขาจะเล่นกันยังไง”

“น่าตลกจริงๆ ที่เด็กอย่างผมคงไม่อยากเล่นด้วย”ฟรานซิสทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ทำให้ผมรู้ว่าสถานการณ์เริ่มวิกฤติขั้นรุนแรงแล้ว แต่เขาไม่มีแม้แต่จะวิ่งหนีหรือมีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเลิกเล่น.....และเอาจริง!”สิ้นเสียงไอ้แก่นั่นกระสุนเม็ดแรกที่ดังขึ้นทำเอาผมมุดตัวลงหลบใต้โต๊ะอย่างเอาตัวรอด แต่แม่งไอ้ตัวที่ประกบด้านหลังผมมันลากขาผมออกมา พอเห็นหน้าผมก็จำได้ว่าเป็นตัวเดียวกับที่คุมผมแจก่อนหน้านี้

“ปล่อยกูนะเว้ย!”

“มึงคิดจะหนีหรือไงวะ!”ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยิงกันเปรี้ยงปร้างกลางร้านจะให้กูปุจฉาวิสัจฉนาอะไรกับมึงอีก!

“ถ้าแผนล่มเพราะมึงตอนนี้ กูนี่แหละที่จะเป็นคนฆ่าปิดปากมึงเอง”แล้วมันก็ซัดปากกระบอกปืนมาทางผมเตรียมจะยิง ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเรี่ยวแรงจากไหนมิทราบทำให้ผมผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งผ่าดงกระสุน วิสัยทัศน์การมองเห็นของผมมันช่างพร่าเลือน แต่ภาพรางๆ มันทำให้ผมเห็นว่าตัวเองกำลังวิ่งไปทิศทางไหน

ชายร่างสูงสง่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ผิดเพี้ยนไปแน่ว่าเป็นใคร เข้าดูมีสีหน้าตกใจก่อนจะยื่นมือใหญ่มารับร่างของผม ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกได้เพียงความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงบริเวณแผ่นหลังจนยากจะทานทนความเจ็บนั้นได้

“คุ้มกันบอส!!!”นั่นคือเสียงโหวกแหวกสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ทุกอย่าจะดับวูบไป







มาถึงตอนที่ 2 แล้ว ตัวละครหลังอย่างฟรานซิสก็โผล่มาให้เห็นกันสักที ขอบดีศรีตำบลก็ต้องค่อยๆ มา(เกี่ยวมั้ย)
จากชื่อนิยายที่คิดนาน คิดยาก คิดมาก และติดไม่ตก :serius2: สุดท้ายก็มาลงด้วย My Boss
ไม่รู้ว่าจะเข้ากับแนวพญานกจกปลาไหลรึเปล่า<<<แนวอัลไล :ruready เอาเป็นว่า...
ฝากนักอ่านติดตามให้กำลังใจคนแต่งด้วยนะคะ 1 เม้น = ล้านกำลังใจ จริงๆ ขอบคุณค่ะ :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 2 **23/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 23-07-2016 21:15:34
เฮ้ยยยย สนุกกกกก ลุ้นดีๆเราชอบบบ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 3 **24/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 24-07-2016 18:18:55
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)




3



“โอ๊ย!”

“เป็นยังไงบ้างไอ้ธัน”ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ข้างๆ หลังจากที่ผมรู้สึกตัว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ และใบหน้าที่ผมเห็นกลับเป็นคนที่ผมคิดว่าชีวิตนี้แม่งต้องฆ่ามันให้ได้

“ไอ้โชค! มึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วกูอยู่ที่ไหนวะ!”ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองแม่งนอนอยู่กลางทุ่งสะวันน่าแถวไหนสักแห่ง ไกลสุดตามีแต่ทุ่งหญ้าและภูเขา ผมว่านี่มันบ้าแล้ว!

“ไอ้ธันกูขอโทษว่ะที่ทำกับมึงแบบนี้ แต่กูไม่มีทางเลือก”มันทำหน้าเศร้า แล้วยืนขึ้นทำท่าเหมือนกำลังจะหนีผมไป

“ไอ้โชค มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมาก็หลายปี แต่มึงเลือกที่จะทำกับกูแบบนี้กูไม่มีทางยกโทษให้ มึงมารับผิดชอบสิ่งที่มึงทำสิวะกูถึงจะยกโทษให้ ”แล้วผมก็ลุกขึ้นชี้หน้าด่าให้คนตรงหน้าอย่างเหลืออด

“กูขอโทษ…..”แล้วไอ้โชคมันก็หันหลังให้ผมแล้วเดินไป ผมพยายามเดินตามมองมันไม่คลาดสายตา

“มึงอย่าหนีนะไอ้โชค! ไอ้เพื่อนเลว ไอ้เพื่อนเฮงซวย! มึงทำกับกูแบบนี้ได้ไงวะ กูเพื่อนมึงนะ!”ยิ่งเดินตามมันยิ่งทิ้งระยะห่างจากตัวผม แม้ผมจะวิ่งตามมันแต่ไอ้โชคกลับไกลห่างออกไปทุกทีความรู้สึกของผมตอนนี้มันช่างเจ็บปวด การถูกใครสักคนที่ไว้ใจหักหลังมันเจ็บราวกับกลืนเข็มพันเล่ม

“ไอ้โชคมึงกลับมานะเว้ย! ไอ้โชค ไอ้โชค!!!!”ผมร้องเรียงมันจนแทบขาดใจ เรียกยังไงมันก็ไม่หันมาหาผมเลยสักนิด

“..........”

“ไอ้โชคคคคคค!”



เฮือก!

ฝัน.....นี่ผมฝันไปหรอกเหรอ

ทันทีที่ลืมตา ผมก็รู้ทันทีว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทว่า....มันกลับทำให้ใจของผมรู้สึกเจ็บปวดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อะไรเนี้ย! นี่ผมถึงกับร้องไห้เลยเหรอ ฮึ!
 
ผมหัวเราะเยาะตัวเองอย่างรู้สึกสมเพชก่อนใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาบางๆ ออกทั้งสองแก้มทันที ใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าผมใจเสาะแน่ๆ

“ถ้าเจ็บแผลจะให้ตามหมอมาให้มั้ย?”

“ไม่ต้อง ขอบใจมาก”ผมตอบคำถามที่ลอยมาแทบทันที

แต่เดี๋ยว! ใครถามวะ....แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนเนี้ย ใช่! ก่อนหน้านี้ผมยังอยู่ที่ภัทรตาคารหรูระดับหกดาวอยู่เลย แล้วหลังจากนั้นก็มีศึกดวนปืน แล้วช่วงที่ชุลมุนผมพยายามจะหนี แต่ว่าอยู่ดีๆ ผมก็โง่บรมวิ่งผ่าดงกระสุนไปทางผู้ชายที่ชื่อฟรานซิสแล้วก็รู้สึกว่า.....เหมือนตัวเองจะโดนยิงต่อจากนั้นผมก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว

แล้วคนที่ถามผม ถ้าสมองผมไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ น้ำเสียงฟังแล้วรู้สึกเย็นๆ แบบนี้ อย่าบอกนะว่า

“ฟรานซิส! โอ๊ย!”ผมเอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลังเพราะเหมือนจะถูกจับนอนตะแคง เท่านั้นแหละความเจ็บก็ทำผมกระจ่าง

“อย่าขยับไปมากกว่านี้จะดีกว่า”ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ใช่ฟรานซิสตัวจริงและถ้ามองดูดีๆ ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ๆ แล้วผมอยู่ไหน!

“ขอโทษนะ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าที่นี่ที่ไหน คุณพอจะบอกผมได้มั้ย?”ผมพยายามจะดันตัวเองขึ้นนั่งสุดตัว แต่ดูเหมือนแขนของผมแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง

“เพนท์เฮาส์ของฉันเอง”ฟรานซิสลุกขึ้นเดินมาแล้วใช้แขนสองข้างของเขากดตัวผมให้จมลงกับเตียงขนาดคิงไซส์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าของเขาชัดขึ้นไปอีก ทำเอาผมทึ่งจนพูดไม่ออก ยิ่งกลิ่นโคโลญที่ฟุ้งมาจากตัวเขายิ่งทำให้ผมหัวใจแทบหยุดเต้น
ผมยอมรับว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา ขนาดผมยังรู้สึกได้

“แล้ว....ทำไมผมถึงมาอยู่นี่ได้”ผมถามต่อแต่สายตายังคงจับจ้องที่ฟรานซิส สำรวจคนตรงหน้าอย่างละเอียด ผมคงไม่ทำอะไรที่ดูน่าเกลียดใช่มั้ย?

“นายชื่ออะไร?”ผมว่าเมื่อกี้ผมยังไม่ได้คำตอบจากเขา

“เอ่อ....ธัน ผมชื่อธัน”

“นายทำงานอยู่ที่ร้านนั่น?”

“อืม....แต่เพิ่งเข้าไปทำงานยังไม่ผ่านโปรฯ”ผมหมายถึงโปรฯของการทำงานใช้หนี้

“นายมีครอบครัวรึเปล่า”

“มี ผมมีพ่อกับแม่อยู่ต่างจังหวัด”

“นายอายุเท่าไหร่?”

“22 ย่าง 23”

แอ๊ะ! แล้วทำไมเขาถึงถามผมเยอะขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเขาสงสัย?

“ดะเดี๋ยวนะ.....คุณอยากจะรู้เรื่องของผมไปทำไม”

“นายมีเหตุผลอะไร ทำไมถึงช่วยฉัน?”

ช่วย?

ถ้าหมายถึงการที่ผมมานอนเจ็บอยู่แบบนี้ผมสาบานว่าทุกอย่างเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ถึงจริงๆ แล้วในแผนการที่ไอ้แก่นั่นวางไว้ว่าให้ผมทำตัวเป็นฮีโร่ผู้ไม่รู้ประสีประสาเข้าไปช่วยฟรานซิสจากการปะทะ แต่ในแผนบอกว่าให้ผมพาเขาหนีและตีตัวเขาสนิทสนม แต่ไอ้การที่อยู่ดีๆ ผมกลายเป็นคนพลเมืองดีวิ่งเข้าไปบังกระสุนให้นี่มันผิดพลาดทางเทคนิคจริงๆ

ใครบ้าที่ไหนจะเอาตัวไปบังกระสุนให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันบ้าง พ่อแม่ก็ไม่ใช่! แต่แม่งสถานการณ์เมื่อคืนผมดูเป็นคนดีสุดๆ

“ฮ่าๆ กะก็คนมันตกใจ ผมเห็นไอ้บ้าไหนก็ไม่รู้มันหันกระบอกปืนไปทางคุณผมก็เลย.....”ผมหัวเราะฝืดๆ ไหลตามน้ำไป

“ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาทำกันแบบนั้น”ผมถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อฟรานซิสใช้สายตากร้าวมองมาทางผม ผมรู้ว่าตัวเองหลบตาเขา

“.....”

“แต่....ก็ขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้ อยากได้อะไรตอบแทนว่ามา”

ห๊า! นี่ตกลงเชื่อแล้วเหรอ

“ของตอบแทนอะไรกัน ผมไม่อยากได้หรอกนะ”

ผมต้องเล่นละครไปตามน้ำใช่มั้ย นรกคงกวักมือเรียกหยอยๆ แล้วสินะ

“แล้วนายต้องการอะไร บ้าน รถ ที่ดิน.....หรือผู้หญิงสักคน”

“แฮ่ก   ๆ”ผมถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อเขาพูดถึงผู้หญิง ถึงผมจะไม่มีแฟนในตอนนี้แต่อดีตผมก็เคยมีเหมือนกันนะเฟ้ย! หน้าตาผมมันดูอดอยากปากแห้งขนาดนั้นเลยรึไง“ขอโทษนะครับ ผมไม่ต้องการสิ่งที่คุณเสนอมาทั้งหมดนั่นแหละ”

“แล้วอะไรที่นายต้องการ”

สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือการอยู่รอดของผมต่างหาก

“ผมอยากได้งานทำ”

“ฮึ”ฟรานซิสถึงกับหัวเราะแต่ไม่ได้โจ่งแจ้ง ถึงเขาจะหัวเราะยังไงก็ไม่ทำลายภาพพจน์ของเขาอยู่ดี“แค่นั้นใช่มั้ยที่นายต้องการ ก็ได้ฉันจะให้คนหางานดีๆ ให้นายสักแห่งแล้วกัน”

เขาพูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป
 
“ดะเดี๋ยว ผมมีเรื่องอยากจะขออีกเรื่อง”ผมกำหมัดแน่นเรียกความกล้าทั้งหมดที่มีออกมา ไม่รู้ว่าหน้าของผมถอดสีมากแค่ไหนแต่ยังไงผมก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เดิมพันของผมไม่ใช่แค่ชีวิตของผมคนเดียว

“หืม?”

“งานที่ผมอยากทำต้องไม่ใช่ข้างนอกนั่น”ผมหันไปมองหน้าต่างบ้านยักษ์ที่มองออกไปเป็นทิวทัศน์ของตึกสูงราวกับปติมากรรมภาพวาด“แต่ผม....ผมอยากทำงานที่นี่กับคุณ”

สาบานว่าผมเห็นแววตาของฟรานซิสที่มองผมแทบจะทะลุถึงข้างใน ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่หลังจากผมขอเรื่องนี้ มือของผมจิกผ้าห่มผืนหนาของเขาเสียยับ แสดงถึงอาการกระวนกระวายใจบางอย่าง มันคงแปลกอยู่แล้วที่อยู่ดีๆ ก็มาขอทำงานกับเขาดื้อๆ

“ถะถ้าคุณไม่ว่า.....งานบ้านผมทำได้หมดทุกอย่าง เรื่องทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูพื้น ล้างห้องน้ำผมก็ทำได้หมด”

“ทำไมนายถึงอยากทำงานพวกนั้นที่นี่ ฉันมีคนทำความสะอาดที่ไว้ใจได้อยู่แล้ว”

“ผมไม่อยากจะกลับไปทำงานที่มันเสี่ยงจะเจอกับเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีก ไม่รู้ว่าการที่ผมรอดมาได้นั้นผมกลับออกไปอาจจะโดนพวกบ้านั่นตามมาทำร้ายผมก็ได้ มันอาจจะคิดว่าผมช่วยคุณไว้เพราะผมเป็นพวกของคุณ ผมยังไม่อยากตายตอนนี้หรอกนะ”
ไอ้ธัน! มึงได้ร้างวันออสสะกาก้าแน่ปีนี้!

“..........”ฟรานซิสยืนมองผมแต่ไม่ได้พูดอะไร เขานิ่งเสียจนผมอ่านความคิดเขาไม่ออก

“แต่ถ้าหาก.....สิ่งที่ผมขอคุณมันมากไปกับการช่วยคุณให้พ้นจากกระสุนนั่น ผมก็คงต้องเดินหน้ารับชะตากรรมตัวเอง”ผมคอตกราวกับเล่าปัญหาชีวิตที่มืดแปดด้าน

“ฉันจะลองไปคิดดู แต่ถ้านายไม่เป็นอะไรมากแล้วเดี๋ยวจะให้คนไปส่ง”

“คุณฟรานซิส….”ผมเรียกเขาเบาๆ ราวกับไม่กล้ากวนใจ ผมเดาความคิดฟรานซิสไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร สำหรับคนฉลาดๆ คงไม่คิดจะตอบปากรับคำอะไรง่ายๆ แน่



สาบานว่าผมยังคงเจ็บแผลที่หลังอยู่ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเองหลับไป 2 วันเต็มๆ คนของฟรานซิสบอกว่าโชคดีที่กระสุนไม่ได้เข้าจุดสำคัญแค่ถากๆ ไปเท่านั้น แต่ทำไม่ความเจ็บมันถึงได้อลังการขนาดนั้นผมก็ไม่รู้ อย่างกับโดนเย็บไปสิบเข็ม
 
คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าผมออกมาจากเพ้นท์เฮาส์ของฟรานซิสยังไง เขาให้ลูกน้องของเขาเอาผ้ามาคลุมหัวผมไว้แล้วแบกขึ้นรถมาทิ้งไว้ในที่ๆ ผมต้องการ ถ้าผมจำกลิ่นคงพอจะหาทางกลับไปยังที่ที่ผมออกมาได้นานแล้ว

เฮ้อ! แล้วผมต้องทำยังไงต่อไปกับชีวิตห่วยๆ นี่ดี ถ้าไม่ติดว่าทุกอย่างมันจะเกี่ยวพันกับคนรอบตัว ผมคงจะเสนอตัวให้มันฆ่าผมไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

“ไอ้ธัน! นั่นมึงป่ะ”ผมหันไปตามเสียงเรียก และก็เจอกับไอ้จูนเพื่อนผู้หญิงที่ผม ไอ้บัส ไอ้ปอนสนิทด้วยที่มหาลัยซึ่งเรียกอยู่คณะเดียวกัน แถมยังเป็นคนที่คอยจดเลคเชอร์ให้ผมลอกเกือบทุกวิชา ดูเหมือนจะเป็นการเจอกันที่ผมไม่พร้อมสักเท่าไหร่

“ไอ้จูน มาทำอะไรแถวนี้วะ”

“ออกมาซื้อของ ว่าแต่มึงเถอะหายไปไหนมาหลายวัน โทรไปถามไอ้บัส มันก็บอกว่ามึงไปธุระต่างจังหวัดจริงรึเปล่า”ไอ้จูนมีสีหน้าสงสัย ก็แน่ล่ะสภาพผมคงไม่เหมาะที่จะเดินไปไหนมาไหนด้วยซ้ำ ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูใหม่เอี่ยมเพราะเพิ่งจะซื้อแกะกล่อง แต่หน้าตานี่ไม่เข้ากันเลย ศพมากๆ

“อืม.....ก็ไปจริงธุระส่วนตัวน่ะ”

“ถ้าไปไหนคราวหลังก็บอกกันด้วยสิวะ คนเขาเป็นห่วง”ผู้หญิงที่ดูห้าวๆ แก่นๆ แถมยังเรียนเก่งชนิดที่ขัดกับบุคลิก คงไม่ต้องพูดถึงว่าอนาคตจะไกลขนาดไหน ผมมองไอ้จูนแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที

“นา....ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามีอะไรจะโทรบอกแล้วกัน ขอบใจมากกูต้องไปหาไอ้บัสมันแล้ว นัดไว้”ผมแกล้งมองเวลาแต่ปรากฏว่านาฬิกาที่เคยใส่กลับไม่มี พอนึกดูอีกทีแม้แต่กระเป๋าตังค์ก็ยังหาย

อย่าบอกนะว่ายังอยู่ที่ฟรานซิส ซวยแล้วมั้ยล่ะ!

“ไอ้จูนเดี๋ยว!”ผมเรียกไอ้จูนไว้ก่อนที่มันจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง

“อะไร?”

“พอดีทำกระเป๋าตังค์หายน่ะ ขอยืมเงินค่าแท็กซี่หน่อยดิเดี๋ยวจะคืนให้”

“หาย! แล้วไปแจ้งความรึยัง”

“เอ่อยัง แต่ไม่เป็นไรไม่ได้มีอะไรสำคัญ ตังค์ก็มีไม่กี่บาทฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน ขอบใจมาก”ผมยิ้มให้ไอ้จูนก่อนจะโบกมือลาเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนมันจะสะเทือนไปถึงแผล





>>>>>to be continued :katai4:
ฝากติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 4 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 25-07-2016 22:14:51
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



4




ตอนนี้ผมมาลงแท็กซี่ตรงหน้าร้านบาร์‘บิโลน’สถานที่ทำงานเก่าที่คุ้นตา ผมอยากจะเดินเข้าไปแต่ก็รู้สึกใจไม่กล้า ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ความเสียหายจะเยอะขนาดไหน

เอาวะ! เขาไปขอโทษเจ้าของร้านสักคำก็ยังดี

“ไอ้ธัน!!!!”พอผมก้าวเท้าเข้าไปในร้านเท่านั้นแหละ เสียงตะโกนเรียกของไอ้บัสก็ดังขึ้นอย่างดีใจแถมมันโถมตัวของมันเข้ามากอดผมเสียเต็มรักจนผมเผลอร้องโอ๊ย ดีนะที่ตอนนี้ร้านยังไม่ทันเปิด

“เป็นอะไรวะ มึงเจ็บตรงไหนรึเปล่า รู้มั้ยกูใจไม่ดีเลยที่มึงหายไปสามสี่สันวันไม่ติดต่อมา”

“เปล่ากูสบายดี แค่หลบไปกบดานเท่านั้นแหละ”ทุกคนไม่รู้อะไรจะเป็นดีที่สุด

“ไอ้ธันมาแล้วเหรอวะ แม่งหายหัวเลย”ไอ้ปอนเพื่อนอีกคนที่โพล่มาแบบเซอร์ไพรส์ เพราะปกติมันไม่ได้ทำงานที่นี่

“มึงมาทำงานที่นี่ได้ไงวะไอ้ปอน”

“ก็ไอ้บัสให้กูมาทำแทนมึง มึงเล่นหนีแล้วหายหัวไม่ติดต่อ”

“มันมีเรื่องนิดหน่อยวะ”

“ช่างเถอะ แล้วตกลงกับไอ้พวกเวรนั่นเป็นไงบ้าง”ไอ้บัสถามขึ้นโยนไม้กวาดทิ้งอย่างจริงจัง

“วันนั้นหนีไม่รอดว่ะเลยโดนไปนิดหน่อย แต่ก็ไปตกลงกับพวกมันมาแล้ว”

“เชี่ย! โดนซ้อม”ไอ้ปอนทำท่าสยอง

“เออ แต่ไม่เป็นไรหายแล้ว กูป๊อดที่ไหน”ผมยิ้มฝืนๆ

“แล้วไอ้โชค?”

“มึงยังจะถามหามันอีกเหรอวะไอ้เชี่ยปอน!”ไอ้บัสหันไปตบหัวไปปอนทีนึง

“กูก็นึกว่ามันจะกลับมารับผิดชอบโกยขี้ของมันแล้ว”

“โกยห่าอะไร อยู่บนหัวไอ้ธันเต็มๆ”

“พวกมึงสองตัวพอได้แล้ว กูดูเป็นตัวสกปรกเลยว่ะ”

“แล้วนี่มึงจะทำไงต่อวะ”

“กูจะมาขอโทษพี่เงาะก่อนเลยว่ะ แม่งวันนั้นกูว่าร้านเละแน่”ผมถอนหายใจอย่างยาว ไม่อยากนึกภาพ

“ก็ไม่เท่าไหร่ เบียร์ 5 ลัง แก้วหน้าบาร์ทั้งแถบ เก้าอี้พังไป 3 ตัว กับโต๊ะอีก 2 ”ไอ้บัสเล่าหน้าตาย

“พอๆ อย่าเล่าเลยกูเจ็บ แล้วนี่พี่เงาะอยู่มั้ย?”

“หลังร้านโน่นกำลังเช็คสต็อคของในครัว ไปให้ไวแกกำลังอารมณ์ดีที่เมื่อคืนลูกค้าเยอะ”

“เออๆ ขอบใจ มึงไปเตรียมร้านได้แล้ว เอาใจพี่เงาะทางอ้อมแทนกูหน่อย”

ผมส่งไอ้สองตัวนั่นไปทำงานแล้วพาร่างกายที่ดูเหน็ดเหนื่อยไปหาพี่เงาะในครัว ระหว่างทางก็เจอกับเพื่อนร่วมงานในร้านที่ทักทายผมถามสารทุกข์สุขดิบพากันเห็นใจ

“พี่เงาะ”ผมส่งเสียงเรียกพี่เงาะที่กำลังยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า พอพี่เงาะเห็นผมก็ดูมีท่าทีนิ่งสงบแล้วเดินออกมา นำผมไปคุยหลังร้านเป็นการส่วนตัว

พี่เงาะเป็นเจ้าของร้านสไตล์ขาลุย เป็นผู้หญิงหัวทันสมัยและก็ไม่ตกยุคเรื่องการแต่งตัวจึงดูกระชากวัยตลอดเวลาทั้งๆ ที่พี่แกก็อายุ 30 จะย่าง 40 แล้ว พี่เงาะเป็นเจ้าของร้านที่ผมทำงานด้วยได้นานที่สุด และเป็นเจ้าของร้านที่ใจกว้างกับลูกน้องและมีความยุติธรรมจนทุกคนในร้านนับถือแกเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ว่าได้

“เป็นไงก่อเรื่องแล้วหายไปหลายวัน พี่นึกว่าจะไม่กลับมาแล้วซะอีก รู้มั้ยว่าวันนั้นวุ่นวายมาก ดีนะที่เด็กในร้านไม่มีใครเป็นอะไร”พี่เงาะเหวียงทันที

“..........”ผมจะทำไงได้ล่ะก็เงียบสิครับ

“ข้าวของก็เสียหายไปหลายรายการ แก้วเอย เก้าอี้เอย โต๊ะเอยทำเอายุ่งเหยิงไปหมด”

“ครับพี่เงาะ ผมรู้ผมเลยจะมาขอโทษ”

“แล้วหายมั้ย?”

“..........”

“เงียบคือ?”

“ขอโทษครับ ผมรู้ว่าผมผิด ถ้าพี่เงาะจะหักเงินจากเงินเดือนผมก็ยินดี”

“หักไปแล้วจะพอมั้ย”

“ผมรู้ว่ามันน้อยแต่ว่า.....”

“ก็เพราะมันน้อยไงแล้วจะพอมั้ย หักไปกำไรก็ไม่คืน ทุนก็ไม่เสมอ เอาไป!”อยู่ดีๆ พี่เงาะก็จับมือผมแล้วยัดบางอย่างใส่มือ ปรากฏว่ามันเป็นเงินจำนวนหนึ่งซึ่งมันมากกว่าเงินที่ผมควรจะได้ในแต่ละเดือนเสียอีก

“พี่เงาะ?”ผมมองหน้าพี่เงาะแต่พูดอะไรไม่ออก ผมรู้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังทำให้ผมเข่าแทบอ่อน

“พี่ได้ยินเรื่องจากไอ้บัสมันแล้ว พี่ไม่รู้ว่าจะช่วยธันได้ยังไงถ้ามีอะไรที่พี่พอจะช่วยได้ก็บอกแล้วกัน แต่ไม่เอาพังร้านอีกนะพี่ขี้เกียจซื้อของใหม่”

“แต่พี่เงาะมันเยอะ.....”

“ให้แล้วไม่เอาคืน ถ้าจะคืนก็คืนด้วยแรงงาน กลับไปทำงานไป”

“ครับ….ผมสัญญาว่าผมจะทำงานเต็มที่เพื่อตอบแทนพี่ แต่ถ้าวันไหนผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำให้พี่เงาะเดือดร้อนผมขอเดินออกไปนะพี่....ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นมันจะเร็วหรือช้า”

“อืม ให้ถึงวันนั้นค่อยว่ากันพี่ชอบให้โอกาสคน โดยเฉพาะคนใจแมนๆ อย่างธัน”ผมยิ้มจนน้ำตาแทบร่วง มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังได้เจอคนดีๆ อย่างพี่เงาะบ้างแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าชีวิตผมดีขึ้นมากแล้ว



อ้า....รู้สึกปวดเมื่อยทั้งตัวแถมยังเจ็บแผลที่แถวๆ ซี่โครงซ้ายขึ้นมาอีกด้วย ผมคงโหมงานหนักไปจริงๆ แทบจะไม่ได้พัก กลางวันก็ไปเรียนส่วนตกเย็นจนถึงตีสองก็ทำงาน แต่โชคดีที่บางวันมีเรียนเที่ยงบ้างเช้าบ้างสลับกันไป ไม่งั้นผมคงน็อค แต่ถึงยังไงการใช่ชีวิตของผมมันก็เปลี่ยนไป ผมรู้สึกตัวเองหวาดระแวงอยู่ทุกวัน การที่ผมออกมาเดินตามถนนเพื่อไปมหาลัย และไปทำงานผมรู้สึกเหมือนมีคนตามผมอยู่ตลอดเวลา ผมรู้ดีว่าอาจจะเป็นเพราะผมคิดไปเองด้วยความกลัว

แต่ที่แน่ๆ สักวันพวกไอ้แก่นั่นคงกลับมาลากตัวผมถ้ามันรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แถมยังมาอู้งานมันอีก

“เฮ้ย!”ห่างไปหนึ่งร้อยเมตร แสงไฟจากประตูบ้านเช่าที่ทั้งเก่าทั้งโทรมซึ่งเป็นที่พักของผมมันสว่างอยู่ ผมจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านผมปิดมันไปแล้ว ไม่มีทางที่ผมจะลืม

“เกิดอะไรขึ้นวะ!”ผมวิ่งหน้าตั้งไปดูที่เกิดเหตุ และเห็นว่าข้าวของภายในบ้านถูกโยนออกมากองไว้หน้าบ้านกระจัดกระจายในเวลาตอนตี 2

“ทำอะไร!”

“มาก็ดีแล้วจะได้ย้ายๆ ออกไปสักที”

“ย้ายอะไร ผมบอกตอนไหนว่าย้าย?”บุคคลที่ผมโต้เถียงด้วยไม่ใช่ใคร แต่เป็นเจ้าของห้องเช่าโกโรโกโสนี่

“ฉันบอกให้ย้ายก็ย้ายสิ ค่าเช้าเดือนที่แล้วกับเดือนนี้ฉันยังไม่ได้รับสักบาท จะทนให้มาอยู่ฟรีๆ ได้ยังไง”

“ก็เราตกลงกันแล้วว่าอีก 1 อาทิตย์ผมจะให้”

“ไม่รงไม่รอมันแล้ว เอ้า! ขนของออกไปซะ พรุ่งนี้จะมีคนย้ายมาอยู่แทนแล้ว”เจ้าของห้องเช่ายืนกอดอกด่าทอผมเสียยกใหญ่แต่สายตาที่คุยกับผมดูมีพิรุธจนผมสังเกตได้ เธอมองไปที่ด้านหลังของผมราวกับไม่ได้มีแค่เราที่ยืนถกเถียงกัน ผมเลยต้องหันไปมองตามอย่างสงสัย และนั่นก็ทำให้ความจริงกระจ่างทันที

ไม่ผิด! นั่นมันพวกของไอ้แก่เฉิน พวกมันใช้วิธีนี่สินะที่ให้รู้ว่าพวกมันยังจับตาดูผมอยู่และบีบทางหนีรอดของผมให้เล็กลง


“เป็นไงมึงหายไปหลายวันไม่คิดจะติดต่อพวกกูเลยเหรอวะ”ในตรอกซอยแคบๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นอับของขยะ ผมถูกพาตัวมาคุยเงียบๆ กับไอ้พวกหน้าเหี้ยมสามคนที่นี่ แสงไฟตรงปากซอยจากถนนไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกอุ่นใจเลยสักนิด

“ใครว่าไม่อยากติดต่อ แต่หาทางติดต่อไม่ได้ต่างหาก ถ้าตั้งใจจะหลบพวกมึงจริง กูคงไม่เดินเตร่อยู่ตามถนนให้พวกมึงตามตัวได้หรอก”

“ก็ดี กูแค่จะมาเตือนความจำมึงเรื่องงาน นายเขาร้อนใจอยากได้ข่าว แต่ถ้ามึงเล่นตุกติกพยายามจะหนี ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่ายังไงพวกกูก็ตามมึงเจออยู่ดี ตอนนี้หน้าที่มึงแค่ดิ้นรนเข้าใกล้คนที่นายต้องการให้ได้ มึงจะใช้วิธีไหนหรือทำยังไงก็เรื่องของมึง รีบใช้สมองของมึงคิดเข้าล่ะว่าจะทำยังไง!”

“อย่าเอามือสกปรกของมึงมาแตะตัวกู!”ผมปัดมือที่เอื้อมมาจะจับหน้าของผมออก

“เฮอะ! คิดว่าตัวมึงวิเศษวิโสอะไรนักหนาพวกกูถึงแตะต้องไม่ได้!”ดูท่าว่าผมจะทำมันเดือด ชายหน้าโหดที่มีรอยแผลเป็นตรงหน้าผากถึงกับกระชากคอเสื้อแล้วหิ้วตัวผมแทบลอย

“จะยังไงตัวกูก็ไม่ได้สกปรกไปถึงจิตใจเหมือนพวกมึง!”

ไม่สิ้นประโยค ร่างของผมถูกโยนลงพื้นหลังลงกระแทกพื้นปูนเต็มน้ำหนัก สะกิดความเจ็บเก่าร้าวขึ้นมาตามเส้นประสาท ก่อนสามร่างยักษ์ที่ไม่กลัวโดนเรียกหมาหมู่ก็กรูเข้ามา ผมใช่แรงเท่าที่มีเข้าสู้แม้จะรู้ว่าสู้ไม้ไหวก็อย่าให้มันสบประมาทได้ เท้าแตะตีนถีบมือต่อยผมปล่อยหมัดอย่างไร้ทิศทาง ปล่อยแตะไปหนึ่งถูกคืนหมัดไปสามถึงไม่แฟร์แต่ผมก็ยังสู้

ผลสรุป.....คงจะชัดเจนตั้งแต่จำนวนคนแล้ว

“สมน้ำหน้าปากดีนัก คืนนี้ก็นอนกับหมาข้างถนนแถวนี้ไปก็แล้วกัน ถ้าโชคดีคงเจอเสี่ยกระเป๋าหนักอุ้มกลับไปนอนรัง”คำพูดที่ทั้งดูถูกและเหยียดหยามแสดงถึงความสะใจจนออกนอกหน้า พวกมันสะบัดก้นหนีไปหลังจากโยนร่างของผมที่รองมือรองเท้ามันจนสาแก่ใจ

ถุย! ผมพ่นเลือดคาวๆ ที่ปนกับน้ำลายออกมา แทบจะไม่รู้เลยว่าเลือดรสชาติเป็นยังไง เจ็บจนชาชนิดที่หน้าแทบไม่รู้สึก ผมพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นโดยไม่ร้องขอความช่วยเหลือสักคำ มีแต่ต้องกัดฟันพาตัวเองออกมาจากที่สกปรกตรงนั้นให้ได้
แสงไฟจากท้องถนนที่ดูสว่างจ้า แต่รถที่แล่นผ่านไปมาแทบจะไม่มี ผมพาร่างกายที่บอบช้ำพยายามข้ามฝั่งไปอีกฟาก เพราะไม่ไกลไปจากนี้จะมีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆ ผมคงต้องใช้ที่นั่นเป็นบ้านชั่วคราวไปก่อน จะให้โทรไปหาไอ้บัส หรือไอ้ปอนตอนนี้เรื่องคงจะยุ่ง ที่อยู่เก่าก็โดยไล่ออกมาแล้ว

“ทนอีกนิดไอ้ธัน”ผมกัดฟันกรอดพยุงร่างตัวเองข้ามถนน ถนนสองเลนที่ดูว่าแคบกลายเป็นไกลถนัดตา

อีกแค่ครึ่งทาง.....เท่านั่น

ปี๊น ปี๊น!!!!!

ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ จะมีรถขับมาในตอนนี้ เสียงแตรรถบีบไล่เตือนห่างจากผมประมาณ 100 เมตร ไฟจากหน้ารถส่องเข้าดวงตาของผมวูบใหญ่ทำทุกอย่างดูสว่างจ้าไปหมด มองอะไรไม่เห็นนอกเสียจากแสงจากดวงไฟหน้ารถที่พุ่งตรงมาใกล้ทุกที แต่ตอนนี้ผมมีแรงที่จะหลีกหนีซะที่ไหน

ถ้าตอนนี้มันเป็นจุดจบ ผมคิดว่ามันพอแล้วจริงๆ กับความยากลำบากในชีวิตนี้

ตายซะได้ก็ดี!

เอี๊ยด!!!!!



>>>>> to be continued  :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 5 26/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 26-07-2016 18:17:58
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



5



“รู้สึกตัวแล้วใช่มั้ย”เสียงทุ้มต้ำเอ่ยถาม ผมยกมือตัวเองขึ้นจับศีรษะเพราะรู้สึกวิงเวียนและมีอาหารบีบตรงขมับ สายตาของผมค่อยๆ ปรับกับแสงไฟจนเริ่มมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแสดงถึงความสงสัยใคร่รู้

ผมไม่ได้ตายไปแล้วแล้วรึไง?

นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในความคิด แต่คอของผมแห้งผากเกินกว่าจะพูดอะไรได้ แต่คงไม่ต้องสงสัยเพราะผมไม่ได้ฟั่นเฟือนจนคิวว่าตัวเองตายไปแล้ว ในเมื่อสภาพแวดล้อมที่ผมมองเห็นมันช่างคุ้นตา

“ต้องการอะไรรึเปล่า”น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเฉยเอ่ยถาม

“น้ำ.....”ผมตอบคำถามอย่างไร้สติ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่ความขุ่นมัว ชายร่างสูงหน้าตาคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนยืนแก้วน้ำที่ใส่หลอดให้ผม ผมยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะคว้าน้ำเข้ามาดื่มจนหมดแก้วอย่างไม่คิดอะไร และมองเขาอย่างใช้ความคิด ทั้งเสื้อผ้าการแต่งตัวที่ดูสุภาพและรัดกุม ใบหน้าออกไปทางลูกเสี้ยว แต่ดูท่าทางยังหนุ่มแต่อายุคงเยอะกว่าผม คิดยังไงผมก็ยังนึกไม่ออกจึงตัดสินใจถามออกไป

“คุณคือ.....”

“ฉันชื่ออาเธอร์ เราเคยพบกันแต่นายอาจจะแค่คุ้น แต่คงจำไม่ได้”ผู้ชายที่ดูมาดเข้มคว้าแก้วเปล่าไปจากมือผมก่อนจะวางไปยังที่เดิม

“ขอโทษนะ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเราเคยเจอกันที่ไหน”ผมขมวดคิ้วยุ่ง

“ที่ร้านอาหารเหตุการณ์ในคืนนั้น”ผมถึงบางอ้อทันที

“งั้นเมื่อคืนคุณก็เป็นคนขับรถคั้นนั้น?”เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา

“เปล่า”

“แอ๊ะ! ถ้าไม่ใช่คนที่ขับรถเมื่อคืนแล้วคุณมาเจอผมได้ยังไง”ผมพยายามนึกและประติดประต่อเหตุการณ์ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้มีบาดแผลเพิ่มเติมแสดงว่าผมยังโชคดีอยู่

“ฉันเป็นคนขับเอง”คนที่ทำให้ผมไม่ทันจะคาดคิดเดินเข้ามา อาเธอร์ถอยห่างผมไปเล็กน้อยก่อนจะค้อมตัวคำนับฟรานซิสที่เดินเข้ามา เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้อาเธอร์ แล้วอาเธอร์ก็เดินออกไป

ตลกนา! นี่มันบุพเพอาละวาดหรืออะไรวะเนี้ย ผมเพิ่งจะโดนพวกเขาเอาไปทิ้งเมื่อไม่กี่วันก่อนนะ แต่กลับมาเจอกันแบบคาดไม่ถึงแบบนี้มันไม่ตลกรึไง

บ้าเอ้ย! ผมโคตรงงกับสถานการณ์ตอนนี้มากพยายามนึกแล้วนึกอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว นายล้มลงกลางถนนตอนที่ฉันขับรถผ่านไปแถวนั้นพอดี”ฟรานซิสนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ถูกวางไว้ข้างเตียง มือใหญ่ของเขาประสานไว้บนตักที่ตัวเองนั่งไขว่ห้างพร้อมใช้สายตาที่ดูร้อนแรงนั่นมองผม

บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกไม่กล้าสบตาของเขาสักเท่าไหร่ มันให้ความรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมจะเมินเลยก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขากำลังพูดกับผม

ถึงจะเป็นครั้งที่สอง...ไม่ใช่สิครั้งที่สามที่เราได้เจอกัน แต่ผมก็ยังรู้สึกเกร็งจริงๆ แต่ก็ขอบคุณบุญกรรมที่ผมได้ทำมา ถึงให้ผมมีโอกาสมาเจอเขาอีกครั้งไม่ว่าจะด้วยอะไร

“คุณช่วยผมไว้ ขอบคุณมากครับ”น้ำเสียงของผมมันคงฟังแล้วดูตลกแน่ๆ

“นายไปเจออะไรมา?”ฟรานซิสเอ่ยถามพร้อมกับเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผม ผมขยับตัวเล็กน้อยด้วยความตื่นกลัว แอบซี๊ดเบาๆ กับความปวดเนื้อเมื่อยตัว

“ผมโชคไม่ดีเองที่ไปเจอเข้ากับหมาฝูงนึง”ผมหัวเราะฝืดๆ แต่ฟรานซิสกลับเอื้อมมือมาจับปลายคางผมแล้วเชิดขึ้นใช้สานตาคู่คมมองอย่างสำรวจ

“ฉันชอบอะไรที่ไม่อ้อมค้อมนะ”ผมเบี่ยงหน้าหลบจากสัมผัสที่ทำเอาหน้าร้อนฉ่าก่อนจะยิ้มเห่ยๆ กลับไปให้
ก็ผมบอกไปแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าเสน่ห์เขามันร้อยกาจ ผู้ชายอย่างผมยังต้องอาย

“ถ้าฉันบอกว่าฉันเจอไอ้พวกบ้านั่น นายคงจะหัวเราะ”

“ทำไมฉันต้องหัวเราะ”

“เพราะมันดูบ้าบอเกินไปที่ฉันจะโดนพวกนั่นทำร้ายอย่างที่มันควรจะเป็น”

“นายคิดว่าเพราะฉัน?”

“ใครจะกล้าคิด ผมไม่ได้พาดพิงถึงคุณสักประโยค ก็แค่....ผมมันซวยเอง หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น ว่ามั้ยครับ?”
ประโยคที่แฝงไปด้วยคำตัดพ้อ ฟรานซิสคงฉลาดพอที่จะรู้สึกได้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมผมถึงต้องตัดพ้อเขาจริงจังขนาดนี้นะ

“ฮึ”จู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าก็หลุดขำ ผมหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แถมภาพตรงหน้ายังดูแปลกตาไปอีก ใครจะคิดว่าผู้ชายที่มาดมาเต็ม ลูกน้องดูเทิดทูนจะขำกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ แต่ขนาดขำยังหล่อเห็นแล้วหงุดหงิดตัวเองว่ะ!

ผมใช่ตัวตลกสำหรับเขาหรือไง

“คุณขำอะไร”ผมทำหน้าบึ้ง

“ก่อนหน้านี้ที่นายร้องขอฉัน เพื่อความสบายใจของฉันและนาย.....ชื่อธันใช่มั้ย?”

“ใช่ครับ”

“ฉันจะให้งานนายทำก็แล้วกัน”

“ห๊า! นี่คุณฟรานซิสพูดจริงใช่มั้ย”ผมหูตาสว่างทันที มองฟรานซิสเป็นพระเจ้ามาโปรดทันที

“นายดูดีใจ”

“ก็แน่นอนน่ะสิ ผมมีความหวังแค่คุณคนเดียวจริงๆ”ผมเผลอยื่นมือไปกุมมือของฟรานซิสอย่างไม่รู้ตัว“ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ”

“เอาเป็นว่างานของนายคือ.....”


ผมต้องใช่มารยาแค่ไหน ลูกอ้อนเท่าไหร่ถึงจะได้งานนี้มาได้ และความต้องการของผมมันก็เป็นจริง ฟรานซิสอยากให้ผมไปทำงานในบริษัทของเขา แต่ผมปฏิเสธไปเพราะอ้างว่าผมไม่มีความสามารถพอและยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการไปเรียน ฟรานซิสเสนอให้ผมไปเป็นคนส่งเอกสาร แต่ผมก็บอกปัดไปว่าไม่ใช่คนที่คุ้นชินเส้นทางได้ง่ายๆ งานอาจผิดพลาด ร่ายสารพัดงานจนไปจบที่คนสวนและนั่นคือคำขาดที่ผมบอกกับฟรานซิสว่า

“ถ้าคุณให้งานที่คิดว่าผมทำได้ดีผมคงรับปากไปแล้ว คุณไม้ไว้ใจผมคุณก็แค่ส่งผมออกไปให้พวกนั้นมันจัดการผมก็แค่นั้น”

“..........”

เท่านั้นผมถึงได้ยินในสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดนั่นคือ

“ถ้านายยืนยันที่จะทำฉันก็จะให้ แต่งานที่ได้อาจมากว่าที่นายคิด”

มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ ในที่สุดผมก็เข้ามาอยู่ในเพนท์เฮาส์ส่วนตัวของฟรานซิสฐานะผู้ดูแลบ้านจนได้ แต่กว่าจะเข้ามาถึงรังของเขา ผมต้องผ่านหลากหลายมาตรการขั้นตอนในการตรวจค้น แถมยังโดนเหล่าบอดี้การ์ดค้นตัวจนแทบจะควักไส้ออกมาให้ดูอยู่แล้ว แค่ตรวจค้นก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

ผมออกมารับงานที่นี่เต็มตัว งานที่บาร์ผมก็ขอพี่เงาะลาออกมาแล้ว และขอไม่รับเงินค่าแรงที่ยังค้างด้วย ผมถือว่าเป็นการรับผิดชอบที่มันอาจจะเล็กน้อยต่อความเสียหายเสียเวลาของพี่เงาะไปได้บ้าง เพราะถ้าผมให้เงินตรงๆ พี่เงาะคงไม่รับ

ความลำบากของผมตอนนี้คือพวกไอ้แก่เฉิน มันติดต่อผมมาว่าให้รายงานข่าวความเคลื่อนไหวของฟรานซิสให้มันรู้ ผ่านโทรศัพท์โดยเมมชื่อมันว่า‘อากง’ซึ่งผมอยากจะเผากงเต็กใส่พริกใส่เกลือส่งให้มันใจจะขาด หรือมันบอกว่าไม่ก็ส่งรหัสลับตามที่ตกลงกันไว้ ถ้าผมตุกติกมันก็ขู่เอาชีวิต ถึงจะเป็นแค่คำขู่ถ้ามันทำจริงๆ ชาตินี้ผมคงใช่ชีวิตอย่างไม่มีความสุขแน่ๆ ทุกอย่างต้องกันไว้ก่อน มาแก้ทีหลังมันก็สายไป

ตอนนี้ผมก็ต้องอาศัยบ้านไอ้บัสมันอยู่ชั่วคราว และคงไม่นานเพราะไม่อยากให้มันเดือดร้อน ไม่ได้เล่าเรื่องบ้าๆ ที่ผมกำลังทำตอนนี้ให้ใครฟัง เพราะทุกอย่าถือเป็นความลับ

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมาทำงานที่เพนท์เฮาส์ของฟรานซิส ก่อนหน้านี้ผมนอนพักรักษาตัวอยู่บ้านไอ้บัสประมาณ 3 วัน และตกลงกับฟรานซิสว่าจะมาทำงานวันนี้ในตอนบ่าย  3 โมงเย็นเป็นต้นไปจนกระทั่งงานเสร็จไม่เกิน 3 ทุ่ม และบางวันอาจจะขอมาเช้าหากมีเสื้อผ้าหรือของที่ต้องทำความสะอาดในช่วงนั้น หยุดเฉพาะวันอาทิตย์ และสามารถลางานได้ล่วงหน้า 1 วัน

เรื่องอาหารอาเธอร์บอกผมว่ามื้อเช้าเขาไม่ทาน แต่จะดื่มกาแฟเสียส่วนใหญ่ กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลคือสิ่งที่เขาดื่ม ส่วนมื้อเที่ยงก็ไม่จำเป็น มื้อเย็นมีบ้างหลังเลิกงานแค่บางครั้ง เพราะส่วนใหญ่ทานมาจากข้างนอก ส่วนวันหยุดของฟรานซิสคือวันเสาร์ การไม่รบกวนเวลานอนของเขาคือกฎที่ต้องปฏิบัติ ห้ามนำดอกไม้ทุกชนิดเข้าไปเพราะฟรานซิสแพ้เกสรดอกไม้ นี่คือส่วนน้อยที่ผมพอจะจำได้ และมีกฎเกณฑ์อีกต่างๆ มากมายที่จดอยู่ในสมุดเป็นตั้ง

ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ใช้วิธีการนี้ตีสนิทกับเขา แต่ละวันก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ นี่มึงทำอะไรลงไปวะไอ้ธัน!

ผาง!

ในที่สุดผมก็เปิดประตูผ่านด่านอรหันมาได้สำเร็จ ผมเพิ่งจะสังเกตให้เต็มตาก็วันนี้ว่าที่นี่กว้างแค่ไหน และไม่สามารถประเมินค่าได้เลยว่าทั้งหมดนี้ราคาเท่าไหร่กันแน่ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกับเฟอร์นิเจอร์ ของประดับตกแต่ง หรือแม้แต่หัวก๊อกน้ำ หากผมทำบางอย่างพังคงต้องเฉือนเนื้อหักกระดูกตัวเองขายชดใช้

ผมเดินสำรวจดูรอบๆ ไม่พบแม้แต่รูปถ่ายของผู้เป็นเจ้าของเลยแม้แต่น้อย เจอแต่แก้วเป่ามากมายที่วางโชว์อยู่เต็มชั้นกระจก ผมคงเดาว่าฟรานซิสคงจะชอบอะไรประมาณนี้ ผมเดินดูไปเรื่อยๆ อย่างตื่นตาจนสะดุดใจเข้าให้กับแก้วเป่าที่ถูกทำให้เป็นรูปอาชาไนยดูสง่า ผมตั้งท่าจะเอื้อมมือไปหยิบแต่ทว่าเสียงของอาเธอร์ที่ดังอยู่ในโซนประสาทของผมก็เตือนไว้

“อย่าได้หยิบจับอะไรในที่ที่มันควรจะวางอยู่ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ”

“โอเค ผมจะพยายามไม่แตะต้องอะไรไปมากกว่านี้”

ผมถ่อยห่างอย่างตั้งใจ และหันไปสนใจกับห้องรับแขกที่อยู่ถัดไป ไม่อยากจะเชื่อสายตากับทิวทัศน์ที่สามารถมองผ่านบานกระจกใหญ่ยักษ์นั่นได้ และที่ทำให้ผมแปลกใจระเบียงปีกซ้ายที่ยื่นออกไปก็มีสระน้ำส่วนตัวเล็กๆ ที่ทำเอาผมกรามแทบค้าง และเดินกลับเข้ามาระงับอารมณ์ความตื่นเต้นของตนเอง มองขึ้นไปอีกชั้นจะเห็นได้ว่ามีห้องต่างๆ ที่ถูกปิดประตูไว้ถึง 4 ห้องด้วยกัน ผมเดาว่า 1 ใน 4 ห้องนั้นคือห้องนอนของฟรานซิส

ผมกระตุกยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะกระโจนขึ้นบันใดไปยังชั้นบนและแง้มเปิดดูทีละห้องจนถึงห้องสุดท้าย และผมมั่นใจว่าห้องนี้แหละคือห้องนอนของเขา เหตุผลคือ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของฟรานซิสมันอบอวนอยู่ในห้องนี้ ผมจำกลิ่นได้ไม่ผิด สองคือดูเหมือนจะมีการใช้งานห้องนี้อยู่เป็นประจำ และสามคือมันกว้างขวางและดูสะดวกสบายที่สุดจากในสามห้องที่ผ่านมา
ถ้าจะเดินเข้าไปสำรวจนิดหน่อยคงจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง

คิดได้ผมก็จัดการเปิดประตูเข้าไป บรรยากาศช่างให้ความรู้สึกเงียบสงบจนบอกไม่ถูก แต่ผมคงไม่ค่อยชอบอะไรที่มันเงียบเกินไปแบบนี้

“อ๊ะ! นั่นโต๊ะทำงานของฟรานซิส”ผมตาลุกวาวรีบกระโจนไปหาทันทีแต่ก็ยังไม่กล้าแตะต้องอะไร ได้แต่ชะโงกหน้าดูสำรวจด้วยสายตา แต่มันเรียบร้อยเกินไปจนไม่เห็นแม้แต่เอกสารหรืออะไรที่น่าสนใจ

ท่าทางฟรานซิสจะเนี๊ยบจนผมคาดไม่ถึงจริงๆ หรือมีห้องลับเหมือนในหนังซ่อนเอาไว้ก็ไม่แน่ ก็เงินมันทำได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ
ปึก! ปึก!

“โห นี่ชวนเพื่อนมานอนสิบคนหรือนอนคนเดียววะเนี้ย”ผมตบเตียงทดสอบความนุ่มก่อนจะหย่อนก้นลงไปนั่งแล้วโยนตัวทดสอบ
ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่ได้มีโอกาสรวยได้แบบนี้แน่ๆ เขาทำบุญมาด้วยอะไรผมอิจฉาเป็นบ้า!

ตึก!

“สบายสุดๆ......”ผมมองซ้ายมองขวาแล้วล้มตัวลงนอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่แถวๆ ปลายเตียง ก่อนจะใช้มือสองข้างกวาดไปรอบๆ ผืนเตียงให้สัมผัสที่มันสบายสุดๆ แถมยังได้กลิ่นหอมจางๆ ของฟรานซิสติดอยู่ทำเอาผมรู้สึกคิดไปเอง จนเผลอจิตนาการถึงเจ้าของเตียงตอนนอนหลับ

ไอ้ธันนนน! มึงจะจิตนาการทำซากอ้อยอะไรวะ! 

“ถ้าชอบขนาดนั้นให้ฉันยกให้นายมั้ย?”

เชี่ยยยยยย! ร้องในใจดังมาก

ผมสะดุ้งโหยงจากเตียง เมื่อได้ยินเสียงฟรานซิสดังมาจากข้างๆ หัวใจผมแทบร่วงลงตาตุ่ม รีบแก้สถานการณ์โดยทำทีเป็นปัดๆ ดึงๆ ผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมราบทั้งเตียงซึ่งผมเพิ่งจะทำมันยับไปเล็กน้อย
 
“บอส! คุณมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”ผมทำหน้าเลิ่กลั่กยืนตัวเกร็ง มองฟรานซิสที่เดิมเข้ามาประชิดตัวผมด้วยท่าทีสุขุม

“หืม.....นายเรียกฉันว่าอะไร?”

“บอส ก็อาเธอร์ก็เรียกคุณแบบนั้น แล้วตอนนี้คุณก็เป็นเจ้านายของผม”

“นายไม่จำเป็นต้องเรียกฉันแบบนั้น ฉันได้ยินจากที่ทำงานจนเบื่อแล้ว ฉันไม่อยากให้บ้านกลายเป็นที่ทำงาน”ฟรานซิสเอ่ยพลางดึงรั้งเนคไทให้คลายออก

“ก็ได้ครับ”ผมก้มตาต่ำลงนิด เมื่อเผลอมองกิริยาท่าทางคนเขาไม่วางตาจนดูเสียมารยาท

“แล้ว...ตกลงเมื่อกี้นายกำลังทำอะไร ดูตกใจเชียว”เสื้อสูทถูกผู้สวมใส่ถอดออกและโยนลงบนเตียง ก่อนร่างสูงจะกอดอกรอฟังคำตอบ

คือผมควรจะดีใจมั้ย นี่มันอภิมหากาพย์ความกดดันเลยเว้ยเฮ้ย!

“ปะเปล่า ผมแค่เผลอเอนตัว แล้วก็ตกใจที่คุณกลับมา….”

“ฮึ ฉันควรจะบอกนายก่อนกลับมาบ้านตัวเองด้วยดีรึเปล่า?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมแค่เอ่อ...ตกใจ ไม่คิดว่าคุณจะกลับมาเร็ว”ผมเอี้ยวหน้าหลบสายตาของฟรานซิส พยายามเขยิบห่างเพราะตรงนี้มันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ผมจะยืน
 
“ถ้าฉันกลับมาช้าคงเห็นนายหลับอยู่บนเตียง”ฟรานซิสเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้น้ำเสียงฟังดูทีเล่นทีจริง หน้าของผมใกล้เสียงจนลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดใบหน้า แม้เขาจะไม่ได้แตะต้องตัวผมแต่มันให้ความรู้สึกประหม่าขาแข็งไปหมด แค่ภายนอกที่แสดงออกมันยังชัดเจนไม่พอหรอกว่าเขามีนิสัยยังไง อาจจะน่ากลัวกว่าที่ผมจิตนาการไว้ก็ได้

เสือยิ้มน่ะ รู้จักใช่มั้ย?


“ผะผมแค่จะนอนดู ไม่ได้จะนอนจริงๆ สักหน่อย ก็เตียงมันสบายขนาดนี้”ประโยคท่อนหลังผมเสียงอ่อนจนแทบพูดอยู่ในลำคอ
ฟรานซิสคงมองว่ามันเป็นคำแก้ตัวที่ดูทุเรศที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาเลยก็ได้ แต่ใครจะรู้ว่ามันคือเรื่องจริงที่ผมหลุดปากออกมา

“งั้นจะลองนอนกับฉันดูสักคืนไหม?”ดวงตาพราวระยัยส่งความรู้สึกวูบวาบเมื่อร่างสูงสง่ายกมือขึ้นลูบคางสากมองผมอย่างสำรวจ

“ไม่ครับ! ผมไปทำงานดีกว่า”เขาแสดงออกราวกับผมเป็นเหยื่อ ร้อยยิ้มกริ่มของฟรานซิสทำหัวใจผมกระตุกวูบ ผมอ่านความคิดเขาไม่ออกตลอดจนการกระทำ เขาทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย

“..........”

“บอส….เอ่อคุณฟรานซิส มื้อเย็นคุณต้องการจะทานอะไรรึเปล่าครับ”ผมโผล่หน้ามาที่กรอบประตูห้องอีกรอบหลังจากเพิ่งเดินหนีออกไป และเริ่มปรับการเรียกตามที่เจ้านายต้องการ

“ฉันไม่มีแผนจะออกไปไหน ขออะไรที่มันทานง่ายๆ ก็แล้วกัน”

“ถ้าคุณไม่ว่าผมจะทำข้าวผัด คุณทานได้ใช่มั้ย?”

“ก็ไม่เลว”
   
“ตามนั้นนะครับ”ผมรีบวิ่งลงบันไดมาด้านล่างแทบจะทันทีเมื่อได้คำตอบ พอเอามือทาบอกเสียงหัวใจของผมมันยังเต้นเร็วอยู่เลย อาจเพราะผมเพิ่งจะวิ่งลงมาจากด้านบนก็ได้

ทั้งที่การสนิทกับใครสักคน หรือสนทนาให้ดูเป็นมิตรไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม แต่พอมาเจอคนๆ นี้ แม่ง! สกิวผมมันห่วยแตกมากจริงๆ




>>>>>to be continued :bye2:

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 5 26/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 26-07-2016 19:31:13
กินเลยค่ะบอส!
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 5 26/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 27-07-2016 08:09:12
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 5 26/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: tukkata bambola ที่ 27-07-2016 14:30:14
รู้สึกเป็นห่วงอนาคตน้องธันจะเจอเรื่องอะไรอีกเนีย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 5 26/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 27-07-2016 17:53:05
บุคลิกบอสนี่มัน กร๊าวใจเราจริงๆเลยยยยย :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 6 28/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 28-07-2016 15:01:10
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



6


ก๊อก! ก๊อก!

“อาหารพร้อมแล้วถ้าคุณจะทานเลย.....”

ผาง!

ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคประตูตรงหน้าก็เปิดออก ภาพแรกที่ผมเห็นคือฟรานซิสในชุดที่ดูสบายๆ ต่างจากที่ผมเคยเห็น เสื้อไร้ปกปลดกระดุมสามเม็ดแขนสั้นสีเท่ากับกางเกงขายาวสีขาวดูสบายๆ เดินออกมา กลิ่นหอมแชมพูละมุนจนชวนเคลิ้ม พาลให้ผมสติหายไปชั่ววูบแต่ก็กลับมาสู่สถานการณ์ได้ทัน

“ผ้ากันเปื้อนนายดูน่าสนใจดี”

“มันไม่สำคัญหรอกครับ”ผมรีบถอดมันออกเพราะดูน่าอายเกินไปที่ผู้ชายจะเดินใส่ผ้ากันเปื้อนระบายลูกไม้ไปทั่วบ้าน มันไม่ได้เป็นของผมแต่แรก อาจจะเป็นของเมดคนเก่าผมแค่ยืมมาใช้

“ฉันลืมบอกไปว่าคืนนี้ฉันจะดื่ม เตรียมกับแกล้มไว้ให้หน่อยก็ดี”

“หมายถึงดื่มคนเดียวหรือมีใครมาดื่มด้วยครับ”ผมเดินตามเขาลงบันไดไป

“คนเดียว หรือนายสนใจจะดื่มเป็นเพื่อนฉัน”

“ไม่ดีกว่าครับ เจ้านายกับลูกน้องผมไม่คิดว่ามันจะเหมาะหรอกครับ”

“ฉันคิดว่านายจะตอบว่าไม่ดื่มของพวกนี้ซะอีก”

“ผมไม่ได้ใสซื่อนะครับ”

“จากที่เห็นนายนอนรอฉันที่เตียงก็พอเดาออก จริงมั้ย?”

ปั๊ก! ผมโดนเข้าไปอีก 1 ดอก

“มันไม่ได้มีความหมายแบบนั้นครับ!”ผมแทบสะดุดขาตัวเองล้มพรืดเมื่อฟรานซิสพูดขึ้น จริงๆ เขาไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าวันแรกที่เจอ แต่เขาจะน่ากลัวก็ตอนที่ใช้คำพูดล้วงความคิดคนนี่แหละ แล้วก็...สายตาของเขาด้วย

“ฉันคงเข้าใจผิดไปเอง”

“รีบกินก่อนที่มันจะเย็นดีกว่าครับ”ผมเปิดฝาครอบจานออก ข้าวผัดที่สามคมกินอยู่ตรงหน้าของฟรานซิส เขาดูอึ้งจนผมแปลกใจ

“..........”

“มีอะไรครับ หรือว่ามันดูน่าเกลียด”

“เปล่า แค่ปริมาณมันเยอะเกินไป ฉันคงกินมันไม่หมด”

“เยอะ? ผมคิดว่าคุณจะทานมันหมด”ผมกะเอาจากขนาดตัวของเขาว่าเขาน่าจะกินสักเท่าไหร่ แต่เปล่าเลยเขาทานเท่าจำนวนคนปกติดูจากปริมาณที่เขาแบ่งออก

“ที่เหลือของนายกินสิ”เขาเลื่อนส่วนที่แบ่งออกมาให้ผมแล้วพยักเพยิดสิ่งที่เขายกให้

“ไม่เป็นไร คุณทานเถอะครับ”ผมตั้งท่าปฏิเสธ ถึงจะหิวแต่จะกินพร้อมกันมันก็ยังไง ผมถนัดนั่งกินข้าวคนเดียวมากกว่าที่จะกินกับคนไม่คุ้นเคย

“ถ้านายไม่กินฉันจะเชื่อได้ไงว่ามันปลอดภัย”ฟรานซิสกอดอกนั่งไขว่ห้างมองจานข้าวผัดตรงหน้า เหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่ ผมว่าชีวิตนี้เขาคงอยู่ด้วยความหวาดระแวงมาตลอดชีวิตสินะ และวันนี้ก็แถมผมมาอีกคนให้เขาได้ระแวงไปอีก

“ก็ได้ครับ ผมจะกินที่เหลือทั้งหมดเอง คุณจะได้เชื่อสักทีว่ามันปลอดภัย แถมอร่อย!”ว่าแล้วผมก็จัดการเลื่อนเก้าอี้นั่งลงกินข้าวผัดที่ตัวเองทำตรงหน้าให้เขาเห็นอย่างประชดประชัน ฟรานซิสนั่งมองผมไม่วางตาจนกระทั่งผมเพิ่งรู้สึกว่าเขาเอาแต่ยิ้มกริ่มไม่แม้แต่แตะข้าวสักเม็ด

ท่าทางวางมาดเข้มจนกาแฟเรียกพี่มันอยู่ในสาดเลือดของเขาหรือไง ผมสงสัยจริงๆ

“ทำไมไม่กินล่ะ ฝีมือผมก็ไม่ได้ต่างจากเชฟระดับโรงแรมหรอกนะครับ อร่อยกว่าซะด้วยซ้ำ”ผมลุกขึ้นยกจานข้าวที่ตัวเองกินซะเกลี้ยงเดินเข้าไปเก็บในส่วนของครัวแล้วเดินออกมา เรียกได้ว่าอิ่มสุดๆ จนต้องรองขอชีวิต!

ฟรานซิสยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิมไม่แตะข้าวผัดเลยสักนิด

“ฉันลืมไปว่าเพิ่งจะกินมาบ้างแล้ว จานนี้ฉันยกให้นายกินให้หมดก็แล้วกัน”เจ้าตัวพูดเสร็จก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเลย ผมสตั๊นไปห้าวิมองแผ่นหลังกว้างที่ผุดลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่แคร์สื่อ

อึ๊ย! แล้วจะให้ผมมายุ่งยากผัดข้าวเพื่ออะไร!

ผมว่าผมชักจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ เห็นหน้าหล่อๆ แต่เหลี่ยมเยอะใช่เล่น

“ฉันขอกลับแกล้มที่สั่งไปด้วย ฉันจะรอที่ห้องรับแขก”ร่างสูงเดินลิ่วออกไป ผมนี่ถึงกับสั่นเป็นสันนิบาตรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็ต้องข่มอาการ

คอยดูเถอะฉันจะปอกนายให้ไอ้แก่เฉินนั่นหมดเปลือกเลย!



กึก!

ฟรานซิสเหลือบสายตามองผมเมื่อกับแกล้มตรงหน้าที่เขาต้องการพร้อมแล้ว รวมทั้งเครื่องดื่มสำหรับผู้ใหญ่ เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะวางเอกสารในมือลงตรงโต๊ะข้างหน้า ฟรานซิสยื่นมือมาเพื่อรับแก้วที่มีน้ำสีอำพันอย่างที่เขาต้องการ เขายกขึ้นจิบแล้ววางมันลง

“ดูนายเหมือนจะเข้าใจจัด”

“มันไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อยในตู้เย็นก็พอจะมีของบ้าง”ผมเลื่อนถาดผลไม้จำพวกรสเปรี้ยวไปไว้ตรงหน้าฟรานซิสให้เขาถนัดที่จะเอื้อมมาหยิบมันถึง แต่ผมเดาว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะแตะของตรงหน้าเกิน 2 ชิ้น ไม่เชื่อเอาตีนมาถีบหน้าผมเลย

“นายท่าทางจะหัวไว ตอนนี้นายกำลังเรียนคณะอะไร?”

“ผมเรียนบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่”

“ทำไมถึงอยากเรียนบริหาร”

“ผมบอก คุณคงจะหัวเราะ”จากยืนตอนนี้ผมเลือกที่จะนั่งลงกับพื้นและปล่อยให้ฟรานซิสใช้อภิสิทธิ์เจ้าของบ้านจับจองโซฟาแต่เพียงผู้เดียว

“บอกมาสิ จะได้รู้ว่าฉันจะหัวเราะรึเปล่า”

“ถ้าหากบอกไปแล้วคุณหัวเราะผมก็เสียเซลฟ์ฟรีๆ น่ะสิ ผมขอเก็บไว้เป็นความลับดีกว่า”

“แล้วทำไมถึงไม่เลือกงานบริษัทซึ่งนายน่าจะเหมาะ แต่กลับขอมาเป็นคนทำความสะอาด?”

ตอบยังไงให้ดูดีวะ อย่างกับสัมภาษณ์พนักงานใหม่!

“ถ้าจะให้ได้งานแบบนั้น ผมขอเอาความสามารถเข้าแลกดีกว่า มันดูไม่แฟร์ และผมยังเป็นแค่นักศึกษาเรียบก็ยังไม่ทันจะจบด้วยซ้ำจะทำอะไรได้”

“การกอบโกยประสบการณ์เอาไว้ฉันคิดว่ามันสำคัญ”

“ขอบคุณที่แนะนำครับ”

ถ้าไม่เพราะเรื่องไอ้โชค หากมีโอกาสเข้ามาแบบนี้ผมคงไม่ถือดีพูดแบบนั้นหรอก

“อืม...นายนี่มันก็หัวแข็งน่าดู”ผมรินเหล้าให้ฟรานซิสเป็นแก้วที่สอง

“คุณดื่มไปแล้วกันครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อนถ้ามีอะไรก็เรียกผมแล้วกัน”ผมผุดลุกขึ้น ฟรานซิสมองตามแต่ไม่ได้พูดอะไร
ผมควรจะทำหน้าที่ให้สมกับที่เขาจ้างสินะ หากมีอะไรแอบแฝงมันก็จะได้ดูไม่น่าสงสัย การเอาใจเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็คงจะเป็นหน้าที่ผมเช่นกัน ว่าแต่.....ที่นี่มีอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้างรึเปล่าเนี้ย ผมเดินเตร่หาแล้วจนทั่วแต่ก็ไม่พบ แต่ที่นี่จากที่ผมก้าวเข้ามา บอกตรงๆ ว่าโคตรสะอาด

“เอ่อขอโทษนะครับ”ผมโผล่หน้ามาหาฟรานซิสอีกรอบ เขาแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงรับรู้ว่าผมเดินเข้ามา“คุณอาจจะรู้ว่าพวกของใช้ที่จะทำความสะอาดมันอยู่ที่ไหน คุณบอกผมได้มั้ย”เขาลุกขึ้นและเดินมาทางผม แต่ไม่ได้พูดอะไร

“..........”

“คุณแค่บอกผม.....”ผมย้ำอีกครั้ง แต่เขากลับเดินผ่านผมไปกลิ่นแอลกอฮอร์อ่อนๆ ปัดผ่านปลายจมูก ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะให้ผมเดินตาม

“ห้องนี้จะเป็นห้องเก็บของที่ระลึกที่ฉันได้มา ห้องนี้เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า รองเท้า ของที่ฉันไม่ได้ใส่ ส่วนห้องนี้จะใช้เก็บอุปกรณ์ที่นายต้องการ”เขาแนะนำผมแต่ละห้องอย่างละเอียดพร้อมเปิดเข้าไปให้ผมดู และเรามาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเก็บของที่ผมต้องการ ฟรานซิสยืนกอดอกกว้างอย่างสง่า แล้วมองผมเป็นเชิงถามว่าผมอยากจะรู้อะไรอีกหรือไม่

“อา....ขอบคุณครับ ผมคงไม่รบกวนคุณแล้ว”ผมเดินเข้าไปด้านในทุกอย่างถูกจัดเก็บเป็นสัดส่วน มีชั้นวางของสำหรับน้ำยาซักล้างและทำความสะอาดหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของของที่ใช้ทำความสะอาด มันดูละลานตาจมผมแอบอึ้งไปสามวิ
เอาจริงๆ ผมมีแค่ผงซักฟอกห่อเดียวก็แทบทำความสะอาดบ้านได้ทั้งหลัง แต่นี่มันอะไรเนี้ยแยกประเภทการใช้งานซะทุกอย่าง จะเยอะไปไหน ยุบยิบยุบยับไปซะหมด คนก่อนหน้านี้จบด็อกเตอร์ด้านการทำความสะอาดมารึไง

งานแรกขอเป็นเช็ดถูกระจกก่อนก็แล้วกัน เอาอะไรที่มันเบาๆ ก่อนเป็นการวอร์มร่างกาย แล้วน้ำยาสำหรับเช็ดกระจกอยู่ไหนอีก?
โอ๊ยยยยยย! ยุ่งยากชิบ!

ผมเดินทอดน่องไล่ดูบรรดาน้ำยาต่างๆ บนชั้นวางที่สูงยันเพดาน ก่อนจะเจอฉลากที่คุ้นตา และผมมั่นใจว่าใช่

ฮึบ! แต่แม่งใช้ลิฟท์ขึ้นไปเก็บเปล่าวะสูงชิบหาย! สาบานว่าผมแขย่งปลายเท้าสุดความสูงปลายนิ้วกลับแตะได้เพียงขอบชั้นวาง
หงุดหงิด! กระโดดอีกหน่อยก็ได้วะ แม่งเสียศักดิ์ศรีความสูงของลูกผู้ชายหมด!

ปึก!

แล้วอยู่ดีๆ แผ่นหลังของผมก็รู้สึกเหมือนกระทบเข้ากับบางอย่าง แขนที่ดูแข็งแรงก็ยื่นผ่านตัดหน้าผมเอื้อมหยิบสิ่งที่ผมต้องการ ผมหันตัวกลับไปด้วยปฏิกิริยาตอบสนองทันทีก็เจอกับฟรานซิสที่ยืนคร่อมหลังผมซะจนหาทางออกไม่ได้ แผงอกกว้างของเขาอยู่ห่างจากหน้าผมไม่ถึงสิบเซ็น ทำให้กลิ่นโคโลญอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นแฮลกอฮอร์อบอวนอยู่ในจมูก สาบานได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูกล้ามหน้าอกแน่นๆ ของเขา แต่มันบังเอิญโผล่ออกมาจากคอเสื้อเข้าตาผมพอดี

บัดสีบัดเถลิงมั้ยล่ะมึงไอ้ธัน!

“ถ้านายคิดได้น่าจะใช้เก้าอี้รอง”ฟรานซิสพูดกับผม แต่เพราะผมมัวคิดจนสติกระจุยกระเจิงเลยพานให้สะดุ้งจนถอยร่นไปกระแทกเข้ากับชั้นวาง ขวดน้ำยาชั้นบนจึงสะเทือนและเลื่อนแทบหล่นลงมาใส่หัวแบะ แต่ดีที่ฟรานซิสเอื้อมไปประคองมันไว้ ผมเลยโดนก๊อปปี้ติดชั้นด้วยร่างกายใหญ่โตนั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขะขอบคุณ”ผมละล่ำละลักบอกฟรานซิสไปทั้งๆ ที่ไม่กล้าสบตากับเขา ใจผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมรู้สึกแปลกๆ จนยากจะอธิบายว่าคืออะไร

เป็นอะไรของมึงวะทำไมต้องสั่นด้วย!

“หน้านายมีเหงื่อ เป็นอะไรรึเปล่า”นิ้วโป้งของฟรานซิสเกลียไล่หยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเป็นเมล็ดแตงโมบนหน้าผากผมอย่างอ้อยอิ่งราวกับจงใจแกล้ง ผมเอี้ยวหน้าหลบยกมือขึ้นคว้าข้อมือฟรานซิสแล้วดึงออกอย่างตกใจ

“ผะผมไม่เป็นไร แค่อากาศข้างในมันร้อน”ผมยิ้มฝืดๆ บอกเขา คนตรงหน้ากระตุกยิ้มราวกับการมองผมดูประหม่าเป็นเรื่องสนุก
“ร้อน? แต่มือนายดูเย็น”ซวยแล้ว ผมรีบปล่อยมือจากการสัมผัสข้อมือของฟรานซิสออก พยายามหาคำแก้ตัวที่ดูฉลาด

“ฮ่าๆ อุณภูมิร่างกายผมมันก็แปลกๆ อย่างนี้แหละอย่าไปใส่ใจเลยครับ”

“ก็คงจะจริง”ฟรานซิสเลิกคิ้วของเขาขึ้นก่อนจะสอดมือใหญ่โอบต้นคอของผมราวกับจะพิสูจน์ให้แน่ชัด นิ้วโป้งแอบสัมผัสใบหูของผมส่งความรู้สึกเย้าแหย่จนผมสะพรึง

เย้ยยยย! ทำอะไรของเขาเนี้ย!

ชีวิตนี้ผมไม่เคยรู้สึกว่าใครอันตรายเท่านี้มาก่อน ขนาดไอ้แก่เฉินนั่นผมก็แค่กลัวมันเพราะค่ำขู่ที่จะทำให้คนรอบตัวที่ผมรักเป็นอันตราย แต่กับฟรานซิสไม่ใช่.....เขาไม่ได้ให้ความรู้สึกกลัวแบบนั้น

“เอ่อคือ! ผมต้องไปทำความสะอาด ขอตัวก่อน”ผมโดดหนีจากเขาออกมาก่อนจะสุ่มคว้าเอาขวดน้ำยาทำความสะอาดที่ใกล้มืออกมาด้วย

ผมเดินหนีชนิดที่แอบเอาร่างตัวเองไปหลบในมุมมืดในห้องครัว หลังผมพิงเคาเตอร์บาร์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่นชนิดที่หมดเรี่ยวแรง
เอากะเขาสิ! เขาทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ จะมาใจเต้นระส่ำกับผู้ชายตัวเท่าช้างอย่างฟรานซิสน่ะนะ หัวผมคงกระทบกระเทือนหลายครั้งจนเพี้ยน

ถึงเขาจะหล่อ จะเพอร์เฟ็ค จะรวย แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเหอะ! กล้ามอกใหญ่ๆ ก็แทนอกตู้มๆ ไม่ได้หรอกนะ จำไว้ไอ้ธัน!



>>>>> to be continued  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 6 **** 28/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 28-07-2016 18:09:23
บอสขี้อ่อยคือดีงาม ธันใจเต้นไม่แปลกค่ะ ของเขาดีขนาดนี้ ใส่ชุดอ่อยอีก แย่
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 7 **** 1/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 01-08-2016 17:24:24
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)




7


“เป็นยังไงบ้างวะไอ้ธันสำหรับงานใหม่วันแรก มึงดูเบลอๆ นะ”

ผมยืนนิ่งกำลังนึกว่าตัวเองจะทำอะไรก่อนดีหลังจากเข้าห้องน้ำ เอาจริงๆ สติผมหลุดตั้งแต่อยู่ใกล้ฟรานซิสแล้ว คุณคงไม่รู้ว่าหลังจากเหตุการณ์ในห้องเก็บของผมพยายามหลบหน้าเขาสุดชีวิต

“ก็ไม่เป็นไงสบายดี แต่แม่งมีเจ้านายที่กูอ่านความคิดเชี่ยไรไม่ออกเลยจริงๆ”ผมเดินไปเอาถุงนอนมาปูข้างเตียงไอ้บัส โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของมันผมเลยได้เจอมันก่อนนอน เพราะถ้าปกติผมนอนไปแล้วไอ้บัสจึงจะกลับมา เมื่อก่อนชีวิตผมก็เคยเป็นแบบนั้น ออกเช้ากลับดึก

“เอานา งานวันแรกมึงจะอะไรนักหนา ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ เรียนรู้ งานใหม่เจ้านายใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“กูกำลังพยายาม”

“เมื่อวานพี่เงาะยังถามถึงมึงอยู่เลยว่ามึงเป็นไงบ้าง กูก็เลยบอกว่ามึงได้งานใหม่เจ้านายรักมาก กอไก่ล้านตัว”

“เชี่ยบัส! มึงก็ไปแหย่ให้พี่เงาะแกนอยด์ เออ แล้วตกลงไอ้ปอนยังทำงานอยู่อีกมั้ยวะ”

“ทำอยู่ แม่งคงจะติดใจที่นั่นเข้าแล้ว กลางคืนหญิงเพียบอาหารตามันเลย”

“บอกมันระวังหน่อย เดี๋ยวเงินจะไม่เหลือ แม่งยิ่งใจใหญ่ชอบฉีกกระเป๋าเลี้ยงหญิงจนไม่มีจะแดก”

“ขี้เกียจเตือน ปล่อยให้มันไส้แห้งแดกมาม่าไปเลย”

“สุดท้ายมันก็อ้อนให้มึงเลี้ยงข้าวมันอยู่ดีป่ะวะ”

“กูจะโทรไปเตือนมันตอนนี้ทันมั้ยวะ”ไอ้บัสถึงกับรีบคว้าโทรศัพท์

“ไม่ทัน เดือนนี้ก็ให้มันแดกข้าวมึงไปก่อนแล้วกัน”

“เชี่ยแล้ว”ไอ้บัสคอตก ผมเดินไปปิดไฟก่อนจะบอกให้มันนอน

“นอนๆ พรุ่งนี้มีเรียน”

“ปลุกกูด้วย”

“เออ”



หลังจากเลิกเรียนคลาสสุดท้ายตอนบ่ายโมง ผมกับไอ้ปอน ไอ้บัสก็นัดก็ไปกินน้ำแข็งใสหลังมอ โดยชวนไอ้จูนมาด้วย ทุกคนสั่งเมนูเดิมๆ จนป้าสวยเจ้าของร้านจำได้ มานั่งปุ๊บก็มีเมนูโปรดมากระแทกปากโดยไม่ต้องสั่งเลย

“กว่าจะมากันครบ”ไอ้จูนตักน้ำแข็งใสเข้าปากแล้วพูดไปด้วย

“เออ ต่างคนก็ต่างยุ่ง เวลาเป็นเงินเป็นทองหมด”

“กินเสร็จพวกมึงจะไปไหนต่อ?”ไอ้จูนถามขึ้น

“กูจะกลับบ้านไปงีบแล้วไปทำงานที่ร้านต่อ”ไอ้บัสบอกพร้อมกับตักนมที่ราดบนหน้าน้ำแข็งของไอ้ปอนเข้าปาก ไอ้ปอนหน้ามุ่ยฉกพุทราเชื่อมไอ้บัสมาเคี้ยวแทนอย่างสะใจ

“ส่วนกูก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน กว่าจะเดินทางถึงก็ได้เวลางานพอดี”ผมเฉาะน้ำแข็งให้ละลายรวมกับน้ำแดงก่อนจะเสียบหลอดดูดน้ำ

“อ้อกูลืมบอกไอ้ธัน หอที่มึงฝากกูไปดูให้อีกอาทิตย์จะมีคนย้ายออก ถ้ามึงจะอยู่ก็รีบไปจองคิวไว้เลย เพราะที่นั่นถูกแถมยังมีคนจ้องจะเข้าอยู่เพียบ เสียอย่างเดียวหาความปลอดภัยไม่ค่อยได้แถมเจ้าของดุเหมือนหมา ถ้าเป็นผู้ชายก็โอเคอยู่ มึงสนป่ะ”

“เออกูสน ขอเบอร์ที่นั่นหน่อย”ผมเมมเบอร์โทรศัพท์จากมือถือไอ้จูน เพราะผมก็ร้อนที่จะออกมาหาที่อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกัน ถ้าถูกและมีที่ซุกหัวนอนผมก็เอาทั้งนั้น ไม่อยากรบกวนบ้านไอ้บัสนานแกรงใจมัน

“มึงไม่ต้องรีบก็ได้ไอ้ธันอยู่กับกูไปก่อน”

“ไม่เอา กูเบื่อนอนฟังเสียงกรนของมึงจะแย่ เผลอๆ แม่งตดใส่ผ้าห่มเสียงดังชิบหาย”

“เชี่ย!”ไอ้บัสยื่นขามาแตะเก้าอี้ผม

“ถ้ามึงไม่เชื่อกูจะอัดวิดีโอไว้ให้มึงดู”

“ทุเรศว่ะไอ้บัส”ไอ้จูนทำหน้าเบี้ยววางช้อนน้ำแข็งใสแล้วเอามือปิดปากตัวเอง

“เอคติ้งเกินไปไอ้จูน”ไอ้บัสดันหัวไอ้จูนเป็นเชิงหยอกล้อ

“เอาเป็นว่ากินเสร็จก็แยกย้ายมีอะไรก็โทรมา แล้ววันอาทิตย์อย่าลืมมาเจอกันด้วยประชุมเรื่องพรีเซนท์งานโอเคมั้ย”ไอ้จูนประกาศ

“โอเค”

หลังกินเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปจริงๆ ส่วนผมพอได้ข่าวที่อยู่ใหม่ก็เลยรีบติดต่อ ได้คุยกับป้าเสียงแหลมๆ ที่พูดจาหมาไม่ค่อยแดก แม่งเศษเล็บความง้อลูกค้าไม่มี แต่ทำไงได้ในเมื่อผมต้องการจะอยู่ เลยตกลงกันไปว่าถ้าห้องว่างก็ให้โทรมาบอกด้วยแล้วจะเข้าไปดู



ผมลงรถเมย์ก่อนจะเดินย้อนขึ้นมานิดหน่อย และเลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ทางเข้าเพนท์เฮาส์ของฟรานซิส จริงๆ ที่นี่ไม่ได้มีแค่บ้านของฟรานซิสอย่างเดียว ถ้านับดูดีๆ ไม่งงกับการออกแบบที่มันดูยากก็พอจะกะได้ว่ามีประมาณยี่สิบกว่าชั้น ซึ่งเพนท์เฮาส์ของฟรานซิสอยู่ชั้นบนสุด และต่ำลงมาอีกสองชั้นอาเธอร์บอกว่าฟรานซิสสงวนไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวโดยไม่มีการซื้อขายหรือเช่าอยู่ และที่ผมยังช็อคสุดๆ ก็ตรงที่ตึกหลังโตๆ นี่เป็นของเขาทั้งหมด ทั้งได้กำไรจากการขายเพนท์เฮาส์ที่ราคาไม่ใช้เล่นๆ และถือเป็นการสร้างที่อยู่ที่สะดวกสบายเพื่อตัวเองอีก ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาบรรยายความรู้สึกอึ้งทึ่งนี้ดี

ผมเดินทอดน่องแตะฝุ่นด้วยความเซ็งแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีสายเรียกเข้าที่สะเทือนสิบกว่าริกเตอร์อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม

‘อากง’

เชี่ย! โทรมาทำไมวะ

ผมอ่านชื่อเจ้าของเบอร์ที่ขึ้นหราบนหน้าจอ ผงะจนแทบทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่และตัดสินใจกดรับสาย เพราะถ้าผมปฏิเสธตัดสายทิ้งคงมีเรื่องยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ

“[ฮะฮัลโหล]”

“เป็นไง.....สบายดีมั้ย”

นี่มึงกล้าถาม!

“ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“[รู้สึกข่าวคราวจะไม่ค่อยคืบหน้า นี่มึงยังทำงานให้กูอยู่มั้ย หรือมึงคิดว่ากูปล่อยมึงให้ไปเดินเล่นพาราก้อนรึไง]”

ผมมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินหลบเข้าหลังพุ่มไม้ใกล้ทางเข้าประตูให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นหรือได้ยินอะไรจากบทสนทนา

“ใจเย็นๆ สิวะ อยู่ๆ จะให้กูคาบเนื้อชินใหญ่วิ่งไปกองให้มึงทีเดียวเดี๋ยวพวกนั้นรู้ตัวเข้าทำไง”

“[ภายในสามวัน กูต้องได้ข่าวจากมึง เช็คมาว่าไอ้ฟรานซิสจะไปเกาะจันทร์ฉายเมื่อไหร่]”

“เกาะ? แล้วกูจะไปรู้ได้ไง”

“[ก็ใช้สมองอันน้อยนิดของมึงสิวะ]”

“สามวันเป็นไปไม่ได้!”

“[กูจะรอคำตอบ ถ้าไม่มีข่าวคราวมึงจะได้รู้ว่ากูเอาจริง.....ติ๊ด!]”

“เฮ้ย! เดี๋ยว!”ผมตาลุกวาวมองหน้าจออย่างกระสับกระส่าย

บ้าเอ้ย! เรื่องนั้นใครจะไปทำได้วะ! ผมแทบปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะความหงุดหงิด แต่พลันสายตากลับหันไปเห็นรถคันสีดำคุ้นตาที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่งกำลังชะลอรถเข้ามาจอด ชายที่สวมชุดสูทดูรัดกุมวิ่งเหยาะๆ จากประตูหน้าทางเข้าเพนท์เฮาส์มาเปิดประตูรถออก

ผมรีบเอาตัวหลบมุมเพื่อซุ่มดูเหตุการณ์ต่อไปอย่างสนใจ

และแล้วก็มีผู้ชายรูปร่างสันทัดสูงประมาณไอ้บัสลงมาจากรถในชุดสูททันสมัยดูดึงดูดความสนใจ รวมทั้งใบหน้าได้รูปที่ชวนมองเห็นแล้วต้องเผลอมองซ้ำ เขาไม่ได้ดูดีในแบบที่น่าเกรงขามแต่ดูเป็นผู้ชายที่สวยราวกับผู้หญิง ทั้งทรงผมที่ไม่ได้ตัดสั้นแต่ปล่อยให้ยาวระต้นคอในแบบสไตล์หนุ่มญี่ปุ่นดูแล้วอายุก็ไม่ได้แก่กว่าผมไปสักเท่าไหร่ อาจจะเยอะกว่าสัก สองสามปี นั่นยิ่งทำให้ผมสนใจขึ้นมาอีกเมื่อคนที่ลงมาจากรถอีกด้านคือฟรานซิสเขาดูเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ต้องพูดถึง

หลังจากที่ฟรานซิสลงจากรถ เขาก็เดินเข้าไปด้านในโดยมีผู้ชายหน้าสวยเดินตามหลังไปอย่างสนิทสนม แถมยังมีการถือกระเป๋าเอกสารให้ฟรานซิสเสียด้วย นั่นคงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะขึ้นไปข้างบนด้วยกันหรอกใช่มั้ย ในเมื่อเพนท์เฮาส์ของฟรานซิสขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยระดับทำเนียบขาว นั่นก็แสดงว่าพวกเขาคงสนิทกันน่าดูจนไม่ต้องลูบหน้าลูบหลังระแวดระวังความปลอดภัย

ดูก็พอรู้ว่าฟรานซิสคงมีรสนิยมอะไรประมาณนั้น แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ แล้วถ้าชอบอะไรที่มันหรูหราขนาดนั้น เขาจะมาหยอกล้อผมแบบนั้นทำไม

อา! นี่ผมมัวมาคิดเรื่องบ้าอะไรเนี้ยใช่เรื่องมั้ย!

แต่ว่าตอนนี้ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปข้างในเหมือนกัน.....ลองไปดูให้ซึ่งๆ หน้าหน่อยเหอะว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไร ไม่แน่ผมอาจจะได้ขอมูลส่งเป็นดอกเบี้ยแก้ขัดไอ้แก่เฉินนั่นไปก่อนก็ได้



“ถ้าเสร็จแล้วนายควรไปได้แล้ว”เสียงเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อผมวางเครื่องดื่มให้นาวีที่ฟรานซิสเพิ่งแนะนำเขาให้ผมรู้จักและแนะนำนาวีให้รู้จักผม เขาเอ่ยปากไล่ผมอย่างไม่อ้อมคอม เพราะผมแค่เผลออ้อยอิ่งแอบฟังพวกเขาคุยกันอย่างเนียนๆ

นาวีเป็นเลขาส่วนตัวของฟรานซิส ตั้งแต่แรกเจอตำแหน่งนั้นผมคิดว่าเป็นของอาเธอร์เสียอีก แต่ผมพอจะให้เหตุผลโดยไม่ต้องถามว่าทำไมอาเธอร์ถึงไม่ใช่ เพราะดูจากรูปลักษณ์แล้วเขาน่าจะเป็นฝ่ายลุยมากกว่ามานั่งจับเอกสารเรียบเรียงตารางสรุปรายงานอะไรเทือกนั้น

ตั้งแต่ได้พูดคุยเล็กน้อยกับนาวี ผมไม่ค่อยถูกชะตากับเขาเลย หมอนั่นชอบใช้สายตาเหยียดๆ มองผมนิ่งๆ แต่ไม่พูดอะไรนั่นถึงได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าหงุดหงิด เขาทำราวกับว่าเขาคือบุคคลสำคัญที่ฟรานซิสขาดไม่ได้ แสดงความเป็นเจ้าของเสียเต็มที่อย่างที่ผมรู้สึกได้

“ถ้าต้องการอะไรเรียกผมแล้วกัน ผมจะไปทำความสะอาดในครัว”ฟรานซิสนั่งไขว่ห้างพลิกเอกสารในมือสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่แม้แต่ชำเลืองมามองผมสักนิด แต่ผมไม่ได้หวังให้เขามาสนใจมากกว่างานในมือและคนข้างๆ เสียหน่อย


“....เสร็จแล้วควรออกไปได้ โด่! พูดอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน”ผมพึมพำหลังฟรานซิสส่งเขากลับ แล้วผมก็ต้องมายืนล้างแก้วที่เพิ่งใช้เสร็จอยู่ในครัว พอจับแก้วที่นาวีใช้ผมแทบไม่อยากจะล้าง

เอาทิ้งไปสักใบจะมีใครสังเกตเห็นมั้ยวะ

โอเค๊…..ผมจะยอมล้างแก้วที่หมอนั่นใช้ก็แล้วกัน แลกกับข้อมูลบางอย่างที่ผมแอบเห็นแอบได้ยินมามันคงพอจะมีประโยชน์บ้าง
ผมจัดการทำความสะอาด เก็บกวาดอย่างที่ควรจะเป็น ตลอดไปจนเช็คของที่ขาดหรือต้องการเพิ่มจนเสร็จ รวบรวมเสื้อผ้าเจ้าของบ้านที่ต้องส่งร้านซัก และนี่จวนจะได้เวลากลับบ้าน ผมไม่เจอฟรานซิสอีกหลังจากส่งนาวีกลับ เขาเข้าห้องนอนชั้นบนไปไม่รู้ว่าออกมารึยัง เสียงกุกกักที่ดังอยู่ข้างล่างทำให้บรรยากาศที่นี่ไม่เงียบสงบอีกต่อไปเพราะผม

“คุณอยู่ในห้องรึเปล่า”ผมเคาะประตูห้องฟรานซิสสองสามครั้ง ไม่มีเสียงตอบกลับออกมา

หรือว่าเขาจะอยู่ในห้องหนังสือข้างล่าง? แต่ไม่น่าใช่เพราะผมเพิ่งจะออกมาจากห้องนั้นหลังจากทำความสะอาดเสร็จ
ผมขมวดคิ้วเรียกหาฟรานซิสไปซะทั่ว ทั้งๆ เปิดห้องโน้น แง้มห้องนี้แต่ก็ไม่พบ
 
อะไรเนี้ย คนตั้งตัวโตอยู่ๆ ทำไมถึงได้หายไป ผมยืนหมุนอยู่หน้าประตูห้องของเขาอีกครั้งแต่ก็ไม่กล้าข้ามกรอบประตูนั่นเข้าไป ผมตั้งใจจะกลับเลยในเมื่อจะมาบอกลาแล้วเจ้าของบ้านไม่อยู่

“.....งั้นผมกลับล่ะ”ผมเอ่ยลอยๆ และทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับ แต่ทว่า

“เดี๋ยวสิ ฉันมีเรื่องให้นายช่วย”หยดน้ำพราวเกาะตามผิวของฟรานซิสที่นุงเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันครึ่งตัวล่างทำให้ผมถึงกับกลืนน้ำลาย จู่ๆ เข้าก็โผล่มาแล้วจับแขนผมไว้แน่น แถมยังออกมาในสภาพนี้อีก หรือที่ผมเรียกเขาไม่ตอบเพราะคงอยู่ในห้องน้ำ
แต่ไอ้การรีบร้อนออกมาทั้งสภาพนี้แกรงใจผมหน่อยเหอะ หรือเห็นผมไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลยอยากอวดรึไง ชิส์!

“มีอะไรครับ”ผมสบตาฟรานซิลที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูแปลกตาไปเมื่อผมที่เปียกชื้นลู่ปรกหน้า ถึงมันจะให้ความรู้สึกเหมือนคนละคนแต่ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ต่อให้ผมปิดตาก็จำเขาได้ และในสภาพแบบนั้นมันชวนให้หัวใจผมเต้นแรงอย่างไรสาเหตุ

“..........”

“ถามไม่ตอบ งั้นผมกลับล่ะ”ผมพูดแต่เขานิ่งแบบนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องผมเลยตัดสินใจเดินออกมา แต่กลับถูกฟรานซิสดึงเขาห้องชนิดที่คำว่าตั้งตัวอยู่ไกลจากผมไปทันที

“ลากผมเข้ามาทำไม ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนไป”ผมตาโตแกะมือใหญ่นั่นพัลวัน รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที

“ตอนนี้แหละดี ฉันอยากให้นายช่วยฉันผ่อนคลายสักหน่อย”เขาพูดหน้าตาย แล้วดึงผมเข้ามาประชิดตัวเสียจนผมระแวง สายตามองฟรานซิสสลับกับเตียงคิงไซส์

บ้านา.....ทำไมผมถึงต้องคิดไปถึงเรื่องใต้สะดื้อด้วยเล่า!!!



 >>>> to be continued :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 7 **** 1/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-08-2016 17:56:42
ทำไมธันไม่บอกความจริงฟรานซิสไปล่ะ บอกว่าตัวเองถูกขู่ให้มาเป็นหนอนบ่อนไส้ โดยเอาความปลอดภัยของเพื่อน ๆ มาใช้
เพราะไอ้พวกนั้นไม่ใช่คนดี ถึงทำงานสำเร็จก็ใช่ว่าธันจะรอด เผลอ ๆ ถ้าธันถูกจับได้โดนฆ่าตาย พวกมันก็ไม่เดือดร้อน
ถ้าบอกฟรานซิสไปจะได้วางแผนตลบหลัง (ระหว่างนี้ก็ขอให้ฝั่งนี้คุ้มครองเพื่อน ๆ ของธันด้วย) แลกกันไง ให้ธันไปบอกข่าวลวงกับฝั่งโน้น แล้วจัดการมันซะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 7 **** 1/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 01-08-2016 18:53:46
รู้ได้ไงคะว่าเราพึ่งมาอ่านย้อนแล้วบ่นถึงพอดี!
ฟรานนี่ขยันอ่อยค่ะ จะให้เด็กมันตบะแตกกระโจนเข้าใส่ก่อนแล้วค่อยสวนกลับใช่ไหมคะ วั๊ยยยย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 8 Up Date 2/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 02-08-2016 18:40:32
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)




8



“อืม....ตรงนั้นแหละ”

“ตรงนี้ใช่มั้ยครับ”ผมถามย้ำเขาอีกครั้งก่อนจะออกแรงกดอีกหน่อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

“ฉันจะจ่ายค่านอกเวลาให้”

“ตกลงครับ ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธ”

ฟรานซิสอยู่ในท่านอนคว่ำสบายๆ ส่วนผมก็นั่งคุกเข่าคร่อมตัวเขาก่อนจะใช้ฝ่ามือกดช่วงเอวชนิดที่ลงแรงแทบทั้งตัว อย่าเพิ่งเขาใจผิดว่าผมทำอะไรไม่ดี ตอนนี้ผมแค่กำลังนวดให้เขาก็เท่านั่น เขาบอกว่ารู้สึกล้าเพราะทั้งวันต้องนั่งประชุมยาวทั้งเช้าและบ่าย เขาเลยขอให้ผมช่วยนวดให้

ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะนอนโป๊อล่างฉ่าง เพราะตอนนี้เขาจัดการสวมใส่เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นผมคงคร่อมเขาไม่สนิทใจ
“ถ้าอยากจะนวดทำไมไม่จ้างหมอนวดดีๆ มา หรือให้เลขาของคุณที่ดูเหมือนจะเก่งทุกงานช่วยล่ะ”ผมเผลอกระแนะกระแหนเขา ถ้าเขาเห็นหน้าผมตอนนี้คงได้เข้าใจผิด แต่ดีที่เขาคว่ำหน้าอยู่

“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวสุ่มสี่สุ่มห้า”

อ้าว! แล้วสิ่งที่ผมกำลังทำล่ะ?

“’งั้นผมพอแค่นี้”ได้ยินเขาพูดแบบนั้นมือผมถึงกับชะงักเตรียมจะผละออกจากหน้าที่กะทันหัน แต่จู่ๆ คนที่นอนนิ่งคว่ำหน้าก็พลิกตัวมาแล้วคว้าผมทุ่มลงนอนกับเตียงแล้วขังผมไว้ภายใต้วงแขน บทบาทของเราสลับกันอย่างรวดเร็ว ผมอ้าปากเหวอตามองค้าง คนเบื้องหน้ากลับจ้องผมเขม้น

“คุณจะทำอะไร คงไม่ได้จะนวดให้ผมหรอกนะ”ผมพูดติดตลกแต่สถานการณ์มันกลับไม่ใช่

“นายเป็นอะไร?”คำถามที่จู่โจมไม่รู้ว่าผมควรเอาประเด็นไหนมาตอบ มันกว้างเท่ามหาสมุทร แต่ท่าทางฟรานซิสจะเอาจริง ดวงตาของเขามองผมทำเอาผมแทบไหม้ ที่รู้ๆ มันร้อนไปถึงหูแล้ว

“คุณหมายถึงอะไรผมไม่รู้ แต่ตอนนี้คุณควรจะออกไปจากตัวผมก่อนแล้วค่อยพูดกัน”ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีแรงเท่าคนตรงหน้าแค่น้ำหนักฟรานซิสก็กินขาด แต่ผมก็พยายามใช้ฝ่ามือดันแผงอกนั่นออกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“ฉันรู้ว่านายรู้ จะตอบฉันมาหรือจะให้ฉันคิดไปเองกับท่าทางและการระทำของนาย....ธัน”ฟรานซิสเอ่ยชื่อผมเสียงดุ

“ผมไปทำอะไรตอนไหนให้คุณไม่พอใจ”

“คนที่ไม่พอใจ คือนายต่างหาก”

“ผมไม่พอใจคุณตอนไหนผมนึกไม่ออก”ผมเริ่มเสียงดัง

“คล้ายว่าฉันจะจำได้”เสียงทุ้มกระซิบแผ่วใกล้ใบหู ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกชัดตรงมุมปากราวกับมีแผนการ ท่วงท่าที่เขาขยับราวกับตระเตรียมมาดี

ผมคาดไม่ผิด เพราะนาทีนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีมือใหญ่สอดเข้ามาผ่านชายเสื้อเชิ้ตลูบขึ้นผ่านหน้าท้องราบจนผมกระตุกวูบ ภายในรู้สึกปั่นป่วนเสมือนเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว

“คุณฟรานซิส! นี่คุณคิดจะทำอะไรครับ!”ผมร้องโวยพยายามหยุดมือหนาอย่างตกใจ

นี่มันคุกคามทางเพศชัดๆ

“ก็พิสูจน์ว่านายเป็นอย่างที่ฉันคิดรึเปล่า”

“เป็นอะไร เฮ้ย! คุณฟรานซิส...คุณ!”ผมกระตุกเสื้อตัวเองปิดท้องพยายามดิ้นหนีการรุกคืบชนิดที่ไม่แกรงใจชุดนักศึกษาผมสักนิด ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะมือใหญ่แสนช่ำชองนั่นเล่นเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ตอนนี้เขาเป็นบ้าอะไรเนี้ย! ฤดูติดสัดรึไง!

“ตัวนายจับแล้วถนัดมือดีใช่เล่น”

ตอบหน่อย! ผมเป็นคนหรือสากกะเบือ ไอ้ที่บอกว่าจับถนัดมือนี้เอาอะไรคิด!

“ถ้าคุณไม่พอใจอะไรในตัวผมจริงๆ คุณต่อยผมเลยดีกว่าเหอะ!!!”

“ใครว่าฉันไม่พอใจในตัวนาย การกระทำของฉันไม่ได้บอกเหรอว่านายดูน่าสนใจ และฉันก็รู้สึกสนใจนาย”

“แต่ผมเป็นผู้ชาย”

“ฉันตาบอดรึไง?”

“ถ้าไม่บอดก็อย่าเอามือมาจับคนอื่นเค้าซีซั้วสิ! ถ้าอยากจะจับนักคุณเลขาส่วนตัวของคุณน่าจะโอเคกว่าผม!”ผมตะปบมือฟรานซิสที่เอื้อมมาโอบต้นคอผม เขาใช้นิ้วเกลี่ยหลังต้นคอซะผมตัวเกร็ง

“นั่นแหละที่ฉันถามว่านายเป็นอะไร รู้ตัวมั้ยว่านายพูดจาเหมือนหึงหวงฉันกับนาวี”แววตาแพรวพราวกลอกมองผมด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ฮ๊ะ! อย่ามาตลก ผมกับคุณเป็อะไรกันข้อนั้นคุณน่าจะรู้นะครับคุณฟรานซิส ผมจะคิดแบบนั้นไปทำไม ไม่มีเหตุผลเลยด้วยซ้ำ!”

“สายตาของนาย ปากของนาย มันส่อ”ฟรานซิสก้มลงมากระซิบบอกความลับกับผมชนิดที่ใกล้เสียจนจะดูดปากกันอยู่แล้ว
โว้ยยยยย! นี่ผมเป็นอะไรเนี่ยถึงได้สั่นไปหมดทั้งตัวแบบนี้ และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมฟรานซิสถึงต้องเล่นมุกต้อนไก่เข้าถ้ำเสือกับผมด้วย!

“พะพูดอะไรของคุณไม่เห็นจะรู้เรื่อง ผมจะไม่พอใจอะไรคุณ ผมกับคุณแค่เจ้านายกับลูกจ้าง”ผมแก้ต่างสุดตัวและย้ำสถานะอีกครั้ง

“การที่นายพูดถึงนาวีบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะนายไม่พอใจเขารึไง”

“นั่นมันงานของคุณผมจะไปทำแบบนั้นทำไมครับ”

“เพราะนายหลงเสน่ห์ฉันน่ะสิ”

“ไม่มีทางครับ!”



วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมไม่ต้องเข้ามอ เป็นเช้าที่ดีที่สุด เป็นเช้าที่สดใส เป็นเช้าที่บรรยากาศเป็นใจ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีก

ร้องไห้สักร้อยรอบจะหายมั้ยวะ!

“ไอ้ธัน ไหนมึงบอกจะออกไปตลาดแต่เช้า แล้วไปทำงานไงวะ....ตื่นได้แล้ว”ไอ้บัสเอื้อมมือยาวๆ จากเตียงมาเขย่าตัวผมที่ยังหนีความจริงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มน้ำเสียงกึ่งหลับกึ่งตื่น มันคงจะตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุกของผม และเห็นว่าผมยังนอนเฉยมันเลยหวังดี

“รู้แล้วกูขอทำใจเดี๋ยว.....”

ผมรู้ว่าวันนี้วันเสาร์และเป็นวันหยุดของเจ้านายผู้หลงตัวเองอย่างฟรานซิส ถ้าจำได้เมื่อคืนคงได้ยินคำนั้นหลุดจากปากของเขา เขาบอกว่าผมหลงเสน่ห์เขา มีอะไรให้หลงวะ ก็แค่หล่อล่ำหุ่นดีมีกล้า มีsix pack หน้าตาดีevery thing เป็นลูกครึ่ง แถมรวยมาก เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น

นึกแล้วยังรู้สึกแค้นในอกอย่างบอกไม่ถูก ผมยังจำเสียงหัวเราะหงึกๆ ในลำคอเสมือนมีชัยที่เห็นผมกระวีกระวาดหอบหิวตัวเองออกมาจากห้องของเขาอย่างผู้แพ้ได้ ตอนนั้นผมแค่ตกใจเลยเถียงอะไรไม่ออกก็เท่านั้น

“รีบๆ เลยเดี๋ยวเจ้านายมึงไล่ออกมึงจะไม่มีแดกนะเว้ย”

“มึงนอนไปเลย กูลุกก็ได้”

ผมดีดตัวขึ้นนั่งก่อนจะเข้าห้องน้ำอาบน้ำและแต่งตัวโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ไอ้บัสมันยังคงนอนอยู่อย่างมีความสุขส่วนผมก็ต้องออกไปทำงาน ทำหน้าที่.....ที่ไม่ควรจะได้รับ

ติ๊ด ติ๊ด!

ขณะผมกาวลงจากรถเมย์เสียงข้อความก็ดังเตือนจากโทรศัพท์ ผมหยิบมันขึ้นมาดูก็มีข้อความจาก‘อากง’เข้ามา

[อากงคิดถึงแกมาก ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้อากงที่ 58.1103 อากงจะรอแกรีบมาไวๆ ล่ะ]

“เอาน้ำเกลือไปกินดีกว่ามั้ยไอ้แก่!”ผมอ่านข้อความเสร็จถึงกับเบ้หน้าแล้วลบทิ้งทันที อยากรู้ใครคนพิมพ์ข้อความจะขาด

ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้แก่เฉินมันต้องการจะเจอผม อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผมรายงานไอ้แก่เฉินไป ตอนนี้มันถึงได้เรียกตัวผมให้ไปเจอกันตามสถานที่ในรหัส นั่นคือเลขที่อยู่ กับหมายเลขห้อง อย่างที่ตกลงกันไว้ ผมก้มลงมองนาฬิกาก่อนจะรีบโบกแท็กซี่เปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางกะทันหัน



     58.1103

“เฮียครับไอ้ธันมาแล้ว”

“ให้เข้ามา”

“มีอะไรก็รีบๆ พูด กูจะได้กลับไปทำหน้าที่ให้มึงไม่บกพร่อง”ผมประชดประชันสะบัดแขนที่ถูกล็อคไว้ประกบซ้ายขวาออกเป็นอิสระ

“กูขอรายละเอียดข้อมูลมากกว่านี้”ไอ้แก่เฉินเดินมาทางผมพร้อมเสียบปากกาสีเงินแท่งหนึ่งให้ผมใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“อะไร กูไม่ได้อยากได้ปากกา”

“มึงคิดว่ากูจะให้ปากกามึงไปทดเลขเล่นรึไง เก็บปากกานี้ไว้ให้ดีทุกเสียงจะถูกบันทึกไวในนี้ เอาติดตัวมึงไป มึงรู้ว่าควรจะใช้มันตอนไหน”

“ยุ่งยากชะมัด”ผมบ่นแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับเอามันออกมาพลิกดูไปมาแล้วกดทดลองดู“.....ถ้าเกิดจับได้ก็ซวยน่ะสิ”

“ไม่มีทาง มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างแนบเนียน คิดว่ามันกระจอกมึงคิดผิดแล้ว”

“กูไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว ตอนนี้กลับได้แล้วใช่มั้ย กูรีบ”

“เดี๋ยว”ผมกำลังเดินกลับออกไป แต่ไอ้แก่เฉินก็เรียกผมไว้ซะก่อน

“อะไรอีกวะ”

“ข้อมูลที่มึงให้มา แน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าถูกต้อง”

“กูไม่รู้ เห็นอะไรก็บอกมึงเท่าที่เห็นเป็นข้อมูลดิบ มึงจะคิดวะเคราะห์ ยังไงนั่นก็ไม่เกี่ยวกับกูแล้ว”

ผมบอกเรื่องที่ตัวเองไปเห็นเอกสารการจองตั๋วเครื่องบินตอนที่ฟรานซิสกับนาวีนั่งคุยกัน ซึ่งที่นั่นเป็นสนามบินในจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของเกาะจันทร์ฉายที่ไอ้แก่เฉินพูดถึง ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้อง ผมเห็นรายละเอียดไม่ชัดเจนเห็นแค่ตัวเลขวันที่ แต่เวลาผมมองไม่ถนัด ข้อมูลที่ผมให้มันก็มีเพียงเท่านี้

“ก็ทำงานได้ดีอยู่ กูชักสงสัยว่ามึงทำยังไงถึงได้ข้อมูลมาได้”

“กูจำเป็นต้องบอกมึงด้วยงั้นเหรอ”ไอ้แก่เฉินยักไหล่ไม่แยแสก่อนจะโบกมือไล่ให้ผมกลับ แต่ก่อนจะกลับมีบางอย่างที่ทำให้ผมเกิดอยากรู้ขึ้นมา“อยากรู้เรื่องของฟรานซิสไปทำไมวะ มึงคิดจะทำอะไรกันแน่”คิ้วของผมย่นเข้าหากันอย่างสงสัย

“เรื่องของผู้ใหญ่ หน้าที่ของมึงคือทำตามที่กูสั่งก็พอ.....แล้วก็จำไว้ด้วยว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง แค่มึงกระดิกตัวทำอะไรที่มันไม่ช่วยให้เรื่องมันจบง่ายๆ หรือคิดจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง ก็เตรียมรับของขวัญบรรณาการชิ้นใหญ่จากกูได้เลย เอาล่ะไสหัวไปได้แล้ว!”

เออ! ทีหมดประโยชน์ก็เอ่ยปากไล่ แม่ง! กูขอให้มึงคิดอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง!

นี่คือการแช่งจากใจจริงของผมเลย แต่ที่ส่งสัย มันต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับฟรานซิสขนาดนั้น ผมไม่ได้จะคิดเข้าข้างใครหรือเห็นว่าใครดีทั้งนั้น ทั้งไอ้แก่เฉิน ทั้งฟรานซิส ผมเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครน่าไว้ใจทั้งนั้นสำหรับผม
หากคุณมาอยู่จุดๆ นี้คุณคงจะเข้าใจผม พึ่งตัวเองเพื่อหาทางรอดนั่นคือสิ่งที่ผมคิด อาจจะไม่ดีที่สุดแต่มันก็ปลอดภัยที่สุดกับใครอีกหลายคน



ณ ตอนนี้คงไม่มีอะไรดูหน่วงหนักเท่าการเผชิญหน้ากันระหว่างผมกับฟรานซิสแล้วล่ะ ผมพยายามไม่คิดมากและบอกตัวเองว่ามันก็แค่หน้าที่ มันก็ยิ่งดีน่ะสิถ้าเขากับผมสนิทกันขนาดนั้น อะไรๆ มันจะได้ดูง่ายขึ้น

แต่ความเป็นจริงแล้ว.....แม่งคิดไม่ตกว่ะ เอาวะมันอาจจะเป็นแค่การข่มขวัญกันเฉยๆ ก็ได้ ไอ้ท่าทางแปลกๆ พฤติกรรมช่วนเสี่ยงของฟรานซิสผมควรจะระวังให้มากที่สุด

อย่าเผลอมองตาเขา

อย่างเผลอเออออตามเขา

อย่าเผลอหลงเสน่ห์เขา

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องท่องไว้ซะบ้างแล้ว

มือทั้งสองข้างของผมหิวของพะรุงพะรังไว้แน่น รวมทั้งผักสดผลไม้ต่างๆ ที่ใช้สำหรับมื้ออาหารของวันนี้ ผมเดินเข้าเพนท์เฮาส์ตามปกติ และเข้าสู่ระบบตรวจค้นความปลอดภัยด้วยความเหนื่อยหน่ายซังกะตายต่อชีวิต ซึ่งวันนี้ผมก็พบว่ามันไม่ปกติ ผมมองหน้าการ์ดที่แทบควักไส้ผมออกมาตรวจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามก่อนปากของผมมันจะโพล่งออกไป

“เสร็จแล้ว แค่นี้เหรอ?”

“นายไปได้แล้ว”

“เล่นตลกอะไรรึเปล่าเนี้ย ตรวจแค่กระเป๋าใบเดียวแค่นั้นจริงๆ อ่ะ”

“เป็นคำสั่ง เราทำตามหน้าที่”ผมมองพวกการ์ดงงๆ ก่อนจะเดินไปตามทาง ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม พวกเค้าลดการ์ดตรวจที่คุมเข้มลงเสียจนแทบจะไม่ตรวจ ผมอุตส่าห์ทำเวลาเพื่อให้มีเวลาเหลือสำหรับการตรวจค้น นั่นเท่ากับผมมาถึงที่นี่เร็วกว่าปกติน่ะสิ

ประตูระบบล็อคด้วยรหัสผ่านถูกเปิดออกด้วยการ์ดเพียงใบเดียว ซึ่งผมมีสิทธิ์ถือครองมันไว้ 1 ใบ และที่ตัวของฟรานซิสอีก 1  ใบ ภายในยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ผมเดาว่าเจ้าของบ้านยังคงนอนหลับอยู่ข้างบน ผมเลยจัดการเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดไปเก็บ และเตรียมมื้อเช้าง่ายๆ คือกาแฟดำ กับขนมปังเล็กน้อยเผื่อไว้ หากเขาจะทานมันคู่กับกาแฟ

ของที่จำเป็นต้องใช่ในครัวผมเก็บมันเข้าที่เข้าทาง และหันไปจัดการล้างผลไม้พวกแอปเปิ้ล สตอเบอร์รี่ แคนตาลูป มันอาจจะดูเยอะแต่ก็เป็นผลไม้ที่เก็บง่ายและอยู่ได้นาน สตอเบอร์รี่ผมแค่ซื้อมาเพราะว่าผมอยากจะกิน แค่นี้เขาคงไม่คิดว่าผมปล้นเงินเขาหรอกนะ

ขณะที่ผมกำลังสาละวนกับการล้างแคนตาลูปลูกใหญ่และแอปเปิ้ลหกเจ็ดลูกในชามผสมแสตนแลสใบใหญ่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี ผมรีบเอามันมากดรับเพื่อตัดเสียงรบกวนกลัวคนข้างบนตื่นแล้วหนีบมันไว้กับไหล่ มือก็ทำงานต่อ

“ฮัลโหล”

“[ไอ้ธันกูมีเรื่องจะเล่ามึงว่ะ”เสียงไอ้บัสโทรมาอย่างตื่นเต้น]”

“มีอะไรวะ พูดช้าๆ หน่อย มึงคงจะไม่ได้บอกว่าไอ้จูนเรียกมึงไปเฉ่งเรื่องโปรเจกต์พรีเซนท์ที่มึงทำไวรัสแดกหรอกใช่มั้ย”

“[เชี่ย! ไม่ใช่เรื่องนั่นเข้าเรื่องๆ!]”

“ว่า?”

“[หลังจากที่มึงออกไปทำงานตอนเช้า ไอ้เอกเพื่อนแถวบ้านที่ต่างจังหวัดของไอ้โชคมันโทรหากูเว้ย แม่งมันบอกว่าสองวันก่อนมันเห็นไอ้โชคกลับบ้าน แล้วก็รีบร้อนออกไป กูว่ามันกำลังหนีว่ะ เรื่องเรียนมันก็ลาออกไปแล้ว]”

แค่ชื่อที่ได้ยินมันก็ทำผมเดือดขึ้นมาบัดดล

“เดี๋ยวนะไอ้บัส มึงไปรู้จักไอ้เอกตั้งแต่เมื่อไหร่”ไอ้เอกไม่ได้เป็นเพื่อนในคณะ แต่เอกมันรู้จักผมกับไอ้โชคตอนสมัยเรียนมัธยมโรงเรียนประจำชายล้วนและบ้านมันอยู่ใกล้กับบ้านไอ้โชคผมเลยมีโอกาสผ่านหน้าบ้านมันออกจะบ่อยตอนไปเที่ยวบ้านไอ้โชค แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก ไอ้เอกมันอยู่คนละห้องเรียนกับผมและไอ้โชคสมัยมัธยม แต่บังเอิญมาเรียนมหาลัยเดียวกันเลยกลายเป็นคนรู้จัก เจอกันก็ทักทายกันบ้างตามประสา

“[กูเจอมันในมอแล้วสืบรู้มาว่าเป็นเพื่อนแถวบ้านไอ้โชคกูเจอเลยขอแลกเบอร์กับมัน แล้วขอช่วยมันนิดหน่อย กูไม่ยอมนะเว้ยให้
ไอ้เชี่ยนั่นหนีไปง่ายๆ ยังไงก็ต้องหาตัวมันให้เจอมึงจะได้ไม่ต้องโดนไอ้พวกเวรนั่นรังควานอีก]”

“กูขอบใจมึงมาก แต่เรื่องไอ้โชคมึงควรอยู่ห่างๆ มันไว้จะดีกว่า กับกูมันยังทำได้ขนาดนี้ ถ้ามึงไปตามมันมึงอาจเดือดร้อน”

“[ไอ้ธัน! กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย ไม่ได้เป็นเพื่อเหี้ยๆ อย่างไอ้โชค เพื่อนเอาไว้ทำอะไรวะ พากันไปแดกเหล้าอย่างเดียวรึไง มึงมีอะไรให้กูช่วยก็บอกได้เลย อย่าเก็บไว้คนเดียว]”

“กูโคตรซึงเลยว่ะ แม่งเจอกูขอกอด”

“[พอๆ เย็นนี้เลิกงานแวะมาที่ร้านหน่อย พี่เงาะเค้าอยากเจอ]”

“เออๆ ไว้กูจะ.....เห้ย!!!”

เคร้งงงง!

จังหวะที่ผมหันไปจะหยิบผ้ามาเช็ดน้ำ คนที่มายืนอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงก็ทำผมสะดุ้งตกใจจนเผลอมือพลาดไปโดนชามน้ำปริ่มๆ ที่กำลังแช่แอปเปิ้ลอยู่พลัดตกลงมาน้ำหกกระจายสาดกระเด็นโดนเสื้อลามไปถึงกางเกงของผมจนเปียกซึมถึงชั้นใน โทรศัพท์ในมือก็พาลตกพื้นไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังคุยกับไอ้บัสไม่ทันจบ

“ตกใจฉันขนาดนั้นเลยรึไง”สีหน้ากรุ่นๆ ที่ดูอบอวนไปด้วยรังสีบางอย่างชำเลือกมองผมด้วยสายตาเย็นเยียบ

“ตกใจน่ะสิ มายืนแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ถ้าเกิดผมเป็นโรคหัวใจ ไม่หัวใจวายตายตรงนี้รึไงครับ ถอยไปก่อนเดี๋ยวก็เหยียบน้ำลื่น.....”

พรืดดดด!

ไม่ทันขาดคำ สิ่งที่เกิดขึ้นราวกำคำแช่งชัก แต่คนที่ประสบเหตุกลับกลายเป็นผมแทนที่จะเป็นฟรานซิส ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลกผมหลับตาตามสัญชาตญาณก่อนจะรู้สึกราวกับตัวเองโดนทุ่มลงกับพื้นกระเบื้อง แต่ปรากฏว่าร่างกายกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

คงไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งที่คนตรงหน้าทำคือการช่วยเหลืออย่างไม่ทันคิดหรือว่าตั้งใจ แต่ที่รู้ผมโถมลงมาทับคนเบื้องล่างเต็มๆ ส่วนฟรานซิสก็นอนราบลงกับพื้นอีกมือก็โอบตัวผมราวกับปกป้องสุดฤทธิ์ หน้าของผมแนบลงกับไหล่กว้างของเขา มันใกล้ชนิดที่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้น

“ฟรานซิส คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“ไม่เป็นไรได้ไง ฉันรู้สึกเหมือนหลังฉันจะหัก”เขาทำสีหน้านิ่งไม่ขยับตัว ผมถึงกับหน้าถอดสี

“ผมจะไปเรียกการ์ดข้างนอก คุณรออยู่ตรงนี้นะ”ผมทำท่าจะยันตัวลุกขึ้นแต่กลับถูกแขนใหญ่นั่นโอบรัดจนแน่นไม่เหลือช่องว่างระหว่างตัวให้อากาศลอดผ่าน

“นี่คุณ ไหนบอกว่าเจ็บก็ปล่อยผมสิ”แขนของผมพยายามดันตัวเขาออก และพบว่ากำลังโดนคนเจ้าเล่ห์แกล้ง

ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผมเลยจริงๆ!

“นายทำพื้นบ้านฉันเลอะ แถมยังทำให้ฉันตกอยู่ในอันตราย.....เพราะความไม่ระมัดระวังของนาย นี่คือการลงโทษ และฉันใจดีพอที่จะไม่ไปยุ่งกับเงินเดือนของนาย”

“คุณ ฟราน ซิส!”

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน ภาพลักษณ์ที่แสนเพอร์เฟคนั่นมันหายไปไหนหมด แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับผมตอนนี้สิ

“นายเรียกแต่ชื่อของฉัน ข้องใจอะไรรึเปล่า”

อึก!

“คุณทำแบบนี้กับผมอีกแล้วนะ!”ฟรานซิสเหวี่ยงตัวผมให้นอนราบกับพื้นที่เปียกไปด้วยน้ำจนหลังผมชุ่ม ส่วนตัวเขาก็ขึ้นมาทาบทับร่างกายผมแทน ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

“พื้นเปียกนายก็ต้องเช็ดสิ”

“คุณก็ปล่อยผมสิ ผมจะได้ไปหาผ้ามาเช็ด!”ถึงผมจะแสดงท่าทีต้อต้านยังไงเขาก็ไม่ฟังผมอยู่ดี แถมยังมองผมด้วยดวงตาสีฟ้ามรกตนั่นอย่างดุดันและดูเคร่งขรึมผิดกับก่อนหน้านี้ ถึงริมฝีปากของเขาดูเหมือนจะเหยียดยิ้ม แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ต่างออกไปจากทุกที แต่มีหรือผมจะย้อมแพ้หลบตาเขา ตอนนี้จะมาหนีไม่มองก็ไม่ได้แล้ว ตาต่อตาฟันต่อฟันสิ ผมขี้ขลาดซะที่ไหน!

“ใครบอกว่าจะให้นายหาผ้ามาเช็ด ที่ตัวนายก็มีผ้ามากพอจะใช้ได้อยู่แล้ว”

“คุณหมายความว่าอะไร ผมไม่เล่นด้วยหรอกนะ!”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่บอกว่าจะไม่กลัวแล้วแท้ๆ

“ใครว่าฉันเล่นล่ะ ทั้งหมดไม่ใช่การแสดงหรอกนะธัน”ว่าแล้วฟรานซิสก็ถือดีถลกเสื้อยืดตัวเก่งของผมขึ้นก่อนจะถอดมันออกอย่างชำนาญชนิดที่ผมไร้ความสามารถจะปัดป้อง ผมพยายามพลิกตัวเพื่อหาช่องทางหนีเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติ

“คุณเป็นบ้าไปแล้วรึไง ผมไม่ใช่ผู้หญิงของคุณนะ!”ผมร้องเตือนเขาอย่างตกใจ ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของผมมันบีบรัดอย่างหนักหน่วง

“ฉันรู้ แต่นายก็ไม่ต่าง....คงเตรียมใจไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ สำหรับ...ในหลายๆ อย่าง”สิ้นประโยคมือหนาของฟรานซิสก็รวบแขนผมขึ้นเหนือศีรษะ อวดโชว์สรีระสัดส่วนของชายหนุ่มที่ไม่ได้น่ามองน่าตื่นเต้นสำหรับผู้ชาย แต่กับคนตรงหน้ามันต่างออกไป เข้าจดจ้องสำรวจร่างกายผมจนแทบจะทะลวงเข้าไปถึงข้างในอย่าสนใจ มันทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมาจนอยากจะมุดดินหนี ร่องรอยการต่อต้านโผล่ผื่นแดงเป็นจ้ำบนผิวขาวภายใต้ร่มผ้า จนผมเห็นได้ชัด

ร้ายกว่านั้น เขาไม่เพียงบังคับผมแต่กลับโน้มตัวลงมาจนผมหน้าถอดสีพยายามหดตัวเกร็งอย่างไร้สาเหตุ ในท้องกระตุกวูบสั่นกลัวทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง และปลายจมูกโด่งเป็นสันของคนตรงหน้าก็กดลงต่ำสัมผัสไล่ลากผ่านไหล่มน จนผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกดูดกลืนกำลังไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อต้าน

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย!!!!!

“คุณทำอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”ผมฮึดสู้ขยับตัวดิ้นอีกครั้ง ราวกับจะร้องเตือนสติของเขา

“เสื้อตัวเดียวคงจะเช็ดพื้นไม่แห้งหรอก”มือหนาที่ว่างอยู่เลื่อนลงต่ำลูบผ่านเอวของผมจนไปหยุดอยู่ตรงสะโพกแล้วค่อยๆ สอดนิ้วมือผ่านขอบกางเกงยีนส์ของผมแล้วชะงักค้าง ก่อนพูดอะไรบางอย่าง

“นายอยากให้ฉันทำอะไรต่อ”เสียงทุ้มที่ฟังดูกังวานกระซิบเบาๆ ข้างใบหูของผมอย่างจงใจ ผมกัดฟันกรอดจนหน้าของผมคงแดงเถือกเต็มไปด้วยความโกรธ

“คุณฟรานซิส....ปล่อยผม!”

“แน่ใจนะว่านายจะไม่เสียดาย”

“ผมจะเสียใจมากกว่าถ้าคุณทำแบบนั้น”

“ตกลง”เขาทำเหมือนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครูเป็นแค่การเล่นมวยปล้ำของเด็กๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงต่อหน้าผมแล้วจับต้นคอตัวเองเอียงไปมาเล็กน้อยราวกับเคล็ดยอก ก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันหิวแล้ว ตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อข้างบน”ร่างสูงหมุนตัวแล้วเดินจากไปอย่างไม่ยี่หร่ะ ผมนอนอึ้งมองฟรานซิสในสภาพเปลือยท่อนบน รอบๆ ก็เป็นน้ำที่เนืองนองและผลแอปเปิ้ลที่ยังคงกระจาย

มีอะไรให้ผมสติหลุดไปมากกว่านี้มั้ยบอกผมที แล้วเรื่องเมื้อกี้นั่นมันอะไรกัน ผีหอบหื่นเข้าสิงเขารึไง!

แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ ผมรู้สึกได้ว่าฟรานซิสอารมณ์ร้ายผิดปกติ วันธรรมดาเขาไม่เคยส่งสายตากร้าวใส่ผมแบบเมื่อครู่ ถ้าคุณเป็นผมจะรู้สึกเลยว่ามันน่าหวาดกลัวและเลวร้ายขนาดไหน ความรู้สึกที่ส่งแผ่มากถึงผมเหมือนเขากำลังเตือนอะไรบางอย่าง แต่ผมก็หัวทึบเกินกว่าจะรู้ความหมาย





ขอเมาท์เอา to be continued ไปเก็บก่อน
ตอนนี้ล่อซะยาวเลย :a5: ไม่อยากตัดฉับอรรถรสของการดำเนินเรื่องค่ะ ต้องขออภัย
พูดถึงตัวละครที่มีจุดยืนของตัวเองค่อนข้างสูง โดยเฉพาะฟรานซิส :-[
พระเอกอ่อยแรงมากกกกจริงๆ (ยอมรับเขาเลย):hao6: ปล่อยฟีโรโมนชนิดที่ไม่มีกั๊ก
ส่วนธัน จริงๆ ก็น่าสงสารเหมือนกันไม่รู้เคาระห์ซ้ำหรือกรรมซัด :z6:
ที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ แต่ในความร้ายดำมืด เชื่อว่าธันต้องผ่านมันไปได้(หรือไม่?)
ยังไงก็ฝาก My Boss ด้วยนะคะ  :impress:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 8 Up Date 2/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 02-08-2016 21:39:31
หึงรึปล่าวคะ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 8 Up Date 2/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 03-08-2016 08:50:44
สืบรู้แล้วแน่ๆเลย! บอสอ่อยแรงเบอร์นี้ จับพาดบ่าแล้วพาขึ้นชั้นบนเถอะค่ะ!
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 8 Up Date 2/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: love boy ที่ 03-08-2016 10:14:37
มาต่อไวๆ นะ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 8 Up Date 2/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 03-08-2016 13:43:15
ฟรานซิสโกรธเรื่องอะไรเนี่ยยยยยย  หรือหึง? หรือสงสัย?
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 9 Up Date 4/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 04-08-2016 18:39:48
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)



9



            บาร์‘บิโลน’

   “...ตอบมา...คนอะไร ไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่น.....คนใจร้ายไง ได้ยินม้ายยยย~~”   

   “เฮ้ย!มึงพูดกับใครเนี้ยไปโทรหาคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าตอนนี้ได้โดยด่ายับแน่ วางเลย”ไอ้บัสมาถึงก็คว้าโทรศัพท์ผมไปเฉย“.....เอ่อขอโทษครับเพื่อนผมมันเมาไม่รู้เรื่อง ครับ?....อ่า บาร์บิโลน ครับ”ผมไม่ได้สนใจว่าไอ้บัสกำลังพูดกับใคร แต่กลับคว้าเครื่องดื่มตรงหน้ามาซดเข้าปากแทน

   “เบาๆ กินเป็นน้ำเลยนะมึง พอแล้วๆ กินแบบนี้เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่ม มึงแดกเยอะแบบนี้ได้ที่ไหน”

   “ปล่อยไอ้บัส กูเพิ่งจะกินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย”

   “ครึ่งชั่วโมงบ้านมึงสิ มึงนั่งกินมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว นี่มันก็เที่ยงคืนแล้วมึงกลับบ้านไปก่อนเลยไป กูรอให้มึงอยู่จนกูเลิกงานไม่ได้แน่ พี่เงาะก็บอกให้กูมาส่งมึงกลับ”

   “ไอ้บัสมึงมีแฝดเหรอวะ แม่งตลกว่ะ ฮ่าๆ”   

   “แฝดพ่อมึงสิ กูอยู่นี่! มึงเมาแล้ว กลับๆ”ผมหัวเราะชอบใจชี้นิ้วไปอีกทาง ไอ้บัสกวาดแก้วกับขวดของมึนเมาที่อยู่ตรงหน้าผมเก็บจนเกลี้ยง

   “กูยังไม่อยากกลับ กูอยู่เป็นเพื่อนมึงน๊า.....”

   “มึงอย่ามาอ้อน พูดเป็นเทปยืดกูฟังแล้วรำคาญว่ะ วันนี้มึงเป็นเชี่ยอะไรของมึงวะ”มันหิ้วปีกผมให้ลงมาจากเก้าอี้

   “มึงจะไปเข้าใจอะไรกู.....ชีวิตกูมันบัดซบเจอแต่เรื่อง กูก็คนนะเว้ยไม่ใช่พระอิญพระปูนโยนอะไรมาใส่กูก็รู้สึกเจ็บเป็น”

   “เออกูรู้ หรือเพราะมึงเก็บเรื่องไอ้โชคมาคิดอีกแล้ววะ”

   “ไอ้บัส ฮึก!”ผมสะอึกเป็นรอบที่ร้อย รู้สึกโลกนี้มันหมุนเร็วไปหมด“.....มึงอย่าทิ้งกูนะเว้ยกูไม่อยากเสียใจอีกแล้ว กูเจ็บว่ะ มันเจ็บตรงนี้!”ผมเอามือทุบลงไปที่อกข้างซ้ายของตัวเอง น้ำตาของผมจู่ๆ มันก็ไหลมาจากไหนไม่รู้

   “พอๆ หยุดคิดเรื่องห่าบ้าบอได้แล้ว กูไม่ทิ้งมึงแน่!”สติของผมมันพร่ามัวไปหมด ความรู้สึกต่างๆ มันเหมือนถูกดันออกมาจากข้างในจากไหนมากมายก็ไม่รู้

   “มึงสัญญานะว้อยยยย!”

   “ไอ้ปอนๆ มานี่หน่อย!”หูผมแว่วๆ ได้ยินเสียงของไอ้บัสตะโกนเรียกใครบางคน ตอนนี้ผมยืนแทบจะไม่ไหว ต้องให้ไอ้บัสหิ้วปีก ส่วนผมก็เกาะมันมือเป็นปลาหมึกเลย

   “โหยยยย! หมดสภาพเลยว่ะไอ้ธัน เมาปลิ้น”

   “มึงอย่าเพิ่งวิจารณ์ กูฝากร้านแป๊บนึงบอกพี่เงาะให้ด้วยเดี๋ยวกลับมา กูจะเอาไอ้ธันไปส่ง แม่งกลับเองไม่น่าจะไหวแล้วว่ะ”

   “เออๆ รีบไปรีบกลับ”

   “ไหวป่ะวะไอ้ธัน”

   “กูไหว กูโอเค”

   “แต่สภาพมึงไม่โอเคเลยว่ะ”ไอ้ปอนทำหน้าเบ้

   “กูไปแล้ว อย่าลืมบอกพี่เงาะ”

   “เออๆ”

   ถึงผมจะเมา แต่ก็ไม่ได้หมดสติ สติน่ะพอมีอยู่บ้างแต่อาจไม่ชัดเจนรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และรู้ว่าใครคือคนที่กำลังหิ้วผมออกมาจากร้าน นี่สินะที่เขาเรียกว่าพอเหล้าเข้าปากก็จะกลายเป็นอีกคน

   “ยืนดีๆ กูจะโบกแท็กซี่ได้ไงถ้ามึงจะพากูล้มทั้งยืนแบบนี้”

   “กูนั่ง ให้กูนั่ง”

   “นั่งเชี่ยอะไรของมึง พื้นสกปรก!”

   มีหลายประโยคที่ไอ้บัสพูดกับผม ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง สายตาของผมจับจ้องไปทางถนนที่มีรถขับสวนทางกันไปมา มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์วันที่ตัวเองถูกซ้อมปางตายก่อนจะเจอเข้ากับฟรานซิสอีกรอบอย่างบังเอิญ ตลกดีมั้ยล่ะที่เหยื่อกระโดดมากินเบ็ดเองทั้งๆ ที่ไม่ทันจะหย่อนเบ็ดเลย

   ไม่รู้เพราะผมเมาหรือตามันพร่า ที่จู่ๆ ก็เห็นรถหรูคันสีดำจอดลงตรงหน้า แล้วผู้ชายที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีก็ก้าวลงมาจากรถ เขาเดินก้าวขายาวๆ มาหยุดลงตรงหน้าผมกับไอ้บัส

   “ฮ่าๆ ไอ้บัสกูว่ากูเหมือนเห็นผีเลยว่ะ”ผมหัวเราะอย่างสนุก

   “ใครวะ?”ไอ้บัสกระซิบถามผม

   “จาใครล่า.....ก็เจ้านายใหม่กูเองหล่อใช่มั้ยล่ะกูโคตรอิจฉา.....ฮึก! แม่งหลอนว่ะมาเป็นตัวเป็นตนเลย ฮ่าๆ”มือของผมเอื้อมไปขยุ้มเสื้อของคนตรงหน้า แล้วหัวเราะชอบใจ

   “เชี่ยไอ้ธัน มึงทำไรวะนั่นเจ้านายมึงไม่ใช่เหรอ!”ไอ้บัสพยายามแกะมือผมออก ผมก็กำแน่นไม่ยอมปล่อยแถมยังผละจากไอ้บัสไปเกาะเขาแน่นอีก

   “ฮึก!....ทำกับผมแบบนั้นคงสนุกสินะ ใจร้ายจังว่ะ....”

   “ฉันจะพาหมอนี่ไปเอง”

   “แต่เขาอยู่กับผมที่บ้าน ไม่รบกวนคุณดีกว่าครับ”

   “ฉันมีเรื่องเข้าใจผิดกับเขานิดหน่อย คืนนี้จะให้ไปค้างที่บ้านฉันไม่ต้องเป็นห่วง กลับไปทำงานของนายเถอะ”

   “ถ้างั้น.....ก็ฝากไอ้ธันด้วย มันอาจจะพูดพร่ามแต่เดี๋ยวหัวถึงหมอนมันก็หลับ”

   “อืม”



   อือ....หิวน้ำเป็นบ้า

   วินาทีแรกที่ผมรู้สึกตัว ผมรู้ว่าเมื่อคืนตัวเองเมาเหมือนหมา แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกตัวเพราะรู้สึกว่าคอของผมมันแห้งผากราวกับขาดน้ำมาตลอดทั้งคืน แถมยังรู้สึกมึนหัวชนิดที่ยกหัวไม่ขึ้น ผมได้แต่ขยับตัวเล็กน้อยรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติไป มือของผมที่สัมผัสได้ในตอนนี้คือความหนุบหนับเย็นๆ เรียบๆ แน่นๆ ทั้งที่ไม่อยากลืมตาตื่นแต่ก็ต้องฝืน

   ดวงตาของผมค่อยๆ ปรับแสงและภาพตรงหน้าให้ชัดทีละน้อย และสิ่งที่ผมเห็นคือมือของผมกำลังกอดและเอาหน้าซุกอยู่กับอกเปลือยเปล่าของใครบางคนชนิดที่แนบสนิทจมูกแทบจะฝังไปกับผิวเนื้อ ผมร้องลั่นในใจชนิดที่ดังมาก

   ไอ้บัสเหรอ!!! ผมจำได้ว่ามันบอกจะมาส่งผมที่บ้าน หรือว่าผมเมาจนไปทำอะไรมัน!

   ตะแต่เดี๋ยวนะ! สีผิวฝรั่งจ๋า กล้ามหน้าท้องแน่นๆ นี่ กูว่าไม่ใช่แล้วล่ะไอ้ธัน! แค่กลิ่นก็ดูแพงแล้ว

   ผมใช้มือแตะๆ เพื่อพิสูจน์โดยการสัมผัสตามสุภาษิตที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ

   ร้องเชี่ยในใจรอบที่ล้านลั่นมากครับ!

   “พอใจหรือยัง?”เจ้าของเสียงขยับตัวราวกับถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ ผมค่อยๆ เลื่อนมือออกจากร่างกายนั่น และยังรู้สึกอีกว่าไม่ใช่แค่มือที่เกาะเกี่ยวคนตรงหน้าเป็นเถาวัลย์ แต่รวมถึงขาของผมด้วยเช่นกัน

   ผมรู้สึกหน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว แถมยังร้อนผ่าวชนิดที่เหมือนโดนไฟนาบ

   “อาจจะเป็นคำถามโง่ๆ ตะแต่ว่าเรา ไม่! ไม่ใช่สิ หมายถึงผม คือ.....”อยากตบปากตัวเองทำไม่ต้องมาอึกอักตอนนี้ด้วยวะ
   จะไม่ให้ผมละล่ำละลักแบบนี้ได้ไง ก็ดูสภาพฟรานซิสตอนนี้ที่โชว์ร่างกายเปลือยเปล่าราวกับนายแบบโฆษณากางเกงในชาย และกลับมามองตัวเองที่มีสภาพเปลือยที่ไม่ต่างกัน ไอ้ต่างกันก็คือรูปร่างนี่แหละ คุณจะให้ผมคิดอะไร แม่งหัวผมจะระเบิดอยู่แล้ว ละครน้ำเน่าก็น้ำเน่าเหอะแม่งมาเจอเองแบบนี้เน่าเละแทะชนิดที่หนอนไต่เลย

   “ถ้านายจะถามอะไรไว้ค่อยคุยกัน เพราะยังไงฉันก็ต้องมีเรื่องคุยกับนายอยู่ดีธัน”

   “แต่ว่าผม.....”

   “ไม่มีแต่ วันนี้ฉันต้องไปทำงานจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดของนายแต่ช่วยลงไปจัดการกับเศษขยะข้างล่างก่อนกลับด้วย ฉันหมายถึง.....เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยอ้วกของนาย หรือจะอยู่ต่อฉันก็ไม่ว่า”ฟรานซิสลุกขึ้นจากเตียงผมแทบลืมหายใจกับหุ่นสุดเซี๊ยะนั่น ในความโชคร้ายยังมีเรื่องยินดีอยู่บ้างนั่นคือฟรานซิสยังคงมีกางเกงติดอยู่กับร่างกายเขาตั้ง 1 ชิ้น ไม่อย่างนั้นถ้าผมได้เห็นบั้นท้ายล่ำๆ นั่น เลือดกำเดาคงพุ่งไปถึงขั้วโลก

   คิดยังไงก็คิดไม่ตก ทำไมผมถึงมานอนกกเจ้านายตัวเองได้ ผมไม่ใช่พวกกินบนเรือนขี้บนหลังคาหรอกนะ แล้วรสนิยมทางเพศของผมมันก็ยังปกติอยู่......รึเปล่านะ?

   โว้ยยยยยย! ไม่รู้แล้วไม่อยากคิดแล้วว้อย! ทำไมต้องมาหน้าแดงเป็นคิดเรื่องลามกแต่เช้าแบบนี้ด้วยเนี้ย ยิ่งคิดยิ่งขึ้น! ไม่ๆ อย่ามองผมแบบนั้น ผมหมายถึงความดัน เพราะผมรู้สึกปวดขมับตุบๆ จนเหมือนจะระเบิด



   ร้านฟาสฟู๊ด

   “ทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่าวะ”

   “ยังแฮ๊งอยู่อีกเหรอวะ?”ไอ้ปอนเชยคางผมราวกับจะมองหน้าผมให้ชัด ผมจิ๊ปากสะบัดหน้าหนี

   “แฮ้ง? นี่มึงดื่มมาเหรอวะ”เสียงแหลมสูงปรี๊ดของไอ้จูนเสียดแก้วหูผม

   “นิดหน่อย”

   “ดื่มทำไมไม่ชวนวะ”

   “กูดื่มคนเดียว แต่ไปดื่มที่บาร์รอไอ้บัสกลับบ้านเฉยๆ”ผมแก้ต่าง แล้วหยิบเฟรนฟรายเข้าปาก

   “ก็นึกว่าไปดื่มแล้วไม่ชวน ไม่งั้นแม่จะงอนเป็นขนตาเลย ชิ!”

   “กูไม่อยากจะเล่า แม่งมันเมาปลิ้นเลยว่ะ ฮ่าๆ”

   “เออ เห็นกูเมาแล้วขำ”

   “เลิกนอกเรื่องแล้วมาจัดการเรื่องเรียนมา”ไอ้บัสปาเฟรนฟรายใส่ไอ้ปอน

   “ถึงมันจะลด 50% มึงอย่าเอามาปาดิวะกูเสียดาย”ไอ้ปอนเก็บเฟรชขึ้นมากิน

   “งั้นมึงก็กินให้หมดนี่เลยแล้วเอาF ไปแดกแก้เลี่ยน”

   “แม่งมาโหมดโหดวะ”

   “อย่าทะเลาะกันได้มั้ยวะ กูปวดหัวอีกแล้วเนี้ย”

   ผมจัดการสงบศึกชั่วคราวก่อนจะเข้าสู่โหมดทำงานจริงจัง พวกเราสี่คนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงภายในร้านฟาสฟู๊ดเพื่อปรู๊ฟงานที่จะพรีเซนท์ในอีกสองวันข้างหน้าก่อนปิดคอร์ส หลังจากแยกย้ายกับไอ้จูน ผมกับไอ้ปอนแล้วก็ไอ้บัสก็ตัดสินใจไปเดินเตร่แถวเกมส์เซ็นเตอร์ ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกับการผ่อนคลายชนิดที่ลืมเรื่องปวดหัวไปซะสนิท ผมกับไอ้ปอนชอบเกมส์ยิงซอมบี้ แต่ไอ้บัสเลือกที่จะไปโยนบาสเก็บแต้มจำนวนลูก หลังจากจบเกมส์ผมกับไอ้ปอนก็ไปสมทบกับไอ้บัสแข่งโยนลูกบาสลงห่วง ใครแพ้คนนั้นเลี้ยงน้ำ สุดท้ายคนที่แพ้คือไอ้ปอนจนได้

   “สนุกสุดๆ ไม่ได้มาเล่นอะไรอย่างนี้นานแล้ว”ดูไอ้ปอนจะดี๊ด้าเป็นพิเศษ

   “อย่าลืมล่ะกันมึงต้องเลี้ยงน้ำพวกกู”

   “น้ำเปล่าคนละขวดใช่มั้ย”

   “บ้ามมึงสิ ไม่งั้นกูไม่ยอมเสียเงินเพื่อเอาชนะมึงหรอก อย่างพวกกูต้องอะไรที่มันเย็นๆ ชื่นใจได้อารมณ์แมนๆ ป่าววะ”ผมพูดพลางเดินนำไปด้านหน้า

   “แน่นอนมึงกินโอเลี้ยง ส่วนมึงก็ชาเย็นแมนพอมะ”

   “มึงเอาไปแดกเองเหอะ”ผมชูกำปั้นใส่ไอ้ปอนแล้วเผลอหยุดที่ป้ายโฆษณาชุดชั้นในชายแบรนด์ดังร้านหนึ่งในห้าง สายตาผมมองไปที่นายแบบที่โพสท่ายืนจังก้าอวดรูปร่างและกางเกงในเป้าตึงนั่นอย่างมาดมั่น ผมไม่ได้มองเล็งไปที่ส่วนอื่นเลยนอกจากใบหน้าคมคายที่เป็นชาวต่างชาติเต็มตัว พาลให้ผมคิดไปถึงใครคนหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัวซะได้

   เชี่ย! ผมมองหน้าผู้ชายในภาพเป็นฟรานซิสไปได้ยังไง

   “มึงจะซื้อเหรอวะ”ไอ้บัสถามขึ้น

   “ก็คงงั้น”ผมตอบแล้วเดินเลยร้านไป ไอ้ปอนกับไอ้บัสคงงงแต่ก็เดินตามผมมาแต่โดยดี ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดตัวเองแท้ๆ แต่ความผ่อนคลายมันหายไปไหนหมดวะ มีแต่เรื่องปวดหัว

   ตอนนี้เราสามคนกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกับไอ้บัสส่งไอ้ปอนขึ้นแท็กซี่ เดี๋ยวนี้มันทำงานมีเงินมันบอกอยากไปไหนมาไหนสบายๆ เลยเลือกที่จะนั่งแท็กซี่แทนซะส่วนใหญ่ พอผมแซวมันว่ากระแดะมันกลับชูนิ้วกลางให้แล้วเปิดตูดขึ้นแท็กซี่ไปเลย ตอนนี้ก็เหลือผมกับไอ้บัสที่ยืนคอยรถประจำทางด้วยกัน

   “เอ่อไอ้บัส กูมีเรื่องสงสัยอยากจะถามมึงวะ”

   “อะไรวะ”

   “คือเมื่อคืนกูเมามากระดับไหนวะ”

   “ก็พอๆ กับงานเลี้ยงวันเกิดไอ้พี่ตั้ม พี่รหัสมึงนั่นแหละ”ผมระลึกได้ว่าตอนนั้นผมเมาชนิดที่แทบจะแก้ผ้ากระโดดลงอ่างปลาโชว์พาว แต่ดีที่พวกเพื่อนๆ มันห้ามไว้ทัน เหตุการณ์นั้นผมแทบอยากจะฝังลืม ถ้าผมโดดตอนนั้นไม่อยากจะคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น

   “เชี่ย เมาขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่กูก็ยังพอจำได้นะว่ามึงมาช่วยพากูกลับบ้าน แต่ว่า....”ผมเว้นวรรคกำลังไตร่ตรองความคิด“มันติดอยู่นิดหน่อยว่า มึงพากูกลับบ้าน แต่พอกูตื่นมา กูเอ่อ.....ไม่ได้อยู่ที่บ้านมึง”

   “ไอ้เชี่ยธัน มึงจำไม่ได้เหรอวะว่าเมื่อคืนเจ้านายมึงมารับกลับ เห็นมึงกระโจนเข้ากอดเขาซะขนาดนั้น ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าใจว่ามึงเด็กเสีย แม่งอ่อยชิบหาย”ไอ้บัสเล่าไปขำไป ผมนี่ถึงกับตะลึงพรึงเพริด

   “กูทำงั้นเหรอวะ”

   “เออ! เอากล้องวงจรปิดหน้าร้านมาดูมั้ยล่ะมึง”

   “เชี่ยแล้วไง”ผมถึงกับกุมขมับ

   “แต่เจ้านายมึงนี่แม่งโคตรหล่อเลยว่ะ อย่างกับพระเอกหนังฝรั่ง”

   “หนังเอคชั่น?”

   “หนังโป๊ ฮ่าๆ”

   “ไอ้เชี่ยบัส!”ผมไล่กวดแตะมันต่อหน้าธารกำนัลอย่างไม่แกรงใจ

   มึงหยุดทำให้กูจิตนาการได้มัยวะ แม่งเพื่อนเลว!


>>>> to be continued นะคะ  :bye2:

**ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 9 Up Date 4/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 04-08-2016 20:32:10
บอสใจดีขนาดนี้ไม่ให้คิดได้ไงคะว่าหวังเคลมน้องมันนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 07-08-2016 14:26:09
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)




10



   วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องเข้ามาที่เพนท์เฮาส์ก่อนหน้านี้ 3 วันมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอกับเจ้าของบ้านตัวปัญหา เพราะอาเธอร์บอกผมว่าพวกเขามีธุระที่ต้องไปจัดการ ฟรานซิสจึงไม่ได้อยู่บ้านสักระยะนึง และผมก็ไม่รู้ว่ากี่วัน ถ้าให้เดาเขาคงจะไปต่างจังหวัดเกี่ยวกับเกาะจันทร์ฉายอะไรนั่นแน่นอน

   ระหว่างทางที่ผมเดินออกมาจากที่พักใหม่ คงยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะว่าผมย้ายจากบ้านไอ้บัสมาอยู่หอที่ติดต่อไว้กับยัยเจ๊ปากผีนั่นเรียบร้อยแล้ว ถึงที่นั่นจะดูโทรม ความปลอดภัยเป็นศูนย์ แต่เรื่องราคามันก็ทำให้ผมไม่ขัดสนที่จะจ่ายโดยไม่ต้องค้างหนี้ติดสินให้โดนว่า

   ผมเดินออกมาจากซอยที่พักได้ระยะหนึ่ง ผมแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง แต่รู้สึกเหมือนมีคนตามอีกแล้ว ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นบ่อยจนผมคิดว่าตัวเองหลอนไปเองแต่ก็ไม่ใช่
 
   เท้าของผมก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร้อนใจจะเดินให้ถึงป้ายรถประจำทางไวๆ แต่พอจะเลี้ยวตรงหัวมุมถนน ผมถึงกับผงะเมื่อโดนขวางหน้าด้วยชายร่างสูงถึงสองคน การแต่งตัวไม่ได้ดูสะดุดตา แต่พฤติกรรมที่ทำนี่แหละแม่งเหมือนโจร

   “เฮ้ย! พวกมึงเป็นใครวะตามกูมาทำไมเนี้ย”มือของผมพยายามล้วงหาโทรศัพท์เพื่อโทรขอความช่วยเหลือ แต่คว้านหายังไงก็ไม่เจอ

   “พวกกูมีเรื่องต้องคุยกับมึงตามคำสั่ง ตามมาถ้าไม่อยากเจ็บตัวฟรี”

   มาแนวนี้แม่งโจรในละครเลยว่ะ แต่บางอย่างที่มันพูดกับผมทำให้ผมฉุกใจคิด

   “มึงพวกไอ้แก่เฉินเหรอวะ”

   ผมซุ่มเสี่ยงถามออกไป

   “ระวังคำพูดมึงไว้หน่อยเรียกหัวหน้าแบบนั้นหัวมึงได้หลุดแน่”ไอ้ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตวัดมีดพับมาทางผมในมุมที่อับสายตา ผมกลืนน้ำลายเฮือกแล้วเดินตามมันไปอย่างเงียบๆ จนมันพาผมมาที่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากหอที่ผมอยู่ เป็นบริเวณตึกที่กำลังก่อสร้างแต่ถูกชะงักไป บรรยากาศรอบๆ ก็ดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่เพราะลับสายตาคนแถมยังดูรกร้างจนแทบจะเป็นดงงู

   “เชี่ย! ไม่โดนมึงแทงตายที่นี่ก็โดนงูฉกล่ะวะ หาที่ดีๆ กว่านี้ไม่ได้แล้วรึไง”

   “อย่าพูดมากกูรำคาญ บอกมันว่าควรจะทำอะไร”ไอ้ตัวใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าบุ้ยหน้าให้อีกคนเข้ามาทำหน้าที่ ผมถอยหลังกรูไปสองสามก้าวเพราะแม่งเดินมามีดจะจ้วงท้องผมดับอยู่แล้ว

   “จะพูดก็พูดมาดิวะ ทำไม่ต้องทำหน้าโหดด้วย”

   “ฟังให้ดีงานนี้เป็นงานสำคัญ ถ้าทำสำเร็จหนี้เกินครึ่งอาจถูกล้าง ถ้าเกิดพลาดมึงก็เละ”

   “งานอะไร?”

   “ขโมยข้อมูลบริษัทไอ้เวรนั่น เจ้านายต้องการรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมดหากเป็นไปได้ให้เร็วที่สุดด่วรที่สุด และถ้ามึงทำได้นายกูใจดีให้งานนี้เป็นงานสุดทายอำลาวงจรหนี้สินของมึง”

   “เชี่ย! อาชญากรรม!”

   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อสิ่งที่ผมทำอยู่นับวันจะยิ่งถลำลึก ขาหนึ่งข้างกำลังก้าวเข้าคุกอยู่รอมร่อแล้ว แต่สิ่งที่ทำไหนเลยผมจะปฏิเสธมันได้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนรอบตัวของผมโดยตรง คิดยังไงก็คิดไม่ตกชีวิตของผมมันหมดคุณค่าหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ รึไงถึงต้องทำอะไรแบบนี้ ถ้ามีทางรอดอื่นมีเหรอผมจะไม่เลือก ผมไม่ได้อยากจะเลวอยากจะชั่วเพราะต้องมารับผิดชอบเรื่องบ้าๆ พวกนี้สักหน่อย

   ผมไม่อยากใช้ชีวิตที่ถูกบงการเรื่องเลวๆ พวกนี้ตลอดไปหรอกนะ ผมต้องตามหาไอ้โชค ให้มันมารับในสิ่งที่มันก่อสิไม่ใช่ผมมารับแทนทุกอย่างแบบนี้ งานสุดท้ายอะไร ผมไม่ดีใจเลยสักนิดกับเรื่องบ้าบอพวกนี้!



   เพล้ง!

   ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อแก้วในมือหล่นลงพื้นใบที่ 2 แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองใจลอยเท่านี้มาก่อนเลย 2 วันมานี้หลังจากคิดเรื่องที่พวกไอ้แก่เฉินมาพูดในหัวของผมก็ทำงานตลิดเวลาฟุ้งซ่านเรื่องล้านแปดจนแทบไม่ได้ว่างเว้น

   จึ๊ก!

   “อ่ะ!”เศษแก้วที่ปลายแหลมคมตำมือผมเข้าเต็มๆ ทันทีที่ผมยื่นมือเข้าไปหา เลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมขึ้นที่ปลายนิ้วชี้ ก่อนจะหยดลงพื้นราวกับน้ำรั่วจากก๊อก

   มันรู้สึกเจ็บ แต่น้อยกว่าข้างในที่ผมเป็นอยู่ ผมจึงไม่ได้สนใจและเก็บเศษแก้วต่ออย่างไม่ยี่หระ

   “พอได้แล้ว ไปทำแผล”คนที่คว้าข้อมือผมแล้วดึงตัวผมให้ยืนขึ้นดูมีสีหน้านึกรำคาญ แล้วลากตัวผมออกไปจากที่เกิดเหตุ ฟังดูน้ำเสียงของเขาหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ไงว่าผมโดนแก้วตำมือ ไม่แน่เขาอาจจะเดินมาดูตามเสียงที่ผมรบกวนเขาไปหลายรอบแล้วสำหรับวันนี้

   ฟุบ!

   ตัวผมถูกโยนลงบนโซฟาที่ปกติเขาจะเป็นคนครองมันทั้งหมด ผมไม่เคยแม้แต่ขึ้นไปนั่งเคียงไหลกับเขาเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับโยนผมลงมานั่งแล้วเขาก็นั่งลงใกล้ๆ มองมือของผมที่เลือดยังไม่ยอมหยุดไหล หากคุณเคยโดนแก้วบาดมือจะรู้เลยว่าปลายนิ้วของเราแทบจะเหมือนก๊อกน้ำดีๆ นี่เอง

   “กดไว้ เดี๋ยวฉันมา”ผมมองตามฟรานซิสที่ผุดลุกขึ้นแล้วไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากตู้ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว ผมมองเขาไม่วางตาจนกระทั่งเขาวางกล่องสี่เหลี่ยมสีดำที่มีเครื่องหมายบวกสีขาวอยู่บนฝากล่อง เขาปลดล็อคออกอย่างคล่องแคล่วก่อนจะหยิบพาสเตอร์ออกมา

   “ผมแปะเองได้”ผมเอื้อมมือไปจะหยิบแต่กลับโดนดุซะงั้น

   “ไม่ต้อง อยู่เฉยๆ ”ผมเพิ่งจะรู้ว่าถึงหน้าตาเขาจะไม่ให้ว่าดูแลใครได้ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วผมอึ้งเลย แถมมือยังเบากว่าพยาบาลแก่ๆ บางคนในโรงพยาบาลอีก

   “คุณทำแบบนี้ได้ด้วย?”ถึงปาดผมจะพูดแต่เลือกที่จะมองมือตัวเองมากกว่า

   “ใครๆ ก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก.....เสร็จแล้ว”

   “ขอบคุณมาก”พาสเตอร์ถูกแปะปิดปากแผลอย่างบรรจงราวกับมืออาชีพ ผมมองแล้วมองอีกอย่างพิจาณา

   “คราวหลังก็ระวังหน่อย นายไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะทำอะไรพลาดบ่อยๆ”

   “ผมรู้แล้วล่ะนา”ผมพูดเสร็จก็รีบลุกขึ้นพรวด แต่กลับถูกพรานซิสกระชากให้กลับลงมานั่นอีกรอบ“มะ มีอะไรอีกผมจะไปเก็บของเตรียมมื้อเย็น วันนี้คุณไม่ออกไปไหนไม่ใช่เหรอ?”ผมถามเพราะวันนี้ตรงกับวันหยุดของเขา

   “ไม่ต้อง ฉันจะออกไปกินข้างนอก”

   “ครับ งั้นผมอาจจะกลับก่อนคุณเข้ามา”

   ความรู้สึกโล่งใจไม่ใช่เพราะไม่มีงานเพิ่ม แต่โล่งใจเพราะผมจะได้ไม่ต้องเจอเขาตลอดช่วงเย็นถึงค่ำ พักนี้ผมยอมรับว่ารู้สึกตัวเองเงียบไป และไม่อยากจะเผชิญหน้าหรือมองหน้าฟรานซิสตรงๆ ผมรู้สึกตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะที่หวาดระแวงกลัวความผิด กลัวถูกจับได้ กลัวไปหมดทุกอย่าง

   “ใครบอกว่าฉันจะออกไปคนเดียว”

   “แอ๊ะ! อาเธอร์หรือนาวีล่ะที่จะไปกับคุณ”

   “นายนั่นแหละ”

   “ครับ.....ห๊า! ผมเนี้ยนะ ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”

   “มันยังอยู่ในเวลางาน ตอนนี้ฉันมีสิทธิ์สั่ง นายแค่ปฏิบัติตาม”

   ครั้นผมจะปฏิเสธก็ง้างปากไม่ขึ้น ก็พ่อคุณทูนหัวผมกลับเดินดุ่มๆ ขึ้นไปข้างบนแล้วโยนคำสั่งลงมาอีกละรอก   “ฉันให้เวลานาย 10 นาทีเพื่อเตรียมตัว”

   “แต่ว่า…..”

   ผมชะเง้อคอแทบเคล็ดเพื่อจะเสวนาต่อ แต่ฟรานซิสกลับไม่สนใจตัดบทโดยการปิดประตูห้องแล้วปล่อยให้ผมอ้าปากพะงาบๆ งับอากาศเล่นเหมือนปลาทองงับน้ำ

   ใครมันจะไปมีอารมณ์ดินเนอร์ล่ะตอนนี้ ผมอยากจะตะโกนดังๆ ใส่หูฟรานซิสเหลือเกินว่า กูนี่แหละจะฆ่าเอ็งอยู่รอมร่อแล้วช่วยอยู่ห่างๆ กูตอนนี้ได้มั้ย!



   ไม่ต้องบอกว่าบรรยากาศในรถเงียบเชียบขนาดไหน ผมทำตัวลีบอยู่อีกมุมๆ หนึ่งของรถที่แล่นอยู่บนถนนสายเลี่ยงเมืองมานานเกือบ 2 ชั่วโมงจมผมงงว่าเขาจะพาผมไปกินข้าวหรือไปตะเข็บชายแดนกันแน่ทำไมถึงไกลขนาดนี้ ทางด้านฟรานซิสก็นั่งปกติในที่ประจำของเขาสบายๆ ผมบอกได้เลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งจะเคยนั่นรถหรูขนาดนี้ในชีวิต(ไม่นับตอนเมาเพราะผมไม่มีสติ) เห็นภายนอกว่าหรูแล้ว แต่ภายในโคตรจะสบาย เบาะนั่งด้านหลังก็นุ่มตูดอย่างบอกไม่ถูก แอร์ก็เย็นชนิดที่ชวนหลับ พื้นที่ส่วนตัวด้านหลังก็กว้างราวกับลีมูซีนแต่ให้คนละอารมณ์คนละสไตล์

   “กลัวฉันขนาดนั้นเลยรึไง”

   “แค่อยากจะนั่งห่างๆ”สายตาของผมกวาดมองบรรยากาศข้างทางราวกับเจ้านายพาหมามาเที่ยว ส่วนผมน่ะเหรอก็เป็นหมาน่ะสิ

   หวืด!

   ตูดผมไถลไปกับเบาะนั่งก่อนจะหยุดชะงักเมื่อร่างกายส่วนข้างกระแทกเข้ากับเจ้าของสูทสีดำที่ดูไม่เป็นทางการ เพราะปกติเขามักจะใส่เนคไท แต่ตอนนี้กลับสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมดูสบายๆ สวมเพียงสูตรนอกแฟชั่นจนผมแทบไม่อยากจะมอง เดี๋ยวจะแสดงสีหน้าเกินงาม

   “จะดึงมาทำไมเนี้ย”ผมจะขยับตัวออกแต่ฟรานซิสกลับโอบเอวผมทางด้านหลังทำให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ ผมทำสายตาเลิกลักมองไปยังคนขับด้านหน้า รู้สึกกระดากอายขึ้นมาทันที

   นี่ไม่ได้นั่งอยู่ในรถสองคนนะเว้ย! ไอ้บ้านี่เป็นหอบหื่นให้มันรู้เวลาบ้างไม่ได้รึไง

   “คุณ ฟราน ซิส!”รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสียงกัดฟันกรอดเอ่ยชื่อผู้เป็นนายอย่างเหลืออด ฟรานซิสหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เล็กน้อยก่อนจะจงใจเลื่อนมือลงต่ำมาจนถึงสะโพกของผม แต่ใบหน้าของเขากลับเฉมองไปทางอื่นอย่างกวนประสาท

   จะทำอนาจารต่อหน้าผู้อื่นเลยรึไงวะ!

   “นี่มันในรถนะครับคุณฟรานซิส”ผมพยายามเอ่ยถ้อยคำสุภาพเพื่อให้เกียรติเขา เพราะ ณ ที่นี้ผมบอกแล้วว่าไม่ได้มีแค่ผมกับเขาเพียงสองคน ยังมีไอ้การ์ดหน้านิ่งนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน วันนี้อาเธอร์ไม่ได้มาด้วย

   “ถ้าไม่ใช่ในรถนายโอเคงั้นเหรอ”ฟรานซิสหันหน้ามามองผมมือข้างหนึ่งค้ำศีรษะตัวเองศอกวางทับกับขอบหน้าต่างรถรอคำตอบ ผมได้ยินอย่างนั้นแทบอยากจะเอาปี๊บมาคลุมหัว คนอื่นที่ได้ยินเขาจะคิดยังไง

   “ฮ่าๆ คุณหมายถึงอะไรครับ”ผมพยายามแกะมือปลาหมึกนั่นออก“.....ผมไม่เข้าใจ พูดแบบนั้นคนอื่นจะมองผมไม่ดี” 

   “นายหมายถึงเจมส์น่ะเหรอ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดหรอก”

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่การกระทำคุณมันไม่เหมาะ”

   “ฉันทำอะไร”คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดเชิงอยากรู้ ผมก็อยากรู้จะจริงๆ ว่าเขาไม่รู้หรือแกล้งถามผมเล่น

   “ก็คุณ.....”

   “Excuse me. We have arrived already.”

   บทสนทนาของผมถูกตัดอีกครั้ง เมื่อการ์ดควบตำแหน่งคนขับรถของฟรานซิสเอ่ยขึ้น ผมหันไปมองภายนอกรถแทบจะทันทีเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่ารถได้จอดสนิทแล้ว เจมส์ลงจากรถอย่างรวดเร็วมาเปิดประตูให้ฟรานซิส เขาเดินลงไปจากรถและผมก็ขยับตัวตามออกมาทั้งๆ ที่อารมณ์ยังค้าง ผมไม่ได้หมายถึงอารมณ์อื่นใดนอกจากความหงุดหงิด อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด

   โอ๊ย! แล้วผมจะแก้ตัวทำฝาชีอะไรวะ!

   “นี่มันที่ไหนเนี้ย”ผมพึมพำมองบรรยากาศรอบๆ อย่าตะลึงพรึงเพริด ไม่เพียงบรรยากาศที่ดูให้ความสบายตาแต่ทุกอย่างดูสงบเงียบอยู่บบพื้นฐานของการตกแต่งสไตล์ยุโรปฟิวชั่นที่ยังคงให้กลิ่นอายความเป็นไทยอยู่ ผมมัวแต่ยืนมองบรรยากาศรอบๆ จนเพลิน ฟรานซิสจึงเรียกผมให้ตามเขาเข้าไปด้านใน

   เมื่อผมเห็นว่ามีพนักงานต้อนรับกำลังรอนำทางอยู่ผมจึงเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อให้ไม่ต้องมีใครมารอ

   “คุณแน่ใจนะว่าร้านไม่ได้ปิด”ผมกระตุกแขนเสื้อฟรานซิสที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เพราะดูรอบๆ แล้วมันเงียบจนผิดปกติ ถึงจะมีโต๊ะที่พร้อมต้อนรับลูกค้าแล้วก็เหอะ แต่มันแทบจะไม่มีใครเลย

   “ถ้าปิดแล้วเราจะเดินเข้ามาได้มั้ย”

   “คุณบอกได้มั้ยว่าที่นี่ที่ไหน เรามาไกลเพื่อจะมาแค่นี้เนี้ยนะ”

   “อืม”

   “ผมว่า ดูมันไม่ค่อยปลอดภัยให้โทรเรียกอาเธอร์มามั้ยเผื่อมีเรื่องผิดปกติ”

   “พูดมากนา”มือของผมถูกลากไปให้เดินเคียงข้างเจ้าของร่างสูงราวกับเตือนให้ผมหุปปาก ผมมองเลิ่กลั่กไปทั่วทั้งร้านราวกับจับจ้องหาความผิดปกติจนกระทั่งมาหยุดอยู่บริเวณโต๊ะเอาท์ดอร์ที่ตั้งอยู่กลางเฉลียงซึ่งยื่นออกมาจากตัวร้านลงไปในทะทะเลลาปเล็กๆ ให้บรรยากาศริมน้ำในแบบเรียบหรู

   “นี่มันฟ้าจรดน้ำชัดๆ”ผมวิ่งไปเกาะราวกั้นระเบียงแล้วยื่นหน้าออกไปปะทะกับลมอ่อนๆ จ้องมองขอบทะเลสาบที่ผมคิดว่าคงจะเป็นฝีมือมนุษย์ที่สร้างขึ้นแต่มันก็สุดยอดเอามากๆ

   “รีบมานั่งได้แล้วเดี๋ยวอาหารจะมาเสิร์ฟ”เก้าอี้ตัวสีขาวถูกเลื่อนออกโดยฟรานซิส ผมหย่อนก้นลงนั่งด้วยความแปลกใจ เขาดูเป็นสุภาพบุรุษแต่ผมนี่มันสถุลชนดีๆ นี่เอง

   “มันไม่ได้มีอะไรพิเศษใช่มั้ย”ไม่มีใครแปลกใจก็บ้าแล้ว

   “พิเศษ ? ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน”

   “อย่าบอกนะว่าคุณมากินอะไรแบบนี้บ่อย”ผมตาโตโพล่งถามออกไป ฟรานซิสได้แต่ยิ้มแล้วจัดการกวักมือพนักงานให้มาเติมไวท์ในแก้วทรงคาบาเน่ตรงหน้า ทั้งของผมและของตัวเอง ผมรีบยกแก้วไวท์ขึ้นมาแล้วจิบเข้าปากทันที

   “อย่าบอกนะว่านี่มัน.....เบอร์กันดี?”ผมมองไวท์ในมือถึงกับสั่น จะไม่ให้สั่นได้ไง นี่มันไวท์แดงชั้นดีขึ้นชื่อระดับโลกเลยนะ คุณภาพดี รสดี แถมยังแพงที่สุดซะด้วย

   “ไม่ยักรู้ว่านายจะรู้เรื่องพวกนี้”

   “ผมก็เคยเป็นพนักงานบาร์....อา....ร้านอาหารหรูๆ ก่อนหน้านี้นะ”ผมเกือบจะหลุดปากพูดออกไป ใจผมนี่แม่งวูบลงตาตุ่มไปแล้ว

   “ฮึ!”คนตรงหน้าดื่มดำกับกลิ่นของไวท์ก่อนจะจิบมันราวกับเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมละมุม และรถชาตินุ่มลิ้น ส่วนผมน่ะเหรอ มีของดีอยู่ตรงหน้าจะให้มานั่งจิบเป็นมดกินน้ำมันจะไปพอยาไส้อะไรล่ะ

   “เติมหน่อย”แก้วเปล่าถูกวางบนโต๊ะ ฟรานซิสชะงักค้างมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็เงียบไปกลับยิ้มขึ้นมาตรงมุมปากโดยที่ผมไม่ทันสังเกตเห็น

   เขาคงไม่ได้จะขี้เหนียวเก็บไว้กินเองหมดขวดนั่นหรอกนะ

   “นายจะอิ่มไวท์ก่อนอาหารจะมาถึงนะ”แก้วที่สามกรอกเข้าปากเสร็จเรียบร้อย มันหอมนุ่มอร่อยจนผมแทบอยากจะร้องไห้ ปกติกินแต่เหล้าผสมโซดา ไม่ก็เบียร์ยี่ห้อไทยทำ แต่มาถึงจุดนี้กินไวท์ความเหนือชั้นแม่งทำให้ผมระเริงเป็นแมงเม่าเลย

   “รู้แล้วล่ะนา คุณคงจะไม่บอกตอนท้ายให้ให้ผมเซอร์ไพรส์ใช่มั้ยว่าทั้งหมดนี่ผมต้องจ่าย”

   “นายคิดว่าไง ? ”

   “คุณคงไม่ใจร้ายทั้งๆ ที่คุณเป็นคนชวนผมออกมาเองหรอกนะ”ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันมาตื่นตากับอาหารที่มาวางตรงหน้า

   อย่าให้ผมเล่าว่าผมกินอะไรไปบ้าง มันปวดหัวเสียยิ่งกว่าขึ้นเครื่องเล่นผาดโผน ทั้งจานรองจานหลัก แล้วก่อนหน้านี้ยังมีแอพพิไทเซอร์ แล้วก็ซุปอีก แถมยังตบตบด้วยของหวานเป็นเค้ก ผมนี่แทบจะนอนกลิ้งลงกลางพื้นเพราะความอิ่ม แต่เค้กไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยหรอกนะ แต่ผมรู้สึกพะอืดพะอมสุดๆ จึงกินไปได้แค่ครึ่งเดียว และนั่นเป็นจานสุดท้ายที่ผมกินเหลือ ก่อนหน้านี้อย่างให้สาธยาย แทบไม่เหลือร่องรอย แต่คนตรงหน้ากลับกินเหลือเสียบานเบอะให้เขาเก็บกลับไปทิ้งจนน่าเสียดายแต่ผมก็ไม่ได้พูด

   “ผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ”ดูท่าว่าผมควรจะเดินย่อยเป็นดีที่สุด แต่พอลุกเท่านั้นแหละรู้สึกว่าตัวเองเซไปประมาณ 40
องศากับการสับขาหลอกตัวเองอีกสองก้าว

   ไม่ม้างงงงง! มันคงจะไม่ใช่ ผมแครู้สึกไปเอง

   ผมรีบมองไปที่ตัวน่าสงสัยคือไวท์แดงตรงหน้าอันดับแรกเลย ก่อนจะพาตัวเองเดินออกมาแล้วสะบัดหัวเหมือนหมาติดเห็บสองสามรอบ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะหายอีกไม่ช้า แค่ไวท์มันคงไม่ทำให้ผมถึงกับเมาหรอกใช่มั้ย แต่ไอ้ปริมาณที่ผมกินเข้าไปเกินควรก็ทำให้คิดมากอยู่เหมือนกัน

   “เดินดีๆ”

   “อื้ม”

   เชี่ย! เสียงสูงมาไงวะ ผมตะครุปปากตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อหู มันเป็นสัญญาณอ่อนๆ ที่ผมรู้ว่าแอลกอฮอล์ในเลือดมันเริ่มสูงขึ้น

   ล้างหน้า ล้างหน้ากูต้องล้างหน้าด่วน เรียกสติ เรียกทุกอย่างคืนมาจะมามึนกับของพื้นๆ พวกนี้ได้ไงวะ

   แต่จะว่าไปผมก็ไม่เคยกินไวท์มากเท่านี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่ามันจะเมาได้ด้วยรึเปล่านี่สิ

   “เอ่อ ขอโทษครับห้องน้ำไปทางไหนครับ”ผมสะกิดพนักงานหญิงคนหนึ่งเพื่อถามทางไปห้องน้ำ

   “เดินตรงไปด้านในเลยค่ะ”

   “อ๋อครับ ขอบคุณครับ”

   ป้ายสีขาวที่บอกเส้นทางการไปห้องน้ำมีลูกศรชี้เป็นระยะ ผมเดินไปตามลูกศรเรื่อยๆ ก่อนจะบังเอิญชนไหล่เข้าให้กับใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานชายในร้าน

   “ขอโทษครับ.....ลูกค้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ”

   “ไม่เป็นไรครับผมก็ขอโทษ.....”สิ้นเสียงขอโทษขอโพยผมเงยหน้าขึ้นสบตากับพนักงานคนนั้นเป็นเชิงปฏิเสธทำขอโทษตามมารยาท แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้ผมชะงักค้างราวกับโดนฮุกกลางอากาศ คนตรงหน้าผมก็เช่นกัน ผมยืนนิ่งราวกับโดนแช่แข็ง หัวใจกระตุกวูบและเจ็บปวดราวกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มตำ
 
   ณ ตอนนี้ผมได้แต่นิ่งอยู่เนิ่นนานราวกับโดนสะกดจิต เพราะผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะใช่อย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า

   “ไอ้ ธัน.....”เสียงอ่อนเอ่ยขึ้นแผวเบาแต่ผมก็รับรู้ว่ามันเรียกชื่อผม และนั่นคือสิ่งยืนยันที่ทำให้ผมถึงกับหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงกับพื้น แทนที่จะจับคนตรงหน้าไว้ให้แน่นไม่ปล่อยมืออย่างที่สมองมันสั่ง

   “..........”ผมอยากจะพูด แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ ออกจาปาก มันพูดไม่ออกมันจุกอยู่ที่อกเจ็บอยู่ที่ก้อนเนื้ออกซ้ายจนน้ำตาผมไหลอย่างไม่รู้ตัว ส่วนคนตรงหน้าก็ตกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน

   “กู.....กูขอโทษว่ะ แต่กูจำเป็นจริงๆ”มันรีบพูดแล้วรีบวิ่งหนีไปราวกับไม่มีอะไรสามารถรั้งมันไว้ได้แม้แต่มิตรภาพ

   “โชค.....ไอ้โชค”ความฝันครั้งนั้นผมจำได้ ผมเรียกมันในฝันให้กลับมา แต่มันก็ไม่แม้แต่หันมามองผม และถึงแม้ตอนนี้จะเป็นความจริงแค่ไหน มันก็ไม่ได้ต่างไปจากความฝันครั้งนั้นเลย

   ฮึก!

   ถ้าผมจะร้องไห้ปล่อยโฮออกมาตอนนี้จะมีใครว่าผมมั้ย

   เชี่ยเอ้ย! ไหนบอกว่าจะจับมันมารับผิดชอบไง แล้วมานั่งเป็นไอ้ขี้แพ้หน้าโง่แบบนี้ทำไมวะ กูเกลียดตัวเองชิบหาย!!!!




>>>> to be continued :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 07-08-2016 15:56:27
สงสารธันจังเลยยยย ส่วนเรื่องที่ให้เป็นสปายถ้าฟรานซิสรู้ทันอยู่แล้วก็คงดี แต่ถ้าไม่รู้นี่สิ โอ้ยยย น้องธันของเจ้  :sad4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 07-08-2016 16:42:38
โถน้องธัน...ร้องไห้เลยอะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 07-08-2016 20:16:42
 o13. เราจะรอน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-08-2016 22:11:48
เป็นบอสที่อ่อยเก่ง แต่การปล่อยให้นายเอกเข้าถึงตัวได้ง่ายมันก็ผิดวิสัยผู้ทรงอิทธิพลไปหน่อย

หรือบอสวางแผนอะไรอยู่
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 10 Up Date 7/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Cc-kun ที่ 08-08-2016 08:45:55
หรือบอสรู้เรื่องเลยจงใจพามากินข้าวที่นี่
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 08-08-2016 20:36:04
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)




11


   
   “เกิดอะไรขึ้น นายดูไม่โอเค”

   “ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าตอนนี้ผมอยากจะกลับบ้าน”ผมเดินมาด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถปกปิดได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกแย่ ฟรานซิสอาจจะเข้าใจว่าผมมีปัญหากับไวท์ที่ดื่ม

   “ได้ ฉันให้คนไปเอารถมาจอดรอแล้ว”

   “อื้ม”ผมเดินไปพร้อมกับฟรานซิสและผมพยายามก้าวตามเขาให้ทัน สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ เหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคงไม่มีทางที่มันจะโผล่มา
 
   “กู ขอโทษว่ะ แต่กูจำเป็นจริงๆ”

   คำพูดเหล่านั้นและการกระทำของไอ้โชคยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม พร้อมๆ กับสร้างความอ่อนแอให้กับความรู้สึกผมตอนนี้เป็นอย่างมาก

   ณ เวลานี้ผมมันก็ไม่ได้ต่างไปจากความรู้สึกของคนที่เพิ่งอกหัก อะไรก็ตามแต่ที่มาสะกิดความรู้สึก ร่างกายมันก็จะสังการให้จิตใจของเราอ่อนแอลงทันที

   กึก!

   เท้าของผมหยุดเดินและนิ่งชะงักราวกับมันไม่ยอมทำงานประท้วงจิตใจ ผมก้มหน้างุดกัดริมฝีปากตัวเองที่กำลังสั่นพร้อมกับกลืนกินน้ำเค็มๆ ที่จู่ๆ ก็ไหลออกมาจากตาอย่างห้ามไม่ได้ ผมใช้หลังมือรีบปาดมันออกราวกับสิ่งน่ารังเกียจไม่ให้ใครเห็น ฟรานซิสที่เดินนำผมไปหนึ่งก้าวราวกับรู้ว่าผมหายไปจากข้างกายของเขา ร่างสูงจึงหยุดและหันมามองผมทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

   เสียงส้นของรองเท้าหนังก้าวมาหยุดตรงหน้าก่อนร่างสูงจะปลดเสื้อนอกของเขาออกแล้วคลุมลงบนศรีษะผม ขยับริมฝีปากพูดอะไรบางอย่าง

   “มันน่าอาย....เลิกร้องไห้ซะ ฉันจะขอเข้าใจว่านายเมาก็แล้วกัน”พูดเสร็จฟรานซิสก็คว้ามือผมโอบกุมไว้แน่นฉุดดึงผมให้เดินตามโดยไม่รีรอหรือถามความสมัครใจไปยังรถที่จอดรอท่า ผมขยับมือบางในอุ้งมือเขาเบาๆ พยายามพูดกับฟรานซิสด้วยน้ำเสียงไม่เต็มหลอด

   “ผมเดินมาเองได้...”

   เขาทำราวกับไม่ได้ยินอะไรจนกระทั่งมาถึงรถ บอดี้การ์ดคนเดิมเป็นคนเปิดประตูให้ ฟรานซิสดันตัวผมให้นั่งภายในรถก่อนที่ร่างสูงจะยืนค้ำกรอบประตูรถแล้วชะโงกหน้าลงมาพูดกับผมอีกครั้ง

   “นายกลับไปก่อน ฉันมีธุระ.....คืนนี้กลับไปที่เพนท์เฮาส์ก็แล้วกัน มันดึกเกินกว่านายจะกลับบ้านเอง ฉันจะกลับไปก็ช้าหน่อย”ประตูรถปิดลงการ์ดหน้านิ่งเข้ามาประจำภายในรถ และขับรถเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ผมมองทุกอย่างด้วยความงุนงง ไม่รู้จะถามใครว่าทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ได้แต่เอี้ยวตัวมองฟรานซิสที่ยืนสูงเป็นสง่าส่งผมจนลับสายตา แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ คลายข้อสงสัยของผมแม้แต่น้อย



   ผมกลายเป็นคนเฝ้าบ้านให้เจ้าของที่บอกว่าจะกลับมาช้า แต่ 7 โมงเช้าแล้วเข้าก็ยังไม่กลับมา ผมเลยต้องออกมาก่อนเพราะผมมีเรียน 9 โมง ก่อนไปมหาลับก็ต้องแวะบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเดินทางมาถึงบ้านตัวเอง ระหว่างทางก็มีสายเรียกเข้าจากไอ้ปอนเตือนผมเรื่องเอาแผ่นเกมส์ไปให้มันยืมด้วย ก่อนเข้าบ้านผมสังเกตเห็นจดหมายเสียบอยู่ตรงตู้รับจดหมาย ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ของตัวเองมั้ยเลยดึงออกมาดู

   กระดาษซองเอกสารสีขาวจ่าหน้าซองไม่ชัดเจน มีเพียงชื่อที่บ่งบอกได้ว่ามันเป็นของผม ผมหนีบมันเข้าไปในบ้านก่อนจะโยนลงที่นอนแคบๆ แล้วเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา จากนั้นจึงมานั่งเปิดออกดู เมื่อล่วงมือเข้าไปกลับพบกระดาษจำนวนหลายแผ่นอยู่ด้างใน ผมจึงตัดสินใจเทของข้างในออกมาทั้งหมด สิ่งที่เห็นทำผมพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งเหล่านี้คือภาพถ่ายของตัวผม รวมทั้งไอ้ปอน ไอ้บัส ไอ้จูน และน้องๆ ที่ทำงานอยู่ที่บาร์‘บิโลน’ ภาพเหล่านั้นถูกถ่ายโดยไม่รู้ตัว แถมหลังภาพยังจดรายละเอียดพร้อมวัน เวลา และสถานที่จนผมขนลุก

   ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แม้จะไม่มีโน้ตใดๆ ผมก็เข้าใจในสิ่งที่พวกมันสื่อความหมายได้อย่างดี เพราะนี่คือการข่มขู่ทางอ้อม เตือนให้ผมรู้ว่ามันจับตามองผมตลอดเวลา หากผมลีลามันจะดำเนินการทันที

   เชี่ย! ไอ้พวกเวร!


   
   ผมเดินเรื่อยเปื่อยครุ่นคิดถึงเรื่องไอ้โชคอีกครั้ง ผมตั้งใจเล่าเรื่องบังเอิญที่ไปเจอไอ้โชคให้ไอ้บัสไอ้ปอนฟัง พวกมันโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟโดยเฉพาะไอ้บัสที่แทบจะลากผมไปสถานีตำรวจให้ได้อยู่แล้ว แต่เพราะไม่รู้มันเลยไม่ผิด แต่ผมเองที่ผิดจนเกือบได้ทะเลาะกับไอ้บัสซะแล้ว ผมห้ามมันไว้ว่าเรื่องนี้ไม่อยากให้ถึงตำรวจ มันถามผมว่าทำไมทั้งที่น่าจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ผมกลับให้คำตอบมันไม่ได้นั่นคือสิ่งที่ผมแบกรับอยู่ มันหนักแต่ผมก็วางไม่ลง

   บางทีก็อยากบอกกับตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวเวรกรรมก็จะตามมันทันเอง แต่ผมก็ทำไม่ได้อยู่ดี

   “นั่นมันรถของฟรานซิส.....”ผมพึมพำคนเดียวเมื่อเห็นว่ามีรถของเขาจอดอยู่ และมีอีกคันที่จอดต่ออยู่ด้านหลัง แถมยังมีพวกการ์ดที่ยืนรออยู่ที่รถอีกประมาณ 4 คน ผมทำหน้าสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ เลยรีบเข้าไปด้านในหวังว่าจะเจอฟรานซิส

   แอ๊ะ!.....ทำไมผมถึงต้องกระตือรอร้นอยากจะเจอเขาด้วย

   ทันทีที่ผมเข้าไปข้างใน อาเธอร์ก็ยืนนิ่งสงบอยู่ใกล้ๆ กับประตู ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็รีบเก็บอาการ

   “สวัสดีครับ คุณอาเธอร์มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

   “รอบอสครับ”

   “เดี๋ยวจะออกกันไปข้างนอกอีกเหรอครับ”ทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นเวลากลับบ้านของฟรานซิสผมเลยแปลกใจ

   “ใช่ บอสต้องไปประชุมต่อที่สาขาย่อยต่างจังหวัด”ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

   “ครับ แต่ผมไม่เห็นคุณอาเธอร์หลายวัน ว่าแต่ไปไหนมาเหรอครับหรือไม่สบาย”

   “ไปทำงานให้บอสมานิดหน่อยครับ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เข้ามา นาวีเลยมาดูแลแทนในส่วนงานของผม คงได้เจอกันแล้ว”

   “ครับ เจอแล้วครับ”ผมยิ้มเฝื่อนๆ พอดีกับที่ฟรานซิสลงมาจากด้านบนเขาดูรีบร้อนราวกับทำเวลา ผมเลยไม่ได้คุยอะไรกับเขามาก

   “ไม่ต้องรอ คืนนี้คงดึกอาจจะทำอะไรนิดหน่อยเผื่อฉันจะกลับมาทาน”

   “ครับ”จบประโยคอาเธอร์ก็รีบเปิดประตูให้ฟรานซิส พวกเขาเร่งรีบเดินออกไป

   อยู่แต่ที่นี่ เมื่อไหร่ผมจะได้ในสิ่งที่เรียกว่าข้อมูลบริษัทนั่นสักที ทุกวันต้องมากังวลเรื่องแบบนี้ไม่มีความสุขเอาซะเลย

   ผมคอตกหมุนตัวจะเดินเข้าด้านใน แต่เหมือนอะไรดลใจให้ผมไปสังเกตเห็นเข้ากับซองจดหมายที่มีสัญลักษณ์ของบริษัทตกหล่นอยู่ที่พื้น ผมแน่ใจว่าฟรานซิสคงทำตกไว้ช่วงที่เขาเร่งรีบ ผมเก็บมันขึ้นมาและดูเหมือนว่าซองจะถูกเปิดออกอ่านไปแล้ว

   ความคิดบางอย่างของผมมันก็ผุดขึ้น มือของผมกำของที่อยู่ในมือแน่นราวกับช่างใจคิดว่าควรจะทำเช่นนั้นดีหรือไม่

   “.....ฮัลโหล นี่ฉันเอง”โทรศัพท์ของผมต่อสายไปยังอีกปลายสายอย่างฝืนใจ แต่ถ้าแค่เล็กน้อยแล้วมันทำให้อีกฝ่ายสงบใจขึ้นมาบ้างผมควรจะทำใช่รึเปล่า

   ขอโทษนะฟรานซิส ผมจำเป็นต้องทำ.....


   
   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มผมรู้ดีว่าไม่ควรจะรอ เขาอาจจะไม่กลับกะทันหันก็เป็นไปได้ แต่หากเขากลับมาผมจะได้อุ่นอาหารให้เขาทาน หากให้ฟรานซิสทำเองผมยังนึกภาพแบบนั้นไม่ออก มันคงจะแปลกตาไม่น้อย ยังไงตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาส่วนตัวผมอยู่แล้วยังถือว่าอยู่ในเวลางาน ไม่เป็นไรผมแค่อยากจะรอเจอเขาก็เท่านั้นอย่างอื่นคงแค่เหตุผลประกอบเสียมากกว่
   
   เวลาผ่านไปผมแทบจะนั่งฟุบหลังคาโต๊ะอาหาร แต่จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ผมดีดตัวลุกราวกับดีใจก่อนจะรีบพุ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าถึงกับทำให้ผมหน้าถอดสี

   บอดี้การ์ดสองคนและอาเธอร์ที่สภาพราวกับไปร่วมสงครามรบกับใครไม่ทราบเดินเข้ามาสีหน้าอึมครึมสุดๆ และคนที่พวกเขาประกบตัวไม่ห่างนั้นคือฟรานซิสที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและที่ผมสังเกตเห็นคือคราบเลือดสีแดงซึมอยู่บริเวณหัวไหล่ขวา แต่ทว่าเจ้าตัวกลับเดินเข้ามาราวกับไม่สะทกสะทาน ไม่มีใครต้องพยุงหรือหิ้วปีกกันมา

   “ยังไม่กลับรึไง?”ฟรานซิสเอ่ยถามและเดินตรงผ่านผมเข้าไปข้างในรวมทั้งอาเธอร์และการ์ดของเขาอีกสองคน

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงบาดเจ็บได้”ผมถลึงตามองเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูก

   “มีคนลอบทำร้ายระหว่างทางไปประชุมผู้ถือหุ้นที่สาขาย่อย”อาเธอร์ตอบผมแล้วเข้าไปช่วยฟรานซิสปลดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นร่องรอยที่บาดเจ็บชุ่มไปด้วยเลือด
 
   “พวกนายไปได้แล้ว ฉันไม่เป็นอะไรมาก”ฟรานซิสสะบัดข้อมือเป็นเชิงไล่ พวกเขาอิดออดเล็กน้อยราวกับยังห่วงเหตุการณ์

   “บอส ให้ผมตามหมอมาดูเถอะครับ”

   “แค่นี้ฉันไม่ตายหรอกนา พวกนายกลับไปพักผ่อนได้แล้วเหนื่อยกันมาทั้งวัน”

   “ครับบอส”อาเธอร์และบอดี้การ์ดอีกสองคนกลับออกไปอย่างไม่เต็มใจ ฟรานซิสมีท่าทีเหนื่อยล้าเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ผมที่ยืนอยู่ใกล้ยังรู้สึกได้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกไปตอนนี้

   ความรู้สึกผมมันกลัว กลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพราะตัวผมที่ยืนอยู่ตรงนี้รึเปล่า นอกจากเรื่องไอ้โชคแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแย่เท่านี้มาก่อนเลย การใช้ใครคนหนึ่งเป็นเครื่องมือเพื่อเอาตัวรอดมันรู้สึกแย่เอามากๆ แต่ผมไม่มีทางเลือก

   “ไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาหน่อย”เสียงทุ้มดังแหวกความเงียบทำผมสะดุ้ง ก่อนจะรีบไปเปิดตู้เอากล่องปฐมพยาบาลที่ฟรานซิสใช้ทำแผลให้ผมครั้งก่อนออกมา

   “คุณรอเดี๋ยวผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมา”ผมรีบเดินไปหยิบกะละมังใบเล็ก แต่พลาดทำของหล่นไปหลายรอบ ความกังวนกำลังเกาะกินหัวใจของผมจนไม่มีสติ คำถามที่ว่าเขาบาดเจ็บเพราะใครผุดขึ้นมาในหัวผมไม่เลิก

   “ผมจะช่วยถอดเสื้อให้”มือของผมมันสั่นจนรู้สึกได้ กว่ากระดุมแต่ละเม็ดจะปลดออกมันใช้เวลาเกินจำเป็นจนตัวผมเองอยากจะยอมแพ้

   หมับ!

   ฝ่ามือใหญ่ที่เย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็งคว้ามือผมแล้วกุมไว้แน่น ผมพยายามดึงกลับแต่ทำไม่ได้จึงเลิกต่อต้านผมเงยหน้าขึ้นมองฟรานซิส ดวงตาสีฟ้ามรกตนั่นยังเป็นสายตาคู่เดิม แต่ที่แปลกไปคือแววตาและความหมายบางอย่างที่สื่ออกมา ราวกับว่าเขาอยากจะพูดแต่กลับปฏิเสธที่จะเอ่ยมันออกมา

   เจ็บปวด.....นั่นคือความรู้สึกที่ผมรู้สึกได้ แต่ผมอาจจะคิดไปเอง

   “ปล่อยเถอะครับ คุณต้องทำแผล เลือดมันจะไม่หยุดไหลถ้าคุณยังขยับตัวแบบนี้”ผมแกะมือเขาออกแล้วช่วยถอดเสื้อเชิ้ตที่เปลี่ยนเป็นสีไม่ชวนมองผสมกลิ่นคาวคลุ้งจนผมรู้สึกได้ ผิวขาวเผือกบนร่างกายกำยำเปรอะไปด้วยคราบเลือดผมค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเบาๆ จนสังเกตเห็นบาดแผลเหมือนเป็นร่องรอยของคมมีดบาดยาวไม่ลึกมาก แต่หากคนใจไม่แข็งพอคงต้องเบือนหน้าหนี

   “คุณน่าจะไปหาหมอ ถ้าหากแผลมันอักเสบขึ้นมาคุณจะลำบาก”น้ำยาฆ่าเชื้อถูกซับลงไปบริเวณรอบๆ บาดแผลและบริเวณปากแผล ผมพยายามลงมืออย่างนิ่มนวลที่สุดในชีวิต แต่เพราะมือที่สั่นทำให้ผมทำงานได้ลำบากขึ้น

   “แค่นี้ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก ฉันไม่ชอบความยุ่งยาก”ผ้าก๊อซถูกแปะลงปิดแผลก่อนที่ขั้นตอนสุดท้ายจะเสร็จลงด้วยการติดเทปใส่เพื่อยึดผ้าก๊อซไว้กับแผล

   “เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะเอายาแก้อักเสบให้คุณกินด้วย มันจะช่วยหลังจากที่คุณตื่นมา”ผมเตรียมจะลุกไปหยิบยาและน้ำ แต่กลับถูกคนตรงหน้ากระชากตัวให้เสียหลังล้มแล้วกดผมลงกับโซฟาด้ายแขนทั้งสองข้างของเขา ผมขยับตัวดิ้นหนีแทบจะทันทีเตรียมจะโต้กลับคนตรงหน้า แต่ทว่านาทีที่ผมสบตากับฟรานซิสกลับทำให้ผมหยุดทุกการกระทำอย่างไร้เหตุผล

   ดวงตาคมจ้องมองผมราวกับอ่านใจ คิ้วหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังตั้งคำถาม ผมไม่สามารถตอบคำถามที่ไม่มีเสียงได้ ผมไม่รู้แม้กระทั่งความหมายกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันกวนใจผมไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความรู้สึกคลุมเครือเหล่านี้ด้วย

   “คุณอยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่”ผมมองตาฟรานซิสอย่างไม่หลบเลี่ยง

   “..........”

   “ถ้าคุณไม่มีอะไรก็ปล่อยผมได้แล้ว”การขยับตัวอีกครั้งของผมยังคงไม่มีความหมาย เขาไม่คิดแม้กระทั่งให้ผมออกไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ

   “คุณฟรานซิสแผลคุณเลือดมันกำลังซึม....”

   “ช่างมันฉันไม่แคร์ แต่สิ่งที่ฉันแคร์นายอาจจะยังไม่เข้าใจ.....ธัน”

   “ใช่ ผมไม่เข้าใจ”เราไม่ได้พูดคนละเรื่องกัน แต่อาจจะเป็นความหมายนัยๆ ที่ไม่ตรงประเด็น

   “ฉันเพิ่งเคยทำเรื่องที่ไม่ฉลาดเท่านี้มาก่อน นายรู้รึเปล่าว่ามันทำให้ฉันดูโง่แค่ไหน”

   “ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร”ผมรับรูถึงแรงบีบจากฝ่ามือของฟรานซิส ตอนนี้เขานิ่งไปจมผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร

   “.....ถ้าฉันทำในสิ่งที่มันชัดเจน ทุกอย่างจะเปลี่ยนไหม”

   “ช่วยอธิบายสิ่งที่คุณพูดหน่อย ผมไม่ได้ฉลากเท่าคุณ คงเขาใจอะไรเองไม่ได้”

   “ด้วยอะไร?”

   “อธิบายครับ”

   “การกระทำคงเข้าใจกว่า”

   ฟรานซิสยื่นหน้าเขามาใกล้จนลมหายใจของเรารินรดกัน ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะกดลงมาทับเรียวปากของผมจนแนบสนิท ความตกใจไม่เท่าความเกร็งกลัว ผมรู้ดีกว่าคนตรงหน้ากำลังทำอะไร และรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องทำเมิน ผมโตพอที่จะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

   “อื้อ”

   ผมครางในลำคอ เตือนคนตรงหน้าให้ล่าถอยแต่ริมฝีปากผมกลับถูกบดเบียดซ้ำๆ จนรู้สึกเห่อแดง ความรู้สึกของผมมันปั่นป่วนขึ้นมาราวกับพายุกำลังโหมกระหน่ำ และพายุที่ว่าก็คือผู้ชายตรงหน้า
 
   ความช่ำชองของเขาทำผมกลัว มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับปลายคางผมแล้วเปิดริมฝีปากให้ลิ้นอุ่นชื้นเข้าไปสำรวจด้านในจากจูบที่อ้อยอิ่งเริ่มรุนแรงขึ้น ผมตัวแข็งทื่อเมื่อฟรานซิสเริ่มรุกฆาตจนผมตกกระดาน ในสมองสั่งการให้ปฏิเสธความไม่ปกติเหล่านี้แต่หัวใจผมกลับอ่อนข้อเสียยิ่งกว่า

   ตอนนี้ผมพูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาบังคับฝืนใจผม เพราะความรู้สึก ณ ตอนนี้มันไหลไปรวมอยู่ที่คนตรงหน้าซะแล้ว ถ้าผมรู้สึกตัวช้ากว่านี้ ฟรานซิสคงไม่หยุดแค่จูบแน่

   “.....ผม ผมต้องกลับแล้ว”

   มือข้างหนึ่งของผมที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระยกมันขึ้นมาปิดหน้าด้วยความกระดากอาย ผมพูดแค่นั้นแต่เขากลับยอมปล่อยผมออกอย่างง่ายดาย ผมเลยรีบผุดลุกขึ้นรีบร้อนออกไป ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ผมไม่อยากประจานความรู้สึกตัวเองที่แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจนขนาดนี้

   ทุกอย่างมันผิดคาดไปหมด ผมกำลังดึงเชือกที่แก้ไม่ออกให้แน่นขึ้นไปอีก แล้วคราวนี้ผมจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไงดี มันยุ่งเหยิงจนผมสับสนไปหมด ทั้งความรู้สึก และการกระทำของคนบางคน



>>>> to be continued   :oni1:






มีความอนากคุยกับนักอ่าน แต่กลัวสปอยมาเต็ม ยิ่งเก็บอะไรไม่ค่อยได้ :m23:
เอาเป็นว่าขอมอบคำขอบคุณให้แทนก็แล้วกันนะคะที่ติดตามกันมาถึงตอนที่ 11
ซึ่งก็มาไกลเหมือนกัน ไม่ขออะไรมากค่ะ ถ้าชื่นชอบก็แค่สนับสนุนเป็นทุนกำลังใจ
เพราะทุกบรรทัด ทุกตัวหนังสือมาจากใจล้วนๆ เลยค่ะ
ไม่ใช่มืออาชีพใดๆ ผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัยนะคะ :m13:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 08-08-2016 22:05:37
อ่านไปก็ลุ้นตลอด ฟรานซิสจะรู้มั้ย เค้าจะรู้มั้ยแกกก
โอ้ย เครียดแทนธัน  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Cc-kun ที่ 08-08-2016 22:47:05
เมื่อไหร่จะจับโชคได้อ้ะะะะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-08-2016 12:25:13
อยากให้ธันรีบสารภาพกับฟรานซิสเร็วๆ จัง ฟรานซิสเริ่มชัดเจนแบบนี้ ธันน่าจะรีบบอกก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้นะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 10-08-2016 12:41:11
ฟรานซิส ต้องรู้แล้วแน่ๆ แล้วที่ร้านอาหารเพื่อตามโชคหรือเปล่า มันต้องใช่ ต้องใช่แน่ มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 11 Up Date 8/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 10-08-2016 16:48:11
ฟรานซิสต้องรู้แล้วแน่เลย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 12-08-2016 12:16:16
(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)





12



   “ไปฉลองปิดคอร์สกัน แม่งโล่งไปถึงทวารทั้ง 7”ไอ้ปอนแทบจะไถลเข่าราวกับนักฟุตบอลได้แช้มป์หลังจากออกมาจากชั้นเรียนที่เป็นวิชาสุดท้ายของเทอมนี้ งานที่พรีเซนท์กลุ่มเราค่อนข้างทำได้ดีจนอาจารย์เอยปากชม ทั้งๆ ที่เวลาจะซ้อมแทบไม่มี แต่ก็ได้ไอ้จูนช่วยไปเกินครึ่งพวกผมถึงยิ้มได้หน้าชื่นตาบาน

   “ไปร้องคาราโอเกะกัน แล้วสั่งของกินมากินด้วยวันนี้เป็นไงเป็นกันกูจะฉลองโต้รุ่งเลย”คนเดียวที่พูดไม่หยุดปากคือไอ้ปอน

   “โต้รุ่งห่าอะไร คาราโอเกะห้างสี่ทุ่มแม่งก็ปิดแล้ว สมองคิดบ้างสิวะ”ไอ้บัสแตะไอ้ปอนไปทีนึง

   “งั้นไปฉลองที่บ้านไอ้ธันดีมั้ย”ไอ้จูนเสนอความคิด ผมนี่ถึงกับตาสว่าง

   “ไม่ได้ เชี่ยเจ้าของหอแม่งได้ถีบกูออกภายในคืนนั้นแน่”มือผมยกกากบาทเต็มที่

   “นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็อย่าอึกทึกกันเกินไป ซื้อของอร่อยๆ ไปกินให้เต็มคราบเลยจะดีกว่า”ไอ้จูนเสริม ทั้งๆ ที่มันรู้สรรพคุณอิเจ๊นั่นดี ผมเกาหัวจนผมยุ่ง   

   “ถึงยังไงกูก็ฉลองกับพวกมึงไม่ได้อยู่ดี กูต้องไปทำงาน”

   “ก็ลาสักวันดิวะ ไม่เห็นจะเป็นไร มึงก็ทำงานไม่เคยได้ลามาจะเดือนนึงแล้ว”ไอ้ปอนเสริม

   “เจ้านายมึงใช่คนตัวสูงๆ หน้าฝรั่ง หล่อๆ เข้มๆ ดูท่าทางรวยเละที่กูเจอหน้าบาร์พี่เงาะใช่มั้ย”

   “เฮ้ย! หล่อเหรอวะ จริงอ่ะกูอยากเจอ!”ไอ้จูนทำตาโตเข้ามาเกาะแขน

   “อืม”

   “ไอ้จูนมึงถอยไปก่อนไป เชี่ยขัดจังหวะ”ไอ้บัสดันหัวไอ้จูนออกแล้วพูดกับผมต่อ“แล้วเค้าชื่ออะไรวะ?”

   “มึงจะถามทำไม”

   “เออ บอกมาเหอะนา”เสียงรบเร้าของไอ้บัสทำให้ผมชักรำคาญ

   “ฟรานซิส ชื่อฟรานซิสพอใจยังวะเซ้าซี้ว่ะ”

   “ไอ้เชี่ยปอน จับมัน!”

   “เฮ่! ไอ้บัสมึงจะทำอะไรวะ แม่งอย่าเล่นพิเรนทร์นะเว้ย!”ผมเหวลั่นเมื่อไอ้บัสยักคิ้วให้ไอ้ปอนที่เดินอยู่หลังผมเข้ามาล็อคแขนผมไว้ แล้วไอ้เชี่ยบัสแม่งก็เอามือมาล้วงกระเป๋ากางเกงผมหยิบเอาโทรศัพท์ของผมไป ผมสะบัดตัวหลุดจากไอ้ปอนก่อนจะวิ่งไล่เอาโทรศัพท์คืน แต่มันกลับโยนให้ไอ้จูนรับต่อ

   ผมกลายเป็นหมาชิงบอลไปโดยปริยาย

   “ไอ้จูนโทรเลย!”ไอ้บัสตะโกนบอก ไอ้จูนรับทราบและมันก็รู้ซะด้วยว่าหมายถึงอะไร แม่งนี่เตี้ยมกันมารึเปล่าวะไอ้พวกนี้!

   “ไอ้จูนมึงอย่านะเว้ย!”ผมกระโดดเอื้อมไปจะฉกโทรศัพท์คืนแต่งแม่ง ไอ้จูนรู้ทันมันเลื่อนหาอะไรสักอย่างก่อนจะกดโทรออกแล้วโยนส่งต่อให้ไอ้บัส ผมนี่วิ่งจนลิ้นแทบห้อย

   “หยุดเลยไอ้ธัน กูโทรติดแล้ว ฮ่าๆ”มันหัวเราะอย่างสะใจยื่นขึ้นบนโต๊ะหินอ่อนแล้วรออะไรบางอย่าง

   “ไอ้บัสมึงนี่แสบชิบหาย!”ผมใช้นิ้วชี้มัน มืออีกข้างก็เท้าสะเอวก้มตัวลงหายใจถี่เพราะหอบแดก

   “ครับฮัลโหล....อ่า ผมเพื่อนของธันครับ พอดีอยากจะขออนุญาตให้ไอ้ธันลา 1 วันนะครับ พวกเราอยากจะชวนหมอนั่นไปฉลองปิดคอร์สครับ คะครับ ขอบคุณครับ”

   “เป็นไงมั่งวะ โอเคมั้ย”ไอ้ปอนเผยอปากรอคำตอบ   

   “ไม่.....ไม่โอเคได้ไงวะ! วู้ววววว! ไปฉลองกัน”ไอ้บัสโยนโทรศัพท์คืนให้ผมแล้วหนีบคอผมใต้รักแร้ลากไป

   “กินอะไรดีวะ มื้อนี้กูเลี้ยงน้ำแข็ง”

   “มึงไม่บอกว่ากูขอแดกฟรีเลยล่ะไอ้จูน!”

   “กูรอคำนั้นอยู่เหมือนกัน”

   “ส้นตีนเหอะมึง!”

   “แล้วนี่พวกมึงตกลงไปไหนกันวะ”ผมมุดหนีออกมาจากใต้รักแร้ไอ้บัสแล้วทวงถาม

        “หอมึงไง!”สามเสียงประสานกันเป็นหนึ่งเดียว แล้วผมจะทำไงได้.....ก็เต็มที่สิวะ!

   ผมรู้ดีว่าผนังกันระหว่างห้องของหอที่ผมอยู่มันบางแค่ไหน แต่ก็โชคดีที่ห้องข้างๆ กลับต่างจังหวัดไปวันนี้ และห้องผมก็อยู่ริมสุดทางเดินเลยไม่มีปัญหา แต่อยู่ที่ว่าไอ้พวกนี้มันจะแหกปากลั่นทะลุลงพื้นไปถึงห้องด้านล่างรึเปล่านี่สิ

   “เพื่อความบันเทิง เอางี้ แม่งมาเล่นเกมส์สนุกๆ กันดีกว่า”ไอ้ปอนเสนอไอเดียในขณะที่ผมกำลังกระดกเบียร์กระป๋องเข้าปาก ผมรับรองได้ว่าคืนนี้ไม่มีเมาหัวราน้ำแน่ๆ แต่แค่พอกึ่มๆ

   “เกมส์เชี่ยไรของมึงวะไอ้จูน ไม่เอาเกมส์เศรษฐีตอนนี้นะเว้ย ไม่งั้นกูล้มกระดานคว่ำแน่”มือของผมเอื้อมไปหยิบเอาสับปะรดเข้าปาก เตรียมถลกแขนเสื้อ

   “งั้นเอาเกมส์ปาขวด!”

   “มึงวิ่งไปงานวัดโน่นไป เสียเงินเรียนปริญญาจริงๆ แม่งไอ้ปอน”ไอ้บัสสวดยับ

   “พวกมึงไม่ต้องคิดกูคิดมาเรียบร้อยแล้ว”ไอ้จูนยักคิ้วอย่างมีเลศนัย ทำผมขนลุกเกรียว

   “เชี่ย! อย่าบอกนะว่าเกมแพ้แล้วถอด กูไม่เล่นนะเว้ย!”ไอ้จูนเคยเสนอให้พวกเราเล่นเกมส์นี้ตอนหลังรับน้องนานมาแล้ว โดยมันบอกว่ามันจะเป็นกรรมการ แล้วอะไรคือความยุติธรรมถามใจดู

   “เออ! กูเลิกล้มความตั้งใจนั้นไปนานแล้ว วันนี้กูมาเสนอเกมส์ใหม่ รับรองสนุก”

   “บอกให้ไว”ผมเร่งมัน กดดันเชี่ยๆ

   “เกมส์พระราชา โฮ๊ะๆ”

   “ไม่เอากูเบื่อ”

   “มึงเบื่อหรือมึงป๊อดไอ้ปอน”

   “ไม่ป๊อดเว้ย!”

   “แน่จริงมึงอย่าหลบตา”

   ใครๆ ก็เคยได้ยินกิติศัพท์คำสั่งช่างโหดร้ายและทารุณของไอ้จูนมาก่อน โดยเฉพาะผมสามตัวที่เคยโดนมาแล้ว ถ้าจำได้งานวันเกิดพี่ตั้มพี่รหัสผม คนที่ทำให้ผมเมาจนจะกระโดดอ่างปลานั่นคือไอ้จูนนั่นเอง ผมจำได้เพราะเกมส์พระราชานี่แหละที่ผมถูกกรอกปากด้วยเหล้าเกือบครึ่งขวดกับเบียร์อีกหลายแก้ว ใครๆ ก็รู้ว่าไอ้สองอย่างนี้มันตีกันแล้วจะเป็นยังไง

   “ถึงคนจะไม่เยอะเท่าครั้งก่อน แต่ก็พอถูไถ”ไอ้จูนสะบัดมือยืดเส้นหักกระดูกนิ้วกรอบแล้วเตรียมแก้วเปล่าที่มีกระดาษม้วนเตรียมมาอย่างดี

   “กูขอหยิบก่อน”ไอ้ปอนร้องขอ

   “ไม่ได้กูจะหยิบก่อน”ผมแทรกขึ้น มือผมกับไอ้ปอนต่อสู้กันกลางอากาศ แต่ระหว่างนั้นก็มีบางอย่างมาขั้นรายการจนคนทั้งวงสะดุ้ง นั่นคือเสียงเคาะประตูสามครั้งติดกันถึงจะได้

   “ไอ้ธัน อีเจ๊มึงรึเปล่าวะ!”ไอ้บัสถอยกรูไปติดผนัง

   “กูจะไปรู้เหรอวะก็อยู่ด้วยกัน มึงไปเปิดดิ๊ไอ้ปอน”

   “เชี่ย! กูใช่เจ้าของห้องมั้ย มึงนั่นแหละไปเปิด”มันใช้ตีนถีบผมให้ลุก ผมเลยต้องลุกขึ้นอย่างจำยอม

   “กูบอกแล้วว่าพวกมึงอย่าเสียงดัง ไม่เชื่อ”

   “กูว่ามึงนั่นแหละดังสุดไอ้จูน”ผมยกมืออยากจะโบกหัวไอ้จูนสักที แต่ติดตรงที่ต้องไปเปิดประตู เพราะเสียงเคาะมาระลอกที่สองแล้ว ผมก็ใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เดินไปเตรียมตัวโดนเฉ่งสุดฤทธิ์ แต่พอเปิดประตูออกเท่านั้น ยิ่งกว่าเจออีเจ๊ปากผีนั่นอีก

   ช็อคสิครับเล่นเจอแบบนี้! มาได้ไงเนี้ยใครจุดธูปเชิญบอกผมที?

   “ฟรานซิส! คุณมาที่นี่ได้ไง?”

   “สวัสดีค่ะฉันเป็นเพื่อนไอ้ธันชื่อจูน”แล้วจู่ๆ ไอ้จูนที่เมื่อกี้แทบจะหารูมุดหนี กลับมายืนด้านหลังผมแนะนำตัวต่อหน้าฟรานซิสซะดิบดี แล้วกระซิบถามผมอย่างตื่นเต้น แถมกระตุกเสื้อผมยิกๆ จนผมสั่นเป็นเจ้าเข้า

   “.....ไอ้ธันใครวะ ตอบมาอย่ารำไร”

   “เจ้านายกูเอง”

   “โอ๊ะเจ้านาย! ดีเลยถ้าไม่รังเกียจห้องแคบๆ ก็เชิญข้างในก่อนนะคะ พวกเรากำลังจะเล่นเกมส์กันพอดีเลย มีคนเล่นเพิ่มก็จะยิ่งสนุก ใช่มั้ยไอ้ธัน”

   หาพวกทำซากอะไรวะไอ้จูน! การที่คนอย่างฟรานซิสมาที่นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกตินะเว้ย! ผมอยากตะโกนใส่หนังหน้าไอ้จูนแทบขาดใจ

   “ไอ้....ไอ้จูน!”ผมแทบอยากจะลงไปนอนดิ้นบนพื้นเมื่อไอ้จูนแม่งเกาะแขนฟรานซิสแล้วจูงเขาไปนั่ง เชื้อเชิญซะดิบดีราวกับเจ้าของห้อง ไม่แกรนถึงกับแดกสมองผมไปข้างนึงเลยก็ว่าได้

   แล้วนั่นอะไร ฟรานซิสก็เหมือนจะไม่ปฏิเสธอาจจะมีท่าทีเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างแต่ก็ยอมให้ไอ้จูนลากลงนั่งกับพื้น ซึ่งผมคิดว่าเขาคงไม่เคยทำแบบนั้นแน่ๆ และมันก็น่าจะผิดประเด็นที่เขาเหยียบย่างมาที่นี่แน่นอน ฟันทิ้ง!

   และดูจากการแต่งกาย ถึงเขาจะปลดสูทออกแล้วแต่คราบความเป็นตัวของเขาไม่ได้จางหายไปไหนเลย ส่วนไอ้บัสไอ้ปอนก็นั่งตัวเกร็งเป็นตอผุด ผมรู้ว่ามันคงจะทำตัวไม่ถูก ผมจำใจที่จะต้องไปนั่งร่วมวงที่มีสมาชิกจากต่างดาวเพิ่มมาอีกคน

   เหมือนรึไม่เหมือนก็ดูเอาเองเถอะ พวกผมสามคนเหมือนเห็บตัวลีบๆ ที่ไม่ได้กินเลือกมาแรมปีกับผู้ชายคนนั้นที่มีออร่ายิ่งกว่าเจ้าชายเสียอีก เราเหมือนมาจากคนละโลก

   “ไอ้บัส มึงไปบอกอะไรเขารึเปล่าตอนโทร”ผมกระซิบพยายามไม่ส่อพิรุท

   “กูเปล่านะ แค่บอกว่ามึงจะขอลามาปาตี้ที่บ้านมึงเฉยๆ กูมีเวลาเชื้อเชิญเจ้านายมึงที่ไหน และไม่มีทางจะชวนมาด้วย”

   “เอาล่ะๆ คราวนี้เราก็ได้สมาชิกใหม่มาเล่นเกมส์เพิ่มแล้ว วันนี้มีความสุขที่สุดเลย”สายตามุ้งมิ้งฟรุ้งพริ้งของไอ้จูนทำผมจะอาเจียนmทุกครั้งที่มันพยายามจะส่งสายตาให้ฟรานซิสที่นั่งอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งนั่งแท่นเป็นเปาปุ้นจิ้น

   “ไอ้จูน!”ผมเหวใส่มันให้มันหยุดเรื่องยุ่งๆ แต่ผลเป็นไงก็น่าจะรู้

   “คุณฟรานซิสคะ ยินดีจะเล่นเกมส์เล็กๆ น้อยๆ กับพวกเรามั้ยคะไหนๆ ก็มาแล้วจะกลับเลยก็เสียเที่ยวแย่ ถือว่าเป็นการผูกสัมพันธ์สวาท เอ้ย! สัมพันธไมตรีกับพวกเราก็แล้วกันนะคะ”ไอ้จูนหันไปพูดกับฟรานซิสเป็นวรรคเป็นเวร

   ตั้งแต่ไอ้จูนวิสาสะลากเขามานั่ง ฟรานซิสก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักประโยคเดียว ใบหน้าที่ดูนิ่งเรียบกับสายตาคมกริบก็จ้องมองมาที่ผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจู่ๆ เขาจะมาที่นี่เพื่ออะไร หรือมีธุระอะไร แต่ผมพูดได้อย่างเดียวว่าเขามาผิดเวลาแล้วล่ะ งานการเสียหายก็คราวนี้แหละครับ!

   “ก็เอาสิ ฉันก็ไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน”ฟรานซิสระบายรยิ้มอ่อนๆ ถึงกับทำให้ผมลอบมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ

   “ดีเลยค่ะ เรากำลังเล่นเกมส์พระราชา คนที่เป็นพระราชาจะสามารถสั่งหมายเลขที่ต้องการ 2 หมายเลขเพื่อทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อแม้ หรือโต้แย้งใดๆ ถ้าทำไม่ได้ ก็จะโดนลงโทษโดยการ.....”ไอ้จูนเว้นคำพูดแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“…..เต้าระบำจ้ำบ๊ะให้คนอื่นดู ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ”ไอ้จูนกระดี๊กระด้า ส่วนผมหน้าอาลัยยิ่ง

   “ไม่เอา! บ้าบอ”ผมแย้ง

   “แต่กูว่าน่าสนุกวะ”ไอ้ปอนท่าทางจะถนัดเต้นมันเลยยกมือเห็นด้วย

   “กูคิดว่ากูทำได้อยู่แล้ว”

   “เอาล่ะ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรี ขอให้คุณฟรานซิสเป็นคนหยิบก่อนนะคะ”

   สีหน้าดูมีความสุขจนล้นของไอ้จูนกำลังทำผมเครียดหนัก ฟรานซิสหยิบแล้ว แล้วก็ตามมาด้วยไอ้ปอน ไอ้บัส ไอ้จูน และเศษสุดท้ายก็เป็นของผม ผมคลี่กระดาษแผ่นเล็กออกอย่างลุ้นระทึก และก็พบกับตัวเลขสีแดงที่เขียนลายมือไอ้จูนเป็นเลข 2 ก่อนที่ผมจะม้วนกลับใส่ลงไปในแก้วทำตัวนิ่ง ผมแอบลอบมองฟรานซิสลุ้นในใจว่าเขาจะได้อะไร จนลืมไปว่าเขาไม่ควรจะมานั่งอยู่ตรงนี้

   มันแปลกเกินไป!

   “ใครได้พระราชาแสดงตัวด่วน!”ไอ้จูนหน้าเหวี่ยงโยนกระดาษใส่แก้วกลับ

   “กูเองแหละโว้ยยยย!”ไอ้ปอนดีใจลุกขึ้นกระโดดออกลาย “คำสั่งพระราชา ข้าขอเลือกหมายเลข 1 กับหมายเลข 4 ให้ทั้งสองคนปั่นจิ้งหรีคนละสิบรอบ! แล้วดื่มนี่หมดกระป๋อง แต่มีข้อแม้ว่าต้องใส่ไอ้นี่ลงไปด้วย”ไอ้ปอนคว้าขวดน้ำจิ้มไก่สูตรแม่ประณามญาติแม่ปราณี ขึ้นมาแล้วกรอกลงกระป๋องเบียร์หน้าตาอำมหิต

   “จะอ้วกว่ะ! อย่าให้ทีกูมั่งนะ!”ไอ้จูนโวยก่อนที่ไอ้บัสจะลุกขึ้น

   “กูบอกได้คำเดียวว่ามึงสองคนคือชายหญิงคู่แรกเยี่ยงอดัมกับอีฟที่กินเบียร์หวานสูตรน้ำจิ้มไก่”ผมหัวเราะกุมท้องมองหน้าสองคนอย่างสนุก

   “กูจะเอาให้อ้วกเต็มห้องมึงเลย”ไอ้ชีหน้าอาฆาตผม

   “อย่านะเว้ย ไม่งั้นกูเก็บค่าทำความสะอาดแน่!”ผมหัวเราะเสียเพลินจนบังเอิญหันไปสบตาเข้าให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฟรานซิสมองผมตรงๆ และไม่หลบตา ทำให้ผมถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเอง เพิ่งระลึกได้ว่ามีฟรานซิสนั่งอยู่ด้วย

   จะมานั่งจ้องหน้าทำไมเนี้ย! อึดอัดชะมัด แถมมาโดยไม่ได้เชิญและไม่บอกกล่าวใดๆ เขาทำผมอึ้งเอามากๆ

   หันมาเล่นเกมต่อ....หลังจากหมดยุคไอ้ปอนขึ้นครองบัลลังค์ ต่อมาก็ถึงยุคของผม และผมก็สั่งให้หมายเลข 2 และ 3  ผลัดกันป้อนน้ำให้กันโดยการเอาตีนคีบแก้วให้หมายเลข 3 ทำเอาผมล้มลงนอนเพราะอดกลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อไอ้จูนโดนคำสั่งเป็นรอบที่สอง ส่วนคู่หู่ดูโอ้ของมันยังไม่พ้นไอ้ปอน ไอ้บัสกับฟรานซิสหลุดรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ในรอบนี้ ส่วนผมก็โชคหล่นทับ

   “ไอ้เชี่ยธันมึงทำร้ายกู”ไอ้ปอนโวยลั่น

   “แค่คิดกูก็จะอ้วกแล้ว แม้งไอ้ปอนมันขึ้นชื่อลือชาเรื่องตีนเน่าเป็นของดี 1 ตำบน 1 ผลิตภัณฑ์มึงก็รู้”ไอ้จูนบีบจมูก

   “งั้นมึงก็ยอมโดนลงโทษตามกฎที่มึงสร้างแล้วกัน”ผมยิ้มเยาะอย่างได้ใจ และไม่คิดว่าไอ้ทั้งสองตัวมันจะทำได้จริง ไอ้จูนถึงกับวิ่งโร่ไปหาห้องน้ำทันทีที่เล่นเสร็จ ผมกับไอ้บัสหัวเราะน้ำตาไหลพราก ผมลอบมองไปทางคนตัวโตข้างๆ อีกครั้งก็เห็นว่าเขากำลังหัวเราะเบาๆ กับเหตุการณ์เหล่านี้ ผมทึ่งไปครูหนึ่งเพราะไม่เคยเห็นภาพแบบนั้นมาก่อน

   “พวกนายดูสนิทสนมกันดี”อยู่ๆ ฟรานซิสก็พูดขึ้นในขณะที่ไอ้จูนไล่เตะไอ้ปอนเพราะแค้นเคืองเรื่องกลิ่นเกินกฎหมายกำหนดส่วนไอ้บัสก็เข้าไปห้ามทัพ

   “อืม ก็เพราะพวกเราช่วยเหลือดูแลกันมาตลอดก็เลยสนิทกัน และทุกคนก็ดีกับผมมากๆ ด้วย”ผมยิ้มแล้วมองภาพตรงหน้า ราวกับเก็บทุกรายละเอียดของความทรงจำดีๆ

   “นายมีเพื่อนแค่นี้เหรอ”

   “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ แค่เพื่อนแท้เท่านั้นที่ผมต้องการ”

   “ฉันคิดว่านายชอบที่จะทำอะไรด้วยตนเองซะอีก”ผมถึงกับสะอึก ลอบหันไปมองฟรานซิสที่สายตายังจดจ้องกับความชุลมุนตรงหน้า

   “ไม่มีใครที่จะพึ่งคนอื่นไปได้ตลอดหรอกจริงมั้ยครับ”

   “นั่นสินะ.....แต่มีใครเคยบอกมั้ย ว่าเพื่อนของนายตอนนี้ เสียงดังมาก”ฟรานซิสหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม และนั่นถึงกับทำให้ผมผุดลุกขึ้นไปหิ้วปีกไอ้สามตัวที่ตีกันนัวให้กลับคืนสู่ความสงบ เพราะหากเสียงดังมากกว่านี้รับรองว่าคนที่เคาะประตูรอบสองไม่พ้นเจ๊แน่ๆ

   พอผมลากพวกมันกลับมานั่ง ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะสิ้นสุดแล้ว แต่กลับไม่เลย!

   “คราวนี้กูขอจับก่อนบ้าง”มือยาวๆ ของไอ้บัสล้วงไปจับคนแรก ก่อนที่ความไม่เป็นลำดับจะเกิดขึ้น ตอนนี้ต่างคนก็ต่างรีบจับเพราะหวังให้ตัวเองได้เป็นพระราชา และกระดาษม้วนอันสุดท้ายที่ดูยับยู่ยี่เหลือรอดจากสงครามแย่งชิงก็เป็นของฟรานซิสไปโดยปริยาย เขาไม่พูดอะไรเมื่อหยิบมาก็คลี่ออกอย่างระมัดระวัง ผมว่าเขาคงเขาใจกติกาการเล่นขึ้นมาบ้างแล้ว และดูจากคำสั่งพระราชา ผมว่าเขาคงจะรู้สึกหวาดๆ บ้างล่ะนา ถึงจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ชวนพิสมัยเลย

   “กรี๊ดดดด! ในที่สุดก็มีวันนี้”ไอ้จูนกรีดร้องน้ำตาซึมเอามือปิดปาดตัวเองราวกับนางงามได้มงกุฎ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นพระราชา พวกผมที่เหลือถึงกับหน้าถอดสีไอ้บัสสะกิดผมรัวๆ

   “เอาดีๆ นะเว้ย”

   “ฮึๆกลัวอะไรว้า.....ก็แค่เกมส์”ไอ้จูนลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มฆาตกรมาให้ผม

   แม่งหน้ามันอย่างโหด!

   “คำสั่งต่อไปนี้ ในฐานะพระราชา ข้าขอสั่งให้หมายเลข.....”




>>>>>to be continued  :bye2:



**วันนี้เลขสวย ตอนที่ 12 วันที่ 12 เวลา 12.20
สุขสันต์วันแม่นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-08-2016 17:01:22
จูนจะสั่งให้ทำอะไรเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 13-08-2016 22:50:06
 :z2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 13-08-2016 23:08:18
ลุ้นนน   :serius2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 14-08-2016 04:23:56
ตบเข่าป๊าบ น่านไงฟรานซิสรู้เเล้วจริงๆด้วย
จูนต้องให้จูบแน่เลย กรี๊สสสสสส :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 14-08-2016 18:31:58
สนุกดีคะ มาต่อบ่อยๆ นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: tnkgif ที่ 14-08-2016 21:50:34
กรี๊ดดดดด มาต่อเร็วๆน้าาา   :impress2: :impress2: คำสั่งจะเป็นให้บอสจูบธันรึป่าว 55555555555555 แต่คงจะพิศดารกว่านั้นเยอะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 14-08-2016 23:13:42
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 12 Up Date 12/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 15-08-2016 01:14:03
หูยยยย ค้างอ่าาาาา. จูนจะสั่งอะไรเนี่ย อยากรู้มากก
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 15-08-2016 21:48:26
ตอนนี้ปล่อยไม่มีกั๊กค่ะ ยาวมากกกกกก :katai4:
สมแก่การรอคอยแน่นอนค่ะ





(https://photos-4.dropbox.com/t/2/AABBFcTnMZr_DfNl0tgBkxFmcqr_4T6YwMgirf0joWdWUw/12/224482605/jpeg/32x32/1/_/1/2/myboss1.jpg/EIGVyagBGPw5IAcoBw/Wfoci8wxDFEfD1ytDn6paL6VSdbwfEiEXqzECE4c-7k?dl=0&size=1280x960&size_mode=3)





13




   “อย่าพิรี้พิไรไอ้จูน รีบบอก กูสั่นยันขาแล้ว”ไอ้ปอนหายใจลึกเข้าออกจนน่าสมเพช

   “ฮึๆ กลัวล่ะซี๊!!! เอาเป็นว่า ขอสั่งให้หมายเลข 1 ป้อนน้ำแข็งหมายเลข 3 อ๊ะๆ อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ แค่น้ำแข็งมันเบบี๋เกินไป แต่วิธีการป้อนก็คือ.....ป้อนด้วยปากนี่แหละค่ะ ชะนีจะรอดู”ไอ้จูนจีบปากจีบคอรอดูความบัดสีและความอับอายของพวกเราอย่างเต็มที่

   แผ่นกระดาษแผ่นเล็กที่มีหมายเลขสีแดงเลข 1 ร่วงลงกับพื้น ผมหันไปค้อนไอ้จูนที่คิดเรื่องพิเรนๆ แบบนี้ขึ้นมา

   “มึงบ้าแล้วรึไง ที่นั่งหัวโด่กันนี่ผู้ชายทั้งนั้น”

   “ถ้ามีผู้หญิงกูจะกล้าไหมล่ะ นี่ตกลงเป็นมึงใช่มั้ย ฮ่าๆ กูไม่สนนี่เป็นคำสั่ง”ไอ้จูนสะบัดหน้าหนียิ้มหน้าระรื่นอย่างสะใจ แล้วตกลงอีกคนคือ.....

   “กูเอง.....”ไอ้บัสนั่งหน้าตึงโยนกระดาษแผ่นสีขาวที่มีหมายเลข 3 ลงกลางวง ผมมองหน้าไอ้บัสตาปริบๆพลันรู้สึกถึงความเย็นวาบที่แผ่นหลังทั้งที่น้ำแข็งผมก็ยังไม่ได้อมแม้แต่ก้อนเดียว

   “อุต๊ะ ช่างพอดิบพอดี สนิทกันอยู่แล้วนี่(เสียงสูง) แค่นี้ชิวเอาท์มากค่ะ เร็วๆ เลยอย่าลีลาท่ามากหรือแค่นี้ป๊อดค่ะ ไอ้ปอนเตรียมเพลงรอค่ะ เราจะชมชุดการแสดงเต้นจ้ำบ๊ะฉบับเปลื้องผ้ากัน”

   “เออๆ ก็ดีกว่าเต้นบ้าบอนั่นพันเท่า มาไอ้บัส…..อูอ้อมแอ้ว(กูพร้อมแล้ว)”ผมตัดสินใจคว้าน้ำแข็งก้อนที่พอดีปากเข้าอม กวักมือเรียกไอ้บัสมือหยอยๆ  พยายมจะทำให้มันเสร็จๆ ไอ้ปอนกับไอ้จูนก็ลุ้นชิดติดขอบสนาม

   ผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่ามันพิเรนท์ไปแต่ถูกเย้ยขนาดนี้ผมก็ไม่ทนเหมือนกัน

   และในช่วงวินาทีที่ผมคาบก้อนน้ำแข็งเตรียมป้อนให้อีกฝ่ายตามเสียงเชียร์จู่ๆ ก็มีมือปริศนามากระชากตัวผมกลับไปทางด้านหลังรั้งใบหน้าของผมให้เงยขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยริมฝีปากหยักที่เข้ามางับเอาน้ำแข็งจากปากผมไปและคนที่วิสาสะขโมยน้ำแข็งจากปากผมไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

   ผมจะไม่เดือดเท่ากาต้มน้ำร้อนเลยถ้าหากฟรานซิสแค่ทำลายกติกาของเกมในรูปแบบปกติ แต่นี่เขาเล่นเลยเถิดชนิดที่เปลี่ยนบรรยากาศรื่นเริ่งเป็นร้อนรุ่มให้ผมได้ภายในพริบตา ไม่เพียงแค่ฉกชิงน้ำแข็งไปเปล่าๆ แต่ร่างสูงนัยตาพราวระยับกลับแกล้งอ้อยอิ่งกดชิดริมฝีปากของเขาแนบสนิทบนเรียวปากของผมที่ชะงักค้างรากับถูกน๊อค

   ซ้ำร้ายในชั่วพริบตาเดียวแล้วฟรานซิสก็เริ่มขยับริมฝีปากส่งผ่านก้อนน้ำแข็งเย็นวาบที่เพิ่งขโมยไป กลับคืนผมด้วยลิ้นเย็นสู่ภายในปากของผมอย่างชำนาญ ก่อนจะฉวยโอกาสเล็มเลียริมฝีปากของผมอย่างจริงจังจนผมสะดุ้งเฮือกแล้วรีบผลักไหล่ฟรานซิสออกดีดตัวลุกนั่งอย่างตื่นตระหนก ไอ้สามตัวที่เป็นสัขขีพยานนั่งมองตาค้างตัวเป็นหินราวกับจ้องตาเมดูซ่า

   “ขอโทษที่ฉันต้องไปแล้ว ขอโทษที่อยู่เล่นเกมส์กับพวกนายต่อไม่ได้.....แล้วขอบคุณสำหรับเกมสนุกๆ”ฟรานซิสลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบใกล้ๆ กับหูผมราวกับมีความลับ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำผมวูบวาบไปทั้งตัว “พรุ่งนี้เจอกัน ไว้คุยธุระของเราวันหลัง”

   ฟรานซิสเหมือนทิ้งระเบิดตูมใหญ่ไว้ที่นี่แล้วจากไป พอแผ่นหลังเขาลับกรอบประตู ภาพที่ถูกหยุดไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนจะเอะอะโวยวาย และยุ่งเหยิงไปกว่าเดิมพันเท่าโดนเฉพาะไอ้จูน

   “อ๊ากกกก! ไอ้เชี่ยธันทำแบบนี้มึงบีบคอกูเถอะ!!!”ไอ้จูนดิ้นพรากทั้งช็อคทั้งอึ้งในหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกัน อย่าว่าแต่ไอ้สามตัวนั้นเลย ผมเองก็จะแย่อยู่แล้เหมือนกันโว้ยยยยย!

   “ไอ้ธัน มึงโดนเมื่อกี้ถึงกับไม่สบายเลยเหรอวะ แม่งหน้าแดงจะระเบิดอยู่แล้ว”ไอ้ปอนเอามือมาโอบหน้าผมส่งสายตาวิตกกังวน

   “ไอ้ธัน มันเกิดอะไรขึ้นวะ เจ้านายมึงกับมึง.....กูคิดไม่ถึงเลยว่ะ!”ไอ้บัสขยุ้มคอเสื้อผมเขย่าตัวผมราวกับบ้าคลั่ง

   “กูว่าแล้วว่าทำไมสายตาเจ้านายของมึงถึงได้มองมึงแปลกๆ แถมยังนั่งจ้องมึงไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว แล้วยิ่งรังสีที่มองไอ้บัสกับมึงตอนนั้นนั้น อย่าให้กูบรรยาย”ไอ้ปอนทำท่าสยองทึ้งผมตัวเองอย่างกับคนประสาท

   “พวกมึงกลับไปได้แล้ว ตอนนี้กูจะปิดห้องแล้ว กูไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น กูง่วง กูมึน กูจะนอน!!!!”ผมดันพวกสามตัวให้เก็บข้าวเก็บของกลับออกไป เพราะตอนนี้ผมเองก็ไม่สามารถพูดอะไรหรืออธิบายอะไรได้ทั้งนั้น เหตุการณ์ฟ้าผ่าแบบนี้มีแต่ตายกับตาย

   “ไอ้ธัน! นี่มึงมีซัมติงกับคุณฟรานซิสสุดที่รักของกูเหรอวะ!”ไอ้จูนโถมมาแทบจะทับผม

   “ไปกันใหญ่แล้วพวกมึง กูไหว้ล่ะ พวกมึงกับไปสงบสติอารมณ์ก่อน!!!”ผมมองซ้ายมองขวากับประโยคคำถามและข้อสรุปของไอ้สามคนที่รัวมาหาผมอย่างกับห่าฝน จนผมอยากกระโดดหน้าต่างหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย

   “ทำไมคนดีๆ อย่างคุณฟรานซิสถึงไม่แม้แต่หันมามองกูเพราะมึงนี่เองไอ้ธัน!”

   “ที่มึงแปลกๆ ช่วงนี้เพราะแบบนี้นี่เองใช่มั้ย มึงกำลังมีความรักเหรอวะ”

   “แบบนี้มึงก็กำลังจะมีแฟนแล้วดิ แล้วพวกกูล่ะ”ไอ้ปอนตีอกชกตัว

   “แล้วเค้ากระซิบกระซาบอะไรกับมึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ!”

   อยากจะบ้าตาย! ใครก็ได้เอาไอ้พวกนี้ไปฝังกลบที!




   ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งลมแดดอยู่ในภาวะสงบ ร่างสูงใหญ่สง่าก้าวออกมาจากห้องทำงานตามติดมาด้วยนาวีและอาเธอร์ที่เดินอยู่เบื้องหลัง ก่อนถึงลิฟท์อาเธอร์รีบเดินนำและทำหน้าที่กดลิฟท์ให้ผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่ ทั้งสามคนยืนอยู่หน้าประตูลิฟท์ก่อนที่ความเงียบจะถูกทลายลงด้วยเสียงพูดของนาวี

   “คราวนี้เราแจ้งกับผู้ถือหุ้นให้มาประชุมที่บริษัทแม่ เรื่องความเห็นในการวางแปลนออกแบบรีสอร์ทบนเกาะจันทร์ฉายที่เรากำลังจะเซ็นต์สัญญาเอกสารสิทธิ์ แต่ตอนนี้เรามีปัญหากับเจ้าของเดิมซึ่งมีท่าทียึกยักขึ้นมา ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงวันเซ็นสัญญาแล้ว เราจะบอกกับพวกเขาว่ายังไงดีครับ”นาวีถามปัญหาที่คาใจ เมื่อเรื่องราวไม่ได้ราบรื่นตามที่คิดกันไว้ เหมือนทุกอย่างถูกป่วนอยู่เบื้องหลัง

   “ทุกอย่างจะเรียบร้อย พวกนายแค่ทำตามคำสั่งฉันก็พอ ตอนนี้เราแค่เล่นไปตามเกมที่ควรจะเป็น เราไม่ได้เป็นรองแต่เราเหนือกว่า คลื่นที่ซัดกระทบหาดยังไงก็ต้องไหลกลับสู่ทะเลอยู่แล้ว”

   “ครับ”

   “บอสเป็นอะไรรึเปล่าครับ”อาเธอร์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวลเมื่อสังเกตเห็นฟรานซิสยกมือขึ้นกุมไหล่ขวาและมีสีหน้าแปลกไป

   “ไม่เป็นไร”

   “บอสน่าจะไปหาหมอนะครับ แค่ทำแผลจะพออะไร”นาวีเสนอความคิดเห็น

   “ใช่ครับ บอสไม่ควรจะฝืน เสร็จจากประชุมผมจะพาบอสไป.....”

   “พวกนายอยู่เฉยๆ ก็พอ ขอบใจที่เป็นห่วงแต่ฉันไม่เป็นไร”ฟรานซิสปฏิเสธความหวังดีของทั้งสอง ไม่ใช่จะหักหาญน้ำใจแต่แค่นี้เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โตและเสียเวลาเปล่าๆ ในเมื่อเขาเองก็มีพยาบาลจำเป็นส่วนตัวที่เต็มใจจะให้ทำแผลอยู่แล้ว
 
   “ผมไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้บอสอารมณ์ไม่ดีหรอกนะครับ.....แต่ว่า เมื่อไหร่เรื่องวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนที่บอสต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงจะจบลงสักที ผมไม่อยากรอที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างใจเย็นอีกกับคนที่คิดไม่ซื่อกับบอส!”

   “ฉันไม่อยากได้ยินใครท้วงเรื่องนี้อีก”เสียงสั่งอย่างเฉียบขาดหยุดทุกความคิดและคำพูดของนาวี ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ฟรานซิสมักจะลดความสำคัญของตัวเองลงไปด้วยเหตุผลบางประการอย่างที่ไม่เคยเป็น

   “แต่ว่าบอสครับ…..”

   “นาวี.....นายกลับไปทำงานที่ห้อง เรื่องประชุมวันนี้อาเธอร์จะช่วยฉันเอง”ฟรานซิสเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะก้าวออกมาจากลิฟท์ นาวีไม่ได้ตามออกมาด้วยเพราะนั่นเป็นคำสั่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ชายหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าบอสของเขาคำไหนคำนั้น ทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุผล แต่เหตุผลบางอย่างชายหนุ่มเองก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

   “.....มีข่าวคืบหน้าจากสายของเรารายงานมาครับ”อาเธอร์เบาเสียงลงราวกับเสียงกระซิบ

   “ว่ามา คนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรต่อไป”เจ้าของร่างสูงสง่าหยุดก้าวเดินพลางจัดการกับเนคไทด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตาคมจ้องมองไปด้านหน้าแต่ความสนใจกลับอยู่ที่คำตอบของอาเธอร์

   “เป้าหมายของพวกมันคือ.....”



   ปึก!

   ทันทีที่ข้อศอกของผมกระแทกไปโดนกองหนังสือบนโต๊ะของฟรานซิสหล่นลงกับพื้น หัวใจของผมแทบจะวาย ผมกำลังวุ่นอยู่กับการรื้อคนอย่างถือวิสาสะราวกับโจรขโมยในที่ที่ฟรานซิสหวงนักหนา แฟ้มเอกสารที่เรียงอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานยังถูกผมเปิดไปได้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด เอกสารมากมายเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจทำให้ผมรู้สึกเวียนหัว บวกกับเวลาที่กระชั้นชิดผมทำอะไรได้ไม่มาก แล้วยิ่งเป็นภาษาอังกฤษที่ผมไม่ถนัดยิ่งต้องใช้เวลาเกือบสองเท่า

   “อยู่ไหนนะ ให้ได้สักนิดก็ยังดี”ความกระวนกระวายมองซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมอยากจะบ้าตาย ข้อมูลที่ไอ้แก่เฉินต้องการผมยังไม่ได้มาแม้แต่ปลายก้อย จะให้ผมบุกไปถึงบริษัทก็เป็นไปไม่ได้อีก เท่าที่ผมทำได้ตอนนี้คือหาจากสิ่งที่ฟรานซิสเก็บไว้ที่บ้านนี่แหละ อีกสิ่งที่ผมสนใจคือตู้ไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ผมเปิดไม่ได้เพราะมันมีกุญแจล็อคไว้

   ผมยกแขนขึ้นดูเวลาแล้วก็ต้องถอดใจ เมื่อตอนนี้เป็นเวลาที่ฟรานซิสกำลังกลับมา มันไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์แน่ถ้าเกิดเขามาเห็นเข้า


 


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 15-08-2016 21:49:32


ผาง!

   แล้วประตูห้องของฟรานซิสก็เปิดขึ้น ผมยืนตัวแข็งมองผู้ที่เดินเข้ามาในชุดสูทพอดีตัว ท่าทางสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาคมกริบตวัดมองผมราวกับแปลกใจ ฟรานซิสยกมือหนาขึ้นปลดเนคไทให้คลายออกแต่สายตายังจดจ้องที่ผมไม่วาง

   “ผมทำความสะอาดห้องเสร็จแล้ว ผมขอตัวก่อน”ผมหลุบตาลงต่ำก่อนจะหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นซึ่งประจวบเหมาะในจังหวะที่ผมหอบหิ้วมันอยู่พอดี

   “เดี๋ยวก่อน”เสียงทุ้มเหมือนออกคำสั่งแต่กลับฟังดูละมุนเอ่ยเรียกผมไว้ ไหล่ของผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองร่างสูงด้วยใจหวาดหวั่น อีกสมองส่วนหนึ่งก็ตับฉับเอาภาพเมื่อวันก่อนให้วูบเข้ามาในความคิดทำเอาผมเผลอหลบตาจนได้

   อีกใจหนึ่งก็อดคิดในท่าทีของฟรานซิสไม่ได้ว่าเขาจะสงสัยรึเปล่า!

   “ครับ?”คิ้วผมกระตุกไม่เป็นรูป ขานรับด้วยเสียงสั่น

   “เสร็จแล้วขึ้นมาทำแผลให้ฉันด้วย”ผมพ่นลมหายใจออกมาหมดปอดราวกับโล่งอก ก่อนจะหันไปรับปากรับคำกับเจ้านายตัวเอง

   “ครับ ผมจะขึ้นมาอีกทีหลังคุณอาบน้ำเสร็จ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวขึ้นมารอได้เลยฉันไม่ใช่คนอาบน้ำนาน”เจ้าของเสียงทุ้มพูดไปถอดไปปลดไป ผมหมายถึงถอดเสื้อปลดกระดุม เขาดูจะชำนาญจนแทบจะไม่ต้องมองเม็กกระดุมเลยด้วยซ้ำ แต่ช่วยมองมันหน่อยก็ดีแทนที่จะจ้องผมตาเป็นมันขนาดนั้น

   “งั้น.....ผมเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อน”ผมรีบพาตัวเองออกมาจากห้องของเขาทันที ใบหน้าของผมร้อนวูบจนต้องรีบลงไปหาน้ำรด นับวันความรู้สึกของผมชักจะปั่นป่วนไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย

   แต่ยังไง งานกับความรู้สึกผมต้องแยกให้ออก

   ตั้งสติไว่ไอ้ธัน ห้ามไขว้เขว ถึงใจมึงจะเอียงไปแล้วก็ห้ามล้มเด็ดขาด!

   ผมใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการเก็บข้าวเก็บของพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมาบนห้อง ผมเคาะประตูสองครั้งก่อนจะเปิดเข้าไป เจ้าของร่างสูงนั่งไขว่ห้างรอผมอยู่ปลายเตียงทั้งเนื้อทั้งตัวนุ่งห่มส่วนล่างเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเท่านั้น เขาทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ไม่เพียงงานบ้านงานลับที่ผมต้องรับมือมาตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมารับมือกับคนตรงหน้าที่ยากเกินกว่าจะจัดการอีก 

   “ช้า”

   “ขอโทษครับ แต่ผมต้องเก็บของพวกนั้นให้เรียบร้อย”ไม่รู้สิว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกเกรงอกเกรงใจคนตรงหน้าขนาดที่ไม่กล้าที่จะสบตาเขาด้วยซ้ำปกติผมสู้ยิบตาซะด้วยซ้ำ หลังมานี้ผมรู้สึกตัวเองแพ้คนตรงหน้าราบคาบตั้งแต่ไม่ทันถือด้าบออกรบ ผมวางกล่องปฐมพยาบาลลงข้างๆ ตัวฟรานซิสก่อนจะเปิดออกและหยิบจับของที่ต้องใช้ออกมา

   “วันนี้นายทำตัวแปลกไป”

   “คุณคิดไปเองรึเปล่าครับ ผมก็ปกติ”

   “ทุกทีนายจะร่าเริงกว่านี้ ถึงฉันจะไม่ได้อยู่กับนายตลอดเวลาแต่ฉันรู้สึกได้”

   “ยังไงผมก็ยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงผมหรอกห่วงตัวเองดีกว่าดูเหมือนแผลคุณกำลังจะอักเสบอยู่รอมร่อแล้ว”สำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผลค่อยๆ ซับลงที่ปากแผลลงเบาๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าตัวของเขายังคงชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวที่เกาะอยู่บนตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูยังคงเป็นกลิ่นเดิมซึ่งเขาไม่เคยเปลี่ยน ตอนนี้ผมรู้แทบทุกอย่างเลยด้วยซ้ำตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าเขาใช้กลิ่นอะไร ยี่ห้อไหน

   “หรือว่าเพราะเรื่องเมื่อวานที่ฉันไปหานายที่ห้อง”

   “ผมลืมมันไปหมดแล้ว คุณไม่ต้องพูดถึงก็ได้ครับ”ผมยอมรับว่ตัวเองชะงักไปเล็กน้อยถ้าฟรานซิสไม่สังเกตคงไม่เห็น

   “แน่ใจว่านายลืมมันได้”ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มบางๆ ออกมาจนผมหมั่นไส้ ถ้าไม่เพราะเขาผมคงไม่ต้องตอบคำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเพื่อนผู้อยู่ในเหตุการณ์จนแทบบ้า พาลให้กลางคืนผมนอนไม่หลับคิดวกวนแต่เรื่องของเขาจนจะเป็นประสาท

   “ว่าแต่คุณเถอะ ทำไมถึงได้ถ่อไปถึงบ้านผมได้ แถมคุณยังรู้ซะด้วยว่าผมพักที่ไหนทั้งๆ ที่ผมไม่เคยบอกคุณด้วยซ้ำ”

   “มีอะไรบ้างที่ฉันอยากรู้แล้วไม่รู้”ฟรานซิสพูดอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังราวกับเรื่องปกติ

   “อ้อ! ผมลืมไปว่าคุณเป็นใคร”ผมใช้น้ำเสียงประชดประชันเขาเล็กน้อย จากการสนทนาโต้ตอบกับฟรานซิสสถานการณ์ตอนนี้เลยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ฟรานซิสทำตัวสบายๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าผมเขาไม่วางมาดทำตัวว่าเป็นเจ้านาย แต่ด้วยนิสัยและภาพลักษณ์ของเขา มันสร้างให้เขาเป็นเช่นนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผมหาข้อโตแย้งใดๆ ไม่ได้สำหรับเรื่องนี้

   “ฉันจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”

   “เรื่องที่คุณบอกผมว่าคุณมีธุระ จริงๆ แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ครับ การที่คุณไปที่ห้องเก่าๆ ของผมมันผิดปกติ”ผมพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

   “นายเพิ่งจะบอกฉันว่าลืมเรื่องเมื่อวาน น่าแปลกที่จำสิ่งที่ฉันพูดได้”

   “ผมไม่ตลกครับ”ผมตีหน้าบึ้ง“คุณควรจะบอกคำตอบผมดีๆ”

   “ฉันแค่ผ่านไปแถวนั้น และมันก็คงดีถ้าฉันได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของนายบ้าง”

   “ผมไม่ได้ขอให้คุณทำแบบนั้นนะครับ ผมไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยากตามสถานสงเคาระห์”

   “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น”

   “ก็ดีครับ”ผมมองฟรานซิสด้วยหางตาแวบหนึ่ง ลอบสังเกตสีหน้าของเขาที่ทอดสายตามองไปยังข้างหน้า จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากหยักทำผมคิดฟุ่งซ่านจนกลัวตัวเอง เลยรีบทำแผลให้คนตรงหน้าจะได้ไปจากตรงนี้เสียที ห่างจากวัตถุไวไฟตรงหน้าให้เร็วเท่าที่จะทำได้

   “โอ๊ย!”แต่อยู่ๆ เสียงร้องของฟรานซิสก็ดังขึ้น ผมชักมืออกจากการทายาแล้วหันไปถามเขา ผมมองคนตรงหน้าราวกับรู้สึกผิด

   “คุณเจ็บ ผมขอโทษ”

   “เปล่า.....อันที่จริงนายเหยียบเท้าฉัน”

   “เอ๊ะ! ขอโทษครับ!”ผมก้มลงไปมองเท้าตัวเองที่ใส่รองเท้าแตะในบ้านซึ่งตอนนี้ทับอยู่บนนิ้วเท้าของฟรานซิสเต็มๆ ผมรีบชักเท้ากลับและถอยหลังออกอย่างรวดเร็วแต่กลับถูกวงแขนแกร่งเกี้ยวกระหวัดเอวคอดเข้าหาตัวเขาราวกับจงใจ พลัยกดตัวผมลงให้นั่งลงบนท่อนขาของเขา

   วงแขนของฟรานซิสกอดรัดผมไว้แน่นจึงทำให้แผ่นหลังของผมแนบชิดกับอกกว้างจนแทบจะฝังเข้าไปในร่างของเขาอยู่รอมร่อ ผมพยายามลุกขึ้นอยู่หลายรอบอย่างตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล

   “คุณจะทำอะไร”ผมเอ่ยเสียงระรัว ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟรานซิสแกล้งหยอกผมให้รู้สึกอายแบบนี้ แต่ทุกครั้งกลับทำให้ผมสั่นไหวอยู่ในอก

   “อะไรกัน หรือนายกลัวว่าฉันจะทำเหมือนเมื่อวาน”น้ำเสียงที่ฟังดูปกติแต่กลับทำให้ผมขนลุกวาบเพราะลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคออยู่ใกล้ๆ

   “ผมไม่ได้คิดอะไรครับ ผมรู้ว่าคุณแค่แกล้งผมก็เท่านั้น คุณคงทำแบบนั้นเป็นปกติจนชินสินะครับ ได้ยินแล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว ผมอึดอัดและที่สำคัญคุณยังทำแผลไม่เสร็จ”ผมดิ้นไหวแต่กลับถูกอีกฝ่ายกอดแน่นเข้าไปอีก หน้าผมเปลี่ยนสีจากความร้อนที่ไต่ลามขึ้นถึงใบหู

   “แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่การกลั่นแกล้ง นายจะว่าไง แล้วฉันก็ไม่เคยชินกับการหยอกล้อใครไปทั่วเสียด้วย เว้นแต่นาย.....”

   “คุณพูดอะไร ชักจะไปกันใหญ่แล้ว”หากเขาประจันหน้ากับผมโดยตรง ตอนนี้ความลับบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในดวงตาคงถูกล้วงออกมาไม่เหลือหรอแน่ๆ แล้วยิ่งเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามนี่อีก ทำเอาผมแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่ แค่คำพูดไม่กี่คำจากปากของฟรานซิสเล่นเอาผมเสียศูนย์ไปเลยจริงๆ

   ผมยอมรับว่าฟรานซิสเสน่ห์เหลือล้น แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะตกหลุมเสน่ห์เขาได้ง่ายดายขนาดนี้ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ผมไม่ควรจะรู้สึก เพราะที่เข้ามาพัวพันกับเขาผมก็ไม่ซื่อสัตย์พอแล้ว ผมไม่ใช่คนดีอะไรที่เขาจะมาดีด้วย ผมมันตัวอันตรายเสียด้วยซ้ำ

   “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสนใจนาย จำไม่ได้รึไง”

   “ผมจำได้ซะที่ไหน”

   “งั้นให้ฉันบอกนายอีกทีไหม?”เจ้าของเสียงเกยคางลงบนไหล่ผม พลางเอ่ยกระซิบ“.....ฉันสนใจนายอย่างที่ไม่เคยสนใจใครมาก่อน”

   “คุณฟรานซิส!”ผมพยายามเรียกชื่อให้เขาหยุดพล่าม เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวจนสูญเสียการควบคุม และหงุดหงิดตัวเองอยู่ลึกๆ ที่ลดเกราะป้องกันของตัวเองลงจนน่าใจหายเพียงเพราะผู้ชายคนนี้

   “ฉันไม่เคยยอมลงทุนกับสิ่งที่ทำให้ฉันล้มละลายเป็นอันขาด แต่ตัวนาย...คือสิ่งที่ฉันยอมทุ่มหมดตัวในฐานะนักธุระกิจ โดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....นั่นก็หมายความว่าตัวนายมีความหมายมากกว่าอื่นใด และฉันคงปล่อยผ่านนายไปเฉยๆ ไม่ได้ในเมื่อนายอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว.....”ผ่ามืออุ่นที่กระหวัดเกี้ยวตัวผมบัดนี้กลับสอดลอดไล้ใต้ชายเสื้อแล้วค่อยๆ เลื่อนถลกขึ้นเผยสัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายให้สัมผัสกับแอร์เย็นจมผมรู้สึกได้ ผมขยับมือไปกุมมือหนาภายใต้เสื้อให้หยุดการกระทำที่เผลอไผลไปกับคำพูดของเขาไปจนได้

   “คุณ.....ฟรานซิส.....”ผมแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อต้องรู้สึกแปลก กับสัมผัสที่ถูกปลุกปั่น มือหนาไต่ขึ้นอย่างช่ำชอง ลมหายๆ ใจอุ่นๆ รินรดลำคอขาวจนขึ้นสีก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงบนลำขาวเนียบแล้วขบเม้มทิ้งรอยความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไว้ชัดเจน

   “คุณฟรานซิส คุณทำอะไร”ผมโผล่งขึ้นมาขยับตัวจะหนี

   “เปล่านี่ หรืออยากให้ทำที่อื่นมากกว่า”น้ำเสียงพราวเสน่ห์เอ่ยราวกับเย้าหยอก ผมบิดตัวเร่าอยู่บนท่อนขาแกร่งเมื่อมือหนาสัมผัสซุกซนไปทั่วจนตามจับยากเล่นเอาผมวูบไหวไปทั้งตัว

   “คุณ.....ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”เสียงผมกระเซ้าเสียจนน่าอาย พยายามประคองสติตัวเองและต่อสู้กับเส้นบางๆ ที่กันอยู่ระหว่างตัวผมกับฟรานซิส

   “งั้นก็ขัดขืนให้ถึงที่สุดสิ”ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์เฉิดฉายอยู่บนใบหน้าคมสันได้รูป ก่อนจะโอบรั้งใบหน้าของผมที่ร้อนผ่าวเข้าหาแล้วบรรจงบดเบียดริมฝีปากหยักอย่างอ้อยอิ่ง และแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนราวกลับสูบกลืนพลังผมไปจนหมดสิ้น ช่วงจังหวะที่ผมเผยอริมฝีปากวักอากาศเข้าปอด ลิ้นอุ่นชื้นกลับแทรกสอดเข้ามาทันที่แล้วทำการกระหวัดรัดเกี่ยวลิ้นผมพัลวัน ผมอยากจะผละหนีด้วยความพรั่นพรึง แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งต้นคอเอาไว้ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

   อย่างที่ฟรานซิสพูด ถ้าผมแข็งข้อจริงผมก็ควรขัดขืนเขาให้มากกว่านี้ นี่ไม่เรียกว่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองเสียด้วยซ้ำ ผมกำลังทำเรื่องบ้าๆ ที่ไม่ควรอยู่ใช่มั้ย! แต่การที่ต้องถอยทำไมมันถึงทำได้ลำบากยากเย็นขนาดนี้

   “อื้อ….”ผมพยายามพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก มือผมที่ยังเกาะกุมมือหนาที่ซุกซนราวกับลิงเอาไว้แล้วจิกเล็บลงเนื้อของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ผมขยับตัวหนีกับการสัมผัสที่ปลุกปั่นอารมณ์จนผมแทบเตลิด แต่ร่างกายผมจะไปไหนได้นอกเสียจากบดเบียดอยู่ในอกกว้างจนสัมผัสได้ถึงส่วนล่างของอีกฝ่ายที่ผงาดอวดโลกจนนึกกลัว ทำเอาสติกระเจิงไปไหนต่อไหนหัวใจก็แทบระเบิดออกมา

   “ฉันต้องการนาย.....”เสียงพร่าพร้อมลมหายใจถี่กระซิบเร่าราวกับอ้อนวอนขออย่างตรงไปตรงมา แต่การกระทำชั่งตรงข้ามกับน้ำเสียงชนิดที่เป็นหน้ามือหลังมือ

   “ดะเดี๋ยวนะ เรื่องแบบนั้นผมทำไม่ได้”สายตาผมลอกแลกลอบมองคนตรงหน้าที่นัยน์ตาพราวระยับจับจ้องมองผมราวกับจะทะลุทะลวง หลังจากกดผมลงจมกับเตียง ส่วนเขาก็ขึ้นทาบทับด้วยร่างกายใหญ่โตไม่คิดจะให้ผมหนีรอด ในอกหัวใจเต้นตูมตามจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกกลัวทำผมมืออ่อนขาไร้เรี่ยวแรง

   ผมรู้ ผมเพรียกพร้ำตั้งแต่หลวมตัวให้เขาสัมผัสแล้ว ผมผิดเองใช่มั้ยในตอนนี้?

   “ไม่ทำแล้วนายจะรู้ได้ยังไงว่าทำไมได้”

   ผมไม่ได้อยากจะมาเรียนรู้เรื่องแบบนี้เพื่อจะอัพระดับความฉลากเรื่องอย่างว่าเลยสักนิด แต่เขากลับอยากจะเป็นติวเตอร์บังคับสอนผมให้รู้เอาซะเดี๋ยวนี้ บอกตามตรงผมยังไม่พร้อมแม้ผมจะรู้ว่าผู้ชายด้วยกันเขาทำกันอย่างไร ถึงจะไม่เคยลองแต่ผมก็โตพอที่จะเคยผ่านหูมาบ้าง และยิ่งคนตรงหน้าเป็นฟรานซิสมันยิ่งทำให้ผมคิดหนักจนหัวแทบระเบิด ถึงร่างกายจะไปแต่ใจมันกลับยังค้านอยู่เนืองๆ

   “คุณฟรานซิส คุณใจเย็นๆ”ผมเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะตอนนี้เสื้อของผมปลิวหายไปไหนแล้วไม่รู้  เหลือเพียงผิวgเนื้อขาวระเรื่อขึ้นเห่อแดงจากแรงสัมผัสของคนตรงหน้า

   “ฉันใจเย็นอยู่”หน้าเขาดูไม่เย็นเลยสักนิด และท่อนขาของผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรแข็งๆ ภายใต้ผ้าขนหนูผืนสีขาวผ่องนั่นกำลังนาบทับอยู่ แบบนี้ยังมาบอกผมว่าใจเย็นอยู่งั้นเหรอ

   โกหกไม่เนียนเลยสักนิด!

   “คุณ.....ฟราน....”เสียงผมถูกดูดกลืนหายไปอีกรอบด้วยริมฝีปากหยัก คราวนี้ช่างเร่าร้อนและเรียกร้องจนผมหายใจไม่ทั่วท้องไปหลายนาที เส้นทางกลับตัวของผมริบรี่ลงไปทุกทีที่เขาสัมผัส

   ฟรานซิสไม่ต่างจากราชสีห์ที่ไล่ตะครุบเหยื่อไม่เลิก ถ้าไม่ได้กินไม่มีทางที่เขาจะเลิกล่า

   “..........”

   “อย่ามากกว่านี้.....ผมขอร้อง”ผมหลับตาปี่หดตัวเกร็งเมื่อมือหนาสอดเข้าใต้กางเกงโอบสะโพกบีบขย้ำกระตุ้นสัมผัส ส่วนริมฝีปากหยักได้รูปกลับเลื่อนต่ำลงมาจรดพรมจูบไปทั่วทั้งร่างกายผมอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายใหญ่โตกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนตัวผมเผยสักส่วนกล้ามเนื้อให้เห็นถนัดตา ผมถึงกับครวญครางขึ้นมาอีกระลอกเมื่อสัมผัสได้ถึงลิ้นอุ่นกำลังหยอกเย้ากับส่วนอ่อนไหวท่อนบนราวกับกลั่นแกล้ง จนเผลอเอื้อมมือไปขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่าไม่ได้ตั้งใจ

   ผมได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอของฟรานซิสอย่างที่ไม่เคยได้ยิน นั่นทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนแทบมุดแผ่นดินหนี ความรุ้สึกอดกลั้นถูกผิดขาดผึ่งไปตั้งแต่วินาทีที่ร่างกายจำยอม

   “นายไวสัมผัสกับตรงนี้สินะ”ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตากับผมด้วยร้อยยิ้มที่ระบายตรงมุมปากอย่างพอใจ เขารู้เต็มอกว่าผมรู้สึกเช่นไร แต่ก็รุกเร้าเสียหนักหน่วง เขาคลายอารมณ์ร้อนลงเล็กน้อย มือใหญ่เอื้อมมาจับมือผมยกขึ้นไปทาบทับกับอกแกร่งของเขาอย่างตั้งใจ แล้วพูดเสียงนุ่มนวลด้วยท่าที่จริงจังอย่างที่ผมไม่คาดคิด

   “ได้ยินรึเปล่า มันกำลังเต้นแรงแค่ไหน ร่างกายคนเรามันไม่เคยโกหกนายก็รู้”

   ผมได้ยิน และสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของคนตรงหน้าที่เต้นถี่ไม่ต่างจากตัวผม นั่นทำให้ผมถึงกับหน้าแดงอีกรอบ

   “ผมรู้แล้ว”

   “ธัน นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันจริงใจกับนาย”ดวงตาคมจ้องเข้ามาในดวงตาของผมไม่หลบเลี่ยงจนผมกลัว

   “ผมรู้ คุณดีกับผม”

   “ไม่ว่านายกำลังเดือดร้อนหรือเกิดอะไรขึ้นกับตัวนาย ร่างกายของฉันก็ใหญ่พอที่จะปกป้องนายได้ ขอแค่ให้นายเอ่ยปากพูดฉันก็จะช่วย”

   “..........”เสียงของผมจมหายไปในความรู้สึกที่เอ่อตื้นขึ้นมาริมขอบตา ผมได้แต่พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้เพียงเอื้อมมือไปอย่างเชื่องช้าเพื่อสัมผัสกับใบหน้าบุคคลที่ผมอาจทำให้เขาเจ็บปวด ฝ่ามือของผมถูกจูบซับราวกับถนอม การกระทำของเขาช่างอบอุ่นจนผมรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ

   “เขาใจที่ฉันพูดใช่มั้ยธัน”คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันเรียกร้องคำตอบจากผมมากกว่าการเงียบ

   “ผมอาจไม่ดีพอให้คุณทำแบบนั้นก็ได้”ผมพยายามยิ้ม แต่กลับเป็นยิ้มที่ฝืดขมเป็นที่สุด

   “นายจะดีพอหรือไม่ ตัวฉันต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจไม่ใช่ตัวนายเอง”

   “คุณพูดง่าย”

   “ใช่พูดง่าย แต่ฉันก็ทำให้มันง่ายได้เหมือนกัน อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร”จบประโยครอยยิ้มอุ่นๆ ปรากฏขึ้นราวกับฟ้าหลังฝน ผมยิ้มรับความรู้สึกของคนตรงหน้าบางๆ

   “งั้น.....ตอนนี้คุณก็ปล่อยผมได้แล้วสินะ”ผมหยั่งเชิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มสงบลง

   “ฉันจะปล่อย....แต่ปล่อยของฉันมันอาจจะคนละความหมายของนายก็ได้”ร้อยยิ้มที่แปรเปลี่ยนดับความหวังผมลงอย่าไร้ปราณี ผมหน้าเหวอไปสามวิ แค่วิที่สองก็ต้องกระเจิงแล้วเมื่ออีกฝ่ายผลีผลามจับผมคว่ำลงกับเตียงใหญ่แล้วใช้มือหนาสอดเข้าใต้ขอบกางเกงเลื่อนมาโอบส่วนอ่อนไหวทำเอาร่างกายผมหดเกร็งตัวงอ จนต้องเร่งรุดเลื่อนมือไปห้าม

   “คุณทำอะไร ไม่ได้นะ!”ผมเหวใส่พยายามดึงมือเขาออกจริงจังสุดฤทธิ์

   “ไม่ใช่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วรึไง”เสียงทุ้มกระซิบก่อนจะใช้ริมฝีปากขบเม้มใบหูของผมจนวาบหวาม

   “คะคุย? แต่มันไม่ได้หมายถึง…..ฮึก!”

   “รู้สึกดีรึเปล่า”คำถามที่ทำให้ผมอายม้วนครั้งแรกในชีวิต แล้วใครมันจะไปกล้าตอบ ผมตอบไม่เข้าหูมือเขาก็ยิ่งขยับยุบยับจนผมเหลือทน

   “นี่คุณ.....”ผมกัดริมฝีปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากดเก็บเสียงที่ไม่ควรให้เขาได้ยินแล้วย่ามใจ

   “ให้ฉันได้ยินเสียงนายบ้าง กัดไปเดี๋ยวปากก็เห่อช้ำหมด”

   “ไม่!”

   “คงไม่มีทางเลือก นอกเสียจากทำให้นายทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาเองสินะ”

   “คุณคิดว่าผมจะตามใจคุณทุกเรื่องหรือไง”ผมโต้กลับราวกับอยากเอาชนะขึ้นมา

   “งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วกัน”

   ดวงตาคมหรี่ตาลงก่อนจะเปลื้องผ้าชิ้นสุดท้ายของผมออกอย่างไม่เยเส ผมตาโตเบิกโพล่งใจระส่ำ รู้สึกได้ถือมือหนาที่ปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังพร้อมกับริมฝีปากที่บดจูบไปทั่วฝากรอยแดงช้ำไว้ ผิวกายฟรานซิสร้อนจัดทั้งที่อุณภูมิภายในห้องเย็นเยียบ เสียงหอบหายใจถี่ของเขาแทบจะประสานเป็นเสียงเดียวกับผม ฟรานซิสพลิกตัวผมกลับแล้วประกบริมฝีปากที่ร้อนผ่าวลงกับริมฝีปากของผมอีกครา ลิ้นอุ่นชื้นย่ามใจกล้ำกลายเข้ามาภายในอีกครั้ง ตักตวงและดูดกลืนทุกความหวานหอมด้วยอารมณ์เร่าร้อน

   ฟรานซิสไม่ปล่อยให้ผมไปสนใจกับการรุกเร้าจากสัมผัสของเขาที่ทำผมปั่นป่วน เขาดันร่างแกร่งให้แนบชิดกับร่างกายผมราวกับต้องการความอบอุ่น ทั้งที่ตัวของเขากกลับร้อนผ่าวราวกับจะมอดไหม้ สองมือหนาเลื่อนลงต่ำไปจนถึงโคนขาเนียนแกล้งลูบไล้เย้าแหย่อารมณ์ให้ผมวูบไหว ก่อนจะจับเข่าผมชันขึ้นทั้งสองข้างไปกระหวัดกอดเกี่ยวกับร่างสูง ปลายนิ้วเริ่มซุกซนจนผมสะดุ้งเฮือกพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ในหัวยังเบลอจนไม่เหลือความคิด

   ผมยังดื้อดึงที่จะกลั้นเสียงตัวเองยามรู้สึก ฟรานซิสถึงได้แกล้งบดเบียดกายแกร่งเข้ามาและเติมเต็มความปรารถนาของเขาให้ผมจนหมดสิ้น

   “ฮึก!”

   แกล้งกันชัดๆ ผมโอดครวญในใจหาใครช่วยไม่ได้

   “กลั้นไว้ให้ถึงที่สุดล่ะ”น้ำเสียงทรงเสน่ห์กระซิบลงที่ลำคอระหงก่อนใช้ลิ้นอุ่นเลียไล้ไปจนถึงใบหู จนผมเผลอเอื้อมมือไปจิกแขนและฝากรอยข่วนเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจ กระนั่นคนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกรู้สาราวกับว่าจมดิ่งไปในห่วงแห่งอารมณ์

   ร่างกายของผมไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ผมเสียการควบคุมไปและไม่สามารถกลับมาควบคุมมันได้อีก
 
   “เจ็บรึเปล่า ฉันเบามือที่สุดแล้ว”ฟรานซิสกระซิบถามแล้วจูบซับลงไปที่ซอกคอของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเคลื่อนไหวร่างกายแกร่งนั่น ผมรับรู้ได้ถึงตัวตนของฟรานซิสที่ทำให้ผมร้อนรุ่มไปทั้งตัว ความปรารถนาเขาใกล้จะสิ้นสุด มือผมจิกผ้าห่มจนยับยุ่ยเมื่ออีกฝ่ายแตะถึงขอบความปรารถนาด้วยสัมผัสถี่กระชั้น

   “พอแล้ว....ผมไม่ไหว”สายตาของฟรานซิสกวาดมองไปทั่วไปหน้าและเรือนร่างของผม หยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนร่างกายของเขาไม่ได้บ่งบอกว่าเขาจะหมดกำลัง

   “แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วรึไง”

   “นี่มันไม่ใช่กีฬานะ!”

   “ก็กีฬาในร่ม”

   และอีกครั้งที่เขาทำผมปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำ เป็นสิ่งยากที่ผมจะปฏิเสธตัวตนของเขาออกไปได้ การครอบครองยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เมื่อแขนแกร่งยังคงกอดรัดผมไม่ว่าง
 
   สัมผัสที่ได้รับก็แค่ออเดิฟ เขากระซิบบอกจนผมหน้าถอดสี แม้เพียงเท่านี้ก็แทบทำให้ผมขยับร่างกายไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แบบนี้มันไม่ต่างไปจากการทรมาณร่างกายผู้อื่นเลยสักนิด

   นี่ใช่มั้ยคือปฐมบทของบทลงโทษของผม





ความในใจของคนเขียน

ถ้าจะนับจากตอนแรกตอนนี้คือที่สุดของความหิน อารงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร
บ๊ะเจ้า! ยากไปไหน :z3: เป็นตอนที่เขียนแล้วมือหงิก ไหล่สะดุ้งขนลุกเป็นช่วงๆ กับคำพูดของฟรานซิส
นึกถึงผู้ชายที่นิสัยเหมือนฟรานซิสแล้วมันชวนขัดเขินชอบกลเวลาพูดอะไรที่มันจะหวานก็ไม่ใช่
แต่จะเป็นทำนองขวานผ่าซาก ตรงเผงแบบนี้ เลยอยากจะแก้ตัวเป็นนัยๆ
ว่าหากผิดพลาดในอรรถรสประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ :กอด1:

>>>>to be continued  :bye2:



หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 15-08-2016 22:17:06
จงให้ฟรานซิสช่วยเจ้าซะธัน ไม่งั้นไอ้อากงมันก็ตามรังควานอยู่อย่างงี้  :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 16-08-2016 10:55:32
บอกความจริงฟราซิสไปเลยสิ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 16-08-2016 11:54:18
ฟรานซิสนางเปิดทางสวรรค์รอแล้วนะธัญ บอกไปเลย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 19-08-2016 00:16:49
 :oo1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-08-2016 21:04:08
 :pig4:  :z1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: Cc-kun ที่ 20-08-2016 10:28:10
เชียสุดขีดให้สารภาพความจริงไปเล้ยย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-08-2016 02:12:33
 o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 13 UP DATE 15/8/59 [เตรียมทิชชู่ก่อนเข้า]
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 21-08-2016 13:51:17
อยากตามต่อแล้วครับ  จะรอผลงานตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 22-08-2016 17:09:13




14




   ผับผ่าสิ!

   ผมยืนจ้องมองร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองอยู่ราวห้านาทีหน้ากระจกด้วยความตื่นตะลึง รอยจ้ำแดงตามตัวปรากฏชัดชนิดที่ไม่ต้องซูมทำผมอยากจะบ้า อย่างนี้ผมไม่ต้องพันตัวเองเป็นมัมมี่รึไง อยากจะโทษคนทำแต่จะเอาอะไรกลับมาได้ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว และผมก็กึ่งยินยอมเสียด้วย แล้วไหนจะความรู้สึกเจ็บแปลบตรงช่วงสะโพกที่ทำผมซวนเซกว่าจะหยัดยืนขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั่น ผมต้องสะพรึงกับความชื่นแฉะและของเหลวข้นที่อุ่นร้อนไหลอาบลงบนโคนขาที่มีร่องรอยคิสมาร์กเด่นหราซึ่งมันน่าฆ่าคนทำนัก น่าอายเป็นบ้า

    แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า พอผมตื่นมาคนข้างตัวก็อันตรธานหายไปทิ้งไว้เพียงโน้ตข้อความสั้นๆ ว่าเขาไปทำงานแล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมแค้นใจเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายดูมีแรงเหลือเฟื่อในขณะที่ผมหมดสิ้นสภาพไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือใครลุกหายไป มารู้ตัวอีกทีก็เกือบเที่ยงของอีกวัน โชคดีที่วันนี้ผมไม่ต้องไปมอเพราะปิดคอร์สจบสิ้นไปแล้ว

   ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำหลังชำระล้างร่างกายเสร็จ อาศัยเสื้อคลุมอาบน้ำของฟรานซิสที่ตัวใหญ่โคร่งคลุมกาย เดินออกมาด้วยอาการโคลงเคลงราวกับสูบเสียสมดุล ทันทีที่สายตาเหลือบไปมองเตียงกว้าง ใบหน้าผมก็เกิดอาการร้อนฉ่าขึ้นมาบัดดล จนอยากจะรีบออกไปจากห้องนี้ให้ไว

   ถามว่าผมรู้สึกอายไหมก็ตอบเลยว่ามาก! ผู้ชายสองคนที่จบลงด้วยเรื่องบนเตียงผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ

   ไม่ทันที่ผมจะปลดเสื้อคลุมอาบน้ำออกเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเดิม เสียงประตูก็เปิดขึ้นเสื้อคลุมที่เพิ่งผลัดออกได้ครึ่งตัวก็ทำให้ผมต้องหันไปมองตามเสียง และเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาก็รีบกระชับเสื้อคลุมกุมสาบเสื้อแน่นไม่วางมือ   

   “คุณกลับมาทำไม”

   “ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่นี่บ้านของฉันนะ”คนตรงหน้ากวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วยกยิ้มตรงมุมปากราวกับขบขันกับคำถามของผม

   “ผะผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ปกติคุณจะไม่กลับจนกว่าจะถึงตอนเย็นไม่ใช่รึไง”ผมพูดพลางก้มลงหยิบเสื้อกับกางเกงของตัวเองก่อนจะชะงักค้างกลางอากาศชั่วครู่เมื่อรู้สึกว่าสะโพกของตัวเองมีปัญหา คนตรงหน้าเลิกคิ้วหนาได้รูปมองผม

   “ให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”ถ้าเป็นอาการป่วยไม่สบายผมคงจะสนิทใจรับคำช่วยเหลือมากกว่านี้ แต่ทว่านี่ไม่ใช่

   “ไม่ต้อง! ผมจัดการตัวเองได้”ผมยกมือห้ามคนร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ราวกับจงใจเข้าถึง

   “ฉันอยากช่วย เพราะเมื่อคืนฉันคงจะทำเกินไปหน่อย”

   “พะพอหยุดพูดเรื่องนั้นสักที แล้วก็เก็บความใจดีของคุณไว้เถอะ ผมยังไม่อยากได้ตอนนี้”ผมถอยหลังกรูเมื่อฟรานซิสมีทีท่าว่าจะใกล้ผมเข้ามาอีก และเป็นอย่างที่คิด เขาเดินมาประชิดตัวผมอย่างไม่ยี่หระต่อคำพูดใดๆ แล้วใช้วงแขนแข็งแรงช้อนตัวผมขึ้นก่อนจะวางผมลงที่ปลายเตียง

   “กลิ่นนายหลังอาบน้ำหอมจริงๆ”

   “คุณจะทำอะไร ผมเตือนไว้ก่อนะว่าผม!.....”

   “ฉันไม่ทำอะไรนายตอนนี้หรอก หรือว่านายต้องการ ฉันก็ไม่ขัด”ฟรานซิสเชยคางผมขึ้นพร้อมยื่นหน้ามาใกล้ใช้ดวงตาคมกริบนั่นกวาดมองใบหน้าผม ริมฝีปากหยักยกยิ้มที่มุมปากอย่างย่ามใจก่อนจะจูบผมอย่างไม่ลังเล

   “คุณฟรานซิส!”

   “เอาเถอะ ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ถ้าช้าฉันก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะทนได้ไหว”ร่างสูงยืนกอดอกสำรวจตัวผมราวกับมองหาช่องโหว่ ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบสวมเสื้อและกางเกงแทบจะทันที แม้จะขลุกขลักไปบ้างแต่ก็เสร็จเรียบร้อยจนได้

   “ฉันกลัวว่านายจะหิวและคิดว่านายน่าจะยังไม่กลับ ฉันเลยซื้อของมาให้อยู่ด้านล่าง”

   “ขอบคุณ อ้อ! เสื้อตัวนี้ผมจะซักคืนให้ คุณไม่ต้องห่วง” ผมยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้เขาดูก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง แต่ทว่ากลับถูกสวมกอดจากทางด้านหลังตรึงตัวไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว นิ้วเย็นๆ ของฟรานซิสแตะที่ลำคอของผมก่อนจะกระซิบบอก

   “รอยตรงนี่ บ่งบอกได้ว่านายเป็นของฉันเพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดหรอกนะ”

   “ผมอยากจะต่อว่าเรื่องนี้กับคุณอยู่พอดี ผมจะไม่มีวันให้คุณทำรอยที่คอผมแบบนี้อีกแล้ว”ผมขึงตาดุใส่ฟรานซิสเป็นครั้งแรกอย่างเหลืออด ผมไม่รู้ว่าตัวเองยอมเขาถึงขั้นไหนเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น ผมสับสนไปหมดจริงๆ

   “งั้นหมายความว่า จะเป็นที่อื่นก็ได้งั้นสิ”มือหนาสอดเข้าใต้สาบเสื้อจนผมต้องผละหนี นับวันผู้ชายคนนี้จะอันตรายกว่าที่ผมคิดซะอีกจริงๆ

   “ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนครับ”

   “ฉันจะรอครั้งหน้า”

   “คุณมันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ด้วย”

   “นี่นายโกรธฉันเรื่องอะไร”

   “คุณอย่ามาทำหน้าตาย รู้อยู่เต็มอก”

   “อ้อ…..โกรธที่ฉันกอดนายแรงไป หรือว่า.....”

   “คุณฟรานซิส หยุดพูดเรื่องลามกเหมือนเป็นเรื่องปกติจะได้มั้ย”ผมเอามืออุดหูตัวเองทั้งอายทั้งโกรธ จิตนาการไปถึงไหนต่อถึงไหน

   “จะอายทำไมในเมื่อร่างกายนายไม่มีส่วนไหนที่ฉันไม่สัมผัส”ฟรานซิสยังคงพูดเรื่อย ราวกับเขาภูมิใจนักหนา

   “เชิญคุณพูดเรื่องพวกนี้ไปคนเดียวเถอะผมไม่ทนฟังอีกแล้ว”ผมหันหลังให้ฟรานซิสตั้งท่าเดินกลับสมความตั้งใจแต่ต้องมาเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาสร้างความอับอายให้ผมเป็นอย่างมาก ผมได้ยินเสียงฟรานซิสหัวเราะหงึกๆ ในลำคอแต่ถึงอยากจะหันไปต่อว่าแต่หน้าผมไม่ได้หนาจนถึงสิบชั้นนี่สิ

   น่าโมโหตัวเองชะมัด นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นไปแล้วใช่มั้ย!




   ภายในห้องนอนสี่เหลียมแคบๆ ที่ไม่มีอะไรดึงดูดให้หน้านอน ผมกำลังเดินวกไปวนมานับจำนวนรอบแทบไม่ได้ในมือกำโทรศัพท์ตัวเองไว้แน่น ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นมากับเล็บตัวเองอย่างวิตกกังวน พลันเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมก้มหน้างุดมองสายที่โทรเข้าค่อนข้างเป็นกังวน ไม่มีชื่อไหนที่ผมรู้สึกหนักใจเท่ากับ‘อากง’อีกแล้ว

   ก่อนหน้านี้ 10 นาทีก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากได้แก่เฉินหลังจากตื่นนอนและกำลังจะออกไปหาอะไรกิน แต่พอเห็นมันโทรมาคิดว่าผมจะกินอะไรลงหรือเปล่าล่ะ คำคอบคือไม่ มันโทรมาจิกผมเรื่องของฟรานซิส และบังคับให้ผมเป็นฝ่ายติดต่อมันซะบ้าง รายงานความเคลื่อนไหวของฟรานซิสให้มันรู้เท่าที่จะทำได้ และมันยังเร่งเรื่องข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัทของฟรานซิสให้ผมหามาให้ได้อีก แต่เรายังคุยกันไม่ทันจะเสร็จ อีกฝ่ายก็บอกให้ผมวางสายและรอมันโทรกลับอีกทีภายใน 10 นาทีเพราะมีเรื่องด่วนเข้า
 
   และเมื่อถึงเวลามันก็โทรเข้ามาจริงๆ เวลาไม่ขาดไม่เกินหรือให้ผมต้องรอนาน จริงๆ ผมแทบไม่อยากจะรอซะด้วยซ้ำแต่มันเป็นการบังคับที่หาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “ว่าไง”ผมทักไปยังปลายสาย

   “[ปากกาที่ให้มึงไปยังอยู่ใช่มั้ย]”

   “ยังอยู่”น้ำเสียงห้วนๆ ของผมแสดงความไม่เต็มใจที่จะตอบสักเท่าไหร่

   “[ดี เอามันไปเก็บไว้ในที่ๆ จะสามารถล้วงความลับมันมาได้ อย่าให้ผิดสังเกต]”

   “เออ เข้าใจแล้ว”

   “[อย่าทำให้กูผิดหวังก็แล้วกัน กูคิดว่ามึงต้องทำได้อย่างที่กูต้องการ อย่าลืมว่าทุกฝีก้าวถูกจับตามอง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ก็แล้วกัน]”

   “กูมีเรื่องอยากจะถาม....”ผมใช้ความกล้าทั้งหมดเอ่ยปากออกไป มีเรื่องมากมายที่ผมไม่เคยได้กระจ่างใจเสียที

   “[ว่ามา ถ้าตอบได้กูจะตอบให้]”

   “ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้กับฟรานซิส มึงต้องการอะไรจากเขากันแน่”

   “[ถ้าอยากจะรู้จริงๆ ล่ะก็กูจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน เผื่อมึงจะได้นอนหลับฝันดี]”ไอ้แก่เฉินหัวเราะลั่นอย่างตลกขบขัน แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันตลกเลยสักนิด และที่มันบอกว่าจะเอาบุญ คนอย่างมันเชื่อเรื่องบุญงั้นเหรอ ผมอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้ามันซะจริงๆ สาบาน

   “[…..มึงฟังให้ดีนะ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีการแข่งขัน การล้มคู่แข่งก็ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งทางธุรกิจ และบังเอิญคู่แข่งที่กูชังน้ำหน้าที่สุดก็คือไอ้เด็กอมมือนั่น กูจะทำยังไงล่ะในเมื่อนับวันมันยิ่งขวางหูขวางตา ท่าทางอวดอำนาจหยิ่งยโสนั่นทำให้กูอยากจะกำจัดให้มันไปให้พ้นๆ ทาง]”เสียงกัดฟันกรอดของอีกฝ่ายทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง

   “[ฟังไว้นะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยหรู ทางลัดของการเข้าถึงจุดมุ่งหมายมันมีไว้สำหรับคนฉลาด วิธีการคือสิ่งสำคัญและกูก็มีวิธีการของกูที่จะตัดแข้งโค่นขามันให้ไปไหนไม่รอด ฮึ! ไม่ฆ่าให้ตายก็แค่บีบให้ทรมานจนตายช้าๆ ไปเอง]”

   ตัวผมสั่นยะเยือกกับความคิดที่มันมืดดำเสียจนหาหนทางสว่างไม่เจอของไอ้แก่เฉิน

   “แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ฟรานซิสโดนทำร้าย.....”

   หน้าผมซีดเผือดแม้จะรู้คำตอบอยู่เต็มอก

   “[มึงก็ฉลาดนี่ กูยังไม่ได้ชื่นชมมึงสินะ นั่นเป็นผลงานของมึงนิ กูยกความดีความชอบให้ก็แล้วกันที่บอกเรื่องการไปประชุมกับไอ้พวกคณะกรรมการเศษหุ้นบริษัทลูกให้ สะใจดีว่ะที่เห็นความวอดวายของมันทีละนิด งานใหญ่ของมันจะได้ยืดเยื้อและมีเวลาเหลือพอให้กูได้ทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ฮึๆ!]”

   “มึงมันสกปรกนี่หว่า!”ผมอดรนทนข่มอารมณ์ในตอนนี้ของตัวเองไม่ไหวจึงเผลอพลั้งปากพูดออกไปด้วยความโมโห ทั้งโกรธตัวเองและเจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   “[สกปรก! ฮ่าๆ มึงนี่ตลก]”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะแต่ยังเค้นกลั้วหัวเราะออกมาทำผมกำหมัดจนแน่นราวกับหาที่ระบาย“[…..มึงโดนไอ้บ้านั่นเป่าหูอะไรมากูไม่รู้ แต่กูขอบอกมึงไว้สักเรื่องก็แล้วกัน ว่ามันก็ไม่ได้ต่างไปจากกูสักเท่าไหร่ ถ้ามึงอยากถูกภาพลักษณ์ขาวสะอาดนั่นหลอกกูก็ขอเตือนไว้ไอ้ลูกหมา]”

   “มึงหมายความว่าไงไอ้แก่! มองคนอื่นเป็นแบบเดียวกับมึงไปหมดแล้วรึไง แต่กูว่าถึงคนอื่นจะชั่วจะเลวแค่ไหนก็คงไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นขนของมึงเลยมั้ง ไปตายซะ!”

   ติ๊ด!

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดโมโหแล้วทำอะไรไม่ได้เท่านี้มาก่อน ความรู้สึกคับแค้นในอกกัดกร่อนกินใจผมไปที่ละนิดจนแทบจะไม่เหลือ และยิ่งเป็นเรื่องของฟรานซิสที่ไอ้แก่เฉินพูด มันอาจจะเป็นความจริงที่เป็นไปได้แต่ผมกลับหัวฟัดหัวเหวี่ยงโกรธแค้นแทนอีกคนเอาเองเสียดื้อๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับความจริง แค่ความรู้สึกผมมันตีรวนไปเอง

   เมื่อไหร่เรื่องแบบนี้มันจะจบสิ้นสักทีวะ!




   “อีกนานมั้ยวะกว่าจะถึงบ้านมัน”

   “อีกสองโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้ว ไหนมึงบอกอยากจะมาเป็นเพื่อนกูไง แต่ไหงมึงบ่นจังวะ”

   “ก็มันเมื่อยตูดแล้วนี่หว่า”

   “เออๆ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

   ผมชะโงกหน้ามองออกมาจากรั้วสองแถวที่กำลังแล่นอยู่บนถนนในหมู่บ้านซึ่งค่อนข้างมีรถสวนทางมาน้อย และแถวนี้ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ไปไหนมาไหนค่อนข้างลำบาก ที่นี่ไม่ได้เป็นถนนสายหลักที่มีรถโดยสารผ่านไปมาตลอดวัน จะมีเป็นช่วงเวลาเท่านั้น ตอนนี้ผมกับไอ้บัสสองคนกำลังนั่งรถสองแถวเพื่อจะมาที่บ้านของไอ้โชค ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าผมมาทำไม ในเมื่อผมอยากจะตามตัวมันการอยู่เฉยๆ คงไม่ได้โชคดีเจอมันเหมือนครั้งก่อนที่ร้านอาหารแน่ๆ

   ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะจริงจังตามหาตัวไอ้โชคให้ได้ มันหนี....ผมก็ตามจนสุดกำลัง

   ปี๊น!

   ผมเอื้อมมือขึ้นกดปุ่มให้สัญญาณหยุดรถแก่คนขับด้านหน้า รถค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดลง ผมจึงเดินไปจ่ายตังค์ก่อนที่รถจะแล่นออกไป ผมมองไปรอบๆ ค่อนข้างคุ้นเคย แต่เมื่อไม่ได้มาหลายปีทุกอย่างมันก็มีเปลี่ยนไปบ้าง

   “ตรงนั้นบ้านไอ้เอก”ผมชี้นิ้วไปที่บ้านเดี่ยว 1 ชั้นที่มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้าง บอกกับไอ้บัส ซึ่งคราวก่อนไอ้เอกก็เป็นคนบอกข่าวเรื่องไอ้โชคให้ไอ้บัสรู้

   “อ้อ งั้นเราไปบ้านไอ้เอกก่อนมั้ย เผื่อมันอยู่บ้านเพราะช่วงนี้มันก็น่าจะปิดคอร์สแล้วเหมือนกัน”ไอ้บัสเสนอก่อนจะเดินนำผมไปโดยไม่ถามความคิดเห็น

   “ไอ้บัส เดี๋ยวสิวะ”ผมเลยต้องวิ่งตามหลังมันไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพอไปถึงหน้าบ้านไอ้บัสก็ตะโกนเรียกเจ้าของบ้านซะเสียงดังจนผมต้องเข้าไปเปิดกะโหลกมันเบาๆ

   “มึงจะตบหัวกูเพื่อ”

   “เชี่ย เสียงดังชิบหายเดี๋ยวใครก็หาว่าคนบ้าที่ไหนมาโวยวาย”

   “กูไม่สน ถ้าไม่รีบกูได้ติดอยู่ในหมู่บ้านนี้แน่ๆ กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องรีบๆ หาข่าวแล้วกลับสิวะ”ผมปล่อยให้ไอ้บัสทำตามใจเพราะเห็นด้วย จนกระทั่งมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้วตะโกนถามมาทางผม

   “มาหาใครจ๊ะ?”

   “เอ่อ มาหาเอกครับ เอกอยู่มั้ยครับ พวกเราเป็นเพื่อนเอกจากมหาลัยครับ”

   “งั้นรอเดี๋ยวนะ ป้าจะไปตามมาให้”แล้วหญิงวัยกลางคนก็ผลุบเข้าบ้านตัวเองไป จนผ่านไปไม่นานร่างสูงๆ หุ่นเหมือนนักบาสเก็ตบอลที่ใส่กางเกงบอลกับเสื้อยืดสบายๆ ก็เดินออกมา ไอ้เอกหรี่ตามองมาทางพวกเราอย่างสงสัยก่อนผมจะโบกมือแล้วเรียกชื่อมันออกมา

   “ไอ้เอกกูเอง! ธันไง”

   “อ้อไอ้ธันเพื่อนไอ้โชคใช่ป่าว”ผมอยากจะตะโกนบอกกลับไปว่า กูไม่ใช่เพื่อนมันอีกแล้ว แต่ติดตรงที่ไม่ได้สนิทพอจะตอบไปแบบนั้น

   “อืม”

   “เข้ามาข้างในก่อน”มันเปิดประตูรั้วเหล็กตาข่ายให้ผมกับไอ้โชคเข้ามาแล้วพาไปนั่งที่ศาลาใต้ร่มไม้หน้าบ้านใกล้ๆ ก่อนผู้หญิงวันกลางคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ไอ้โชคจะยกน้ำกับขนมมาให้บริการซะเต็มที่จนผมเกรงใจ ทั้งๆ ที่มารบกวนบ้านเขาแท้ๆ

   “ไอ้เอก นี่ไอ้บัสเพื่อนกูในคณะ”ผมแนะนำ

   “กูคนที่ขอเบอร์มึงครั้งก่อนจำได้ป่ะ”ไอ้บัสชี้หน้าตัวเองถามทวนความจำไอ้เอก

   “เออๆ กูจำได้ แล้วตกลงมีธุระอะไรกันวะ ถึงมาไกลกันขนาดนี้”

   “กูมีเรื่องอยากจะมาถามหน่อยว่ะ เรื่องไอ้โชค”

   ในที่สุดผมก็เริ่มเปิดประเด็น ผมบอกไอ้เอกว่ามาหาไอ้โชคแต่มันไม่อยู่บ้านไม่รู้ว่าหายไปไหน มันไม่ยอมติดต่อใครเลยและไม่รู้ว่าจะไปหามันได้ที่ไหนดี แต่ผมไม่ได้บอกปัญหาของผมกับไอ้โชคให้ไอ้เอกฟัง จากที่ฟังไอ้เอกเล่ามันก็เท้าความถึงตอนที่มันเห็นไอ้โชคแบกกระเป๋าออกจากบ้านตอนนั้นและก็ไม่เห็นวี่แววว่ามันจะกลับบ้านมาเลย แต่ด้วยความที่บ้านไอ้เอกกับบ้านโชคเป็นเพื่อนบ้านละแวกเดียวกัน แม่ของไอ้โชคเลยเคยมาคุยเรื่องไอ้โชคที่บ้านมันอยู่บ่อยครั้ง

   จากที่ได้ยินมา แม่ของไอ้โชคก็เล่าว่าไอ้โชคมันตัดสินใจลาออกเพราะบอกว่าไม่ชอบคณะที่เรียนและอยากไปหาประสบการณ์ แม่มันก็เสียใจหนักแต่ห้ามไม่อยู่ ไอ้โชคทะเลาะกับแม่มันแล้วก็ออกจากบ้านไปเลย แต่แม่มันบอกว่าไอ้โชคก็น่าจะไปขออาศัยอยู่กับอาที่ในกรุงเทพฯ ย่านการค้าแห่งหนึ่ง ผมปะติดปะต่อเรื่องราวก็พอรู้ว่าไอ้โชคปกปิดเรื่องของมันเอาไว้แล้วแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกแม่มัน

   ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แม้กระทั่งคนในครอบครัวของมันเองก็ยังโดนมันหลอก นับประสาอะไรกับผม

   “แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหามันเจอได้ไงวะ”ไอ้บัสกุมขมับหน้าตึง

   “แต่กูว่ามันน่าจะมีเรื่องว่ะ และเรื่องนึงที่กูสงสัย”ไอ้เอกทำหน้าครุ่นคิดหยิบน้ำในแก้วขึ้นมาจิบ

   “เรื่องอะไรวะ?”

   “ก็เรื่องที่กูเคยเห็นมันอยู่กับรุ่นพี่คณะมึงที่ชื่อพี่ต้นกับพี่นนท์กลางค่ำกลางคืนแถวหลังมอ”

   “ไอ้เชี่ยต้นกับไอ้สัสนนท์อ่านะ”ผมอุทานออกมาเรียกคำนำหน้าอย่างไม่ให้เกียรติ แต่ในคณะใครๆ ก็รู้ว่าไอ้สองตัวนั้นมันน่าคบซะที่ไหนผีพนันทั้งนั้น ใครข้องแวะด้วยก็มีแต่ลงเหว

   “เชี่ย! ไอ้ธัน แม่งรึว่าไอ้โชคมัน.....”ไอ้บัสเว้นประโยคหันมามองหน้าผมอย่างสยอง

   “ไม่ๆ กูว่าไม่น่าใช่อาจบังเอิญ เพราะกูไม่เคยเห็นว่ามันไปสนิทกับไอ้สองตัวนั้นตอนอยู่ต่อหน้ากูเลย”

   “มึงจะรู้ได้ไง ลับหลังมึงมันอาจจะทำอะไรที่มึงไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ มึงยังจะเชื่ออีกเหรอว่ามันจะเป็นคนดี....”ไอ้บัสถึงกับขึ้นแต่ผมก็รีบอุดปากมันไว้ทันเพื่อไม่ให้มันพูดมากไปกว่านี้

   “เออๆ กูรู้แล้ว!”ผมขยิบตาส่งซิกให้ไอ้บัสว่ามันไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ เพราะถ้าที่บ้านนี้รู้ ไม่นานก็คงรู้เรื่องชั่วๆ ถึงแม่ไอ้โชคแน่ๆ และผมก็ไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย

   “ตกลงพวกมึงสองคนมีเรื่องอะไรกับไอ้โชคกันแน่วะ”ไอ้เอกถามอย่างสงสัย

   “ไม่มี ก็ตามที่บอกมันหายไปพวกกูเลยมาตามหา แล้วก็เป็นห่วงมันเรื่องเรียนแล้วลาออกนี่แหละ”

   ไอ้เอกพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ มันอาจจะสงสัยคาใจหลายอย่าง แต่คงเพราะมันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่มันควรจะมาวุ่นวายเลยไม่มีคำถามใดๆ ให้ผมต้องตอบอีก หลังจากคุยกันเสร็จกับไอ้เอก ผมก็ขอลามันกลับรวมทั้งไปไหว้ของคุณแม่ไอ้เอกเรื่องน้ำกับขนม ผมกับไอ้บาสเดินเท้ามาประมาณ 200 เมตรมารอรถริมถนนที่ศาลาเก่าๆ ริมทาง ซึ่งไอ้เอกบอกว่าอาจจะเจอเที่ยวสุดท้ายถ้าโชคดี

   “ไอ้เชี่ยธัน มึงว่าพวกเราจะโชคดีหรือร้ายวะ”ไอ้บัสยืนเกาตูดยิกๆ ชะเง้อมองทาง ส่วนผมก็นั่งรอรถมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
   
   “กูไม่รู้ว่ะ”

   “มึงพูดได้ไงว่าไม่รู้กูไม่นอนนะเว้ยแถวนี้ เดี่ยวมีผีมาหลอก”

   “ผีเผอบ้านมึงสิ พูดอะไรเกรงใจป่าข้างหลังกูด้วย”ผมหันไปมองป่าเขียวชอุ่มรกทึบด้วยสายตาวอกแวก

   “แล้วทำไมมึงไม่เอ่ยปากขอให้ไอ้เอกไปส่งตั้งแต่แรกวะป่านนี้ก็ไม่ต้อมานั่งรอรถนานแบบนี้”

   “กูเกรงใจ มึงก็เห็นว่าแม่มันอยู่คนเดียว จะให้มันหอบแม่มันติดรถมาส่งพวกเรางั้นเหรอวะไกลก็ไกล กูทำไม่ได้ว่ะไหนๆ มันก็บอกแล้วว่าถ้าโชคดีก็เจอรถเที่ยวสุดท้าย”

   “เออๆ เพราะความเกรงใจของมึง งั้นก็ต้องรอ รอ และรอ”ไอ้บัสพูดเชิงประชดแล้วมานั่งแหมะลงข้างๆ ผมก่อนจะถอนหายใจยาวเป็นกิโล

   “เดี๋ยวรถก็มา”ผมพูดเสียงอ่อยนั่งกอดกระเป๋าด้วยความเหนื่อย

   “แล้วตกลงมึงจะเอายังไงเรื่องไอ้โชค”

   “กูจะลองไปถามไอ้ต้นกับไอ้นนท์ดู ถ้ามันจริงกูอาจจะพอเดาได้ว่ามันเอาเงินไปทำอะไร แล้วทำไมต้องทำเรื่องเชี่ยๆ กับกู”

   “มึงก็รู้ว่าที่อยู่ของสองตัวนั่นมีแต่พวกขี้ยาผีพนัน มึงจะไปตามยังไง ในมหาลัยตอนนี้ก็ไม่มีทางเจอเพราะนี่ก็ทยอยปิดกันไปหมดแล้ว”

   “ก็ยากอะไร มันอยู่ที่ไหนกูก็ตามไปถามที่นั่น”

   “มึงพูดนี่ไม่ห่วงสวัสดิภาพชีวิตมึงเลยนะ”

   “กูไม่มีอะไรจะห่วงแล้ว”สายตาของผมทอดมองออกไปอย่างเหมอเลย แล้วก็ตอบไอ้บัสไปอย่างใจคิด ก็แน่ล่ะชีวิตผมตอนนี้มันเหมือนแขวนอยู่บนเส้นได้ที่ร้อยต่อกับอีกหลายๆ ชีวิต

   “เห้อ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ใช่มั้ยวะ! อย่าเพิ่งท้อก็แล้วกัน”ไอ้บัสเอื้อมือมากอดคอผมอย่างให้กำลังใจแล้วตบบ่าสองสามที ผมยิ้มบางๆ หันไปมองหน้ามันก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองนาฬิกา

   “กูว่าวันนี้คงกลับไม่ทันรถแล้วว่ะ คงต้องหาที่นอนแถวๆ นี้”

   “ไอ้เชี่ยธัน! มึงอย่ามาล้อกูเล่น”

   “กูไม่ได้ล้อเล่น กูจะไปยืนโบกรถชาวบ้านแถวนี้ไปลงที่แถวๆ วัดที่พอจะนอนได้แล้วกันตอนเช้าค่อยกลับ”

   “มึงฆ่ากูซะตรงนี้เถอะไอ้ธัน!”

   สรุปแล้วคืนนี้ผมกับไอ้บัสไม่สามารถกลับบ้านได้ ผมโบกรถชาวบ้านแถวนี้อย่างที่พูดแล้วก็โชคดีตรงที่ว่าผมไม่ต้องพาไอ้บัสไปนอนวัด เพราะลุงชื่นคนที่ผมติดรถมาด้วยแกบอกว่าคืนนี้ให้ไปนอนที่บ้านแกก็ได้ แล้วตอนเช้าก่อนแกจะเข้าส่วนจะออกไปส่งที่ท่ารถให้ ไอ้บัสถึงกับเป็นปลื้มกินข้าวบ้านลุงแกได้ไปหลายชาม จนลุงชื่นแกถึงกับชมว่ากินเก่งตัวใหญ่ เหมือนไอ้บุญเกิดที่แกเลี้ยงไม่มีผิด คิดเอาเถิดว่าไอ้บุญเกิดคือใครไอ้บัสถึงกับยิ้มข้าวร่วงจากปาก

   และก่อนที่ผมจะนอนเพราะลุงชื่นแกนอนไวตั้งแต่ 2 ทุ่ม พวกเราเลยต้องรีบเข้านอนด้วย จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมว่าสัญญาณมันไม่ค่อยดีเลยปิดเครื่องไป แต่พอมาที่บ้านลุงชื่นสัญญาณก็กลับมา แต่บางทีก็ขาดๆ หายๆ บ้างตามประสา ผมเลยต้องขอตัวออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอน แต่ไอ้บัสก็ขอตามมาด้วยเพราะบอกว่าไม่อยากนอนมองตากับลุงชื่นแกสองคนในห้อง

   “ฮัลโหล”ผมเอามือป้องเสียงตัวเองหันหลังให้ไอ้บัสที่ยืนรอขณะรับสาย

   “[ทำไมถึงปิดเครื่อง ฉันโทรหานายหลายครั้งมาก]”เสียงเย็นเยือกของคนพูดทำให้ผมถึงกับหนาวไปด้วย

   “พอดีโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยปิดเครื่อง ตอนนี้ผมออกมาต่างจังหวัด จริงๆ แล้วผมเขียนโน๊ตติดไว้ที่ตู้เย็นเมื่อตอนเช้าแล้วตอนผมเข้าไปทำความสะอาด คุณคงไม่ได้อ่านว่าผมจะไม่เข้าไปตอนเย็น”ผมอธิบายเป็นฉากๆ เพื่อไม่ให้ฟรานซิสที่ดูเอาเรื่องมาหาเรื่องผมได้

   “[แต่นายไม่ได้เขียวไว้ว่าจะอยู่จนค่ำมืด]”นั่นแสดงว่าเขาอ่านมันแล้วสินะ

   “ผมตั้งใจจะกลับ แต่ว่ารถมันหมดซะก่อนผมเลยต้องค้างแถวนี้ แล้วจะกลับตอนเช้า”ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาอธิบานอะไรที่มันดูยาวยืดให้เขาฟังด้วย

   “[ค้างกับใคร]”

   “กับไอ้บัสสองคน”

   “[บอกมาว่าอยู่ที่ไหน ฉันจะให้คนเอารถไปรับ]”เสียงเย็นเยียบเมื่อครูแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้อนใจซะแทน

   “คุณฟรานซิส นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ แถวปากซอย คุณถึงจะทำแบบนั้นได้”ผมโผล่งออกไปเสียงดังประมาณหนึ่งจนไอ้บัสเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสะกิดถามประมาณว่าใคร และมีอะไร ผมโบกมือให้มันหลบไปอย่างรำคาญ

   “[ก็ไม่ใกล้ฉันถึงยิ่งต้องให้คนไปรับกลับ บอกที่อยู่มาว่าที่ไหนธัน]”

   “ผมจะกลับพร้อมไอ้บัสพรุ่งนี้เช้าครับ”

   “[ไม่ได้]”

   “คุณฟรานซิส ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ และที่สำคัญคุณกลัวว่าผมจะหนีงานรึไง”ผมถึงกับกุมขมับกับผู้ใหญ่เอาแต่ใจ

   “[ฉันไม่ได้กลัวเรื่องไร้สาระพวกนั้น  แต่ฉันเป็นห่วง]”น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฟังดูจริงจังถึงกับทำผมค้างไปสามวิก่อนจะตามมาด้วยอาการหน้าแดงแข่งกับลูกตำลึงสุกข้างบ้านลุงชื่น

   “เอาเป็นว่า ผมจะกลับเองพรุ่งนี้แล้วกันแล้วจะเข้าไปตอนเที่ยง แค่นี้ก่อนนะครับ”ผมรีบกดตัดสายทิ้งเพราะกลัวจะถูกจู่โจมด้วยประโยคไม่คุ้นหูแบบนั้นอีก

   เป็นห่วงงั้นเหรอ.....เขาจะมาเป็นห่วงอะไรกับคนอย่างผมล่ะ
 
   “ไอ้ธัน มึงคุยกับใครวะ แล้วทำไมต้องทำท่าอย่างกับมีความลับ”ไอ้บัสเท้าสะเอวจ้องหน้าผมอย่างอยากรู้

   “ไม่มีเว้ย!”ผมโวยเตรียมตัวเดินหนี

   “ไม่มีอะไร หรือว่ามีแฟนแล้วไม่บอกกูวะ ดูดิ๊หน้าแดงขนาดนี้ไม่เขินก็เมา แต่กูว่าอย่าแรกมากกว่า”

   “อย่ามาทำรู้มากกูไม่มีฟงมีแฟนอะไรทั้งนั้น กูจะเอาเวลาไหนไปมีวะ”ผมเถียงมันกลับ มันก็ทำท่าคิดหนักไปครู่หนึ่ง

   “เออใช่วะ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นผู้ชายมาดแมนแสนแฮนซั่มกาย อย่างเจ้านายของมึงวะ”

   “อะไรมึง อะไร!”

   “นั่นไงกูว่าแล้ว!”ไอ้บัสตบขาดังฉาด“กูคิดไม่ผิดว่าระหว่างมึงกับเจ้านายมึงต้องมีอะไรแน่นอน ไม่งั้นไม่มีเจ้านายคนไหนมานั่งหัวโด่ยอมเล่นเกมส์บ้าๆ ของไอ้จูนต่อหน้าพวกกูหรอก”

   “มึงคิดไปเองป่ะเนี้ย สมงสมองยังดีมั้ย”

   “เชี่ย! อย่ามาเฉ มึงปิดคนอื่นได้แต่ปิดกูไม่มิดหรอก หน้ามึงตอนนี้ก็ตีแผ่เรื่องจริงไปครึ่งเรื่องแล้วอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”ไอ้บัสชี้นิ้วดันหน้าผากผมจนจะหงายหลัง ก่อนมันจะเปิดตูดเดินเข้าบ้านไปแล้วผมก็ต้องวิ่งตามมันไปติดๆ

   หน้าผมมันฟองขนาดนั้นรึไง แต่มันก็เรื่องจริงที่ผมกับฟรานซิสมีสัมพันธ์ทางกายแต่เรื่องทางใจมันยังไม่ชัดเจน หรือคนที่ไม่ชัดเจนจะเป็นผมเอง

   แต่ตอนนี้ใช่เวลามาคิดเรื่องตัวเองมั้ยไอ้ธัน!




>>> to be continued


*******************************************

กลับมาแล้วหลังจากหายไปหลายวัน :m23:
เนื่องจากมีภารกิจด่วน ตั้งแต่นี้ก็จะมาอัพตามปกติได้แล้วค่ะ :a1:
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามนะคะ

 o18 o18



หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 23-08-2016 13:07:35
บ่องตงชอบเรื่องนี้   :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-08-2016 13:40:09
บอกตง ไม่ชอบแบบนี้เลยอ่ะ

ถ้าฟรานซิสรู้นะ ตายแน่ๆเชียว  :ling3:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-08-2016 00:16:18
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-08-2016 09:15:14
ทำไมฟรานซิสไม่ช่วยอ่า หรือว่าไม่รู้จริงๆ หรือรอนายเอกเอ่ยปากขอร้อง  :mew2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 14 UP DATE 22/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-08-2016 09:29:53
เราว่าฟรานซิสน่าจะรู้เรื่องแล้วแต่รอให้นายเอกของเราเอ่ยปากเล่าเรื่องอยู่มั้งนะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 24-08-2016 19:53:20



15




   ผมแยกกับไอบัสทันทีที่มาถึง ไอ้บัสบ่นตลอดทางว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เรียกว่าหลับตาเฉยๆ ซะดีกว่า เพราะเมื่อคืนทันทีที่ผมกับไอ้บัสเข้าไปนอนก็ได้ยินเสียงลุงแกขับเรือหางยาวอยู่ในห้อง เสียงดังกระหึ่มป่ามาก ขอโทษเถอะครับลุงชื่น แต่ผมไม่เคยได้ยินใครกรนเสียงดังเท่านี้มาก่อน สภาพอิดโรยที่ไม่ได้นอนระหว่างผมกับไอ้บัสจึงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ประมาณ 10 โมงเช้า ผมกะจะเข้าบ้านก่อนแต่ก็ขี้เกียจวกกลับมาแถวนี้อีก ผมเลยตรงดิ่งมาที่เพนท์เฮาส์ของฟรานซิสทันทีกะว่าเวลาก่อนเที่ยงจะของีบสักนิดแล้วค่อยลุกขึ้นทำงานต่อ

   กึก!

   ผมเปิดประตูลากขาเข้ามาเต็มที อาการง่วงเข้าสิงเมื่อเจออากาศเย็นๆ เลยเดินพาตัวเองมาโยนสัมภาระลงบนเคาเตอร์ในครัวที่เสมือนสถานที่สิงสถิตประจำของผมก่อนจะเดินลัดเลาะเลียบไปล้มตัวลงนอนที่โซฟากลางใจบ้านซึ่งเป็นที่ประจำของฟรานซิส

   ไม่เป็นไรวันนี้ฟรานซิสไปทำงาน ขอแอบงีบสักเดี๋ยวคงไม่เป็นไรหรอก    

   ซู้ดดด…

   ผมนอนคว่ำหน้าลงเอาหน้าซุกลงกับหมอนอิงใกล้ๆ พอหายใจเข้าปอดเต็มแรงก็ได้กลิ่นน้ำหอมกรุ่นๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฟรานซิสใช้เป็นประจำ มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย

   “อืม....สบายจัง”ผมพึมพำออกมาอย่างสุขใจ และกำลังเดินทางเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างที่ปรารถนา



ฟรานซิส Part

   เสียงกุกกักที่ดังจากด้านล่างทำผมละสายตาไปจากหน้าจออุปกรณ์ทันสมัยที่ใช้เพียงนิ้วสัมผัสก็สามารถติดตามงาน และอ่านเอกสารได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษ ผมจัดการปิดหน้าจอก่อนจะโยนมันลงบนเตียงแล้วพาตัวเองมายังชั้นล้างของเพนท์เฮาส์

   ระหว่างที่ผมกำลังเดินลงจากบันใด สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับชายหนุ่มใบหน้าได้รูปดวงตากลมโตจมูกเชิดรั้นรับกับเรียวปากอิ่มเดินโซซัดโซเซมีท่าทีผิดแปลกไป ผิวขาวเนียนที่ยามต้องแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างแทบขาวซีดกลับถูกเจ้าของร่างกายขูดเกาตามแนวท่อนแขนจนเป็นรอยผื่นแดงอย่างไม่เสียดาย ผมส่ายหน้าเหนื่อยใจก่อนจะเดินลงไปและเห็นว่าเจ้าตัวหาวหวอดเสียจนจะกินโลกได้ทั้งใบพลันตัวล้มตัวลงนอนคว่ำตรงโซฟากลางบ้าน ที่น้อยครั้งนักที่เขาจะแตะมัน

   “อาการอดหลับอดนอนของนายนี่มันอะไรกัน”ผมเดาว่าเจ้าตัวคงยังไม่ทันจะหลับตา

   “คุณฟรานซิส!”ธันชายหนุ่มที่ผมอยากจะกุมเขาให้อยู่หมัดดีดตัวขึ้นมายืนอย่างกับติดสปริงค์ ผมใช้สายตามองเขาเพื่อให้รับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้และเห็นทุกอย่าง ผมไม่ได้จะเอ็ดว่าเขาแอบใช้โซฟาของผม แต่ผมจะจัดการกับเด็กที่ไม่รู้จักระวังตัวนี่เสียหน่อย และผมมีวิธีของผมอยู่ในใจแล้ว

   “คุณอยู่.....ไม่ได้ไปทำงานเหรอครับ วันนี้มัน.....”ผมมองลงไปในดวงตากลมโตของธันอย่างนึกสนุก ผมไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรนักถึงได้ลนลานขนาดนั้น ผมแค่ขยับตัว เขาก็สะดุ้งแล้ว

   “นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลยว่าอดหลับอดนอนมาจากไหน”ผมเสียงแข็งขึ้นเมื่อคนตรงหน้าทำท่าอึกอักเลี่ยงจะตอบคำถาม และวันนี้ที่ผมยกเลิกการประชุมช่วงเช้า สาเหตุเพราะคนในปกครองที่เลี้ยงยังไม่เชื่องนี่แหละ

   “ปะเปล่า ผมก็แค่เดินทางมาเหนื่อยเลยอยากจะล้มตัวลงเพราะว่ามันเมื่อยสุดๆ”

   “มือ”ผมเอ่ยเสียงเบา บอกคนตรงหน้าให้ยื่นมือมา

   “มือ? คุณหมายถึงอะไร”คิ้วของธันขมวดแทบจะเป็นเครื่องหมายคำถามแปะหราอยู่กลางหน้าฝากของเขา ผมเดาว่าธันคงจะยังไม่เข้าใจความหมายผมเลยย้ำอีกครั้ง

   “ขอมือ”

   ฟึบ!

   “คุณเล่นอะไรเนี้ย!”ผมดึงมือที่เย็นเยียบเข้าหาตัวก่อนจะเค้นเอาคำตอบ ผมรู้ว่าทุกอย่างปกติ ผมแค่อยากทำให้แน่ใจ อะไรจะดีไปกว่าได้ยินคำตอบจากปากคนตรงหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือไม่ให้ผมส่งคนไปรับ เขาควรจะทำอะไรเพื่อไถ่โทษความขุ่นมัวของผมบ้าง

   “บอกฉันมาดีๆ ว่าเมื่อคืนนายไปทำอะไรกับใครบ้าง”ผมขยับวงแขนโอบคนตรงหน้าแน่นขึ้น สีหน้าอึกอักทำให้ผมอยากจะรัดแน่นเข้าไปอีก

   “ปล่อยผมก่อน ผมอึดอัด....ก็บอกแล้วไงว่าผมอยู่กับไอ้บัส ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีทั้งนั้น”ร่างเล็กขยับดิ้นอย่างต่อต้าน

   “จะแน่ใจได้ยังไง กับแค่เดินทางถึงกับทำให้นายง่วงขนาดนี้เชียว”

   “ผม....ผมไม่ได้นอนทั้งคืนทำไมผมจะง่วงไม่ได้”คนตัวเล็กตรงหน้าทำตาขึงดุใส่ผม และเหมือนตัวเขาจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรให้ผมสงสัยเขาจึงรีบหลบตาลงต่ำ ผมยกยิ้มข้างมุมปากไม่ให้เห็นก่อนจะตีหน้าตึงหมุนตัวให้คนหน้าบึ้งหันหลังให้แล้วรวบลงมานั่งในตักแม้ธันจะทำอารยขัดขืนต่อผมก็ตาม แต่แรงสู้เขาน้อยกว่าที่ผมคิด

   “หืม.....มัวทำอะไรถึงได้ไม่นอน”ผมกระซิบลงตรงไหล่มนผ่านลำคอขาว กรอบหน้าที่แดงเรื่อไปจนถึงใบหูทำให้ผมรู้สึกพอใจ

   “จะให้นอนหลับได้ยังไงในเมื่อลุงคนที่ผมกับไอ้บัสไปนอนด้วยกรงเสียงดังขนาดนั้น”ธันหันมาค้อนใส่ผมเสียยกใหญ่ ปากอิ่มนั่นเม้มเข้าหากันแทบเป็นเส้นตรงแสดงความไม่พอใจ แต่ใบหน้าที่แดงเรื่อบวกกับดวงตากลมโตที่หรี่ลงจนคิ้วขมวดชวนให้ผมอยากจะแกล้งคนตรงหน้าให้โกรธขึ้นไปอีก

   “แล้วจะให้ฉันเชื่อที่นายพูดได้ยังไง จริงมั้ย?”

   “หากคุณไม่เชื่อผมจะต่อสายหาไอ้บัสแล้วให้มันพูดกับคุณ”

   “ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเพื่อนของนายไม่ได้กำลังโกหกฉันอยู่”

   “คุณฟรานซิส คุณต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่”

   “งั้น ให้นายบอกฉันสิว่านายกับเพื่อนของนายไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง”ผมเลื่อนมือหนาสอดเข้าใต้ชายเสื้อสัมผัสได้ถึงผิวหน้าท้องของคนในตักที่อุ่นๆ หดเกร็งอย่างรู้สึกได้

   “นี่คุณคิดว่าผมกับไอ้บัส....ผมกับมันเป็นเพื่อนกันนะ! มีแต่คุณเท่านั้นแหละที่คิดอะไรแบบนั้น คุณฟรานซิสปล่อยผมได้แล้ว”ยิ่งดิ้นร่างกายของเขาก็ยิ่งร้อนผ่าว คนตรงหน้ากระวนกระวายเท่าไหร่ผมก็ยิ่งสนุก

   “ถ้าจะให้ฉันเชื่อ ฉันก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาสิว่า ของๆ ฉันไม่มีอะไรบุบสลาย”ผมเน้นประโยคที่ตอกย้ำให้รู้ว่าชีวิตและร่างกายของเขามันเป็นของผมไปแล้ว

   “คุณไม่ใช่ผู้ปกครองของผมนะ!”

   “ใครบอกว่าฉันเป็นผู้ปกครองนายกัน หืม?”คำถามที่ผมกระซิบบอกถึงแก้มเนียนทำให้คนในอ้อมกอดนิ่งไปราวกับกำลังครุ่นคิดก่อนจะโตตอบผมด้วยท่าทีที่ผมคาดการณ์ไม่ถึง

   “โอเค! คุณเป็นเจ้านาย ส่วนผมแค่ลูกจ้าง เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ควรทำกับลูกจ้างแบบนี้”มือเล็กพยายามงัดแงะแกะมือผมออก แต่เขารู้ไหมว่าการกระทำของเขาช่างไร้ประโยชน์ มันยิ่งทำให้ผมนึกสนุกเข้าไปอีก

   “ใครว่าล่ะ ฉันจะเลื่อนตำแหน่งให้นายต่างหาก”

   “ไม่เอา คุณฟรานซิส ผมเรียกชื่อคุณเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วนะ!”

   “ก็เรียกต่อไปสิ ฉันก็ไม่ได้รำคาญอะไร”ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านแต่ทำอะไรไม่ได้กำลังหาทางหนีจากวงแขนของผมอยู่

   “คุณนี่มันช่าง…..อ๊ะ!”

   “ช่างอะไรล่ะ พูดให้จบสิ”มือข้างหนึ่งของผมเลื่อนลงต่ำเข้าสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของคนในอ้อมแขนโดยมีผ้ายืดบางๆ กางกันไว้ และอีกมือก็เลื่อนลูบไล้ขึ้นไปภายใต้เสื้อบางเข้าสัมผัสกับคอขาวก่อนรั้งกรอบหน้าเข้าหาตัวแล้วส่งจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาให้กับธัน เจ้าของร่างกายที่อยู่ภายใต้อาณัติกำลังต่อต้าน แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาจะอ่อนยวบลงเมื่อส่วนล่างถูกผมป่วนจนเผลอหลุดเสียงร้องออกมา ผมกระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ช่างเร้าอารมณ์กำลังเคลิบเคลิ้มจนไม่อยากจะปล่อยให้เลือนหายไป

   ผมส่งจูบเข้าหาริมฝีปากหยักนั่นอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วรั้งริมฝีปากคนตรงหน้าให้เผยออกราวกับสอนวิธีการที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจได้ให้แก่เขา ลิ้นอุ่นๆ ที่ถดร่นหนียิ่งทำให้ผมต้องการที่จะไล้ต้อนด้วยลิ้นอุ่นชื่นอย่างกระหายชัยชนะ

   “อ๊ะ....ผมขอร้องหยุดเถอะครับ”เสียงที่ดูกร้าวก่อนหน้านี้อ่อนยวบเสียงจนแทบไม่มีแรง

   “ให้ฉันหยุด แล้วนายจะทำยังไงปล่อยให้ค้างคาแบบนี้จะดีเหรอ”ผมใช้ดวงตาคมโลมเสียแผ่นหลังเล็กที่กำลังสั่นเกร็ง ผมพูดหยังเชิงราวกับรู้ว่าถ้าผมยังไม่หยุดคนตรงหน้าคงทำมือผมเปื้อนได้แน่นอน

   “ผมอยากจะหยุด”

   “นายกลัวอะไร”ผมดันร่างของคนตรงหน้าให้เปลี่ยนมาเป็นหันหน้าเข้าหา ก่อนจะยื่นมือใหญ่ไปโอบใบหน้าที่ดวงตาช่างหวานหยดย้อย

   “ปะเปล่า แต่ว่าผม.....”ใบหน้าของธันมีความกังวนจนมันล้นเอ่อออกมาก ผมวางมือทั้งสองข้างลงและเอ่ยกับคนตรงหน้าเสียงนุ่มไม่ให้เขารู้สึกเหมือนผมเป็นตัวอันตราย แต่เขาจะคิดเช่นนั้นหรือไม่ผมคงคิดว่าไม่

   “ถ้านายไม่อยากให้ฉันทำต่อ ก็อ้อนฉันสิ แล้วฉันจะปล่อย”

   ผมไม่ได้อยากจะกลั่นแกล้งให้คนตรงหน้ารู้สึกกดดัน แต่ผมจะทำให้เขารู้สึกตัวต่างหากว่านับจากวันนั้น ร่างกายของเขาเป็นสมบัติส่วนตัวของผมอย่างไม่มีเงื่อนไง เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะใช้ร่างกายนี้โดนที่ผมไม่ได้รับอนุญาตคงได้เห็นหายนะในไม่ช้าแน่นอน




ธัน Part

   “จูบฉัน แล้วก็บอกกับฉันว่านายเป็นของฉัน”

   ผม ไอ้ธันคนนี้คงฟังไม่ผิดใช่มั้ยที่ฟรานซิสยื่นข้อเสนอที่แสนน่ากลัวนั่นมาให้ เขาคิดอะไรอยู่ ผมเป็นของเขางั้นเหรอ?
   ถึงจะฟังแล้วใจผมมันเต้นจนแทบบ้าคลั่งก็เถอะ แต่ว่าเล่นให้ผมทำแบบนี้เพื่อแลกกับอิสระครั้งนี้มันไม่มากไปหน่อยรึไง ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้ทำแบบนั้นมันเกินไป

   “ทำไม....ถ้าทำไม่ได้ฉันคงปล่อยนายไปไม่ได้เหมือนกัน”มือหนาเอื้อมขึ้นมาสัมผัสกับเส้นผมเล็กๆ ของผมที่ปรกหน้าอยู่แล้วเกลี่ยมันออก ผมเห็นร้อยยิ้มละมุนของฟรานซิสเพียงครู แต่แล้วมันก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้ผมทำแบบนั้นมันก็เกินไปหน่อย ผมไม่ทำเด็ดขาด!”

   “ฉันก็หวังให้นายพูดแบบนี้เหมือนกัน”สายตาคมกริบที่กวาดมองร่างกายของผม แม้จะมีเสื้อผ้าปกปิดไว้ขนาดไหน แต่เหมือนสายตาคู่นั้นจะมองทะลุปรุโปรงได้ จากอาการกิริยาที่บอกว่าเขาพอใจแค่ไหนที่ได้ยินประโยคปฏิเสธนั้นถึงกับทำผมหัวใจวูบเหมือนหล่นเหว และที่สำคัญผมก็ไม่ได้ใจเย็นกับอารมณ์ชายหนุ่มที่กำลังค้างคานี่ได้นาน มันปวดหนึบชนิดที่อยากเอาออกให้โล่ง

   “กะก็ได้ ผมจะทำ”ผมใช้ฝ่ามือดันแผงอกว้างของคนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงอุณภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าวและเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน ผมหลับตาทำสมาธิอยู่ไม่ถึงสามวินาทีก็ตัดสินใจโน้มหน้าเข้าไปจูบแลกอิสระ

   บอกตามตรงผมไม่เคยรู้สึกเสียศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชายเท่านี้มาก่อน ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่อ?

   และทันทีที่ริมฝีปากของผมสัมผัสริมฝีปากหยักนั่นและกะจะแค่ทำให้มันผ่านๆ ไปแต่ใครจะคิดว่า สุภาษิตโบราณที่เขาว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร จะมาแทงใจผมเอาตอนนี้

   ตัวของผมดิ้นพรากเมื่อถูกมือหนากดรั้งท้ายทอยราวกับไม่ยอมให้ผมผละไปจากการจูบ ผมรู้สึกเหมือนริมฝีปากของตัวเองแทบไหม้เมื่อถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนเห่อปวม และร่างกายผมมันก็ไม่ได้มีแรงมากพอกับการดิ้นรน ความง่วงความเหนื่อย ความต้องการ และอีกหลายๆ อย่างทำผมเบลอไปหมด

   ภายหลังจากที่ฟรานซิสยอมล่าถอยจากจูบออกไปด้วยตัวเอง เขากลับกดแผ่นหลังผมให้ฟุบติดกับร่างแกร่งนั่น มันเหมือนเป็นการกอดธรรมดาแต่ทว่าผมกลับรู้สึกใจเต้นแรงรัวไม่มีหยุด เขาเงียบจนผมไม่กล้าพูดอะไร ผมอยู่ท่านี้นานมากแทบไม่กล้าขยับจนอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าผมหลับคากอดของฟรานซิสไปทั้งแบบนั้นได้ยังไงกัน

   ผมไว้ใจเขาได้เหรอ ผู้ชายที่เอาแต่ใจสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานขนาดนี้?



   ความรู้สึกอิ่มราวกับชาร์ตพลังเต็มที่ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น ร่างกายผมขยับอัตโนมัติและก็พบว่าตัวเองนอนเหยีดยาวอยู่บนที่นอนคุ้นตา ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งก้มลงมองตัวเองสำรวจถี่ถ้วน ความกังวนใจแรกตื่นถูกสลัดทิ้งเมื่อพบว่าทุกอย่างยังดูปกติและรู้สึกปกติ ผมกวาดสายตาไปทั่วห้องของฟรานซิสอย่างมึนงงสงสัยว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

   “ตื่นแล้วงั้นเหรอ”เสียงทุ้มฟังดูนุ่มเดินอวดสัดส่วนได้รู้ของมัดกล้ามเนื้อสุขภาพดีออกมาจากห้องแต่งตัว ท่อนล่างของเขาสวมกางเกงขายาวสีดำสำหรับออกไปทำงานเอาไว้ ดูจากเหตุการณ์เขาน่าจะกำลังแต่งตัว

   “คุณเป็นคนพาผมขึ้นมาเหรอ จริงๆ ให้ผมนอนข้างล่างก็พอแล้ว”ผมขยับตัวลุกจากที่นอน

   “ที่นี่มันสบายกว่า”ฟรานซิสตอบเสียงเรียบมีท่าทีไม่ได้สนใจผมเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องแต่งตัว ผมเผลอแอบลอบมองคนตัวสูง แต่ต้องสะดุดตากับรอยขีดสีแดงที่ตัดกับสีผิวตรงท่อนแขนของเขา ก่อนที่เขาจะสวนเสื้อเชิ้ตทับและติดกระดุม

   “ตรงท่อนแขนของคุณไปโดนอะไรมา”ผมถามออกไปอย่างใครรู้ แต่ทำทีไม่สนใจพลางจัดที่นอนให้เจ้าของเตียงไว้ให้เรียบร้อย

   “ตรงนี้น่ะเหรอ”ผมหันไปมองตามที่เข้าย้ำถาม ผมพยักหน้าเบาๆ มองฟรานซิสที่ละทิ้งความสนใจในการแต่งตัวก้าวมาหาผมโดยยกยิ้มตรงมุมปากเหมือนเรื่องที่ถามทำให้เขาอารมณ์ดีนัก

   ผมไม่ชอบตอนที่ฟรานซิสยิ้มแบบนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเขาดูขี้แหร่ แต่มันน่ากลัวเสียมากกว่า

   “ฮึ! ลองดูที่มือของนายดีๆ ว่ามันพอดีกับรอยตรงนี้รึเปล่า”ฟรานซิสปลดเสื้อออกข้างหนึ่งแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมให้ลองทาบดู มันพอดีกับขนาดมือของผมอย่างไม่น่าเชื่อ และพอผมมองดูใกล้ๆ รอยแดงที่เห็นกลับเหมือนรอยข่วนจิกของเล็บชัดเจน

   พลันความจำของผมก็หวนคืนมาเสียตูมใหญ่ หน้าของผมถึงกับถอดสีรีบชักมือกลับจากท่อนแขนของคนตรงหน้า ละล่ำละลักไม่เป็นคำพูด

        “จำได้รึยัง หืม?”

   “ผม.....ผมจำได้ว่ามีธุระ”

   หมับ!

   “ก่อนจะไปก็บอกมาก่อนสิว่านายจำได้หรือไม่ได้กันแน่ แบบนี้ฉันก็ค้างคาแย่”ฟรานซิสคว้าแขนผมไว้   ทำไมเขาถึงอยากรู้คำตอบขนาดนั้น ท่าทีของผมมันยังไม่ชัดเจนพอรึไงกัน!

   “โอเค ผมจำได้ รอยนั่นผมทำมันเอง พอใจรึยังครับ!”ผมตอบคำถามอย่างประชดประชัน ก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องแทบจะทันที สีหน้าของฟรานซิสดูจะพึงพอใจกับคำตอบของผมซะเหลือเกิน

ให้ตายสิ ผมจะประสาทพร้อมกับโรงหัวใจวายเพราะฟรานซิสใช่มั้ย!





>>>>>to be continued  :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-08-2016 20:52:43
 :o8:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 25-08-2016 09:13:12
 :impress2: :o8:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 25-08-2016 13:56:41
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 27-08-2016 15:13:18
 o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 15 UP DATE 24/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2016 23:58:11
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 16 UP DATE 28/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 28-08-2016 16:22:57


16





   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 18.50 นาที ผมเพิ่งจะลงรถและกำลังเดินเข้าซอยเพื่อกลับเข้าหอ บรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มมืดจนมองไม่ค่อยเห็นทาง เสาไฟที่อยู่ข้างทางก็ไม่ได้ช่วยสักเท่าไหร่ บางดวงติด บางดวงดับ บางดวงก็ติดๆ ดับๆ จนเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เหมือนอยู่ในผับร้างที่มีไฟสีเดียว ข้างๆ ก็เป็นป่าหญ้าสูงเทียมอกถักไปอีกนิดก็เป็นพื้นที่ก่อสร้างที่หยุดชะงักกลางคัน ที่ผมเคยไปสัมผัสตอนที่พวกไอ้แก่เฉินสั่งลูกน้องให้ลากผมไปเคลียร์

   ระหว่างที่ผมเดินเข้าซอยไป มองนั่นมองนี่พลันสายตาของผมก็ชะเง้อมองเห็นอะไรบางอย่างที่มันผิดปกติไป แสงไฟสีแดงสว่างฉายขึ้นตัดกับสีท้องฟ้ามีเสียงปะทุดังเหมือนสะเก็ดไฟทำใจผมตกวูบ เพียงระยะเวลาไม่นานเสียงหวอของอาสากู้ภัยก็ดังขึ้นตามหลังผมมาพร้อมรถดับเพลิงคันใหญ่ให้สัญญาณขอทาง ผมจึงเร่งเท้าจากเดินเป็นวิ่งสุดชีวิตไปยังที่เกิดเหตุด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

   ภาพที่ผมเห็นข้างหน้าคือหอพักที่มีเปลวไฟจากชั้นสองสว่างโรจน์พร้อมเขม่าควันสีดำพวยพุ่งออกมารุนแรง ผู้คนที่พักอยู่ด้านในกำลังวิ่งกรูกันออกมา บางคนก็ยืนขวัญหนีดีฝ่อกอดร่างกันกลมแน่น บางคนก็กดโทรศัพท์โทรหากันให้วุ่นวาย ส่วนผมที่วิ่งมาขาแทบหลุดก็ทรุดลงนั่งกับพื้นหน้าถอดสีมือไม้อ่อนจนหมดแรงยืน ผมพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเมื่อเห็นห้องของตัวเองถูกไฟไหม้

   ผมมองไม่ผิดหรอก ริมสุดชั้นสองนั้นเป็นห้องใครไม่ได้นอกจากห้องของผม

   “เป็นอะไรรึเปล่าคะ”ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เข้ามาถามผมอย่าเป็นห่วงและกวักมือเรียกหน่วยกู้ภัย

   “ผะผม ไม่เป็นไร”

   “แต่หน้าน้องซีดมาก ไปนั่งพักทางโน้นก่อนดีกว่า”ผู้ชายตัวโตในหน่วยกู้ภัยหิ้วปีกผมลุกขึ้นก่อนจะพาไปนั่งที่ซึ่งห่างออกมาจากที่เกิดเหตุใกล้ๆ รถพยาบาล ผมได้แอมโมเนียร์มาดม แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ผมหยุดใจสั่นได้เลย

   คำถามเกิดขึ้นมากมายว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง และไม่นานขณะที่ผมนั่งอยู่ผู้หญิงวัยกลางคนหุ่นผอมแห้งหน้าตาคุ้นเคยก็เดินเบียดขาท่าทีรีบเร่งมาทางผมสีหน้าตื่นตระหนก

   “เจ๊ดวน....”เป็นชื่อเจ้าของหอพักโกโรโกโสที่ผมพักอยู่ ชื่อเต็มคือเจ๊ลำดวน แต่คนที่นี่มักเรียกกันสั้นๆ ว่าเจ๊ดวน สาเหตุที่เดินตรงรี่มาหาคงไม่ได้มาบอกให้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกนะ แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ ผมไม่อยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ เรื่องฟื้นไฟผมก็ไม่มีอยู่ในห้อง ขนาดที่วีหรือตู้เย็นผมก็ยังไม่มีเลย มีแต่เสื้อผ้ากับพัดลมตั้งโต๊ะตัวเก่าๆ ก็เท่านั้น

   “ธัน ธัน ธัน เจ๊จะหัวใจวายตายสักร้อยรอบ นี่เจ๊คิดว่าเธอติดอยู่ในห้องนั่นเสียอีก”เจ๊ดวนแกพูดเร็วรัวตบอกหย่อนๆตัวเองอย่างร้อนใจ สภาพแกคือเหมือนเพิ่งออกมาจากร้านเสริมสวยมวยดัดผมก็ติดหัวเจ๊แกอยู่นับสิบอัน

   “ผมไม่ได้อยู่ข้างใน ผมเพิ่งมาจากข้างนอก”ผมวางแอมโมเนียร์ลงแล้วพยายามยันตัวเองยืนขึ้นเพื่อคุยกับเจ๊ดวน

   “โอ๊ยโล่งอกไปที”เจ๊แกมีท่าทีแปลกๆ เหมือนจะห่วงผมแต่ก็ดูหลอกๆ“ไม่ต้องห่วงนะเค้าควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว นี่ถ้าไฟมันลามไปทั้งตึกเจ๊คงขอกระโดดกองไฟตายที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอดเลย”ผมว่ามันคงจะสยองน่าดูถ้าเจ๊แกทำแบบนั้นจริง

   “มันเกิดอะไรขึ้นตอนผมไม่อยู่เจ๊”ผมวกเข้าเรื่องที่ผมอยากจะรู้อย่างร้อนใจ

   “คนอยู่ในเหตุการณ์เขาบอกว่า เหมือนได้ยินเสียงระเบิดของมิเตอร์ไฟฟ้าหน้าห้องแล้วไฟมันเลยกินฝ้าเพดาน แต่ดีนะที่เจ๊เรียกรถดับเพลิงได้ทัน เรื่องเลวร้ายมันเลยไม่เกิดขึ้น”

   “แบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดผมน่ะสิครับ”

   “ก็นะ สงสัยไฟมันคงช็อต งั้นคืนนี้ก็หาที่นอนที่อื่นก่อนก็แล้วกันนะ หรืออาจจะต้องย้ายออกแล้วล่ะเจ๊ว่าธันไม่เหมาะจะอยู่ที่นี้หรอกนะ ที่นี่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่พอธันมา....อ้อ! เจ๊ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะแค่คิดไปเอง เจ๊นี่ฟุ้งซ่านเนอะ”ท่าทางเหมือนเจ๊แกจะตบหัวผมจนผมหัวทิ่มแล้วมาลูบหลัง แกพูดอย่างนี้ผมไม่ได้โง่ที่จะเดาไม่ออกหรอนะว่าแกหมายถึงอะไร นี่แหละนะที่มาที่ผมเรียกแกว่าเจ๊ปากผี

   ตอนนี้เหตุการณ์เริ่มสงบ ความแตกตื่นเหมือนผึ้งแตกรังก็จบไป และที่สำคัญเจ๊แกต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ผมเลยโดนลอยแพไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ข้าวของในห้องอย่าว่าแต่จะเอาออกมาเลย ถามก่อนดีกว่ามั้ยว่าจะมีเหลือให้เอาออกมารึเปล่า ผมรู้สึกไม่อยากจะเหยียบขึ้นไปบนนั้นซะด้วยซ้ำ ไหนๆ เจ๊แกก็ไล่ผมทางอ้อมซะขนาดนี้ จะอยู่ทำไมอีกล่ะ!

   เห้อ....นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ผมเกิดมามีคำว่าซวยบรมแปะอยู่ที่หน้าผากรึไง!

   และระหว่างที่ผมแตะหินกระทืบดินอยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือไปเห็นชายคนหนึ่งที่สวมแจ็คเก็ตสีดำ กับหมวกแก็ปสีทึบปีกหมวกกดลงปิดใบหน้ากำลังเดินออกจากกลุ่มคนแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซร์ที่มีอีกคนสตาร์ทเครื่องรอก่อนจะขับออกไป หัวใจของผมมันกระตุกอย่างรุนแรกก่อนจะเต้นเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่

   แล้วความสงสัยที่มีทางเป็นไปได้ก็จุดประกายขึ้นในหัวของผม ผมส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ และเป็นอีกครั้งที่ผมหมดแรงไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว

   “ไอ้แก่เฉิน.....”

   อาจเพราะความปากไวไปต่อปากต่อคำแถมใส่อารมณ์สาปแช่งมัน สิ่งนี้เลยต้องเกิดขึ้นกับผมอย่างนั้นเหรอ!
 
   “โธ่เว้ย!!!!”




   กริ้งงงงง!

   ผมยืนกดออดให้สัญญาณว่าตนเองมาถึง ก่อนที่เสียงซอนเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของไอ้บัสจะปรี่เข้ามาเปิดประตูให้เหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

   “ไอ้ธัน มึงไม่เป็นไรใช่มั้ยวะ”ไอ้บัสจับตัวผมหมุนเป็นลูกข่างสำรวจอย่างตกใจ

   “กูไม่เป็นไร โชดีที่กูไม่ได้อยู่ที่นั่น”ก่อนหน้านี้ผมโทรมาหาไอ้บัส แต่มันทำงานอยู่ที่บาร์บิโลนร้านพี่เงาะผมก็กะจะไม่กวนมันแต่พอผมบอกเหตุจำเป็นที่คืนนี้ต้องมาขอมันนอนด้วย มันก็รีบบึ่งกลับบ้านมารอผมทันที

   “กูตกใจโคตรๆ มึงเป็นอะไรก็ดีแล้ว เข้าบ้านก่อนมา”มันดันตัวผมที่หมดอาลัยตาอยากเข้าบ้านก่อนจะจัดหาที่หลับที่นอนให้

   “ขอบใจมาก มึงไปทำงานเหอะกูไม่อยากให้มึงเสียงานเดี๋ยวพี่เงาะแกก็หักเงินให้”

   “มึงอยู่ได้ใช่มั้ย”มันทำสีหน้าไม่ไว้ใจ

   “เออ กูอยู่ได้ไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย แค่เสียดายเสื้อผ้าข้าวของนิดหน่อย นอกจากนั้นกูชิวๆ”

   “ถ้ามึงมีอะไรให้กูช่วยก็โทรมาแล้วกัน”

   “มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก กูโตเป็นควายแล้วไม่ใช่เด็กๆ ไปทำงานไปกูจะนอนแล้วเนี้ย”ผมโบกมือไล่เจ้าของบ้าน ไอ้บัสพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะออกไปทำงาน พอมันออกไปผมก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนแทบจะทันที เสียงสัญญาณรอสายทำผมกระวนกระวายจนเหงื่อออกจนชุ่มมือ และมันก็มีคนรับสายเสียทีด้วยโทนเสียงกรุ่นโกรธ

   “[ว่าไงไอ้คนอวดดี จะให้ดีใจหรืออะไรดีที่มึงโทรหา]”

   “เรื่องวันนี้เป็นฝีมือมึงใช่มั้ย”ผมยิงเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม ในมือกำหมัดแน่นแต่ไม่รู้สึกเจ็บ

   “[มึงกำลังพูดถึงเรื่องอะไร กูไม่เข้าใจ]”

   “ก็เรื่องไฟไหม้ห้องพัก ถ้าไม่ใช้มึงแล้วเป็นใคร”ผมพยายามกดอารมณ์โมโหเอาไว้ถึงที่สุด ถ้าผมระเบิดออกมามีหวังเรื่องมันคงแย่ไปกว่านี้

   “[ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ามาพูดซี้ซั้ว ฮึ! เอาเวลาคิดเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นมาคิดหาวิธีทำงานให้กูไม่ดีกว่ารึไง เวลามึงมีไม่มาก จำไว้ว่าหนี้มึงที่ท่วมหัวมึงอยู่อาจจะทับมึงจนหายใจไม่ออกได้....แล้วที่สำคัญถ้ายังห่วงเพื่อนมึงอยู่ก็ทำงานซะ]”

   “ไอ้!.....”เสียงงวางสายใส่ของอีกฝ่ายยั่วโทสะผมได้ถึงขีดสุด แต่เพราะทำอะไรไม่ได้ผมเลยได้แต่กัดฟันแน่นแล้วต่อยกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ให้มันทุเลาความคับแค้นลงไปบ้าง แต่เปล่าเลยมันไม่ได้หายไปไหนยังอยู่ในตัวผมไม่จาง


   
   เช้านี้ผมโทรบอกฟรานซิสว่าอาจจะเข้าไปสายเพราะมีธุระกะทันหัน เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากตอบรับว่าเขารับรู้ เรื่องถามซอกแซกเขาก็ไม่พูด ผมเลยเบาใจที่ไม่ต้องโกหก เท่าที่ทำอยู่ก็รู้สึกผิดบาปมากจะแย่แล้ว วันนี้ผมตั้งใจจะไปหาไอ้ต้นกับไอ้นนท์ที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งน่าจะตามเบาะแสของไอ้โชคได้บ้าง สอนคนนั้นผมจำหน้าได้และรู้จักในฐานะรุ่นน้อง ไม่เคยพูดคุยด้วยเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์แย่ๆ เท่านั้น

   ใครๆ ก็เตือนว่าคบพวกนั้นก็เท่ากับคบคนพาล และที่สถิตของพวกนั้นก็ไม่ใช่ที่ดีๆ สักเท่าไหร่ ผมเริ่มสืบหาว่าไอ้ต้นกับไอ้นนท์มันอยู่ที่ไหนโดยการถามจากรุ่นพี่ที่สนิทพอคุยด้วยได้ผ่านทางโทรศัพท์ ก็ได้ที่อยู่ที่เที่ยวประจำของพวกมันมา

   ผมออกมาก่อนที่ไอ้บัสมันจะตื่น ถ้ามันรู้ผมมามันคงตามมาด้วย เรื่องซวยขอแค่ผมคนเดียวก็เกินพอ

   ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่หลง เส้นทางที่ต้องเดินเท้าในเวลากลางวันมันสว่างพอที่จะสังเกตเห็นอะไรได้หลายอย่าง ผิดไปจากกลางคืนที่ทุกอย่างมันมืดมิดแถมดูอันตราย ถนนเส้นนี้ถ้าจะให้พูดก็คือถนนแหล่งมัวสุม ทั้งเหล้าบาร์ ไนต์คลับ โต๊ะสนุกและแหล่งการพนันสารพัด ชนิดที่ปิดตาจิ้มเลยก็ได้ว่าจะหลงเหวไปแบบไหน

   ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าป้ายอะคริลิคสีซีดจางๆ มีลูกศรชีเข้าด้านใน บอกเส้นทางที่เป็นทางเข้าของร้านโต๊ะสนุกเกอร์ ที่ลงไปยังชั้นใต้ดิน ผมเดินลงบันใดไปเรื่อยๆ ก็เจอกับป้ายแขวนหน้าร้านว่า‘Open’ผมเลยผลักประตูเข้าไปกลิ่นควันบุหรี่ข้างในอัดหน้าผมเต็มๆ ถึงผมจะดื่มเหล้า กินเบียร์แต่ผมก็ไม่เคยคิดเสียปอดให้กับบุหรี่

   สภาพด้านในเมื่อผมเข้าไปถึง ก็เห็นเคาเตอร์ระดับอกที่มีผู้ชายตัวดำๆ เจาะจมูกและระเบิดหูมองมาที่ผมอย่างสงสัยแล้วตะโกนถาม

   “มึงมาใหม่เหรอวะ ไม่เคยเห็นหน้า”

   “อื้ม กูมาหารุ่นพี่น่ะ”

   “ใครวะ”มันสอบผมอย่างกับเจ้าหน้าที่ แต่ดูจากรูปการแล้วมันคงเป็นคนเฝ้าหน้าร้าน เพราะทางซ้ายมือของมันมีประตูประจกทึบเขียนแปะไว้ว่า‘เฉพาะสมาชิก’ผมเหลือบมองด้านในผ่านซอกประตูที่แง้มเอาไว้เล็กน้อยก็เห็นว่าด้านในเปิดไฟสว่างและมีโต๊ะสนุกเกอร์วางเรียงกันเป็นสิบสีเขียวบนโต๊ะตัดกับพื้นพรมสีแดงจนดูเด่น

   “รู้จักมั้ยพี่ต้นกับพี่นนท์”ผมแสร้งพูดเหมือนสนิท และพยายามเก็บความประหม่าเอาไว้

   “ไอ้ต้น ไอ้นนท์”มันเลิกคิ้วทวนชื่อที่ผมตอบ

   “ใช่ น่าจะใช่คนเดียวกัน พอดีมีธุระนิดหน่อย อยู่มั้ย? รอที่นี่ก็ได้แค่เรียกออกมาให้ก็พอ”

   “รอเดี๋ยวแล้วกัน”ผมแอบปาดเหงื่อหลังจากผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปด้านใน ไม่ถึงห้านาทีมันก็กลับออกมา

   “เจอมั้ย?”ผมถามย้ำ

   “ตามมาข้างใน”มันบุ้ยหน้าให้ผมเดินตามเข้าไป พอผมเข้าไปข้างในก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรผมนัก เพราะมัวใจจดใจจ่อกับลูกสีขาวข้างหน้า แต่ผมกลับตื่นตาเสียมากกว่ากับการตกแต่งบรรยากาศด้านในที่ดูเรียบหรูดูดีกว่าที่คิด ด้านในสุดที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาด้านหลังก็มีบาร์เครื่องดื่มบริการโดยมีบาเทนเดอร์ประจำการทำงานอยู่ ผมเดินตามลึกเข้าไปด้านในจนมาถึงห้องสนุกเกอร์อีกห้องที่ดูเป็นส่วนตัวกว่าด้านหน้า เพราะมีโต๊ะสนุกแค่สองตัวแถมยังมีโต๊ะกว้างพอตัวและโซฟาชุดใหญ่สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ต่างจากด้านนอกที่เป็นเพียงเก้าอี้เบาะหนังตัวยาวธรรมดากับโต๊ะเล็กๆ วางแค่เครื่องดื่มได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

   “ไง มาหาพวกเรากูเหรอ”เสียงที่ทักทายขึ้นทำให้ผมหยุดสำรวจและจับจ้องไปยังที่มาของเสียง คนที่เอ่ยทักผมวางมือจากไม้สนุกเกอร์แล้วเดินมาสีหน้ายิ้มแย้ม คนๆ นี่ชื่อต้นหน้าตาก็ไม่ได้จัดว่าแย่แต่จะออกไปทางตี๋ๆ เสียมากกว่า ส่วนอีกคนที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ใกล้ๆ ก็คือไอ้นนท์หน้าตาก็จัดว่าดูดี แถมยังมีลักยิ้มข้างเดียว หน้าตาดูไม่มีพิศมีภัยแต่ไว้ใจไม่ได้สุดๆ

   “ใช่ผมมาหาพวกพี่นั่นแหละ”

   “หืม หน้าตาคุ้นนะมึงเหมือนเคยเห็นที่ไหน”ไอ้พี่นนท์พูดทักขึ้นมา

   “ผมเป็นรุ่นน้องในคณะ เคยเจอตอนรับน้องกับกิจกรรมของคณะบ้าง”ผมตอบตามจริง

   “แล้วมีธุระอะไรกับพวกกู ถ้าไม่รีบก็นั่งก่อน”ผมคิดว่าสองคนนี้จะอันตรายอย่างที่ได้ยินมา แต่ทว่ากลับรู้สึกเป็นกันเอง แต่บรรยากาศมันก็ยังรู้แปลกๆ อยู่ดี

   “ไม่เป็นไร ผมรีบแค่อยากจะมาถามอะไรพวกพี่หน่อย”

   “ถาม? อะไรล่ะ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”ไอ้พี่ต้นมันเดินไปหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบแล้วหันมาสนใจผมต่อ ส่วนไอ้พี่นนท์ก็เดินอ้อมหลังผมไปยืนแถวๆ ประตูแล้วล็อคประตูอย่างเร็ว ผมหันขวับไปมองหน้าถอดสี

   “ล๊อคไว้เผื่อเรื่องที่พูดมันสำคัญ กันไว้ก่อนดีกว่าไม่ใช่เหรอ”ร้อยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าไอ้พี่นนท์ ผมรู้สึกลางสังหรไม่ชอบมาพากล

   “ผมแค่อยากจะถามว่า รู้จักคนที่ชื่อโชครึเปล่ามันเป็นเพื่อนผม แล้วรู้มั้ยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?”

   “อา.....กูลืมบอกไปว่า กฎของพวกกูคือถ้าอยากได้ข้อมูลก็ต้องเอาอะไรมาแลก ยื่นหมูยื่นแมว”ไอ้พี่ต้นยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ผมรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ง่ายซะแล้ว ภาพลักษณ์ที่พวกมันสองคนแสดงออกก็แค่หลอกตาจริงๆ

   “ผมไม่มีเงินมากพอมาซื้อข้อมูลหรอก ถ้าพวกพี่สงสารก็แค่บอกผมอย่างเดียวก็ได้ว่ารู้จักมันรึเปล่า”

   “ฮ่าๆ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าพวกกูตอบให้ไม่ได้ กฎก็ต้องเป็นกฎสิวะ”ไอ้พี่ต้นพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

   “แล้วถ้าไม่ใช่เงินพวกพี่จะเอาอะไร”

   “ส่วนใหญ่ก็เป็นเงิน ขึ้นอยู่กับข้อมูลว่าสำคัญมากน้อยแค่ไหน แต่ในกรณีที่ไม่มีเงิน หากเป็นผู้หญิงก็ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ แต่ว่า.....”ไอ้พี่นนท์เดินวนรอบผมแล้วมองผมหัวจรดเท้าก่อนจะพูดต่อ“ถ้าเป็นผู้ชาย.....กูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน”

   ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

   “แต่สำหรับมึง.....ก็น่าสน”ไอ้พี่นนท์เดินมาประชิดตัวผมจนผมต้องถอยหลังกรู

   “มันไม่ตลกเลย ผมไม่อยากได้ข้อมูลอะไรนั่นแล้ว ผมจะกลับ”ผมหันหลังเตรียมเดินไปเปิดประตูแต่ไอ้ต้นกลับมายืนขวางประตูเอาไว้ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นระดับสายตา พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากเชื่อหู

   “กูให้มึงเป็นพระเอกนะงานนี้ไอ้นนท์ เดี๋ยวเบอลหน้าให้ ขอท่าสวยๆ กับโต๊ะสนุก งานนี้อาจได้เงินมาใช้เล่นๆ สักก้อน”

   “จัดไป”

   แล้วใครคิดว่างานนี้ผมจะยอม แม่งเล่นสกปรกกันขนาดนี้ผมขอสู้จนขาดใจตายเสียดีกว่า คิดว่าผมจะกลัวไอ้เชี่ยนนท์นี่นักรึไง ถึงเป็นรุ่นพี่แล้วมาทำเลวๆ แบบนี้ผมไม่นับถือมันหรอก เรื่องนับถือผมไม่นับถือมันตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า

   “ก็ลองเขามาดู กูต่อยมึงฟันร่วงแน่ไอ้เชี่ยนนท์!”

   “โหยๆ แม่งท่าทางจะเดือดแล้วว่ะ”ไอ้คนเชียร์ที่ยืนถ่ายวิดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือพากย์เหตุการณ์สนุกปากจนผมโมโหถอดรองเท้าแขวี้ยงเข้าให้แต่มันกลับหลบทัน

   “เอาอย่างนี้ ถ้ายอมร่วมมือกูจะให้มึงรู้ในสิ่งที่อยากรู้ แถมยังได้เงินกลับไปด้วยเอามั้ย”ไอ้เชี่ยนนท์เสนอข้อแลกเปลี่ยน มีเหรอผมจะยอม

   “กูไม่เอา ถอยไปให้ห่างไม่งั้นกูซัดไม่เลี้ยงแน่”

   “ก็ถ้าคิดว่าหนีออกไปได้ก็ลองดู”

   ไอ้เชี่ยนนท์พูดเสร็จก็โถมตัวพุ่งมาทางผมเหมือนนักอเมริกันฟุตบอล ผมต้านแรงมันไม่ไหวเลยเสียหลังหงายหลังล้มลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโต๊ะสนุก ก่อนที่ร่างของไอ้นนท์จะมากดผมแล้วยิ้มเหมือนได้ชัยชนะ มือของมันข้างหนึ่งบีบคอผมไว้ผมจมหายใจติดขัด

   “แฮ่กๆ ปล่อยกูนะเว้ย”

   ผั๊วะ!

   ผมสลัดมืออีกข้างได้ก็จัดการซัดหมัดใส่หน้าไอ้นนท์เข้าที่สันกรามเต็มๆ แต่มันกับไม่ยอมถอยห่างจากผม คลายแต่มือที่บีบคอรั้งเอาไว้แล้ว แถมมันยังต่อยผมเข้าที่หน้าท้อง ผมจุกเจ็บจนพูดไม่ออก แต่ก็ยังไม่ยอมคนตรงหน้าซะทีเดียว

   “รีบๆ หน่อยดิวะ แม่งเดี๋ยวเมมเต็ม”ไอ้ต้นที่ยืนเก็บภาพอยู่ใกล้เร่งจนผมอยากจะปราดเข้าไปกระทืบ แต่ติดอยู่ที่ไอ้นนท์ที่ไม่รู้เอาแรงมาจากไหนมากมาย

   “อย่าเร่งกู เห็นมั้ยว่ามันแรงเยอะขนาดไหน”

   “พวกมึงสองตัวแม่งเลวว่ะ กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากคบ!”

   “ปากดีแบบนี้กูชอบว่ะ!”แล้วไอ้นนท์ก็โน้มหน้าเข้ามาจะจูบผม ผมไม่ปฏิเสธ และทันทีที่มันแหย่ลิ้นเข้ามาในปากสิ่งที่ผมทำก็คือใช้ฟันคมกริบกัดลงไปเต็มแรงจนไอ้นนท์ร้องเสียงลั่นห้องผลักออกจากผมโดยไม่ต้องออกแรง ส่วนไอ้ต้นก็ตกใจวิ่งเข้ามาดูเพื่อนมันอย่างตื่นตะลึง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในปากผม ผมเลยถ่มของสกปรกลงกับพื้นแล้วปาดมุมปากก่อนจะยิ้มแสยะออกมา

   “ฮึ! ขอให้อร่อยกับเลือดชั่วๆ ของมึงก็แล้วกัน”ผมพูดเสร็จก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องนั้นทันที และไม่ได้เหลียวหลังไปมองอะไรทั้งนั้น ก่อนจะรู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาหยุดอยู่ริมถนนใหญ่เอาความเหนื่อยหอบก้อนใหญ่มาวางลงตรงนี้

   แค่คิดก็พลันหงุดหงิด สะอิดสะเอียนรอยจูบของไอ้นนท์จนผมอยากจะอ้วก และสิ่งนี้มันกลับทำให้ผมคิดถึงใครบางคน ทั้งๆ ที่เป็นจูบจากผู้ชายเหมือนกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันจนผมตกใจ

   สิ่งนี้มันทำให้ผมประหลาดใจและสับสนว่าฟรานซิสสำหรับผมเขาเป็นอะไรกันแน่ เหยื่อหรือผู้ล่า




>>>>> to be continued  :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 16 UP DATE 28/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 28-08-2016 21:45:47
บอกตรงๆ ค่ะ ขัดใจกับนิสัยนายเอกมากค่ะ โง๊...โง่
(ขออภัยนักเขียนด้วยนะคะ อินมากไปหน่อย)
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 16 UP DATE 28/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 29-08-2016 00:56:32
เอ้อออ คุยกันไปตรงๆเลยดีมั้ยทั้งคู่ ลุ้นทุกตอนเมื่อไหร่จะบอกความจริง แต่ก็พอเข้าใจธันอยู่นะ เอาเป็นว่าสู้ๆนะ ทั้งคนเขียนทั้งธัน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 16 UP DATE 28/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-08-2016 11:41:15
โง่หรือว่าแกล้งโง่ค่ะ ถามหน่อยโง่ใช่มั้ยที่เข้าไปในที่แบบนั้นตัวคนเดียวนะ เป็นไงเกือบไม่รอดแล้วไง
เกือบกลายเป็นดารา GV แล้วมั้ยล่ะ คิดบ้างก่อนทำอะไรลงไป รู้ว่าอยากรู้เรื่องของโชคแต่มันเสี่ยงเกินไปมั้ย
ที่เข้าไปในที่แบบนั้นตัวคนเดียวอ่ะ เฮ้อออออ ดีนะที่ยังรอดออกมาได้ แต่พวกแม่งต้องแค้นแน่ๆ ที่ทำมันเอาไว้นะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 16 UP DATE 28/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 29-08-2016 11:59:27
เหลืออดกับะัญแล้วนะ  ฟรานซิสจัดการด่วน
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 29-08-2016 21:31:28



17




   กึก กึก กึก!

   เสียงคมมีดที่กระทบกับเขียงไม้เสียงดังเมื่อบรรยากาศภายในห้องมันเงียบ วันนี้ผมเข้ามาหลังจากที่ฟรานซิสออกไปทำงานแล้ว เป็นเรื่องโล่งใจเพราะผมไม่อยากตอบคำถามถึงรอยช้ำตรงลำคอที่ไอ้นนท์มันฝากรอยมือเอาไว้ ผ้ากันเปื้อนถูกผมถอดออกหลังจากจัดการหั่นผักที่ใช้สำหรับใส่ไว้ในไข่ตุ๋นเสร็จ และตอนนี้ไข่ตุ๋นทั้ง 3 ถ้วยก็อยู่บนเตาเรียบร้อยแล้ว ผมทำเผื่อเอาไว้เพราะมันสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ และหากจะกินก็เอามาอุ่น ตอนนี้ในตู้เย็นก็มีกับข้าวที่แช่เย็นไว้เช่นพวกพะโล้กับมัสมั่น หากเจ้าของบ้านหิวเขาก็สามารถอุ่นกินได้เลย

   ผมรู้สึกชินกับการทำอาหารและทิ้งไว้ในตู้เย็น และหลังจากผมกลับมาทำงานอีกวันก็พบว่าอาหารที่ผมทำขึ้นถูกกินไปบ้าง ถึงแม้จะไม่บ่อยนักผมก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย การทำงานที่ดูเรียบง่ายหากไม่ไปเกี่ยวพันกับเรื่องปวดหัวผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่เมื่อโชคชะตาให้ผมกับฟรานซิสต้องมาเจอกันในเหตุการณ์เช่นนี้ผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

   ครืดดดดด!

    และคนที่ผมจะนึกถึงก็โทรเข้าจนทำผมสะดุ้ง ผมมองหน้าจอเพียงครูก่อนกดรับและกรอกเสียงลงในสายอย่างสุภาพ

   “สวัสดีครับ”

   “[นายอยู่ที่บ้านรึเปล่า]”

   “ครับ ว่าแต่คุณมีอะไรรึเปล่า”ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อปกติเวลาทำงานฟรานซิสไม่เคยโทรหาผม

   “[ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย เข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดลิ้นชักตรงโต๊ะทำงานด้านขวาชั้นบนสุดแล้วหยิบแฟ้มสีดำลงมาข้างล่างหน่อย ฉันจะให้อาเธอร์ขับรถไปเอาอีก 20 นาทีคงจะถึง]”

   “เอ่อ.....ถ้าหากคุณรีบ ผมคิดว่าน่าจะเอาไปให้คุณได้ที่บริษัทถ้าหากคุณไม่ว่า”ผมเสนอความคิดเห็นอย่างฉับไว เมื่อเห็นช่องทางบางอย่างผุดขึ้นในสมอง โอกาสที่จะหาเหตุผลเข้าไปในบริษัทของฟรานซิสไม่ได้มีบ่อย ผมควรจะอาสาเรื่องนี้

   “ผมทำได้ หากให้อาเธอร์มาเอาไหนจะบวกเวลากลับอีก ถ้าคุณรีบจริงๆ คงจะไม่ทัน”

   “[ได้.....งั้นเอามาให้ฉันก็แล้วกัน]”ฟรานซิสพูดจบก็รีบวางสายไป ผมรีบปิดไฟที่เตาแก๊สทันทีแล้ววิ่งขึ้นห้องไปหยิบของที่ฟรานซิสต้องการมาอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะเปิดดูแล้วแอบถ่ายภาพเอาไว้ เพราะข้างในล้วนเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ผมต้องใช้เวลาในการแปลความหมายว่ามันคืออะไร ภาษามันเป็นปัญหาระดับชาติจริงๆ



   ผมลงมาจากเพนท์เฮาส์ก่อนจะให้ รปภ. เรียกแท็กซี่ให้เข้ามารับ ผมคงไม่ลงทุนเดินออกไปเพื่อไปโบกแท็กซี่แน่ๆ ผมใช้เวลาไปประมาณ 35 นาทีในการมาถึงบริษัทฺที่มีตึกสูงเทียมฟ้า นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของการมาที่แห่งนี้ ผมเปิดประตูเข้ามาด้านใน รปภ.ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูมองผมด้วยสายตาสงสัย ก่อนเข้ามาประชิดตัวผมอย่างไว

   “มาทำอะไรที่นี่ เป็นพนักงานแผนกไหน ชั้นไหน มีบัตรรึเปล่า?”เอาจริงเว้ยเฮ้ย! แต่สภาพผมที่ดูแต่งตัวได้ชิวเอาท์ผมไม่คาดโทษเขาหรอกที่จะสงสัย เสื้อฮู๊ดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบมอมๆ มองยังไงก็ไม่ใช่พนักงานหรือลูกค้าที่นี่แน่นอน

   “ผมมาหาคุณฟรานซิสครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน?”รปภ.ทำหน้าตาขบขัน

   “นี่น้อง คนที่พูดถึงไม่ใช่ใครจะมาขอพบได้ง่ายๆ นะ อย่ามาเล่นแถวนี้ไปเล่นที่อื่นไป”เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอกันตัวผมให้เดินผ่านประตูกลับออกไป

   “ผมไม่ได้มาเล่นนะ ผมเอาของมาให้.....”ผมเริ่มรู้สึกอายเมื่อมีสายตาหลายคู่จ้องมองมาราวกับผมเป็นผู้บุกรุก และในวินาทีนั้น เหมือนสวรรค์ทรงโปรดเสียงๆ หนึ่งทำให้ผมยังคงยืนหยัดอยู่ภายในตึกแห่งนี้ได้

   “ปล่อยเขาไป เขาเป็นแขกของบอส”อาเธอร์เดินตัวตรงดิ่งมาที่ผม มองกี่ทีเขาก็ยังดูดีในสูทสีดำสนิทไม่เปลี่ยนแปลง และ รปภ. คนที่พยายามจะกันผมล่ะ เขาก็ดูงงๆ ไปชั่ววิก่อนจะทำความเคารพอาเธอร์โดยการตะเบ๊ะ แล้วก็กลับไปยืนทำหน้าที่ตามเดิม โดยที่สายตายังคงมองมายังผมด้วยความสงสัยใคร่รู้ ใครไม่สงสัยก็บ้าแล้ว

   “ผมเกือบโดนโยนออกจากที่นี่ซะแล้ว”ผมแอบบ่นให้อาเธอร์ฟัง

   “ขอโทษที่ไม่ได้แจ้ง รปภ. ไว้ก่อน”

   “ไม่เป็นไรครับ แต่ผมมันก็แต่งตัวน่าสงสัยเอง เกือบลืม นี่เป็นของที่บอสของคุณต้องการครับ”ผมล้วงแฟ้มบางๆ ออกจากกระเป๋าเป้ก่อนจะส่งมันให้กับอาเธอร์ เข้ารับมันไปแล้วเอ่ยขอบคุณผม

   “ถ้ายังไงขึ้นไปรอด้านบนก่อนแล้วกัน”

   “.....เอ่อ มันจะดีเหรอครับ คงไม่เหมาะ”ผมพูดออกไปอย่างมีมารยาท แต่แท้จริงผมอยากจะตะโกนตอบรับทันทีเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้แหละที่ผมต้องการ

   สงบใจไว้ไอ้ธัน ต้องเป็นน้ำนิ่งที่ไหลลึกให้ได้!

   “ไม่เป็นไร ฉันแค่ทำตามคำสั่งบอส”

   “ก็ได้ครับ”อะไรจะสุขใจเท่าการเดินตามอาเธอร์เข้าไปยังถ้ำเสืออย่างไม่มีอันตราย แต่ผมว่าจะอันตรายก็กับสายตาที่มองมาทางผมประหลาดๆ นี่แหละ บ้างสงสัย บ้างเหมือนอยากจะถามว่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ใคร ผมอ่านสายตาพวกนั้นออกเพราะมันดูง่ายแทบไม่ต้องคิด ตลอดทางผมใช้สายตากวาดมอง ที่นี่เป็นออฟฟิตขนาดใหญ่มีหลายแผนก ทั้งตึกนี้ล้วนเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น

   ลิฟท์ที่อาเธอร์นำทางผมข้นมาหยุดอยู่บนชั้นสูงสุดของตึก ที่ดูเงียบสนิทมีความเป็นส่วนตัวสุดๆ ริมทางที่ผมเดินผ่านล้วนแล้วแต่เป็นห้องประชุมเล็กใหญ่ตามป้ายที่แปะบอก ผมเดินมาจนสุดทางก่อนจะเลี้ยวขวาเดินไปประมาณยี่สิบเมตรก็มีโต๊ะเลขาหน้าห้องสองโต๊ะซ้ายกับขวา คนที่นั่งอยู่ด้ายซ้ายคุ้นตาผมนัก

   “ถ้ารับปากนายก็น่าจะมาให้เร็วกว่านี้นะ”ใช่ใครอื่นที่เอ่ยทักทายผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด

   “ผมไม่ได้อยากจะมาช้า แต่บังเอิญว่า.....”ผมกำลังจะโต้กลับนาวีด้วยอารมณ์กรุ่นๆ แต่อาเธอร์ก็พูดออกหน้าแทนให้เสียก่อน

   “มีปัญหากับ รปภ. น่าจะเป็นความผิดพลาดของนายนะที่ไม่ได้แจ้งด้านล่างตามที่บอกไว้”

   “แจ้งไปแล้ว แต่สงสัยจะเกิดการเข้าใจผิด”ผมว่านาวีคงเกลียดขี้หน้าผมพอๆ กับที่ผมไม่ชอบเขานั่นแหละ

   “ช่างเถอะ ไปข้างในได้แล้ว”

   “.....เขาอยู่ด้านใน?”ผมชี้นิ้วไปที่ประตูไม้บานใหญ่สีดำวาว

   “ตามฉันมาบอสรออยู่”อาเธอร์เดินนำพร้อมเปิดประตูเข้าไป ผมเดินตามอาเธอร์ด้วยหัวใจที่เต้นแรง ผมคุ้นเคยที่จะเจอกับฟรานซิสตอนเขาอยู่บ้าน แต่พอมาเจอเขาในเวลาทำงานแบบนี้มันรู้สึกประหม่า ความคุ้นเคยมันไม่ทำให้รู้สึกสงบใจ

   เมื่อเดินเข้ามาในห้องผมก็อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองบรรยากาศรอบๆ ห้อง ที่นี่ต่างกับบรรยากาศที่บ้านสิ้นเชิง การกแต่งดูเป็นทางการและให้ความรู้สึกสุขุม โทนสีขาวดำช่างเหมาะสมกับผู้เป็นใหญ่ในห้อง

   “มาแล้ว?”นั่นเป็นเสียงทักทายของฟรานซิส เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน มือที่ประสานกันใช้ศอกค้ำโต๊ะจดจ้องมายังผมที่เดินเข้ามาตัวลีบ ฟรานซิสขยับข้อมือเป็นเชิงให้อาเธอร์ออกจากห้องหลังจากที่เขาวางแฟ้มเจ้าปัญหานั่นลงบนโต๊ะต่อหน้าฟรานซิสแล้ว ผมมองตามแผ่นหลังพยายามส่งสายตาให้เขาอยู่ต่อแต่พอประตูบานใหญ่นั่นปิดลงผมถึงกับขยับตัวไปไหนไม่ได้

   “เข้ามาใกล้ๆ สิ ให้ฉันได้เห็นหน้านายชัดๆ”

   “ไม่เป็นไร ผมยืนตรงนี้ได้ครับ”

   “ธัน”เสียงทุ้มเป็นเชิงดุ ผมเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของฟรานซิส และไม่ลืมที่จะกระชับเสื้อให้ปิดถึงคอ

   “คุณบอกว่ารีบ นาวีคงกำลังคอยคุณอยู่”

   “บังเอิญฉันเลื่อนประชุมไปครึ่งชั่วโมง เพราะมีปัญหานิดหน่อย”

   “อ้าว! แล้วทำไมคุณไม่โทรบอกผม”

   “ก็ฉันอยากเห็นนายรีบร้อนมาหาฉันที่นี่”รอยยิ้มบางๆ กระตุกตรงมุมปาก ใบหน้าคมสายตาพราวเสน่ห์ทำให้ผมเลิกโต้เถียง แต่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสียแทน

   “แล้วคุณจะให้ผมขึ้นมาที่นี่ทำไม”

   “ฉันแค่อยากพานายไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน”

   “อย่าดีกว่าครับ วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ”ผมก้มลงมองตัวเอง แล้วส่ายหน้ารัว

   “ธัน มาตรงนี้สิ”ฟรานซิสไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเพียงหมุนตัวไปด้านข้างรอให้ผมไปยืนอยู่เบื้องหลังโต๊ะข้างๆ เขา ผมไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไรแต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี

   “คุณมีอะไร?”

   หมับ!

   “คุณฟรานซิสคุณจะทำอะไร นี่มันที่ทำงานนะ!”ผมตาโตเท่าไข่ห่านวุ่นวายกับการดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนจากการถูกกระชากอย่าไม่ทันตั้งตัวให้นั่งลงบนท่อนขาแข็งแรง

   “ฉันแค่กลัวนายลืมสัมผัสของฉัน”

   “คุณพูดอะไรของคุณ ผมขอเตือนด้วยความหวังดีถ้ามีใครเข้ามาเห็น.....”แค่คิดผมไม่อยากจะนึกภาพนั้นเลยจริงๆ

   “ไม่มีใครกล้าเข้ามาหากไม่มีคำสั่ง”

   “ถึงอยากนั้นก็เถอะ!”ผมพยายามดิ้นสุดแรงแต่ยิ่งดิ้นคนด้านหลังก็ยิ่งรัดแน่น ก่อนจะมีเสียงแผ่วออกมาจากปากของฟรานซิสถึงกับหยุดการกระทำของผมทันที

   “รูดซิปลง แล้วเปิดออก”ร่างกายผมถึงกับชาวาบเมื่อฟรานซิสออกคำสั่ง ผมเอื้อมมือขึ้นกระชับขอบเสื้อขึ้นอีก ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในน้ำเสียงไม่มีความหยอกล้อแม้แต่น้อย รางกับเขารู้เขาเห็นอะไรบางอย่างในสิ่งที่ผมกำลังปกปิด ผมรู้สึกจนตรอกจนลนลานไปหมด

   “ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ขอร้องล่ะครับ ปล่อยผมก่อน”ผมพยายามใช้ลูกอ้อนกล่อมเขา

   “หากนายไม่ทำฉันทำเอง”ทันทีฟรานซิสลุกพรวดจับผมกดลงกับโต๊ะด้วยเรี้ยวแรงมหาศาส ดวงตาที่เขามองผมดูเกรี้ยวกราดเสียจนผมรู้สึกกลัว แม้จะเห็นฟรานซิสในตอนที่ดูขึงขัง แต่อารมณ์กรุ่นที่รอปะทุเช่นนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สองแขนแกร่งกดไหล่ผมไม่ให้ขยับ ผมได้แต่ขยุ้มแขนเสื้อเขาราวกับอ้อนวอน

   “นายอยากจะบอกฉันด้วยตัวเอง หรือให้ฉันเห็นกับตา”แววตาดุดันจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม มันไม่ใช่แววตาที่พร้อมจะบีบผมให้ตายคามือแต่กลับเป็นแววตาขึงขังอารมณ์ร้ายราวกับใครมาทำลายของรักของหวง

   “ผมไม่มีอะไรจะบอก ปะปล่อยผมเถอะผมอยากจะกลับแล้ว”สีหน้าของผมซีดเผือกมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากเป็นหญิงสาวคงร้องไห้เพราะความตกใจไปแล้ว

   “ยังกลับไม่ได้ ธันนายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ใช่มั้ย หากนายไม่ยอมพูด ฉันจะให้นายพูดออกมาเอง!”

   ผมยังไม่ทันจะได้โต้ตอบเขา ฟรานซิสก็จัดการถอดเสื้อผมเสียจนท่อนบนเปลือยเปล่าแขนเสื้อยังคงไม่หลุดออกแต่กลับพันธนาการผมไว้ราวกับโซ่ตรวนไว้เหนือหัว ผมอ้าปากเหวอหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่จ้องมองใบหน้าของฟรานซิสที่กวาดไล่มองร่างกายของผมจนไปหยุดอยู่ที่ลำคอขาวเนียน ซึ่งบันนี้กลับมีร่องรอยการบีบรัดปรากฏเสียชัดเจนจนคนตรงหน้าถึงกับขบฟันแน่นขมวดคิ้วหน้าได้รูปเข้าหากันจนยุ่งเหยิง ดวงตาสีฟ้ามรกตฉายแว่วกรุ่นโกรธจนผมหวาดกลัว

   “ปะปล่อยผมได้แล้ว!”ผมร้องเตือนสติฟรานซิส เขาผละมือจากผมทำให้ผมผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกระโดดลงจากโต๊ะทำงานของเขาก่อนจะสวมเสื้อกลับสู่สภาพเดิมด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนมือสั่นราวกับหนาวเหน็บ ส่วนฟรานซิสเขาได้แต่เงียบไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของเขา

   “……….”

   ผมสังเกตได้เพียงแววตากับท่าทางที่ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยความร้อนร้น จากท่าทีที่เขาเดินไปมาแล้วตะปบมือหนาลงบนขอบพนักพิงหนังสีดำเสียงดังจนผมสะดุ้ง

   ผมปิดเขาไม่ได้แล้ว เขาเห็นมันเพียงแต่ผมไม่สามารถพูดอธิบายให้เขาฟังได้จริงๆ

   “รอฉันที่นี่ห้ามไปไหน จนกว่าฉันจะเลิกประชุม หากฉันกลับมาแล้วไม่เห็นนายคงรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไร”เขาไม่ได้ของร้องหรือวิงวอน มันคือคำสั่งเฉียบขาดในคราบบอสใหญ่ของที่นี่ ผมได้แต่ยืนนิ่งราวกับหุ่นมองแผ่นหลังกว้างที่ดูหงุดหงิดคว้าแฟ้มสีดำเดินออกไป

   และวินาทีที่ฟรานซิสออกจากห้องไปแล้ว เข่าผมถึงกับอ่อนแรงทรุดลงนั่งกับพื้นจนแทบไม่อยากหยัดยืนขึ้นมาอีก หลังจากนี้ผมคงหาคำอธิบายดีๆ ไปบอกกับเขาอย่างแน่นอน

   ไอ้เชี่ยนนท์ไอ้เชี่ยต้น! เพราะพวกมึงสองตัวแท้ๆ เลย โธ้เว้ย!

   และระหว่างที่ผมทำใจกับเหตุการณ์นั้นได้ ยอมว่านอนสอนง่ายรออยู่ในห้องทำงานแล้ว เมื่อกำลังใจกลับคืนมาร่างกายผมมันก็ขยับและเดินสำรวจไปทั่วห้องอย่างระมัดระวัง ไหนๆ โอกาสนี้ผมไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างอาจหาญคือเวลานี้เท่านั้น

   ล้วงข้อมูลที่ไอ้แก่เฉินต้องการให้ได้ แล้วทุกอย่างมันก็จะจบ! ผมกับฟรานซิสก็จะได้จบลงด้วยเช่นกัน! ในเมื่อหนทางการหาตัวไอ้โชคทำผมจนปัญญา ผมก็ต้องคว้าสิ่งที่เป็นไปได้มาต่อชีวิตผมก่อน และถ้าผมทำสำเร็จผมก็จะหลุดจากวงจรเลวทรามนี้เสียที

   “ขอโทษ ผมจำเป็นต้องทำ!”แม้ประโยคนี้ผมจะเคยได้ยินจากคนที่ทรยศหักหลังผมให้ผมถึงกับมีชีวิตที่ไร้ศักดิ์ศรี แต่ผมกลับเอาประโยคเห็นแก่ตัวแบบนั้นมาพูดพร่ำให้ตัวเองสบายใจ ตอนนี้ผมมันก็ไม่ได้ต่างไปจากไอ้โชคเลยสักนิด



   
   ตึกตัก ตึกตัก!

   หัวใจของผมเต้นเร็วเท่าไหร่ ความดันเลือดสูงแค่ไหนผมก็ไม่อาจประเมินได้ ในเวลานี้ผมมีเพียงแค่ความหวาดกลัวและความกังวนเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ถึงขีดสุดของมัน

   มือของผมสั่นเทาควบคุมเท่าไหร่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดสั่น ขนาดจับทัพพีตักข้าวยังกระทบกับขอบจานจนน่าหงุดหงิด ทั้งที่ความกังวลของผมควรจะถูกส่งให้กับไอ้แก่เฉินไปหมดแล้ว แต่กลับตกค้างอยู่ที่ใจผมจนน่าหวั่น ก่อนหน้านี้ผมขัดคำสั่งฟรานซิส ผมกลับออกมาก่อนที่เขาจะเลิกประชุม และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเลิกเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่ติดตัวผมกลับออกมาจากห้องทำงานของเขานั้นมันทำให้หัวสมองของผมหนักอึ้ง สิ่งที่ผมได้มาน่าจะเป็นเรื่องที่ชวนดีใจ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้ ความไม่สบายใจเกาะกินหัวใจผมแทบจะหมดสิ้น

   ข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้ มันมาจากคอมพิวเตอร์ของฟรานซิส รหัสถูกใส่ค้างไว้ราวกับกำลังจะใช้งานแต่กลับชะงัดหยุดไปเสียก่อน นั่นจึงเหมือนเป็นโอกาสของผมที่เป็นช่องทางทำการอุกอาจก๊อปปี้ข้อมูลใส่แฟลชไดร์ที่ผมพกติดตัวอยู่ และแจ้นกลับมาเสียก่อน ตอนนี้ผมรอเพียงการกลับมาของฟรานซิส และทำตัวให้ปกติเข้าไว้

   ผมรู้ว่าเขาต้องกลับมาตรงเวลามื้อเย็น ดังนั้นผมจึงตั้งโต๊ะรอทั้งที่อยากหลบหน้า เพราะไม่รู้ตัวเองจะสามารถมองหน้าฟรานซิสได้ยังไง

   ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร ข้างในผมมันเจ็บจนชาเสียมากกว่า

   ไม่รู้ว่าตอนที่ผมกุมของสำคัญผมคิดอะไร แต่ผมกลับใช้วิธีส่งไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ของไอ้แก่เฉิน หรือในใจลึกๆ ผมแค่อยากจะยื้อเวลากันแน่ และถ้าหากข้อมูลพวกนั้นถึงมือไอ้แก่เฉินแล้ว ผมจะทำยังไงต่อไป ลาออกจากที่นี่แล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติอย่างที่ฝันไว้อย่างนั้นเหรอ

   “นายไม่ได้ทำตามที่ฉันบอก”เสียงทุ้มเจือความโกรธเอ่ยขึ้นขณะที่ผมยืนคิดฟุ้งซ่าน ทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองยังที่มาของเสียงสีหน้าถอดสีหลุบตาลงต่ำกำผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่จนแน่น

   กึก กึก กึก!

   เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบกับพื้นกังวานไปทั้งบ้าน ผมเงยหน้าทำใจดีสู้เสื้อ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะ

   “เอ่อ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเลิกประชุมกี่โมง แล้วผมก็หิวแล้วด้วยขอโทษที่ผมรอไม่ได้ และผมก็คิดว่าคุณน่าจะหิวเลยกลับมาตั้งโต๊ะรอ”ดวงตาสีฟ้ามรกตจ้องมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิ้วหนาไม่สั่นไหวทำให้ผมเดาความคิดเขาไม่ออก

   “นายกับฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกัน”

   “แต่ว่า.....”ผมมองไปที่โต๊ะและเขารู้ว่าผมหมายถึงอะไร

   “ฉันคิดว่านายคงจะไม่ได้หิวจริงๆ”ฟรานซิสเดินนำออกไปได้สามก้าว เข้าหันมามองผม และยังเห็นว่าผมไม่ขยับไปไหน ฟรานซิสจึงตัดสินใจเดินกลับมาแล้วใช้วิธีลากมือผมไปแทนแม้ผมจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้





>>>>>to be continued

อย่าเพิ่งอารมณ์เสียกับความโงของนายเอกนะคะ ฮ่าๆๆ
เข้าใจค่ะว่าบางครั้งก็รู้สึกอย่าจะกระโดดถีบ :z6: และขัดใจมากกกก :angry2:
แต่ยังไงก็มารอดูจุดสิ้นสุดของเรื่องขัดใจเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ :bye2: :bye2: :bye2:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
   
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 29-08-2016 21:52:21
น่าสนุกมาก รอติดตามตอนต่อไป :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 29-08-2016 22:14:48
เค้าจะคุยอะไรกันคะ ลุ้นนนน  :sad4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-08-2016 00:28:40
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 30-08-2016 09:25:50
อารมณ์เสีย  ไม่ทนแล้วขอกระโดดถีบยอดอกสักทีเถอะ  :z6: กระชากผมขึ้นมาตบซ้ำ  :beat: นี่แน่ะๆ ฮึ่ย

นี่ตรูอินหรือว่าอะไร

พรานซิสจัดการเอาให้ลุกไม่ขึ้นไป 3 วัน 3 คืน เลย เซ็นอนุมัติเรียบร้อยแล้ว :m16:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: poppyhigh ที่ 30-08-2016 19:54:44
ลุ้นเหลือเกิน หนูธันจะรอดไหมเนี่ย ดูยังไงฟรานซิสก็น่าจะวางแผนดักไว้หมดแล้ว

รอตอนต่อไป  :ling1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 17 UP DATE 29/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 30-08-2016 22:08:41
ลุ้นมาก
จะคุยเรื่องอะไร
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 31-08-2016 19:24:12



18



   ตุบ!

   แรงเหวี่ยงเท่าพลังช้างสารหอบร่างผมกระแทกลงกับเตียง แม้คนตรงหน้าจะไม่ได้ทำการอุกอาจอะไรแต่จากดวงตาที่แข็งกร้าวผมรู้ว่าเขากำลังฉุนขาดแค่ไหน เวลานี้ผมจึงควรสงบให้ได้มากที่สุด ผมยังตัดสินใจเองไม่ได้ว่าเขาโกรธผมเรื่องอะไรกันแน่ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเดียวแน่นอน

   ผมค่อยๆ คลานลงจากเตียงอย่างหมาแต่ทว่ากลับถูกร่างสูงยืนขวางไม่ให้ลงไปจากเตียงเสียก่อน แต่เขาก็ไม่ได้แตะต้องผม แค่ท่าทางที่ยืนกอดอกนั่นก็ทำผมผวาพอแล้ว ผมจึงนั่งพับเก็บขาคุกเข่าเรียบกับเตียงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวสุดๆ ราวกับซามูไรหลงยุครอการฮาราคีรีคว้านท้อง

   “นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง”

   “ผมรู้.....”รู้ดีเสียด้วย

   “แล้วทำไมนายถึงยังขัดคำสั่งฉัน แล้วจะยังเรื่องนั้นอีก...”สายตาเขาปราดมองไปยังต้นคอของผม

   “ขอโทษที่ผมขัดคำสั่งคุณ แต่ผมก็ไม่ได้หนีไปไหน และเรื่อง.....”ผมเอื้อมมือเย็นๆ ขึ้นไปจับลำคอของตัวเองแล้วหยุดพูดไป“ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ ให้คุณรู้แค่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”

   “แล้วฉันต้องทำยังไง เรื่องส่วนตัวของนายถึงจะกลายมาเป็นเรื่องส่วนตัวฉัน”เสียงทุ้มโน้มหน้าลงมาแทบใกล้ หน้าเขายังคงปั้นตึงเช่นเคย ฟรานซิสไม่ใช่คนที่อดทนอะไรได้นาน หากเขาอยากรู้เขาก็ต้องรู้ให้ได้ แม้จะต้องเอาคีมง้างปากผมเขาอาจจะทำ

   “เรื่องนี้ผมบอกไม่ได้จริงๆ คุณแค่ทำเป็นไม่สนใจก็ได้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ และที่สำคัญร่างกายของผมมันไม่ใช่ของคุณ....”ผมพลั้งปากไปโดยไม่ทันคิดเพราะอารมณ์หงุดหงิดจากคำถามของฟรานซิสที่ผมไม่ต้องการจะตอบ

   “ฮึ! นายคิดดีแล้วรึไงที่พูดว่าร่างกายนี้เป็นของนายจริงๆ ธัญ”เตียงยวบลงไปตามน้ำหนักของผู้ที่นั่งลง ฟรานซิสนั่งไขว่ห้างข้างๆ ผม เขาดูราวกับกำลังโกรธจัดแต่พยายามเก็บกดอารมณ์ ผมไม่ควรทำให้เขาปะทุไปมากกว่านี้

   “ผมพูดไปตามความจริง มันเหมือนกับตัวของคุณที่ผมจะมาทึกทักว่ามันเป็นของผมก็ใช่ว่าจะได้ ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร”

   “ทำไมจะไม่ได้หากฉันบอกนายว่ามันเป็นของนาย”ประโยคนั้นถึงกับทำให้ผมชะงักค้างมองคนข้างๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

   “คุณแค่พยายามพูดเรื่องที่ทำให้ผมคล้อยตาม เอาเป็นว่าผมบอกเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ”ผมเตรียมจะลุกหนี แต่ฟรานซิสกลับคว้าต้นแขนผมไว้แน่นไม่ให้ผมขยับ เขาไม่ได้หันมามองผมแต่กลับพูดบางอย่างออกมาแทนจนผมหนาวสั่นไปถึงขั้วกระดูก จากน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมาก็บอกให้ผมรู้ได้ว่าเขาเหลือทนกับผมจริงๆ

   “หากนายไม่อยากพูดถึงมัน อย่างนั้น....ฉันจะลบรอยนั่นแล้วแทนที่ด้วยรอยของฉันแทน”

   แรงกดหมาศาลกดผมลงแทบจมกับเตียง ฟรานซิสเพียงนั่งอยู่ในท่าเดิมที่เขาเคยนั่งแต่เขากลับใช้กำลังเพียงวงแขนล้มผมลงได้ ผมมัวตื่นตระหนกจึงไม่ได้ทันขัดขืน ก่อนที่จะรู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกฟรานซิสปลดเนคไทของเขาเข้ามัดข้อมือของผมเสียแน่นจนเลือดแทบไม่เดิน

   “คุณคงไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆ !”ผมรู้ดีสถานการณ์แบบนี้คงไม่ใช่แค่การหยอกล้อ แต่มันเต็มไปด้วยโทสะของผู้กระทำ

   “ฉันจะทำให้นายตาสว่างเสียทีว่าใครคือเจ้าของร่างกายนี้กันแน่ ฉันรู้นะว่านายมั้นรั้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ ไอ้นิสัยชอบเก็บอะไรไว้คนเดียว ฝังกลบความลับไปกับตัวจนวันตาย มันทำให้ฉันต้องอดทนกับเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ฉันพูดไปนายคงจะไม่เข้าใจสินะ!”อากาศรอบตัวถึงกับทำผมสะท้าน ฟรานซิสเอื้อมมือใหญ่ขึ้นมากุมรอบลำคอของผมก่อนจะออกแรงบีบจนผมหายใจแทบไม่ออก ผมพยายามดิ้นขัดขืนแต่เหมือนเขาจะจงใจให้ผมเหยียบใกล้ถึงความตาย แล้วกระชากผมกลับออกมา

   น้ำตาของผมมันไหลเอ่อออกทางหางตา แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ ฟรานซิสไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้น

   “แฮ่กๆ ทำไมคุณไม่ลงมือจริงๆ ซะเลยล่ะ ถ้าคุณไม่ทำตอนนี้คุณเองที่อาจจะเสียใจ”ผมมองฟรานซิสที่ชั่ววูบแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวดซึ่งผมแทบสังเกตไม่เห็น ก่อนจะแสร้งกลั้วหัวเราะออกมาในลำคอ

   “ก็บอกแล้วไงฉันแค่อยากบอกนายให้รู้ว่าใครคือคนที่จะควบคุมร่างกายนี้ได้ คนที่จะทำนายเจ็บมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น”
 
   “......”

   “และมันยังมีอีกหลายวิธีที่เตือนนายให้รู้ซึ้งถึงข้อนี้ได้”พลันร่างกายที่ใหญ่โตก็ขึ้นมานั่งคร่อมร่างของผม คนเบื้องหน้าปลดเสื้อออกทีละชั้นอย่างย่ามใจแต่สายตากลับจ้องมาที่ผมเขม้น หลังจากเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกสลัดออก แผงอกกว้างที่มองกี้ครั้งก็ยังทำให้ผมใจเต้นถี่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ปรากฏอยู่ต่อหน้า แต่ใบหน้าของฟรานซิสตอนนี้ไม่ได้กรุ้มกริ่มไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ แต่กลับเป็นใบหน้าที่ขึงขังเสียจนคิ้วหน้าได้รูปขมวดย่น

   “คุณคิดจะทำอะไร?”ไม่ใช่ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมถามกำลังเตือนสติคนตรงหน้าเสียมากกว่า แม้ผมจะส่งสายตามอ้อนวอนเป็นนัยๆ แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตมันเลย

   “ฮึ!”เสียงหัวเราะหงึกในลำคอของเขาราวกับฟ้าผ้า ผมร้องเสียงหลงและพยายามดิ้นหนีเมื่อคนตรงหน้าถลกเสื้อของผมร่นขึ้นเหนือหัวอย่างง่ายดาย ผิวสีขาวซีดด้านในกลับแดงระเรื่อเป็นผื่นเมื่อถูกมือหนารุกราน ผมสติแทบกระเจิงเมื่อฟรานซิสโน้มหน้าลงต่ำก่อนจะซุกใบหน้าของเขาฝังลงกับซอกคอของผมอย่างรุนแรง

   ลมหายใจอุ่นๆ ของฟรานซิสรินรดลำคอของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ริมฝีปากอุ่นร้อน บดเบียดต้นคอขาวของผมซ้ายขวาจนแดงซ่าน ก่อนใบหน้าคมจะถอยออกมาแล้วก้มลงมองผมในระยะใกล้จนสันจมูกโด่งรั้นของเขาสัมผัสกับปลายจมูกของผมพร้อมลมหายใจถอบถี่

   แววตาดุดันราวกับไล่ต้อนให้ผมศิโรราบมองผมไม่วางตา ผมได้เพียงแต่จ้องมองเขากลับด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างไร้เหตุผล แม้จะเต็มไปด้วยความสั่นเครือก็ตาม

   ในใจผมเต็มไปด้วยความหวั่นไหว สับสนไปหมดว่าทำไมถึงได้ยอมคนตรงหน้าขนาดนี้ เพียงเพราะทำผิดต่อเขาหรือเพราะตัวผมหัวใจผมมันยอมเขาเอง

   “.....ทำไม?”น้ำเสียงที่ฟรานซิสเอ่อยออกมาแม้จะขาดห้วงแต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ดวงตาที่แข็งกร้าวบัดนี้กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกบอบช้ำ ผมเห็นความสั่นไหวในดวงตาสีฟ้ามรกตคู่นั้น แต่เขาก็ไม่ให้ผมได้เห็นมันนาน ราวกับความลับที่ไม่ควรมีใครรู้เห็นทั้งนั้น ฟรานซิสจึงหลับตาลงชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนักได้รูปของเขามาสัมผัสริมฝีปากของผมเพียงผิวเผินจนแทบไม่ไม่ได้แตะกันและเปลี่ยนไปเป็นกดริมฝีปากของเขาลงกับไหล่มนของผมแทน แขนข้างหนึ่งของเขาเอื้อมไปคลายเนคไทที่มัดข้อมือผมออก แต่ยังไม่วางใจปล่อยมือผมจากการรวมกุมไว้ในกำมือเขา

   ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของผมรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกบีบเมื่อถูกคนตรงหน้าปฏิเสธที่จะจูบ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวัง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกผิดหวังนัก.....ผมอยากจะถามแต่เหตุผลของผมล่ะคืออะไร? นั่นจึงทำให้ผมปิดปากเงียบ

   “หากนายเป็นของฉันนายไม่มีวันเปลี่ยนแปลงมันได้อีก”และเป็นอีกครั้งที่เขาพูดขึ้น ผมนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่กับสิ่งที่เขาเอ่ยก่อนจะหาคำพูดตัวเองเจอ

   “เหตุผลแค่ไหน ที่คุณทึกทักเอาเองแบบนั้น คุณไม่กลัวเสียใจหรือไงคนระดับอย่างคุณหาได้ดีกว่าผมแน่ หรือผมเป็นแค่ 1 ในสต๊อค แต่ถ้าหากความหมายของคุณคือที่ระบาย.....”ผมหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกไปเต็มไปด้วยอารมณ์ตัดพ้ออย่างไม่เข้าใจตัวเอง แต่กลับโดนคนตรงหน้าตัดบท

   “ธัน! พูดยังไงนายคงไม่เข้าใจฉันคงต้องทำให้นายเห็นจริงๆ สินะ”เขาฉุนขาดขึ้นมาอีกครั้งเพราะผมพูดสิ่งที่ไม่ระรื่นหูเข้าให้ แรงกดตรงข้อมือที่ถูกกุมไว้เป็นตัววัดระดับอารมณ์ของเขาได้ดี

   ฟรานซิสเริ่มขยับตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้ผมพูดจาพล่อยๆ ออกมาอีก เขาใช้วิธีให้ผมส่งเสียงประหลาดออกมาแทนจนน่าอาย เมื่อมือหนาเลื่อนต่ำลงมากอบกุมส่วนอ่อนไหวแล้วขยับเล้าโลมจนผมสะดุ้งเฮือกเผลอร้องเสียงหลงออกมา อีกครั้งที่เขาไม่ปล่อยให้ผมหยุดพักหายใจเมื่อลิ้นอุ่นสากสัมผัสกับยอดอกของผมและถูกริมฝีปากหนักครอบครองราวกับปรารถนาอย่างแรงกล้า ทั้งดุดันร้อนแรง จนร่างกายของผมมันสั่นไหวขัดขืนต่อการรุกเร้าแทบไม่ไหว

   “อื้อ....”

   ริมฝีปากอุ่นก้มลงพรมจูบไปทั่วร่างกาย ผมสัมผัสได้ถึงการปลุกเร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดจากมือหนาที่ไม่มีท่าทีว่าจะร้างลาแม้ร่างกายผมจะบิดเร้าถอยร่นถดหนีแล้วก็ตาม

   เสียงหายใจของผมหอบถี่ประสานกับคนบนร่างราวกับจงใจ ฟรานซิสจงใจปลุกเร้าอารมณ์ผมถึงขีดสุด ก่อนที่ผมจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกร่างสง่าตรงหน้าพลิกตัวให้คว่ำลงพร้อมรั้งสะโพกผมให้แอ่นขึ้นแล้วเบียดกายเข้ามาก่อนจะปลดกระชากกางเกงผมให้ร่นลงมาถึงโค่นขา ใบหน้าของผมทาบทับอยู่กับเตียงนุ่มอีกมือก็ถูกรวบกุมไขว้หลังไว้อย่างขืนบังคับ

   ตัวเขาเองก็โน้มกายลงทาบทับลงบนแผ่นหลังของผมก่อนจะพรมจูบไล่ไปจนถึงใบหู ผมหดตัวเกร็งรับรู้ถึงสัมผัสที่เสียวซ่านทางด้านหลังเมื่อมีบางอย่างที่แข็งขืนกำลังเสียดสีเนิบช้าไปมาอยู่บนสะโพกผ่านเนื้อผ้า เพียงไม่นานร่างแกร่งที่ตื่นตัวเต็มที่ก็หยิบยื่นความปรารถนาที่เขามีให้แก่ผมจนหมดสิ้น ผมอ้าปากค้างราวกับเสียงถูกกลืนหายเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่รุกล้ำเข้ามาอย่างกะทันหัน

   “ฮึก! ผม....เจ็บ”ผมร้องออกมาเมื่อร่างสูงเริ่มเคลื่อนไหวและคับแน่นจนแทบจุก แต่ราวกับแค่เสียงลมแผ่ว เมื่อฟรานซิสกลับเคลื่อนไหวขยับถี่กระชั้นสอดเชื่อมประสานร่างกายกับผมราวกับดำดิ่งลึกลงไปไม่สามารถหยุดเขาได้ เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของฟรานซิสทำให้ความคิดของผมกระเจิง แม้สิ่งที่เขามอบให้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็นำพาความสุขให้ผมไม่น้อย ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาโอบกอดผมไว้ในอ้อมแขนแสดงออกถึงความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด บ้างเร่งเร้าจังหวะร้อนแรงจนร่างกายผมแทบมอดไหม้และหมดสิ้นเรี่ยวแรง
 
   และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยตัวเองให้อีกคนนำพาไปเตะถึงขอบความปรารถนา แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปเสียจนหัวใจผมมันเบาหวิว ผมชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่




   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมขยับตัวขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนลำคอของตัวเองแห้งผาดต้องการน้ำ ผมพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับต้องแปลกใจที่ตนเองเห็นใบหน้าของฟรานซิสชิดใกล้ ใกล้เสียจนลมหายใจสอดประสานกัน และผมยังแปลกใจกับลำแขนแกร่งที่ข้างหนึ่งสละให้ผมหนุนต่างหมอนและอีกข้างก็โอบกอดร่างกายของผมราวกับถนอม

   เป็นครั้งแรกที่ไม่คุ้นนักเมื่อตื่นมามีใครมานอนอยู่ใกล้ขนาดนี้ และมันยิ่งทำผมใจเต้นรัวเข้าไปอีกเมื่ออีกฝ่ายคือฟรานซิสที่นอนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ ผมเผลอลอบมองใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มเผยขนตาสีน้ำตาลหน้าเป็นแพ จมูกโด่งรั้นได้รูปตามแบบฉบับลูกครึ่งฝรั่ง

    ไม่รู้เพราะผมขยับตัวแรงเกินไปหรือพยายามยกท่อนแขนหนักๆ ของเขาออก จึงทำให้คนตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจ้องมองผมนิ่ง ผมเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนอยู่ภายในดวงตาของฟรานซิส ผมถึงกับชะงักค้างมีสีหน้านิ่งเครียดและเป็นกังวนอยู่ไม่น้อย

   “ผมต้อง.....กลับแล้ว”สายตาของผมเฉไฉมองอย่างอื่นทั้งๆ ที่พูดกับคนตรงหน้า ไม่รู้สิผมว่าผมยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ตอนนี้ เราเพิ่งทะเลาะกันแล้วจู่ๆ สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ผมไม่รู้จะชักสีหน้ายังไงดี และผมก็ไม่แน่ใจในอารมณ์ของฟรานซิสอีก

   ส่วนความรู้สึกของผมตอนนี้.....จะให้โกรธเรื่องที่เขากระทำรุนแรงกับผมอย่างนั้นเหรอ? มันก็มีส่วนแต่แทบจะเลือนหาย แต่ผมจะเป็นกังวนเรื่องความกระดากอายหลังจากตื่นมาแทนเสียมากกว่า  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมานอนมองตากับคนที่เพิ่ง.....จะให้ผมพูดง่ายๆ คือผมกับฟรานซิสอยู่ในสถานะอะไรผมเองยังสับสน แล้วจะให้มองหน้ากันแล้วยิ้มหลังมีอะไรกันเสร็จมันก็ไม่ใช่

   “จะรีบไปไหน”แขนแกร่งกดผมให้นอนต่อ

   “กลับบ้าน”ผมพูดตอบกลับและใช้มือสองข้างดันอกคนตรงหน้าให้ถอยห่าง เมื่อเขาพยายามดึงผมเข้ามาใกล้ ภายใต้สัมผัสในผ้าห่ม ผมพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายก็เปล่าเปลือยอยู่เช่นกัน ผมจึงทำตัวเองออกห่างให้มากที่สุด

   “กลับบ้านที่ไหนในเมื่อที่พักนายไฟไหม้”ฟรานซิสใช้ดวงตาคมกริบถามคำถามผม แน่ล่ะผมต้องตอบแต่มีบางอย่างทำให้ผมเอะใจ

   “คุณรู้ได้ยังไงว่าไฟไหม้”

   “..........”ฟรานซิสนิ่งเงียบไปก่อนกระตุกยิ้มเบาๆ ตรงมุมปากราวกับเป็นเรื่องตลก แต่ผมกลับชื่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นยิ้มแบบนั้น“มีอะไรที่สื่อโทรทัศน์จะบอกฉันไม่ได้กับเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น....ตอบฉันมาสิว่านายจะกลับบ้านที่ไหน”

   “ผมจำเป็นต้องตอบคุณ?”

   “ไม่จำเป็นถ้านายคิดว่าไม่สำคัญ”แรงกอดค่อยๆ ดึงกระชากร่างผมเข้าหาตัวเขาไม่ได้ต่างไปจากคำขู่เลยสักนิด แม้จะแตกต่างจากคำพูดที่เขาดูไม่แยแส

   “ก็ได้ๆ ผมจะบอกแต่คุณเลิกกอดผมได้แล้ว”

   “ว่ามา คำตอบของนายคือ?”

   “ผมไปพักบ้านไอ้บัสชั่วคราว แล้วกำลังหาที่อยู่ใหม่เพราะเจ้าของหอออกปากไล่”ผมก้มหน้างุดเล่าความจริงให้ฟรานซิสฟัง เขาหัวเราะหงึกๆ ในลำคอเหมือนพึงพอใจ “คุณหัวเราะผมเหรอ?”ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแบบฉุนๆ

   “เปล่า ฉันคิดว่านายควรจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ถึงเพื่อนของนายจะไม่พูดแต่นายกำลังรบกวนเขา”

   “ไม่หรอก.....ไอ้บัสมันรักผมจะตายเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี เรื่องแค่นี้ผมไม่ทำมันเดือดร้อนหรอก”ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ดูเหมือนบาอย่างในประโยกจะทำให้ฟรานซิสไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่ เขาถึงเล่นพลิกตัวมากดร่างผมไว้ภายใต้ร่างกายกำยำนั่นอีกครั้ง

   “เก็บข้าวของมาอยู่ที่นี่ซะ ฉันไม่สนหรอกว่าหมอนั่นจะรักนายเหมือนเพื่อนแค่ไหน”

   “ผมไม่อยากรบกวนคุณ ผมหาที่อยู่ใหม่ได้”

   “นายมันรั้น”

   “ก็คุณบอกเองว่าการพึ่งพาใครมันเป็นการรบกวน”

   “แต่ไม่ใช่กับฉัน”

   “ผมจะถือว่ารวมคุณด้วย”

   “ธัน!”

   “ปล่อยผมเถอะครับ ผมหนัก”ผมพูดหน้าตาย

   “เมื่อไหร่นายจะฟังที่ฉันพูดเสียที”

   “ก็ตอนที่ผมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองล่ะมั้งครับ”ผมพยายามดันคนตรงหน้าให้ออกไปอย่างมานะ

   “ก็ได้.....ฉันจะรอจนกว่านายจะเอ่ยปากมาที่นี่เอง”ฟรานซิสกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แต่แอบซ่อนไปด้วยแผนการ ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดทำอะไรกันแน่

   “คุณคงไม่ใช้แผนการไม่ซื่อ”

   “ไม่หรอก ทุกอย่างจะเป็นไปตามลำดับ”พูดจบฟรานซิสก็ก้มลงจรดริมฝีปากหนาได้รูปลงกับริมฝีปากฉ่ำของผมขณะที่ผมกำลังจะโต้ตอบพอดี ทำให้ผมรู้สึกถึงเรียวลิ้นอุ่นชื่นที่รุกล้ำเขามาภายในอย่างวิสาสะ ดวงตาผมเปิกโผล่งราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ เพียงไม่นานฟรานซิสก็ถอนจูบที่ดูดดื่มราวกับดื่มกินน้ำผึ้งพระจันทร์แย้มยิ้มตรงมุมปากอย่างพออกพอใจ ก่อนเอื้อมมือหน้ามาปาดไล่น้ำฉ่ำวาวที่อาบเคลือบริมฝีปากของผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่แดงเรื่อราวกับเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก

   และเรื่องที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ก็เลิกคิดไปได้เลย ไม่มีทางแน่นอนเพราะยังไงซะผมก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาหากรู้ความจริงเข้าสักวัน ไม่แน่เขาอาจจะไล่ต้อนผมแล้วปิดปากฆ่าก็เป็นไปได้

   ผมนั่งมองฟรานซิสที่ลุกเดินออกไป และต้องรีบเบี่ยงหน้ามองไปทางอื่นแทนเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสะโพกและแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ถึงอย่างไรมันก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะไม่กล้ามองมันตรงๆ อยู่ดี

   “โทรศัพท์ของนายใช่มั้ย ดูเหมือนมีคนโทรเข้ามาตอนที่นายไม่ว่าง”แล้วฟรานซิสก็เอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่หล่นอยู่บนพื้นยืนมาทางผม เลยทำให้ผมเผลอหันไปมองเข้าให้ ครั้งนี้หนักกว่าเก่าเมื่อเขาหันหน้ามา

   ให้ตายเถอะ! เขารู้จักอาบบ้างมั้ย ถึงจะรู้ว่านิสัยใจคอเขาครึ่งหนึ่งไม่ใช่คนไทยก็เถอะ

   ผมรีบเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาจากฟรานซิสก่อนจะไล่ให้คนตรงหน้าเดินเข้าห้องน้ำไป

   “ขะขอบคุณ.....คุณไปห้องน้ำได้แล้ว”ไม่ทันที่ฟรานซิสจะหันหลังไป ระบบสั่นที่แสดงชื่อผู้โทรเข้าก็ปรากฏตรงหน้าจอ มันทำให้ผมรู้เวลาที่เห็นอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ด้วยว่านี่มันจะ 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมรีบกดรับอย่างไว

   “ฮัลโหลว่าไง ขอโทษที่ไม่ได้รับสายมึง ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าวะ.....อะไรนะ! มึงอยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวกูจะไปเดี๋ยวนี้ โอเคได้ๆ”ผมลุกขึ้นพรวดไปคว้าเก็บเสื้อผ้าตามพื้นมาใส่โดยไม่ได้สนใจเข้าห้องน้ำก่อนเลยสักนิด ฟรานซิสยืนมองสถานการณ์ที่ลุกลี้ลุกลนของผมก่อนจะคว้าแขนผมไว้ทัน ไม่งั้นผมได้ล้มลงไปทั้งยืนแน่ๆ เมื่อสภาพร่างกายไม่ได้พร้อมใช้งานขนาดนั้น

   “รีบร้อนมีเรื่องอะไร”

   “ผะผมต้องไปโรงพยาบาล ไอ้บัสกับไอ้ปอนถูกรถเฉี่ยว”ผมบอกฟรานซิสทั้งๆ ที่ตัวเองมือไม้สั่นทำอะไรแทบไม่ถูก แม้ไอ้บัสจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่หัวใจผมมันไม่เชื่อจนกว่าจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง

   “รอเดี๋ยว ฉันจะไปส่ง นายไปในสภาพนี้มีหวังได้เป็นอะไรไปอีกคน”

    ผมพยักหน้าหงึกๆ รับความช่วยเหลือจากฟรานซิส เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแทบจะเร็วกว่าผมด้วยซ้ำในการเข้าห้องน้ำแล้วแต่งตัว แล้วพาผมมาส่งผมถึงโรงพยาบาล





>>>>> to be continued  :bye2:

ขอบคุณนักอ่านที่ติดตาม ขอบคุณที่ชอบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ  :กอด1: :กอด1:


หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 31-08-2016 20:53:14
ฟรานซิสรู้ใช่มั้ย... ธันเอ๊ยยย แกมันน่าสงสาร
เพื่อนโดนรถเฉี่ยว มีคนจงใจหรือเรื่องบังเอิญอ่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-08-2016 23:44:20
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-09-2016 06:40:48
ธันแกมันน่าสงสารว่ะ เราว่าไอ้เสี่ยอะไรนั้นเริ่มจะบีบแกแล้วนะ บอกฟรานซิสเหอะดีไม่ดีได้ตลบหลังไอ้เสี่ยที่บีบบังคับแกเป็นการแก้แค้นคืนด้วยนะเออ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 01-09-2016 11:10:31
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 18 UP DATE 31/8/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 01-09-2016 12:10:03
ปากแข็งอยู่ได้
ถ้าบอกความจริงไปซะ เรื่องก็คลี่คลายแล้ว
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 19 UP DATE 5/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 05-09-2016 20:12:47


19





   “คุณไม่จำเป็นต้องตามผมมาก็ได้”

   “ไม่เป็นไร ฉันให้นายเดินมาคนเดียวมันก็ออกจะเกินไป”และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ฟรานซิสออกจากบ้านเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวอย่างแน่นอน เขามีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 2 คนตามเขามาด้วย แต่โชคดีที่ฟรานซิสสั่งให้ทั้งสองคนรออยู่ที่รถด้านนอกแทน ไม่อย่างนั้นคงสะดุดตาพิลึก แค่ฟรานซิสคนเดียวเดินเข้ามาในโรงพยาบาลก็เด่นมากพอจนเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว ระหว่างเดินไม่รู้ว่าเพราะผมใจลอยหรือขามันอ่อนแรงกันแน่ถึงได้สะดุดขาตัวเองแทบล้มหน้าทิ่ม แต่ดีที่ฟรานซิสรั้งผมไว้ทัน

   ผมต่อสายหาไอ้บัส และในที่สุดก็เจอมันจนได้ ไอ้บัสนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยใน แขนข้างหนึ่งดูเหมือนจะเข้าเฝือกแล้วแขวนห้อยกับคอเอาไว้ และข้างๆ ก็เป็นไอ้ปอนที่นอนกดโทรศัพท์อยู่ แต่ขามันดันพันผ้าก๊อซตรงหัวเขาเสียหนาทึบจนผมใจหาย

   “ไอ้บัสไอ้ปอน!”ผมร้องทักก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพวกมัน ไอ้ปอนวางโทรศัพท์สีหน้ายังคงสดใสพยายามลุกขึ้นมาทักทายผมกับแขกไม่ได้รับเชิญ

   “มาเร็วชิบ เอ่อ สวัสดีครับ”ไอ้ปอนกับไอ้บัสยกมือขึ้นสวัสดีฟรานซิส เขาพยักหน้ารับไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไอ้บัสใช้แขนข้างหนึ่งดึงตัวผมเขาไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบ

   “เอามาได้ไงวะ”

   “ถ้าหมายถึงคนข้างหลัง เขามาส่งกูน่ะเลยตามมาเยี่ยมมึงสองคนด้วย”

   “แน่ใจว่ามาเยี่ยม ไม่ได้จะมาคุมเหรอวะ”

   “ไอ้บัส!”ผมด่ามันลอดผ่านไรฟัน แต่มันก็ดันหันไปทำคุยโว้กับฟรานซิสแทน

   “ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยมจริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ”

   “พวกนายสองคนไม่เป็นไรแน่นะ หากมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้”ฟรานซิสล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบนามบัตรส่งให้ไอ้บัส เพราะในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์เขาอยู่

   “ไม่เป็นอะไรมากครับ โชคดีที่แขนผมมันแค่เดาะ กับเข่าไอ้บัสที่กระแทกกับถนนพอถลอก หมอเลยให้นอนดูอาการสักคืน ถ้าไม่อักเสบหรือมีอาการอะไรแทรกซ้อนพรุ่งนี้ก็กลับได้เลย”   

   “แล้วตกลงพวกมึงสองคนทำไงถึงได้เกิดเรื่องวะ”

   “กูเองแหละที่โทรชวนไอ้บัสไปบ้านน้องเนยเพราะเห็นว่าวันนี้หยุดงาน กะว่าจะไปส่องสาวแต่แม่งความซวยไม่ปราณี จู่ๆ มีรถที่ไหนก็ไม่รู้ขับมาอย่างเร็วทั้งที่ถนนแม่งก็กว้างเบียดกูกับไอ้บัสล้มแล้วก็เปิดตูดหนีไปเลย กูยังเจ็บใจไม่หายเพิ่งโพสด่าลงเฟสเนี้ย”ไอ้ปอนเล่าเป็นฉากๆ แต่ไอ้ที่โพสด่ามันมีสาระไหม มึงเดี้ยงอยู่นะไอ้ปอน!

   “โทษตัวเองทำไมวะ ต้องโทษไอ้คนขับรถนั่นมากกว่า มึงผิดที่ไหนกูคนขับถ้ามึงผิดที่ชวน กูก็ผิดที่ขับไม่ดีสิวะ”

   “มึงจะผิดได้ไง กูบอกแล้วว่ากูผิด”

   “เออๆ พอเลยทั้งสองคนจะเถียงให้ได้ถ้วยรึไงวะ เอาเป็นว่านอนพักผ่อนได้แล้ว สงสารเตียงข้างๆ มึงเอะอะโวยวายพยาบาลจะมาฉีดยามึงสองตัวแน่”ผมหรี่ตาเป็นเชิงขู่

   “กูสองคนไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย ถึงเอาเรื่องแบบนั้นมาขู่”

   “เออๆ แล้วพี่เงาะเอาไง มึงได้ลายาวเป็นอาทิตย์แน่”

   “โทรบอกแล้ว เจ๊แกบอกไม่ต้องห่วงจะหาคนแก้ขัดไปก่อน ไม่ได้โดนไล่ออกแน่”ไอ้ปอนบอก

   “งั้นคืนนี้ให้กูอยู่เฝ้า”

   “ไม่ต้องๆ กลับไปเลย กูกับไอ้ปอนไม่ได้โคม่า”ไอ้บัสโบกมือไล่

   “ก็ถ้าเกิดเอายงเอายากูจะเดินไปเอาให้”

   “กูบอกว่าไม่ต้องไง คุณเจ้านายของไอ้ธันครับ ช่วยพามันกลับทีนะครับ”

   “พากลับไปเลยครับ ไอ้นี่มันดื้อด้าน มึงจะมาเฝ้าให้ยุงแดกเลือดทำไมวะ กลับไปนอนไป”ไอ้ปอนเอ่ยปากไล่อีกคน

   “แต่ว่ากู”

   “ถ้านายอยู่ เพื่อนนายจะลำบากใจเปล่าๆ”ฟรานซิสเอื้อมมือมาแตะบ่าผม

   “รบกวนด้วยนะครับ แล้วก็เอ่อ....เดี๋ยวนะกุญแจบ้านมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง ถ้ามึงเข้าบ้านก็ไปหยิบเอาในนั้นได้เลย”ไอ้บัสชี้ไปทางตู้วางของข้างเตียง

   “ไม่เป็นไร คืนนี้ฉันจะให้เพื่อนของพวกนายพักกับฉันสักคืนก็แล้วกัน”

   “ผมไม่ไป”ผมหันไปค้อนใส่ฟรานซิส   

   “ไอ้ธันมึงจะดื้ออะไรนักหนา ไปได้แล้วเขาจะปิดไม่ให้เข้าเยี่ยมแล้วมึงไม่ได้ยินประกาศรึไง ไปๆ”ไอ้บัสเอ่ยปากไล่ผมอีกครั้ง คราวนี้ฟรานซิสเลยเป็นฝ่ายดึงผมออกมาเอง ผมเดินหน้างุ้มตามหลังร่างสูงอย่างไม่พอใจ

   “โกรธฉันเรื่องอะไร?”

   “ก็คุณดึงผมออกมา ผมอยากจะอยู่ที่นี่คุณกลับไปเถอะผมขอร้อง”

   “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเพื่อน แต่เป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า”คนเบื้องหน้าหมุนตัวมาทางผมแล้วก้มลงมาพูดกับผมอย่างตำหนิ

   “ผมจะกลับมาที่นี่หลังจากเช้าทันที”

   “ได้ ฉันจะให้อาเธอร์มาส่ง”

   “ไม่เป็นไร ผมออกมาเอง”

   “......ตามใจ”บทสนทนาสิ้นสุดเมื่อหาจุดจบได้ และเพียงไม่นาน เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมแง้มมันออกดูจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเห็นเลขหมายและชื่อคนโทรมาถึงกับสะดุ้งเฮือก

   “คือว่า พอดีพี่เงาะโทรมา ผมขอไปคุยธุระหน่อยคุณรอผมตรงนี้ก็แล้วกัน”ผมไม่รอให้ฟรานซิสตัดสินใจ รีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วหาที่ลับตาคนก่อนจะกดรับสาย

   จริงๆ ไม่ใช่พี่เงาะหรอกนะที่โทรมา แต่กลับเป็นอากงของผมเอง

   “มีอะไร”

   “[เล่นทักทายกันแบบไม่มีไมตรีจิตเลย]”เสียงอารมณ์ดีของอีกฝ่ายทำผมหงุดหงิด

   “อย่ามานอกเรื่อง ที่โทรมามีอะไร รีบๆ พูดก่อนที่กูจะวางสาย”

   “[ใจร้อนไปได้ แค่จะโทรมาถามอาการของเพื่อนมึงซะหน่อย]”ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะย้อนคำถามออกไปอย่างใจร้อน

   “มึงรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรกับเพื่อนกู”ผมเริ่มใจไม่ดี และไม่อยากคิดไปเองในสิ่งที่เป็นไปได้

   “[มันเป็นอุบัติเหตุ พอดีลูกน้องกูขับรถเร็วไปหน่อย ฮ่าๆ]”มือของผมกำหมัดแน่นจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว ในหัวของผมมันปวดขึ้นมาจนคิดอะไรไม่ออก คนอย่างไอ้แก่เฉินเหรอจะทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่ได้

   “มึงจะทำอะไรกูกูไม่ว่าแต่อย่างเอาเพื่อนกูไปเกี่ยวข้อง!”เสียงของผมสั่นเครือระคนโกรธแค้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วยังมาทำให้ไอ้บัสกับไอ้ปอนพานเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัวไปด้วย

   “[ฮึ! ก็มันช่วยไม่ได้ กูก็แค่หาแรงจูงใจอะไรสักอย่างให้มึงเร่งทำงาน เป็นไงรู้สึกมีกำลังใจทำงานให้กูขึ้นมาบ้างรึยัง]”
   ผมกัดฟันกรอดนัยน์ตาร้อนผ่าวและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ปริ่มออกมาไม่ใช่เพราะรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่เพราะรู้สึกจุกในอกราวกับความคับแค้นไม่สามารถระเบิดออกมาได้

   “มึงมันเลว รู้อย่างนี้กูไม่มีทางส่งสิ่งที่มึงอยากได้ไปให้มึงเด็ดขาดไอ้ชั่ว!”

   “[มึงพูดว่าอะไร ส่งสิ่งที่กูอยากได้ เมื่อไหร่!]”อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นขึ้นมาผ่านน้ำเสียง

   “กูทำงานให้มึงเสร็จตามสัญญา…..”น้ำเสียงของผมมันเริ่มขาดห้วงพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่ติดอยู่ในคอด้วยความยากลำบาก“ข้อมูลที่มึงอยากได้นักอยากได้หนา กูส่งทางไปรษณีย์ไปแล้วและอีกไม่นานมันคงจะถึงมือมึงในไม่ช้า”

   “[ไปรษณีย์? เหอะ! ข้อมูลสำคัญของกูมึงใช่ส่งวิธีนั้นเหรอวะ ทำไมมึงไม่ส่งให้กูกับมือทันทีที่ได้!]”ฟังน้ำเสียงมันดูก็รู้ว่าไอ้แก่เฉินหงุดหงิดกับวิธีการของผมแค่ไหน มันคงมองว่าผมโง่ดักดานที่เลือกใช้วิธีที่ชักช้าไม่ทันใจแบบนั้น มันก็เหมือนการอ้อมโลกเพื่อกลับมาที่เดิม

   แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมจงใจ แค่อยากจะยื้อเวลาที่ผมจะทำให้ใครคนหนึ่งเดือดร้อนช้าลงก็เท่านั้น แต่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากทำให้คนรอบตัวผมเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้

   “มึงจะรู้สึกยังไงก็ช่าง! สัญญาของกูกับมึงถือเป็นอันสิ้นสุดเลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกับพวกกูซะ”

   “[จบง่ายๆ ได้ไง ในเมื่อกูยังไม่เห็นของที่มึงส่งมา จนกว่ากูจะเช็คว่ามันเรียบร้อยดีแล้วก็จะเป็นฝ่ายบอกมึงเอง]”

   “ก็ได้ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็ถือเป็นการจบสิ้น”

   “[อ้อ! กูลืมบอกมึงไปอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญว่าคืนนี้ลูกน้องกูสองคนจะไปเดินเล่นแถวๆ บ้านเพื่อนมึงอีกคน ถ้ากูจำไม่ผิดชื่อจง ชื่อจูนอะไรสักอย่าง ถ้ามึงไม่รีบกูก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ.....]”

   “มึง!!!”หัวใจผมถึงกับหล่นวูบลงไปทันทีก่อนจะตัดสายไอ้เลวนั่นทิ้งแล้วออกตัววิ่งออกไปสุดกำลัง

   ยิ่งวิ่งร่างกายผมแทบจะไม่มีแรง ผมเห็นร่างสูงเลือนๆ ผ่านคราบน้ำตาบางๆ ที่ยืนรอผมไม่ไปไหน ผมวิ่งไปหยุดต่อหน้าฟรานซิสแล้วใช้สองมือขยุ้มเสื้อของเขาแล้วก้มหน้างุดลมหายใจหอบถี่พลันทำให้ร่างสูงประหลาดใจ

   “เกิดอะไรขึ้น?”

   “ฮึก! ชะช่วยผมด้วย ผมขอร้องแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”ผมเขย่าฟรานซิสด้วยกำลังอันน้อยนิดที่ไม่ทำให้คนตรงหน้าสะทกสะท้าน ผมยอมเป็นคนหน้าไม่อาย เพราะเพียงลำพังในตอนนี้มือสองมือของผมมันไม่สามารถจะทำอะไรได้ คนที่ผมพอจะพึ่งพิงตอนนี้ก็มีแต่เขาก็เท่านั้น

   ผมมันเลวใช่มั้ยล่ะ ที่เอาความลับของเขาไปขายแล้วยังจะขอความช่วยเหลือจากเขาอีก



   สถานการณ์ตอนนี้ทำผมร้อนใจนัก แม้คนของฟรานซิสจะเหยียบคันเร่งจนทิวทัศน์รอบๆ แทบมองไม่ถนัดตา แต่มันยังเร็วไม่พอในความรู้สึก
 
   หลังจากที่ผมเอ่ยคำพูดขอร้องฟรานซิสไป เขาไม่เอ่ยถามสาระสำคัญจากผมสักคำ มีแต่ผมที่พร่ำบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากผมไปช่วยไอ้จูนไม่ทัน ผมบอกเขาไปเพียงว่า ไอ้จูนกำลังโดนคนบางคนเล่นงาน จากนั้นก็ไม่มีคำถามใดๆ จากปากฟรานซิสอีก

   “คุณบอกให้เขาขับเร็วกว่านี้ได้มั้ย ผมขอร้อง!”ฟรานซิสหันไปพูดบางอย่างกับบอดี้การ์ดที่ความเร็วของรถก็ทะยานพุ่งออกไปราวกับจรวด เพียงไม่นานผมก็มาถึงหน้าบ้านของไอ้จูน ซึ่งมันอาศัยอยู่กับพ่อแล้วก็แม่ ซึ่งทั้งสองไม่ได้อยู่บ้านในตอนนี้ เพราะทั้งคู่ไปเข้าอบรมในหน้าที่การงานทางอาชีพของเขาที่ต่างจังหวัด

   ทันทีที่รถจอด ผมไม่รั้งรอรีบเปิดประตูพุ่งพราวกำลังจะออกไปเมื่อเห็นว่าชั้นสองของบ้านไฟสว่าง แต่ฟรานซิสกลับคว้าแขนผมไว้

   “คุณจะจับผมไว้ทำไม ปล่อยนะ!”

   “หากนายบุ่มป่ามเข้าไปอาจเป็นเรื่อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนของฉันเข้าไปดูจะดีกว่า”ไม่ทันไรเสียงบางอย่างที่ดูครึกโครมก็ดังเล็ดลอดออกมาถึงกับทำให้ผมใจหาย ไม่ทันที่ผมจะสังเกต ปรากฏว่าบอดี้การ์ดของฟรานซิสกลับหายออกไปจากรถเรียบร้อยแล้ว

   ฟรานซิสมองมายังผมราวกับจะให้รั้งรอต่อไป แต่ทว่าผมไม่สามารถทนอยู่เฉยๆ ได้

   นั่นมันไอ้จูนเพื่อนผมนะ!

   ผมสะบัดท่อนแขนวิ่งออกไป และขุ่นเคืองในความคิดของฟรานซิสไม่น้อยที่จะให้ผมเฝ้ารออยู่เฉยๆ

   ผมวิ่งไปทางบันใดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองขอบ้านข้างของระหว่างทางดูกระจุยกระจาย มีเสียงเอะอะโวยวายและเสียงกรีดร้องของไอ้จูนถัดไปอีกห้อง ผมพุ่งพรวดเข้าไปก็พบกับคนของฟรานซิสที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ผิดไปจากที่คิด คนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีกำลังดิ้นพล่านอยู่บนพื้นต้านแรงกดของสองร่างใหญ่จนหน้าซับเลือด เพียงไม่นานฟรานซิสก็ตามขึ้นมา ผมรีบเดินไปหาไอ้จูนที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่มุมห้องกุมบ่าสองข้างของมันที่สั่นไหวด้วยแรงหอบถี่

   “มึงเป็นอะไรรึเปล่า มึงเจ็บตรงไหนมั้ย!”ผมถามมันเร็วรัวเขย่าตัวมันเรียกสติเล็กน้อย

   “กะกูโอเค ไม่เป็นไร”

   “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงกูจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยว่ะ”ผมกระชากตัวไอ้จูนเข้ามากอดความตกใจระคนปวดร้าวแทรกเข้ามากลางอก

   “ขอบใจมากเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่มา.....กะกูแย่แน่ๆ”ไอ้จูนเริ่มสะอื้นขึ้นก่อนที่น้ำตามันจะนองหน้ากุมแขนผมไว้แน่น ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปดูเหตุการณ์เบื้องหลัง จากนั้นไม่นานผมก็จัดการส่งไอ้เลวที่มาก่อเหตุให้ตำรวจไป ถึงยังไงมันก็จบคดีอยู่ที่ขึ้นบ้านเพื่อลักขโมย ไอ้แก่เฉินคงไม่ยอมให้เรื่องบานปลายแน่นอน คืนนี้ผมบอกฟรานซิสว่าผมจะอยู่เป็นเพื่อนไอ้จูน ผมกลับแปลกใจที่เขายอมกลับไปดีๆ โดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของฟรานซิสดูตึงเครียดราวกับมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้

   ไอ้จูนเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังว่า มันอยู่ชั้นบนของบ้านกำลังนั่งดูโทรทัศน์ แต่มันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างล่าง มันเลยลงไป และก็เห็นไอ้เวรนั่นเดินอยู่อย่างเปิดเผย พอเห็นไอ้จูนเข้ามันเลยไล่ตามไอ้จูนขึ้นไปด้านบน เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อยเพราะไอ้จูนขว้างปาสิ่งของใส่มัน แต่ก็เหมือนยื้อเวลาให้ผมมา ถึงทุกอย่างจบอย่างทันท่วงทีเมื่อมีบอดี้การ์ดของฟรานซิสขึ้นมาช่วย

   และอีกอย่างที่ได้จูนขอร้องผม คืออย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่มัน มันไม่อยากให้ท่านสองคนเป็นห่วงและเครียดกับเรื่องนี้ ผมรับปากแต่ยื่นข้อเสนอให้มันว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่ดีแบบนี้อีกมันต้องรีบบอกผมทันที ผมไม่ได้พูดเรื่องไอ้บัสกับไอ้ปอนที่นอนอยู่โรงพยาบาลให้ไอ้จูนฟังเพราะกลัวมันกังวลและเครียดหนักเข้าไปอีก ผมยินดีอยู่เป็นเพื่อนมันโดยผมนอนเฝ้ามันอยู่ด้านล่าง ส่วนไอ้จูนก็นอนในห้องมันด้านบนและย้ำให้มันปิดหน้าต่างล็อคห้องใครเรียกก็ห้ามเปิดออกมาแม้กระทั่งตัวผมจนกว่าจะเช้า

   ตลอดทั้งคืน ผมแทบจะข่มตาให้หลับไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ ประเดประดังเข้ามาจนทำให้ผมกลุ้มจนหัวแทบระเบิด พาลให้ความเครียดลงท้องปวดเนืองเป็นๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา

   ผมย้อนคิดไปว่าหากผมไม่รู้จักกับพวกไอ้บัสไอ้ปอนและไอ้จูนตั้งแต่แรก พวกมันคงไม่ต้องเดือดร้อนแบบนี้ มีแต่ผมเท่านั่นที่ต้องยืนดูเหตุการณ์พวกนี้โดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกไปได้ ไม่สามารถบอกพวกมันว่าทั้งหมดนี้สาเหตุเป็นเพราะผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรแต่มันคับแค้นอยู่ในอกเหมือนคนน้ำท่วมปากที่ไม่สามารถอธิบายหรือพูดอะไรออกไปได้ ตัวผมตอนนี้ไม่ได้ต่างกับเนื้อเน่าที่ไปอยู่กับใครก็พาคนนั้นมีกลิ่นเหม็นคลุ้งติดตัวไปด้วย

   ผมควรจะทำยังไงดี!



   หลังจากที่ผมบอกลาไอ้จูนออกมาแต่เช้าเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพ่อกับแม่มันก็จะกลับมาแล้ว พอได้เห็นว่าสีหน้ามันดูสดชื่นขึ้นผมก็รู้สึกเบาใจแต่ความรู้สึกผิดก็ไม่ได้เลือนหายไปด้วย ผมเดินกลับมายังโรงพยาบาลที่ไอ้บัสกับไอ้ปอนพักอยู่ เมื่อผมมาถึงก็เห็นมันสองคนแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทกำลังเก็บข้างเก็บของกันอยู่

   “ไอ้ปอนไอ้บัส หมอขึ้นตรวจแล้วเหรอวะ”ผมร้องทักและรีบเข้าไปหา

   “ขึ้นตรวจแล้ว ตอนนี้หมอบอกพวกกูกลับบ้านได้ เห็นมั้ยว่ามึงไม่ต้องกังวลเกินเหตุ”ไอ้บัสหันมาทางผมยังคงเก็บของต่อ ผมเลยบอกให้ทั้งสองคนไปนั่งและอาสาทำแทน

   “แล้วนี่มึงได้หลับได้นอนบ้างมั้ยเนี้ย หน้าตามึงดูไม่ได้เลยว่ะ ฮ๊ะๆ หรือว่า.....เจ้านายมึง”ไอ้ปอนชี้นิ้วมาทางผมทำหน้าตาล้อเลียน

   “มึงคิดอะไรกูรู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ขายังจะเอาอีกมั้ยห๊ะไอ้ปอน”ผมตบลงไปที่ท่อนขาของมันแต่แค่ให้เฉี่ยวๆ แผล

   “โอ๊ย! กูแค่ล้อเล่น”

   “ปากดีไปเหอะมึง”ผมค้อนตาคว่ำให้ไอ้ปอนก่อนจะยัดสัมภาระใส่ถุงที่มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ผมกลับสงสัยว่าไอ้พวกของกินเล่นนี่มันมาจากไหน ทั้งที่เมื่อคืนผมยังเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลย

   “ของพวกนี้มาจากไหนวะ?”

   “เมื่อคืนหลังจากมึงกลับ พอดีน้องเนยมาเยี่ยมกูวะ”ไอ้ปอนเล่าไปเกาหัวแก้เขินไป

   “มาได้ไงวะ ผมถามอย่างอยากรู้”

   “ก็รู้จากโพสในเฟสของกูนั่นแหละ”

   “ร้ายนะมึง ที่แท้ก็หวังผล”ผมมองหน้าไอ้ปอนและแบะปากใส่มันอย่างหมั่นไส้

   “กูเปล่านะเว้ย มันเป็นเรื่องบังเอิญกูก็ไม่ได้คิดว่าน้องเนยเขาจะมา”

   “กูว่าน้องเนยมึงมีใจให้มึงแน่นอน”ไอ้บัสพูดขึ้นพลางเอามือลูบสันกรามตัวเองอย่างใช้ความคิด

   “แบบนั้นก็ดีสิวะ กูจะได้ไม่ต้องตามจีบ 11 ขั้นตอนให้เหนื่อย”

   “ระวังเถอะ อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็จะเสียไปง่ายๆ ได้เหมือนกัน”

   “มึงให้กำลังใจกูหน่อยก็ได้ไอ้ธัน ก็ใชสิ! มึงสบายไปแล้วนี่มีเจ้านายหล่อเหลา หน้าตาดี มีเงินถุงเงินถังคอยรับคอยส่ง จนกูงงว่าตกลงใครเจ้านายใครลูกน้อง”

   “ไอ้ปอน! ยังอยากนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักคืนมั้ย ฮึ!”

   “โอ๋เอ๋ กูล้อเล่นอย่างอนดิวะ”

   “ไม่ต้องมาง้อกูเลยกูโกรธ”

   “ไอ้บัสช่วยกูหน่อยสิวะ แม่งไอ้ธันงอนกูแล้ว”

   “ใครทำใครก็ง้อมันเองดิวะ อย่าเอากูไปเสือกด้วยกูไม่เกี่ยว”

   “พวกมึงสองคนจะไปไม่ไป”ผมออกตัวเดินนำไอ้คนเจ็บสองตัวที่ยังหยอกยังล้อกัน ก่อนที่พวกมันจะเดินตามมา ไอ้บัสเดินได้ปกติไม่เป็นไร แต่ไอ้ปอนที่เดินกะแผกๆ กวักมือหยอยๆ ให้พวกผมรอมันเป็นภาพที่น่าสังเวทยิ่ง แล้วก็ไม่ไม่อีกที่ผมต้องเดินย้อนไปลากมันมาเดินไปด้วยกัน ผมลอบมองเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ผมพลางยิ้มบางๆ ความรู้สึกของผมมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่จะทำให้พวกมันเดือดร้อนอีก ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้อีกครั้งผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

   “ไอ้บัส ไอ้ปอน.....”ระหว่างที่นั่งแท็กซี่ไปส่งพวกมันสองคน เสียงแผ่วๆ ของผมก็เอ่ยเรียกพวกมันขณะนั่งคุยเรื่องสัพเพเห่ระทั่วไปอย่างครื้นแครงไม่เหมือนคนป่วยใดๆ พวกมันสองคนหันมามองผมด้วยความสงสัย เมื่อสีหน้าของผมมันบ่งบอกว่าผิดเพี้ยนไปจากปกติ

   “เป็นอะไรวะ จู่ๆ ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาหรือยังไม่หายโกรธกูอีก”ไอ้ปอนเอามือมากุมไหล่ผมหน้าหงอ

   “กูโกรธมึงจริงจังเป็นที่ไหน กูแค่มีเรื่องอยากจะพูดกับพวกมึงก็เท่านั้น”

   “ฟู่.....แล้วไป”

   “อะไรวะ? ขอให้เป็นเรื่องดีๆ นะเว้ย”ไอ้บัสแทรกขึ้นมาสีหน้ากังวลฉายขึ้น

   “กูขอบใจแล้วก็ขอโทษพวกมึงจริงๆ ”

   “ขอบใจ ขอโทษ เรื่องอะไรวะ อย่ามาพูดให้พวกกูงงดิ”

   “ขอบใจที่พวกมึงเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมากๆ.....”ผมพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกว่าเสียงของตัวเองมันกลับสั่นขึ้นมา แล้วพยายามพูดต่อตามความตั้งใจ“ขอโทษ....กับการที่ช่วยอะไรพวกมึงไม่ได้เลยสักอย่าง กูเห็นพวกมึงเจ็บทั้งๆ ที่กูยังอยู่ดีแล้ว....กูรู้สึก....”ไม่ทันที่ผมจะพูดจบน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา แม้พยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วก็ตามที ผมรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาก้มหน้างุดไม่กล้าสู้หน้าพวกมัน ไอ้ปอนกับไอ้บัสได้แต่เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ

   “ไอ้ธันแม่งอย่าคิดมาก ถ้าเรื่องอุบัติเหตุมันเกี่ยวกับมึงที่ไหนอย่าร้องดิว่ะ แม่งไม่แมนเลย เดี๋ยวกูก็ร้องตามอีกหรอก เชี่ย!”ไอ้ปอนตาแดงๆ พูดปลอบผม ผมพยายามส่ายหน้า เพราะความหมายที่ผมพูดถึงพวกมันไม่สามารถรู้ได้

   “ถ้าเรื่องนี้มันใช่เรื่องที่มึงต้องมาขอโทษพวกกูมั้ย ไอ้บ้าเอ้ยทำตัวให้มันร่าเริงหน่อยดิวะ ถ้าไอ้ปอนมันตายก็ว่าไปอย่าง”

   “เชี่ย! แล้วทำไมต้องกูวะ”ไอ้ปอนหน้าเหวอมองไอ้บัสงงๆ

   “ก็อย่างที่สุภาษิตโบราณเขากล่าวไว้ว่า เพื่อนกินหาง่าย แต่ถ้าเพื่อนตายก็ได้ไปกินงานศพไงวะ”

   “ไอ้เชี่ยบัส!”แล้วเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อยภายในรถก็เกิดขึ้น ผมที่อยู่ระหว่างกลางก็ต้องทำหน้าที่ห้ามทัพทั้งสองตัวที่เริ่มตีกันให้วุ่น บรรยากาศอึมครึมเมื่อครูเริ่มมลายหายไปบ้างแล้ว ผมเริ่มยิ้มได้ขึ้นมากับเรื่องเรียบง่ายแบบนี้ที่ไม่มีที่ไหนให้ผมได้เท่ากับคำว่าเพื่อนอีกแล้ว

   นี่รึเปล่าที่เขาเรียกว่าเพื่อนคือคนที่จะทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้ทั้งน้ำตา

   กูรักพวกมึงจริงๆ เพราะฉะนั้นกูจะไม่ยอมให้พวกมึงมาเจอเรื่องเลวๆ แบบนี้อีกแล้ว กูสัญญา!
   




>>>> to be continued :bye2: o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 19 UP DATE 5/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 05-09-2016 21:49:35
โอ้ยหนอชีวิต ใจจะขาดแทนธัน ขนาดเราเป็นคนอ่านยังรับไม่ไหวเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 19 UP DATE 5/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-09-2016 00:18:00
สงสารธันจัง หนี้ก็ไม่ใช่ของตัวเองยังต้องมาชดใช้แถมโดนขู่แบบนี้อีก ชีวิตจะอาภัพไปถึงไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 19 UP DATE 5/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 06-09-2016 10:21:16
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 06-09-2016 19:56:14



20




   พรึบ!

   เสียงสะบัดปลายผ้าปูที่นอนผืนใหญ่พลิ้วไหวไปกับแรงลม ก่อนจะถูกพับเก็บลงตะกร้าอย่างดี รวมถึงปลอกหมอนผ้าห่มที่ถูกอาบแสงแดดจนส่งกลิ่นหอมอุ่นเคล้ากับกลิ่นกรุ่นของน้ำยาปรับผ้า ผมยกตะกร้าที่จัดการเก็บผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามายังภายในบ้าน ที่สะอาดสะอ้านถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างดี ไม่มีที่ให้ฝุ่นได้เกาะจับแม้แต่น้อย ข้าวข้องต่างๆ ที่เป็นข้าวสารอาหารแห้งไล่ไปจนถึงของใช้ภายในห้องน้ำก็ถูกผมจัดเตรียมไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

   แม้บางอย่างเจ้าของบ้านจะเห็นว่ามันไม่สำคัญ หรือไม่ใส่ใจผมก็จัดการหามาไว้ให้ไม่ขาด เมื่อยามจำเป็นขึ้นมาก็สามารถหยิบใช้ได้ไม่ขาดมือ

   ผมพับปลอดหมอนผืนสุดท้ายที่ถูกรีดจนเรียบเข้าเก็บในตู้ ก่อนจะได้กลิ่นข้ามฟุ้งของข้าวหุงสุกใหม่อบอวนลอยมาเตะจมูก ผมใช้มือปัดผ้ากันเปื้อนสองสามครั้งก่อนจะเดินตรงรี่ไปยังห้องครัวเปิดฝาหม้อขึ้นดูผลงานพานให้ยิ้มออก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังโทรศัพท์บ้านเมื่อเห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้ว

   “เอ่อ ผมเองครับ”ผมต่อสายถึงเจ้าของบ้านเมื่อสายตาเหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย

   “[น่าแปลกใจนะที่นายโทรมา มีอะไรรึเปล่า]”เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มถามไถ่ผมอย่างเป็นห่วง สองสามวันมานี้ฟรานซิสดูจะอ่อนโยนกับผมเป็นพิเศษ ทั้งการกระทำและคำพูด ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งการหยอกล้อให้ผมขุ่นโกรธหรือบังคับให้ผมทำอะไรหลายๆ อย่างสองสามวันนี้กลับไม่มีให้เห็น กลับบ้านมาเขาก็แค่พูดคุยกับผมไม่กี่คำก็ขึ้นห้องตัวเองไป ผมนั่งรอเวลาที่เขาจะขอให้ผมช่วยอะไร วูบหนึ่งในบางครั้งผมรู้สึกเหงาจนคิดว่าตัวเองคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เลยต้องกลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยลาฟรานซิสสักคำ อ้อ.....ผมคงลืมบอกไปว่าผมไม่ได้ไปไหนแต่ยังพักอยู่กับไอ้บัส เพราะมันของร้องไว้ แต่อีกไม่นานผมคงไม่รบกวนมันแล้วล่ะ

   แต่ทว่า.....สิ่งที่สะท้อนกลับมายังตัวผมจากการกระทำของเขานั้นผมไม่สบายใจสักเท่าไหร่

   “เปล่า ผมแค่จะโทรมาถามว่าคุณมีธุระต่อรึเปล่าเพราะมันเอ่อ.....เลยเวลากลับบ้าน”มันไม่ใช่เป็นการจับผิด อาจจะดูเจ้ากี้เจ้าการไปบ้างแต่วันนี้ผมอยากให้เขากลับมาทันทานข้าวมื้อเย็นจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าฟรานซิสจะกลับมาทันหรือไม่ หรือติดธุระอะไรผมกลับทำอาหารรอเขาไปซะเรียบร้อยแล้ว

   สองวันมานี้ผมทำตัวดีจนอาจดูผิดปกติ ผมแค่ทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเอง หาข้อดีกลบเกลือนความสกปรกของตัวเอง ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันไม่ได้ช่วยเลย ข้อนั้นผมรู้ดี แต่ก็อยากจะทำ ทำให้ดีที่สุดแม้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พูดคุยกับฟรานซิสในช่วงเวลาที่เขายังเห็นว่าผมยังดีอยู่

   “[หืม.....นี่ไม่ใช่ว่านายกำลังโทรตามให้ฉันกลับบ้านหรอกนะ]”

   “ไม่ใช่ครับ!”ผมปฏิเสธทันควันก่อนจะพูดต่อ“เอ่อ ก็อาจจะใช่”ผมก้มหน้าลงต่ำมือกำสาบผ้ากันเปื้อนไว้แน่น หัวใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนคนกำลังตื่นเต้น

   “[อีกสักพักฉันถึงจะกลับ นายมีเรื่องเร่งด่วนก็บอกฉันได้เลย หรืออยากไปไหนฉันจะให้อาเธอร์ไปส่ง]”ผมคิดเอาเองได้มั้ยว่าผมรู้สึกเหมือนฟรานซิสกำลังหลบหน้าผมอย่างแนบเนียน การเห็นหน้าเขาเพียงไม่กี่นาทีมันทำให้ผมรู้สึกโดดเดียวอย่างบอกไม่ถูก

   “เปล่าครับ.....”น้ำเสียงของผมมันเจือไปด้วยความผิดหวัง แต่ผมจะทำอะไรได้นอกเสียจากยอมรับมัน

   “[ธัน]”แล้วจู่ๆ คนปลายสายก็เรียกชื่อผมขึ้น ทั้งที่ผมกำลังจะวาสาย

   “ครับ”

   “[ฉันเปลี่ยนใจแล้ว รอฉันอยู่ที่บ้านฉันกำลังจะกลับ]”หัวใจผมเต้นระรัวขึ้นมาเมื่อได้ยินในสิ่งที่ฟรานซิสพูด และผมได้ยินเสียงสนทนาของฟรานซิสกับอาเธอร์ดังแว่วๆ ก่อนสายจะตัดไป และแน่นอน ผมอดใจรอที่จะเตรียมมื้อเย็นรอเขาไม่ไหว

   50 นาทีผ่านไป เสียงประตูเปิดออกผมถอดผ้ากันเปื้อนขึ้นแขวนก่อนจะตรงไปยังที่มาของเสียง ฟรานซิสเดินสง่าและดูดีในชุดสูทเข้ามาด้านใน ผมเดินเข้าไปช่วยถือกระเป๋าของเขาและนำมันไปเก็บ ก่อนลงมาและเห็นว่าฟรานซิสยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองผมราวกับมีคำถาม

   “ของพวกนี้นายเตรียมไว้?”

   “ความจริงผมเตรียมมันไว้ทุกวันแต่ดูเหมือนคุณจะทานมาจากข้างนอก”ฟรานซิสเลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าก่อนจะนั่งลง ผมเลยยกจานของเขาไปตักข้าวร้อนๆ มาวางตรงหน้าหนึ่งที่

   “กินด้วยกันสิ”

   “ไม่เป็นไร ไว้ผมจะกินหลังจากนี้ดีกว่า”ผมถอยห่างออกไปหมายจะให้ฟรานซิสมีความเป็นส่วนตัว แต่กลับถูกมือหนาคว้าเอาไว้ สัมผัสจากมือของฟรานซิสทำให้ส่วนที่เขาจับอยู่ร้อนผ่าวขึ้น ผมยกมือขึ้นกุมอกซ้ายของตัวเองและราวกับว่าหัวใจของผมมันจะเต้นแรงผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นถึงขั้นนี้ แค่เรื่องสัมผัสกันผมกับฟรานซิสเลยขั้นจับมือถือแขนไปมากแล้วแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่เอาสถานะใดๆ มาเรียกไม่ได้

   แต่ทว่า.....ทำไมผมถึงได้ใจเต้นกับไอ้เรื่องขี้ประติ๋วขนาดนี้

   “ฉันให้นายนั่งกินด้วยกันก็นั่งสิ”ผมเลี้ยงไม่ได้ที่จะไปตักข้าวของตัวเองมาเพิ่มอีกจานแล้วนั่งลงใกล้ๆ กับฟรานซิส บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเวลานี้รู้สึกเย็นเยือกจนผิดปกติ ผมเกร็งต่อหน้าเขาราวกับเพิ่งรู้จักกัน

   ทันทีที่ผมนั่งลง ฟรานซิสก็ผุดลุกขึ้น เขาเดินไปที่ตู้เก็บไวน์ก่อนจะดึงเอาไวน์แดงขวดหนึ่งออกมาพร้อมเกี่ยวเอาแก้วทรงสูงกลับมาอีกสองใบ ผมมองฟรานซิสที่เดินไปมา เขาวางแก้วใบหนึ่งตรงหน้าผมก่อนจะรินไวน์แดงที่ส่งกลิ่นหอมหวานละมุนบ่งบอกถึงรสชาติให้ผมในปริมาณพอดี แล้วกลับไปนั่งยังที่ของตัวเอง ผมส่งสายตามองฟรานซิสด้วยความไม่เข้าใจ เขาอยากจะกินไวน์กับข้าวสวยมันเขากันรึไง

   “หากคุณอยากกินผมลุกไปหยิบให้ได้”

   “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้นายไม่ได้บกพร่องหรอก แต่นายทำให้ฉันประหลาดใจที่โทรหา”ผมวางช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวลง รู้ว่าตัวเองต้องตอบคำถาม

   “เอาเป็นว่า ผมแค่อยากให้คุณกลับมากินข้าว”ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปตักผัดเปรี้ยวหวานใส่จานของฟรานซิส เจ้าตัวกระตุกมุมปากยิ้นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วผมก็จัดการข้าวตรงหน้าของตัวเอง

   ไปๆ มาๆ ก็มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่กินแหลก ฟรานซิสกินไปได้แค่สองสามคำก็วางช้อนแล้วนั่งจิบไวน์นั่งมองผมกินข้าวซะแทนจนผมต้องย้อนถามเขาอย่างไม่เข้าใจ

   “คุณนั่งมองผมอย่างเดียวมันอิ่มได้ด้วยรึไง หรือว่ากับข้าวที่ผมทำมันไม่อร่อย”ผมขมวดคิ้วจ้วงกับข้าวเปล่าๆ เข้าปากเพื่อพิสูจน์รสชาติทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ได้แน่สักหน่อย

   “เปล่า เพียงแต่ฉันแค่อยากนั่งมองนายกินมันเพลินดี”

   “สุดท้ายผมก็กินข้าวคนเดียวอยู่ดี”

   “ที่นายรอฉันทุกวันเพราะอยากให้ฉันกินข้าวเป็นเพื่อน?”ผมเพิ่งจะได้สติว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จึงคว้าไวน์ที่เขารินให้มาดื่มกินแก้จุกแทนน้ำ

   “แฮ่กๆ เปล่า ผมก็แค่ทำหน้าที่ตามปกติ แต่คุณไม่สังเกตเองต่างหาก”

   “ฮึๆ ฉันคงเป็นเจ้านายที่แย่ในสายตานาย”

   “ผมไม่ได้จะว่าคุณแบบนั้นสักหน่อย เอาเป็นว่าถ้าคุณอิ่มแล้วผมจะเก็บล่ะนะ”

   “อืม”เขาพยักหน้าผมเลยจัดการเก็บจนเกลี้ยง ส่วนฟรานซิสก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองผมทุกอิริยาบถแม้กระทั่งผมยืนล้างจานเขาก็ยังไม่วางตาผมสัมผัสได้

   ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจ แต่กลับประหลาดที่ผมรู้สึกอุ่นใจเสียมากกว่าที่มีเขานั่งอยู่ตรงนี้ ผมคิดเพลินจนกระทั่งเผลอยิ้มให้กับความคิดโง่ๆ ของตัวเองว่าหากเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี

   จานใบสุดท้ายถูกผมล้างคราบมันจนเกลี้ยงสะอาด ก่อนจะหยิบไปคว่ำรวมกับใบอื่นๆ แล้วหมุนตัวกลับแต่ทว่ากับต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเจอเข้ากับร่างสูงสง่าที่มายืนซะแทบชิดอยู่ด้านหลังของผม ที่ตกใจไปกว่าคือผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาลุกมาจากเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากยิ้มกริ่มอยู่ลำพังผมถึงกับต้องหุบมันแทบทันที

   “ทำไมไม่ยิ้มต่อล่ะ ดูนายมีความสุขดี”ฟรานซิสเอื้อมมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผมออกอย่างอ้อนอิ่งราวกับจงใจก่อนจะยิ้มบางๆ ใช้ดวงตาคู่คมจ้องมามายังใบหน้าของผมราวกับพินิจพิเคาระห์ซะถี่ยิบ

   “คุณทำตัวแปลกไป หลายวันมานี้คุณแทบจะไม่เข้าใกล้ผม”หลายครั้งที่ผมกังวลแทบบ้า ว่าเขาอาจจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างหรือระแคะระคายบ้างเลยปฏิบัติต่อผมแบบนั้น แต่ทว่าผมคงคิดผิดอาจมีเหตุผลอื่น

   “หรือว่านายตั้งตารอฉัน”

   “มันก็ใช่ แต่สำหรับวันนี้เท่านั้น ผมแค่มีเรื่องจะพูดกับคุณ”ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูง พลันต้องหลุบตาต่ำเมื่อความมั่นใจจะพูดมันหดหายไปทันที่เข้าจ้องมองกลับมา

   “เรื่องสำคัญรึเปล่า”

   “มันก็สำคัญ หรือไม่ก็ดูไม่สำคัญ เอ่อ....คุณกำลังเบียดจนผมไม่มีที่จะยืนแล้ว”ผมใช้มือที่ยังเปียกชุ่มผลักอกคนตรงหน้าที่ไล่บี้เสียจนสะโพกผมชนขอบอ่างล้างจาน

   “ฉันจะฟังหลังจากนี้”ฟรานซิสเอื้อมมือหนาเข้ามารังเอวของผมเอาไว้ก่อนจะก้มหน้าลงมา ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรนั่นถึงกับทำให้ผมเอี้ยวตัวหลบพัลวัน

   “คุณฟรานซิส ผมจริงจังนะ”ผมเน้นย้ำเรื่องที่ตัวเองจะพูดว่ามันจริงจัง แต่เขากลับไม่เห็นว่ามันสำคัญ แต่เบี่ยงประเด็นไปทำเรื่องอื่น

   “ฉันก็จริงจัง หลายวันมานี่ฉันอยู่ห่างจากนายพอแล้ว”

   “คุณ หมายถึงอะไร?”ผมขมวดคิ้วจนแทบเป็นเครื่องหมายคำถาม

   “ฉันให้เวลานาย เพราะคิดว่านายคงกำลังไม่สบายใจเรื่องเพื่อนของนาย แต่ว่า วันนี้นายกลับโทรหาฉันแล้วทำน้ำเสียงเหมือนผิดหวังที่ฉันจะไม่กลับมา ความอดทนของฉันมันถึงขีดจำกัดแล้ว”
 
   “อดทน ถึงยังไงผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมคิดว่าคุณกำลังหลบหน้าผมซะอีกก็คุณเล่นพูดกับผมไม่กี่คำแล้วก็เข้าห้องตัวเองไป แบบนั้นผมก็ลำบากใจน่ะสิ”ผมพลั้งปากพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างต่อว่า ถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองผมเรื่องไหนผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้

   ไม่ ไม่ ไม่! แล้วทำไมผมต้องมาแคร์ความรู้สึกฟรานซิสให้วุ่นวายด้วย ผมกำลังเป็นอะไรไปเนี้ย!

   “นายโกรธ?”

   “ก็แน่สิ คุณทำให้ผมทิ้งกับข้าวไปตั้งหลายมื้อ มันไม่คุ้มกับค่าแก๊สค่าไฟเลย”จู่ๆ ฟรานซิสก็หัวเราะออกมา เขามองผมราวกับตัวตลกที่พูดได้ไม่หยุดปาก

   “แค่นั่นมันเงินฉันไม่ใช่รึไง”

   “อ้อ ผมลืมไปว่าคุณมันรวยจะทิ้งกับข้าวไปสักกี่มื้อก็ได้สินะ”ผมทำตาดุใส่ฟรานซิสที่อ้มยิ้มไม่หุบ แล้วพยายามแกะมือเขาออก แต่มันกลับเหนียวแน่นราวกับเงื่อนตายไม่มีผิด

   “เวลานายโกรธฉันเพิ่งสังเกตว่าหูของนายมันแดง”

   “หู?”ผมยกมือขึ้นปกป้องหูตัวเองอย่างไว เริ่มรู้สึกถึงความกระดากอายขึ้นมาเมื่อถูกคนตรงหน้าลอบสังเกตจนแทบไม่มีความลับอะไรให้ปกปิด“คุณคิดจะล้อผมรึไง ทีคุณเถอะชอบเดินเปลือยโชว์คนอื่นหน้าไม่อาย”

   “หืม.....นั่นเพราะฉันไม่มีอะไรต้องปกปิดในเมื่อนายก็เห็นอยู่แล้ว”หน้าของผมถึงกับร้อนผ่าว ฟรานซิสเอ่ยสิ่งที่เขาคิดออกมาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ คนที่เขินอายกลับเป็นผมแทน“หรือว่าที่ฉันพูดมันไม่จริง ส่วนร่างกายนายฉันก็สัมผัสมาทุกส่วนแล้วเหมือนกัน”

   แค่พูดอะไรที่มันดูสองแง่สองงามผมก็อายจะแย่อยู่แล้ว แต่เขากลับแทรกขาเข้ามาระหว่างลำตัวของผมแล้วแกล้งขยับเสียดสีจนผมเผลอสะดุ้ง คนตรงหน้ายิ้มย่องอย่างพอใจไม่ปิดบัง

   “คุณฟรานซิส ถอยออกไปครับ”

   “แน่ใจเหรอว่าให้ฉันถอยไปตอนนี้ ในเมื่อ.....”เขาก้มลงมองต่ำผมรู้ว่าเขาจงใจยั่วโมโหผม ให้ผมรู้สึกอับอายเป็นใครก็ต้องรู้สึกหากโดนกระทำแบบนี้ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน

   “มันก็เพราะคุณไม่ใช่รึไง”

   “งั้น.....ฉันจะรับผิดชอบก็แล้วกัน”

   ไม่ทันไรฟรานซิสก็ยกสะโพกผมขึ้นวางบนขอบเคาเตอร์พลันทำผมตกใจตาเปิกโพล่ง เหมือนฟรานซิสจะรู้ทันว่าผมไม่ยินดีด้วยจึงรีบหยุดการเคลื่อนไหวของผมโดนการเบียดกายเข้ามาระหว่างท่อนขาของผมก่อนจะส่งจูบที่ดูร้อนแรงราวจะมอดไหม้ให้กับผมเพื่อเป็นการปิดปาก มือของฟรานซิสเลื่อนขึ้นเชยคางผมขึ้นให้รับกับองศาของเขาก่อนกดริมฝีปากผมให้เผยอพลันสอดลิ้นอุ่นร้อนที่ดูชำนาญเข้ามาสำรวจภายในปากของผมอย่างตื่นตัว ผมส่งเสียงไม่เป็นภาษาเผลอตอบรับจูบอันเร่าร้อนเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น พละกำลังหลังกินข้าวช่างไร้ประโยชน์ในเมื่อถูกร่างสูงฉกฉวยไปแทบหมดสิ้น

   ผมจะชอบคุณเขาดีหรือไม่ที่ปล่อยให้ผมได้หายใจเข้าปอดอย่างเต็มที แต่ทว่าเรียวลิ้นที่ซุกซนกลับไม่อยู่นิ่งเล่นตวัดไล่เลียไปจนถึงใบหูขาวจนผมครวญครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน รูขุมขนบนร่างกายของผมมันหดตัวอย่างรวดเร็วเมื่อถูกปลุกปั่นอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย

   “วันนี้ฉันจะกินนายแทนอาหารพวกนั้นก็แล้วกัน”เสียงทุ้มต้ำแกล้งกระซิบใกล้ลำคอพ่นรดลมหายใจอุ่มจนผมสั่นไหว ก่อนริมฝีปากหยักจะเข้ามาครอบครองริมฝีปากของผมอีกครั้ง ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัว ฟรานซิสที่รู้วิธีที่จะทำให้ผมเคลิบเคลิ้มค่อยๆ ถอดเสื้อผมออกจนท่อนบนเปลือยเปล่า ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากผมที่สลัดเครื่องสูทราคาหลักแสนโยนลงพื้นอย่างไม่แยแส

   ภาพที่มองผ่านดวงตาของผมเริ่มลางเลือนจนแทบมองไม่ชัด แต่สัมผัสที่ได้รับจากคนตรงหน้ากับชัดเจนเสียยิ่งกว่า อีกครั้งที่ร่างกายผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหน้าปัดป่ายไปทั่วเรือนร่างก่อนเลื่อนลงต่ำปลุกปั่นส่วนล่างของผมจนรู้สึกได้ หน้าท้องของผมหดเกร็งตามแรงขยับของมือฟรานซิส ผมหอบหายใจถี่ ปลายนิ้วเท้างองุ้มราวกับอดทนกับความเจ็บปวด ใบหน้าที่พร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อซุกลงกับอกกว้างที่หายใจหอบถี่ด้วยแรงปรารถนา

   “นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการนายมากแค่ไหน”เสียงที่ทรงเสน่ห์ยามนี้ทำผมหัวใจแทบระเบิด เมื่อร่างกำยำนำมือของผมลงสัมผัสกับส่วนแกร่งที่กำลังแข็งขืนดูดุดันภายใต้กางเกงสีดำ ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็วแต่กลับถูกรั้งมือไว้ไม่ให้หนีห่าง ความเป็นชายของเขาผมไม่สามารถเทียบได้ และนานเข้ามันกลับยิ่งทำให้ผมตื่นตะลึง เมื่อเขาเห็นว่าผมตระหนักดีแล้วกับควมต้องการนั้น ฟรานซิสจึงไม่รอรีสอดนิ้วเข้าสาละวนตระเตรียมช่องทางให้อย่างดี

   “อื้อ......ฟรานซิส”ผมครางชื่อเขาออกมาราวกับจะบอกว่าผมไม่ไหว สองมือของผมประคองกอดลำคอของเขาดึงเอาไหล่กว้างเป็นที่พึ่งพิง

   วูบเดียวที่ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อสะโพกถูกคนตรงหน้าโอบลอยแล้วปล่อยให้ความรู้สึกของเขาทั้งหมดจมลึกเข้าไปในร่างกายผม ท่อนขาขาวเนียนเกี้ยวกระหวัดกับร่างสูงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคนตรงหน้าเริ่มขยับอย่างเชื่องช้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นรุกเร้าจมผมหายใจไม่ทั่วท้องแม้พยายามกลั้นเสียงร้องแต่ก็ทำไม่ได้นาน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วฟังดูหยาบโลนแต่คนที่สนคงมีแต่ผมคนเดียว

   ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฟรานซิสโถมกายเข้าหาผมอย่างรั้งไม่อยู่ แม้จะไม่ใช่เตียงนุ่มแต่เขากลับจัดการหาวิธีที่ผมได้แต่เป็นผู้คล้อยตามจนนับครั้งไม่ถ้วน 

   “คุณฟรานซิส ผม.....ไม่ไหว”นั่นเป็นคำร้องขอจากใจจริงของผม ร่างกายทั้งร่างถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงจนยากจะเคลื่อนไหว คนร่างสูงจึงเป็นธุระให้ช้อนตัวผมขึ้นก่อนจะพาขึ้นให้ได้สัมผัสกับเตียงนุ่ม แต่เหมือนกลับเว้นระยะให้เขาได้ฟื้นตัวฟรานซิสยังคงมีความปรารถนา ขัดเสียแต่ว่าผมสนองเขาไม่ได้แล้วเท่านั้น ฟรานซิสจึงยื่นข้อเสนอให้ผมเพื่อเป็นการยุติความต้องการของเขาในคืนนี้

   “หากนายจูบ ฉันจะให้นายหลับอย่างสบาย”ผมไม่มีทางเลือกพลันยันกายขึ้นก่อนจะส่งมือบางที่ยังคงสั่นเข้าโอบแก้มสากก่อนจะส่งจูบให้จนคนตรงหน้าจนพึงพอใจ“นายทำได้ดีแล้ว นอนเถอะ”รอยยิ้มบางๆ ตะแคงกายค้ำยันศีรษะด้วยฝ่ามือลูบใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาและปล่อยให้ผมได้ชาร์ตพลังโดยการเดินทางเข้าสู่ห้วงนิทรา

   พลันผมนอนหลับสนิท ร่างสูงสง่าก็พลันลุกออกจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมเข้าคลุมร่างก่อนจะคว้าโทรศัพท์ต่อสายเข้าหาคนสนิท เริมบทสนทนาด้วยใบหน้าตึงเครียดแทบจะทันที




>>>>> to be continued  :bye2: o13

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-09-2016 23:23:09
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 06-09-2016 23:38:38
โอยยยยย สงสัย จะเกิดอะไรขึ้นกับธัน แล้วฟรานซิสกำลังจะทำอะไร  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 07-09-2016 10:37:31
รอๆ ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-09-2016 13:14:27
โอ๊ยยยยยยยย รีบมาต่อนะคะ อยากรู้ว่าฟรานซิสพูดอะไรถึงได้เครียดซะขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 07-09-2016 14:57:11
สนุกมากๆๆรอตอนต่อไปนะ
+1และเป็ดนะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 07-09-2016 21:56:36
ลุ้นมากกกกกกกกค่ะ
มารอตอนต่อไป  :z3:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ben10 ที่ 08-09-2016 16:55:42
ฮือออ ขัดใจ ธันบอกความจริงทีเถอะะะะะะ คนเขียน อย่าดราท่าน่า เค้าไม่ชอบเศร้ากว่านี้แล้ว งื้ออออ :mew2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 20 UP DATE 6/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 08-09-2016 21:55:36
อึดอัดใจจัง
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 2 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 09-09-2016 18:53:30





21





   
   เช่าวันรุ่งขึ้นผมตื่นก่อนคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผมนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อเก็บภาพของคนตรงหน้า แล้วตัดสินใจพยุงตัวลุกขึ้นเบาๆ ก้าวย่างให้นุ่มราวกับปุยนุ่นเพื่อไม่ให้ฟรานซิสที่หลับอย่างสนิทตื่นขึ้นมา ผมใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ฟรานซิสยังคงนอนท่าเดิมไม่ขยับไปไหนผมยืนอยู่ปลายเตียงจ้องมองเขาอยู่นานสองนาน ก่อนจะเดินวกไปที่โต๊ะทำงานของฟรานซิสแล้วใช้ปากกาจรดเขียนบางอย่างลงในกระดาษ เขียนในสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับเขาแต่ไม่มีโอกาส

   วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่นี่ อาจจะมารยาทแย่ไปหน่อยที่ไม่ได้บอกเขาตรงๆ แต่แบบนี้มันคงจะดีกว่า

   ผมเดินออกจากเพนท์เฮาส์พลางก้มหน้างุดราวกับไม่อยากมองเห็นใคร พลันมีเสียงๆ หนึ่งหยุดผมไว้เสียก่อน

   “จะไปไหนแต่เช้า หรือเพิ่งจะกลับ?”

   “คุณนาวี.....”ผมพึมพำชื่อของคนที่พบเจออย่างรู้สึกประหลาดใจ หากเป็นอาเธอร์ผมคงจะไม่แปลกใจเท่านี้ แต่ทว่านาวีเขาก็เป็นเลขาคนสนิทของฟรานซิสด้วยมันคงจะไม่แปลก

   “คุณมากกว่าครับมาที่นี่ในวันหยุดมีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ”ผมเบี่ยงประเด็นถามคำถามแล้วเผยยิ้มน้อยๆ พยายามเป็นมิตร

   “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตอบใครได้สุ่มสี่สุ่มห้า”

   “เหรอครับ งั้นผมก็มีสิทธิ์ไม่ตอบคำถามเหมือนกันสินะครับ เชิญคุณนาวีตามสบายนะครับ”ผมยิ้มทิ้งทายก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ส่งเสียงเฮอะออกมาด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ผมว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกไม่แพ้ผมเหมือนกัน




   หลังจากออกมาจากเพนท์เฮาส์ของฟรานซิสแล้ว ผมก็กลับมาที่บ้านของไอ้บัสแต่ก็ไม่ได้เข้าไปด้านในเพียงแต่ทิ้งจดหมายใส่ตู้ไปรษณีย์ไว้ก็เท่านั้นเพื่อบอกว่าผมจะกลับบ้านไปสักพัก ก่อนจะเดินหันหลังเพื่อไปในที่ที่ผมต้องสะสาง ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูและตรวจเช็คพัสดุว่าอยู่ในขั้นตอนไหนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าโบกแท็กซี่แล้วไปหาไอ้แก่เฉิน

   ที่ๆ ผมลงไม่ใช่ห้องของโรงแรมหรือที่พักที่นัดเจอกันอย่างครั้งก่อน ครั้งนี้ผมมายังรังของมันโดยตรง ถ้ามองผิวเผินที่นี่ก็แค่บริษัทบริการเงินด่วนทั่วไปตามกฎหมาย แต่หากรู้จักคนในรับรองว่าไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น ผมมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่ครู่หนึ่งก็มีผู้ชายหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาหาก่อนจะพูดกับผมราวกับลูกค้าที่มาใช้บริการ แต่สิ่งที่เขาพูดมันต่างกับบทพูดสนทนาลูกค้าทั่วไป

   “เชิญด้านในครับ คนสำคัญกำลังรอคุณอยู่แล้วผมจะนำทางให้ครับ”และก็ตามที่เขาบอก ผมเดินตามเข้าไปด้านในอย่างว่างาย เดินเลยเข้ามาในห้องผู้จัดการสาขาก่อนประตูจะผูกผลักออกไปอีกห้องซึ่งเป็นด้านหลังของบริษัท เนื่องจากไม่มีคนจึงไม่มีใครสังเกตว่าผมเข้ามาทำอะไรที่นี่ ผู้ชายคนนั้นส่งผมเพียงแต่เท่านี้ แล้วเขาก็เดินกลับออกไป ผมมองห้องว่างๆ สีขาวสว่างที่ไม่ได้ใช้งานอะไร ก่อนจะเดินลึกเข้าไปก็เจอกับบันใดที่เป็นทางขึ้นไปชั้นสอง ประจวบเหมาะกับระหว่างทางที่ผมเจอเข้ากับลูกน้องของไอ้แก่เฉินเข้าพอดี

   “ขึ้นไปข้างบน หัวหน้ารออยู่”

   บริการการนำทางก็ไม่ได้แย่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากจะมาเลย

   “มาแล้วครับหัวหน้า”ภายในห้องทำงานของไอ้แก่เฉิน มันก็ไม่ได้ต่างไปจากออฟฟิตของผู้บริการที่ดูกว้างขวางสักเท่าไหร่ ทุกอย่างไม่ได้ถูกออกแบบให้ทันสมัย แต่เป็นการรวบรวมของที่ผู้นั่งอยู่ภายในห้องนี้พึงพอใจเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นไม้แกะสลักเป็นมังกร หรือภาพติดผนังที่มีตัวหนังสือภาษาจีนสีทองแปะอยู่ ถึงจะให้อารมณ์น่าแกรงขามแต่ผมกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนในรสนิยมของมันมากกว่า

   “รู้หน้าที่โดยที่กูไม่ต้องตามแบบนี้สมเป็นคนของกูหน่อย”

   “กูไม่ใช่คนของมึง อย่าเอากูไปเหมารวมกับพวกชั่วๆ ของมึงจะดีกว่า”ผมปฏิเสธสิ่งที่ถูกกล่าวหาแทบจะทันที ทุกสิ่งที่ทำผมไม่เคยเอามาคิดในสมองเลยว่าผมเป็นคนของใคร แต่ผมทำเพื่อคนรอบตัวของผมต่างหาก หากผมเพียงลำพังผมยอมให้มันฆ่าผมซะดีกว่า

   “ฮ่าๆ ยังปากดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะมึง ช่างมันเถอะวันนี้กูอารมณ์ดี ยังไงก็จัดการสิ่งนี้ให้เรียบร้อยด้วย”

   ไอ้แก่เฉินโยนห่อพัสดุที่ถูกแล้วให้ผม ผมรับมันมาและเข้าใจความหมายที่มันบอก เพราะข้อมูลที่ผมให้มันมาหากไม่มีรหัสก็ไม่สามารถเปิดดูข้อมูลด้านในได้ และผมเดาว่ามันคงฉุนไม่น้อยที่ไม่สามารถเปิดดูได้เอง ไอ้แก่เฉินมันก็ไม่ได้โง่อะไรมากมายที่จะไม่เข้าใจว่าผมทำไปเพื่ออะไร เพราะหากจับได้ผมมีสิทธิ์ป้อนรหัสผิดๆ แล้วข้อมูลก็จะถูกลบไปเอง หลักฐานก็จะหายไป

   แต่ทว่าจุดประสงค์นั้นมันก็อีกเรื่อง ผมแค่อยากจะเป็นคนเปิดข้อมูลนั้นด้วยตนเองเพื่อเอามาเป็นสิ่งประกันว่าทุกอย่างจะไม่ตุกติก หากมันเล่นไม่ซื่อผมก็จะลบข้อมูลนี้ทิ้งทันที

   “กูต้องการคอมพิวเตอร์”

   “พามันไปอีกห้อง เอาคนตามไปเท่าที่จำเป็น”ไอ้แก่เฉินลุกขึ้นเดินนำออกไป ลูกน้องสี่คนเดินประกบตามหลังผมมาก่อนจะผลักประตูอีกห้องที่ต้องใส่รหัสผ่านเพื่อเปิดประตูเข้าไป ในห้องนี้ก็เป็นแค่ห้องทำงานเอกสารปกติที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสองสามเครื่อง มีเครื่องถ่ายเอกสาร ตลอดจนปริ้นเตอร์หลายรุ่นว่างคู่คอมพิวเตอร์ไว้

   “เลือกเอาจะใช้เครื่องไหน”

   “มึงเลือกเอง เดี๋ยวจะหาว่ากูมีลูกเล่นอีก”ผมยืนเฉยรอให้คนของไอ้แก่เฉินเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใกล้ที่สุดให้ ผมลงไปนั่งก่อนจะพูดอะไรบางอย่างขึ้น

   “ก่อนที่จะเปิดดูข้อมูล น่าจะมีหลักประกันบอกกันหน่อยสิว่าเรื่องนี้มันจะจบ”ผมถีบตัวเองเลื่อนเก้าอี้ไปด้านหลังชำเลืองมองไอ้แก่เฉินอย่างมีเงื่อนไข

   “ฮึ! มึงก็ฉลาดไม่เบา ก็ได้ไม่มีปัญหา.....ใครก็ได้ไปเอาสัญญานั่นมาให้กูหน่อย”เพียงไม่นานไอ้แก้เฉินก็รับเอกสารมาจากมือลูกน้องตรวจเช็คความถูกต้องก่อนจะยื่นมันให้ผม

   ผมเปิดอ่านข้อมูลในกระดาษทีละแผ่นอย่างละเอียดไม่ยอมให้โดนโกงกันอย่างง่ายๆ จนผมมันใจว่าสิ่งที่ถืออยู่นั้นถูกต้องและยุติธรรม

   “นี่เป็นเอกสารหมดหนี้หมดสิน เลิกแล้วต่อกัน ทุกอย่างจะจบสิ้นทันทีหลังจากที่มึงเซ็นชื่อลงไป แต่ว่า”ไอ้แก่เฉินชักเอกสารกลับไปถือไว้ในมือ แล้วเยาะยิ้มออกมา ก่อนจะพูดอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย

   “จะเซ็นได้ก็ต่อเมื่อกูได้เห็นข้อมูลในโฟนเดอร์แล้วเท่านั้น ยื่นหมูยื่นแมวคงไม่น่าเกลียดสักเท่าไหร่”

   ว่าแล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ผมก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะ ในเมื่อผมเองก็มีแผนสำรองอยู่แล้วก่อนจะมาที่นี่ ถ้าทุกอย่างพังผมจะไม่ยอมพังไปด้วย

   ผมจัดการทำตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ เมื่อเข้าถึงโฟนเดอร์ก็ใส่รหัสที่ตั้งเอาไว้สิบหลัก ก่อนจะลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งราวกับยากเย็นนักที่จะเปิดมัน ทั้งที่แค่ปลายนิ้วคลิกทุกอย่างก็จะจบ แต่เพราะใบหน้าของใครบางคนก็เข้ามารบกวนสมาธิผมความรู้สึกอยากจะลบข้อมูลตรงหน้าทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปผมรู้ว่าจะเกิดความพังพินาศกับอีกคนแค่ไหนถ้าข้อมูลตรงหน้ารั่วไหลออกมา แต่ทว่ามันก็เป็นได้แค่ความคิดก็เท่านั้น

   คลิ๊ก!

   และทันทีที่ผมเข้ารหัสไปหน้าจอของคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทั้งหมดก่อนจะปรากฏรูปไฟล์ข้อมูลที่กำลังสลายไปเหมือนกับสายลม แล้วหน้าจอก็ดับวูบลงจนจอดำมืดปรากฏข้อความภาษาอังกฤษนับพันตัววิ่งวุ่นเป็นตัวสีขาวบนจอดำสนิทจนผมเหวอไปเล็กน้อย ก่อนจะถีบเก้าอี้ดันตัวเองออกมาอีกครั้งแล้วระเบิดเสียงหัวเราะสุดตัว

   “ฮ่าๆ ฮ่าๆ นี่มันบ้าจริงๆ ให้ตายสิ”ผมยังคงหัวเราะไม่หยุดจนน้ำตาแทบไหลพราก ไอ้แก่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ รวมถึงลูกน้องของมันถึงกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจพฤติกรรมสติแตกของผม

   “เกิดอะไร ไหนข้อมูลวะ!”

   “ฮ่าๆ มึงยังดูไม่ออกอีกเหรอวะว่าไฟล์มันโดนไวรัสแดก ดูดิแดกซะเกลี้ยงเลยสงสัยแม่งหิว ฮ่าๆ”ผมรู้สึกผิดหวังแต่ว่าในใจลึกๆ กลับดีใจจนบอกไม่ถูก ผมมันคงบ้าไปแล้ว

   ไม่รู้ว่ามีข้อผิดพลาดอะไร แต่ผมรู้สึกสะใจสุดๆ อยู่ดี จนแทบไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   “ไอ้เวร มึงตั้งใจจะหลอกกูตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ยห๊ะ!”

   ผั๊วะ!

   “เฮ๊อะ! หลอกอะไรวะ กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”ผมหัวเราะทั้งๆ ที่เพิ่งโดนหลังแหวนของไอ้แก่ตรงหน้าที่เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ผมเดาว่ามันคงโกรธจนควันแทบออกหู

   “ก็เห็นอยู่ว่ามึงทำไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้รึไงวะ!”

   “กูสาบานว่ากูไม่ได้ทำ ทุกอย่างมันเป็นเพราะคอมพิวเตอร์ของมึงเองก็ได้ ไหนล่ะสัญญาเอามาสิ”ผมยืนมือไปขอมันด้านๆ
   
   “อยากได้นักใช่มั้ย ก็เอาไปสิวะ! พาตัวมันไปกูจะจัดการกับเด็กเล่นลิ้นนี่ทีหลัง”ไอ้แก่เฉินฉีกสัญญาที่ผมขอจนละเอียดยิบก่อนจะโยนใส่หน้าผมด้วยโทสะ และออกคำสั่งให้ลูกน้องมันลากตัวผมไป อีกคนหยิบเทปกาวฉีกออกแล้วปิดปากผมจนสนิท ส่วนอีกคนก็เอาผ้ามาผูกตาผมไว้ ผมดิ้นแต่สู้แรงมันไม่ได้ 4 ต่อ 1 มันก็ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   ตอนนี้ผมอาจจะต้องคิดแล้วล่ะว่าชีวิตหลังความตายมันจะเป็นยังไง

   ผมรู้ตัวอีกทีก็ถูกโยนเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง ก่อนจะถูกเปิดตาออก บรรยากาศรอบๆ ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเลวร้ายเท่าไหร่นัก ยังคงเป็นห้องเก็บของเล็กๆ ที่มีกล่องลังวางเรียงกันอยู่เหมือนได้รับการดูแลบ้างบางส่วน สัมภาระของผมทั้งหมดถูกปลดออกเหลือแต่ตัวที่โดนเอามาขังไว้เหมือนหมาตัวหนึ่งก็เท่านั้น

   “อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องแท้ๆ”รอยยิ้มแสยะของชายสองคนที่ยังคงเข้าใจอย่างเดียวกับเจ้านายของมันว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของผมที่เล่นไม่ซื่อ ถ้าจะให้พูดตามตรงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนั้นได้ยังไง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งถอยเจ้าแฟลชไดร์ฟมาหมาดๆ เรียกได้ว่ายังไม่เคยไปเสียบใช้ที่ไหน แต่ทำไมถึงมีไวรัสที่รุนแรงขนาดนั้นได้

   “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!”ผมพยายามรั้งไอ้สองคนนั่นให้อยู่เพื่อถามอะไรบางอย่างแต่ทว่ามันกลับปิดประตูโครมใหญ่และตามมาด้วยเสียงล็อคประตูจากด้านนอกชนิดที่รอบคอบจนผมชักกลัวขึ้นมาจริงๆ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ผมจะทำอะไรได้นอกจากนั่งรอ




   “เรื่องสำคัญที่ฉันโทรบอกให้ติดตามไปถึงไหนแล้ว”

   “ครับ ตอนนี้ระบบแจ้งเตือนมาแล้วอีกฝ่ายน่าจะเปิดข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รวมถึงสถานที่เปิดเผยชัดเจนครับหลักฐานพวกนี้ทางเราได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการสำเร็จตามที่เราวางไว้ หากจะจัดการมันก็คงดิ้นไม่หลุด”เบื้องหลังไม่ไกล คนสนิทที่ชายร่างสูงสง่าไว้ใขกำลังรายงานเรื่องที่เขาให้ติดตามและจัดการ อาเธอร์เป็นคนสนิท แต่ฟรานซิสประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่เคยมองเขาว่าเป็นลูกน้องหรือบอดี้การ์ดเหล่านั้น พวกเขาทำงานร่วมกันมาเป็นสิบปี แน่นอนว่าอาเธอร์คือคนที่เขาไว้ใจ

   ฟรานซิสไม่ใช่คนที่คิดอะไรเยอะ แต่ทุกอยางมันก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน และแผนการที่ตระเตรียมไว้ อาจจะดูซับซ้อนทางความคิด แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรพลาด

   “บอสครับ เรื่องนี้ให้ผมจัดการเลยรึเปล่า”

   “รอก่อน มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะ แค่จับตาดูอย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดก็เป็นพอ”สูทสีดำถูกสวมทับก่อนจะรั้งดึงให้เรียบร้อย ร่างสูงหมุนกายหันไปมองอาเธอร์ที่ยังคงยืนอยู่เบื้องหลังอย่างให้ความเคารพภายในห้องนอนสถานที่ซึ่งเป็นส่วนตัว ก่อนจะยื่นบางอย่างให้รับไว้แล้วออกคำสั่ง

   “เอาไปตรวจสอบให้ละเอียด แล้วรายงานให้ฉันรู้เร็วที่สุด”ปากกาที่ดูอย่างไรก็เป็นปากกาธรรมดาแต่การออกแบบดีไซน์มันค่อนไปทางเรียบหรู ปากกาแท่งนี้วางทับอยู่บนกระดาษแผ่นบางที่เจ้าของเขียนข้อความทิ้งเอาไว้ มีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติและมันก็แปลกเกินไปที่เด็กอย่างธันจะใช้ปากกาหมึกซึมราคาแพงและพกติดตัวไว้

   “เช่นนั้นผมจะลงไปรอบอสข้างล่าง”

   “อีกสิบนาทีฉันจะลงไป เตรียมรถรอได้เลย”

   ร่างสูงยื่นหลังตรงสง่าใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าต่างบ้านใหญ่ของห้องที่ถูกแหวกม่านเปิดออก  ปกติฟรานซิสไม่ค่อยชื่นชอบให้แสงสว่างจ้าเล็กลอดเข้ามาในห้องสักเท่าไหร่ วันนี้เขากลับรู้สึกต้องการความอบอุ่นจากแสงแดดเป็นพิเศษ ลอมหายใจยาวถูกพ่นออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น มีเรื่องมากมายให้เขาต้องคิด รวมทั้งเจ้าของข้อความที่ลายมือไม่เอาไหน



เรื่องสำคัญที่ผมอยากจะพูดกับคุณคือ
ผมขอโทษที่ต้องบอกกะทันหันว่าผมไม่สามารถมาทำงานให้คุณได้อีก
เมดดีๆ สักคนที่คุณไว้ใจ คุณควรจะจ้างพวกเขาแทนผมได้
ผมแค่มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ แต่บอกคุณไม่ได้
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ
                     ธัน / ธันวา
   
   “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ”เสียงทุ้มในลำคอเอ่ยถึงตัวละครในนิทานเรื่องหนึ่งอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่ สีหน้าที่ดูตึงเครียดขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด กระดาษแผ่นบางที่อยู่ในมือค่อยถูกมือหนาขยุ้มกำจนยับย่น แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่กลับต้องมากลัดกลุ้มกับเรื่องนี้อยู่ดี

   พรึบ!

   ม่านหนาทึบถูกสะบัดปิด ร่างสูงหมุนกายเตรียมเดินออกจากห้องแต่ไม่วายหยุดชะงักตรงสถานที่ของความทรงจำชั่วครูพลันเดินเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าดุดันราวกับบ่มเพาะไปด้วยโทสะ



   
   กึก!   รถยุโรปราคาแพงสีดำมันวาวสองคันจอดลงตรงสถานที่ซึ่งไม่เหมาะนักกับผู้นิยมความเรียบหรู เมื่อเทียบกับซอยแคบๆ ที่ส่งกลิ่นอับร้านรวงก็เป็นคนระดับล่างที่ใช้แสวงหาความสุขทั้งการพนัน เหล้า ยา และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ยังไม่ปรากฏ
 
   พลันประตูรถเปิดออก ร่างสูงกระชับสูทให้เข้าที่ก่อนจะมีบอดี้การ์ดสองคนนำทางเข้าไปเดินลงไปยังชั้นใต้ดินเส้นทางเข้าออกของร้านสนุกเกอร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ผู้ที่มาก็เป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะอย่างที่เขาสถบคำออกไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้งานนี้เขาไม่จำเป็นต้องมาจัดการด้วยตัวเอง แต่ทว่ากลับมีเรื่องสำคัญเพียงประเด็นเดียวที่เขาอยากจะเอ่ยถามด้วยตัวเองอยู่หลายคำกับผู้ซึ่งเคยแตะต้องของสำคัญที่เขาห่วงนักหนาให้เป็นรอยกลับไป

   ราวกับคนของเขาได้เตรียมการไว้อย่างดีที่นี่จึงเงียบสงบไร้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง มีเพียงห้องสนุกเกอร์ที่ว่างเปล่ากับสองชีวิตผู้โชคดีที่จะได้สนทนากับ CEO ใหญ่แห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ ซึ่งหาตัวพบได้ยากหรือไม่ก็ไม่มีใครได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขา

      พลันสายตาสองคู่ที่สบประสานเข้าหากันนั่งกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ ราวกับไม่รู้ชะตากรรมหรือกำลังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันแน่ ทันทีที่ร่างสูงหน้าตาเรียบตึงแต่งกายภูมิฐานแบรนดังตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ปรากฏสีหน้าสะพรึงตามสัญชาตญาณ

   ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งแล้วไขว่ห้างกอดอก พลางกระตุกยิ้มเพื่อให้คนมองแล้วสบายใจ แต่ทว่ารอมยิ้มที่เขามอบให้ราวกับแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษ

   “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้พวกนายสองคนต้องลำบาก ฉันแค่มีเรื่องอยากจะถาม แค่ตอบให้หมดเปลือกเราก็จะไป”   “ถะถาม คุณอยากรู้อะไรเราก็จะบอกหมด”คนตอบคำถามกำลังหวาดกลัว สังเกตได้จากเหงื่อเม็ดเล็กใหญ่ซึ่งไหลพรากจากใบหน้าราวกับอากาศร้อนระอุ ทั้งที่แอร์เย็นระดับ 20 องศา

   “ฮึ! ไม่ใช่ว่าพวกนายขายข้อมูลรึไร ถึงอยากบอกฉันหมดโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน แบบนี้ทางธุรกิจเขาเรียกล้มละลาย”

   ชายสองคนถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้ารู้รายละเอียดของพวกเขาละเอียดยิบ ซึ่งหากไม่ใช่คนวงในหรือคนที่คบค้าด้วยก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้แน่นอน
 
   “เอาล่ะ ฉันจะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด นายรู้จักผู้ชายที่ชื่อธันใช่รึเปล่า”ทั้งสองหลุบตาลงต่ำมองหน้ากันราวกับครุ่นคิด ก่อนที่คนชื่อนนท์จะโพล่งพูดออกมา

   “ถ้าหมายถึงคนที่เพิ่งจะมาหาพวกเราเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมรู้จัก มันมาที่นี่เพื่อถามหาไอ้โชค.....”

   “พอ”ฟรานซิสราวกับได้คำตอบเขาไม่อยากฟังในสิ่งที่คนตรงหน้าพร่ามพูด“ถ้าพวกนายรู้จักก็ดีแล้ว ก็แสดงว่าฉันเข้าใจไม่ผิดคน เอาล่ะกลับ”ฟรานซิสผุดลุกขึ้นและหันหลังให้ทั้งสองคนที่ดูสับสนกับสถานการณ์ แต่ทว่าร่างสูงกลับให้สัญญาณบางอย่างกับผู้ติดตามอีกสองคนให้กระทำตามหน้าที่ไป ในเมื่อความทรงจำของเขายังคงเห็นร่องรอยความบอบช้ำบนลำคอขาวระหง ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเท่าไหร่นัก เรื่องอื่นที่เป็นประเด็นย่อยในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด เข้าไม่ได้อยากจะฟังเรื่องราวของคนชื่อโชค สิ่งที่ต้องการแค่ยืนยันตัวจะได้ไม่ผิดคน

   ในเมื่อเรื่องราวต่างๆ ฟรานซิสกลับรู้ดีมาตลอด แค่เดินตามทางและแผนการที่เขาวางไว้ก็เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้ากระทำเรื่องที่มันไม่ได้อยู่ในแผนการของเขา ความขุ่นเคืองมันจึงรบกวนสมาธิของเขามาตลอด

   เพียงฟรานซิสหันหลังและเดินจากไปราวกับว่าสถานที่แห่งนั้นคือขุมนรกของการกักขังทรมาน เสียงโอดครวญร้องขอความเมตรตาดังเล็ดลอดออกมา แต่เขากลับไม่สนใจราวกับไม่รู้สึกรู้สาหรือรับรู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ราว 5 นาทีที่เขาต้องนั่งรออยู่ในรถอย่างใจเย็น เมื่อมีคนมาแจ้งเรื่องบางอย่างว่าเสร็จสิ้นเขาจึงจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ใครจะรู้เล่าว่าความเย็นยะเยือกของฟรานซิสบัสนี้กลับสั่นคลอนไปตั้งแต่วันที่ธันกลายมาเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนการณ์ของเขาไปตั้งนานแล้ว






>>>>to be continued



นานครั้งคุยกัน :o8:
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่คอยติดตามและรออ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ :กอด1:
ถ้ามีแต่นักเขียนแต่ไม่มีนักอ่านเรื่องนี้คงเกร่วและดับกำลังใจคนเขียนไปโดยปริยาย :a6:
เรื่องราวช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงหัวกระทิแล้ว o8 รอเป็นกำลังใจให้กับธันธันของเราด้วยนะคะ :a2:

ขอบคุณมากค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 09-09-2016 19:17:47
โอ้ยยยยย แล้วธันจะเป็นยังไงบ้างเนี่ยยย  :katai1:

ตกลงฟรานซิสโกรธธันมั้ย แล้วโกรธเรื่องไหน เรื่องธันไม่ยอมขอให้ช่วยใช่มั้ย แล้วไม่ห่วงน้องเลยรึไงถึงไม่รีบไปจัดการน่ะห๊าาาาา  :angry2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-09-2016 23:32:47
สรุปว่าฟรานซิสรู้อยู่แล้ว แล้วซ้อนแผนไปอีก หลอกใช้ธันเป็นหมากตัวนึงแต่ดันหลงรักธันซะเองแบบนั้นใช่มั้ย เราเข้าใจถูกเปล่า
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-09-2016 00:33:30
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 10-09-2016 16:04:20
ตามอ่านรวดเดียว กะแล้วว่าฟรานซิสต้องรู้ทันและคงเล่นไปตามเกม แต่หลงรักธันจริงๆสินะเลยพยายามให้ธันเอ่ยปากบอกออกมาเองน่ะ เฮ้อออ ถ้าธันยอมบอกเรื่องก็คงง่ายกว่านี้แหละ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 10-09-2016 16:42:58
ฟรานซิสไปช่วยธันด้วยย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 21 UP DATE 9/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 11-09-2016 09:50:10
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 11-09-2016 14:00:51



22




   กุกกัก กุกกัก!

   “ให้มันได้อย่างนี้สิ!”เสียงสบถของผมดังขึ้นเมื่อแต่ไม่มีใครได้ยิน ข้าวของที่วางอยู่รอบๆ ตัวผม ไม่ว่าจะเป็นกล่อง เป็นถุงเป็นหีบห่อล้วนแต่ผ่านการรื้อค้นโดยฝีมือผมแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะค้นเท่าไหร่ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่ผมพอจะใช้ประโยชน์บ้างได้เลย ผมเลยรู้สึกหัวเสียอยู่อย่างนี้น่ะสิ

   ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นใจให้ผมซะเหลือเกิน ขนาดห้องน้ำยังไม่มีรูให้ผมลอดได้เลย นอกจากช่องลมที่เล็กอย่างกับอะไรดี ผมเดินวกไปวนมาจนรู้สึกเหนื่อย ก่อนจะนั่งเอาหลังพิงผนังอย่างหมดหนทางยีหัวตัวเองอย่างหัวเสีย มองไม่เห็นหนทางที่จะหนีรอดไปได้ เพียงไม่นานเสียงปลดล๊อคประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งนั่งตัวตรงมองประตูตาไม่กระพริบ ก่อนที่ผู้ชายร่างใหญ่สีผิวเข้นออกโทนน้ำตาลจะเดินเข้ามา ในมือถือขวดน้ำและกล่องโฟมที่ถูกจับยัดใส่ถุงพลาสติกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะโยนทุกอย่างมาทางผม

   “กินซะถ้ายังไม่อยากหิวตาย”

   “เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”ผมผุดลุกขึ้นพยายามรั้งมันไว้“กูต้องอยู่ในที่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ”

   “จนกว่าหัวหน้าจะบอกให้มึงออกไปได้ แต่ก็ว่าคงอีกนานว่ะดูเหมือนมึงอาจจะโดนลอยแพ”

   “หมายความว่าไงวะ!”

   “ก็มึงหมดประโยชน์แล้วไง หัวหน้าอาจจะเอามึงไปขายทิ้งที่ไหนสักแห่งก็ได้ใครจะไปรู้”ผมตาเบิกโพล่งตกใจกับสิ่งที่มันพูด

   “กูอยากจะคุยกับไอ้....กับหัวหน้าของมึง ไปบอกว่ากูมีเรื่องอยากจะบอก!”

   “โทษทีว่ะแต่ดูเหมือนหัวหน้าจะยังไม่ว่างตอนนี้”

   “ถือว่ากูขอร้องไปบอก.....”ผมวิ่งพุ่งเข้าไปจับแขนมัน แต่มันกลับผลักร่างผมออกอย่างไม่สนใจ

   “กูบอกว่าไม่ก็คือไม่ไงวะ! มึงอย่าเซ้าซี้ให้กูรำคาญจะได้มั้ย! อยู่เงียบๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะเป็นดีที่สุด”

   ปัง! เสียงประตูปิดลงความหวังของผมมืดสนิทอีกครั้ง ผมมองประตูเพียงหนึ่งเดียวที่จะพาผมออกไปได้อย่างสิ้นหวัง ความรู้สึกหดหู่เกาะกินหัวใจภาวนาให้ใครสักคนมาช่วย แต่ยังไงผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครมาช่วยผมได้

   ฟรานซิส.....ชื่อนี้เพียงชื่อเดียวที่ผมไม่ควรจะนึกถึง




   “ตื่นได้แล้ว!”

   มือหยาบหนาปราดเข้ามาตบหน้าผมเรียกสติ ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งมองรอบๆ ตัว พลันสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความฝัน ผมผุดลุกนั่งร่างกายรู้สึกเหน็บชา พื้นที่เย็นยะเยือกทำให้ผมขดตัวหลับแต่ไม่สนิท ความมืดที่ไม่เคยกลัวกลับกลายเป็นฝันร้ายของผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเพิ่งจะหลับลงเพราะพิษไข้ที่กดประสาทให้ผมปวดหัวหนัก

   แม้แต่ข้าวที่มันโยนให้ผมก็ไม่ได้แตะสักเม็ด มีใครที่ไหนจะกินลงในเวลาแบบนี้ มีแค่น้ำเท่านั้นที่ผมกระหาย

   “ไอ้แก่.....เฉิน....”ผมพึมพำลำคอแห้งผาด สายตาค่อยๆ ปรับภาพตรงหน้าก็เห็นคนคุ้นตาที่ผมอยากเจอมากที่สุดแต่ไม่ได้คิดถึง เกลียดชังเสียด้วยซ้ำ ภายในห้องไม่ได้มีแค่มันคนเดียว แต่กลับมีลูกน้องของมันอีกสี่ห้าคน ยืนจ้องมองผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมอยากจะยันตัวลุกขึ้นแต่แรงกลับหดหายไปเสียจนหมด

   “กูกลัวว่ามึงจะเหงา ก็เลยพาเพื่อนมึงมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ต้องกลัวหรอกนะกูไม่ขังมึงเลี้ยงไว้เปล่าๆ หรอก เดี๋ยวก็จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว”มันยิ้มแสยะจนผมรู้สึกอยากปราดเข้าไปต่อยมันสักหมัด แต่ติดตรงที่ว่าร่างกายผมมันไม่พร้อม คนอย่างมันผมไม่มีทางหลงเชื่อคำพูดอีก

   “คนอย่างมึงที่หลอกใช้ประโยชน์จากคนอื่นไปทั่ว ฮึ! สักวันกรรมมันจะตามสนอง”

   “จะพูดถึงคนอื่นก็ดูตัวเองก่อนดีกว่า กูว่ามึงเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เอ้า! เข้ามาสิเพื่อนมึงคงจะคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนาน”ไอ้แก่เฉินกวักมือใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดเดินเข้ามา ผมมองหน้าไม่ชัดเพราะปีกหมวกที่กดลงต่ำปรกหน้าบังสนิท เมื่อคนๆ นั้นเดินเข้ามาใกล้ แสงสว่างเพียงพอเจ้าตัวถอดหมวกใบสีดำออก ผมก็ประจักษ์ได้ทันทีถึงสถานการณ์ที่มันเลวร้ายลง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงความคิดที่ว่างเปล่าและความสับสนที่เกิดขึ้น

   “ไอ้.....ไอ้โชคมึงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”ผมตาค้างมองผู้ชายตรงหน้าที่เบี่ยงหน้าไม่สบตาผม

   “…..”

   “ไอ้โชค....”ผมเรียกมันอีกครั้งไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนที่ผมตามหากลับมาอยู่ต่อหน้าอย่างง่ายดาย แถมมาอยู่กับคนที่ผมคาดไม่ถึงอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน

   “เอาล่ะ จะให้คุยกันเป็นการส่วนตัว ตามสบายก็แล้วกัน”

   และตอนนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยมก็เหลือเพียงผมกับไอ้โชคสองคน ผมมองหน้ามันไม่หลบ แต่อีกคนกลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ชั่วครู่ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

   “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อย่าเอาแต่เงียบสิวะ”ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อมันเอาแต่เงียบ ยิ่งเงียบผมก็ยิ่งเจ็บเพราะเหมือนควายตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย

   ผมราวกับคนสติฟั่นเฟือนที่เอาแต่พูดพล่ามอยู่คนเดียว จนสุดท้ายไอ้โชคเริ่มขยับและก้าวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากตัวผมลากให้เดินตามมันไปยังมุมหนึ่งของห้องแล้วใช้สองมือกดไหล่กันผมให้ติดผนัง เผชิญหน้ากับผมอย่างไม่หลบสายตา ผมมองมันกลับอย่างเปิดเผยจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาที่เคลือบแคลงไปด้วยความลับ

“มึงฟังกูให้ดีไอ้ธัน อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่กูจะพูดกับมึง เพราะฉะนั้นไม่ว่ากูพูดอะไร ทั้งหมดคือความจริงจากปากกู กูจะไม่โกหกมึงอีก”ไอ้โชคไม่ได้แผดเสียงแต่กลับพูดเบาราวกระซิบ ผมมองมันยากที่จะตัดสินใจได้ว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ผมเห็นมันต้องเป็นพวกของไอ้แก่เฉินไปแล้วแน่ๆ

“ความจริง? ความจริงอะไร กูเชื่อมึงได้อีกรึไงวะ!”เสียงผมสั่นราวกับคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตา
แน่ล่ะผมเจ็บจนไม่รู้จะบรรยายยังไงดี ไม่มีที่ให้ความเจ็บอื่นเข้ามาแทรกแล้วด้วยซ้ำ

“กูผิด มึงจะสาปแช่งหรือด่ากูยังไงก็ได้กูหลอกมึงเรื่องเงิน และหลอกให้มึง.....ชดใช้หนี้ให้ไอ้เสียเฉินแทนกู แต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นข้อเสนอของไอ้เฉิน เพราะกูมันอยากเอาตัวรอดและขี้ขลาด สุดท้ายกูก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำกับมึงไป.....”

ผั๊วะ!

ไม่ทันที่มันจะพูดต่อ แค่สิ่งที่มันพ่นออกมาผมก็เก็บหมัดให้อยู่กับตัวไม่ไหวแล้ว นี่เป็นหมัดแรกตั้งแต่ผมคบกับมันเป็นเพื่อนมา และเป็นหมัดที่คนปล่อยเจ็บที่สุด

“มึง.....กูคิดว่ามึงเลวแล้ว แต่มึงเลวกว่าที่กูคิดกี่พันเท่าวะ กูไม่น่ามีเพื่อนอย่างมึงตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ!”

“กูรู้ว่าแค่มึงต่อยยังน้อยเกินไปกับสิ่งที่ผ่านมา ถึงมึงจะด่าจะว่ากูยังไงมันก็ไม่สาสมกับที่กูทำกับมึง...”

“ใช่! มึงที่เห็นแก่ตัวจนหลับหูหลับตาไม่รู้เลยว่าต้องมีใครกี่คนมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้บ้าง มึงบอกกูมาซิวะว่ามึงไม่รู้ มึงไม่รู้เหี้ยอะไรเลยไอ้โชคคคคค!!!!”ผมขยุ้มคอเสื้อของมันเขย่าตะคอกเสียงใส่ด้วยความโกรธ โกรธจนหากมีมีดผมคงแทงมันตายไปแล้ว ผมทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงรู้สึกโลกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

“เพราะว่ากูมันเดินทางผิดมาแต่ต้น กูติดหนี้พนันจะเลิกมันก็สายไปแล้ว”

“ไอ้เชี่ยต้นกับไอ้นนท์ใช่มั้ยที่มึงพูดถึง”

“.....”

“ที่มึงเงียบ ไม่บอกกูหน่อยรึไงว่ามันไม่ใช่”

“กูขอโทษ....กูรู้ว่ามึงคงจะไม่ยอมรับง่ายๆ แต่เพื่อเป็นการไถ่โทษกูจะไม่ให้มึงเดือดร้อนเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว”

“ช่วย ลำพังมึงก็อยากจะฆ่ากูทางออมอยู่แล้วมึงอย่าเอาเรื่องที่เป็นไปได้มาพูดกับกูอีก”

“ไอ้ธัน.....กูรู้ว่าผู้ชายคนที่ชื่อฟรานซิสช่วยมึงได้ มึงแค่รอ.....กูบอกมึงได้เท่านี้”คนตรงหน้ายืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหันหลังให้ผม และพูดทิ้งท้ายอีกครั้ง“เก็บเรื่องที่กูพูดวันนี้เป็นความลับด้วย”แล้วคนตรงหน้าก็เดินกลับไป ทิ้งไว้เพียงสิ่งที่ผมล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจ

มันรู้เรื่องฟรานซิสได้ยังไง แล้วทำไมมันถึงมั่นใจนักว่าผมจะรอด ผมยังจะคิดหวังความช่วยเหลือจากเพื่อนทรยศอย่ามันได้อีกเหรอ!



“สองสามวันมานี้บอสสีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะครับ ให้ผมตามหมอมาดู.....”

“ไม่เป็นไร ฉันแค่นอนน้อยไปหน่อย เอาเอกสารทั้งหมดนี้ให้นาวี”

“ทั้งหมด อย่าบอกนะครับว่า.....บอสทำงานทั้งหมดนี้ภายในสองวัน”อาเธอร์มองเอกสารในมือสลับกับมองหน้าผู้เป็นนาย เขาไม่เคยเห็นบอสของตัวเองโหมงานหนักเท่านี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอย่างหนักแต่ก็ไม่เคยบดบังเวลาพักผ่อนของตัวเอง เพราะเขาเคยพูดไว้ว่า การทำงานล่วงเวลาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนเก่ง ดังนั้นน้อยมากที่คนในบริษัทจะต้องมาทำโอที

“แล้วเรื่องที่ฉันให้ไปตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”ร่างสูงมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทวงถามถึงสิ่งนั้น

“ครับ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ดูเหมือนเราจะพบอะไรดีๆ จากปากกาแท่งนั้น ผมคาดไม่ถึงเหมือนกันครับว่ามันจะเป็นเครื่องอัดเสียงและวีดีโอ และที่น่าแปลกทุกอย่างที่บันทึกล้วนเกี่ยวกับเสี่ยเฉินแทบทั้งหมด บอสไปเอามันมาจากไหนครับ”พลันนึกได้ก็ยื่นสิ่งที่ดูสำคัญคืนให้กับคนตรงหน้า ฟรานซิสรับไว้แล้วพินิจพิศมอง

“เด็กเลี้ยงแกะน่ะ”รอยยิ้มเยือกฉายแววแผนการและดวงตาคมกริบจ้องมองไปเบื้องหน้า พลางเคาะนิ้วอย่างใช้ความคิดพลันเจ้าของเรือนกายกำยำก็ผุดลุกยืนขึ้นเต็มความสูงหมุนกายมองออกไปนอกหน้าต่างฉายชัดวิวของตึกสูงระฟ้าเอ่ยความต้องการให้ผู้อยู่เบื้องหลังตอบรับ

“ติดต่อไปที่เสี่ยเฉิน บอกว่าฉันขอติดต่อเรื่องธุรกิจส่วนตัว ยื่นข้อเสนอสิ่งที่เรามีแต่ไม่ต้องทั้งหมด แลกกับของของฉันคืน เร็วเท่าที่เร็วได้ฉันคิดว่าเวลานี้มันเหมาะแล้วที่จะจัดการถอนรากถอนโคนวัชพืชซะที อ้อ แล้วจัดการให้เจ้าเด็กนั่นมาพบฉันด้วย.....วันนี้”

“ครับบอส”

อาเธอร์ไม่รอช้า รีบออกไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับคำสั่ง ห้องทั้งห้องกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แววตาของร่างสูงเริ่มเปลี่ยนเป็นวูบไหวอีกครั้งเมื่อนึกถึงร่างเล็กและใบหน้าดื้อรั้นที่ยามนี้กลับเลือนหาย หอบเอาอารมณ์และความว้าวุ่นเข้ามาถาโถม ทำให้ชายผู้นิ่งขรึมกลับต้องแสดงอาการอารมณ์ร้อนออกไปอย่างที่ไม่เคยเป็น ดวงตาสีมรกตที่ดูเยือกเย็นกำลังหลับตาสนิทครุ่นคิดเรื่องราวอยู่หลายอย่างจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา

แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนเพื่อที่จะล่อเสือแก่ตัวใหญ่อย่างเสี่ยเฉินออกจากถ้ำให้เพรียกพร้ำด้วยตัวมันเองจะดูเป็นเรื่องที่น่ายินดีนักในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผิดแผนมิใช่น้อยเขาก็ต้องเผชิญมันเช่นกัน มันเป็นความลำบากใจและต้องตัดสินใจในคราเดียวเมื่อเครื่องมือที่มีชีวิตอย่างธันเข้ามาอยู่ในแผนการของเขาอย่างไม่คาดคิด และเขาเองก็ต้องทำทุกอย่างให้ไหลไปตามน้ำไม่มีสะดุดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องข่มใจทำเมินไม่รู้ไปซะทุกเรื่อง และหลายครั้งที่ตัวเขาเองก็ต้องรับมือกับความรู้สึกยุ่งยากที่ไม่เคยเกิดขึ้น



20.35 น.
กระจกรถยุโรปสีดำทึบค่อยๆ เลื่อนลงเมื่อมือหนาแตะเบาๆ สัมผัสกับสวิซไฟฟ้าพลันลมหนาวด้านนอกวูบไหวหอบเอาความเย็นภายนอกผสมกับอากาศเย็นภายในที่อุณภูมิต่ำกว่า นาฬิกาเรือนหรูโผล่พ้นสาบเสื้อเมื่อลำแขนแกร่งขัดกอดอกกว้างของตนเอง ใบหน้าคมทอดตามองเพียงดวงไฟจากถนนด้านหน้า น้ำเสียงเรียบนิ่งอยู่ในโทนที่ฟังลื่นหูขยับริมฝีปากสนทนากับบุคคลที่ยืนไม่ขยับอยู่ด้านนอก แต่จากลมหนาวก็ทำให้เท้าของคนที่ยืนขยับไปมาบ้างในบางครั้ง แม้ร่างกายจะนิ่งเกรงกลัวคนตรงหน้าถึงจะยืนอยู่ไม่ไกลและมีประตูรถคั่นกลาง แต่รังสีความน่าเกรงขามก็ทำให้อึดอัดอยู่ดี

“เป็นยังไงบ้าง”สิ่งที่ถามไถ่ด้วยประโยคเรียบง่ายคนตอบตระหนักดีอยู่แล้วว่าหมายถึงใคร

“ผมบอกเรื่องนั้นให้ธันรู้แล้ว แต่สิ่งที่ผมพูดดูเหมือนหมอนั่นจะไม่เชื่อผมสักเท่าไหร่ แล้วพรุ่งนี้ไอ้เฉินจะเอาธันไปประมูลขายแต่ผมไม่รู้ว่าที่ไหน หากมันไม่เปลี่ยนแผนการคงจะเป็นตอนเย็นของวันพรุ่งนี้”

“เรื่องนั้นฉันจัดการแล้ว จะไม่มีการนำใครไปประมูลขายทั้งนั้น นายไปได้แล้วอย่าทำตัวให้มันสงสัย ดูแลเพื่อนของนายให้ดี เสร็จจากเรื่องนี้นายจะเป็นอิสระ ฉันพูดคำไหนคำนั้นไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเป็นอย่างใครบางคน”

“คะครับ.....ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผม”

“คำพูดพวกนี้เอาไปพูดกับคนที่นายหักหลังเถอะ ฉันจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องความสัมพันธ์พวกนั้น”

“ผมก็หวังว่ามันจะยอมรับสักวัน”

“ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง”จบประโยคกระจกหนาทึบก็เลื่อนปิดรถยุโรปคันหรูก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาคนมอง ลมหายใจอุ่นๆ ถูกพ่นออกมาช่วงใหญ่ เด็กหนุ่มอายุรุ่นต้นๆ ครุ่นคิดถึงความหวังที่จุดประกายขึ้น การเริ่มต้นใหม่เป็นความหวังของคนที่ผิดพลาด โอกาสที่ได้รับจึงสำคัญและมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง เขาจึงเลือกประกาศตนเองว่าจะขอหลุดพ้นจากเรื่องดำมืดเหล่านี้ให้ได้

แม้ความคิดชั่ววูบที่จุดประกายความหวัง เหมือนดั่งสายธารที่รินรดหัวใจ แม้จะได้ชื่อว่าโชคแต่กลับโอบรับแต่สิ่งอัปมงคลบัดนี้ถึงกับหลั่งรินน้ำตาอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี พลันปฏิญาณกับตนเองต่อหน้าฟ้าและดิน

“กูจะไม่มีวันเดินกลับเข้าไปหาสิ่งเลวๆ พวกนั้นอีกแล้ว!”

เขารู้สึกไม่เสียใจ หากจะเสียใจคือเขาพลาดที่จะไม่ได้เจอคนๆ นี้เสียมากกว่า เหตุการณ์วันนั้นเขากลับไม่เคยลืมแม้มันจะยากต่อการจดจำเพราะมันทั้งน่าหวาดกลัวและโชคดี




โชค Past
1 เดือนก่อน


   “กู.....กูขอโทษว่ะ แต่กูจำเป็นจริงๆ”

   “โชค.....ไอ้โชค!”

   เสียงเรียกของไอ้ธันผมได้ยินเต็มสองหู แต่ผมทั้งช็อคทั้งตกใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงได้แต่วิ่งหนี ไม่กล้าซะด้วยซ้ำที่จะเจอหน้ามัน ผมรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำเรื่องเลวทรามต่ำช้ากับมันอย่างเลือดเย็น แค่ผมมองแววตาของมันที่เจ็บลึกถึงขั้วหัวใจผมเองก็ยิ่งรู้สึกละอาย แต่สิ่งที่ผมทำลงไปแล้วผมถอยไม่ได้

   หนี้สินที่ผมติดไอ้นนท์ไอ้ต้นอยู่มันมากมายเกินกว่าผมจะรับผิดชอบไหวจึงต้องไปกูไอ้เฉินจนดอกมันปานปลายชนิดที่ขูดเลือดขูดเนื้อ แต่เพราะความหน้ามืดทั้งที่ได้รับความช่วยเหลือจากไอ้ธันผมกลับหักหลังมันอย่างไม่ใยดีเพราะความเห็นแก่ตัว ผมรู้ตัวว่าผมมันเหี้ยสุดๆ แม้จะรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองก่อก็ยังขี้ขลาด จึงรับข้อเสนอที่ไอ้เฉินให้ไอ้ธันมารับผิดชอบแทนและแสร้งว่าผมหนีหายไป

   มันฟังดูไม่ยุติธรรมเลยใช่มั้ย และผมก็ปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า ไอ้ธันมันเก่งพอคงจะเอาตัวรอดได้มาตลอด

   ไอ้ธัน กูขอโทษวะกูมันขี้ขลาด!

   ผมกำหมัดแน่นแค้นเคืองตนเองอยู่หลายส่วนรู้ดีว่าตัวเองมันเลว

   “โชคมานั่งทำอะไรอยู่แถวนี้ เลิกงานแล้วยังไม่กลับอีกเหรอ กะนี้เป็นของพี่ปอเขา กลับไปพักได้แล้ว”ระหว่างที่ผมนั่งหลบมุมอยู่ในห้องพักพนักงาน พี่แก้วพนักงานหญิงของร้านที่เพิ่งรู้จักกันมา 1 สัปดาห์ก็ทักผมขึ้น จริงๆ ผมเป็นพนักงานใหม่ของที่นี่ ผมพยายามหางานเล็กๆ น้อยๆ ที่ไกลออกมาจากรัศมีที่จะเจอคนรู้จักหรือแม้แต่ไอ้ธันมาทำงานอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าโลกมันแคบหรือยังไงผมถึงได้เจอมัน ในสถานที่ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะร้านหรูหรา อาหารราคาแพงคิดคาบริการหูฉี่มันไม่มีทางเข้าร้านแบบนี้ได้เหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อแน่นอน และนั่นก็ทำให้ผมแปลกใจว่ามันมาได้ยังไง

   “ว่าไงโชค กลับได้แล้วเดี๋ยวก็โดนเรียกใช้อีกหรอก”

   “อา ครับพี่แก้ว ผมแค่นั่งพักให้หายเหนื่อยกำลังจะกลับแล้วครับ”

   ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของจากล็อคเกอร์ก่อนจะสะพายเป้ออกมา ผมเดินออกทางหลังร้านสำหรับทางเข้าออกพนักงาน วนตรงไปยังรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดอยู่หลังร้าน แต่ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัวเงาร่างใหญ่จากด้านหลังก็คว้าตัวผมไว้ใช้มือปิดปากราวกับเตือนไม่ให้สงเสียง ผมถูกลากออกมาจนถึงที่ลับตาคนก่อนจะถูกผลักเข้าไปนั่งภายในรถยุโรปคันสีดำและกวาดมองคนภายในรถอย่างตกใจกลัว

   ผมแปลกใจที่คนที่อยู่ในรถไม่ใช่ไอ้เฉินหรือศัตรูที่ไหน แต่กลับกลายเป็นชายหน้าตาดีมีความละม้ายคลายลูกครึ่งฝรั่งแต่งตัวภูมิฐานฉายแววนักธุรกิจ ซึ่งคนข้างๆ ทำให้ผมอ้าปากค้างไม่ได้เมื่อรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา และต้องมาสะดุ้งเฮือกเมื่อเจอคำตอบ

   ฟรานซิส.....คือผู้ชายที่ไอ้เฉินเคยให้ผมดูรูปเพื่อจะให้ทำงานให้มัน แต่หน้าที่ตรงนั้นกลับเป็นของไอ้ธันไปแล้ว แสดงว่าไอ้ธันมาที่นี่เพราะผู้ชายคนนี้สินะ

   “คุณ คุณฟรานซิส”

   “น่าแปลกที่นายรู้จักฉัน”รอยยิ้มเย็นยะเยือกราวกับจะกรีดลงกระดูกทำผมหนาวสั่นไปทั้งตัว ผมไม่กล้าจะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

   “คุณมีอะไร ผมไม่เคยไปทำอะไรให้คุณเดือดร้อน แล้วคุณจับผมมาทำไม”น้ำเสียงระล่ำนะลักพยายามรีดเค้นคำพูด ความประหม่าทำเอาเหงื่อผมไหลพรากไปทั่วใบหน้า

   “ฉันจะเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว นายรู้จักกับเสี่ยเฉินใช่ไหม”

   “คะคุณพูดอะไร ผมไม่รู้เรื่อง”

   “นายควรจะตอบตามความเป็นจริง”ความเย็นวาบของวัตถุเย็นเยียบสัมผัสกับลำคอของผม ส่งตรงมาจากคนที่นั่งเบาะด้านหน้านั่นถึงกับทำให้ผมน้ำตาไหลดวงตาเบิกโพล่งด้วยความสะพรึงกลัว พ่นสิ่งที่เขาอยากรู้แทบไม่เหลือ

   “ผะผมรู้จัก เขาเป็นเจ้าหนี้ของผม”

   “แบบนี้ถึงจะน่าคุยหน่อย”คนข้างๆ รู้สึกผ่อนคลายเขาเหยียดเท้ายาวๆ ราวกับนั่งดูภาพยนตร์ มือข้างหนึ่งค้ำศอกเข้ากับกรอบกระจกส่วนฝ่ามือก็ยกขึ้นมารองศีรษะและหันมาพูดกับผมราวกับคนสนิท ทั้งที่ผมสติแทบกระเจิง

   “คนของฉันเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟังว่า อีกฝ่ายกำลังเล่นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ และดูเหมือนเหยื่อจะเป็นฉัน แถมส่งคนเข้ามาให้ฉันลำบากใจอีกคนที่ฉันพามานายคงจะเจอแล้ว บอกฉันทีสิว่าฉันพูดตรงไหนผิดไปบ้าง”

   “..........”ผมส่ายหน้ารัวๆ เมื่อฟังที่เขาพูด ทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นแสดงว่าแผนการตั้งแต่แรกเขารู้ทั้งหมด แต่แสร้งเดินตามเกมก็เท่านั้น

   แล้วไอ้ธันล่ะ มันจะรู้รึเปล่า!

   พลันหัวใจผมตกวูบ มองเห็นความมืดมิดของเพื่อนรำไร แม้มันจะไม่ได้นับผมเป็นเพื่อนแล้วก็ตาม

   “แต่ที่ฉันเอะใจและอยากจะถาม ทำไมถึงไม่ใช่นายแต่กลับเป็นหมอนั่นแทน”ดวงตาคมหรี่มองมายังผมราวกับคมมีดที่จ่อคอหอยไม่ต่างกับปากกระบอกปืนที่เพิ่งล่าถอยออกไป

   “นะนั่น......นั่นเป็นเพราะว่า”

   เพียงไม่กี่นาทีผมกลับรับสารภาพออกไปหมดเปลือก ตั้งแต่ต้นจนจบถึงที่มาที่ไปของไอ้ธัน และขั้นตอนที่มันมาแทนที่ของผมได้ คนตรงหน้าผมหัวเราะราวกับฟังมุกตลกร้ายที่กำลังเกิด

   “ฉันก็เคยเห็นคนหักหลังกันมานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยเห็นกรณีนี้มาก่อน น่าสนใจดี”

   “ผมเล่าทุกอย่างหมดแล้ว คุณก็ปล่อยผมไปได้แล้วสินะ”ผมมองประตูรถที่ล็อคอัตโนมัติ และมีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างมีความหวัง

   “ปล่อยแน่ แต่ฉันยังไม่เคยฆ่าใครตายอย่ากลัวไปเลย”ผมไม่รู้ว่ามันเป็นการหยอกล้อหรือเรื่องจริง แต่มันไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเลย

   “.....”

   “เพื่อเป็นการยุติธรรม และฉันก็เห็นว่าเรื่องของนายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ฉันมีข้อเสนอดีๆ แค่ทำงานให้ฉันเรียบร้อย มีผลงานเป็นที่ประจักษ์พนักงานดีเด่นก็ย่อมได้รางวัลตอบแทน แต่รางวัลสำหรับนายคือความเป็นอิสระ และโอกาสดีๆ....นายไม่เคยคิดถึงมันบ้างรึไง หรือนายอยากจะจมดิ่งกับเจ้านายที่ไม่มีหลักค้ำประกันอะไรมาบอกว่ามันจะปล่อยนายไปหากเพื่อนของนายทำงานสำเร็จ แต่สำหรับฉันรางวัลนั้นฉันพร้อมจะมอบให้ หากนายคิดให้ดีแล้วรับมันไว้.....ว่ายังไงล่ะ”

   ผมไม่ต่างกับหนีเสือปะจระเข้ แต่อยู่ที่ว่าสัตว์ชนิดไหนยื้อชีวิตผมได้นานกว่ากันผมก็จะเลือกเข้าหาตัวนั้น และแน่นอนผมเทความหวังไปให้กับเขาคนนี้

   “ผม.....ผมจะทำตามที่คุณพูด แต่คุณก็ต้องไม่ลืมสัญญาของเราเหมือนกัน”

   “ฉันเป็นนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์พอ”

   ตอนนี้ใครจะไปรู้ว่าผมกลายเป็นนกสองหัวในร่างคนไปแล้ว เดิมพันครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะรอด ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ





>>>>>>to be continued

บอกได้คำเดียวว่าต้องติดตามตอนต่อไปจริงๆ ค่ะ พลี๊สสสส :impress:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 11-09-2016 14:27:58
ค้างแรงงงง แต่รอค่าาา
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 11-09-2016 14:53:50
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-09-2016 16:47:39
เดาอยู่ว่าฟรานซิสต้องรู้แต่ไม่คิดว่าจะใช้โชคด้วยนี่สิ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 11-09-2016 17:18:03
รอๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-09-2016 20:36:27
 :z13:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-09-2016 21:52:41
โหหห สงสารธันมากอะคิดว่าตัวเองโดนหักหลังแล้วแต่พอมารู้ว่าโดนตลบหลังอีกรอบนี่แบบจุกสุดๆอะ โชคแม่งเลวว่ะทำกับเพื่อนแบบนี้ได้ไงว่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 12-09-2016 01:51:05
ธันสู้ๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 13-09-2016 02:15:20
สงสารธันจัง
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 22 UP DATE 11/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: lek2512 ที่ 13-09-2016 09:47:13
อ่านแล้วสงสารธันอะ  เจอเพื่อนเลวๆไม่พอ ยังเจอบอสมาหลอกใช้อีก  ไม่รู้ว่าถ้าเรื่องคลี่คลายได้ธันจะทำยังไงอะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 13-09-2016 17:12:29



23





“แฮ่กๆ ช่วยเปลี่ยนจากมัดมือไว้ด้านหลังมามัดไว้ด้านหน้าได้มั้ย กูปวดแขนไปหมดแล้ว”

“อย่าเรื่องมากจะได้มั้ยวะ มึงหยุดพูดสักวินาทีมึงจะตายมั้ย!”

“ก็กู แฮ่กๆ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่นคนเดียวไม่มีใครพูดมันก็ต้องอึดอัดสิวะ แล้วนี่จะถึงรึยัง จะพากูไปไหนกันแน่”

“โอ๊ย! มึงอย่าถามให้กูรำคาญในสิ่งที่มึงไม่ต้องรู้จะได้มั้ย มึงสองตัวหาอะไรมายัดปากมัน!”

“ไม่เอากูหายใจไม่สะดวก.....อุบ…อือๆ”ปากผมถูกเทปกาวชนิดที่เหนียวเป็นพิเศษมาปิดปาดเอาไว้ก่อนมันจะเอาผ้ามารัดทับไว้อีกที ทำแบบนี้บีบจมูกผมด้วยเลยจะดีกว่า แค่นี้ผมก็หายใจไม่ออกอยู่แล้ว และต้องมาพยายามต่อสู้กับพิษไข้ที่รุมกันทำร้ายผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้ที่ผมยังเดินได้นั่นเพราะมีคนมาลากถูอย่างที่แทบจะไม่ได้ออกแรงเดินเอง

“พี่! มันตัวร้อนจี๋เลยว่ะ”ไอ้ตัวที่มัดตัวผมไม่ให้ดิ้นให้อีกคนเอาเทปปิดปากรายงานรุ่นพี่มัน

“ก็ช่างมันสิวะ อย่าให้มาตายในมือกูก็พอ”

ผมหรี่ตามองคนที่อยู่ในรถและอยากจะโต้ตอบ แต่ติดตรงที่มันปิดกันไม่ให้ผมได้พูด ผมดิ้นอยู่นานเพื่อประท้วงให้มันเปิดปากผมออก เพราะจะไอก็ไอ้ไม่ได้มันสุดจะทรมาน แต่ไหนเลยพวกมันจะเห็นใจกลับแสดงท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ จนผมหมดแรงดิ้นไปเอง หากเป็นร่างกายที่มีสภาวะปกติผมคงจะออกฤทธิ์ได้เยอะกว่านี้ แค่นี้ก็เต็มที่จนเหงื่อผมไหลพรากรู้สึกเปลือกตาที่ร้อนผ่าวหนักอึ้ง บวกกับอาการปวดหัวที่ยังตื้อไม่เลิกทำให้ผมไร้ความสามารถที่จะครองสติไว้ได้ตลอดจึงเผลอหมดสติไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น




ราวสองถึงสามชั่วโมงกว่าที่ผมหมดสติไปรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่กับพื้นไม้ที่ดูสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายของอาหารลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ถึงแม้ว่าจมูกผมมันจะไม่ได้ใช้งานได้ 100 เปอร์เซ็น แต่ก็ยังพอจับกลิ่นได้ ผมค่อยๆ กวาดสายตาที่ยังคงพร่าเลือนสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ถึงกับผงะเล็กน้องเมื่อมีใครคนหนึ่งขยุ้มเส้นผมของผมทางด้านหลังแล้วบังคับให้นั่งเชิดหน้าขึ้นพลันวางวัตถุสีเงินวาวกดคมมีดลงกับลำคอขาวของผม ผมเผลอสะดุ้งจนคมมีดฝากรอยแผลเป็นเส้นจนซึมเลือด นั่นทำให้ผมตระหนักว่าแค่ผมขยับมีดตรงหน้าฝังลงคอผมแน่นอน

 “ฮึก....ฮือๆ”

“อยู่เงียบๆ อย่าคิดส่งเสียงหรือทำเสียงดัง.....เป็นเด็กดีเข้าใจรึเปล่า ฮึๆ”ใบหน้าที่ไร้ความปราณีก้มลงต่ำกระซิบใกล้กับใบหูของผม แล้วหัวเราะในลำคอจนฟังดูสยอง ผมหลับตาปริ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลอ ราวกับได้รู้จุดจบของตัวเอง

ความเงียบที่ทิ้งระยะเวลามาเนินนานบัดนี้กลับมีเสียงฝีเท้าของใครหลายคนที่กำลังเดินผ่านยังห้องที่ผมอยู่ ผมลืมตาได้แต่มองประตูที่ปิดสนิทราวกับปิดตาย หัวใจของผมมันเหนื่อยล้าไม่คิดจะมองหาความหวังอีกต่อไป แต่แล้วเสียงๆ หนึ่งกลับฉุดรั้งให้ผมต้องการจะมีชีวิตกลับไปอีกครั้งดังมาจากห้องข้างๆ ที่มีประตูเชื่อมถึง แม้จะเป็นแค่ความหวังที่เลือนราง

“บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่เรานักเจอกัน ไม่คิดว่าเราจะได้มีโอกาสมาพูดคุยกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าแปลกคือครั้งนี้คุณเป็นฝ่ายเชิญผมมา ใช่มั้ยคุณฟรานซิส”

“แน่นอน เพราะครั้งนี้คงจะพิเศษกว่าครั้งไหนคุณคงจะไม่สามารถลืมนัดครั้งนี้ของเราได้เลยตลอดชีวิต”

“ฮึ! ฉันก็หวังว่าการตกลงทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี”

ผมลอบฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจ บทสนทนาและน้ำเสียงทำให้ผมพอจะจิตนาการได้ว่าอารมณ์ของไอ้แก่เฉินขึ้นๆ ลงๆ ราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่อีกฝ่ายก็ใช้น้ำเสียงและวาจาที่ดูเรียบงายแต่แฝงไปด้วยการยั่วยุโทสะคนฟังได้ดีไม่ใช่น้อย

หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเสียงครูดของขาเก้าอี้บ่งบอกว่าพวกเข้าเพิ่งจะได้นั่ง ก่อนทบสนทนาจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมขยับตัวเล็กน้องและอดไม่ได้ที่จะหายใจแรงหอบถี่เพราะแรงกดดันพยายามขยับเขยื้อนตัวเล็กน้อยแต่กลับถูกคนคุมออกแรงขยุ้มปอยผมตักเตือนทางอ้อมจนผมรู้สึกเจ็บสีหน้าแหยเก

“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันค่อนข้างจะใจร้อน และฉันเดาว่าของที่เป็นข้อต่อรองซึ่งอยู่ในมือของฉันอย่างที่คุณฟรานซิสต้องการอาจจะช้ำไปเสียก่อน”

ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดข่มขวัญ และดูเหมือนว่าสิ่งที่ไอ้แก่เฉินพูดคงไม่พ้นหมายถึงผม แล้วทำไมผมถึงได้เข้าไปอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าข้อต่อรองนั่นด้วย นั่นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของไอ้โชคที่บอกผมก่อนหน้านี้หรือว่าฟรานซิสมาที่นี่เพราะต้องการตัวผม

ใช่แน่ๆ เขาคงจะรู้เรื่องที่ผมทำไม่ดีเอาไว้แล้วแน่ๆ เขาคงจะอยากได้ตัวผมเอาไปส่งตำรวจหรือไม่ก็....ทำให้ผมหายไปเพื่อเป็นการแก้แค้นก็เป็นไปได้ ผมรู้นะว่าเขาไม่ได้มีแค่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างเดียว แต่ยังมีอะไรที่ผมคิดว่าผมไม่รู้อีกเยอะ
ผม....ผมควรจะทำยังไงดี

“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”แค่ได้ยินประโยคนั้นจากปากของฟรานซิส หัวใจผมกลับบีบตัวเสียแรงจนรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อน

ผมควรจะหวังให้ใครมาสงสารอีกรึไง ในเมื่อทำกับคนอื่นเขาเจ็บแสบขนาดนี้

“ผมแค่อยากได้คนที่คุณเฉินดูเหมือนจะไม่ต้องการแล้วก็เท่านั้น และสิ่งที่ผมขอแลกรับรองว่ามันคุ้มเสียยิ่งกว่าได้ราคาจากตลาดมืดเสียอีก”

“ให้ผมได้เห็นสิ่งที่คุณคุยก่อนดีกว่า ผมถึงจะบอกได้ว่ามันคุ้มจริงหรือไม่.....ไหนล่ะ?”

“อาเธอร์ เอาสิ่งที่คุณเฉินอยากเห็นออกมา”

“ครับบอส”ความเงียบเกินขึ้นเพียงครู ความกดดันส่งผมถึงคนที่คุมผมอยู่อย่างชัดเจน เพราะมือที่ถือมีดเริ่มขยับกุมให้ถนัดมือขึ้นอีก ผมตัวแข็งทื่อสมองเริ่มรู้สึกเบลอขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจยังรักษาความสม่ำเสมอไม่ได้ ความกดดันและความตึงเครียดหลายๆ อย่างทำให้ผมปวดหัวหนักขึ้นไปอีก

“ปากกา? นี่แกคิดจะเล่นตลกอะไรวะ ฮ่าๆ”

   บทสนทนาสั้น ที่ผมได้ยินชัดเจนว่าฟรานซิสพูดถึงปากกา หัวใจผมมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้อยู่แล้วว่าฟรานซิสไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่นึกว่าเขาจะฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ ผมเองที่เป็นคนจงใจวางปากกาที่ไอ้แก่เฉินให้ไว้กับผมทิ้งให้ฟรานซิส แค่หวังว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น นั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ และมันคือแผนสำรองที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้ว

“มันก็คงตลก ถ้าหากมันไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคุณ จะลองฟังสิ่งนี้หน่อยมั้ย”

และเพียงไม่กี่วินาที เสียงสนทนาที่พอจะจับใจความได้ก็ดังขึ้น มันเป็นบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้แก่เฉินตั้งแต่ตอนแรกที่มันยื่นปากกาใส่มือผม ผมกดบันทึกเสียงเอาไว้ตลอดการสนทนาเพียงเพราะแค่อยากลองของใหม่ที่ไม่เคยเห็น แต่เมื่อผมรู้วิธีใช้ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงคุยกันผ่านโทรศัพท์ของผมกับไอ้แก่เฉินในหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งตอนที่มันส่งพวกมาข่มขู่ผมที่ตึกร้าง จริงๆ ก็มีตอนผมอยู่กับฟรานซิสแต่ผมกลับตัดมันทิ้งไปหมดแล้ว แค่หลักฐานเท่านี้ผมคิดว่ามันก็เพียงพอจะเอาผิดไอ้แก่เฉินให้เข้าไปอยู่ในคุกในตารางได้แล้ว และรวมไปถึงตัวผมเองด้วย

“นี่ก็เป็นแค่ของเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรสักเท่าไหร่นัก แต่คุณอาจจะนึกไม่ถึงถ้าได้เห็นของพวกนี้ แน่นอนว่ามันเยอะเสียจนผมนั่งรอให้คุณมานั่งพิจรณาสิ่งที่คุณทำตั้งแต่ต้นไม่ไหวแน่ๆ ”

คงไม่ต้องเดาว่าไอ้แก่เฉินจะเดือดขนาดไหนฟังจากเสียงที่เริ่มอึกทึกครึกโครมนั่นได้ แต่สิ่งที่เป็นปริศนาที่ฟรานซิสเอาให้ไอ้แก่เฉินดูผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่ามันคืออะไร ถึงทำให้ไอ้แก่เฉินเดือดเป็นน้ำมันขนาดนั้น

“ไอ้เด็กเวรนั่นมันหักหลัง! ส่งปากกานั่นมาให้กู! แล้วของพวกนั้นด้วย!!!!”

“ย่อมได้ แต่คุณคงไม่ลืมสิ่งที่เรากำลังตกลงอยู่”

“เออ! เอาไปเลยถ้าแกอยากเอางูเห่าไปแว้งกัดคออีกคน ไปเอาตัวมันออกมาเว้ย!”

สิ้นเสียงกร้าวของไอ้แก่เฉินคนที่เอามีดจ่อคอผมอยู่ก็กระชากตัวผมลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูที่เชื่อมอีกห้องออกแล้วโยนผมออกไป ร่างของผมกระแทกลงกับพื้นโครมใหญ่เนื่องจากผมไม่มีมือแม้กระทั่งได้พยุงตัวผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและอ้อนล้า มันยากเกินไปที่ผมจะเงยหน้ามองดูสถานการณ์ได้ ผมมองเห็นแค่พื้นไม้ปาเก้กับรองเท้าหนังหลายคู่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาผมมันหรี่จนแทบจะปิดสนิท

“ตามที่ตกลง”ผมจำได้ว่านั่นคือเสียงฟรานซิส“แต่สิ่งที่แกเอาไปได้ก็แค่ปากกาเท่านั้น”

“มึงหมายความว่ายังไง”

“ฮึ.....ก็หมายความตามที่พูด”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อจู่ๆ ในห้องก็เกิดความวุ่นวายจนคนในห้องเคลื่อนไหวกันให้ควั่ก เสียงประตูด้านหน้าเลื่อนเปิดออกรุนแรง เท้านับสิบเคลื่อนตัวเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์จากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นผมรู้สึกได้แค่มีเสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นเคยจนผมเผลอน้ำตาไหลออกมากระซิบกับผมอย่างแผ่วเบา

“กลับกันเถอะ....”แล้วร่างทั้งร่างของผมก็ถูกช้อนตัวขึ้นจนรู้สึกตัวเบาหวิวราวกับขนนก หน้าผมหมุนซบเข้าหาความอุ่น ทั้งสัมผัสและกลิ่นกรุ่นทำให้ผมเบาใจอย่างที่สุด ผมรู้ตัวว่าตัวเองสะอื้นไห้แต่มันก็แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพราะหลังจากลำแขนแกร่งกระชับผมแน่นขึ้นผมก็หมดสติไปซะแล้ว



“เฮือก!......”วินาทีที่ผมเหมือนถูกกดหัวลงน้ำตัดช่องทางการหายใจ ร่างกายของผมมันก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดึงสติผมให้ตื่นจากความฝัน สองมือบางของผมยกขึ้นโอบใบหน้าของตัวเองสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นของหยาดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า ผมจะค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสัมผัสกับหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมมันใจว่าผมยังไม่ตาย ผมค่อยๆ กวาดสายตามองสำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ตัวและพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสักนิด

โต๊ะ ตู้ หน้าต่าง พื้น หรือแม้กระทั่งเตียงที่ผมนอนอยู่ก็ยังบอกอะไรผมไม่ได้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน

“ฟรานซิส.....”นั่นคือชื่อแรกที่ผมพึมพำออกมา แต่เสียงกลับเหือดแห้งราวกับเป็นใบไปแล้ว

ผมยังจำได้ วันนั้นคนที่อุ้มผมออกมาจากเหตุการณ์ชุลมุนวันนั้นเป็นเขา และตอนนี้ผมมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

ครั้งแรกที่ผมลุกขึ้นห้องทั้งห้องแทบหมุนคว้างให้ผมเห็น ทุกอย่างมันหมุนไปหมดผมต้องใช้เวลาสักพักจึงจะนำร่างตัวเองที่แทบจะไม่มีแรงเดินไต่ผนังห้องออกไป ผมพึ่งสังเกตว่าหลังมือข้างซ้ายของผมมีพาสเตอร์แปะอยู่ด้วยความสงสัยผมจึงแกะมันออกและพบว่าเหมือนจะเป็นร่องรอยของการสอดเข็มน้ำเกลือ ถึงจะเป็นสิบปีมาแล้วที่ผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาล แต่ความรู้สึกและร่องรอยมันบอกผมได้จากประสบการณ์วัยเด็ก

บันใดวน?

คำถามผุดขึ้นเมื่อสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ามันยิ่งสร้างความไม่คุ้นเคย ผมใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพาตัวเองลงมาสู่ด้านล่าง ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่โยนตัวเองลงมาจากชั้นสองเพราะสิ่งนี้

ด้านล้างก็เช่นกันมันเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ บ้านออกตั้งกว้างแต่เงียบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญสักเท่าไหร่
“ขอโทษครับ.....มีใครอยู่รึเปล่า”ผมพยายามแปล่งเสียงที่แหบพร่า และรู้เลยว่าตัวเองต้องการน้ำ ผมมองไปทั่วก็แล้วแต่ก็ยังไม่เจอกับใคร ผมจึงเดินแตร่ตามหาห้องครัวและในที่สุดก็เจอ สิ่งที่ผมทำไม่ได้ต่างไปจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากทะเลทรายที่ร่างกายต้องการดื่มน้ำ ผมกินน้ำเข้าไปเกือบหมดเหยือก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงตู้เย็นในมือยังถือแก้วน้ำที่ยังไม่ยอมวาง
ผมยกแก้วน้ำขึ้นตรงหน้ามองเหม่อเข้าไปในแก้วใบใส พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนหัวแทบระเบิด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผมกลับนึกถึงสิ่งที่ฟรานซิสพูดตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”

มันเป็นประโยคที่ทำผมรู้สึกเจ็บเป็นบ้า ทั้งๆ ที่ผมเองก็ควรจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวผมสำหรับเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายอยู่แล้ว และยิ่งเขามารู้ว่าผมทำเรื่องแบบนั้น ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดไปได้สักกี่น้ำ เขาทวงผมกลับคืนจากไอ้แก่เฉินนั่นอาจจะอยากเป็นฝ่ายบีบผมเองเสียมากกว่า

ฮึ! ใครไม่แค้นก็บ้าแล้ว

“นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“คุณ!”ผมเกือบเผลอทำแก้วหล่นจากมือเมื่อมองเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยผ่านแก้วใบใส ผมกำลังจะดันตัวขึ้นยืน แต่ฟรานซิสกลับเดินมาหาเสียก่อน เขาย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนยื่นแขนสองข้างขังผมไว้ในลำแขนแกร่งนั่น ผมตาเบิกโพล่งมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายความกลัวเกาะกินหัวใจผมไปแล้ว 90 เปอร์เซ็น

ใบหน้าที่ที่ดูดุดันส่อประกายความโกรธผ่านแววตาคมกริบ เขามองผมอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนมือหนาที่ยื่นคร่อมไหลผมกลับเลื่อนลงมากุมท่อนแขนผมทั้งสองข้างแล้วรั้งให้ยืนขึ้น

แก้วในมือของผมถูกฟรานซิสชิงมันไปแล้ววางไว้บนตู้เย็นใบสูงราวกับมันแกะกะขวางทางเขาเหลือเกิน และอีกครั้งที่คิ้วหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันรับกับนัยน์ตาคมกริบจ้องมองผมไม่เลิก ในเมื่อคนที่ทนความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ได้คนแรกคือผม สิ่งที่ผมทำคือทำลายความเงียบตรงหน้านี้ซะ

 “คุณ คุณอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมรู้ว่าคุณรู้เรื่อง…..”ผมเว้นคำพูดเอาไว้ก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าสบตาเขาอีกครั้ง“คุณคงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ผมทำแล้ว”ผมกำลังพยายามไม่มือสั่น ไม่ตัวสั่น และไม่เสียงสั่นเพื่อบอกคนตรงหน้าว่าผมกลัวแค่ไหน

“ใช่ ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงเรื่องที่นายขโมยข้อมูลบริษัทส่งให้ผู้ชายคนนั้น”เสียงกร้าวไม่ได้ตะคอกดังแต่กลับแฝงไปด้วยโทสะเต็มเปี่ยม

“ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องอธิบายอีก คุณจะทำยังไงกับผมก็เชิญผมจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งสิ้น”

“ฉันไม่มีทางปล่อยนายแน่ธัน.....แต่ที่ฉันส่งสัย และคงมีแต่นายคนเดียวที่ตอบฉันได้นั่นก็คือ ทำไมนายถึงทิ้งปากกานั่นไว้ให้ฉัน”

“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้ฉลาดเท่าคุณ ผมก็แค่ลืมมันไว้”

“ลืม? ฉันจะเชื่ออย่างที่นายพูดก็ได้”ฟรานซิสเริ่มขยับตัวบ้างแล้ว เขายิ้มเยาะตรงมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ท่าทีของเขาดูไม่สุภาพเหมือนแต่ก่อน แต่นั่นแหละ....ผมจะหวังให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันคงไม่มีทาง

และอีกครั้งที่ผมยังคงต้องผวา เมื่อเห็นฝ่ามือหนายื่นมาทางผม ไม่รู้เพราะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรทำให้ผมหลับตาสนิทนิ่งฝืนแกร็งทั้งใบหน้า แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ผมคิดกลับผิดถนัด เมื่อมือหนากลับยื่นมาสัมผัสและเกลี่ยแก้มของผมราวกับเล่นเล่ห์และขยับเข้าหาผมเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหนีอย่างกังวลไม่รู้ว่าสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์และดวงตาเฉยชาคู่นั่นกำลังคิดอะไร

“ในเมื่อยอมรับสารภาพมาขนาดนี้ แสดงว่านายคงเตรียมใจรับการลงโทษจากฉันแล้วสินะธัน?”

“จะเอาผมส่งตำรวจตอนนี้ก็ยังได้ หลักฐานทั้งหมดก็อยู่ที่คุณแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่เก็บมันไว้แล้วยื่นให้ไอ้แก่เฉินนั่นไปทั้งแบบนั้น”ผมหยุดขยับหนีได้เพียงมองฟรานซิสด้วยแววตาอิดโรย

“นายเป็นคนพูดเองนะว่าพร้อมจะให้ฉันลงโทษ”

“ครับ ในเมื่อคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง”

ผมอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่เผลอเอาความคิดประชดประชันแบบนั้นมาพูด

“ใช่ ฉันไม่สนว่านายจะเป็นยังไง หรือคิดยังไง”ท่าทางที่ฟรานซิสแสดงออก ราวกับเขาสามารถคว้ามีดเล่มใดเล่มหนึ่งในห้องครัวแล้วใช้มันปาดคอผมได้

เอาจริงๆ ผมเผลอมองหาทางรอดเพื่อจะหนีเอาไว้ซะแล้ว การเตรียมใจมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ผมทึกทักเอาเองเลยสักนิด

“..........”

“ฉันโกรธสุดๆ นายคงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกหักหลังดี และที่ฉันยอมทำเรื่องที่เสียเวลาพานายกลับมา ฉันก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง”ร้อยยิ้มแสยะยังคงรุกผมไม่ห่าง ทำให้ผมที่ไม่คิดจะหนีรู้สึกกลัวจนเท้ามันขยับไปเอง

ไหนบอกว่าเตรียมใจให้เขาฆ่าให้เขาแกงแล้วไงวะ ทำไมพอเอาเข้าจริงๆ กลับกลัวจนหัวหนขนาดนี้!

“จุดประสงค์?.....ในเมื่อคุณเป็นคนลงทุนเอาตัวผมมาจากไอ้แก่เฉิน แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะทำอะไรกับผมก็ได้ ผมมันก็แค่ตัวปัญหาที่ทำให้คุณเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”ถึงผมจะปากดีแต่ใจผมมันกลับอยากจะวิ่งหนี ผมไม่เคยรู้สึกกลัวฟรานซิสเท่าวันนี้มาก่อน ราวกับคนที่ผมไม่รู้จัก ดวงตาคมกริบที่เคยสะท้อนเงาผมในนั้นเวลานี้กลับดูว่างเปล่าและดุดันแผ่รังสีความเย็นยะเยือกบีบคั้นจิตใจ

“ฉันจะขอรับสิทธิ์นั้นเลยแล้วกัน.....”ร่างกายผมแข็งทื่อมองมือหนาที่ยื่นเข้ามา แม้จะไม่ทันสัมผัสผมก็แทบหายใจไม่ออก สีหน้าของผมคงซีดเผือกจนมองได้ชัดร่างสูงสง่าตรงหน้าจึงกระตุกยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย ผมตัวสั่นแทบจะหมดแรงยืนน้ำตาเกือบไหลพรากกลั้นหายใจสุดชีวิตในใจคิดไว้แล้วว่ายังไงก็หนีไม่พ้น

แต่ทว่าเมื่อมือหนาเข้าสัมผัสกับลำคอขาวซีดที่อุ่นร้อนซึ่งกำลังเชิดรั้งรอราวกลับไม่แกรงกลัว ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด แทนที่มือใหญ่คู่นั้นจะออกแรงบีบตัดช่องทางหายใจแต่เขากลับโอบรั้งเอาไว้ราวกับทะนุถนอม แต่กลัและใช้วิธีอื่นช่วงชิงอากาศที่ผมหายใจด้วยการกดริมฝีปากหนาเข้าฮุบอากาศที่ผมเพิ่งจะสูดหาบใจเป็นครั้งสุดท้ายไปต่อหน้าต่อตา
 
หากไม่มีความรู้สึกใดๆ ผมคงจะเสียสติไปแล้ว ทว่าครั้งนี้ผมกลับสับสน มึนงง คาดเดาอะไรไม่ถูกจากการกระทำของคนตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อครู่เขาแสดงออกว่าแทบอยากจะฉีกผมเป็นชิ้นๆ เลยด้วยซ้ำแต่ว่า ทำไมตอนนี้?

“คุณ คุณไม่ได้จะบีบคอผมรึไง”ผมถามออกไปอย่างเปิดเผย สีหน้าก็พอรู้แล้วว่าผมสับสนแค่ไหน ท่าทางของผมมันคงตลกมากสินะถึงทำให้ฟรานซิสถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาได้

“บีบคอ....นายคิดว่าฉันจะทำอย่างนั้นรึไง”แววตามันฟ้องว่าเขากำลังเล่นตลกกับผม ผมปรับอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ เรียกได้ว่าช๊อคกลางอากาศก็ยังได้

“ก็ ก็คุณ”ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับมือหนาที่ยังคงครอบครองลำคอขาวผมไม่ปล่อย แต่คราวนี้เข้ากลับขยับนิ้วโป้งเข้าเกลี่ยแก้มของผมทั้งสองข้างราวกับมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ฉันบอกนายรึไงว่าฉันจะทำแบบนั้น”

“ก็คุณดูโกรธผม แล้วคุณยัง!”

“ยัง?”

“คุณทำท่าอย่างกับจะฆ่าผม”

“แล้วอะไรอีก?”คนตรงหน้าเพียงรั้งรอให้ผมพูดทั้งหมด เขาดูตั้งใจฟังแถมยังมองผมซะชิดใกล้อีก

“คุณพูดเองว่าคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง และคิดยังไงด้วย”ผมก้มหน้างุดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลันทำให้ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“นั่นสินะฉันพูดแบบนั้น.....”

“หรือว่าคุณ แค่อยากจะแกล้งผม”

“ใครบอกฉันแกล้ง แต่ฉันโกรธนายจริงๆ ต่างหาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ฉันจะไปโกรธคนที่โดนหลอกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ยังไง ฉันเองก็มีส่วนผิด”

“คุณว่าผม! ผมเข้าใจว่าโดนหลอกคืออะไร แต่หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันหมายความว่ายังไง”ผมขยับแต่ฟรานซิสยังจับผมไม่ปล่อย ซ้ำร้ายยังรั้งใบหน้าผมให้สบตากับดวงคาคมกริบนั่นอีก ก่อนที่เขาจะเฉลยอะไรบางอย่างให้ผมเข้าใจ

“แผนการทั้งหมด ถ้านายสงสัยสักนิดน่าจะรู้ว่าใครกันที่ตามดูนายอยู่ตลอด”

“.....”ผมอ้าปากเหวอมองฟรานซิสอย่างหวาระแวงระคนงุนงง

“ไม่ขอบคุณฉันหน่อยรึไงที่ช่วยให้นายได้ข้อมูลนั่นไปให้กับคนๆ นั้น”

ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออกเมื่อฟรานซิสพูดแบบนั้น ถึงว่าทำไมคนที่รอบคอบอย่างฟรานซิสกลับทิ้งรหัสค้างไว้ แถมข้อมูลที่ได้มาก็เป็นไวรัสที่แทบจะทำลายทั้งระบบเครือข่ายนั่งคงเป็นฝีมือใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขา

“คุณ.....คุณทำผมทึ่งจริงๆ ยังมีอะไรอีกมั้ยที่ผมยังไม่รู้”ผมแทบทรุดทั้งยืนครุ่นคิดในสิ่งที่ผ่านมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ผมแทบอยากจะกำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงใส่ฟรานซิสซะเหลือเกินถ้างานนี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็น

เอาเข้าจริง ผมเริ่มชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่ถูกหักหลังหรือหลอกใช้ ผมเริ่มมองเห็นความโง่ดักดานของตัวเองขึ้นมาชัดเจนก็วันนี้

“ยังมีอีกเยอะแต่ไม่ต้องรีบร้อนจะรู้ก็ได้”

“ไม่! ผมอยากรู้ตอนนี้ คุณเล่ามาให้หมดเลย”ผมเขย่าตัวเขาราวกับจะให้เขาคายความลับทั้งหมดออกมา

ผมขอเจ็บทีเดียวเลยจะดีกว่าในเวลาที่ผมพอจะรับได้

“ถ้าหากอยากรู้.....ฉันจะค่อยๆ เล่าให้นายฟังบนเตียงนุ่มๆ จะดีกว่า”

“ฟรานซิส!”ผมร้องเสียงหลงเรียกชื่อผู้ชายตรงหน้าราวกับฟ้าจะถลม เมื่อจู่ๆ ฟรานซิสก็ช้อนตัวผมขึ้นแล้วจัดการนำตัวผมพาดบ่าเตรียมพาออกไปจากห้องครัว แค่เขาอ้าปากผมก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นี่มันใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้มั้ย!

“ปล่อยผมลงนะ! คุณต้องบอกเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังสิไม่ใช่ทำกับผมแบบนี้!”ผมดิ้นพรากอยู่บนไหล่แกร่งนั่นอย่างกับจะถูกโยนขึ้นเขียง แต่ผมมันอยู่ในกรณีโยนขึ้นเตียงที่โหดร้ายกว่าเขียงเยอะเป็นไหนๆ

อาจเพราะร่างกายของผมมันรู้หน้าที่สิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ก็กลับช่วยผมไว้

“โครกกกก......”

เสียงท้องร้องที่ดังอย่างกับเสือคำราม ผมแน่ใจว่าฟรานซิสคงได้ยินเต็มสองหูเขาจึงหยุดชะงักและวางผมลงกับขอบโต๊ะมองผมด้วยสีหน้าอ่อนใจ ผมมองฟรานซิสที่ยกมือขึ้นเสยผมนุ่มละเอียดนั่นแล้วผมก็ส่งสายตาวิงวอนออกไป เขารับรู้ในทันที พร้อมกับพยักหนาเบาๆ ตอบรับความต้องการของผม

“ฉันจะให้คนทำอาหารให้นายก็แล้วกัน”

“ขอบคุณ.....”ผมเก็บร้อยยิ้มผู้ชนะไว้ลึกสุดมุมปากลอบมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลุดโล่ง ครั้งนี้ผมอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าผมจะใช้วิธีไหนนี่สิ แล้วเรื่องสะเทือนจิตใจที่เพิ่งจะสิ้นสุดเขาไม่คิดบ้างเหรอว่าผมควรจะได้รับความเห็นใจและเขาควรจะขอโทษผมสักคำ เพราะเขาก็หลอกผมมาตั้งแต่แรกที่ผมเหยียบเข้ามาในชีวิตเขาเหมือนกัน

แต่.....ถ้าเขาบอกว่าผมเองต่างหากที่เข้ามาหลอกเขาก่อน ซึ่งมันก็คือความจริง แล้วแบบนี้ตกลงใครผิดใครถูกกันแน่เนี้ย!!!




>>>>>to be continued :bye2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 13-09-2016 18:52:59
งือออออ o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-09-2016 19:15:25
ธันโดนลงโทษหนักแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 13-09-2016 19:19:04
เป็นเนื้อหาที่น่าติดตามมากแถมยาวอีก ชอบๆๆ :-[
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 13-09-2016 19:20:28
ไขคดีแล้ว เรื่องจะเป็ยังไงต่อล่ะทีนี้ :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 15-09-2016 00:45:59
เคลียร์ๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 23 UP DATE 13/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-09-2016 01:02:21
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 15-09-2016 20:13:32




24





นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟรานซิสนั่งมองผมกินข้าว ผมก็คงจะชินชาหาความกระดากอายไม่เจอเลยไม่สนใจว่าเขาจะมองผมยังไงเพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งเจอกับอาหารหลังจากไม่รู้ว่าของพวกนี้ผมกินครั้งสุดท้ายไปเมื่อไหร่ ผมจะพูดยังไงดีว่าผมกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแม้กระทั่งผักบางชนิดที่ผมไม่ชอบ

“รีบกินเดี๋ยวก็ติดคอ”

“คุณคงไม่เคยอดอาหารคงไม่รู้ว่าความรู้สึกหิวมันเป็นยังไง”ผมยังคงตักข้าวเข้าปาก ส่วนอีกคนกลับนั่งดื่มน้ำสีอัมพันมองผมราวกับกับแกล้ม

“นั่นสิ”

“ผมยังไม่ได้ถามคุณเลยว่า ตกลงที่นี่ที่ไหนบรรยากาศมันเย็นแปลกๆ ”

“เขาใหญ่”

“อะไรนะ!”ผมวางชอบแทบจะทันที่เมื่อฟรานซิสพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติผมรู้ว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องเล็กพาผมมาไกลขนาดนี้เขาคิดอะไรอยู่

“ฉันแค่อยากหาที่สงบๆ ให้นายพักผ่อน ที่นี่บรรยากาศดีแถมเป็นส่วนตัว”

“คุณทิ้งงานมารึไง”

“ฉันดูไร้ความรับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่า ผมไม่ได้จะหมายถึงอย่างนั้น ถ้าแค่เรื่องของผมทำให้คุณต้องทิ้งงานตัวเองมาแบบนี้ผมว่า.....”

กึก!

แก้วใบใสราวคริสตัลถูกวางลงบนโต๊ะ ไม่ใช่ว่าผมพูดมากจนรำคาญผมหรอกนะ แต่ผมอาจจะพูดมากเกินไปจริงๆ นั้นแหละ ฟรานซิสถึงมองผมตาขวางขนาดนั้น เข้าทำราวกับไม่เข้าใจอะไรในเมื่อคนที่น่าจะรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้จะลืมกันง่ายๆ ต้นเหตุคือผม ผมยอมรับว่าตัวเองรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจกับสถานะที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้

“โอเค ผมจะเงียบไปสักระยะนึง งั้นผมเก็บของบนโต๊ะก่อนแล้วกัน”ผมทำท่าจะลุกหนี ฟรานซิสที่นั่งใกล้คงไม่ยอม เขาแค่ขยับลำแขนแกร่งตัวผมก็ถูกตวัดมานั่งลงบนตักเขาแล้ว ฟรานซิสไม่เคยปล่อยโอกาสให้ผมหนีรอดหากเขาต้องการ ข้อนั้นผมรู้ดี แต่ทว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่

“ปล่อยผมเถอะ คุณจะเสียเวลางานเอาเปล่าๆ และผมอยากจะกลับด้วย คุณอย่าลืมว่าผมลาออกจากการเป็นลูกจ้างของคุณแล้ว คุณไม่ใช่เจ้านาย ส่วนผมไม่ใช่ลูกน้อง คุณไม่ต้องปฏิบัติราวกับยังแคร์ผมอยู่ ผมพูดตรงๆ ว่าผมรู้สึกอึกอัดที่เห็นคุณ.....นั่นเพราะว่าผมทำผิดต่อคุณ ผมแค่สู้หน้าคุณไม่ไหว หากคุณจะเข้าใจว่าผมรู้สึกไม่ดีคุณควรจะเอาผิดผมให้เห็นๆ ดีกว่ามาอมพะงำทำเรื่องที่มันไม่ใช่ประเด็นอย่างตอนนี้”

ผมผิดสัญญาเองว่าจะอยู่เงียบๆ แต่ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ผมก็ควรจะพูดออกมาให้หมด ดีกว่าค้างคาคนที่ทำผิดไว้ตั้งมากมาย ไม่มีใครนั่งลอยหน้าสบายใจอยู่ได้หรอก ทุกอย่างมันต้องได้รับการแก้ไขถึงจะถูกต้อง

“นายคิดผิดแล้วที่คิดว่าฉันจะไม่ทำอะไรเลย และฉันรู้ดีว่าฉันไม่ใช่เจ้านาย และนายก็ไม่ใช่ลูกจ้างฉันอีกต่อไป ฉันถึงไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่ง แต่ฉันกลับรู้สึกสบายใจที่เรื่องทุกอย่างมันจบลงได้ นายก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่คิดบ้างรึไงว่าการที่นายรอดมาจากผู้ชายคนนั้นได้ มันคือบทลงโทษของนาย”

ผมหันไปจ้องฟรานซิส เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งผมตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูดเมื่อผมเงียบฟรานซิสกลับกระชับท่อนแขนกอดเอวคอดผมไว้ และอีกมือก็เลื่อนมาจับมือผมยกขึ้นในระดับสายตาเขาก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงไปบางเบาบนหลังมือผม แน่นอนว่าคิ้วของผมขมวดไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

“หากการที่นายบอกว่าการมองหน้าฉันคือความรู้สึกผิดและเจ็บปวด นั่นแหละคือบทลงโทษของนาย.....”

“คุณพูดเหมือนจะให้ผมอยู่ติดกับคุณไปตลอดอย่างนั้นแหละ”ผมดึงมือตัวเองกลับมาความคิดในหัวกำลังตีกันให้ยุ่ง

“..........”

“คุณล้อผมเล่นแน่ๆ ”

“นิสัยฉันเป็นอย่างนั้นรึไง?”เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มนวนกระซิบผ่านลำคอขาวของผมจนมันรู้สึกร้อนผ่าว ผมลุกขึ้นพรวดและถอยห่างจากฟรานซิสเล็กน้อยยืนเก้ๆ กังๆ ราวกับทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ ลูกจ้างก็ไม่ใช่ แล้วผมเป็นอะไรสำหรับเขา ให้มาอยู่ใกล้ชิดสนิทเหมือนแฟนตลอดเวลาผมไม่มีทางทำได้หรอก

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้”

“นายมีสิทธิ์เลือกอย่างนั้นเหรอ? ”

“ผม ผม.....”นั่นคือสิ่งที่ผมตอบเขาไม่ได้

“ฉันบอกแล้วว่ามันคือบทลงโทษ และนายไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยซ้ำธัน นายอย่าลืมว่าสิ่งที่ฉันทำมันมากกว่าสิ่งที่นายเห็น ฉันคงไม่ยอมปล่อยนายไปง่ายๆ เพียงเพราะเป็นความต้องการของนายอีก”ใบหน้าระบายยิ้มแต่คำพูดของเขามันช่างร้ายกาจ ผมฟังแล้วรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว จะปั้นหน้าให้ยิ้มกลับก็ทำไม่ได้ มันขัดกับความรู้สึกไปซะหมด

“..........”

“มานี่สิ ฉันจะพาไปเดินดูรอบๆ”คนตรงหน้าคงอ่านบรรยากาศออก เขายืนขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาทางผมเปลี่ยนไปพูดในประเด็นที่ตรงข้ามจนผมปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน

“..........”ผมมองหน้าฟรานซิสสลับกับมือหนาก่อนจะส่งมือตัวเองให้ฟรานซิสกุมมือ พร้อมกับประสานสอดนิ้วดึงผมไปในที่ที่เขาอยากจะพาไป ผมมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เข้าใจนัก บางครั้งเขาแสดงออกราวกับไม่สนใจผมอยากจะบังคับให้ทำอะไรก็ต้องทำ แต่บางทีเขากลับเปิดเผยด้านดีๆ ออกมาให้ผมเห็น มันอดทำให้ผมสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกกับผมยังไง และต้องการอะไรจากผม

รู้สึกยังไง? ไม่ๆ ผมจะมาถามหาเรื่องแบบนั้นทำไม ทำตัวอย่างกับคนมีความรัก โอ๊ย…..ไม่อยากจะคิด นี่ผมเพ้อเจ้อเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ยขนลุกชะมัด ถามหาความรักจากผู้ชายด้วยกันผมท่าจะบ้า แล้วยิ่งจากผู้ชายอย่างฟรานซิสอีก เพราะว่าเรามีเซ็กส์ด้วยกันอย่างนั้นเหรอผมถึงคิดแบบนั้น สมัยนี้ one night stand ก็มีถมแถไปไม่เห็นต้องมาเป็นแฟนกันเลย แต่ไอ้ one night stand บ่อยๆ นี่มันเกี่ยวกันรึเปล่า

หยุดๆ ไอ้ธัน มึงจะคิดหาส้นรองเท้าอะไรเนี้ย!

“เป็นยังไงบรรยากาศดีกว่าในเมืองรึเปล่า”ฟรานซิสพาผมมาที่ระเบียงนอกบ้านที่มีพื้นที่กว้างพอที่จะจัดปาตี้ 20 คนได้สบายๆ วิวด้านหน้าไม่ต้องพูดถึง ยอดไม้เขียวขจีสุดลูกหูลูกตามองไกลๆ อย่างกับป่าแถวสวิตเซอร์แลนด์ขาดอย่างเดียวไม่มีภูเขาน้ำแข็งและลำธารหิมะ

“ฮือ”ผมพยักหน้าและเดินไปเกาะขอบรั้วระเบียงที่ทำด้วยไม้หลับตาสูดเอากลิ่นธรรมชาติเข้าปอด สดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็น ออกซิเจนธรรมชาติมันดีอย่างนี้นี่เอง

“หากชอบฉันจะพามาบ่อยๆ ”

“คุณบอกผมว่าคุณต้องการให้ผมอยู่ใกล้ๆ ในเมื่อตัวผมไม่ได้มีประโยชน์ คุณจะเก็บผมไว้ทำไม ผมไม่ได้ต้องการจะพูดกวนใจคุณหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจ”ถึงยังไง ผมก็ยังอยากพูดเรื่องที่มันยังค้างคาอยู่ดี

“นั่นสิ.....ถ้าฉันจะบอกให้นายอยู่นายคงเบื่อแย่ ฉันรู้ว่านายมันรั้นฉันเลยเตรียมงานดีๆ ไว้ให้ และมันก็ดีกับทั้งตัวฉันและนายเอง”
“คุณจะให้โอกาสผมมากเกินไปรึเปล่า และผมก็ไม่ได้อยากจะทำงานมากขนาดนั้น”

“ฉันคงไม่ปล่อยให้นายกลับไปทำงานพาร์ทไทม์ในที่แบบนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แน่นอน ฉันเชื่อว่าหากฉันไม่รั้งนายด้วยงานนายคงกลับไปทำที่นั้น”ผมเหลือบไปมองฟรานซิส เขาพูดราวกับอ่านใจผม ถึงกับทำให้ผมเผลอกระแอ้มกระไอออกมา

“แฮ่ม! งานที่คุณหมายถึงคืองานอะไรครับ”ผมหมุนตัวกลับมาและเดินไปพูดกับฟรานซิสอย่างจริงจัง

“มีคนบอกฉันว่า ให้ฉันหาเมดดีๆ สักคน และดูเหมือนตำแหน่งนั้นยังว่างฉันคิดว่านายควรจะกลับไปทำ ตอนนี้ไม่มีใครดูแลที่นั่นจนฉันไม่อยากเข้าไปเหยียบ และมันคงดีกว่างานกลางคืนที่บาร์ เหลืออีก 1 เทอมนายก็จบแล้วใช่มั้ย”ผมอึ้งอยู่ครู่ใหญ่เมื่อฟังสิ่งที่ฟรานซิสพูด เขารู้ดีราวกับตัวผมเอง คงมีอีกหลายเรื่องที่เขารู้แต่ผมไม่รู้สินะ

ผมเชื่อผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

“คุณไม่กลัวว่าผมจะล้วงความลับของคุณไปขายรึไง ผมไว้ใจได้แค่ไหนกันคุณถึงยังจะให้ผมทำงานอีก”ผมแกล้งพูดลองใจเขา และไม่แน่ผมอาจจะได้ยินในสิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็ได้

“ฉันไม่เคยไว้ใจนาย และฉันจะจับตาดูนายทุกฝีก้าว”ร่างสูงเดินเข้ามาประชิดตัวผม อดไม่ได้ที่ผมจะถอยหลังร่นหนี เขาทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนเมื่อดวงตาคมกริบนั่นจ้องเข้ามาเหมือนอ่านความคิด ถึงท่าทีของผมราวกับไม่สะทกสะท้านต่อความคิดของเขา แต่ข้างในใครจะล่วงรู้ว่าผมแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว

“ผมไม่ต่างจากนักโทษสินะครับ”ผมยิ้มฝืนๆ ประชดประชันคนตรงหน้า

“เข้าข้างในเถอะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจะทำให้ไม่สบายเข้าไปอีก”

ฟรานซิสไม่ได้พูดอะไร เขาเปลี่ยนประเด็นอีกครั้งจนผมรู้สึกขัดใจ ร่างสูงเดินนำลิ่วเข้าไปด้านในผมจึงต้องเดินตามเข้าไปอย่างไร้ข้อโต้แย้ง และบทสนทนาชวนตึงเครียดของเราก็จบเพียงเท่านั้น

และในช่วงบ่ายนั้นฟรานซิสบอกผมว่าเขาจะออกไปทำธุระเกี่ยวกับงานของเขา หากมีอะไรขาดเหลือหรือต้องการอะไรให้ผมโทรไปบอกคนดูแลของที่นี่ได้ เขาพักอยู่ด้านหลังบ้าน เพราะปกติหากมีใครมาอยู่ที่นี่เขาก็จะไม่ขึ้นมารบกวน ฟรานซิสบอกว่าอาจจะกลับมาค่ำหน่อยให้ผมกินข้าวได้เลย พอผมทวงถามว่าเราจะกลับเมื่อไหร่เขาก็บอกว่ารอให้เขาทำธุระเสร็จก่อนถึงจะกลับ
สรุปว่าที่ผมกล่าวอ้างว่าเขาทิ้งงาน ผมก็ปากเสียไปเอง ผมน่าจะรู้นิสัยฟรานซิสดีว่าเขาไม่ทำอะไรที่มันไม่มีผลประโยชน์พลอยได้แน่นอน และการที่เขาพาผมมาด้วยก็แค่ต้องการให้ผมอยู่ในสายตาเท่านั้น

และเย็นนี้ดูเหมือนผมจะกินข้าวคนเดียว ผมเลยบอกป้าที่เขาดูแลที่นี่ว่าผมขอแค่กับข้างอย่างเดียวก็เกินพอ ไม่ต้องลำบากไปซื้อหาให้วุ่นวาย เขาดูแกรงใจผมวางรายการจะทำตั้งห้าอย่าง แต่ผมก็ยืนยันสิ่งเดิมจนได้ตามที่ต้องการ ผมไม่รู้ว่าฟรานซิสใช้ระบบเลี้ยงคนยังไงพวกเขาถึงได้หัวแข็งเหมือนเจ้านายไปหมด

และหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมพาตัวเองมานั่งหน้าทีวีก่อนจะตกใจกับข่าวที่เห็น ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันขณะนี้ถึงเรื่องของไอ้แก่เฉินบริษัทปล่อยกู้ที่โดนจับข้อหาปล่อยหนี้นอกระบบ ปลอมแปลงเอกสารและฟอกเงิน ผมรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนจัดการ ผมปิดทีวีเสหมือนหนีความจริงจากเรื่องวุ่นวายก่อนจะหอบร่างตัวเองขึ้นไปนอนยังที่ๆ เขาจัดให้นั่นคือห้องเดิมที่ผมตื่นมา ผมมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ แต่สำหรับวัยอย่างผมถือว่ามันยังไม่ดึกเกินไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วตอนนี้ร่างกายผมต้องการจะพักผ่อนมากกว่า แถมอากาศเย็นๆ เงียบๆ แบบนี้ชวนหลับเป็นที่สุด

ผมพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบบนเตียงนุ่ม คิดเรื่องต่างๆ มากมายไม่จบไม่สิ้นคิดไปถึงเรื่องที่ต้องกลับไปแล้วจะเริ่มต้นใหม่กับงานเก่าที่ฟรานซิสต้องการจะให้ผมทำ มันอาจง่ายถ้าผมตามน้ำเขาไปเหมือนไม่มีสมองเป็นของตัวเอง แต่การเผชิญหน้านั่นคือเรื่องยากสำหรับผม ไหนจะยังเรื่องที่พักใหม่ผมต้องเป็นผึ้งอพยพสักกี่รังถึงจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งกับคนอื่นได้เสียที คิดเรื่องนี้แล้วผมก็ปวดกบาล แต่ก็พาลให้ผมนอนหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกตื่นอีกครั้งเมื่อมีบางอย่างขยับอยู่ใต้ผ้าห่ม อาการผมคงไม่ต่างจากคนหิวน้ำตอนดึก สติสะตังค์ก็ยังมาไม่ครบแต่อยากจะลุกจากเตียง ผมบอกตรงๆ ว่าตัวเองเบลอมาก เวลาหลับหากตื่นขึ้นมาจะรู้สึกเหมือนตัวเองละเมอ ผมพยายามลืมตา เอื้อมมือไปคว้านาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะใกล้เตียงปรากฏว่าผมเพิ่งจะหลับไปได้แค่ 2 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น ผมขยับตัวเองภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มและรู้สึกถึงความอบอุ่นผ่านสัมผัสจากมือของใครบางคนที่รวบรั้งเอวผมไว้ ผมสะดุ้งเฮือกเอื้อมมือไปเปิดสวิตไฟหัวเตียงอย่างรวดเร็ว

“ฉันทำนายตกใจ? ”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแล้วขยับแขนคว้าผมเข้าไปกอด เขายังไม่หลับและคงนานพอที่จะนอนดูผมหลับอยู่ค่อนคืน

“ก็แน่สิจะให้ผมไม่ตกใจได้ยังไง ดีแค่ไหนผมไม่เอาอะไรเขวี้ยงคุณ”ผมพยายามแกะมือฟรานซิสออก เขาโอบผมไว้แน่นและนอนอยู่ข้างๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมนี่สิหัวใจจะวาย

“ปล่อยครับ ผมอึดอัดมาก”ผมเน้นย้ำใจความสำคัญมองหน้าหล่อเหลาจนน่าหมั่นไส้ ฟรานซิสเลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนผมพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจ

“อึดอัด? หรือฉันปล่อยให้นายอยู่คนเดียวมากไปจนนายลืมรสชาติความสนิทสนมไปแล้ว”

“คะคุณพูดอะไร”เขาเก่งในเรื่องทำผมพูดไม่ออกจริงๆ

“ฉันรู้นายเข้าใจ”

“คุณฟรานซิส! ”คำพูดของผมคงไปกระเทือนต่อมไตอะไรบางอย่าง ฟรานซิสจึงจงใจนำพาร่างแกร่งพลิกขึ้นกดผมลงไว้แน่นแทบจะจมหายลงไปกับเตียง ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลบดวงตาคมที่แวววาว พราวระยับเสียจนผมหวั่นใจ

“มองหน้าฉันธัน นายไม่มีอะไรที่ต้องหลบตา”เสียงเย็นเยียบรั้งใบหน้าผมให้สบตากับเขา เราจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งและคนที่แพ้ก่อนคือผม จะไม่ให้ผมเบี่ยงหน้าหนี้ได้ยังไง ในเมื่ออีกฝ่ายจ้องจนร่างผมแทบทะลุแถมยังทำวูบไหวไปกับริมฝีปากหยักที่กระตุกยิ้มบางๆ ราวกับเห็นความลับผ่านดวงตาผม

เขาทำเหมือนรู้ความคิดผมไปซะทุกเรื่อง แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มันน่าโมโหก็ตรงนี้แหละ

“เป็นอะไร? ”มือหนาจับคางผมให้หันมา ผมขบเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง คนตรงหน้าหัวเราะหงึกออกมาแกล้งใช้นิ้วมือเรียวยาวเกลี่ยแก้มที่เย็นฉ่ำของผมให้มันอุ่นร้อนขึ้น ผมกระพริบตาถี่ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“นายกำลังโกรธฉัน? ”

“เปล่า จะให้ผมโกรธคุณเรื่องอะไรครับ”

“แล้วนายโกรธฉันเรื่องอะไร? ”

“ก็ผมบอกว่าไม่ได้โกรธ”

“ถ้าไม่โกรธก็ยิ้ม ฉันชอบเวลานายยิ้ม ซึ่งมันหายาก”

“แล้วทำไมผมต้องยิ้มตอนนี้”ผมคิ้วขมวดไม่เข้าใจคนตรงหน้า

“ก็ฉันอยากให้นายยิ้ม”นิ้วเรียวเข้านวดคลึงริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่งตื้อให้ผมพยายามยิ้ม ดวงตาคมจดจ้องริมฝีปากของผมแสดงออกว่าเขาต้องการ สิ่งนั้นทำผมประหม่าหัวใจเต้นถี่จนหายใจไม่เป็นจังหวะ

“ผม ผมว่าคุณคงเหนื่อย ผมจะไปนอนห้องอื่นคุณพักผ่อนเถอะ”ผมขืนดันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ยินยอม เขาฉลาดเป็นกรดขนาดนี้คงรู้ว่าผมคิดที่จะหนี

“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น คืนนี้ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่”

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนช่างพูด”

“ฉันเป็นอย่างนั้น? ”

“ก็คงไม่มีใครมาพูดอะไรเยอะแยะในเวลานอนหรอก คุณก็รู้ว่าตอนนี้มันกี่โมง”

“แต่ฉันยังไม่ง่วง”

“คุณไม่ง่วงแต่ผมง่วงครับ ตาผมจะปิดอยู่แล้ว”

“ฉันแค่อยากจะคุยกับนาย”

“ตอนนี้? ”ผมเสียงดังขึ้นราวกับได้ยินเรื่องชวนตกใจ กลางวันผมพยายามชวนเขาคุยแทบตายแต่เขากลับบ่ายเบี่ยง แต่พอตกกลางคืนจะมากระตือรือร้นเอาตอนนี้ เขาเป็นค้างคาวรึไง แต่ผมไม่ใช่นะเข้าใจกันบ้างรึเปล่าเนี้ย

“ฉันยังไม่ได้ถามนายเลยว่าตอนผู้ชายคนนั้นจับตัวนายไปมันได้ทำอะไรนายรึเปล่า”

“ไม่ได้ทำอะไร แค่ขังไว้เฉยๆ ”

“แต่ฉันเห็นรอยช้ำที่แก้มขาวๆ ของนาย”

“เรื่องนั้น…..”ผมทิ้งช่วงคำพูดไปราวกับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง จนผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ“ผมก็ควรโดนเพราะดันพังระบบคอมพิวเตอร์ด้วยไวรัสในไฟล์เอกสารข้อมูลของคุณนั่นแหละครับ”ผมยิ้มบางๆ บอกเขาให้รู้ไม่ปิดบัง เพราะสาเหตุก็มาจากเขา

“ฮึๆ ”จู่ๆ ฟรานซิสก็หัวเราะขึ้นมา

“มันน่าขำ? คงสนุกที่ผมโดนคุณหลอกเต็มๆ สินะ”

“เหมือนนาย…..กำลังน้อยใจฉัน”ฟรานซิสก้มลงมากระซิบราวกับมันเป็นความลับผมดันแผงอกกว้างนั้นออก บ่งบอกว่ามันใกล้เกินความจำเป็น

“คุณไม่ต้องคิดมาก ผมไม่ใช่ผู้หญิง แน่นอนว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไรไปคิดว่าตัวเองต้องน้อยใจคุณครับ”

“ก็ไม่แน่หรอกนะ”

“ไม่มีทางต่างหากครับ”

“นายแน่ใจ”

“ก็ ก็ต้องแน่ใจ คุณฟรานซิสคุณกำลังเล่นสงครามประสาทกับผมรึไง”ผมค้อนตาคว่ำเริ่มจนมุมทุกครั้งที่เขาไล่ต้อน

“ฉันเปล่า”

“แต่คุณกำลังทำ”

“ทำอย่างนี้เหรอ”

“คุณ คุณฟรานซิส!”ผมร้องขึ้นมาทันทีเมื่อถูกคนตรงหน้าแกล้งสอดนิ้วเข้าใต้สาบเสื้อยืดตัวบาง ผมรีบตะปบมือไวนั่นไว้ เอียงหน้าหลบสายตาที่จ้องมองผมเหมือนจับผิด มันเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ รอยยิ้มที่ดูพึงพอใจราวกับเห็นผลงานชิ้นโบว์แดงทำผมว้าวุ่น ใบหน้าที่เคยซีดเผือกกลับร้อนระอุและแดงเรื่อขึ้นจนยากจะหลบ

“ธัน มองที่ฉันแล้วฟังฉันให้ดี”

“……….”ผมว่าง่ายขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงนุ่มกระซิบตรงหน้าอย่างมีความหมาย

“ฉันอยากให้นายคิดถึงฉันเป็นคนแรกยามที่นายต้องการความช่วยเหลือ และต่อจากนี้ห้ามนายไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด ฉันรู้ว่ามันไม่ง่าย…..ฉันอยากบอกให้รู้ไว้เพราะว่าฉันเป็นห่วง”

“ขอบคุณครับ แต่ผมดูแลตัวเองได้”

“ฉันรู้ว่านายเก่งเสมอ แต่ฉันจะมั่นใจกว่านี้หากนายรับปากฉัน เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเข้าใจรึเปล่าธัน”

“คุณทำเหมือนผมเป็นเด็ก”

“ฉันไม่เคยมองนายเป็นเด็กสักครั้ง”

“แล้วคุณมองผมเป็นอะไร”

“เป็นคนพิเศษสำหรับฉัน”ผมไม่คิดว่าเขาจะพูดอะไรที่มันเหนือความคาดหมาย แน่นอนว่าสิ่งที่ฟรานซิสพูดออกมาเขาไม่เคยพูดเรื่อยเปื่อย นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ผมยังไม่ได้เตรียมใจด้วยซ้ำกับประโยคที่ชวนตื่นเต้นดีใจแบบนี้ ผมเตรียมไว้แค่การโต้ตอบให้ถึงพริกถึงขิงก็เท่านั้นสาบาน

“นายยังไม่รับปากฉันเลยว่านายจะทำตามที่ฉันบอก”ดวงตาพราวระยับจับจ้อมมองผมด้วยรอยยิ้มกริ่ม

เล่นแบบนี้.....ผมก็เขินเป็นนะครับ!

“จะไปรู้เหรอ”

“ถ้านายไม่รู้ฉันมีวิธีทำให้นายรู้ว่าที่ฉันหมายถึง มันเป็นแบบไหน”

“ดะเดี๋ยว เดี๋ยวผมยังไม่ได้ตอบคุณเลย”ผมยกมือขึ้นดันกรอบหน้าได้รูปทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ผมอาจจะระแวงแต่เซ็นท์ผมมีจริง

“ตอบสิ”

“ผม ผมจะฟังบ้างก็แล้วกันเพราะถือว่าคุณรู้เยอะกว่าผม”

“ฮึๆ”เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ดึงความสนใจให้ไปมอง เพียงชั่วครู่ที่ผมเผลอมองเข้าไปในดวงตาพราวระยับคู่คมเข้าอย่างจัง ทุกอย่างที่ผมคิดอยู่ในหัวก็หายวับไปกับตา ยิ่งคนคนตรงหน้ายิ้มแสดงออกถึงความพอใจไม่ปิดบังผมยิ่งวูบไหวเข้าไปในอก อยากจะเบนสายตาออกแต่กลับถูกมนต์สะกดเข้าให้แล้ว

ผมรู้สึกราวกับตัวเองเหม่อลอย ทันทีที่รู้สึกตัวกลับได้รับจูบที่หอมหวานผ่านริมฝีปากที่ถูกบดเบียดแนบชิดราวกับโหยหา ลมหายใจอุ่นของฟรานซิสรินรดแก้มผมมันร้อนจนแทบทำผมไหม้ เขาทำให้ร่างกายของผมต้องการเขาขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งบรรยากาศ ทั้งคำพูด ทำเอาผมหลงเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

เป็นครั้งแรกที่ผมตอบรับสิ่งที่คนตรงหน้าหยิบยื่นให้อย่างไม่อิดออด สวมกอดร่างแกร่งที่โถมเข้ามาอย่างเพรียกหา ฟรานซิสเลื่อนจูบร้อนขึ้นจูบซับหน้าผากน้อยๆ แล้วเลื่อนลงมาที่เปลือกตาผ่านไปยังแก้มอุ่นและซอกคอขาวเนียนลากไล้ไปทั่วจนผมขนลุกซู่ เผลอหดไหล่เกร็งส่งเสียงหายใจหอบสั่นระรัวออกมาชวนขายหน้า แต่ฟรานซิสกลับพอใจในสิ่งที่เข้าได้ยินราวกับเขาต้องการมัน ก่อนจะรุกเร้าผมหนักยิ่งกว่าก่อน

นิ้วร้อนวนไล้ปัดป่ายไปทั่วเรือนร่างผ่านเสื้อผ้า แล้วหยุดหยอกเย้าส่วนอ่อนไหวช่วงบนจนผมสั่นซ่าน ผมหลับตาพริ้มไม่อาจสบสายตาที่คู่ร้อนที่สามารถแผดเผาผมได้ ไหล่เล็กสะดุ้งไหวเล็กน้อยเมื่อมือหนาเข้าลูบไล้ไปถึงโคนขาส่วนในแต่ไม่ได้สัมผัสถึง ราวกับจงใจปลุกปั่นอารมณ์ ผมหนีบขาเกร็งหายใจถี่แต่กลับถูกมือหนาแยกออกแล้วเบียดร่างแกร่งเข้ากั้น เล่นเร้าแกล้งเคลื่อนไหวร่างกายให้เบียดเสียดสีจนผมตัวแข็งทือ

“คุณ ตั้งใจ..... แกล้งผมรึไง”ผมขยุ้มหมอนนุ่มจิกนิ้วลงบนปลอกผ้าแทบขาด ข่มความต้องการลึกๆ ของตัวเองไว้จนแทบคลั่ง

“หืม? ฉันทำให้นายรู้สึกสินะ ถ้าอยากให้ทำมากกว่านี้ก็อ้อนฉันหน่อยสิ”ผมกัดริมฝีผากเม้มขัดใจคนตรงหน้า

“อย่ากัดปาก เดี๋ยวก็ช้ำหมด”

“มันปากของผม”

“แต่ว่า.....ตอนนี้มันเป็นของฉัน”นิ้วเรียวกดแยกริมฝีปากของผมออกโดนง่ายก่อนจะก้มลงบดเบียดตักตวงเอาความหวานหอมสอดแทรกความหฤหรรษ์ผ่านริมฝีปากอิ่มเข้าตวัดดุลดันด้วยลิ้นอุ่นชื้นจนผมลิ้นแทบชา ผมร้องคราญผ่านลำคอขาวเผลอเอื้อมมือไปตบไหล่ฟรานซิสเบาๆ ราวกับเตือนให้เข้ารู้ว่าผมยังอ่อนหัด เขาจึงค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนแรงให้ผมแต่ก็ยังไม่ถอยห่าง

และระหว่างที่เขามอบประสบการณ์จูบที่แสนเร้าร้อนเหมือนจงใจถ่วงเวลา เบื้องล้างกลับกระวีกระวาดถอดร่นกางเกงนอนขายาวสีขาวของผมอย่างตั้งใจจนมันไปสิ้นสุดที่พื้นปลายเตียง จูบร้อนยอมล่าถอยให้ผมสูดอากาศเข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะทำผมสะท้านด้วยลิ้นร้อนที่ลากวนลงต่ำจนน่าใจหาย มือหนาโอบรั่งสะโพกผมขึ้นชิดกายแกร่งก่อนเขาจะพลิกตัวผมขึ้นแล้วให้ขึ้นทาบทับร่างแกร่งที่อยู่เบื้องล่าง ผมหน้าร้อนวูบม่านตาเปิดโพล่งตื่นตะลึงในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

“คุณ! จะทำอะไร”

“ฉันจะได้เห็นหน้านายตอนนี้ได้ชัดไงล่ะ”ร้อยยิ้มพร่างพราวไปด้วยเล่ห์ยกยิ้มุมปากดวงตากรุ้มกริ่ม ผมใช้มือเล็กเมื่อเทียบกับเขายืดดันผลักตัวเองให้ห่าง พยายามตันตัวให้ออกแต่กลับถูกตรึงตัวไว้

“คุณปล่อยผมนะ!”

“ไม่กลัวรึไงว่าตัวเองจะทรมาน ในเมื่อเป็นซะขนาดนี้แล้ว”

เอาน้ำร้อนมาราดหน้าผมเถอะถ้าจะพูดแบบนี้ ก็ใครกันล่ะที่เป็นคนทำ

“คุณฟรานซิส คุณนี่!.....อ๊ะ!”ไม่ทันที่ผมจะโต้ตอบนิ้วซุกซนก็เข้าเคล้าคลึงซุกไซ้ช่องทางร้อนขยับไปมาจนผมแทบทนไม่ไหว หน้าของผมกดลงกับอกแกร่งที่เปิดเผยสัดส่วนให้ผมเห็นไม่หวงแหน  หากผมเงยหน้าขึ้นไปให้เข้าเห็นตอนนี้ก็เท่ากับผมประจานตัวเองแน่นอน

ราวกับฟรานซิสรู้จังหวะความพร้อมของผม นาทีนั้นเขาก็โอบร่างกายของผมและผุดลุกขึ้นนั่งกลับเป็นผมที่ทำเรื่องน่าอายนั่งคร่อมร่างแกร่งขาเรียวกระหวัดเอวเขาอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป ฟรานซิสใช้มือข้างหนึ่งโอบรั้งหน้าผมขยับนิ้วเรียวเกลี่ยแก้มที่แดงเรื่อตามระบบสูบฉีดเลือดจากหัวใจ ผมอายเกินกว่าจะสบเขาแต่ฟรานซิสกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาจ้องมองผมราวกับลูกไฟที่พร้อมจะแผดเผาให้ผมไม่เหลือซาก และตอนนั้นที่ผมเผลอโอนอ่อนผ่อนกายความรู้สึกจากความอุ่นร้อนก็แทรกตัวเขามาแทบจะฉับพลัน ผมสะดุ้งทั้งตัว น้ำตาไหลซึมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดแต่สุขสม จูบเบาๆ ที่ต้นคอราวกับให้สัญญาณ ฟรานซิสเริ่มขยับตัวจนในหัวของผมมันเบลอไปหมด

น้ำเสียงที่เหมือนจะเหือดแห้งกลับส่งเสียงร้องจนเกินอดกลั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ร่างแกร่งกระแทกกระทั้นถาโถมจนผมหน้านิ่ว แต่กลับโอนเอนไปกับสัมผัสที่ชวนลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น

ผมไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน หากเทียบกับความต้องการของฟรานซิสแล้วราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ไฟในตัวเขาโหมกระพือตลอดเวลาที่มันเริ่มมอดดับ ผมได้เพียงตอบสนองร่างกายนั้นอย่างไม่รู้จบไม่รู้สิ้นในอิริยาบถที่คล้อยตามไป จนร่างกายของผมมันหมดเรี่ยหมดแรงและขอดึงดันถอยห่างออกมา ฟรานซิสไม่ได้ดูใจจืดใจดำเขาเข้าใจและให้ผมพักแต่ยังคงรั้งความเป็นตัวตนของเขาไว้ในตัวผมไม่ถอยห่าง

นั่นจะเรียกว่าความใจดีได้มั้ย?






>>>>>to be continued o13



ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน และเผลอกดเข้ามาและติดตามอ่านจนถึง ณ บัดนี้นะคะ :o8:
วันนี้มาอัพดึกไปนิด แต่ก็คงจะคุ้มค่าเพราะตอนยาวโพดดดด :katai4:
ยังไงก็ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:



หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-09-2016 21:00:55
เพิ่งเข้ามาอ่าน อ่านจบทีเดียวเลย
ชอบมาก ธันก็ไม่ได้หวานแหวว
แต่พระเอกเรา เผลอแล้วหื่นทุกที
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 16-09-2016 00:14:38
ฟรานซิสคนเจ้าเล่ห์  :-[
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 16-09-2016 02:00:06
ไม่รอดๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 16-09-2016 11:41:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-09-2016 11:42:57
วกเข้าเรื่องเดิมหื่นจริงฟรานซิส
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 16-09-2016 12:24:41
แปะก่อนน
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 16-09-2016 17:27:34
ฟินสุดๆๆไม่ได้พักแน่ยาวไปๆๆ :haun4: :jul1: :oo1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 24 UP DATE 15/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-09-2016 10:00:02
เกือบพลาดตอนล่าสุดไปแล้วไหมละ ฟรานซิสอ่อยขนาดนี้ธันจะไม่รู้จริงๆเหรอ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 17-09-2016 11:58:56




25






เช้านี้ผมเป็นคนชนะ ไม่ได้ชนะในทางอย่างว่าแต่ผมหมายถึงการตื่นนอน ผมตื่นก่อนที่ฟรานซิสจะรู้ตัวอีก เลยขอเฉลบออกมาก่อน จะให้ผมนอนมองหน้าเขาผมคงทำไม่ได้ ภาพเมื่อคืนยังวนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่เลย แล้วเรื่องที่เขาบอกว่าผมเป็นคนพิเศษมันก็ทำผมดีใจทุกครั้งที่คิดถึงมัน
 
“วันนี้ดูคุณธันสดชื่นเป็นพิเศษนะคะ”

“เอ่อป้าบัวครับ เรียกผมว่าธันก็พอครับ คงไม่เหมาะมั้งครับที่ป้าจะมาเรียกผมว่าคุณ ผมรู้สึกเหมือนขี้กลากจะกินหัว”

“คุณธันไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ป้าเรียกแบบนี้สบายใจกว่า คุณฟรานซิสก็จะได้ไม่ดุป้าด้วย”

“นี่เขาเคยดุป้าบัวด้วยเหรอครับ”ผมทิ้งผักในมือที่ล้างหันไปหาป้าบัวคนดูแลที่นี่อย่างตกใจ จริงๆ ผมตื่นมาพอเดินลงมาด้านล่างก็รู้สึกเหมือนมีใครทำอะไรอยู่ในครัว พอลงมาก็เห็นป้าบัวเขากำลังทำอาหารอยู่เลยเข้ามาช่วย ผมก็เพิ่งจะมารู้จักชื่อป้าบัวก็ตอนเช้านี้นี่แหละ

“จริงๆ ก็ไม่เคยหรอกค่ะ ป้าแค่กลัวเฉยๆ ”

“ผมเข้าใจป้านะ คนอะไรเอาแต่ใจ ชอบสั่ง แถมยังเจ้าเล่ห์ ใชมั้ยป้า? ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะหาพวกนะ แค่มีคนคุยด้วยในประเด็นเดียวกัน

“คุณธันก็พูดไป เอาจริงๆ คุณฟรานซิสก็ออกจะใจดี ถ้าป้าไม่ได้เขาคงลำบากกว่านี้”

“ป้าบัวอย่ามาล้อผมเล่นเลย”ผมยกผักขึ้นเสด็จน้ำแล้วหันไปเตรียมหั่นผักต่อ

“จริงนะคะ เห็นหน้าตาดุๆ อย่างนั้นแต่จริงๆ แล้วเป็นคนละเอียดละอ่อนใจดี”

“ป้าบัว ผมว่าป้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ฮึๆ”ผมหัวเราะหงึกๆ อย่างรู้สึกสนุก มีความสุขที่ได้ใส่ไฟคนอื่น

“คุณธันไม่รู้สึกบ้างเหรอคะว่าคุณฟรานซิสน่ะ ใจดีดูคุณเขาเอาใจใส่คุณธันจะตาย อย่างก่อนมานี่ยังกำชับป้าเรื่องที่พัก อาหาร ของใช้อย่าให้ขาด ป้าล่ะอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่คุณเขาจะพามาเป็นใคร”

“ป้าแอบผิดหวังป่ะเนี้ยที่ไม่ใช่แฟนเจ้านายป้า”ผมแหย่ป้าบัว ดูแกจะเป็นคนอารมณ์ดี หรือบางทีแกอาจจะเหงามีใครคุยเล่นด้วยก็คงมีความสุขกว่าพูดคนเดียว

“อู้ย เรื่องผู้หญิงน่ะคุณเขาไม่มีหรอกค่ะ แต่ละครั้งที่มาที่นี่ก็มาคนเดียว ปีหนึ่งก็มาสองสามครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนพาใครมาเป็นพิเศษตั้งแต่ป้ามาอยู่ที่นี่แล้ว”

“ป้าบัว! หรือว่าป้า.....”ผมหันไปหาป้าบัววางกะละมังที่หั่นผักใส่เรียบร้อยแล้วลงเสียงดัง ป้าบัวแกก็ตกใจตามประสาคนแก่รีบหันมาทางผมแทบทันที

“อะ อะไรคะ? ”

“ก็ที่แท้แล้ว ป้าบัวเป็นภรรยาลับคุณฟรานซิสใช่มั้ย”

“คุณธัน พูดแบบนี้คุณฟรานซิสมาได้ยินเข้าจะโกรธเอานะคะ”ป้าบัวถึงกับเสียงหลงเรียกผมซะลั่นบ้าน

“ฮ่าๆ แหมป้าบัวครับ ไม่ต้องอายหรอกครับบอกผมได้ผมดูไม่น่าไว้ใจเหรอครับ”ผมหัวเราะร่ามีความสุขได้แกล้งคนแก่ ป้าบัวแกก็ลนลานมองซ้ายขวาปราดเข้าตีแขนผมอย่างเอ็นดูให้หยุดล้อ

“ล้อเล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ รีบทำกับข้าวเถอะค่ะเดี๋ยวจะเลยเป็นมื้อเที่ยงซะก่อน”

“ครับๆ เดี๋ยวอันนี้ผมทำเองป้าทำงานเบาๆ ไปได้เลยครับ”

“ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอคะ”

“แน่นอนสิครับ ผมเด็กหอแถมยังเป็นเด็กต่างจังหวัด พ่อก็เป็นชาวสวนธรรมดาเรื่องหาเลี้ยงตัวเอง เรื่องเอาตัวรอดผมถนัด”
“แล้วนี่คุณธันกับคุณฟรานซิสรู้จักกันได้ยังไงคะป้าล่ะสงสัย แถมคุณฟรานซิสเอ็นดูคุณธันซะขนาดนี้”

ผมไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นที่มองผมกับฟรานซิสเป็นยังไง แต่ฟังจากปากของป้าบัวแล้วทำผมยิ้มไม่หุบเลย

“เอ่อ.....ผมทำงานอยู่ที่เพนท์เฮาส์ในเมืองให้คุณฟรานซิสของป้าน่ะครับ ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ ผมรับจ๊อบหารายได้ตอนปิดเทอมน่ะครับ”ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ ขอโทษนะป้าบัว

“เหรอคะ แต่วันแรกที่คุณธันมาป้าเห็นว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยสบาย มาก็ยังไม่ได้สติเลยแถมคุณฟรานซิสก็เอาหมอมารักษากว่าจะฟื้นก็ตั้งสองวัน ป้าก็ตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องเจ้านายเขา เขาให้ทำอะไรป้าก็ทำตามหน้าที่เท่านั้น”

“เอ่อ.....”ผมขมวดคิ้ว คิดหาทางตอบคำถาม“ช่วงนั้นผมไม่สบายมาก คุณฟรานซิสเลยเห็นว่าที่นี่อากาศดีน่าจะฟื้นตัวได้เร็วก็เลยพาผมมาที่นี่ล่ะมั้งครับ”ผมหัวเราะฝืดๆ จัดการปรุงรสผัดผักตรงหน้าไปราวกับไม่มีอะไรต้องคิดมาก

“นั่นไงป้าบอกแล้วว่าคุณฟรานซิสน่ะใจดี”

“ครับ ครับ ครับ ผมเชื่อป้าก็ได้”ผมยิ้มกว้างๆ ให้ป้าบัวก่อนจะตักผัดผักเพื่อสุขภาพอย่างที่ป้าบัวบอกใส่จานเตรียมเสิร์ฟ ส่วนกับข้าวอีก 2 อย่างเป็นแกงเขียวหวานไก่กับปลาราดซอสมะขามที่ป้าแกทำเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

“ยกเลยนะครับป้าบัว”

“ขอบคุณค่ะคุณธัน”

“เอ่อป้าบัวครับ ทำไมมื้อเช้ามันถึงเป็นมื้อหนักขนาดนี้ล่ะครับ”ผมมองข้าวปลาอาหารตรงหน้าราวกับมื้อเที่ยง

“ไม่เคยได้ยินเหรอคะว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ อาหารเบาๆ ไม่อยู่ท้องหรอกค่ะ”

“ก็จริงนะครับ ผมเคยกินพวกนม ขนมปัง หรือไม่ก็โจ๊ก ไม่ทันจะเที่ยงผมนี่หิวไส้แทบขาด มื้อเช้าผมก็ต้องอย่างนี้เลยถึงจะอิ่ม”

“ก็เห็นไหมล่ะคะว่าคุณฟรานซิสเขาเอาใจใส่คุณ”

“ทำไมถึงพูดเรื่องเขาอีกแล้วครับ ป้าบัวดูจะชื่นชมเจ้านายตัวเองสุดๆ เลยนะครับ”

“หรือว่ามันไม่จริงคะ”ป้าบัวพูดพลางตักข้าวใส่จานวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเก้าอี้ตัวที่ใกล้หัวโต๊ะที่สุด ผมมองดูที่นั่งตรงหัวโต๊ะที่ไม่มีจานข้าว ผมก็ถึงกับรู้สึกตัวขึ้นมาทันทีและสิ่งนั้นทำให้ผมยิ้มกริ่มออกมาอีกครั้งจนหุบแทบไม่ลง

ก็ความจริงแล้ว.....มื้อเช้าฟรานซิสเขากินข้าวซะที่ไหนล่ะ นอกจากกาแฟดำ ข้อนั้นผมลืมไปได้ไง




หลังจากผมกินข้าวเช้าจนท้องแทบแตกเสร็จแล้ว ฟรานซิสก็บอกข่าวดีกับผมนั่นก็คือเราจะได้กลับกันซักที ตอนแรกผมดีใจจนออกนอกหน้าแต่พอเหลือบไปดูป้าบัวดูแกยิ้มเหงาๆ จนผมรู้สึกผิด ก่อนกลับป้าบัวแกร้องไห้จนผมเผลอตกใจคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมล่ำลาป้าบัวอยู่นานกว่าจะได้ออกจากที่นั่น วันนี้อาเธอร์เป็นคนขับรถมารับ ผมเลือกที่จะนั่งคู่ด้านหน้ากับอาเธอร์ แต่ก็มีบางคนที่ออกคำสั่งเชิงบังคับให้ผมมานั่งด้านหลังด้วย

“นายกับคนดูแลบ้านพักดูจะสนิทสนมกันดี”

“ก็ป้าบัวเขาออกจะน่ารักคุยงาย แล้วดูเหมือนแกเหงาๆ พอมีคนคุยเป็นเพื่อนแกคงจะสนุก”

“ฉันไม่ขัดหรอกนะถ้านายจะอยู่ที่นั่นกับคนดูแลบ้าน”

“ผมอยู่ขึ้นมาคุณจะรู้สึก แต่เดี๋ยวนะ ทำไมคุณถึงไม่เรียกชื่อป้าแก เรียกแต่คนดูแลบ้านๆ”ผมมองหน้าฟรานซิสอย่างไม่เข้าใจ

“จะอยากรู้ไปทำไมไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

“คุณอาเธอร์ คุณรู้เหตุผลใช่มั้ย?”ผมเชิดหน้าใส่ฟรานซิสอย่างไม่ง้อก่อนจะโผล่หน้าไปถามอาเธอร์ที่เป็นทางเลือก

“ขอโทษครับ แค่คุณต้องถามบอสเอง”

“ฮึๆ”ฟรานซิสหัวเราะแล้วแสร้งมองออกนอกหน้าต่างรถ ผมถึงกับเดือดอยู่ในใจเบนหน้าหนีกอดอกพิงพนักไม่อยากจะสนใจคนข้างๆ

แล้วผมก็จะไม่ถามอะไรอาเธอร์อีก สาบาน! งอนว่ะ!

“ถ้านายอยากรู้ ไว้ฉันจะบอกแล้วกัน”

“ขอโทษ แต่ผมไม่อยากรู้แล้ว”




เวลากว่า 2 ชั่วโมงที่นั่งอยู่ในรถ เชื่อไหมว่าผมไม่คุยกับฟรานซิสสักคำหลังจากจบประเด็นป้าบัว ไม่รู้สิผมรู้สึกตัวเองงี่เง่าก็ได้มั้ง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนไม่เข้าใจตัวเอง เช้ายิ้มร่าตกบ่ายร้องไห้คงเป็นแนวนั้น แต่คงไม่ถึงกับน้ำตาแตกผมแค่เปรียบเปรยอารมณ์ผมที่มันบ้าๆ บอๆ เฉยๆ กับคนอื่นผมไม่เป็น แต่กับฟรานซิสผมรู้สึกแม่งตัวเองขาดเหตุผล ทั้งที่รู้ตัวเองแต่ผมยังปรับมันไม่ได้ดีเท่าที่ควร นั่นหมายถึงว่าผมไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่พยายามปรับ

 ทันทีที่เท้าผมแตะพื้นหน้าเพนท์เฮาร์ผมก็ยืดตัวสลับความเมื่อยอย่างจริงจัง ฟรานซิสก้าวเท้าลงจากรถก่อนรถของเขาจะเคลื่อนตัวออกไป ในมือของฟรานซิสก็ถือกระเป๋าเอกสารอยู่ 1 ใบ ผมมองตามรถและแปลกใจเล็กน้อย ทุกทีอาเธอร์ไม่เคยปล่อยให้ฟรานซิสเปิดประตูลงเอง ซ้ำยังหิ้วกระเป๋าด้วยตัวเองเข้าเพนท์เฮาส์อีก โดยส่วนใหญ่แล้วอาเธอร์จะส่งเขาจนถึงหน้าประตูบ้านด้วยซ้ำ หรือมีเรื่องรีบร้อนอะไร แต่ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของผม การรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ ถือเป็นเรื่องดี

“ถ้าคุณไม่มีอะไร ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

“ฉันนับวันนี้เป็นงานวันแรกของนายนะ”ผมตั้งท่าจะเดินหนี แต่ฟรานซิสกลับเอ่ยรั้งผมไว้ก่อน แถมเขายังยื่นกระเป๋าที่ตัวเองถือมาทางผม

“แต่ผมไม่ได้บอกคุณเลยว่าผมอยากจะเริ่มงานวันไหน ผมอยากจะ.....”

“ตามมาได้แล้ว”ร่างสูงปล่อยกระเป๋าออกจากมืออย่างไม่แยแสผมจึงรีบฮุ๊ปรับกระเป๋าไว้ก่อนที่มันจะหล่นพื้น ลองให้หล่นพื้นดูสิผมว่าต้องมีเรื่องให้ผมปวดหัวแน่ๆ

“คุณ มัน......!”ผมอยากจะกระโดดงับแขนคนตรงหน้าเอามากๆ เขาทำให้ผมเดิมตามเข้าไปอย่างกับหมาหงอย แบบนี้มันก็เหมือนกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน่ะสิ ไหนเขาบอกว่าผมเป็นคนพิเศษไง

นี่เขาเป็นลูกเป็นหลานสือเชื้อสายมาจากฮิตเลอร์รึไง!

“ผมเก็บกระเป๋าให้แล้ว งั้นผมไปล่ะ”หลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บ ผมเดินลงมาข้างล่างเอ่ยลาฟรานซิสผ่านๆ เดินก้มหน้างุดบ่งบอกว่าผมไม่ปลื้มเขาสักเท่าไหร่ในตอนนี้ แต่จังหวะที่ผมเดินผ่านเขากลับใช่ลำแขนแกร่งขวางหน้า แล้วคว้าผมเข้ามากอดทางด้านหลัง ร่างสูงเกยคางลงบนไหล่แล้วขยับแขนรัดแน่นเข้าไปอีกจนผมดิ้นไม่ไหว

“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มกระซิบถาม ผมเมินหน้าหนีไม่ตอบอะไร

“..........”

“ให้ฉันเดามั้ยว่านายกำลังโกรธฉันเรื่องอะไร”ฟรานซิสขยับตัวลากผมมานั่งที่โซฟาแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมป็นอิสระแต่ยังคงกดผมนั่งบนตักของเขาราวกับเด็กน้อย

“ผมไม่ได้โกรธ จะให้ผมโกรธคุณเรื่องอะไร”

“แต่เสียงนายมันฟ้อง”

“ก็ได้ผมยอมรับว่าโกรธ แต่ผมรู้เดี๋ยวมันก็หาย ผมกำลังพยายามควบคุมมันอยู่”ผมโพล่งออกมาอย่างจนใจ ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่ที่งี่เง่า ผมควรจะบอกเขาตรงๆ ให้รู้

“ฮึ! ให้ฉันช่วยมั้ย เผื่อนายจะอารมณ์ดีขึ้น”รอยยิ้มกริ่มอาสาให้ความช่วยเหลือ ลองทายดูสิว่าวิธีการของเขาจะเป็นแบบไหน
รีบอารมณ์ดีให้ไวเลยมึงไอ้ธัน!

“ไม่ต้อง! ผมดีขึ้นแล้ว ผมแค่รู้สึกไม่เข้าใจทำไมคุณถึงไม่บอกผมเรื่อป้าบัว.....ก็แค่นั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้แล้ว”ลงท้ายเสียงผมอ่อนราวกับจำยอมอารมณ์ตัวเองเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล ฟรานซิสคลายกอดผมเล็กน้อยแต่ไม่ได้ห่างไปไหน กลิ่นโคโลนอ่อนๆ ยามเขาขยับให้ร่างกายเราใกล้ชิดกันทำผมใจเต้น

“ฉันเจอคนดูแลบ้าน ตอนที่ฉันสร้างที่นั่นเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรซับซ้อนแต่เขาเป็นแค่คนงานที่โดนนายจ้างทิ้งเพราะไม่มีความสามารถที่จะทำงานหนักได้ เขาเป็นโรคหอบหืดกับความดันเลือดสูง ฉันแค่จ้างต่อเพราะยังไงที่นั่นก็ต้องมีใครสักคนดูแลอยู่แล้ว”

ป้าบัวเป็นหอบหืด ส่วนนายก็คงเป็นหอบหื่นสินะ!

“คุณ ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้”

“ฉันบอกแล้วว่าจะเล่าให้ฟัง แต่นายกลับแสดงท่าทีโกรธฉันขนาดนั้น ฉันไม่มีอะไรจะปิดบังนาย ขอแค่บอกว่าอยากจะรู้อะไรฉันจะค่อยๆ เล่าให้นายฟัง ไม่ว่าเรื่องมันจะยาวแค่ไหน”เราพูดเรื่องความไว้ใจกันสินะ แต่พฤติกรรมที่เขาแสดงไม่ได้บ่งบอกให้ผมเชื่อเขาเลย ก็มือไวๆ นั่นเล่นจับโน่นลูบนี่จนผมทนไม่ไหว

“ผม ผมคงไม่มีอะไรอยากรู้แล้วล่ะ”ผมลุกขึ้นพรวดต่อหน้าฟรานซิส เขารู้ว่านั่นเป็นการทำให้ผมประหม่าเป็นที่สุด

“แต่ฉันคิดว่ายังมีเรื่องที่นายต้องรู้ จริงๆ ฉันไม่ได้จะปิดบังแต่ยังไม่ได้บอกความจริงนายก็เท่านั้น”ฟรานซิสทำหน้าเหมือนช่วยไม่ได้กับเรื่องที่เขาจะเล่า

“คุณยังมีอะไรไม่ได้บอกผมอีกงั้นเหรอ”ผมขมวดคิ้ว มองฟรานซิสที่นั่งไขว่ห่างปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนไม่ให้รู้สึกอึดอัก

“เรื่องที่พักก่อนหน้านี้ของนาย ที่มีโอนเนอร์เป็นผู้หญิงท่าทางน่าหงุดหงิดนั่น”ผมเดาว่าเขาหมายถึงเจ๊ลำดวน

“คุณหมายถึงอะไรที่บอกว่าคุณปิดบังผม อย่าบอกนะว่า.....เบื้องหลังคุณคือเจ้าของตึกโกโรโกโสนั่นตัวจริง”

“นายคงไม่ได้ดูละครมากเกินไปใช่มั้ย”ฟรานซิสหัวเราะหงึกๆ ในลำคอมองผมที่ยืนตาวาวแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก้าวเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมือมาลูบแก้มบวมๆ ของผมเบาๆ

“แล้วมันเรื่องอะไรครับ คุณก็รีบๆ บอกผมมาสิ”

“ฉันแค่อยากให้นายออกมาจากที่นั่น แล้วพึ่งพาฉันบ้างก็เท่านั้น แต่นั่นมันก็แค่ความผิดพลาดที่ฉันคิดผิดไปถนัดคนของฉันก็ทำเกินไปนิดหน่อย.....แล้วนายหัวแข็งกว่าที่ฉันคิดอีก”

คุณคงไม่รู้หรอกว่าปากผมมันเปิดกว้างมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้ายังไง เหตุการณ์ชุลมุนไฟแลบแทบเผาตึกทิ้งนั่นวาบเข้ามาในหัวผมเต็มสตรีม ผมถึงกับพูดไม่ออกนึกไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือคนตรงหน้า ผมหลงสาปแช่งไอ้แก่เฉินให้ตกนรกไปไม่รู้ตั้งกี่พันขุม สุดท้ายแล้วตัวการกลับมายืนสารภาพอย่างง่ายดายต่อหน้าผมราวกับไม่คิดอะไรอยู่ตรงนี้นี่เอง

แบบนี้จะให้ผมพูดอะไร ช่วยบอกผมหน่อยสิ!

“ผม....ผมจะกลบแล้ว”นั่นคือคำพูดเดียวที่ผมคิดออกตอนนี้ ผมพูดเสร็จก็รีบหมุนตัวออกเดินทันที ในหัวผมมันตื้อจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

“กลับไปบ้านเพื่อนของนายใช่มั้ย? ”ฟรานซิสถามผม เหมือนเมื่อกี้เข้าไม่ได้เอ่ยออะไรออกมาที่มันดูสะเทือนใจเลยสักนิด

“ครับ ผมจะรีบหาที่อยู่ใหม่ หวังว่าคุณคงจะไม่สั่งให้ใครไปเผาอะไรอีกนะครับ”ผมพูดทั้งที่ตัวเองยังหันหลัง

“ถ้าฉันทำแบบนั้นอีกครั้งแล้วนายมาอยู่กับฉันที่นี่ ฉันจะลองเอากลับไปคิดดู”

“คุณฟรานซิส! ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะทำแบบนั้นจริงๆ”ผมตัดใจเดินออกไปไม่ได้จริงๆ จนเผลอโต้ตอบฟรานซิสด้วยอารมณ์โกรธเคือง

“ฉันทำได้ทุกอย่างในสิ่งที่ฉันต้องการ และสิ่งที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยนั่นคือครั้งแรกที่ฉันทำ เหตุผลไม่มีน้ำหนักนั่นก็คือนาย.....ธัน”

แค่คำพูดแบบนั้นเขาคิดว่าจะทำให้ผมหายโกรธเขาได้รึไงกัน นั่นแสดงว่าเขา.....คิดถูกแล้ว!

ให้ตายเถอะ! ผมแพ้คำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างราบคาบตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนจะยังดวงตาพราวระยับนั่นที่สื่อออกมาเถรตรงใจผมขนาดนั้น นี่คือเหตุผลที่ใครๆ ก็บอกว่า ความรักชนะทุกสิ่ง ความรักทำให้คนตาบอดสินะ

“ฉันอยากให้นายย้ายมาอยู่ที่นี่กับฉันธัน”

“ไม่ ผมจะไม่อยู่ที่นี่ ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมทำให้คุณไม่ได้คุณฟรานซิส”ยังไงซะผมก็ต้องรีบดึงสติตัวเองกลับให้ไว อย่าให้เข้าใช้คำพูดและแววตานั่นชักจูงผมไปซะทุกอย่าง

ไอ้ธัน! มึงต้องแข็งใจไว้

“ทำไม?”

ผมจะบอกเขาได้ยังไงว่าอยู่ใกล้เขา มันเหมือนอยู่ใกล้กระต่ายที่มีฤดูผสมพันธ์ได้ตลอดทั้งปี ผมควรพูดรึไง

“ผมแค่ต้องการอิสระ คุณก็รู้ว่าเราควรจะมีระยะห่างกันบ้าง”

“นั่นหมายถึงนายจะทำให้ฉันคิดถึงนายสินะ? ”

“ผะผม ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”

เข้าใช่ตรรกะไหนคิด ผมอยากจะยีหัวตัวเองสักร้อยรอบ

“โอเค.....ฉันจะตามใจนายก็แล้วแล้ว แต่ไหนลองพูดของร้องฉันอีกครั้งได้มั้ย แล้วก็ทำตรงนี้ด้วย”ฟรานซิสกลับไปยังที่นั่งของเขาตามเดิม ก่อนจะตวัดขายาวยกขึ้นไขว่ห้าง วางลำแขนแกร่งพาดไปตามไหล่โซฟา มืออีกข้างยกขึ้นเคาะริมฝีปากหยักของเขาสื่อความหมาย ผมมองท่าทางใจดีแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างอ่อนใจ

“ถ้าผมไม่อยากทำ?”

“นายก็เหยียบออกไปจากที่นี่ไม่ได้”ถึงแม้เขาจะยิ้ม แต่คำพูดนั้นมันช่างต่างจากสิ่งที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง

“คุณมันเจ้าเล่ห์”

“หรือเปลี่ยนใจจะอยู่ที่นี่ ฉันจะให้คนไปขนของมาให้”

“ขอบคุณครับ ผมขอปฏิเสธ”ผมยิ้มบางๆ ราวกับไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากฟรานซิสเบาๆ ราวกับเรื่องปกติ พูดตามสิ่งที่เขาร้องขอ“ให้ผมไปอยู่ข้างนอกนะครับ คุณฟรานซิส”ผมยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเห็นร้อยยิ้มจากร่างสูงตรงหน้า ผมถอยมาหนึ่งก้าวและเหมือนฟรานซิสจะไม่ท้วง เลยใช้จังหวะนี้เดินออกมาพอห่างจากเขาได้เท่านั้นแหละ ผมอยากจะโคม่า

ตึกตัก ตึกตัก! ใครว่าผมไม่รู้สึกอะไร แต่ใจผมแม่งแทบจะออกมาเต้นนอกอกอยู่แล้ว นี่ผมใจกล้าหน้าด้านทำแบบนั้นไปแล้วสินะ! แม่งโคตรบ้าในสามโลก!






>>>>>to be comtinued  :bye2:






ไม่รู้ว่านักอ่านจะเป็นเหมือนกันมั้ยว่าอ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกตัวเองยิ้มไม่หุบ :-[
มีความน่าหัก น่างอ น่ารัก กรุ่นๆ อยู่รอบๆ 
ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้  :กอด1: :กอด1:
เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-09-2016 12:08:42
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-09-2016 22:48:01
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 17-09-2016 23:48:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-09-2016 06:03:49
ฟรานซิสจอมเจ้าเล่ห์คิดจะกักตัวธันไว้ใกล้ๆ ตัวละซิ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-09-2016 09:18:55
เรื่องไฟไหม้นี่เราก็คิดว่าเป็นฝีมือฟรานซิสนะและก็ใช่จริงด้วย คนเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ อยากได้ธันมาอยู่ด้วยจนต้องทำขนาดนี้เลยอ่อ นิสัยไม่ดีเลยฟรานซิสแล้วคอยดูเถอะปากบอกจะให้ธันไปอยู่ข้างนอกแต่เอาจริงก็คงหาเรื่องไปตามติดธันอีกจนได้อะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 18-09-2016 12:56:27
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 18-09-2016 16:29:32
555555555555555555555555555555555

อ่อยอะไรเบอนั้นนนนนน ใสๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 17/9/59 {100%}
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 18-09-2016 19:45:47
ขอพื้นที่มาประกาศให้ทราบเพื่อเตรียมตัวและเตรียมใจ :o8:

มาขอแจ้งกับนักอ่านค่ะว่า My Boss ตอนหน้าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว :sad4: (กำลังรีไรท์)
พรุ่งนี้อย่าลืมมาบ๊ายบายเฮียฟรานซิสบอสผู้เป็นโรคหอบหื่น กับธันธัน
เหยื่อน้อยผู้น่าสงสาร :try2: กันได้ที่นี่นะคะ


ขอแปะลิ้งเรื่องสั้นที่ดีต่อใจไปอ่านรอเวลาก่อนนะคะ (เผื่อใครอยากจะตามงานค่ะ :oni1:)

เรื่องสั้น ความรักของไอ้ฟอง(1 ตอนจบ + 1 ตอนพิเศษ)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48363.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48363.0)

และมีงานที่เก่ากว่านี้ในเล้าและจบไปแล้วแต่ขอเก็บไว้ในหลืบ เพราะสำนวนแกว่งๆ
แถมยัง 20+ ซะเหลือเกิน :try2: กลับไปอ่านยังรู้สึกอายตัวเอง :a5:
ยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะคะ :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 19/9/59 {100%}แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-09-2016 20:01:31
 : 222222:
กระดี้ กระด้า ดีใจรอล่วงหน้า
ขอบคุณคนเขียนมากนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 25 UP DATE 19/9/59 {100%}แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 19-09-2016 08:44:44
อ่าวจจบแล้วหรอ เราก็จินตนาการไปโน่น ลืมไปว่าเถ้าแก่เฉินโดนจับแล้ว  :heaven
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทามากิบ๊อง ที่ 19-09-2016 17:40:38



26




“ผมมีเรื่องอยากจะบอก คุณพอจะมีเวลารึเปล่า”

“หรือนายจะเปลี่ยนใจย้ายมาอยู่ที่นี่? ”

“ผมบอกแล้วว่าเรื่องมาอยู่ที่นี่ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด”

“น่าเสียดาย แต่ฉันต้องไปทำงาน แล้วค่อยคุยกัน”

“ดะเดี๋ยวสิครับ ฟังผมหน่อยเรื่องสำคัญจริงๆ! ”

“งั้นก็ว่ามา”ผมต้องอ้อนสินะคือจุดประสงค์

“ผมจะขอลากลับบ้านสักหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนี้ปิดเทอมมันคงจะแปลกถ้าหากผมไม่กลับบ้านเลย แล้วที่สำคัญผมก็ไม่ได้กลับบ้านนานแล้วด้วย”

“แล้วใครจะดูแลที่นี่? ”

“คุณก็หาเมดชั่วคราวสักคน ผมสัญญาจะรีบกลับ นะครับคุณฟรานซิส”ผมอ้อนสุดตัว

“ตามใจนายก็แล้วกัน แต่ 1 อาทิตย์นานไป นายต้องชดเชยวันทำงาน 2 เท่าให้ฉัน”มองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มนี่มันอะไร ตอบครับ!

“ก็ได้ ผมสัญญา”

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องแลกมาเพื่อที่จะได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน  สิ่งที่ผมแบกกลับก็มีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวกับการเดินทางที่ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง อย่าได้หวั่นแม้ตูดจะชามาก และตอนนี้ผมก็ถึงทางเข้าบ้านของผมแล้ว ไกลเข้าไปตลอดแนวขนาบข้างไปด้วยต้นมะพร้าวสุดทางในระยะ 300 เมตรคือบ้านของผมเอง

บ้านเก่าๆ สองชั้นทำจากไม้แต่ยังคงอยู่ในสภาพดี ปลูกมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม อาณาบริเวณรอบๆ บ้านก็กว้างขวางไม่อึดอัดมีที่ให้วิ่งเล่นอยู่พอตัว ถัดจากหลังบ้านไปก็เป็นสวนกล้วย สวนมะม่วงแล้วก็สวนเงาะมีต้นทุเรียนแทรกบ้างซึ่งพ่อกับแม่ดูแลอยู่ ทุกปีผมจะกลับมาทันช่วงฤดูผลไม้พอดี จึงไม่แปลกใจที่ไม่มีใครว่างมารับผมเข้าบ้าน คงจะวุ่นอยู่กับการเก็บผลไม้ส่งขายในตลาดแน่นอน

“เฮ้ย! พี่ธันกลับมาแล้ว ป้าแก้วลุงเทียนพี่ธันมาแล้ว!!!”เด็กร่างอ้วนแก้ม 3 กิโลที่นั่งคร่อมจักรยานเตรียมปั่นออกมาจู่ๆ ก็ทิ้งจักรยานวิ่งเข้าไปทางหลังบ้านตะโกนเสียงลั่นสวน แล้ววิ่งกลับออกมาหน้าตื่นเข้ากอดแข่งกอดขาจนผมแทบล้ม แถมมาด้วยไอ้โป้งหมาบ้านพันธ์ทางที่กระดิกหางจนแทบหลุดเข้ามากระโดดใส่ให้วุ่นวายไปหมด


“ไอ้ตั้วปล่อยได้แล้ว พี่จะล้มแล้วเนี้ย ปากนี่เหนียวเชียวกินอะไรมาวะ”ผมหยิกแก้มไอ้ตั้ว เด็กข้างบ้านอายุ 7 ขวบที่ชอบมาเล่นที่นี่บ่อยๆ แล้วมันก็ค่อนข้างสนิทกับผม เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จริงๆ บ้านผมคงจะเงียบมากถ้าไม่มีมัน แม่ผมแทบจะขอมันมาเลี้ยงเป็นลูกแทนผมอยู่แล้ว อ้อ! จริงๆ ผมมีพี่สาวอีก 1 คนนะที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนชื่อพี่ทับทิม อายุก็แก่กว่าผม 4 ปี เป็นคนดูแลพ่อกับแม่ เพราะพี่จบมาก็มาหางานทำแถวบ้าน

“โหยพี่ธัน มาไมไม่บอกตั้วก่อนอ่ะ”

“ก็ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์ดิ”ผมยิ้มหน้าทะเล้นให้มันก่อนจะโยนกระเป๋าวางไว้หน้าบ้านแล้วเดินไปทางด้านหลังบ้าน เห็นแม่ผมกำลังเดินออกมาพอดี แถมยังยิ้มหน้าบานเท่าจานดาวเทียมอีกด้วย

“คิดถึงคนนี้จังเลยมาให้กอดซะดีๆ”ผมกอดหญิงกลางวัยร่างเล็กที่กอดตอบผมอย่างคิดถึง ผมแทบจะร้องไห้แล้วเนี้ยทำอะไรจนลืมคิดถึงคนๆ นี้ไปตั้งหลายอย่าง

“แม่ตัวเหม็น อย่ากอดเยอะยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“เหม็นยังไงหอมจะตาย”ผมหอมฟอดตรงแก้มสองข้าง คนตรงหน้าฟาดลงท่อนแขนผมเบาๆ อย่างเก้อเขิน

“อย่ามัวแต่เล่นเลย ปล่อยแม่ได้แล้วเดี๋ยวต้องไปช่วยดูพ่อก่อน มีคนมารับซื้อผลไม้ในส่วน ให้ไอ้แดงกับเจ้าอัดช่วยขนอยู่”

“ตั้วไปด้วย พี่ธันอยู่ไหนตั้วอยู่นั่น”ไอ้เด็กตัวกลมมันยังไม่ไปไหนตามตูดผมเป็นหมากฝรั่งติดตูดเลย

“เจ้าตั้วไหนบอกจะกลับบ้านไปอาบน้ำ”

“ไว้ก่อนแล้วกัน ตั้วอยากอยู่กับพี่ธัน”

“ครับๆ เจ้าเด็กอ้วน”

ผมเดินคลอแม่มาทางสวนหลังบ้าน เห็นไอ้อัดกับไอ้แดงลูกน้องที่พ่อกับแม่จ้างมาช่วยขนของขึ้นกระบะอยู่ ผมเข้าไปกอดพ่อทีนึง แต่ไม่กล้าหอมอย่างแม่กลัวพ่อเขิน

“หูยพ่อ! ผมบอกให้กินเยอะๆ ไง นี่ผอมลงป่ะเนี้ย”ผมเดินหมุนรอบตัวพ่อไอ้โป้งเดินตามให้วุ่น

“ผอมอะไรของเอ็งแบบนี้กำลังดีแล้ว ทำงานคล่องตัวอ้วนจะไปทำอะไรไหว”

“อ้าว! ลุงเทียนว่าตั้วเหรอ”เจ้าเด็กแก้ม 3 กิโลปั้นหน้ากลมเงยหน้ามองพ่อผมจนผมอดขำไม่ได้ เลียงเล็กๆ ของมันทำผมหมั่นไส้กับความน่ารักของมันเลยอดไม่ไหวเตะเบาๆ ไปที่ก้นมันทีนึง

“ก็กินให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่กลมขนาดนี้”

“ก็ตั้วเป็นเด็กกำลังโต”

“เอ็งน่ะกินจนร่างกายขยายตามไม่ทันแล้ว เอ้า! งานเสร็จแล้วไปคุยกันในบ้านดีกว่า”พ่อโอบไหล่ผมชวนกันเข้าบ้าน พอดีกับพี่สาวของผมที่เพิ่งกลับมาจากทำงานทันทีที่ลงจากรถการคุยแหลกก็เกิดขึ้นอีกระรอก กว่าจะได้เข้าบ้านก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ใกล้เอื้อม ส่วนไอ้ตั้ว ผมอาสาไปส่งมันถึงบ้านก่อนจะกลับมาเก็บของอาบน้ำ

และเย็นนั้นผมก็ได้นั่งกินข้าวร่วมกันกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา คุยกันสนุกสนานออกรสจนผมเติมข้าวไปได้หลายจาน เราพูดกันถึงสวนผลไม้ของพ่อกับแม่ที่ออกลูกดกทันเก็บขายทุกวัน แต่แม่ก็บ่นเรื่องความใจดีของพ่อที่ชอบแถมเขาไปเป็นแข่งจนกำไรหดหายเท่าทุนตลอด ส่วนพี่สาวผมก็บ่นเรื่องเจ้านายที่ทำงานให้ฟัง พี่สาวผมทำงานธนาคารเลยมีเรื่องบ่นให้พ่อกับแม่ฟังแทบทุกวัน แม่บอกผมว่าพี่ผมมันชอบบนเหมือนคนแก่เลยไม่มีใครกล้ามาจีบ

ทั้งๆ ที่ผมพยายามไม่พูดเรื่องตัวเองแล้วแต่พี่ผมมันก็ถามไถ่อยากรู้ขึ้นมา ส่วนพ่อกับแม่ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจจนผมต้องเล่า ผมเลยเล่าเรื่องเรียนที่ไปได้ดีไม่มีปัญหา และเรื่องหมางใจกับไอ้โชคแต่ไม่ได้บอกต้นสายปลายเหตุให้ฟัง และผมก็เล่าถึงงานระหว่างปิดเทอมที่ทำมาสักระยะเรื่องหาค่าห้องหาค่ากินให้ฟัง

จริงๆ แม่อยากจะส่งเงินให้ผมใช้เหมือนคนอื่นๆ เขา ไม่ต้องไปลำบากกัดฟันทำงาน แต่ผมคิดเสมอว่าเงินที่พ่อกับแม่หามาได้ก็เป็นเงินของคนที่หามา แค่พ่อกับแม่เป็นคนจ่ายค่าเทอมให้มันก็มากพอแล้ว และเรื่องทำงานเลี้ยงตัวเองผมว่ามันไม่ได้น่าอายหรือลำบากอะไร ในเมื่อปากต้องกินต้องใช้เราก็ต้องทำ ฝึกที่จะเจอกับงานดีกว่าหลบงานเป็นไหนๆ

“ธันแกมีแฟนยังวะ?”

“แฮ่กๆ ”ผมแทบจะพ่นน้ำออกจากปาก“จู่ๆ ก็ถามมีไรป่ะ? ”

“แม่ก็อยากรู้นะว่ามีแฟนกับเขาบ้างหรือยัง”แม่พูดขึ้นผมนี่นิ่งเลย แถมพ่อยังนั่งกินข้าวไม่พูดอะไรเลยด้วย คงจะขอแอบฟังเนียนๆ อยู่แน่

“โธ่แม่ แฟนน่ะยังไม่มีหรอก ทำงานจนไม่มีใครมาสนแล้ว”

“จริงเหรอ? อย่าให้พี่เห็นนะว่าตั้งสถานะอะไรในเฟส”

“เลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว วันๆ ก็ทำงานจนไม่ได้ไปเจอเพื่อนฝูงด้วยซ้ำ”

“เจ้านายเขี้ยวลากดินกว่าของพี่อีกเหรอ”พี่ทับทิมจิ้มซ่อมลงกับจานทำท่าอยากรู้

“ฮึ! ของผมนะยิ่งกว่าเขี้ยวลากดินอีก เจ้าระเบียน จอมบงการ ชอบบังคับ วางท่า แล้วแถมยังชอบจับผิดอีก”

“เฮ้ย! จริงดิ แล้วทนได้ไง”

“ผมเป็นผู้ชายนะพี่ทับทิม เรื่องพวกนี้ไม่มีใครมองมองว่ามันหยุมหยิมหรอก เลยพออยู่ได้โกรธบ้างแต่เดี๋ยวก็ลืม แล้วก็โกรธใหม่แล้วก็ลืม วัฏจักรง่ายๆ ของความคิดผม”ผมยักไหล่สองข้างอย่างไม่แยแส พี่ทับทิมแบะปากหันไปจิ้มมะม่วงเข้าปาก

“เออ แล้วนี่แกทำไมไม่ชวนเพื่อนที่มหาลัยมาเที่ยวบ้านบ้างล่ะ เห็นว่าสนิทกัน”

“โธ่พ่อ ถ้าชวนมาได้ผมชวนมาแล้ว แต่พอดีไอ้บัสกับไอ้ปอนมันเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวนิดหน่อยเลยมาไม่ได้”

“อ้าว! เกิดเมื่อไหร่แม่ไม่เห็นรู้ สองสามอาทิตย์ก่อนแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง พวกมันหนังเหนียวจะตาย”

“แกก็ระวังตัวไว้บ้างก็แล้วกัน”

“ครับ”

การสนทนาในเย็นวันนั้นลุกลามไปจนถึงสามทุ่ม ปกติสองทุ่มพ่อกับแม่ก็นอนแล้วเพราะต้องตื่นเช้า ผมเลยพลอยเข้านอนเร็วไปด้วยและกะจะลุกขึ้นเข้าสวนไปช่วยทำงานด้วย



วันที่สองของการอยู่บ้าน ผมทำงานตลอดจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์เลย อาการเหนื่อยของคนใช้แรงทำงานเยอะๆ ก็คือพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นศพ ตื่นมาก็เข้าสวนตัดผลไม้ แต่งกิ่ง ช่วยพ่อจัดการกับไอ้ต้นที่มันยืนต้นตายบ้าง แล้วปลูกแทนที่ด้วยต้นใหม่ แล้ววันนี้ผมก็กะจะเข้าไปเอาปุ๋ยน้ำหมักธรรมชาติไปรดต้นมังคุดสองสามต้นที่เพิ่งปลูกใหม่ของพ่อกับแม่เมื่อหลายเดือนก่อน ตัวที่ตามผมมาก็มีแต่ไอ้โป้งหมาพันธ์ทางที่วิ่งเล่นไปทั่วสวน

“ไอ้โป้งมึงนี่น่าอิจฉาว่ะ อิสระ มีความสุข แถมยังมีคนเลี้ยง”ผมลูกหัวเปรอะๆ ของมันสองสามทีก่อนจะหันไปเปิดถังน้ำปุ๋ยหมักกลิ่นมหากาพย์ความรุนแรงใช้ขันมีด้ามจ้วงตักแล้วสาดรอบๆ ต้น

“หืม....กลิ่นอย่างหึ่ง นี่พ่อแอบเอาฉี่เอาอึใส่ไปด้วยรึเปล่าเนี้ย”ขนาดไอ้โป้งยังหนีผมไปยืนอยู่ซะไกล ด้วยกลิ่นที่ไม่ไหวผมจึงรีบจ้วงขันสุดท้ายกะจะสาดเทไปให้ไกลถึงต้นพริกขี้หนูที่งอกแซมอยู่ด้านหลังแล้วจะได้รีบกลับ แต่ปรากฏว่าแทนที่น้ำปุ๋ยจะได้กระเด็นไปถึงต้นพริกกลับมีบางอย่างเอาตัวมาขวางไว้ซะก่อน ทุกละลองทุกความเหม็นหึ่งจึงไปตกอยู่กับสิ่งนั้น

เชี่ยแล้ว! ผมอุทานในใจลั่นมาก เพราะแว๊บแรกของหาตาผมมองเห็นแล้วว่ามีคนมายืนอยู่ แต่มือมันไปแล้วจะเอาอะไรมาหยุดได้วะ และที่สำคัญไอ้คนโชคร้ายได้ขี้นี่มันใครวะ ถ้าเดินมาไม่ดูอะไรแบบนี้ก็สมควรโดนแล้ว

ผมมองตั้งแต่รองเท้าค่อยๆ ไล่ไปตามท่อนขาที่เห็นได้ว่าโดนเข้าอย่างจัง แค่มองเห็นเท่านี้ผมถึงกับผงะก้มหน้าต่ำเรี่ยดินคุยกับยอดหญ้าอยู่พักใหญ่อย่างไม่มั่นใจในความคิด แล้วตัดสินใจเงยหน้ารวดเรียวมองเจ้าของรองเท้าหนังดำมันวาวที่ไม่ควรมาเดินใส่ในสวน แค่เห็นหน้านี่ผมก็หงายเงิบแล้วครับ

“มาได้ไงเนี้ย! ”



“ต้องขอโทษด้วยนะที่เจ้าธันมันทำเสื้อผ้าคุณเลอะไปหมด”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไปไม่ให้ซุ่มให้เสียงก่อนเอง”

“โถ่แม่ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ผิด”

“แอ๊ะลูกคนนี้ ทำไมยังไม่พูดขอโทษคุณเขาอีก เขาเป็นเจ้านายเราไม่ใช่เหรอ นี่เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมมาเยียนเราถึงบ้านยังจะไม่มีมารยาทอีก”ผมผงะมองแม่ที่สวดผมไฟแลบ ปกติแม่ไม่ทำอย่างนี้กับผมนานมากแล้วนะ แล้วนี่แม่กินอะไรเข้าไป

“แต่ว่า.....”

“พาคุณเขาไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”ผมมองแม่ที่ดันหลังไล่ผม ผมเกาหัวแกรกๆ เดินขึ้นชั้นบนของบ้านงงๆ โดยมีเจ้านายผู้มีน้ำใจเดินตามต้อยๆ อยู่เบื้องหลัง

ผมลากฟรานซิสเข้าห้องก่อนจะมองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครยู่แล้วปิดประตูลง

“คุณคิดอะไรอยู่ถึงมาที่นี่เนี้ย แล้วคุณได้ที่อยู่ผมจากใคร แล้วมาถูกได้ยังไง?”ผมปราดเข้าไปถามเจ้าตัวอย่างสงสัยสุดๆ

“ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามอะไร ฉันอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ”ผมมองหน้านิ่งที่คิ้วขมวดสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทำเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเพิ่งจะนึกขึ้นได้

ราชสีห์ลุยสวนชัดๆ

“ผมขอโทษที่ลืมเรื่องนี้ไปเลย ห้องน้ำอยู่ด้านล่างเอานี่ผ้าขนหนู เดี๋ยวผมจะหาชุดเปลี่ยนให้ก็แล้วกัน”

“ถอดให้ฉันด้วย”สีหน้าฟรานซิสบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้งผม แต่เป็นการออกคำสั่งเสียมากกว่า กลิ่นของมันคงทำเขาขยาดจนแทบไม่อยากจะแตะเสื้อผ้าของตัวเองเลย

“ไม่เอา ทำเองสิครับคุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“ฉันบอกให้นายถอดมัน”สีหน้าเคร่งขรึมแต่ยังฉายแววความหล่อเหลาระดับพรีเมี่ยม บ่งบอกว่าเขาใกล้สิ้นสุดความอดทน ผมทั้งอดขำอดยิ้มไม่ได้ ทีต่อหน้าแม่เขายังไม่แสดงออกขนาดนี้เลย

“ก็ได้ๆ”ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิตสีน้ำเงินเข้มทีละเม็ด ทีละเม็ดจนถึงเม็ดสุดท้ายเผยผิวขาวอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องที่เปรอะน้ำสีเข้มบางๆ เคลือบผิวจนน่าขำ ก่อนจะบอกคนร่างสูงหลังเสร็จหน้าที่

“คราวนี้ก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ตัวคุณมันเหม็นสุดๆ เลย ห้องผมจะเหม็นไปด้วยรึเปล่าเนี้ย”

“ใครบอกว่าเสร็จ”สายตาฟรานซิสมองไปยังด้านล่าง เขายืนแข็งทื่อไม่ขยับไปไหนราวกับหุ่น

“อย่าบอกนะว่าจะให้ผมถอดกางเกงให้คุณด้วย ไม่เอา! ”ผมถอยห่างปฏิเสธท่าเดียวคือ ไม่!

“ถ้าฉันจะเล่าเรื่องที่เราสนิทสนมกันให้ครอบครัวนายฟังคงไม่เป็นไรสินะ”สีหน้าขรึมที่เริ่มแสยะยิ้มออกทำผม ลุกลี้ลุกลน เข้าไปคุกเข่าปลดเข็มขัดร่างสูงอย่างไว

“ถ้าคุณพูดมากผมจะโกรธคุณจริงๆ !”ผมยื่นคำขาดมือนี่สั่นจนเหล็กหัวเข็มขัดสั่นกระทบกันดังจนน่าหนวกหู

มันน่าอาย อายจนอยากมุดหน้าหนีจริงๆ แถมมือที่สั่นยังจับสะเปะสะปะไปโดนนู่นนี้จนผมตาลายทำอะไรไม่ถูก กับอีแค่กางเกงตัวเดียวผมจะมากังวลอะไรนักหนา ไอ้สิ่งที่อยู่ในกางเกงผมเองก็เคยเห็น แต่ทำไม! มือผมต้องสั่นด้วยวะเนี้ย!

“แล้วถ้าหากฉัน ไม่พูดมัน.....”

“เสร็จแล้ว คราวนี้ก็แค่เอาขาออกมาคุณทำเองนะ ผมไปก่อนล่ะ”ผมรีบเผ่นหนีออกจากห้องอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งลงด้านล่างมานั่งหอบอยู่ตรงประตูบ้าน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นกระเบื้องเย็นๆ

มือเมื่อกี้ยังสั่นไม่หาย ไอ้เรื่องถอดผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ถอดกางเกงนี่มันเกินไป ก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงเขาก็ยังมีทีเล่นทีจริงแกล้งผมอยู่นั่น แล้วแบบนี้จะเอายังไงเนี้ย
 
ไล่กลับให้เร็วเลยดีมั้ย!



มีความแพ้ ผมคิดไว้แล้วว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ กลายเป็นว่าคืนนี้ฟรานซิสนอนบ้านผมเฉยเลย นอนได้ไงใครให้นอน? ก็แม่กับพี่สาวผมไงมีความเห่อลูกครึ่งชมแล้วชมอีก กินง่ายอยู่ง่าย แถมนิสัยดี! พี่ทับทิมลากผมไปฟาดอยู่หลายรอบบอกผมหลอกพี่ว่าเจ้านายเลือดเย็น ผมนั่งคอตกสิครับสองวันผ่านไปเป็นหมาหัวเน่าเพื่อนไอ้โป้งเลย

“ผมอิ่มแล้ว จะขึ้นไปนอนแล้วนะใครจะคุยใครจะกินก็ตามสบาย”

“อะไรของแกเนี้ยธัน”พี่สาวผมอ้าปากพะงาบๆ เรียกผม แต่ไม่สนล่ะผมงอนจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นที่หนึ่ง แต่พอมาวันที่สองที่สามผมโดนเทเฉยเลย ชิ!

ผมขึ้นห้องมาตึงตังกระโดดลงที่นอนคว่ำหน้ากางแขนกางขาเต็มเตียงกลิ้งไปมาสองสามรอบก่อนจะหยุดกลิ้ง ไม่ทันไรคนร่างสูงก็เปิดประตูเข้ามา ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วเงียบไป ผมรู้สึกถึงเตียงที่มันยวบลงไปจึงรู้ว่าเขามานั่งใกล้ๆ แล้ว

“เป็นอะไร นายดูอารมณ์ไม่ดี หรือเพราะฉันมาที่นี่”เสียงนุ่มพูดขึ้นพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

“ก็มีส่วน ผมถามคุณจริงๆ เถอะว่าคุณจะมาที่นี่ทำไมกัน ลำบากก็ลำบากไม่มีแอร์ไม่มีอ่างแช่น้ำ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่มีอะไรสักอย่าง คุณก็เห็น”

“กลัวฉันลำบากรึไง”

“เปล่าสักหน่อย”

“แล้วตกลงนายโกรธฉันเรื่องอะไร”

“ก็เพราะคุณมาโดยไม่บอกผมสักคำ”ผมพึมพำคว่ำหน้าพูดกับหมอน

“ฮึๆ นายไม่ได้ดูโทรศัพท์ตัวเองเลยสินะ”ฟรานซิสเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของผมที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีอยู่ตรงหัวเตียง แถมแบตก็ดันหมดอีก ผมพูดอะไรไม่ออกเลยเงียบไป เถียงไปก็ไม่ชนะแล้วน่ะสิ

“ฉันโทรหานาย ส่งข้อความแล้วแต่ดูเหมือนนายจะไม่ได้ดูมันเลย ฉันแค่ร้อนใจว่านายเกิดเรื่องรึเปล่า”ผมนิ่งไปครู่หนึ่งพอฟังในสิ่งที่ฟรานซิสพูดผมเลยเข้าใจเขามากขึ้น ทั้งๆ ที่ผมกลับไม่ได้คิดถึงส่วนนั้นเลยด้วยซ้ำ แล้วก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นห่วงใครเป็น
“แล้วคุณ รู้เรื่องที่อยู่ของผมได้ยังไงครับ”ผมเสียงอ่อนลงยอมพลิกตัวหันหน้ามามองเขาดีๆ

“ฉันถามเอาจากเพื่อนของนายที่ทำงานอยู่ที่บาร์บิโลน”

“คงจะเป็นไอ้บัสไม่ก็ไอ้ปอนสินะ”ฟรานซิสพยักหน้าเป็นเชิงตอบ“จริงๆ ผมก็บอกแล้วว่าจะกลับบ้านคุณไม่เห็นต้องห่วงขนาดนั้น”

“ใครว่าฉันเป็นห่วง.....”

“คุณบอกเองว่าคุณร้อนใจกลัวผมเกิดเรื่อง”ผมผุดลุกขึ้นโต้ตอบทันที ร่างสูงเอื้อมมือมาโอบหน้าผมเบาๆ พลางใช้นิ้วเกลี่ยพวงแก้มอย่างอ้อยอิ่งแล้วยกยิ้มชวนสงสัย

“นายยังฟังที่ฉันพูดไม่จบ ใครว่าฉันเป็นห่วงนายอย่างเดียว ฉันคิดถึงนายด้วยต่างหาก...ธัน”

คือผมเหมือนจะละลาย รู้สึกราวกับตัวเองเป็นเนยที่อยู่กลางกระทะร้อนๆ ผมแทบจะไม่เคยได้ยินฟรานซิสพูดอะไรแบบนี้กับผมมาก่อน เพราะแต่ละอย่างที่เขาจะพูดออกมาเขาไม่เคยคืนคำ นั่นรึเปล่าเป็นสาเหตุที่เขามักจะพูดอะไรที่มันดูจริงจังแถมยังเถรตรงจนไม่มองสีหน้าใคร แม้กระทั่งผมตอนนี้

จะดึงผ้าห่ม หยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้ามันก็กะไรอยู่ แต่เอาจริงๆ ผมเขินว่ะ!

“คุณพูดเรื่องแบบนี้มันฟังดูแปลกๆ ผมจะเชื่อได้รึเปล่า”

“นั่นสิ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน แต่พออยู่ห่างจากนายฉันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”ดวงตาคู่คมมองผมไม่มีหลบเลี่ยง ผมพ่นลมหายใจออกมาน้อยๆ อย่างนึกขำ ก่อนยื่นหน้าทะเล้นเชิงเย้าแหย่อย่างนึกสนุก

“หืม นี่ผมสำคัญกับบอสสสสส...ขนาดนี้เลยเหรอครับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

“ฮึ! ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่านายถอดแบบมาจากใคร แม่ก็ไม่ใช่พ่อก็ไม่มีทาง”

“แต่ผมไม่ใช่เด็กเก็บมาเลี้ยงแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เด็กขาดความอบอุ่นด้วยคุณก็เห็น”

“ฉันก็อยากรู้นะว่านายไม่ได้ขาดความอบอุ่นจริงรึเปล่า”ก็รู้อยู่ว่าคนตรงหน้าปากไวมือเร็วขนาดไหน ไม่ทันขาดคำเขาก็รวบตัวผมเข้ามากอดจนแน่น หน้าผมชิดกับอกกว้างได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้าเต้นอยู่ภายในอกชัดเจน

“รู้แล้วก็ปล่อยสิครับ”

“คิดว่านานแค่ไหน กับสองวันสองคืนที่ฉันไม่ได้กอดนาย”เสียงทุ้มกระซิบบอกผมดันอกฟรานซิสออกแล้วมองหน้าเจ้าของเรือนกายกำยำที่ใส่เสื้อแน่นเปรี๊ยะของผมโดยไม่รู้สึกอึดอัด

“คุณคงไม่เหงาหรอก ไปทำงานก็มีเลขาหน้าสวยอย่างคุณนาวี”

“เลขาก็คือเลขา ไม่ใช่คนพิเศษแบบนายสักหน่อย”

“ครับ ครับ ครับ เอาล่ะผมจะไปปิดไฟนอนแล้วคุณนอนบนเตียงก็แล้วกัน ผมจะนอนด้านล่างให้เอง”ผมพูดพลางเดินไปปิดไฟ ความสว่างยังคงรางๆ อยู่บ้างจากแสงไฟด้านนอก ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน

“มานอนด้วยกัน”มือใหญ่คว้าข้อมือผมไว้แล้วกระตุกดึงให้เข้าไปนั่งอยู่ในตัก

“คุณคิดว่าเตียงผมมันใหญ่อย่างที่บ้านคุณซะที่ไหนล่ะ สองคนนอนไม่พอหรอก”ผมพูดลางกลั้วหัวเราะไปด้วยกับความคิดเขา

“ก็ดีสิ จะได้นอนใกล้กันตลอดคืน”แค่พูดผมไม่ว่าอะไรหรอก แต่มือปลาหมึกที่โอบเอวผมแล้วเลื้อยลงต่ำ กับริมฝีปากอุ่นๆ ที่กดลงจูบบนไหล่ผมนี่คืออะไร

“คุณฟรายซิส ผมบอกไว้ก่อนนะว่าที่นี่ไม่เด็ดขาดครับ”ผมยืนยันหนักแน่นจับยึดมือปลาหมึกไว้แน่นทั้งสองข้างของเขาราวกับกลัวจะสูญหาย

เอาจริงๆ ผมกลัวมันไปวางอยู่ในที่ที่ไม่ควรวางบนตัวผมมากกว่า

“งั้นแค่นอนกอดเฉยๆ นายโอเคใช่มั้ย”

“……….”ผมคิดอยู่นานจนศีรษะหนักๆ ของฟรานซิสวางลงบนไหล่ผมพร้อมกับลมหายใจอุ่นรดหลังทำผมใจเต้นเป็นบ้าเลย นี่ลูกอ้อนใช่มั้ยตอบ?

“อย่าคิดนาน หรือนายอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่า”

“นอนก็นอนสิครับ งั้นก็ปล่อยได้แล้วผมจะไปเอาหมอนมาเพิ่ม คุณชอบหนุนหมอนสูงๆ ไม่ใช่รึไง”ฟรานซิสยอมว่าง่าย ผมไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน แต่อารมณ์ที่ยอมทำตามที่ผมบอกง่ายๆ คงจะเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย

ผมจัดการเพิ่มหมอนให้ฟรานซิสอีกหนึ่งใบจากในตู้ ก่อนจะวางหมองตัวเองลงข้างๆ ฟรานซิสล้มตัวลงนอน ผมก็นอนลง เขาแค่เอื้อมมือมากอดรั้งตัวผมไว้ทางด้านหลังและไม่ได้พูดอะไร ผมรู้สึกถึงความสุขที่ไม่ต้องผ่านเซ็กส์เป็นครั้งแรก ความเงียบทำให้ผมรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

“ผมขอถามอะไรคุณอย่างได้มั้ยครับ”ท่ามกลางความเงียบผมพูดขึ้นเพราะรู้ว่าฟรานซิสยังไม่หลับ เขายังคงขยับตัวให้แนบชิดกับผมตลอดเวลา สัมผัสอุ่นจากร่างกายของเขายังคงผ่านแผ่นหลังของผมไม่ห่าง

“ฮืม”

“ถ้าหากวันหนึ่ง ผมหรือคุณในอนาคตเรามีเส้นทางที่ต้องเลือกต่างกัน และจะต้องแยกจากกันไปคุณจะทำยังไง? ”ผมต้องใช้ความกล้าเท่าไหร่คุณคงไม่รู้หรอกถึงจะถามคำถามแบบนี้กับเขาได้ เพราะคำตอบที่ออกมาอาจทำผมเจ็บก็เป็นไปได้

“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน และไม่ว่ายังไงก็ตามหากนายเป็นผ่ายคิดที่จะจากฉันไปก่อนนายก็น่าจะรู้ว่าฉันจะเอาตัวนายกลับคืนมาให้ได้ ต่อให้ต้องขังนายไว้ก็ตาม”

“คุณทำให้ผมกลัว”

“ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่นายคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พวกนั้น”

“เราไม่มีทางรู้ว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น”

“หากนายกลัวสิ่งเหล่านั้น ก็ปล่อยให้ฉันเป็นคนจัดการ เพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”

“คุณฟรานซิส.....”ผมพลิกตัวหันไปหา ใบหน้าของผมอยู่ห่างจากฟรานซิสแค่ไม่กี่เซน ผมสบตาคู่คมที่แพราวพราวอยู่ภายในความมืดด้วยความรู้สึกอุ่นใจ“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจซะเหลือเกินนะครับ”

“ฉันไม่เคยทำอะไรที่มันครึ่งๆ กลางๆ ”

“ผมจะแน่ใจได้แค่ไหน ไม่รู้สิแต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้อยู่”สิ่งที่ผมถามมันคือสิ่งที่จะช่วยยืนยันความรู้สึกของผมต่อคนตรงหน้า ว่าผมตัดสินใจถูกหรือไม่ที่จะหยิบยื่นความรู้สึกลึกสุดภายในหัวใจให้ไปอยู่ในมือของเขา อาจดูเป็นเรื่องหยุมหยิมแต่มันกลับสำคัญกับผมมาก

“ธัน”เสียงนุ่มละมุนขานเรียกชื่อผมแผ่วเบา พลางมือหนาโอบประคองใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน นิ้วมืออุ่นๆ สัมผัสกับจมูก ปาก และแก้มของผมราวทะนุถนอม ก่อนริมฝีปากหยักจะขยับเข้ามาใกล้ประทับรอยจูบเบาๆ ที่หน้าฝากของผมแล้วพูดบางอย่าง

“ฉันรักนาย”

เพียงประโยคสั้นๆ จากปากของฟรานซิส ไม่คิดว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกหัวใจเต้นรัวได้ขนาดนี้ ผมมองหน้าฟรานซิสที่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความแปลกใจสุดๆ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะได้ยินเขาพูดประโยคนั้น ความอิ่มเอมใจและความสุขที่ผมได้รับจนล้นทำเอาผมบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมากะทันหัน

“น้ำตาของนาย มีไว้ให้ฉันเห็นคนเดียวเท่านั้นเข้าใจมั้ย”

“..........”ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ ได้แต่พยายามหยุดน้ำตาตัวเอง

“ต่อจากนี้ไป คนที่ฉันจะให้เป็นคนพิเศษที่สุดสำหรับฉันก็คือนายเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

“..........”ผมพยักหน้ารับ ไร้เสียงตอบ ฟรานซิสใช้หลังนิ้วเกลี่ยไล่หยาดน้ำตาของผมจนแห้ง ไม่รู้ว่าน้ำตามันแห้งเพราะมีคนซับให้หรือแห้งเพราะอุณภูมิความร้อนบนใบหน้าทำน้ำตาระเหยกันแน่

“พรุ่งนี้กลับกับฉันนะ ฉันอยากจะกอดนายขึ้นมาซะแล้ว”เสียงทุ้มกระซิบกระซาบตรงใบหูของผม ทำเอาผมขนลุกชูชันไปหมด แถมยังรู้สึกกระดากอายในคำพูดของเขาอีก นั่นคือเหตุผลจริงๆ ของฟรานซิสรึเปล่าเขาถึงยอมลงทุนมาที่นี่ด้วยตัวเอง

“คะใคร ใครว่าผมจะกลับกับคุณ”

“ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง หรือนายอยากให้ฉันทำนายร้องไห้อีกรอบที่นี่อีก”

“คุณฟรานซิส!”

“งั้นก็กลับกับฉันพรุ่งนี้”

“พูดแบบนั้นผมจะไม่กลับได้ไง”

“แต่คืนนี้....ขอฉันกอดนายเบาๆ ก่อนก็แล้วกัน”สายตาที่ดูแพรวพราวมองผมพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพอใจ ก่อนพาท่อนแขนแกร่งเข้ารั้งแผ่นหลังผมไม่ให้ถอยร่นหนีแล้วกดริมฝีปากหยักเข้าครอบครองริมฝีปากของผมอย่างนุ่มนวลต่างจากครั้งไหนๆ และให้ความรู้สึกหลงใหลในรสชาติหวานหอมจนคนรับแทบสำลักความหวาน และความปรารถนาที่หาได้จากคนตรงหน้าเท่านั้น

จูบที่เนิ่นนานแทบประสานสองร่างไม่ให้แยกจากกันก็ต้องหยุดลงเมื่อผมผลักคนตรงหน้าออกเบาๆ เป็นการเตือน

“อย่ามากกว่านี้เลยครับ คุณบอกจะนอนกอดผมอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ”แม้ผมจะรู้สึกเขินอายแต่หากไม่ยอมพูดมีหวังคนตรงหน้าได้ทำมากกว่าสิ่งที่บอกไว้แน่ เพราะเพียงเท่านี้ผมยังรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของฟรานซิสอุณภูมิวิ่งขึ้นสูงแตะเพดานขนาดไหน

“ได้ ฉันจะทำตามสัญญาแล้วกัน”ผมยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าฟรานซิสหน้าจ๋อยไปนิดหน่อยแต่ก็ยังกอดผมไว้แน่นไม่วาง ไม่แน่ว่าคืนนี้คนที่ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ไม่ใช่ฟรานซิสเพียงคนเดียว แต่คงเป็นผมด้วยอีกคนหนึ่งแน่ๆ

ให้ตายเถอะ! ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหยิบเอาความสุขทั้งชีวิตมาใช้ตอนนี้ซะหมดเกลี้ยงเลยทำไงดี แต่ถ้ามีเขาอยู่ผมจะคิดเอาเองได้มั้ยว่าความสุขของผมจะไม่มีวันหมดจากนี้และตลอดไป

ความรักกำลังเล่นงานผมเอาเต็มๆ แล้วมั้ยล่ะ!




The End


ทิ้งท้าย

ในที่สุดเรื่องนี้ก็มุ่งมานะ มานี อีกา นามี รูปู มาจนถึงจุดสิ้นสุดของเรื่องแล้ว(เร็วเหมือนกันแฮะ :m23:)
อาจจะมีความผิดพลาด ลงล่าช้า หรือเนื้อเรื่องไม่สนุก ไม่โดนใจกันไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ o1
และที่สำคัญ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านจนกระทั่งจบเรื่อง ขอบคุณจากใจจริง
ทั้งที่ผู้แต่งรับทราบและไม่ทราบ ถ้าหากเปิดเรื่องใหม่อีกครั้ง ก็ฝากด้วยนะคะ :o8: ทามากิบ๊อง

ขอบคุณมากค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:






หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: lek2512 ที่ 19-09-2016 17:49:37
 :mew4: :mew4: ในที่สุดเจ้านายต้องมาตามถึงที่ ห่างกัน 2 วันนอนไม่หลับอะดิท่าน  อยากให้มีตอนพิเศษ อยากเห็นเจ้านายหึงน้องธันบ้างจุง
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 19-09-2016 18:17:58
จบแบบอบอุ่น ขอบคุณค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-09-2016 19:29:07
หวานเวอร์เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-09-2016 20:18:42
จบแล้วอะ รู้สึกว่าสั้นไป ฮ่าๆๆ ขอตอนพิเศษเยอะๆน้า
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-09-2016 21:28:22
จบที่เข้าใจ ถ้ารักแล้วไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 19-09-2016 22:30:34
อ๊ายยย.......!!! ฟินอ่ะ แต่ก็อยากให้มีตอนพิเศษอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 19-09-2016 23:11:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 19-09-2016 23:27:38
อ่านรวดเดียวเลย ลุ้นมาก สนุกมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 19-09-2016 23:49:56
อ่านรวดเดียวจบเลย

นิยายสนุก คิดถูกแล้วที่คลิกเข้ามาค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-09-2016 01:18:58
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 20-09-2016 09:20:51
 :pig4: :pig4:  ขอบคุณๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 20-09-2016 19:03:50
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-09-2016 19:14:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 29-09-2016 23:56:54
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 31-10-2016 21:30:15
สนุกดีค่ะ ชอบตอนคุณฟรานซิสเจ้าเล่ห์ใส่ธัน  :hao7: กริ๊บกริ้ววววมากกก ฮ่าาา
อยากให้มีตอนพิเศษคุณฟรานบ้างอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 01-11-2016 01:26:56
อ่านถึงตอน 17 หน้า 3 คืออยากพูดมาตั้งแต่บทหลายๆบทก่อนหน้าแล้วแต่อยากอ่านให้จบแต่ทนไม่ไหว  คือนายเอกโง่เองทั้งเรื่อง เราอ่านไม่กี่บทก็รู้แล้วพระเอกอ่ะต้องรู้ ลูกน้องก็เยอะ ให้คนสืบก็ไม่ยาก อิทธิพลก็มี อย่างเรื่องปร้านอาหารเจอโชคอ่ะก็ไม่ใช่บังเอิญหรอก อ่านบทนั้นพอถึงตอนนายเอกเจอโชครู้เลย พระเอกจงใจ คือนายเอกโง่มาก พระเอกก็โง่ที่ทำแบบนั้นแต่ก็ดูต่อไปมีตลบหลังไหมที่พระเอกจะทำ นายเอกโง่ คือข้อมูลไรที่ได้จากพระเอกอ่ะ พระเอกจงใจปล่อยเพราะไม่งั้นจะได้ได้ไง  โง่ โคดโง่ และพระเอกก็เคยพูดว่ามีไรให้บอก ช่วยได้ นายเอกก็โง่ไม่เลิก ทั้งที่ไม่มีไรเลย พระเอกก็แสดงโจ่งแจ้ง ฉุกใจคิดสักนิดจะรู้เลยว่าได้ไรมาง่ายๆ เพราะพระเอกปล่อยให้ คือไม่อยากอ่านต่อเพราะรับความโง่นายเอกไม่ไหวนี่แหละ แต่ก็ไหนๆอ่านมาแล้วก็อยากอ่านให้จบ เผื่อตอนจบนายเอกจะเลิกโง่ ทำร้ายพระเอกอยู่ได้ คือพระเอกก็อาจไม่ดี แต่นายเอกโง่จริง
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 01-11-2016 12:51:43
อ่านไงนายเอกก็โง่ดักดานอยู่ดี ตอนไปเยี่ยมเพื่อนถูกรถเฉี่ยว เพื่อนสองคนยังพูดจาฉลาดกว่าอีก โง่งี่เง่านายเอก
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 01-11-2016 12:59:47
อ่านคอมเม้นท์บอกมีคนสงสารธัน แต่เราไม่เลย โง่เองช่วยไม่ได้ ตอนนั้นก็เจอโชค พระเอกอ่ะเปิดโอกาสให้เจอแต่ดันทำเหลวเอง ช่วยไม่ได้ ห่วยแตกไม่ได้เรื่อง แม้แต่ตอนค่ำประกันเพื่อน ขนาดพี่น้องยังต้องคิดดีดีเลย นี่เพื่อนแม้รักแค่ไหน โดนแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-11-2016 16:50:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 01-11-2016 22:25:28
อ่านจนจบ ยอมรับเรื่องปากกานะ แต่นางเอกก็โง่งี่เง่า พูดมาก ไร้สาระอยู่ดี แต่ไม่มีพระเอกหรือพระเอกมาชอบจะเป็นไง
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 24-03-2017 10:12:48


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ธันยอมพี่เขาไปเถอะนะ

อิอิ

หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 25-03-2017 13:22:34
ฟรานซิสเทพสุดค่ะ รู้ทัน รู้ทาง รู้หมดทุกทาง เสียอย่างเดียว แพ้ทางธัน
ธันเป็นคนดีนะ แต่ทุกคนก็ต้องทำเพื่อเอาตัวรอดอยู่แล้ว
โชคดีที่ไม่เป็นไร และมาเจอฟรานซิส ไม่งั้นธันกับคนอื่นๆต้องแย่กว่านี้แน่

ธันน่ารัก หลงรักกันเต็มๆ

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 25-03-2017 13:28:49
สนุกมากจ้า
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 29-03-2017 19:56:33
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 02-04-2017 23:57:38
น่าอิจฉาธันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 05-04-2017 21:56:52
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: FiRMMiE ที่ 07-04-2017 02:50:46
สนุกอ่าาาาา ดีอ่ะที่กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ไม่ผิดหวังเลย สนุกจริง ๆ
สงสารธันกับชะตากรรมของนางมาก
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอย่างฟรานซิส
หลงรักซะแล้ว
 :mew2: :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 09-04-2017 13:27:31
 o13
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: bojaemyboo ที่ 09-04-2017 22:31:38
ฟราสซิสเป็นคนชัดเจนดีค่ะ แต่ธันใจแข็งจริงนะเนี้ย :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: Bangzazazall ที่ 10-04-2017 00:01:57
ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านค่ะ คิดไว้แล้วว่าฟรานต้องรู้ พยายามช่วยแต่ก็เข้าใจนายเอก ที่แบบว่าเออเจ้านายนะ ไม่กล้าพูด รู้จักไม่นานเชื่อได้ไหมก็ไม่รู้ แถมถ้าบอกเขาจะทำอะไรเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายเอกอารมณ์เหมือนนักอ่านมากค่ะ ชอบคนง่าย รักคนง่ายสุดๆ55555555 แต่ถ้าเป็นนี่ถ้าฟรานบอกมีไรให้ช่วยไหมไรงี้ นี่จะบอกความจริงหมดเลย55555555555 รักมากนะคะ ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายสนุกๆแบบนี่มาให้อ่านนะคะ ไม่เสียใจที่กดเข้ามาชมเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 13-04-2017 00:26:18
รู้สึกอยากมีบอสแบบฟรานซิสขึ้นมาเลยค่าาา อ้ายยย
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 13-04-2017 07:08:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 30-04-2017 01:31:43
หนูธันน่ารัก ฟรานซิสก็เจ้าเล่ห์โดนใจ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ