►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59  (อ่าน 49871 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4




11


   
   “เกิดอะไรขึ้น นายดูไม่โอเค”

   “ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าตอนนี้ผมอยากจะกลับบ้าน”ผมเดินมาด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถปกปิดได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกแย่ ฟรานซิสอาจจะเข้าใจว่าผมมีปัญหากับไวท์ที่ดื่ม

   “ได้ ฉันให้คนไปเอารถมาจอดรอแล้ว”

   “อื้ม”ผมเดินไปพร้อมกับฟรานซิสและผมพยายามก้าวตามเขาให้ทัน สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ เหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคงไม่มีทางที่มันจะโผล่มา
 
   “กู ขอโทษว่ะ แต่กูจำเป็นจริงๆ”

   คำพูดเหล่านั้นและการกระทำของไอ้โชคยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม พร้อมๆ กับสร้างความอ่อนแอให้กับความรู้สึกผมตอนนี้เป็นอย่างมาก

   ณ เวลานี้ผมมันก็ไม่ได้ต่างไปจากความรู้สึกของคนที่เพิ่งอกหัก อะไรก็ตามแต่ที่มาสะกิดความรู้สึก ร่างกายมันก็จะสังการให้จิตใจของเราอ่อนแอลงทันที

   กึก!

   เท้าของผมหยุดเดินและนิ่งชะงักราวกับมันไม่ยอมทำงานประท้วงจิตใจ ผมก้มหน้างุดกัดริมฝีปากตัวเองที่กำลังสั่นพร้อมกับกลืนกินน้ำเค็มๆ ที่จู่ๆ ก็ไหลออกมาจากตาอย่างห้ามไม่ได้ ผมใช้หลังมือรีบปาดมันออกราวกับสิ่งน่ารังเกียจไม่ให้ใครเห็น ฟรานซิสที่เดินนำผมไปหนึ่งก้าวราวกับรู้ว่าผมหายไปจากข้างกายของเขา ร่างสูงจึงหยุดและหันมามองผมทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

   เสียงส้นของรองเท้าหนังก้าวมาหยุดตรงหน้าก่อนร่างสูงจะปลดเสื้อนอกของเขาออกแล้วคลุมลงบนศรีษะผม ขยับริมฝีปากพูดอะไรบางอย่าง

   “มันน่าอาย....เลิกร้องไห้ซะ ฉันจะขอเข้าใจว่านายเมาก็แล้วกัน”พูดเสร็จฟรานซิสก็คว้ามือผมโอบกุมไว้แน่นฉุดดึงผมให้เดินตามโดยไม่รีรอหรือถามความสมัครใจไปยังรถที่จอดรอท่า ผมขยับมือบางในอุ้งมือเขาเบาๆ พยายามพูดกับฟรานซิสด้วยน้ำเสียงไม่เต็มหลอด

   “ผมเดินมาเองได้...”

   เขาทำราวกับไม่ได้ยินอะไรจนกระทั่งมาถึงรถ บอดี้การ์ดคนเดิมเป็นคนเปิดประตูให้ ฟรานซิสดันตัวผมให้นั่งภายในรถก่อนที่ร่างสูงจะยืนค้ำกรอบประตูรถแล้วชะโงกหน้าลงมาพูดกับผมอีกครั้ง

   “นายกลับไปก่อน ฉันมีธุระ.....คืนนี้กลับไปที่เพนท์เฮาส์ก็แล้วกัน มันดึกเกินกว่านายจะกลับบ้านเอง ฉันจะกลับไปก็ช้าหน่อย”ประตูรถปิดลงการ์ดหน้านิ่งเข้ามาประจำภายในรถ และขับรถเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ผมมองทุกอย่างด้วยความงุนงง ไม่รู้จะถามใครว่าทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ได้แต่เอี้ยวตัวมองฟรานซิสที่ยืนสูงเป็นสง่าส่งผมจนลับสายตา แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ คลายข้อสงสัยของผมแม้แต่น้อย



   ผมกลายเป็นคนเฝ้าบ้านให้เจ้าของที่บอกว่าจะกลับมาช้า แต่ 7 โมงเช้าแล้วเข้าก็ยังไม่กลับมา ผมเลยต้องออกมาก่อนเพราะผมมีเรียน 9 โมง ก่อนไปมหาลับก็ต้องแวะบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเดินทางมาถึงบ้านตัวเอง ระหว่างทางก็มีสายเรียกเข้าจากไอ้ปอนเตือนผมเรื่องเอาแผ่นเกมส์ไปให้มันยืมด้วย ก่อนเข้าบ้านผมสังเกตเห็นจดหมายเสียบอยู่ตรงตู้รับจดหมาย ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ของตัวเองมั้ยเลยดึงออกมาดู

   กระดาษซองเอกสารสีขาวจ่าหน้าซองไม่ชัดเจน มีเพียงชื่อที่บ่งบอกได้ว่ามันเป็นของผม ผมหนีบมันเข้าไปในบ้านก่อนจะโยนลงที่นอนแคบๆ แล้วเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา จากนั้นจึงมานั่งเปิดออกดู เมื่อล่วงมือเข้าไปกลับพบกระดาษจำนวนหลายแผ่นอยู่ด้างใน ผมจึงตัดสินใจเทของข้างในออกมาทั้งหมด สิ่งที่เห็นทำผมพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งเหล่านี้คือภาพถ่ายของตัวผม รวมทั้งไอ้ปอน ไอ้บัส ไอ้จูน และน้องๆ ที่ทำงานอยู่ที่บาร์‘บิโลน’ ภาพเหล่านั้นถูกถ่ายโดยไม่รู้ตัว แถมหลังภาพยังจดรายละเอียดพร้อมวัน เวลา และสถานที่จนผมขนลุก

   ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แม้จะไม่มีโน้ตใดๆ ผมก็เข้าใจในสิ่งที่พวกมันสื่อความหมายได้อย่างดี เพราะนี่คือการข่มขู่ทางอ้อม เตือนให้ผมรู้ว่ามันจับตามองผมตลอดเวลา หากผมลีลามันจะดำเนินการทันที

   เชี่ย! ไอ้พวกเวร!


   
   ผมเดินเรื่อยเปื่อยครุ่นคิดถึงเรื่องไอ้โชคอีกครั้ง ผมตั้งใจเล่าเรื่องบังเอิญที่ไปเจอไอ้โชคให้ไอ้บัสไอ้ปอนฟัง พวกมันโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟโดยเฉพาะไอ้บัสที่แทบจะลากผมไปสถานีตำรวจให้ได้อยู่แล้ว แต่เพราะไม่รู้มันเลยไม่ผิด แต่ผมเองที่ผิดจนเกือบได้ทะเลาะกับไอ้บัสซะแล้ว ผมห้ามมันไว้ว่าเรื่องนี้ไม่อยากให้ถึงตำรวจ มันถามผมว่าทำไมทั้งที่น่าจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ผมกลับให้คำตอบมันไม่ได้นั่นคือสิ่งที่ผมแบกรับอยู่ มันหนักแต่ผมก็วางไม่ลง

   บางทีก็อยากบอกกับตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวเวรกรรมก็จะตามมันทันเอง แต่ผมก็ทำไม่ได้อยู่ดี

   “นั่นมันรถของฟรานซิส.....”ผมพึมพำคนเดียวเมื่อเห็นว่ามีรถของเขาจอดอยู่ และมีอีกคันที่จอดต่ออยู่ด้านหลัง แถมยังมีพวกการ์ดที่ยืนรออยู่ที่รถอีกประมาณ 4 คน ผมทำหน้าสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ เลยรีบเข้าไปด้านในหวังว่าจะเจอฟรานซิส

   แอ๊ะ!.....ทำไมผมถึงต้องกระตือรอร้นอยากจะเจอเขาด้วย

   ทันทีที่ผมเข้าไปข้างใน อาเธอร์ก็ยืนนิ่งสงบอยู่ใกล้ๆ กับประตู ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็รีบเก็บอาการ

   “สวัสดีครับ คุณอาเธอร์มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

   “รอบอสครับ”

   “เดี๋ยวจะออกกันไปข้างนอกอีกเหรอครับ”ทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นเวลากลับบ้านของฟรานซิสผมเลยแปลกใจ

   “ใช่ บอสต้องไปประชุมต่อที่สาขาย่อยต่างจังหวัด”ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

   “ครับ แต่ผมไม่เห็นคุณอาเธอร์หลายวัน ว่าแต่ไปไหนมาเหรอครับหรือไม่สบาย”

   “ไปทำงานให้บอสมานิดหน่อยครับ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เข้ามา นาวีเลยมาดูแลแทนในส่วนงานของผม คงได้เจอกันแล้ว”

   “ครับ เจอแล้วครับ”ผมยิ้มเฝื่อนๆ พอดีกับที่ฟรานซิสลงมาจากด้านบนเขาดูรีบร้อนราวกับทำเวลา ผมเลยไม่ได้คุยอะไรกับเขามาก

   “ไม่ต้องรอ คืนนี้คงดึกอาจจะทำอะไรนิดหน่อยเผื่อฉันจะกลับมาทาน”

   “ครับ”จบประโยคอาเธอร์ก็รีบเปิดประตูให้ฟรานซิส พวกเขาเร่งรีบเดินออกไป

   อยู่แต่ที่นี่ เมื่อไหร่ผมจะได้ในสิ่งที่เรียกว่าข้อมูลบริษัทนั่นสักที ทุกวันต้องมากังวลเรื่องแบบนี้ไม่มีความสุขเอาซะเลย

   ผมคอตกหมุนตัวจะเดินเข้าด้านใน แต่เหมือนอะไรดลใจให้ผมไปสังเกตเห็นเข้ากับซองจดหมายที่มีสัญลักษณ์ของบริษัทตกหล่นอยู่ที่พื้น ผมแน่ใจว่าฟรานซิสคงทำตกไว้ช่วงที่เขาเร่งรีบ ผมเก็บมันขึ้นมาและดูเหมือนว่าซองจะถูกเปิดออกอ่านไปแล้ว

   ความคิดบางอย่างของผมมันก็ผุดขึ้น มือของผมกำของที่อยู่ในมือแน่นราวกับช่างใจคิดว่าควรจะทำเช่นนั้นดีหรือไม่

   “.....ฮัลโหล นี่ฉันเอง”โทรศัพท์ของผมต่อสายไปยังอีกปลายสายอย่างฝืนใจ แต่ถ้าแค่เล็กน้อยแล้วมันทำให้อีกฝ่ายสงบใจขึ้นมาบ้างผมควรจะทำใช่รึเปล่า

   ขอโทษนะฟรานซิส ผมจำเป็นต้องทำ.....


   
   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มผมรู้ดีว่าไม่ควรจะรอ เขาอาจจะไม่กลับกะทันหันก็เป็นไปได้ แต่หากเขากลับมาผมจะได้อุ่นอาหารให้เขาทาน หากให้ฟรานซิสทำเองผมยังนึกภาพแบบนั้นไม่ออก มันคงจะแปลกตาไม่น้อย ยังไงตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาส่วนตัวผมอยู่แล้วยังถือว่าอยู่ในเวลางาน ไม่เป็นไรผมแค่อยากจะรอเจอเขาก็เท่านั้นอย่างอื่นคงแค่เหตุผลประกอบเสียมากกว่
   
   เวลาผ่านไปผมแทบจะนั่งฟุบหลังคาโต๊ะอาหาร แต่จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ผมดีดตัวลุกราวกับดีใจก่อนจะรีบพุ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าถึงกับทำให้ผมหน้าถอดสี

   บอดี้การ์ดสองคนและอาเธอร์ที่สภาพราวกับไปร่วมสงครามรบกับใครไม่ทราบเดินเข้ามาสีหน้าอึมครึมสุดๆ และคนที่พวกเขาประกบตัวไม่ห่างนั้นคือฟรานซิสที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและที่ผมสังเกตเห็นคือคราบเลือดสีแดงซึมอยู่บริเวณหัวไหล่ขวา แต่ทว่าเจ้าตัวกลับเดินเข้ามาราวกับไม่สะทกสะทาน ไม่มีใครต้องพยุงหรือหิ้วปีกกันมา

   “ยังไม่กลับรึไง?”ฟรานซิสเอ่ยถามและเดินตรงผ่านผมเข้าไปข้างในรวมทั้งอาเธอร์และการ์ดของเขาอีกสองคน

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงบาดเจ็บได้”ผมถลึงตามองเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูก

   “มีคนลอบทำร้ายระหว่างทางไปประชุมผู้ถือหุ้นที่สาขาย่อย”อาเธอร์ตอบผมแล้วเข้าไปช่วยฟรานซิสปลดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นร่องรอยที่บาดเจ็บชุ่มไปด้วยเลือด
 
   “พวกนายไปได้แล้ว ฉันไม่เป็นอะไรมาก”ฟรานซิสสะบัดข้อมือเป็นเชิงไล่ พวกเขาอิดออดเล็กน้อยราวกับยังห่วงเหตุการณ์

   “บอส ให้ผมตามหมอมาดูเถอะครับ”

   “แค่นี้ฉันไม่ตายหรอกนา พวกนายกลับไปพักผ่อนได้แล้วเหนื่อยกันมาทั้งวัน”

   “ครับบอส”อาเธอร์และบอดี้การ์ดอีกสองคนกลับออกไปอย่างไม่เต็มใจ ฟรานซิสมีท่าทีเหนื่อยล้าเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ผมที่ยืนอยู่ใกล้ยังรู้สึกได้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกไปตอนนี้

   ความรู้สึกผมมันกลัว กลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพราะตัวผมที่ยืนอยู่ตรงนี้รึเปล่า นอกจากเรื่องไอ้โชคแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแย่เท่านี้มาก่อนเลย การใช้ใครคนหนึ่งเป็นเครื่องมือเพื่อเอาตัวรอดมันรู้สึกแย่เอามากๆ แต่ผมไม่มีทางเลือก

   “ไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาหน่อย”เสียงทุ้มดังแหวกความเงียบทำผมสะดุ้ง ก่อนจะรีบไปเปิดตู้เอากล่องปฐมพยาบาลที่ฟรานซิสใช้ทำแผลให้ผมครั้งก่อนออกมา

   “คุณรอเดี๋ยวผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมา”ผมรีบเดินไปหยิบกะละมังใบเล็ก แต่พลาดทำของหล่นไปหลายรอบ ความกังวนกำลังเกาะกินหัวใจของผมจนไม่มีสติ คำถามที่ว่าเขาบาดเจ็บเพราะใครผุดขึ้นมาในหัวผมไม่เลิก

   “ผมจะช่วยถอดเสื้อให้”มือของผมมันสั่นจนรู้สึกได้ กว่ากระดุมแต่ละเม็ดจะปลดออกมันใช้เวลาเกินจำเป็นจนตัวผมเองอยากจะยอมแพ้

   หมับ!

   ฝ่ามือใหญ่ที่เย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็งคว้ามือผมแล้วกุมไว้แน่น ผมพยายามดึงกลับแต่ทำไม่ได้จึงเลิกต่อต้านผมเงยหน้าขึ้นมองฟรานซิส ดวงตาสีฟ้ามรกตนั่นยังเป็นสายตาคู่เดิม แต่ที่แปลกไปคือแววตาและความหมายบางอย่างที่สื่ออกมา ราวกับว่าเขาอยากจะพูดแต่กลับปฏิเสธที่จะเอ่ยมันออกมา

   เจ็บปวด.....นั่นคือความรู้สึกที่ผมรู้สึกได้ แต่ผมอาจจะคิดไปเอง

   “ปล่อยเถอะครับ คุณต้องทำแผล เลือดมันจะไม่หยุดไหลถ้าคุณยังขยับตัวแบบนี้”ผมแกะมือเขาออกแล้วช่วยถอดเสื้อเชิ้ตที่เปลี่ยนเป็นสีไม่ชวนมองผสมกลิ่นคาวคลุ้งจนผมรู้สึกได้ ผิวขาวเผือกบนร่างกายกำยำเปรอะไปด้วยคราบเลือดผมค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเบาๆ จนสังเกตเห็นบาดแผลเหมือนเป็นร่องรอยของคมมีดบาดยาวไม่ลึกมาก แต่หากคนใจไม่แข็งพอคงต้องเบือนหน้าหนี

   “คุณน่าจะไปหาหมอ ถ้าหากแผลมันอักเสบขึ้นมาคุณจะลำบาก”น้ำยาฆ่าเชื้อถูกซับลงไปบริเวณรอบๆ บาดแผลและบริเวณปากแผล ผมพยายามลงมืออย่างนิ่มนวลที่สุดในชีวิต แต่เพราะมือที่สั่นทำให้ผมทำงานได้ลำบากขึ้น

   “แค่นี้ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก ฉันไม่ชอบความยุ่งยาก”ผ้าก๊อซถูกแปะลงปิดแผลก่อนที่ขั้นตอนสุดท้ายจะเสร็จลงด้วยการติดเทปใส่เพื่อยึดผ้าก๊อซไว้กับแผล

   “เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะเอายาแก้อักเสบให้คุณกินด้วย มันจะช่วยหลังจากที่คุณตื่นมา”ผมเตรียมจะลุกไปหยิบยาและน้ำ แต่กลับถูกคนตรงหน้ากระชากตัวให้เสียหลังล้มแล้วกดผมลงกับโซฟาด้ายแขนทั้งสองข้างของเขา ผมขยับตัวดิ้นหนีแทบจะทันทีเตรียมจะโต้กลับคนตรงหน้า แต่ทว่านาทีที่ผมสบตากับฟรานซิสกลับทำให้ผมหยุดทุกการกระทำอย่างไร้เหตุผล

   ดวงตาคมจ้องมองผมราวกับอ่านใจ คิ้วหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังตั้งคำถาม ผมไม่สามารถตอบคำถามที่ไม่มีเสียงได้ ผมไม่รู้แม้กระทั่งความหมายกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันกวนใจผมไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความรู้สึกคลุมเครือเหล่านี้ด้วย

   “คุณอยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่”ผมมองตาฟรานซิสอย่างไม่หลบเลี่ยง

   “..........”

   “ถ้าคุณไม่มีอะไรก็ปล่อยผมได้แล้ว”การขยับตัวอีกครั้งของผมยังคงไม่มีความหมาย เขาไม่คิดแม้กระทั่งให้ผมออกไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ

   “คุณฟรานซิสแผลคุณเลือดมันกำลังซึม....”

   “ช่างมันฉันไม่แคร์ แต่สิ่งที่ฉันแคร์นายอาจจะยังไม่เข้าใจ.....ธัน”

   “ใช่ ผมไม่เข้าใจ”เราไม่ได้พูดคนละเรื่องกัน แต่อาจจะเป็นความหมายนัยๆ ที่ไม่ตรงประเด็น

   “ฉันเพิ่งเคยทำเรื่องที่ไม่ฉลาดเท่านี้มาก่อน นายรู้รึเปล่าว่ามันทำให้ฉันดูโง่แค่ไหน”

   “ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร”ผมรับรูถึงแรงบีบจากฝ่ามือของฟรานซิส ตอนนี้เขานิ่งไปจมผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร

   “.....ถ้าฉันทำในสิ่งที่มันชัดเจน ทุกอย่างจะเปลี่ยนไหม”

   “ช่วยอธิบายสิ่งที่คุณพูดหน่อย ผมไม่ได้ฉลากเท่าคุณ คงเขาใจอะไรเองไม่ได้”

   “ด้วยอะไร?”

   “อธิบายครับ”

   “การกระทำคงเข้าใจกว่า”

   ฟรานซิสยื่นหน้าเขามาใกล้จนลมหายใจของเรารินรดกัน ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะกดลงมาทับเรียวปากของผมจนแนบสนิท ความตกใจไม่เท่าความเกร็งกลัว ผมรู้ดีกว่าคนตรงหน้ากำลังทำอะไร และรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องทำเมิน ผมโตพอที่จะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

   “อื้อ”

   ผมครางในลำคอ เตือนคนตรงหน้าให้ล่าถอยแต่ริมฝีปากผมกลับถูกบดเบียดซ้ำๆ จนรู้สึกเห่อแดง ความรู้สึกของผมมันปั่นป่วนขึ้นมาราวกับพายุกำลังโหมกระหน่ำ และพายุที่ว่าก็คือผู้ชายตรงหน้า
 
   ความช่ำชองของเขาทำผมกลัว มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับปลายคางผมแล้วเปิดริมฝีปากให้ลิ้นอุ่นชื้นเข้าไปสำรวจด้านในจากจูบที่อ้อยอิ่งเริ่มรุนแรงขึ้น ผมตัวแข็งทื่อเมื่อฟรานซิสเริ่มรุกฆาตจนผมตกกระดาน ในสมองสั่งการให้ปฏิเสธความไม่ปกติเหล่านี้แต่หัวใจผมกลับอ่อนข้อเสียยิ่งกว่า

   ตอนนี้ผมพูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาบังคับฝืนใจผม เพราะความรู้สึก ณ ตอนนี้มันไหลไปรวมอยู่ที่คนตรงหน้าซะแล้ว ถ้าผมรู้สึกตัวช้ากว่านี้ ฟรานซิสคงไม่หยุดแค่จูบแน่

   “.....ผม ผมต้องกลับแล้ว”

   มือข้างหนึ่งของผมที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระยกมันขึ้นมาปิดหน้าด้วยความกระดากอาย ผมพูดแค่นั้นแต่เขากลับยอมปล่อยผมออกอย่างง่ายดาย ผมเลยรีบผุดลุกขึ้นรีบร้อนออกไป ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ผมไม่อยากประจานความรู้สึกตัวเองที่แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจนขนาดนี้

   ทุกอย่างมันผิดคาดไปหมด ผมกำลังดึงเชือกที่แก้ไม่ออกให้แน่นขึ้นไปอีก แล้วคราวนี้ผมจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไงดี มันยุ่งเหยิงจนผมสับสนไปหมด ทั้งความรู้สึก และการกระทำของคนบางคน



>>>> to be continued   :oni1:






มีความอนากคุยกับนักอ่าน แต่กลัวสปอยมาเต็ม ยิ่งเก็บอะไรไม่ค่อยได้ :m23:
เอาเป็นว่าขอมอบคำขอบคุณให้แทนก็แล้วกันนะคะที่ติดตามกันมาถึงตอนที่ 11
ซึ่งก็มาไกลเหมือนกัน ไม่ขออะไรมากค่ะ ถ้าชื่นชอบก็แค่สนับสนุนเป็นทุนกำลังใจ
เพราะทุกบรรทัด ทุกตัวหนังสือมาจากใจล้วนๆ เลยค่ะ
ไม่ใช่มืออาชีพใดๆ ผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัยนะคะ :m13:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านไปก็ลุ้นตลอด ฟรานซิสจะรู้มั้ย เค้าจะรู้มั้ยแกกก
โอ้ย เครียดแทนธัน  :katai1:

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เมื่อไหร่จะจับโชคได้อ้ะะะะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อยากให้ธันรีบสารภาพกับฟรานซิสเร็วๆ จัง ฟรานซิสเริ่มชัดเจนแบบนี้ ธันน่าจะรีบบอกก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้นะ

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
ฟรานซิส ต้องรู้แล้วแน่ๆ แล้วที่ร้านอาหารเพื่อตามโชคหรือเปล่า มันต้องใช่ ต้องใช่แน่ มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้  :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ฟรานซิสต้องรู้แล้วแน่เลย

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4





12



   “ไปฉลองปิดคอร์สกัน แม่งโล่งไปถึงทวารทั้ง 7”ไอ้ปอนแทบจะไถลเข่าราวกับนักฟุตบอลได้แช้มป์หลังจากออกมาจากชั้นเรียนที่เป็นวิชาสุดท้ายของเทอมนี้ งานที่พรีเซนท์กลุ่มเราค่อนข้างทำได้ดีจนอาจารย์เอยปากชม ทั้งๆ ที่เวลาจะซ้อมแทบไม่มี แต่ก็ได้ไอ้จูนช่วยไปเกินครึ่งพวกผมถึงยิ้มได้หน้าชื่นตาบาน

   “ไปร้องคาราโอเกะกัน แล้วสั่งของกินมากินด้วยวันนี้เป็นไงเป็นกันกูจะฉลองโต้รุ่งเลย”คนเดียวที่พูดไม่หยุดปากคือไอ้ปอน

   “โต้รุ่งห่าอะไร คาราโอเกะห้างสี่ทุ่มแม่งก็ปิดแล้ว สมองคิดบ้างสิวะ”ไอ้บัสแตะไอ้ปอนไปทีนึง

   “งั้นไปฉลองที่บ้านไอ้ธันดีมั้ย”ไอ้จูนเสนอความคิด ผมนี่ถึงกับตาสว่าง

   “ไม่ได้ เชี่ยเจ้าของหอแม่งได้ถีบกูออกภายในคืนนั้นแน่”มือผมยกกากบาทเต็มที่

   “นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็อย่าอึกทึกกันเกินไป ซื้อของอร่อยๆ ไปกินให้เต็มคราบเลยจะดีกว่า”ไอ้จูนเสริม ทั้งๆ ที่มันรู้สรรพคุณอิเจ๊นั่นดี ผมเกาหัวจนผมยุ่ง   

   “ถึงยังไงกูก็ฉลองกับพวกมึงไม่ได้อยู่ดี กูต้องไปทำงาน”

   “ก็ลาสักวันดิวะ ไม่เห็นจะเป็นไร มึงก็ทำงานไม่เคยได้ลามาจะเดือนนึงแล้ว”ไอ้ปอนเสริม

   “เจ้านายมึงใช่คนตัวสูงๆ หน้าฝรั่ง หล่อๆ เข้มๆ ดูท่าทางรวยเละที่กูเจอหน้าบาร์พี่เงาะใช่มั้ย”

   “เฮ้ย! หล่อเหรอวะ จริงอ่ะกูอยากเจอ!”ไอ้จูนทำตาโตเข้ามาเกาะแขน

   “อืม”

   “ไอ้จูนมึงถอยไปก่อนไป เชี่ยขัดจังหวะ”ไอ้บัสดันหัวไอ้จูนออกแล้วพูดกับผมต่อ“แล้วเค้าชื่ออะไรวะ?”

   “มึงจะถามทำไม”

   “เออ บอกมาเหอะนา”เสียงรบเร้าของไอ้บัสทำให้ผมชักรำคาญ

   “ฟรานซิส ชื่อฟรานซิสพอใจยังวะเซ้าซี้ว่ะ”

   “ไอ้เชี่ยปอน จับมัน!”

   “เฮ่! ไอ้บัสมึงจะทำอะไรวะ แม่งอย่าเล่นพิเรนทร์นะเว้ย!”ผมเหวลั่นเมื่อไอ้บัสยักคิ้วให้ไอ้ปอนที่เดินอยู่หลังผมเข้ามาล็อคแขนผมไว้ แล้วไอ้เชี่ยบัสแม่งก็เอามือมาล้วงกระเป๋ากางเกงผมหยิบเอาโทรศัพท์ของผมไป ผมสะบัดตัวหลุดจากไอ้ปอนก่อนจะวิ่งไล่เอาโทรศัพท์คืน แต่มันกลับโยนให้ไอ้จูนรับต่อ

   ผมกลายเป็นหมาชิงบอลไปโดยปริยาย

   “ไอ้จูนโทรเลย!”ไอ้บัสตะโกนบอก ไอ้จูนรับทราบและมันก็รู้ซะด้วยว่าหมายถึงอะไร แม่งนี่เตี้ยมกันมารึเปล่าวะไอ้พวกนี้!

   “ไอ้จูนมึงอย่านะเว้ย!”ผมกระโดดเอื้อมไปจะฉกโทรศัพท์คืนแต่งแม่ง ไอ้จูนรู้ทันมันเลื่อนหาอะไรสักอย่างก่อนจะกดโทรออกแล้วโยนส่งต่อให้ไอ้บัส ผมนี่วิ่งจนลิ้นแทบห้อย

   “หยุดเลยไอ้ธัน กูโทรติดแล้ว ฮ่าๆ”มันหัวเราะอย่างสะใจยื่นขึ้นบนโต๊ะหินอ่อนแล้วรออะไรบางอย่าง

   “ไอ้บัสมึงนี่แสบชิบหาย!”ผมใช้นิ้วชี้มัน มืออีกข้างก็เท้าสะเอวก้มตัวลงหายใจถี่เพราะหอบแดก

   “ครับฮัลโหล....อ่า ผมเพื่อนของธันครับ พอดีอยากจะขออนุญาตให้ไอ้ธันลา 1 วันนะครับ พวกเราอยากจะชวนหมอนั่นไปฉลองปิดคอร์สครับ คะครับ ขอบคุณครับ”

   “เป็นไงมั่งวะ โอเคมั้ย”ไอ้ปอนเผยอปากรอคำตอบ   

   “ไม่.....ไม่โอเคได้ไงวะ! วู้ววววว! ไปฉลองกัน”ไอ้บัสโยนโทรศัพท์คืนให้ผมแล้วหนีบคอผมใต้รักแร้ลากไป

   “กินอะไรดีวะ มื้อนี้กูเลี้ยงน้ำแข็ง”

   “มึงไม่บอกว่ากูขอแดกฟรีเลยล่ะไอ้จูน!”

   “กูรอคำนั้นอยู่เหมือนกัน”

   “ส้นตีนเหอะมึง!”

   “แล้วนี่พวกมึงตกลงไปไหนกันวะ”ผมมุดหนีออกมาจากใต้รักแร้ไอ้บัสแล้วทวงถาม

        “หอมึงไง!”สามเสียงประสานกันเป็นหนึ่งเดียว แล้วผมจะทำไงได้.....ก็เต็มที่สิวะ!

   ผมรู้ดีว่าผนังกันระหว่างห้องของหอที่ผมอยู่มันบางแค่ไหน แต่ก็โชคดีที่ห้องข้างๆ กลับต่างจังหวัดไปวันนี้ และห้องผมก็อยู่ริมสุดทางเดินเลยไม่มีปัญหา แต่อยู่ที่ว่าไอ้พวกนี้มันจะแหกปากลั่นทะลุลงพื้นไปถึงห้องด้านล่างรึเปล่านี่สิ

   “เพื่อความบันเทิง เอางี้ แม่งมาเล่นเกมส์สนุกๆ กันดีกว่า”ไอ้ปอนเสนอไอเดียในขณะที่ผมกำลังกระดกเบียร์กระป๋องเข้าปาก ผมรับรองได้ว่าคืนนี้ไม่มีเมาหัวราน้ำแน่ๆ แต่แค่พอกึ่มๆ

   “เกมส์เชี่ยไรของมึงวะไอ้จูน ไม่เอาเกมส์เศรษฐีตอนนี้นะเว้ย ไม่งั้นกูล้มกระดานคว่ำแน่”มือของผมเอื้อมไปหยิบเอาสับปะรดเข้าปาก เตรียมถลกแขนเสื้อ

   “งั้นเอาเกมส์ปาขวด!”

   “มึงวิ่งไปงานวัดโน่นไป เสียเงินเรียนปริญญาจริงๆ แม่งไอ้ปอน”ไอ้บัสสวดยับ

   “พวกมึงไม่ต้องคิดกูคิดมาเรียบร้อยแล้ว”ไอ้จูนยักคิ้วอย่างมีเลศนัย ทำผมขนลุกเกรียว

   “เชี่ย! อย่าบอกนะว่าเกมแพ้แล้วถอด กูไม่เล่นนะเว้ย!”ไอ้จูนเคยเสนอให้พวกเราเล่นเกมส์นี้ตอนหลังรับน้องนานมาแล้ว โดยมันบอกว่ามันจะเป็นกรรมการ แล้วอะไรคือความยุติธรรมถามใจดู

   “เออ! กูเลิกล้มความตั้งใจนั้นไปนานแล้ว วันนี้กูมาเสนอเกมส์ใหม่ รับรองสนุก”

   “บอกให้ไว”ผมเร่งมัน กดดันเชี่ยๆ

   “เกมส์พระราชา โฮ๊ะๆ”

   “ไม่เอากูเบื่อ”

   “มึงเบื่อหรือมึงป๊อดไอ้ปอน”

   “ไม่ป๊อดเว้ย!”

   “แน่จริงมึงอย่าหลบตา”

   ใครๆ ก็เคยได้ยินกิติศัพท์คำสั่งช่างโหดร้ายและทารุณของไอ้จูนมาก่อน โดยเฉพาะผมสามตัวที่เคยโดนมาแล้ว ถ้าจำได้งานวันเกิดพี่ตั้มพี่รหัสผม คนที่ทำให้ผมเมาจนจะกระโดดอ่างปลานั่นคือไอ้จูนนั่นเอง ผมจำได้เพราะเกมส์พระราชานี่แหละที่ผมถูกกรอกปากด้วยเหล้าเกือบครึ่งขวดกับเบียร์อีกหลายแก้ว ใครๆ ก็รู้ว่าไอ้สองอย่างนี้มันตีกันแล้วจะเป็นยังไง

   “ถึงคนจะไม่เยอะเท่าครั้งก่อน แต่ก็พอถูไถ”ไอ้จูนสะบัดมือยืดเส้นหักกระดูกนิ้วกรอบแล้วเตรียมแก้วเปล่าที่มีกระดาษม้วนเตรียมมาอย่างดี

   “กูขอหยิบก่อน”ไอ้ปอนร้องขอ

   “ไม่ได้กูจะหยิบก่อน”ผมแทรกขึ้น มือผมกับไอ้ปอนต่อสู้กันกลางอากาศ แต่ระหว่างนั้นก็มีบางอย่างมาขั้นรายการจนคนทั้งวงสะดุ้ง นั่นคือเสียงเคาะประตูสามครั้งติดกันถึงจะได้

   “ไอ้ธัน อีเจ๊มึงรึเปล่าวะ!”ไอ้บัสถอยกรูไปติดผนัง

   “กูจะไปรู้เหรอวะก็อยู่ด้วยกัน มึงไปเปิดดิ๊ไอ้ปอน”

   “เชี่ย! กูใช่เจ้าของห้องมั้ย มึงนั่นแหละไปเปิด”มันใช้ตีนถีบผมให้ลุก ผมเลยต้องลุกขึ้นอย่างจำยอม

   “กูบอกแล้วว่าพวกมึงอย่าเสียงดัง ไม่เชื่อ”

   “กูว่ามึงนั่นแหละดังสุดไอ้จูน”ผมยกมืออยากจะโบกหัวไอ้จูนสักที แต่ติดตรงที่ต้องไปเปิดประตู เพราะเสียงเคาะมาระลอกที่สองแล้ว ผมก็ใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เดินไปเตรียมตัวโดนเฉ่งสุดฤทธิ์ แต่พอเปิดประตูออกเท่านั้น ยิ่งกว่าเจออีเจ๊ปากผีนั่นอีก

   ช็อคสิครับเล่นเจอแบบนี้! มาได้ไงเนี้ยใครจุดธูปเชิญบอกผมที?

   “ฟรานซิส! คุณมาที่นี่ได้ไง?”

   “สวัสดีค่ะฉันเป็นเพื่อนไอ้ธันชื่อจูน”แล้วจู่ๆ ไอ้จูนที่เมื่อกี้แทบจะหารูมุดหนี กลับมายืนด้านหลังผมแนะนำตัวต่อหน้าฟรานซิสซะดิบดี แล้วกระซิบถามผมอย่างตื่นเต้น แถมกระตุกเสื้อผมยิกๆ จนผมสั่นเป็นเจ้าเข้า

   “.....ไอ้ธันใครวะ ตอบมาอย่ารำไร”

   “เจ้านายกูเอง”

   “โอ๊ะเจ้านาย! ดีเลยถ้าไม่รังเกียจห้องแคบๆ ก็เชิญข้างในก่อนนะคะ พวกเรากำลังจะเล่นเกมส์กันพอดีเลย มีคนเล่นเพิ่มก็จะยิ่งสนุก ใช่มั้ยไอ้ธัน”

   หาพวกทำซากอะไรวะไอ้จูน! การที่คนอย่างฟรานซิสมาที่นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกตินะเว้ย! ผมอยากตะโกนใส่หนังหน้าไอ้จูนแทบขาดใจ

   “ไอ้....ไอ้จูน!”ผมแทบอยากจะลงไปนอนดิ้นบนพื้นเมื่อไอ้จูนแม่งเกาะแขนฟรานซิสแล้วจูงเขาไปนั่ง เชื้อเชิญซะดิบดีราวกับเจ้าของห้อง ไม่แกรนถึงกับแดกสมองผมไปข้างนึงเลยก็ว่าได้

   แล้วนั่นอะไร ฟรานซิสก็เหมือนจะไม่ปฏิเสธอาจจะมีท่าทีเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างแต่ก็ยอมให้ไอ้จูนลากลงนั่งกับพื้น ซึ่งผมคิดว่าเขาคงไม่เคยทำแบบนั้นแน่ๆ และมันก็น่าจะผิดประเด็นที่เขาเหยียบย่างมาที่นี่แน่นอน ฟันทิ้ง!

   และดูจากการแต่งกาย ถึงเขาจะปลดสูทออกแล้วแต่คราบความเป็นตัวของเขาไม่ได้จางหายไปไหนเลย ส่วนไอ้บัสไอ้ปอนก็นั่งตัวเกร็งเป็นตอผุด ผมรู้ว่ามันคงจะทำตัวไม่ถูก ผมจำใจที่จะต้องไปนั่งร่วมวงที่มีสมาชิกจากต่างดาวเพิ่มมาอีกคน

   เหมือนรึไม่เหมือนก็ดูเอาเองเถอะ พวกผมสามคนเหมือนเห็บตัวลีบๆ ที่ไม่ได้กินเลือกมาแรมปีกับผู้ชายคนนั้นที่มีออร่ายิ่งกว่าเจ้าชายเสียอีก เราเหมือนมาจากคนละโลก

   “ไอ้บัส มึงไปบอกอะไรเขารึเปล่าตอนโทร”ผมกระซิบพยายามไม่ส่อพิรุท

   “กูเปล่านะ แค่บอกว่ามึงจะขอลามาปาตี้ที่บ้านมึงเฉยๆ กูมีเวลาเชื้อเชิญเจ้านายมึงที่ไหน และไม่มีทางจะชวนมาด้วย”

   “เอาล่ะๆ คราวนี้เราก็ได้สมาชิกใหม่มาเล่นเกมส์เพิ่มแล้ว วันนี้มีความสุขที่สุดเลย”สายตามุ้งมิ้งฟรุ้งพริ้งของไอ้จูนทำผมจะอาเจียนmทุกครั้งที่มันพยายามจะส่งสายตาให้ฟรานซิสที่นั่งอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งนั่งแท่นเป็นเปาปุ้นจิ้น

   “ไอ้จูน!”ผมเหวใส่มันให้มันหยุดเรื่องยุ่งๆ แต่ผลเป็นไงก็น่าจะรู้

   “คุณฟรานซิสคะ ยินดีจะเล่นเกมส์เล็กๆ น้อยๆ กับพวกเรามั้ยคะไหนๆ ก็มาแล้วจะกลับเลยก็เสียเที่ยวแย่ ถือว่าเป็นการผูกสัมพันธ์สวาท เอ้ย! สัมพันธไมตรีกับพวกเราก็แล้วกันนะคะ”ไอ้จูนหันไปพูดกับฟรานซิสเป็นวรรคเป็นเวร

   ตั้งแต่ไอ้จูนวิสาสะลากเขามานั่ง ฟรานซิสก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักประโยคเดียว ใบหน้าที่ดูนิ่งเรียบกับสายตาคมกริบก็จ้องมองมาที่ผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจู่ๆ เขาจะมาที่นี่เพื่ออะไร หรือมีธุระอะไร แต่ผมพูดได้อย่างเดียวว่าเขามาผิดเวลาแล้วล่ะ งานการเสียหายก็คราวนี้แหละครับ!

   “ก็เอาสิ ฉันก็ไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน”ฟรานซิสระบายรยิ้มอ่อนๆ ถึงกับทำให้ผมลอบมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ

   “ดีเลยค่ะ เรากำลังเล่นเกมส์พระราชา คนที่เป็นพระราชาจะสามารถสั่งหมายเลขที่ต้องการ 2 หมายเลขเพื่อทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อแม้ หรือโต้แย้งใดๆ ถ้าทำไม่ได้ ก็จะโดนลงโทษโดยการ.....”ไอ้จูนเว้นคำพูดแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“…..เต้าระบำจ้ำบ๊ะให้คนอื่นดู ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ”ไอ้จูนกระดี๊กระด้า ส่วนผมหน้าอาลัยยิ่ง

   “ไม่เอา! บ้าบอ”ผมแย้ง

   “แต่กูว่าน่าสนุกวะ”ไอ้ปอนท่าทางจะถนัดเต้นมันเลยยกมือเห็นด้วย

   “กูคิดว่ากูทำได้อยู่แล้ว”

   “เอาล่ะ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรี ขอให้คุณฟรานซิสเป็นคนหยิบก่อนนะคะ”

   สีหน้าดูมีความสุขจนล้นของไอ้จูนกำลังทำผมเครียดหนัก ฟรานซิสหยิบแล้ว แล้วก็ตามมาด้วยไอ้ปอน ไอ้บัส ไอ้จูน และเศษสุดท้ายก็เป็นของผม ผมคลี่กระดาษแผ่นเล็กออกอย่างลุ้นระทึก และก็พบกับตัวเลขสีแดงที่เขียนลายมือไอ้จูนเป็นเลข 2 ก่อนที่ผมจะม้วนกลับใส่ลงไปในแก้วทำตัวนิ่ง ผมแอบลอบมองฟรานซิสลุ้นในใจว่าเขาจะได้อะไร จนลืมไปว่าเขาไม่ควรจะมานั่งอยู่ตรงนี้

   มันแปลกเกินไป!

   “ใครได้พระราชาแสดงตัวด่วน!”ไอ้จูนหน้าเหวี่ยงโยนกระดาษใส่แก้วกลับ

   “กูเองแหละโว้ยยยย!”ไอ้ปอนดีใจลุกขึ้นกระโดดออกลาย “คำสั่งพระราชา ข้าขอเลือกหมายเลข 1 กับหมายเลข 4 ให้ทั้งสองคนปั่นจิ้งหรีคนละสิบรอบ! แล้วดื่มนี่หมดกระป๋อง แต่มีข้อแม้ว่าต้องใส่ไอ้นี่ลงไปด้วย”ไอ้ปอนคว้าขวดน้ำจิ้มไก่สูตรแม่ประณามญาติแม่ปราณี ขึ้นมาแล้วกรอกลงกระป๋องเบียร์หน้าตาอำมหิต

   “จะอ้วกว่ะ! อย่าให้ทีกูมั่งนะ!”ไอ้จูนโวยก่อนที่ไอ้บัสจะลุกขึ้น

   “กูบอกได้คำเดียวว่ามึงสองคนคือชายหญิงคู่แรกเยี่ยงอดัมกับอีฟที่กินเบียร์หวานสูตรน้ำจิ้มไก่”ผมหัวเราะกุมท้องมองหน้าสองคนอย่างสนุก

   “กูจะเอาให้อ้วกเต็มห้องมึงเลย”ไอ้ชีหน้าอาฆาตผม

   “อย่านะเว้ย ไม่งั้นกูเก็บค่าทำความสะอาดแน่!”ผมหัวเราะเสียเพลินจนบังเอิญหันไปสบตาเข้าให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฟรานซิสมองผมตรงๆ และไม่หลบตา ทำให้ผมถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเอง เพิ่งระลึกได้ว่ามีฟรานซิสนั่งอยู่ด้วย

   จะมานั่งจ้องหน้าทำไมเนี้ย! อึดอัดชะมัด แถมมาโดยไม่ได้เชิญและไม่บอกกล่าวใดๆ เขาทำผมอึ้งเอามากๆ

   หันมาเล่นเกมต่อ....หลังจากหมดยุคไอ้ปอนขึ้นครองบัลลังค์ ต่อมาก็ถึงยุคของผม และผมก็สั่งให้หมายเลข 2 และ 3  ผลัดกันป้อนน้ำให้กันโดยการเอาตีนคีบแก้วให้หมายเลข 3 ทำเอาผมล้มลงนอนเพราะอดกลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อไอ้จูนโดนคำสั่งเป็นรอบที่สอง ส่วนคู่หู่ดูโอ้ของมันยังไม่พ้นไอ้ปอน ไอ้บัสกับฟรานซิสหลุดรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ในรอบนี้ ส่วนผมก็โชคหล่นทับ

   “ไอ้เชี่ยธันมึงทำร้ายกู”ไอ้ปอนโวยลั่น

   “แค่คิดกูก็จะอ้วกแล้ว แม้งไอ้ปอนมันขึ้นชื่อลือชาเรื่องตีนเน่าเป็นของดี 1 ตำบน 1 ผลิตภัณฑ์มึงก็รู้”ไอ้จูนบีบจมูก

   “งั้นมึงก็ยอมโดนลงโทษตามกฎที่มึงสร้างแล้วกัน”ผมยิ้มเยาะอย่างได้ใจ และไม่คิดว่าไอ้ทั้งสองตัวมันจะทำได้จริง ไอ้จูนถึงกับวิ่งโร่ไปหาห้องน้ำทันทีที่เล่นเสร็จ ผมกับไอ้บัสหัวเราะน้ำตาไหลพราก ผมลอบมองไปทางคนตัวโตข้างๆ อีกครั้งก็เห็นว่าเขากำลังหัวเราะเบาๆ กับเหตุการณ์เหล่านี้ ผมทึ่งไปครูหนึ่งเพราะไม่เคยเห็นภาพแบบนั้นมาก่อน

   “พวกนายดูสนิทสนมกันดี”อยู่ๆ ฟรานซิสก็พูดขึ้นในขณะที่ไอ้จูนไล่เตะไอ้ปอนเพราะแค้นเคืองเรื่องกลิ่นเกินกฎหมายกำหนดส่วนไอ้บัสก็เข้าไปห้ามทัพ

   “อืม ก็เพราะพวกเราช่วยเหลือดูแลกันมาตลอดก็เลยสนิทกัน และทุกคนก็ดีกับผมมากๆ ด้วย”ผมยิ้มแล้วมองภาพตรงหน้า ราวกับเก็บทุกรายละเอียดของความทรงจำดีๆ

   “นายมีเพื่อนแค่นี้เหรอ”

   “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ แค่เพื่อนแท้เท่านั้นที่ผมต้องการ”

   “ฉันคิดว่านายชอบที่จะทำอะไรด้วยตนเองซะอีก”ผมถึงกับสะอึก ลอบหันไปมองฟรานซิสที่สายตายังจดจ้องกับความชุลมุนตรงหน้า

   “ไม่มีใครที่จะพึ่งคนอื่นไปได้ตลอดหรอกจริงมั้ยครับ”

   “นั่นสินะ.....แต่มีใครเคยบอกมั้ย ว่าเพื่อนของนายตอนนี้ เสียงดังมาก”ฟรานซิสหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม และนั่นถึงกับทำให้ผมผุดลุกขึ้นไปหิ้วปีกไอ้สามตัวที่ตีกันนัวให้กลับคืนสู่ความสงบ เพราะหากเสียงดังมากกว่านี้รับรองว่าคนที่เคาะประตูรอบสองไม่พ้นเจ๊แน่ๆ

   พอผมลากพวกมันกลับมานั่ง ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะสิ้นสุดแล้ว แต่กลับไม่เลย!

   “คราวนี้กูขอจับก่อนบ้าง”มือยาวๆ ของไอ้บัสล้วงไปจับคนแรก ก่อนที่ความไม่เป็นลำดับจะเกิดขึ้น ตอนนี้ต่างคนก็ต่างรีบจับเพราะหวังให้ตัวเองได้เป็นพระราชา และกระดาษม้วนอันสุดท้ายที่ดูยับยู่ยี่เหลือรอดจากสงครามแย่งชิงก็เป็นของฟรานซิสไปโดยปริยาย เขาไม่พูดอะไรเมื่อหยิบมาก็คลี่ออกอย่างระมัดระวัง ผมว่าเขาคงเขาใจกติกาการเล่นขึ้นมาบ้างแล้ว และดูจากคำสั่งพระราชา ผมว่าเขาคงจะรู้สึกหวาดๆ บ้างล่ะนา ถึงจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ชวนพิสมัยเลย

   “กรี๊ดดดด! ในที่สุดก็มีวันนี้”ไอ้จูนกรีดร้องน้ำตาซึมเอามือปิดปาดตัวเองราวกับนางงามได้มงกุฎ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นพระราชา พวกผมที่เหลือถึงกับหน้าถอดสีไอ้บัสสะกิดผมรัวๆ

   “เอาดีๆ นะเว้ย”

   “ฮึๆกลัวอะไรว้า.....ก็แค่เกมส์”ไอ้จูนลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มฆาตกรมาให้ผม

   แม่งหน้ามันอย่างโหด!

   “คำสั่งต่อไปนี้ ในฐานะพระราชา ข้าขอสั่งให้หมายเลข.....”




>>>>>to be continued  :bye2:



**วันนี้เลขสวย ตอนที่ 12 วันที่ 12 เวลา 12.20
สุขสันต์วันแม่นะคะ
  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2016 22:10:23 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จูนจะสั่งให้ทำอะไรเนี่ยยยย

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลุ้นนน   :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
ตบเข่าป๊าบ น่านไงฟรานซิสรู้เเล้วจริงๆด้วย
จูนต้องให้จูบแน่เลย กรี๊สสสสสส :hao6:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
สนุกดีคะ มาต่อบ่อยๆ นะคะ ^^

ออฟไลน์ tnkgif

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กรี๊ดดดดด มาต่อเร็วๆน้าาา   :impress2: :impress2: คำสั่งจะเป็นให้บอสจูบธันรึป่าว 55555555555555 แต่คงจะพิศดารกว่านั้นเยอะ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
หูยยยย ค้างอ่าาาาา. จูนจะสั่งอะไรเนี่ย อยากรู้มากก

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
ตอนนี้ปล่อยไม่มีกั๊กค่ะ ยาวมากกกกกก :katai4:
สมแก่การรอคอยแน่นอนค่ะ











13




   “อย่าพิรี้พิไรไอ้จูน รีบบอก กูสั่นยันขาแล้ว”ไอ้ปอนหายใจลึกเข้าออกจนน่าสมเพช

   “ฮึๆ กลัวล่ะซี๊!!! เอาเป็นว่า ขอสั่งให้หมายเลข 1 ป้อนน้ำแข็งหมายเลข 3 อ๊ะๆ อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ แค่น้ำแข็งมันเบบี๋เกินไป แต่วิธีการป้อนก็คือ.....ป้อนด้วยปากนี่แหละค่ะ ชะนีจะรอดู”ไอ้จูนจีบปากจีบคอรอดูความบัดสีและความอับอายของพวกเราอย่างเต็มที่

   แผ่นกระดาษแผ่นเล็กที่มีหมายเลขสีแดงเลข 1 ร่วงลงกับพื้น ผมหันไปค้อนไอ้จูนที่คิดเรื่องพิเรนๆ แบบนี้ขึ้นมา

   “มึงบ้าแล้วรึไง ที่นั่งหัวโด่กันนี่ผู้ชายทั้งนั้น”

   “ถ้ามีผู้หญิงกูจะกล้าไหมล่ะ นี่ตกลงเป็นมึงใช่มั้ย ฮ่าๆ กูไม่สนนี่เป็นคำสั่ง”ไอ้จูนสะบัดหน้าหนียิ้มหน้าระรื่นอย่างสะใจ แล้วตกลงอีกคนคือ.....

   “กูเอง.....”ไอ้บัสนั่งหน้าตึงโยนกระดาษแผ่นสีขาวที่มีหมายเลข 3 ลงกลางวง ผมมองหน้าไอ้บัสตาปริบๆพลันรู้สึกถึงความเย็นวาบที่แผ่นหลังทั้งที่น้ำแข็งผมก็ยังไม่ได้อมแม้แต่ก้อนเดียว

   “อุต๊ะ ช่างพอดิบพอดี สนิทกันอยู่แล้วนี่(เสียงสูง) แค่นี้ชิวเอาท์มากค่ะ เร็วๆ เลยอย่าลีลาท่ามากหรือแค่นี้ป๊อดค่ะ ไอ้ปอนเตรียมเพลงรอค่ะ เราจะชมชุดการแสดงเต้นจ้ำบ๊ะฉบับเปลื้องผ้ากัน”

   “เออๆ ก็ดีกว่าเต้นบ้าบอนั่นพันเท่า มาไอ้บัส…..อูอ้อมแอ้ว(กูพร้อมแล้ว)”ผมตัดสินใจคว้าน้ำแข็งก้อนที่พอดีปากเข้าอม กวักมือเรียกไอ้บัสมือหยอยๆ  พยายมจะทำให้มันเสร็จๆ ไอ้ปอนกับไอ้จูนก็ลุ้นชิดติดขอบสนาม

   ผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่ามันพิเรนท์ไปแต่ถูกเย้ยขนาดนี้ผมก็ไม่ทนเหมือนกัน

   และในช่วงวินาทีที่ผมคาบก้อนน้ำแข็งเตรียมป้อนให้อีกฝ่ายตามเสียงเชียร์จู่ๆ ก็มีมือปริศนามากระชากตัวผมกลับไปทางด้านหลังรั้งใบหน้าของผมให้เงยขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยริมฝีปากหยักที่เข้ามางับเอาน้ำแข็งจากปากผมไปและคนที่วิสาสะขโมยน้ำแข็งจากปากผมไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

   ผมจะไม่เดือดเท่ากาต้มน้ำร้อนเลยถ้าหากฟรานซิสแค่ทำลายกติกาของเกมในรูปแบบปกติ แต่นี่เขาเล่นเลยเถิดชนิดที่เปลี่ยนบรรยากาศรื่นเริ่งเป็นร้อนรุ่มให้ผมได้ภายในพริบตา ไม่เพียงแค่ฉกชิงน้ำแข็งไปเปล่าๆ แต่ร่างสูงนัยตาพราวระยับกลับแกล้งอ้อยอิ่งกดชิดริมฝีปากของเขาแนบสนิทบนเรียวปากของผมที่ชะงักค้างรากับถูกน๊อค

   ซ้ำร้ายในชั่วพริบตาเดียวแล้วฟรานซิสก็เริ่มขยับริมฝีปากส่งผ่านก้อนน้ำแข็งเย็นวาบที่เพิ่งขโมยไป กลับคืนผมด้วยลิ้นเย็นสู่ภายในปากของผมอย่างชำนาญ ก่อนจะฉวยโอกาสเล็มเลียริมฝีปากของผมอย่างจริงจังจนผมสะดุ้งเฮือกแล้วรีบผลักไหล่ฟรานซิสออกดีดตัวลุกนั่งอย่างตื่นตระหนก ไอ้สามตัวที่เป็นสัขขีพยานนั่งมองตาค้างตัวเป็นหินราวกับจ้องตาเมดูซ่า

   “ขอโทษที่ฉันต้องไปแล้ว ขอโทษที่อยู่เล่นเกมส์กับพวกนายต่อไม่ได้.....แล้วขอบคุณสำหรับเกมสนุกๆ”ฟรานซิสลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบใกล้ๆ กับหูผมราวกับมีความลับ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำผมวูบวาบไปทั้งตัว “พรุ่งนี้เจอกัน ไว้คุยธุระของเราวันหลัง”

   ฟรานซิสเหมือนทิ้งระเบิดตูมใหญ่ไว้ที่นี่แล้วจากไป พอแผ่นหลังเขาลับกรอบประตู ภาพที่ถูกหยุดไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนจะเอะอะโวยวาย และยุ่งเหยิงไปกว่าเดิมพันเท่าโดนเฉพาะไอ้จูน

   “อ๊ากกกก! ไอ้เชี่ยธันทำแบบนี้มึงบีบคอกูเถอะ!!!”ไอ้จูนดิ้นพรากทั้งช็อคทั้งอึ้งในหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกัน อย่าว่าแต่ไอ้สามตัวนั้นเลย ผมเองก็จะแย่อยู่แล้เหมือนกันโว้ยยยยย!

   “ไอ้ธัน มึงโดนเมื่อกี้ถึงกับไม่สบายเลยเหรอวะ แม่งหน้าแดงจะระเบิดอยู่แล้ว”ไอ้ปอนเอามือมาโอบหน้าผมส่งสายตาวิตกกังวน

   “ไอ้ธัน มันเกิดอะไรขึ้นวะ เจ้านายมึงกับมึง.....กูคิดไม่ถึงเลยว่ะ!”ไอ้บัสขยุ้มคอเสื้อผมเขย่าตัวผมราวกับบ้าคลั่ง

   “กูว่าแล้วว่าทำไมสายตาเจ้านายของมึงถึงได้มองมึงแปลกๆ แถมยังนั่งจ้องมึงไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว แล้วยิ่งรังสีที่มองไอ้บัสกับมึงตอนนั้นนั้น อย่าให้กูบรรยาย”ไอ้ปอนทำท่าสยองทึ้งผมตัวเองอย่างกับคนประสาท

   “พวกมึงกลับไปได้แล้ว ตอนนี้กูจะปิดห้องแล้ว กูไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น กูง่วง กูมึน กูจะนอน!!!!”ผมดันพวกสามตัวให้เก็บข้าวเก็บของกลับออกไป เพราะตอนนี้ผมเองก็ไม่สามารถพูดอะไรหรืออธิบายอะไรได้ทั้งนั้น เหตุการณ์ฟ้าผ่าแบบนี้มีแต่ตายกับตาย

   “ไอ้ธัน! นี่มึงมีซัมติงกับคุณฟรานซิสสุดที่รักของกูเหรอวะ!”ไอ้จูนโถมมาแทบจะทับผม

   “ไปกันใหญ่แล้วพวกมึง กูไหว้ล่ะ พวกมึงกับไปสงบสติอารมณ์ก่อน!!!”ผมมองซ้ายมองขวากับประโยคคำถามและข้อสรุปของไอ้สามคนที่รัวมาหาผมอย่างกับห่าฝน จนผมอยากกระโดดหน้าต่างหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย

   “ทำไมคนดีๆ อย่างคุณฟรานซิสถึงไม่แม้แต่หันมามองกูเพราะมึงนี่เองไอ้ธัน!”

   “ที่มึงแปลกๆ ช่วงนี้เพราะแบบนี้นี่เองใช่มั้ย มึงกำลังมีความรักเหรอวะ”

   “แบบนี้มึงก็กำลังจะมีแฟนแล้วดิ แล้วพวกกูล่ะ”ไอ้ปอนตีอกชกตัว

   “แล้วเค้ากระซิบกระซาบอะไรกับมึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ!”

   อยากจะบ้าตาย! ใครก็ได้เอาไอ้พวกนี้ไปฝังกลบที!




   ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งลมแดดอยู่ในภาวะสงบ ร่างสูงใหญ่สง่าก้าวออกมาจากห้องทำงานตามติดมาด้วยนาวีและอาเธอร์ที่เดินอยู่เบื้องหลัง ก่อนถึงลิฟท์อาเธอร์รีบเดินนำและทำหน้าที่กดลิฟท์ให้ผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่ ทั้งสามคนยืนอยู่หน้าประตูลิฟท์ก่อนที่ความเงียบจะถูกทลายลงด้วยเสียงพูดของนาวี

   “คราวนี้เราแจ้งกับผู้ถือหุ้นให้มาประชุมที่บริษัทแม่ เรื่องความเห็นในการวางแปลนออกแบบรีสอร์ทบนเกาะจันทร์ฉายที่เรากำลังจะเซ็นต์สัญญาเอกสารสิทธิ์ แต่ตอนนี้เรามีปัญหากับเจ้าของเดิมซึ่งมีท่าทียึกยักขึ้นมา ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงวันเซ็นสัญญาแล้ว เราจะบอกกับพวกเขาว่ายังไงดีครับ”นาวีถามปัญหาที่คาใจ เมื่อเรื่องราวไม่ได้ราบรื่นตามที่คิดกันไว้ เหมือนทุกอย่างถูกป่วนอยู่เบื้องหลัง

   “ทุกอย่างจะเรียบร้อย พวกนายแค่ทำตามคำสั่งฉันก็พอ ตอนนี้เราแค่เล่นไปตามเกมที่ควรจะเป็น เราไม่ได้เป็นรองแต่เราเหนือกว่า คลื่นที่ซัดกระทบหาดยังไงก็ต้องไหลกลับสู่ทะเลอยู่แล้ว”

   “ครับ”

   “บอสเป็นอะไรรึเปล่าครับ”อาเธอร์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวลเมื่อสังเกตเห็นฟรานซิสยกมือขึ้นกุมไหล่ขวาและมีสีหน้าแปลกไป

   “ไม่เป็นไร”

   “บอสน่าจะไปหาหมอนะครับ แค่ทำแผลจะพออะไร”นาวีเสนอความคิดเห็น

   “ใช่ครับ บอสไม่ควรจะฝืน เสร็จจากประชุมผมจะพาบอสไป.....”

   “พวกนายอยู่เฉยๆ ก็พอ ขอบใจที่เป็นห่วงแต่ฉันไม่เป็นไร”ฟรานซิสปฏิเสธความหวังดีของทั้งสอง ไม่ใช่จะหักหาญน้ำใจแต่แค่นี้เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โตและเสียเวลาเปล่าๆ ในเมื่อเขาเองก็มีพยาบาลจำเป็นส่วนตัวที่เต็มใจจะให้ทำแผลอยู่แล้ว
 
   “ผมไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้บอสอารมณ์ไม่ดีหรอกนะครับ.....แต่ว่า เมื่อไหร่เรื่องวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนที่บอสต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงจะจบลงสักที ผมไม่อยากรอที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างใจเย็นอีกกับคนที่คิดไม่ซื่อกับบอส!”

   “ฉันไม่อยากได้ยินใครท้วงเรื่องนี้อีก”เสียงสั่งอย่างเฉียบขาดหยุดทุกความคิดและคำพูดของนาวี ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ฟรานซิสมักจะลดความสำคัญของตัวเองลงไปด้วยเหตุผลบางประการอย่างที่ไม่เคยเป็น

   “แต่ว่าบอสครับ…..”

   “นาวี.....นายกลับไปทำงานที่ห้อง เรื่องประชุมวันนี้อาเธอร์จะช่วยฉันเอง”ฟรานซิสเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะก้าวออกมาจากลิฟท์ นาวีไม่ได้ตามออกมาด้วยเพราะนั่นเป็นคำสั่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ชายหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าบอสของเขาคำไหนคำนั้น ทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุผล แต่เหตุผลบางอย่างชายหนุ่มเองก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

   “.....มีข่าวคืบหน้าจากสายของเรารายงานมาครับ”อาเธอร์เบาเสียงลงราวกับเสียงกระซิบ

   “ว่ามา คนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรต่อไป”เจ้าของร่างสูงสง่าหยุดก้าวเดินพลางจัดการกับเนคไทด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตาคมจ้องมองไปด้านหน้าแต่ความสนใจกลับอยู่ที่คำตอบของอาเธอร์

   “เป้าหมายของพวกมันคือ.....”



   ปึก!

   ทันทีที่ข้อศอกของผมกระแทกไปโดนกองหนังสือบนโต๊ะของฟรานซิสหล่นลงกับพื้น หัวใจของผมแทบจะวาย ผมกำลังวุ่นอยู่กับการรื้อคนอย่างถือวิสาสะราวกับโจรขโมยในที่ที่ฟรานซิสหวงนักหนา แฟ้มเอกสารที่เรียงอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานยังถูกผมเปิดไปได้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด เอกสารมากมายเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจทำให้ผมรู้สึกเวียนหัว บวกกับเวลาที่กระชั้นชิดผมทำอะไรได้ไม่มาก แล้วยิ่งเป็นภาษาอังกฤษที่ผมไม่ถนัดยิ่งต้องใช้เวลาเกือบสองเท่า

   “อยู่ไหนนะ ให้ได้สักนิดก็ยังดี”ความกระวนกระวายมองซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมอยากจะบ้าตาย ข้อมูลที่ไอ้แก่เฉินต้องการผมยังไม่ได้มาแม้แต่ปลายก้อย จะให้ผมบุกไปถึงบริษัทก็เป็นไปไม่ได้อีก เท่าที่ผมทำได้ตอนนี้คือหาจากสิ่งที่ฟรานซิสเก็บไว้ที่บ้านนี่แหละ อีกสิ่งที่ผมสนใจคือตู้ไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ผมเปิดไม่ได้เพราะมันมีกุญแจล็อคไว้

   ผมยกแขนขึ้นดูเวลาแล้วก็ต้องถอดใจ เมื่อตอนนี้เป็นเวลาที่ฟรานซิสกำลังกลับมา มันไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์แน่ถ้าเกิดเขามาเห็นเข้า


 


มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


ผาง!

   แล้วประตูห้องของฟรานซิสก็เปิดขึ้น ผมยืนตัวแข็งมองผู้ที่เดินเข้ามาในชุดสูทพอดีตัว ท่าทางสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาคมกริบตวัดมองผมราวกับแปลกใจ ฟรานซิสยกมือหนาขึ้นปลดเนคไทให้คลายออกแต่สายตายังจดจ้องที่ผมไม่วาง

   “ผมทำความสะอาดห้องเสร็จแล้ว ผมขอตัวก่อน”ผมหลุบตาลงต่ำก่อนจะหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นซึ่งประจวบเหมาะในจังหวะที่ผมหอบหิ้วมันอยู่พอดี

   “เดี๋ยวก่อน”เสียงทุ้มเหมือนออกคำสั่งแต่กลับฟังดูละมุนเอ่ยเรียกผมไว้ ไหล่ของผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองร่างสูงด้วยใจหวาดหวั่น อีกสมองส่วนหนึ่งก็ตับฉับเอาภาพเมื่อวันก่อนให้วูบเข้ามาในความคิดทำเอาผมเผลอหลบตาจนได้

   อีกใจหนึ่งก็อดคิดในท่าทีของฟรานซิสไม่ได้ว่าเขาจะสงสัยรึเปล่า!

   “ครับ?”คิ้วผมกระตุกไม่เป็นรูป ขานรับด้วยเสียงสั่น

   “เสร็จแล้วขึ้นมาทำแผลให้ฉันด้วย”ผมพ่นลมหายใจออกมาหมดปอดราวกับโล่งอก ก่อนจะหันไปรับปากรับคำกับเจ้านายตัวเอง

   “ครับ ผมจะขึ้นมาอีกทีหลังคุณอาบน้ำเสร็จ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวขึ้นมารอได้เลยฉันไม่ใช่คนอาบน้ำนาน”เจ้าของเสียงทุ้มพูดไปถอดไปปลดไป ผมหมายถึงถอดเสื้อปลดกระดุม เขาดูจะชำนาญจนแทบจะไม่ต้องมองเม็กกระดุมเลยด้วยซ้ำ แต่ช่วยมองมันหน่อยก็ดีแทนที่จะจ้องผมตาเป็นมันขนาดนั้น

   “งั้น.....ผมเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อน”ผมรีบพาตัวเองออกมาจากห้องของเขาทันที ใบหน้าของผมร้อนวูบจนต้องรีบลงไปหาน้ำรด นับวันความรู้สึกของผมชักจะปั่นป่วนไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย

   แต่ยังไง งานกับความรู้สึกผมต้องแยกให้ออก

   ตั้งสติไว่ไอ้ธัน ห้ามไขว้เขว ถึงใจมึงจะเอียงไปแล้วก็ห้ามล้มเด็ดขาด!

   ผมใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการเก็บข้าวเก็บของพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมาบนห้อง ผมเคาะประตูสองครั้งก่อนจะเปิดเข้าไป เจ้าของร่างสูงนั่งไขว่ห้างรอผมอยู่ปลายเตียงทั้งเนื้อทั้งตัวนุ่งห่มส่วนล่างเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเท่านั้น เขาทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ไม่เพียงงานบ้านงานลับที่ผมต้องรับมือมาตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมารับมือกับคนตรงหน้าที่ยากเกินกว่าจะจัดการอีก 

   “ช้า”

   “ขอโทษครับ แต่ผมต้องเก็บของพวกนั้นให้เรียบร้อย”ไม่รู้สิว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกเกรงอกเกรงใจคนตรงหน้าขนาดที่ไม่กล้าที่จะสบตาเขาด้วยซ้ำปกติผมสู้ยิบตาซะด้วยซ้ำ หลังมานี้ผมรู้สึกตัวเองแพ้คนตรงหน้าราบคาบตั้งแต่ไม่ทันถือด้าบออกรบ ผมวางกล่องปฐมพยาบาลลงข้างๆ ตัวฟรานซิสก่อนจะเปิดออกและหยิบจับของที่ต้องใช้ออกมา

   “วันนี้นายทำตัวแปลกไป”

   “คุณคิดไปเองรึเปล่าครับ ผมก็ปกติ”

   “ทุกทีนายจะร่าเริงกว่านี้ ถึงฉันจะไม่ได้อยู่กับนายตลอดเวลาแต่ฉันรู้สึกได้”

   “ยังไงผมก็ยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงผมหรอกห่วงตัวเองดีกว่าดูเหมือนแผลคุณกำลังจะอักเสบอยู่รอมร่อแล้ว”สำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผลค่อยๆ ซับลงที่ปากแผลลงเบาๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าตัวของเขายังคงชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวที่เกาะอยู่บนตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูยังคงเป็นกลิ่นเดิมซึ่งเขาไม่เคยเปลี่ยน ตอนนี้ผมรู้แทบทุกอย่างเลยด้วยซ้ำตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าเขาใช้กลิ่นอะไร ยี่ห้อไหน

   “หรือว่าเพราะเรื่องเมื่อวานที่ฉันไปหานายที่ห้อง”

   “ผมลืมมันไปหมดแล้ว คุณไม่ต้องพูดถึงก็ได้ครับ”ผมยอมรับว่ตัวเองชะงักไปเล็กน้อยถ้าฟรานซิสไม่สังเกตคงไม่เห็น

   “แน่ใจว่านายลืมมันได้”ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มบางๆ ออกมาจนผมหมั่นไส้ ถ้าไม่เพราะเขาผมคงไม่ต้องตอบคำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเพื่อนผู้อยู่ในเหตุการณ์จนแทบบ้า พาลให้กลางคืนผมนอนไม่หลับคิดวกวนแต่เรื่องของเขาจนจะเป็นประสาท

   “ว่าแต่คุณเถอะ ทำไมถึงได้ถ่อไปถึงบ้านผมได้ แถมคุณยังรู้ซะด้วยว่าผมพักที่ไหนทั้งๆ ที่ผมไม่เคยบอกคุณด้วยซ้ำ”

   “มีอะไรบ้างที่ฉันอยากรู้แล้วไม่รู้”ฟรานซิสพูดอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังราวกับเรื่องปกติ

   “อ้อ! ผมลืมไปว่าคุณเป็นใคร”ผมใช้น้ำเสียงประชดประชันเขาเล็กน้อย จากการสนทนาโต้ตอบกับฟรานซิสสถานการณ์ตอนนี้เลยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ฟรานซิสทำตัวสบายๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าผมเขาไม่วางมาดทำตัวว่าเป็นเจ้านาย แต่ด้วยนิสัยและภาพลักษณ์ของเขา มันสร้างให้เขาเป็นเช่นนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผมหาข้อโตแย้งใดๆ ไม่ได้สำหรับเรื่องนี้

   “ฉันจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”

   “เรื่องที่คุณบอกผมว่าคุณมีธุระ จริงๆ แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ครับ การที่คุณไปที่ห้องเก่าๆ ของผมมันผิดปกติ”ผมพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

   “นายเพิ่งจะบอกฉันว่าลืมเรื่องเมื่อวาน น่าแปลกที่จำสิ่งที่ฉันพูดได้”

   “ผมไม่ตลกครับ”ผมตีหน้าบึ้ง“คุณควรจะบอกคำตอบผมดีๆ”

   “ฉันแค่ผ่านไปแถวนั้น และมันก็คงดีถ้าฉันได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของนายบ้าง”

   “ผมไม่ได้ขอให้คุณทำแบบนั้นนะครับ ผมไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยากตามสถานสงเคาระห์”

   “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น”

   “ก็ดีครับ”ผมมองฟรานซิสด้วยหางตาแวบหนึ่ง ลอบสังเกตสีหน้าของเขาที่ทอดสายตามองไปยังข้างหน้า จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากหยักทำผมคิดฟุ่งซ่านจนกลัวตัวเอง เลยรีบทำแผลให้คนตรงหน้าจะได้ไปจากตรงนี้เสียที ห่างจากวัตถุไวไฟตรงหน้าให้เร็วเท่าที่จะทำได้

   “โอ๊ย!”แต่อยู่ๆ เสียงร้องของฟรานซิสก็ดังขึ้น ผมชักมืออกจากการทายาแล้วหันไปถามเขา ผมมองคนตรงหน้าราวกับรู้สึกผิด

   “คุณเจ็บ ผมขอโทษ”

   “เปล่า.....อันที่จริงนายเหยียบเท้าฉัน”

   “เอ๊ะ! ขอโทษครับ!”ผมก้มลงไปมองเท้าตัวเองที่ใส่รองเท้าแตะในบ้านซึ่งตอนนี้ทับอยู่บนนิ้วเท้าของฟรานซิสเต็มๆ ผมรีบชักเท้ากลับและถอยหลังออกอย่างรวดเร็วแต่กลับถูกวงแขนแกร่งเกี้ยวกระหวัดเอวคอดเข้าหาตัวเขาราวกับจงใจ พลัยกดตัวผมลงให้นั่งลงบนท่อนขาของเขา

   วงแขนของฟรานซิสกอดรัดผมไว้แน่นจึงทำให้แผ่นหลังของผมแนบชิดกับอกกว้างจนแทบจะฝังเข้าไปในร่างของเขาอยู่รอมร่อ ผมพยายามลุกขึ้นอยู่หลายรอบอย่างตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล

   “คุณจะทำอะไร”ผมเอ่ยเสียงระรัว ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟรานซิสแกล้งหยอกผมให้รู้สึกอายแบบนี้ แต่ทุกครั้งกลับทำให้ผมสั่นไหวอยู่ในอก

   “อะไรกัน หรือนายกลัวว่าฉันจะทำเหมือนเมื่อวาน”น้ำเสียงที่ฟังดูปกติแต่กลับทำให้ผมขนลุกวาบเพราะลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคออยู่ใกล้ๆ

   “ผมไม่ได้คิดอะไรครับ ผมรู้ว่าคุณแค่แกล้งผมก็เท่านั้น คุณคงทำแบบนั้นเป็นปกติจนชินสินะครับ ได้ยินแล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว ผมอึดอัดและที่สำคัญคุณยังทำแผลไม่เสร็จ”ผมดิ้นไหวแต่กลับถูกอีกฝ่ายกอดแน่นเข้าไปอีก หน้าผมเปลี่ยนสีจากความร้อนที่ไต่ลามขึ้นถึงใบหู

   “แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่การกลั่นแกล้ง นายจะว่าไง แล้วฉันก็ไม่เคยชินกับการหยอกล้อใครไปทั่วเสียด้วย เว้นแต่นาย.....”

   “คุณพูดอะไร ชักจะไปกันใหญ่แล้ว”หากเขาประจันหน้ากับผมโดยตรง ตอนนี้ความลับบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในดวงตาคงถูกล้วงออกมาไม่เหลือหรอแน่ๆ แล้วยิ่งเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามนี่อีก ทำเอาผมแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่ แค่คำพูดไม่กี่คำจากปากของฟรานซิสเล่นเอาผมเสียศูนย์ไปเลยจริงๆ

   ผมยอมรับว่าฟรานซิสเสน่ห์เหลือล้น แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะตกหลุมเสน่ห์เขาได้ง่ายดายขนาดนี้ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ผมไม่ควรจะรู้สึก เพราะที่เข้ามาพัวพันกับเขาผมก็ไม่ซื่อสัตย์พอแล้ว ผมไม่ใช่คนดีอะไรที่เขาจะมาดีด้วย ผมมันตัวอันตรายเสียด้วยซ้ำ

   “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสนใจนาย จำไม่ได้รึไง”

   “ผมจำได้ซะที่ไหน”

   “งั้นให้ฉันบอกนายอีกทีไหม?”เจ้าของเสียงเกยคางลงบนไหล่ผม พลางเอ่ยกระซิบ“.....ฉันสนใจนายอย่างที่ไม่เคยสนใจใครมาก่อน”

   “คุณฟรานซิส!”ผมพยายามเรียกชื่อให้เขาหยุดพล่าม เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวจนสูญเสียการควบคุม และหงุดหงิดตัวเองอยู่ลึกๆ ที่ลดเกราะป้องกันของตัวเองลงจนน่าใจหายเพียงเพราะผู้ชายคนนี้

   “ฉันไม่เคยยอมลงทุนกับสิ่งที่ทำให้ฉันล้มละลายเป็นอันขาด แต่ตัวนาย...คือสิ่งที่ฉันยอมทุ่มหมดตัวในฐานะนักธุระกิจ โดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....นั่นก็หมายความว่าตัวนายมีความหมายมากกว่าอื่นใด และฉันคงปล่อยผ่านนายไปเฉยๆ ไม่ได้ในเมื่อนายอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว.....”ผ่ามืออุ่นที่กระหวัดเกี้ยวตัวผมบัดนี้กลับสอดลอดไล้ใต้ชายเสื้อแล้วค่อยๆ เลื่อนถลกขึ้นเผยสัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายให้สัมผัสกับแอร์เย็นจมผมรู้สึกได้ ผมขยับมือไปกุมมือหนาภายใต้เสื้อให้หยุดการกระทำที่เผลอไผลไปกับคำพูดของเขาไปจนได้

   “คุณ.....ฟรานซิส.....”ผมแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อต้องรู้สึกแปลก กับสัมผัสที่ถูกปลุกปั่น มือหนาไต่ขึ้นอย่างช่ำชอง ลมหายๆ ใจอุ่นๆ รินรดลำคอขาวจนขึ้นสีก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงบนลำขาวเนียบแล้วขบเม้มทิ้งรอยความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไว้ชัดเจน

   “คุณฟรานซิส คุณทำอะไร”ผมโผล่งขึ้นมาขยับตัวจะหนี

   “เปล่านี่ หรืออยากให้ทำที่อื่นมากกว่า”น้ำเสียงพราวเสน่ห์เอ่ยราวกับเย้าหยอก ผมบิดตัวเร่าอยู่บนท่อนขาแกร่งเมื่อมือหนาสัมผัสซุกซนไปทั่วจนตามจับยากเล่นเอาผมวูบไหวไปทั้งตัว

   “คุณ.....ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”เสียงผมกระเซ้าเสียจนน่าอาย พยายามประคองสติตัวเองและต่อสู้กับเส้นบางๆ ที่กันอยู่ระหว่างตัวผมกับฟรานซิส

   “งั้นก็ขัดขืนให้ถึงที่สุดสิ”ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์เฉิดฉายอยู่บนใบหน้าคมสันได้รูป ก่อนจะโอบรั้งใบหน้าของผมที่ร้อนผ่าวเข้าหาแล้วบรรจงบดเบียดริมฝีปากหยักอย่างอ้อยอิ่ง และแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนราวกลับสูบกลืนพลังผมไปจนหมดสิ้น ช่วงจังหวะที่ผมเผยอริมฝีปากวักอากาศเข้าปอด ลิ้นอุ่นชื้นกลับแทรกสอดเข้ามาทันที่แล้วทำการกระหวัดรัดเกี่ยวลิ้นผมพัลวัน ผมอยากจะผละหนีด้วยความพรั่นพรึง แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งต้นคอเอาไว้ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

   อย่างที่ฟรานซิสพูด ถ้าผมแข็งข้อจริงผมก็ควรขัดขืนเขาให้มากกว่านี้ นี่ไม่เรียกว่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองเสียด้วยซ้ำ ผมกำลังทำเรื่องบ้าๆ ที่ไม่ควรอยู่ใช่มั้ย! แต่การที่ต้องถอยทำไมมันถึงทำได้ลำบากยากเย็นขนาดนี้

   “อื้อ….”ผมพยายามพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก มือผมที่ยังเกาะกุมมือหนาที่ซุกซนราวกับลิงเอาไว้แล้วจิกเล็บลงเนื้อของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ผมขยับตัวหนีกับการสัมผัสที่ปลุกปั่นอารมณ์จนผมแทบเตลิด แต่ร่างกายผมจะไปไหนได้นอกเสียจากบดเบียดอยู่ในอกกว้างจนสัมผัสได้ถึงส่วนล่างของอีกฝ่ายที่ผงาดอวดโลกจนนึกกลัว ทำเอาสติกระเจิงไปไหนต่อไหนหัวใจก็แทบระเบิดออกมา

   “ฉันต้องการนาย.....”เสียงพร่าพร้อมลมหายใจถี่กระซิบเร่าราวกับอ้อนวอนขออย่างตรงไปตรงมา แต่การกระทำชั่งตรงข้ามกับน้ำเสียงชนิดที่เป็นหน้ามือหลังมือ

   “ดะเดี๋ยวนะ เรื่องแบบนั้นผมทำไม่ได้”สายตาผมลอกแลกลอบมองคนตรงหน้าที่นัยน์ตาพราวระยับจับจ้องมองผมราวกับจะทะลุทะลวง หลังจากกดผมลงจมกับเตียง ส่วนเขาก็ขึ้นทาบทับด้วยร่างกายใหญ่โตไม่คิดจะให้ผมหนีรอด ในอกหัวใจเต้นตูมตามจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกกลัวทำผมมืออ่อนขาไร้เรี่ยวแรง

   ผมรู้ ผมเพรียกพร้ำตั้งแต่หลวมตัวให้เขาสัมผัสแล้ว ผมผิดเองใช่มั้ยในตอนนี้?

   “ไม่ทำแล้วนายจะรู้ได้ยังไงว่าทำไมได้”

   ผมไม่ได้อยากจะมาเรียนรู้เรื่องแบบนี้เพื่อจะอัพระดับความฉลากเรื่องอย่างว่าเลยสักนิด แต่เขากลับอยากจะเป็นติวเตอร์บังคับสอนผมให้รู้เอาซะเดี๋ยวนี้ บอกตามตรงผมยังไม่พร้อมแม้ผมจะรู้ว่าผู้ชายด้วยกันเขาทำกันอย่างไร ถึงจะไม่เคยลองแต่ผมก็โตพอที่จะเคยผ่านหูมาบ้าง และยิ่งคนตรงหน้าเป็นฟรานซิสมันยิ่งทำให้ผมคิดหนักจนหัวแทบระเบิด ถึงร่างกายจะไปแต่ใจมันกลับยังค้านอยู่เนืองๆ

   “คุณฟรานซิส คุณใจเย็นๆ”ผมเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะตอนนี้เสื้อของผมปลิวหายไปไหนแล้วไม่รู้  เหลือเพียงผิวgเนื้อขาวระเรื่อขึ้นเห่อแดงจากแรงสัมผัสของคนตรงหน้า

   “ฉันใจเย็นอยู่”หน้าเขาดูไม่เย็นเลยสักนิด และท่อนขาของผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรแข็งๆ ภายใต้ผ้าขนหนูผืนสีขาวผ่องนั่นกำลังนาบทับอยู่ แบบนี้ยังมาบอกผมว่าใจเย็นอยู่งั้นเหรอ

   โกหกไม่เนียนเลยสักนิด!

   “คุณ.....ฟราน....”เสียงผมถูกดูดกลืนหายไปอีกรอบด้วยริมฝีปากหยัก คราวนี้ช่างเร่าร้อนและเรียกร้องจนผมหายใจไม่ทั่วท้องไปหลายนาที เส้นทางกลับตัวของผมริบรี่ลงไปทุกทีที่เขาสัมผัส

   ฟรานซิสไม่ต่างจากราชสีห์ที่ไล่ตะครุบเหยื่อไม่เลิก ถ้าไม่ได้กินไม่มีทางที่เขาจะเลิกล่า

   “..........”

   “อย่ามากกว่านี้.....ผมขอร้อง”ผมหลับตาปี่หดตัวเกร็งเมื่อมือหนาสอดเข้าใต้กางเกงโอบสะโพกบีบขย้ำกระตุ้นสัมผัส ส่วนริมฝีปากหยักได้รูปกลับเลื่อนต่ำลงมาจรดพรมจูบไปทั่วทั้งร่างกายผมอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายใหญ่โตกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนตัวผมเผยสักส่วนกล้ามเนื้อให้เห็นถนัดตา ผมถึงกับครวญครางขึ้นมาอีกระลอกเมื่อสัมผัสได้ถึงลิ้นอุ่นกำลังหยอกเย้ากับส่วนอ่อนไหวท่อนบนราวกับกลั่นแกล้ง จนเผลอเอื้อมมือไปขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่าไม่ได้ตั้งใจ

   ผมได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอของฟรานซิสอย่างที่ไม่เคยได้ยิน นั่นทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนแทบมุดแผ่นดินหนี ความรุ้สึกอดกลั้นถูกผิดขาดผึ่งไปตั้งแต่วินาทีที่ร่างกายจำยอม

   “นายไวสัมผัสกับตรงนี้สินะ”ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตากับผมด้วยร้อยยิ้มที่ระบายตรงมุมปากอย่างพอใจ เขารู้เต็มอกว่าผมรู้สึกเช่นไร แต่ก็รุกเร้าเสียหนักหน่วง เขาคลายอารมณ์ร้อนลงเล็กน้อย มือใหญ่เอื้อมมาจับมือผมยกขึ้นไปทาบทับกับอกแกร่งของเขาอย่างตั้งใจ แล้วพูดเสียงนุ่มนวลด้วยท่าที่จริงจังอย่างที่ผมไม่คาดคิด

   “ได้ยินรึเปล่า มันกำลังเต้นแรงแค่ไหน ร่างกายคนเรามันไม่เคยโกหกนายก็รู้”

   ผมได้ยิน และสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของคนตรงหน้าที่เต้นถี่ไม่ต่างจากตัวผม นั่นทำให้ผมถึงกับหน้าแดงอีกรอบ

   “ผมรู้แล้ว”

   “ธัน นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันจริงใจกับนาย”ดวงตาคมจ้องเข้ามาในดวงตาของผมไม่หลบเลี่ยงจนผมกลัว

   “ผมรู้ คุณดีกับผม”

   “ไม่ว่านายกำลังเดือดร้อนหรือเกิดอะไรขึ้นกับตัวนาย ร่างกายของฉันก็ใหญ่พอที่จะปกป้องนายได้ ขอแค่ให้นายเอ่ยปากพูดฉันก็จะช่วย”

   “..........”เสียงของผมจมหายไปในความรู้สึกที่เอ่อตื้นขึ้นมาริมขอบตา ผมได้แต่พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้เพียงเอื้อมมือไปอย่างเชื่องช้าเพื่อสัมผัสกับใบหน้าบุคคลที่ผมอาจทำให้เขาเจ็บปวด ฝ่ามือของผมถูกจูบซับราวกับถนอม การกระทำของเขาช่างอบอุ่นจนผมรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ

   “เขาใจที่ฉันพูดใช่มั้ยธัน”คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันเรียกร้องคำตอบจากผมมากกว่าการเงียบ

   “ผมอาจไม่ดีพอให้คุณทำแบบนั้นก็ได้”ผมพยายามยิ้ม แต่กลับเป็นยิ้มที่ฝืดขมเป็นที่สุด

   “นายจะดีพอหรือไม่ ตัวฉันต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจไม่ใช่ตัวนายเอง”

   “คุณพูดง่าย”

   “ใช่พูดง่าย แต่ฉันก็ทำให้มันง่ายได้เหมือนกัน อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร”จบประโยครอยยิ้มอุ่นๆ ปรากฏขึ้นราวกับฟ้าหลังฝน ผมยิ้มรับความรู้สึกของคนตรงหน้าบางๆ

   “งั้น.....ตอนนี้คุณก็ปล่อยผมได้แล้วสินะ”ผมหยั่งเชิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มสงบลง

   “ฉันจะปล่อย....แต่ปล่อยของฉันมันอาจจะคนละความหมายของนายก็ได้”ร้อยยิ้มที่แปรเปลี่ยนดับความหวังผมลงอย่าไร้ปราณี ผมหน้าเหวอไปสามวิ แค่วิที่สองก็ต้องกระเจิงแล้วเมื่ออีกฝ่ายผลีผลามจับผมคว่ำลงกับเตียงใหญ่แล้วใช้มือหนาสอดเข้าใต้ขอบกางเกงเลื่อนมาโอบส่วนอ่อนไหวทำเอาร่างกายผมหดเกร็งตัวงอ จนต้องเร่งรุดเลื่อนมือไปห้าม

   “คุณทำอะไร ไม่ได้นะ!”ผมเหวใส่พยายามดึงมือเขาออกจริงจังสุดฤทธิ์

   “ไม่ใช่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วรึไง”เสียงทุ้มกระซิบก่อนจะใช้ริมฝีปากขบเม้มใบหูของผมจนวาบหวาม

   “คะคุย? แต่มันไม่ได้หมายถึง…..ฮึก!”

   “รู้สึกดีรึเปล่า”คำถามที่ทำให้ผมอายม้วนครั้งแรกในชีวิต แล้วใครมันจะไปกล้าตอบ ผมตอบไม่เข้าหูมือเขาก็ยิ่งขยับยุบยับจนผมเหลือทน

   “นี่คุณ.....”ผมกัดริมฝีปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากดเก็บเสียงที่ไม่ควรให้เขาได้ยินแล้วย่ามใจ

   “ให้ฉันได้ยินเสียงนายบ้าง กัดไปเดี๋ยวปากก็เห่อช้ำหมด”

   “ไม่!”

   “คงไม่มีทางเลือก นอกเสียจากทำให้นายทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาเองสินะ”

   “คุณคิดว่าผมจะตามใจคุณทุกเรื่องหรือไง”ผมโต้กลับราวกับอยากเอาชนะขึ้นมา

   “งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วกัน”

   ดวงตาคมหรี่ตาลงก่อนจะเปลื้องผ้าชิ้นสุดท้ายของผมออกอย่างไม่เยเส ผมตาโตเบิกโพล่งใจระส่ำ รู้สึกได้ถือมือหนาที่ปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังพร้อมกับริมฝีปากที่บดจูบไปทั่วฝากรอยแดงช้ำไว้ ผิวกายฟรานซิสร้อนจัดทั้งที่อุณภูมิภายในห้องเย็นเยียบ เสียงหอบหายใจถี่ของเขาแทบจะประสานเป็นเสียงเดียวกับผม ฟรานซิสพลิกตัวผมกลับแล้วประกบริมฝีปากที่ร้อนผ่าวลงกับริมฝีปากของผมอีกครา ลิ้นอุ่นชื้นย่ามใจกล้ำกลายเข้ามาภายในอีกครั้ง ตักตวงและดูดกลืนทุกความหวานหอมด้วยอารมณ์เร่าร้อน

   ฟรานซิสไม่ปล่อยให้ผมไปสนใจกับการรุกเร้าจากสัมผัสของเขาที่ทำผมปั่นป่วน เขาดันร่างแกร่งให้แนบชิดกับร่างกายผมราวกับต้องการความอบอุ่น ทั้งที่ตัวของเขากกลับร้อนผ่าวราวกับจะมอดไหม้ สองมือหนาเลื่อนลงต่ำไปจนถึงโคนขาเนียนแกล้งลูบไล้เย้าแหย่อารมณ์ให้ผมวูบไหว ก่อนจะจับเข่าผมชันขึ้นทั้งสองข้างไปกระหวัดกอดเกี่ยวกับร่างสูง ปลายนิ้วเริ่มซุกซนจนผมสะดุ้งเฮือกพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ในหัวยังเบลอจนไม่เหลือความคิด

   ผมยังดื้อดึงที่จะกลั้นเสียงตัวเองยามรู้สึก ฟรานซิสถึงได้แกล้งบดเบียดกายแกร่งเข้ามาและเติมเต็มความปรารถนาของเขาให้ผมจนหมดสิ้น

   “ฮึก!”

   แกล้งกันชัดๆ ผมโอดครวญในใจหาใครช่วยไม่ได้

   “กลั้นไว้ให้ถึงที่สุดล่ะ”น้ำเสียงทรงเสน่ห์กระซิบลงที่ลำคอระหงก่อนใช้ลิ้นอุ่นเลียไล้ไปจนถึงใบหู จนผมเผลอเอื้อมมือไปจิกแขนและฝากรอยข่วนเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจ กระนั่นคนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกรู้สาราวกับว่าจมดิ่งไปในห่วงแห่งอารมณ์

   ร่างกายของผมไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ผมเสียการควบคุมไปและไม่สามารถกลับมาควบคุมมันได้อีก
 
   “เจ็บรึเปล่า ฉันเบามือที่สุดแล้ว”ฟรานซิสกระซิบถามแล้วจูบซับลงไปที่ซอกคอของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเคลื่อนไหวร่างกายแกร่งนั่น ผมรับรู้ได้ถึงตัวตนของฟรานซิสที่ทำให้ผมร้อนรุ่มไปทั้งตัว ความปรารถนาเขาใกล้จะสิ้นสุด มือผมจิกผ้าห่มจนยับยุ่ยเมื่ออีกฝ่ายแตะถึงขอบความปรารถนาด้วยสัมผัสถี่กระชั้น

   “พอแล้ว....ผมไม่ไหว”สายตาของฟรานซิสกวาดมองไปทั่วไปหน้าและเรือนร่างของผม หยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนร่างกายของเขาไม่ได้บ่งบอกว่าเขาจะหมดกำลัง

   “แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วรึไง”

   “นี่มันไม่ใช่กีฬานะ!”

   “ก็กีฬาในร่ม”

   และอีกครั้งที่เขาทำผมปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำ เป็นสิ่งยากที่ผมจะปฏิเสธตัวตนของเขาออกไปได้ การครอบครองยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เมื่อแขนแกร่งยังคงกอดรัดผมไม่ว่าง
 
   สัมผัสที่ได้รับก็แค่ออเดิฟ เขากระซิบบอกจนผมหน้าถอดสี แม้เพียงเท่านี้ก็แทบทำให้ผมขยับร่างกายไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แบบนี้มันไม่ต่างไปจากการทรมาณร่างกายผู้อื่นเลยสักนิด

   นี่ใช่มั้ยคือปฐมบทของบทลงโทษของผม





ความในใจของคนเขียน

ถ้าจะนับจากตอนแรกตอนนี้คือที่สุดของความหิน อารงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร
บ๊ะเจ้า! ยากไปไหน :z3: เป็นตอนที่เขียนแล้วมือหงิก ไหล่สะดุ้งขนลุกเป็นช่วงๆ กับคำพูดของฟรานซิส
นึกถึงผู้ชายที่นิสัยเหมือนฟรานซิสแล้วมันชวนขัดเขินชอบกลเวลาพูดอะไรที่มันจะหวานก็ไม่ใช่
แต่จะเป็นทำนองขวานผ่าซาก ตรงเผงแบบนี้ เลยอยากจะแก้ตัวเป็นนัยๆ
ว่าหากผิดพลาดในอรรถรสประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ :กอด1:


>>>>to be continued  :bye2:




ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
จงให้ฟรานซิสช่วยเจ้าซะธัน ไม่งั้นไอ้อากงมันก็ตามรังควานอยู่อย่างงี้  :katai5:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
บอกความจริงฟราซิสไปเลยสิ  :hao4:

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
ฟรานซิสนางเปิดทางสวรรค์รอแล้วนะธัญ บอกไปเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เชียสุดขีดให้สารภาพความจริงไปเล้ยย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ pkjoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อยากตามต่อแล้วครับ  จะรอผลงานตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4




14




   ผับผ่าสิ!

   ผมยืนจ้องมองร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองอยู่ราวห้านาทีหน้ากระจกด้วยความตื่นตะลึง รอยจ้ำแดงตามตัวปรากฏชัดชนิดที่ไม่ต้องซูมทำผมอยากจะบ้า อย่างนี้ผมไม่ต้องพันตัวเองเป็นมัมมี่รึไง อยากจะโทษคนทำแต่จะเอาอะไรกลับมาได้ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว และผมก็กึ่งยินยอมเสียด้วย แล้วไหนจะความรู้สึกเจ็บแปลบตรงช่วงสะโพกที่ทำผมซวนเซกว่าจะหยัดยืนขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั่น ผมต้องสะพรึงกับความชื่นแฉะและของเหลวข้นที่อุ่นร้อนไหลอาบลงบนโคนขาที่มีร่องรอยคิสมาร์กเด่นหราซึ่งมันน่าฆ่าคนทำนัก น่าอายเป็นบ้า

    แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า พอผมตื่นมาคนข้างตัวก็อันตรธานหายไปทิ้งไว้เพียงโน้ตข้อความสั้นๆ ว่าเขาไปทำงานแล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมแค้นใจเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายดูมีแรงเหลือเฟื่อในขณะที่ผมหมดสิ้นสภาพไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือใครลุกหายไป มารู้ตัวอีกทีก็เกือบเที่ยงของอีกวัน โชคดีที่วันนี้ผมไม่ต้องไปมอเพราะปิดคอร์สจบสิ้นไปแล้ว

   ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำหลังชำระล้างร่างกายเสร็จ อาศัยเสื้อคลุมอาบน้ำของฟรานซิสที่ตัวใหญ่โคร่งคลุมกาย เดินออกมาด้วยอาการโคลงเคลงราวกับสูบเสียสมดุล ทันทีที่สายตาเหลือบไปมองเตียงกว้าง ใบหน้าผมก็เกิดอาการร้อนฉ่าขึ้นมาบัดดล จนอยากจะรีบออกไปจากห้องนี้ให้ไว

   ถามว่าผมรู้สึกอายไหมก็ตอบเลยว่ามาก! ผู้ชายสองคนที่จบลงด้วยเรื่องบนเตียงผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ

   ไม่ทันที่ผมจะปลดเสื้อคลุมอาบน้ำออกเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเดิม เสียงประตูก็เปิดขึ้นเสื้อคลุมที่เพิ่งผลัดออกได้ครึ่งตัวก็ทำให้ผมต้องหันไปมองตามเสียง และเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาก็รีบกระชับเสื้อคลุมกุมสาบเสื้อแน่นไม่วางมือ   

   “คุณกลับมาทำไม”

   “ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่นี่บ้านของฉันนะ”คนตรงหน้ากวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วยกยิ้มตรงมุมปากราวกับขบขันกับคำถามของผม

   “ผะผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ปกติคุณจะไม่กลับจนกว่าจะถึงตอนเย็นไม่ใช่รึไง”ผมพูดพลางก้มลงหยิบเสื้อกับกางเกงของตัวเองก่อนจะชะงักค้างกลางอากาศชั่วครู่เมื่อรู้สึกว่าสะโพกของตัวเองมีปัญหา คนตรงหน้าเลิกคิ้วหนาได้รูปมองผม

   “ให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”ถ้าเป็นอาการป่วยไม่สบายผมคงจะสนิทใจรับคำช่วยเหลือมากกว่านี้ แต่ทว่านี่ไม่ใช่

   “ไม่ต้อง! ผมจัดการตัวเองได้”ผมยกมือห้ามคนร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ราวกับจงใจเข้าถึง

   “ฉันอยากช่วย เพราะเมื่อคืนฉันคงจะทำเกินไปหน่อย”

   “พะพอหยุดพูดเรื่องนั้นสักที แล้วก็เก็บความใจดีของคุณไว้เถอะ ผมยังไม่อยากได้ตอนนี้”ผมถอยหลังกรูเมื่อฟรานซิสมีทีท่าว่าจะใกล้ผมเข้ามาอีก และเป็นอย่างที่คิด เขาเดินมาประชิดตัวผมอย่างไม่ยี่หระต่อคำพูดใดๆ แล้วใช้วงแขนแข็งแรงช้อนตัวผมขึ้นก่อนจะวางผมลงที่ปลายเตียง

   “กลิ่นนายหลังอาบน้ำหอมจริงๆ”

   “คุณจะทำอะไร ผมเตือนไว้ก่อนะว่าผม!.....”

   “ฉันไม่ทำอะไรนายตอนนี้หรอก หรือว่านายต้องการ ฉันก็ไม่ขัด”ฟรานซิสเชยคางผมขึ้นพร้อมยื่นหน้ามาใกล้ใช้ดวงตาคมกริบนั่นกวาดมองใบหน้าผม ริมฝีปากหยักยกยิ้มที่มุมปากอย่างย่ามใจก่อนจะจูบผมอย่างไม่ลังเล

   “คุณฟรานซิส!”

   “เอาเถอะ ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ถ้าช้าฉันก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะทนได้ไหว”ร่างสูงยืนกอดอกสำรวจตัวผมราวกับมองหาช่องโหว่ ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบสวมเสื้อและกางเกงแทบจะทันที แม้จะขลุกขลักไปบ้างแต่ก็เสร็จเรียบร้อยจนได้

   “ฉันกลัวว่านายจะหิวและคิดว่านายน่าจะยังไม่กลับ ฉันเลยซื้อของมาให้อยู่ด้านล่าง”

   “ขอบคุณ อ้อ! เสื้อตัวนี้ผมจะซักคืนให้ คุณไม่ต้องห่วง” ผมยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้เขาดูก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง แต่ทว่ากลับถูกสวมกอดจากทางด้านหลังตรึงตัวไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว นิ้วเย็นๆ ของฟรานซิสแตะที่ลำคอของผมก่อนจะกระซิบบอก

   “รอยตรงนี่ บ่งบอกได้ว่านายเป็นของฉันเพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดหรอกนะ”

   “ผมอยากจะต่อว่าเรื่องนี้กับคุณอยู่พอดี ผมจะไม่มีวันให้คุณทำรอยที่คอผมแบบนี้อีกแล้ว”ผมขึงตาดุใส่ฟรานซิสเป็นครั้งแรกอย่างเหลืออด ผมไม่รู้ว่าตัวเองยอมเขาถึงขั้นไหนเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น ผมสับสนไปหมดจริงๆ

   “งั้นหมายความว่า จะเป็นที่อื่นก็ได้งั้นสิ”มือหนาสอดเข้าใต้สาบเสื้อจนผมต้องผละหนี นับวันผู้ชายคนนี้จะอันตรายกว่าที่ผมคิดซะอีกจริงๆ

   “ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนครับ”

   “ฉันจะรอครั้งหน้า”

   “คุณมันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ด้วย”

   “นี่นายโกรธฉันเรื่องอะไร”

   “คุณอย่ามาทำหน้าตาย รู้อยู่เต็มอก”

   “อ้อ…..โกรธที่ฉันกอดนายแรงไป หรือว่า.....”

   “คุณฟรานซิส หยุดพูดเรื่องลามกเหมือนเป็นเรื่องปกติจะได้มั้ย”ผมเอามืออุดหูตัวเองทั้งอายทั้งโกรธ จิตนาการไปถึงไหนต่อถึงไหน

   “จะอายทำไมในเมื่อร่างกายนายไม่มีส่วนไหนที่ฉันไม่สัมผัส”ฟรานซิสยังคงพูดเรื่อย ราวกับเขาภูมิใจนักหนา

   “เชิญคุณพูดเรื่องพวกนี้ไปคนเดียวเถอะผมไม่ทนฟังอีกแล้ว”ผมหันหลังให้ฟรานซิสตั้งท่าเดินกลับสมความตั้งใจแต่ต้องมาเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาสร้างความอับอายให้ผมเป็นอย่างมาก ผมได้ยินเสียงฟรานซิสหัวเราะหงึกๆ ในลำคอแต่ถึงอยากจะหันไปต่อว่าแต่หน้าผมไม่ได้หนาจนถึงสิบชั้นนี่สิ

   น่าโมโหตัวเองชะมัด นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นไปแล้วใช่มั้ย!




   ภายในห้องนอนสี่เหลียมแคบๆ ที่ไม่มีอะไรดึงดูดให้หน้านอน ผมกำลังเดินวกไปวนมานับจำนวนรอบแทบไม่ได้ในมือกำโทรศัพท์ตัวเองไว้แน่น ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นมากับเล็บตัวเองอย่างวิตกกังวน พลันเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมก้มหน้างุดมองสายที่โทรเข้าค่อนข้างเป็นกังวน ไม่มีชื่อไหนที่ผมรู้สึกหนักใจเท่ากับ‘อากง’อีกแล้ว

   ก่อนหน้านี้ 10 นาทีก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากได้แก่เฉินหลังจากตื่นนอนและกำลังจะออกไปหาอะไรกิน แต่พอเห็นมันโทรมาคิดว่าผมจะกินอะไรลงหรือเปล่าล่ะ คำคอบคือไม่ มันโทรมาจิกผมเรื่องของฟรานซิส และบังคับให้ผมเป็นฝ่ายติดต่อมันซะบ้าง รายงานความเคลื่อนไหวของฟรานซิสให้มันรู้เท่าที่จะทำได้ และมันยังเร่งเรื่องข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัทของฟรานซิสให้ผมหามาให้ได้อีก แต่เรายังคุยกันไม่ทันจะเสร็จ อีกฝ่ายก็บอกให้ผมวางสายและรอมันโทรกลับอีกทีภายใน 10 นาทีเพราะมีเรื่องด่วนเข้า
 
   และเมื่อถึงเวลามันก็โทรเข้ามาจริงๆ เวลาไม่ขาดไม่เกินหรือให้ผมต้องรอนาน จริงๆ ผมแทบไม่อยากจะรอซะด้วยซ้ำแต่มันเป็นการบังคับที่หาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “ว่าไง”ผมทักไปยังปลายสาย

   “[ปากกาที่ให้มึงไปยังอยู่ใช่มั้ย]”

   “ยังอยู่”น้ำเสียงห้วนๆ ของผมแสดงความไม่เต็มใจที่จะตอบสักเท่าไหร่

   “[ดี เอามันไปเก็บไว้ในที่ๆ จะสามารถล้วงความลับมันมาได้ อย่าให้ผิดสังเกต]”

   “เออ เข้าใจแล้ว”

   “[อย่าทำให้กูผิดหวังก็แล้วกัน กูคิดว่ามึงต้องทำได้อย่างที่กูต้องการ อย่าลืมว่าทุกฝีก้าวถูกจับตามอง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ก็แล้วกัน]”

   “กูมีเรื่องอยากจะถาม....”ผมใช้ความกล้าทั้งหมดเอ่ยปากออกไป มีเรื่องมากมายที่ผมไม่เคยได้กระจ่างใจเสียที

   “[ว่ามา ถ้าตอบได้กูจะตอบให้]”

   “ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้กับฟรานซิส มึงต้องการอะไรจากเขากันแน่”

   “[ถ้าอยากจะรู้จริงๆ ล่ะก็กูจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน เผื่อมึงจะได้นอนหลับฝันดี]”ไอ้แก่เฉินหัวเราะลั่นอย่างตลกขบขัน แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันตลกเลยสักนิด และที่มันบอกว่าจะเอาบุญ คนอย่างมันเชื่อเรื่องบุญงั้นเหรอ ผมอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้ามันซะจริงๆ สาบาน

   “[…..มึงฟังให้ดีนะ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีการแข่งขัน การล้มคู่แข่งก็ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งทางธุรกิจ และบังเอิญคู่แข่งที่กูชังน้ำหน้าที่สุดก็คือไอ้เด็กอมมือนั่น กูจะทำยังไงล่ะในเมื่อนับวันมันยิ่งขวางหูขวางตา ท่าทางอวดอำนาจหยิ่งยโสนั่นทำให้กูอยากจะกำจัดให้มันไปให้พ้นๆ ทาง]”เสียงกัดฟันกรอดของอีกฝ่ายทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง

   “[ฟังไว้นะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยหรู ทางลัดของการเข้าถึงจุดมุ่งหมายมันมีไว้สำหรับคนฉลาด วิธีการคือสิ่งสำคัญและกูก็มีวิธีการของกูที่จะตัดแข้งโค่นขามันให้ไปไหนไม่รอด ฮึ! ไม่ฆ่าให้ตายก็แค่บีบให้ทรมานจนตายช้าๆ ไปเอง]”

   ตัวผมสั่นยะเยือกกับความคิดที่มันมืดดำเสียจนหาหนทางสว่างไม่เจอของไอ้แก่เฉิน

   “แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ฟรานซิสโดนทำร้าย.....”

   หน้าผมซีดเผือดแม้จะรู้คำตอบอยู่เต็มอก

   “[มึงก็ฉลาดนี่ กูยังไม่ได้ชื่นชมมึงสินะ นั่นเป็นผลงานของมึงนิ กูยกความดีความชอบให้ก็แล้วกันที่บอกเรื่องการไปประชุมกับไอ้พวกคณะกรรมการเศษหุ้นบริษัทลูกให้ สะใจดีว่ะที่เห็นความวอดวายของมันทีละนิด งานใหญ่ของมันจะได้ยืดเยื้อและมีเวลาเหลือพอให้กูได้ทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ฮึๆ!]”

   “มึงมันสกปรกนี่หว่า!”ผมอดรนทนข่มอารมณ์ในตอนนี้ของตัวเองไม่ไหวจึงเผลอพลั้งปากพูดออกไปด้วยความโมโห ทั้งโกรธตัวเองและเจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   “[สกปรก! ฮ่าๆ มึงนี่ตลก]”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะแต่ยังเค้นกลั้วหัวเราะออกมาทำผมกำหมัดจนแน่นราวกับหาที่ระบาย“[…..มึงโดนไอ้บ้านั่นเป่าหูอะไรมากูไม่รู้ แต่กูขอบอกมึงไว้สักเรื่องก็แล้วกัน ว่ามันก็ไม่ได้ต่างไปจากกูสักเท่าไหร่ ถ้ามึงอยากถูกภาพลักษณ์ขาวสะอาดนั่นหลอกกูก็ขอเตือนไว้ไอ้ลูกหมา]”

   “มึงหมายความว่าไงไอ้แก่! มองคนอื่นเป็นแบบเดียวกับมึงไปหมดแล้วรึไง แต่กูว่าถึงคนอื่นจะชั่วจะเลวแค่ไหนก็คงไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นขนของมึงเลยมั้ง ไปตายซะ!”

   ติ๊ด!

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดโมโหแล้วทำอะไรไม่ได้เท่านี้มาก่อน ความรู้สึกคับแค้นในอกกัดกร่อนกินใจผมไปที่ละนิดจนแทบจะไม่เหลือ และยิ่งเป็นเรื่องของฟรานซิสที่ไอ้แก่เฉินพูด มันอาจจะเป็นความจริงที่เป็นไปได้แต่ผมกลับหัวฟัดหัวเหวี่ยงโกรธแค้นแทนอีกคนเอาเองเสียดื้อๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับความจริง แค่ความรู้สึกผมมันตีรวนไปเอง

   เมื่อไหร่เรื่องแบบนี้มันจะจบสิ้นสักทีวะ!




   “อีกนานมั้ยวะกว่าจะถึงบ้านมัน”

   “อีกสองโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้ว ไหนมึงบอกอยากจะมาเป็นเพื่อนกูไง แต่ไหงมึงบ่นจังวะ”

   “ก็มันเมื่อยตูดแล้วนี่หว่า”

   “เออๆ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

   ผมชะโงกหน้ามองออกมาจากรั้วสองแถวที่กำลังแล่นอยู่บนถนนในหมู่บ้านซึ่งค่อนข้างมีรถสวนทางมาน้อย และแถวนี้ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ไปไหนมาไหนค่อนข้างลำบาก ที่นี่ไม่ได้เป็นถนนสายหลักที่มีรถโดยสารผ่านไปมาตลอดวัน จะมีเป็นช่วงเวลาเท่านั้น ตอนนี้ผมกับไอ้บัสสองคนกำลังนั่งรถสองแถวเพื่อจะมาที่บ้านของไอ้โชค ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าผมมาทำไม ในเมื่อผมอยากจะตามตัวมันการอยู่เฉยๆ คงไม่ได้โชคดีเจอมันเหมือนครั้งก่อนที่ร้านอาหารแน่ๆ

   ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะจริงจังตามหาตัวไอ้โชคให้ได้ มันหนี....ผมก็ตามจนสุดกำลัง

   ปี๊น!

   ผมเอื้อมมือขึ้นกดปุ่มให้สัญญาณหยุดรถแก่คนขับด้านหน้า รถค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดลง ผมจึงเดินไปจ่ายตังค์ก่อนที่รถจะแล่นออกไป ผมมองไปรอบๆ ค่อนข้างคุ้นเคย แต่เมื่อไม่ได้มาหลายปีทุกอย่างมันก็มีเปลี่ยนไปบ้าง

   “ตรงนั้นบ้านไอ้เอก”ผมชี้นิ้วไปที่บ้านเดี่ยว 1 ชั้นที่มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้าง บอกกับไอ้บัส ซึ่งคราวก่อนไอ้เอกก็เป็นคนบอกข่าวเรื่องไอ้โชคให้ไอ้บัสรู้

   “อ้อ งั้นเราไปบ้านไอ้เอกก่อนมั้ย เผื่อมันอยู่บ้านเพราะช่วงนี้มันก็น่าจะปิดคอร์สแล้วเหมือนกัน”ไอ้บัสเสนอก่อนจะเดินนำผมไปโดยไม่ถามความคิดเห็น

   “ไอ้บัส เดี๋ยวสิวะ”ผมเลยต้องวิ่งตามหลังมันไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพอไปถึงหน้าบ้านไอ้บัสก็ตะโกนเรียกเจ้าของบ้านซะเสียงดังจนผมต้องเข้าไปเปิดกะโหลกมันเบาๆ

   “มึงจะตบหัวกูเพื่อ”

   “เชี่ย เสียงดังชิบหายเดี๋ยวใครก็หาว่าคนบ้าที่ไหนมาโวยวาย”

   “กูไม่สน ถ้าไม่รีบกูได้ติดอยู่ในหมู่บ้านนี้แน่ๆ กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องรีบๆ หาข่าวแล้วกลับสิวะ”ผมปล่อยให้ไอ้บัสทำตามใจเพราะเห็นด้วย จนกระทั่งมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้วตะโกนถามมาทางผม

   “มาหาใครจ๊ะ?”

   “เอ่อ มาหาเอกครับ เอกอยู่มั้ยครับ พวกเราเป็นเพื่อนเอกจากมหาลัยครับ”

   “งั้นรอเดี๋ยวนะ ป้าจะไปตามมาให้”แล้วหญิงวัยกลางคนก็ผลุบเข้าบ้านตัวเองไป จนผ่านไปไม่นานร่างสูงๆ หุ่นเหมือนนักบาสเก็ตบอลที่ใส่กางเกงบอลกับเสื้อยืดสบายๆ ก็เดินออกมา ไอ้เอกหรี่ตามองมาทางพวกเราอย่างสงสัยก่อนผมจะโบกมือแล้วเรียกชื่อมันออกมา

   “ไอ้เอกกูเอง! ธันไง”

   “อ้อไอ้ธันเพื่อนไอ้โชคใช่ป่าว”ผมอยากจะตะโกนบอกกลับไปว่า กูไม่ใช่เพื่อนมันอีกแล้ว แต่ติดตรงที่ไม่ได้สนิทพอจะตอบไปแบบนั้น

   “อืม”

   “เข้ามาข้างในก่อน”มันเปิดประตูรั้วเหล็กตาข่ายให้ผมกับไอ้โชคเข้ามาแล้วพาไปนั่งที่ศาลาใต้ร่มไม้หน้าบ้านใกล้ๆ ก่อนผู้หญิงวันกลางคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ไอ้โชคจะยกน้ำกับขนมมาให้บริการซะเต็มที่จนผมเกรงใจ ทั้งๆ ที่มารบกวนบ้านเขาแท้ๆ

   “ไอ้เอก นี่ไอ้บัสเพื่อนกูในคณะ”ผมแนะนำ

   “กูคนที่ขอเบอร์มึงครั้งก่อนจำได้ป่ะ”ไอ้บัสชี้หน้าตัวเองถามทวนความจำไอ้เอก

   “เออๆ กูจำได้ แล้วตกลงมีธุระอะไรกันวะ ถึงมาไกลกันขนาดนี้”

   “กูมีเรื่องอยากจะมาถามหน่อยว่ะ เรื่องไอ้โชค”

   ในที่สุดผมก็เริ่มเปิดประเด็น ผมบอกไอ้เอกว่ามาหาไอ้โชคแต่มันไม่อยู่บ้านไม่รู้ว่าหายไปไหน มันไม่ยอมติดต่อใครเลยและไม่รู้ว่าจะไปหามันได้ที่ไหนดี แต่ผมไม่ได้บอกปัญหาของผมกับไอ้โชคให้ไอ้เอกฟัง จากที่ฟังไอ้เอกเล่ามันก็เท้าความถึงตอนที่มันเห็นไอ้โชคแบกกระเป๋าออกจากบ้านตอนนั้นและก็ไม่เห็นวี่แววว่ามันจะกลับบ้านมาเลย แต่ด้วยความที่บ้านไอ้เอกกับบ้านโชคเป็นเพื่อนบ้านละแวกเดียวกัน แม่ของไอ้โชคเลยเคยมาคุยเรื่องไอ้โชคที่บ้านมันอยู่บ่อยครั้ง

   จากที่ได้ยินมา แม่ของไอ้โชคก็เล่าว่าไอ้โชคมันตัดสินใจลาออกเพราะบอกว่าไม่ชอบคณะที่เรียนและอยากไปหาประสบการณ์ แม่มันก็เสียใจหนักแต่ห้ามไม่อยู่ ไอ้โชคทะเลาะกับแม่มันแล้วก็ออกจากบ้านไปเลย แต่แม่มันบอกว่าไอ้โชคก็น่าจะไปขออาศัยอยู่กับอาที่ในกรุงเทพฯ ย่านการค้าแห่งหนึ่ง ผมปะติดปะต่อเรื่องราวก็พอรู้ว่าไอ้โชคปกปิดเรื่องของมันเอาไว้แล้วแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกแม่มัน

   ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แม้กระทั่งคนในครอบครัวของมันเองก็ยังโดนมันหลอก นับประสาอะไรกับผม

   “แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหามันเจอได้ไงวะ”ไอ้บัสกุมขมับหน้าตึง

   “แต่กูว่ามันน่าจะมีเรื่องว่ะ และเรื่องนึงที่กูสงสัย”ไอ้เอกทำหน้าครุ่นคิดหยิบน้ำในแก้วขึ้นมาจิบ

   “เรื่องอะไรวะ?”

   “ก็เรื่องที่กูเคยเห็นมันอยู่กับรุ่นพี่คณะมึงที่ชื่อพี่ต้นกับพี่นนท์กลางค่ำกลางคืนแถวหลังมอ”

   “ไอ้เชี่ยต้นกับไอ้สัสนนท์อ่านะ”ผมอุทานออกมาเรียกคำนำหน้าอย่างไม่ให้เกียรติ แต่ในคณะใครๆ ก็รู้ว่าไอ้สองตัวนั้นมันน่าคบซะที่ไหนผีพนันทั้งนั้น ใครข้องแวะด้วยก็มีแต่ลงเหว

   “เชี่ย! ไอ้ธัน แม่งรึว่าไอ้โชคมัน.....”ไอ้บัสเว้นประโยคหันมามองหน้าผมอย่างสยอง

   “ไม่ๆ กูว่าไม่น่าใช่อาจบังเอิญ เพราะกูไม่เคยเห็นว่ามันไปสนิทกับไอ้สองตัวนั้นตอนอยู่ต่อหน้ากูเลย”

   “มึงจะรู้ได้ไง ลับหลังมึงมันอาจจะทำอะไรที่มึงไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ มึงยังจะเชื่ออีกเหรอว่ามันจะเป็นคนดี....”ไอ้บัสถึงกับขึ้นแต่ผมก็รีบอุดปากมันไว้ทันเพื่อไม่ให้มันพูดมากไปกว่านี้

   “เออๆ กูรู้แล้ว!”ผมขยิบตาส่งซิกให้ไอ้บัสว่ามันไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ เพราะถ้าที่บ้านนี้รู้ ไม่นานก็คงรู้เรื่องชั่วๆ ถึงแม่ไอ้โชคแน่ๆ และผมก็ไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย

   “ตกลงพวกมึงสองคนมีเรื่องอะไรกับไอ้โชคกันแน่วะ”ไอ้เอกถามอย่างสงสัย

   “ไม่มี ก็ตามที่บอกมันหายไปพวกกูเลยมาตามหา แล้วก็เป็นห่วงมันเรื่องเรียนแล้วลาออกนี่แหละ”

   ไอ้เอกพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ มันอาจจะสงสัยคาใจหลายอย่าง แต่คงเพราะมันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่มันควรจะมาวุ่นวายเลยไม่มีคำถามใดๆ ให้ผมต้องตอบอีก หลังจากคุยกันเสร็จกับไอ้เอก ผมก็ขอลามันกลับรวมทั้งไปไหว้ของคุณแม่ไอ้เอกเรื่องน้ำกับขนม ผมกับไอ้บาสเดินเท้ามาประมาณ 200 เมตรมารอรถริมถนนที่ศาลาเก่าๆ ริมทาง ซึ่งไอ้เอกบอกว่าอาจจะเจอเที่ยวสุดท้ายถ้าโชคดี

   “ไอ้เชี่ยธัน มึงว่าพวกเราจะโชคดีหรือร้ายวะ”ไอ้บัสยืนเกาตูดยิกๆ ชะเง้อมองทาง ส่วนผมก็นั่งรอรถมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
   
   “กูไม่รู้ว่ะ”

   “มึงพูดได้ไงว่าไม่รู้กูไม่นอนนะเว้ยแถวนี้ เดี่ยวมีผีมาหลอก”

   “ผีเผอบ้านมึงสิ พูดอะไรเกรงใจป่าข้างหลังกูด้วย”ผมหันไปมองป่าเขียวชอุ่มรกทึบด้วยสายตาวอกแวก

   “แล้วทำไมมึงไม่เอ่ยปากขอให้ไอ้เอกไปส่งตั้งแต่แรกวะป่านนี้ก็ไม่ต้อมานั่งรอรถนานแบบนี้”

   “กูเกรงใจ มึงก็เห็นว่าแม่มันอยู่คนเดียว จะให้มันหอบแม่มันติดรถมาส่งพวกเรางั้นเหรอวะไกลก็ไกล กูทำไม่ได้ว่ะไหนๆ มันก็บอกแล้วว่าถ้าโชคดีก็เจอรถเที่ยวสุดท้าย”

   “เออๆ เพราะความเกรงใจของมึง งั้นก็ต้องรอ รอ และรอ”ไอ้บัสพูดเชิงประชดแล้วมานั่งแหมะลงข้างๆ ผมก่อนจะถอนหายใจยาวเป็นกิโล

   “เดี๋ยวรถก็มา”ผมพูดเสียงอ่อยนั่งกอดกระเป๋าด้วยความเหนื่อย

   “แล้วตกลงมึงจะเอายังไงเรื่องไอ้โชค”

   “กูจะลองไปถามไอ้ต้นกับไอ้นนท์ดู ถ้ามันจริงกูอาจจะพอเดาได้ว่ามันเอาเงินไปทำอะไร แล้วทำไมต้องทำเรื่องเชี่ยๆ กับกู”

   “มึงก็รู้ว่าที่อยู่ของสองตัวนั่นมีแต่พวกขี้ยาผีพนัน มึงจะไปตามยังไง ในมหาลัยตอนนี้ก็ไม่มีทางเจอเพราะนี่ก็ทยอยปิดกันไปหมดแล้ว”

   “ก็ยากอะไร มันอยู่ที่ไหนกูก็ตามไปถามที่นั่น”

   “มึงพูดนี่ไม่ห่วงสวัสดิภาพชีวิตมึงเลยนะ”

   “กูไม่มีอะไรจะห่วงแล้ว”สายตาของผมทอดมองออกไปอย่างเหมอเลย แล้วก็ตอบไอ้บัสไปอย่างใจคิด ก็แน่ล่ะชีวิตผมตอนนี้มันเหมือนแขวนอยู่บนเส้นได้ที่ร้อยต่อกับอีกหลายๆ ชีวิต

   “เห้อ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ใช่มั้ยวะ! อย่าเพิ่งท้อก็แล้วกัน”ไอ้บัสเอื้อมือมากอดคอผมอย่างให้กำลังใจแล้วตบบ่าสองสามที ผมยิ้มบางๆ หันไปมองหน้ามันก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองนาฬิกา

   “กูว่าวันนี้คงกลับไม่ทันรถแล้วว่ะ คงต้องหาที่นอนแถวๆ นี้”

   “ไอ้เชี่ยธัน! มึงอย่ามาล้อกูเล่น”

   “กูไม่ได้ล้อเล่น กูจะไปยืนโบกรถชาวบ้านแถวนี้ไปลงที่แถวๆ วัดที่พอจะนอนได้แล้วกันตอนเช้าค่อยกลับ”

   “มึงฆ่ากูซะตรงนี้เถอะไอ้ธัน!”

   สรุปแล้วคืนนี้ผมกับไอ้บัสไม่สามารถกลับบ้านได้ ผมโบกรถชาวบ้านแถวนี้อย่างที่พูดแล้วก็โชคดีตรงที่ว่าผมไม่ต้องพาไอ้บัสไปนอนวัด เพราะลุงชื่นคนที่ผมติดรถมาด้วยแกบอกว่าคืนนี้ให้ไปนอนที่บ้านแกก็ได้ แล้วตอนเช้าก่อนแกจะเข้าส่วนจะออกไปส่งที่ท่ารถให้ ไอ้บัสถึงกับเป็นปลื้มกินข้าวบ้านลุงแกได้ไปหลายชาม จนลุงชื่นแกถึงกับชมว่ากินเก่งตัวใหญ่ เหมือนไอ้บุญเกิดที่แกเลี้ยงไม่มีผิด คิดเอาเถิดว่าไอ้บุญเกิดคือใครไอ้บัสถึงกับยิ้มข้าวร่วงจากปาก

   และก่อนที่ผมจะนอนเพราะลุงชื่นแกนอนไวตั้งแต่ 2 ทุ่ม พวกเราเลยต้องรีบเข้านอนด้วย จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมว่าสัญญาณมันไม่ค่อยดีเลยปิดเครื่องไป แต่พอมาที่บ้านลุงชื่นสัญญาณก็กลับมา แต่บางทีก็ขาดๆ หายๆ บ้างตามประสา ผมเลยต้องขอตัวออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอน แต่ไอ้บัสก็ขอตามมาด้วยเพราะบอกว่าไม่อยากนอนมองตากับลุงชื่นแกสองคนในห้อง

   “ฮัลโหล”ผมเอามือป้องเสียงตัวเองหันหลังให้ไอ้บัสที่ยืนรอขณะรับสาย

   “[ทำไมถึงปิดเครื่อง ฉันโทรหานายหลายครั้งมาก]”เสียงเย็นเยือกของคนพูดทำให้ผมถึงกับหนาวไปด้วย

   “พอดีโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยปิดเครื่อง ตอนนี้ผมออกมาต่างจังหวัด จริงๆ แล้วผมเขียนโน๊ตติดไว้ที่ตู้เย็นเมื่อตอนเช้าแล้วตอนผมเข้าไปทำความสะอาด คุณคงไม่ได้อ่านว่าผมจะไม่เข้าไปตอนเย็น”ผมอธิบายเป็นฉากๆ เพื่อไม่ให้ฟรานซิสที่ดูเอาเรื่องมาหาเรื่องผมได้

   “[แต่นายไม่ได้เขียวไว้ว่าจะอยู่จนค่ำมืด]”นั่นแสดงว่าเขาอ่านมันแล้วสินะ

   “ผมตั้งใจจะกลับ แต่ว่ารถมันหมดซะก่อนผมเลยต้องค้างแถวนี้ แล้วจะกลับตอนเช้า”ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาอธิบานอะไรที่มันดูยาวยืดให้เขาฟังด้วย

   “[ค้างกับใคร]”

   “กับไอ้บัสสองคน”

   “[บอกมาว่าอยู่ที่ไหน ฉันจะให้คนเอารถไปรับ]”เสียงเย็นเยียบเมื่อครูแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้อนใจซะแทน

   “คุณฟรานซิส นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ แถวปากซอย คุณถึงจะทำแบบนั้นได้”ผมโผล่งออกไปเสียงดังประมาณหนึ่งจนไอ้บัสเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสะกิดถามประมาณว่าใคร และมีอะไร ผมโบกมือให้มันหลบไปอย่างรำคาญ

   “[ก็ไม่ใกล้ฉันถึงยิ่งต้องให้คนไปรับกลับ บอกที่อยู่มาว่าที่ไหนธัน]”

   “ผมจะกลับพร้อมไอ้บัสพรุ่งนี้เช้าครับ”

   “[ไม่ได้]”

   “คุณฟรานซิส ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ และที่สำคัญคุณกลัวว่าผมจะหนีงานรึไง”ผมถึงกับกุมขมับกับผู้ใหญ่เอาแต่ใจ

   “[ฉันไม่ได้กลัวเรื่องไร้สาระพวกนั้น  แต่ฉันเป็นห่วง]”น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฟังดูจริงจังถึงกับทำผมค้างไปสามวิก่อนจะตามมาด้วยอาการหน้าแดงแข่งกับลูกตำลึงสุกข้างบ้านลุงชื่น

   “เอาเป็นว่า ผมจะกลับเองพรุ่งนี้แล้วกันแล้วจะเข้าไปตอนเที่ยง แค่นี้ก่อนนะครับ”ผมรีบกดตัดสายทิ้งเพราะกลัวจะถูกจู่โจมด้วยประโยคไม่คุ้นหูแบบนั้นอีก

   เป็นห่วงงั้นเหรอ.....เขาจะมาเป็นห่วงอะไรกับคนอย่างผมล่ะ
 
   “ไอ้ธัน มึงคุยกับใครวะ แล้วทำไมต้องทำท่าอย่างกับมีความลับ”ไอ้บัสเท้าสะเอวจ้องหน้าผมอย่างอยากรู้

   “ไม่มีเว้ย!”ผมโวยเตรียมตัวเดินหนี

   “ไม่มีอะไร หรือว่ามีแฟนแล้วไม่บอกกูวะ ดูดิ๊หน้าแดงขนาดนี้ไม่เขินก็เมา แต่กูว่าอย่าแรกมากกว่า”

   “อย่ามาทำรู้มากกูไม่มีฟงมีแฟนอะไรทั้งนั้น กูจะเอาเวลาไหนไปมีวะ”ผมเถียงมันกลับ มันก็ทำท่าคิดหนักไปครู่หนึ่ง

   “เออใช่วะ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นผู้ชายมาดแมนแสนแฮนซั่มกาย อย่างเจ้านายของมึงวะ”

   “อะไรมึง อะไร!”

   “นั่นไงกูว่าแล้ว!”ไอ้บัสตบขาดังฉาด“กูคิดไม่ผิดว่าระหว่างมึงกับเจ้านายมึงต้องมีอะไรแน่นอน ไม่งั้นไม่มีเจ้านายคนไหนมานั่งหัวโด่ยอมเล่นเกมส์บ้าๆ ของไอ้จูนต่อหน้าพวกกูหรอก”

   “มึงคิดไปเองป่ะเนี้ย สมงสมองยังดีมั้ย”

   “เชี่ย! อย่ามาเฉ มึงปิดคนอื่นได้แต่ปิดกูไม่มิดหรอก หน้ามึงตอนนี้ก็ตีแผ่เรื่องจริงไปครึ่งเรื่องแล้วอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”ไอ้บัสชี้นิ้วดันหน้าผากผมจนจะหงายหลัง ก่อนมันจะเปิดตูดเดินเข้าบ้านไปแล้วผมก็ต้องวิ่งตามมันไปติดๆ

   หน้าผมมันฟองขนาดนั้นรึไง แต่มันก็เรื่องจริงที่ผมกับฟรานซิสมีสัมพันธ์ทางกายแต่เรื่องทางใจมันยังไม่ชัดเจน หรือคนที่ไม่ชัดเจนจะเป็นผมเอง

   แต่ตอนนี้ใช่เวลามาคิดเรื่องตัวเองมั้ยไอ้ธัน!




>>> to be continued


*******************************************

กลับมาแล้วหลังจากหายไปหลายวัน :m23:
เนื่องจากมีภารกิจด่วน ตั้งแต่นี้ก็จะมาอัพตามปกติได้แล้วค่ะ :a1:
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามนะคะ


 o18 o18




ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
บ่องตงชอบเรื่องนี้   :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
บอกตง ไม่ชอบแบบนี้เลยอ่ะ

ถ้าฟรานซิสรู้นะ ตายแน่ๆเชียว  :ling3:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ทำไมฟรานซิสไม่ช่วยอ่า หรือว่าไม่รู้จริงๆ หรือรอนายเอกเอ่ยปากขอร้อง  :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด