Just you and I ตอนพิเศษ : เด็กขี้เหงา เอาแต่ใจ
เฮ้อ ผมถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน มันรู้สึกไม่ชอบใจที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลยจริงๆ กลอยประเกรียนผู้ซึ่งไม่เคยเบื่อ ไม่เคยเหงา หายไปไหนนะ
“เฮ้อ” ถอนหายใจอีกรอบ แต่คราวนี้ถูกสะกิดจากด้านหลัง ไอ้ที่สะกิดไม่ใช่มืออย่างแน่นอน ผมตวัดสายตาไปมองด้านหลัง เจอกับคนหน้าบึ้งกอดอกและอวัยวะที่ใช้เขี่ยกำลังขยับไปวางที่เดิมกับคู่ของมัน
“ถอนหายใจอะไรของมึงวะ หมากูจะเฉาตายเพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่มึงปล่อยออกมาอยู่แล้วเนี่ย” พี่แทมยืนทำหน้าทะมึนตึงกอดอกอยู่ด้านหลัง พี่เขาใช้ขาเขี่ยหลังผมจนหน้าแทบพุ่งไปจูบกับพื้นปูนซีเมนต์
“พี่อย่ามาเว่อร์ได้ป่ะ” ย่นหน้าแล้วหันกลับไปลูบหัวเจ้าสีนวลที่เริ่มโต แถมอ้วนเกือบจะเป็นหมูแทนหมาอยู่แล้ว ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนถูกขุนให้อ้วนเกิน
“เป็นอะไร ทะเลาะกับไอ้โชมาเหรอถึงมาหากูถึงที่บ้านเนี่ย” ผมเหล่หางตามองคนที่ยืนอยู่
“ผมไม่ได้มาหาพี่สักหน่อย ผมมาหาหมาของผม”
“หมาของมึง? งั้นเอากลับบ้านมึงเลยไป”
“พี่แทมก็ บ้านผมมีที่เลี้ยงที่ไหนกันเล่า” รีบคว้าขายาวๆ ที่เขี่ยหลังผมมากอด พี่แทมพยายามสะบัดผมออกจากขาจนลงไปนั่งกับพื้นปูน “ใจร้ายว่ะแม่ง ใจร้ายเหมือนเพื่อนพี่เปี๊ยบ”
“หน้างออีก เป็นอะไรของมึงวะ ไอ้โชไม่ยอมนอนกับมึงหรือไงถึงงอนมันเนี่ย”
“ปากหมา”
“เอ้า ด่ากูอีก”
“เพื่อนพี่ไม่มีเวลาให้ผมเลยนี่ วันๆ เอาแต่ทำงานๆๆ อาทิตย์หนึ่งผมเจอหน้าพี่เขาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น นี่พี่เขาเบื่อหน้าผมแล้วใช่มั้ย เพื่อนพี่เบื่อผมแล้ว”
ผมคว้าสีนวลมากอด เจ้าหมาตัวอ้วนดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขน ก่อนมันจะหยุดนิ่งแล้วพยายามเลียแขนเลียหน้าผมเพื่อปลอบใจ มันคงรู้ว่าผมกำลังเศร้าอยู่ โอ๋ๆ สีนวลจ๋า พี่กลอยรักสีนวลมากเลยนะ
“มึงโคตรเด็กเลยว่ะ” อยู่ๆ เพื่อนของคนที่ทำให้ผมน้อยใจพูดขึ้น
“เด็กยังไง ผมโตแล้วเว้ย” เถียงกลับ
“โตอะไรของมึง ท่าทางที่มึงทำอยู่เนี่ย เขาเรียกว่าเด็ก เด็กที่ไม่รู้จักโต เด็กที่ขี้เหงา เด็กที่เอาแต่ใจ มึงน่ะ ติดเพื่อนกูมากเกินไป” โดนพี่แทมใช้นิ้วจิ้มหน้าผากไปหลายจึ๊ก “มึงลองคิดดู หากวันหนึ่งมึงเลิกกับไอ้โช มึงจะมีชีวิตอยู่ได้หรือเปล่า แต่ท่าทางแบบนี้ กูว่ามึงตายชัว”
“พี่แทม!” ทำปากยื่นเหมือนเป็ดให้รู้ว่าไม่พอใจ
“กูพูดจริง มึงติดไอ้โชจนเกินไป จนเหมือนขาดมันไม่ได้”
ผมก้มหน้ามองหน้าหมาที่ผมเคยขอร้องให้พี่โชพามันไปทำวัคซีนและพามาอยู่บ้านหลังนี้ ใช่ ผมติดพี่โชมากเกินไป แต่ผมไม่ได้ผิดสักหน่อย พี่โชเป็นคนผิดทั้งหมด พี่เขาทำให้ผมกลายเป็นคนนิสัยเสีย ผมอยากได้อะไรพี่เขาก็จะหามาให้ ทุกๆ อย่างที่ผมทำ พี่โชจะคอยมองและให้กำลังใจ พี่เขาทำให้ผมรู้สึกว่า หากขาดพี่เขาไป ผมจะอยู่ต่อไม่ได้อีก
นี่สินะ ที่ทำให้ไอ้กลอยเกรียนหายไป
นี่สินะ ที่ทำให้ผมต้องแอบนอนร้องไห้อยู่ทุกคืน
นี่สินะ ที่ทำให้ผมมองหาเพื่อนที่คอยเข้าใจ
ยื่นหน้าหอมแก้มสีนวลก่อนจะขอตัวกลับ พี่แทมทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วโบกมือไล่ นิสัยเสียเหมือนเพื่อนตัวเองไม่มีผิด ผมยกนิ้วโป้งให้คนที่ไล่แล้วขึ้นควบเจ้าฟีโน่ลูกรักก่อนขี่ออกมา ที่จริง ผมอยากจะขับสุดที่รักมา ติดตรงที่ว่า สุดที่รักถูกเอาไปจอดไว้ที่บ้านของพี่โชแล้ว แม้ผมจะอ้อนวอนยังไง พี่โชก็ไม่ยอมให้แตะอีก
กะอีแค่เอาไปทักทายฟุตบาทหนึ่งครั้ง จูบกับเสาไฟฟ้าสองครั้ง ไฟท้ายไม่รักดีร่วงลงมาอีกหนึ่งครั้ง ก็แค่นั้นเอง ถึงกับไม่ให้ผมจับสุดที่รักอีก แล้วจะซื้อให้ผมทำไม นิสัยเสียว่ะ
ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่คอนโดที่ผมอยู่ทุกวันนี้ ห้องกว้างเหมือนรกร้างนั่นเพราะผมอยู่เพียงลำพัง เจ้าของห้องนานๆ จะกลับมานอนที่นี่ที นั่นเพราะบ้านใกล้ที่ทำงานมากกว่า ผมยืนอยู่หน้าประตูหลังจากเปิดเข้ามาในห้อง สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ
ห้องมันกว้างกว่าผมจะอยู่ตัวคนเดียว
ผมว่า ผมควรเรียกคนเดิมของผมให้กลับมาสักที ไม่อย่างนั้น อาจเป็นเหมือนที่พี่แทมว่า หากวันไหนผมขาดพี่โชไปจริงๆ ผมคงจะทนอยู่ไม่ได้แน่
ลองกดโทรหาเพื่อนเพื่อให้มันช่วยหาหอพักใกล้ๆ มหาลัยให้ ไอ้สักแนะนำหอที่มันพัก ก็น่าสนอยู่หรอก แต่ผมว่า มันไกลไปหน่อย แถมราคาก็โหดเกินไป ผมลองโทรไปที่หอพักเดิมที่เคยอยู่ พอดีมีห้องว่างผมเลยได้ที่อยู่ที่คุ้นเคย
มองรอบๆ ห้องเพื่อเก็บเป็นความทรงจำ หวังว่า เจ้าของห้องคงไม่ปล่อยให้ห้องนี้สกปรก ครัวที่ผมเคยทำรกทุกครั้งตอนเข้าครัว ผมจะคิดถึงมัน พยายามกลั้นน้ำตาที่ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่อก มือก็เก็บกวาดข้าวของตัวเองใส่กระเป๋า ผมเพิ่งรู้ว่า เสื้อผ้าข้าวของๆ ผมมีมากซะจนขนรอบเดียวไม่หมด ผมเลยเลือกแค่สิ่งที่จำเป็นไปก่อน อย่างเสื้อผ้า ของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
ยกเป้ที่มีของๆ ผมขึ้นหลัง ห้องจ๋า ลาก่อน ผมโบกมือให้กับห้องที่อยู่มานานจนเคยชินแล้วรีบเปิดประตูออกไปโดยไม่หันหลังกลับ พอกำลังจะควบรถมอเตอร์ไซค์ ลุงยามที่เพิ่งเดินตรวจตราตะโกนทักทาย ผมยกมือไหว้ลาก่อนจะรีบบิดรถคู่ใจออกมา
ผมรู้ว่าที่ทำอยู่เหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจ ก็มันเหงานี่นาอยู่ห้องใหญ่นั่นเพียงคนเดียว เหลียวมองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่า
ไอ้กลอยประเกรียนจงกลับมา
ขี่รถจนมาถึงหอพักที่คุ้นเคย ผมยกมือปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มแล้วยกยิ้มให้กับป้าที่ดูแลหอพักที่เห็นผมก็รีบปรี่เข้ามาหา เมื่อก่อนผมโคตรสนิทกับป้าแกเลย หลายครั้งที่ป้ามักจะหยอดผมไปให้หลานของเขา ผมคงจะดีใจหากหลานป้าเป็นผู้หญิง
หอคุ้นเคย แต่ห้องๆ ใหม่ ห้องที่ผมเคยอยู่ มีพี่ปีสี่เข้าพักและยังไม่ย้ายออก ทำให้ผมต้องมาอยู่ห้องใหม่ชั้นเดิม ตอนเดินผ่านห้องเก่าน้ำตาแทบตก ห้องที่ผมอยู่มาตั้งแต่ปีหนึ่ง โคตรคิดถึงเลยให้ตาย แต่ห้องใหม่ก็ไม่ได้แย่ ผมวางเป้ที่มีของลงบนพื้นแล้วทิ้งตัวนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรง
เหนื่อย
น้ำตาที่ไหลมาตลอดทางกลับมาไหลอีกครั้ง คราวนี้ผมปล่อยโฮออกมาเสียงดังเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว ผมจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีน้ำตาของไอ้กลอยอีก
ผมแหกปากร้องไห้อยู่นานจนเริ่มสะอื้น เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น พอดูชื่อคนโทรเข้ามาผมก็รีบตัดสายทิ้ง ไม่ ผมจะต้องเข้มแข็ง ผมจะต้องทนอยู่ให้ได้ ไอ้กลอยจะต้องกลับมาอยู่คนเดียวให้ได้ แล้วผมก็ปล่อยเขื่อนแตกอีกรอบ
ไม่รู้เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีส้ม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วพากันบินกลับรังนอน ผมเดินตาบวมมาล้างหน้าให้สดชื่น ท้องที่แบนเริ่มประท้วงเพราะความหิว คิดถึงร้านหน้าหอจัง หวังว่าจะอร่อยเหมือนเดิม ผมเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ เสื้อยืดกางเกงบอลแล้วคว้ากระเป๋าเงินติดมือลงไปด้วย
ห้องที่ผมเคยอยู่เปิดออก พอดีกับผมเดินผ่าน คนที่พักเป็นรุ่นพี่ (ป้าที่ดูแลบอกมา) ดูจากหน้าตาและสภาพ คงจะเรียนเกี่ยวกับพวกวิชาการแหงๆ หน้าขาว ใส่แว่น ทำตาขวางแบบนี้ ผมเดินผ่านพร้อมกับยิ้มให้นิดๆ ก่อนเดินผ่านไป ไม่รู้จักเลยไม่ต้องทักทาย
ร้านประจำที่ผมฝากท้องบ่อยตอนยังอยู่ที่หอ พี่เจ้าของร้านยังจำผมได้ดี ก็แน่ล่ะ ความหล่อของผมมันยังแผ่ซ่านเป็นที่จดจำของทุกคน
“หายหน้าไปเลยนะ พี่คิดว่าเราลืมร้านพี่ไปแล้ว”
“ใครจะไปลืมร้านอาหารที่โคตรอร่อยขนาดนี้ล่ะครับ” ผมว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนพี่เจ้าของหัวเราะ
“ปากก็ยังหวานเหมือนเดิมนะเรา” ยิ้มรับคำชมก่อนสั่งกับข้าวประจำ
ผมมองรอบๆ ร้านที่ดูกว้างขวางขึ้น สมัยตอนผมอยู่ ร้านนี้มีโต๊ะนั่งแค่ห้าโต๊ะเอง เคยมารอกินกับไอ้ทูเกือบชั่วโมงกว่าจะได้นั่ง ตอนนี้เพิ่มโต๊ะมาอีกตั้งสามโต๊ะ
ข้าวผัดหมูไข่ดาวไม่สุกหอมยั่วน้ำลายตรงหน้า ผมรีบจัดการอย่างเอร็ดอร่อยไม่สนสายตาของรุ่นพี่วิชาการที่นั่งเยื้องกันอยู่ เห็นพี่เขาหัวเราะตอนผมอ้าปากกินคำใหญ่ เพราะความรีบทำให้สำลักจนเกือบตาย ดีที่มีคนเอาน้ำมาให้ ผมรีบยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว พอรู้สึกดีเลยหันไปขอบคุณ
“ขอบคุณครับ...เห้ย” รอยยิ้มที่ฉีกกว้างกลายเป็นอ้าปากแทน คนใจดีที่เอาน้ำมาให้ยืนจ้องหน้าผมนิ่ง แขนสองข้างยกขึ้นกอดอก สีหน้าไม่มีวี่แววว่าจะล้อเล่น
“เป็นอะไรของมึงวะ” ผมขมวดคิ้วมองพี่โชที่ขึ้นมึงใส่ ไม่บ่อยที่จะได้ยินหากไม่โมโหจริงๆ
“เปล่า” ส่ายหน้าตอบก่อนจะหันไปกินข้าวตรงหน้า ทำเหมือนมันอร่อย แต่ที่จริงตอนนี้แทบกลืนไม่ลง แค่เห็นหน้าพี่โชเท่านั้นท้องก็ไม่รับแล้ว
“กลอย อย่าทำให้กูโมโหมากไปกว่านี้” น้ำเสียงเย็นเหยียบชนิดที่ว่า ขนต้องลุกทุกครั้งที่ได้ยิน ผมเหล่มองคนที่ยังยืนปั้นหน้าโหดอยู่ด้านหลัง “กลับไปคุยที่ห้อง เดี๋ยวนี้”
“แอ่อ๋มอินอ้าวอู่ (แต่ผมกินข้าวอยู่)” ผมยัดข้าวเต็มปากแต่ก็พูดออกมา ได้ยินเสียงกัดฟัน สงสัยคงพยายามระงับความโกรธของตัวเอง ผมไม่หันไปมองหน้าเพราะกลัวจะใจอ่อน
“ไอ้กลอย!” เสียงตวาดดังลั่นทำเอาคนในร้านพากันสะดุ้งเป็นแถวๆ
“พี่จะเสียงดังทำไมเนี่ย” ผมว่า ก่อนตัวลอยเมื่อถูกดึงขึ้นจากเก้าอี้ ผมรั้งตัวเพื่อจ่ายเงินให้กับพี่เจ้าของร้านก่อน พี่โชส่งเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็รอ “พี่นี่มัน” จ่ายเงินเสร็จผมก็ตรงดิ่งขึ้นหอ มีปีศาจเดินหน้าบึ้งตาม
ภายในห้องขนาดเล็กที่ข้าวของยังไม่ได้ถูกจัดให้เข้าที่ มุมห้องมีกระเป๋าเสื้อผ้าของผมวางอยู่ ข้างๆ มีซากเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่ถอดกองอยู่ ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ปีศาจเดินมาประชิดซะจนผงะ
“อะไร” เงยหน้าถามนิ่งๆ ซ่อนความกลัวไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ผมต้องไม่แสดงอาการเดี๋ยวปีศาจจะจับทางได้
“เป็นอะไร เก็บเสื้อผ้าออกมาจากคอนโดทำไม” ปีศาจถามเสียงแข็ง ดวงตาคมปรายตามองข้าวของๆ ผม “หรือเพี้ยน?”
“ผมไม่ได้เพี้ยน พี่นั่นแหละทำให้ผมเป็นแบบนี้” แค่เห็นหน้านิ่งๆ นั่นก็ทำให้ความน้อยใจตีตื้นมาจุกอยู่ในอก “พี่ทำให้ผมเหงา พี่ทิ้งผมให้อยู่คนเดียว พี่ทำให้ผมกลายเป็นคนเจ้าน้ำตา” พยายามกลั้นเสียงสะอื้นตัวเองเมื่อน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม ผมจ้องหน้าคนที่ยังทำตัวเฉยเมย
“มึงทำตัวมึงเอง” ผมขมวดคิ้วเมื่อถูกโยนความผิดมาให้ ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผมทำตัวเองเหรอ
“พี่โคตรปัญญาอ่อนว่ะ” หัวเราะทั้งน้ำตา
“ไอ้กลอย”
“ผมพูดจริง พี่ไม่รักผมแล้วจะเก็บผมไว้ทำไม พี่ควรบอกผมให้ผมรู้ตัวและปล่อยผมไป ผมจะได้เจ็บครั้งเดียว” ไม่สนน้ำตาที่ไหลจนมองเห็นหน้าคนใจร้ายไม่ชัด “ผมรักพี่ แต่พี่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง พี่ใจโหดร้ายเกินไป” รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องพบเจอ
“ถ้าอยากฟังก็ได้” ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อปีศาจใจร้ายอ้าปากจะพูด อยากยกมือปิดหูแต่ก็ต้องทนฟัง ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีท่าทีแสดงอาการเสียใจใดๆ กับการร้องไห้อย่างหนักของผม “กูไม่ได้รักมึง”
เหมือนฟ้าผ่าลงที่กลางหัวสะเทือนไปถึงหัวใจ ผมมองหน้าคนใจร้ายที่บอกไม่ได้รักผม รอยยิ้มที่มุมปากนั่นแสดงให้เห็นว่าพี่เขาไม่ได้โกหก พี่เขาไม่รักผมแล้ว...
“ไอ้พี่โชใจร้าย ผมเกลียดพี่!!!” ตะโกนออกไปจนสุดเสียง “ผมเกลียดพี่!”
“กลอยๆ” แรงตบที่หน้าทำให้ลืมตาขึ้นมอง ผมจ้องหน้าคนที่เพิ่งบอกไม่รักผม พี่โชทำตาโตมองหน้านิ่ง น้ำตาที่เอ่อออกมาไหลอย่างไม่กั้นไว้ “ร้องไห้ทำไมเนี่ย” ใบหน้าปีศาจตกใจ ทำท่าทางลนลานดึงให้ผมลุกขึ้นนั่ง
“พี่ ฮึก พี่บอกว่าไม่รักผมแล้ว” ร้องไห้โวยวายออกมา ผมยกแขนปาดน้ำตาที่ไหลเป็นสาย “พี่ใจร้าย ไม่รักผมแล้ว”
“บอกตอนไหน ไม่ร้องสิไม่ร้อง” โดนพี่โชดึงไปกอด ผมซบหน้าจนเสื้อยืดสีขาวชุ่มน้ำตาเป็นวงกว้าง
“เมื่อกี้” ตอบพร้อมเสียงสะอื้น
“เมื่อกี้? แน่ใจเหรอ” รีบพยักหน้าตอบ “ฝันแล้วล่ะแบบนั้น” ผมผละจากอกอุ่นๆ พลางตวัดสายตามองคนพูดติดขำท้ายประโยค
“ไม่ได้ฝัน” จริงๆ ผมไม่ได้ฝัน ผมได้ยินพี่โชบอกว่าไม่รักเต็มสองรูหู ว่าแต่...ทำไมผมนอนอยู่บนเตียง แล้วทำไมเตียงนี้ถึงอยู่ในห้องนอนพี่โช “แต่ผมไม่ได้ฝันนะ” น้ำเสียงเริ่มเบาหวิว หรือผมจะฝันไปจริงๆ วะ
“พี่ไม่มีทางบอกไม่รักกลอยหรอกนะ ดูซิ ฝันเป็นตุเป็นต่ะร้องไห้เป็นเผาเต่าแล้วมาด่าพี่อีก” พี่โชยิ้มอย่างอ่อนโยน นิ้วยาวยื่นมาเช็ดน้ำตาที่แก้มผมออก “ต่อไปห้ามฝันแบบนี้นะ ตะโกนออกมาได้ว่าเกลียดพี่”
“ไม่ได้อยากฝันแบบนี้สักหน่อย” ตอบกลับคล้ายละเมอ เดี๋ยวนะ ผมฝันตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องที่เห็นทั้งหมดคือ...ผมฝัน? “ผมไปหาพี่แทมที่บ้านมาหรือเปล่า” จ้องหน้าถามพี่โช คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นมองก่อนส่ายหน้า
“ก่อนนอนมีแค่กลอยงอแงบอกให้พี่พาไป”
“แต่ผมไปบ้านพี่แทมนะ ไปกอดสีนวลอยู่เลย” ยังจำกลิ่นหอมติดตัวสีนวลได้อยู่เลยนะ “แล้วพี่แทมก็บอกว่าผมเป็นเด็กขี้เหงาเอาแต่ใจ ทำตัวติดพี่โชมากเกินไป เกิดวันหนึ่งพี่โชเลิกกับผมๆ จะอยู่ไม่ได้”
“ไอ้เชี่ยแทมมันพูดแบบนั้นเหรอ” หันขวับมองหน้าคนถาม รอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อกี้หายวับไปกับตา พี่โชจ้องหน้าผมก่อนชะโงกตัวผ่านหน้าผมไปหยิบมือถือของตัวเองที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงด้านผม (ด้านตัวเองก็มีไม่วางนะคนเรา)
“พี่ทำอะไร” ผมถามเพราะพี่โชกำลังเลื่อนหาเบอร์ใครสักคน
“หาไอ้แทม” เชี่ย ผมรีบตะครุบโทรศัพท์เครื่องนั้นมากอด พี่โชขมวดคิ้วมองแล้วแบมือมาตรงหน้า
“เอามา”
“ไม่ให้ พี่จะโทรหาพี่แทมทำไม”
“ก็ด่าที่มันพูดแบบนั้น” สีหน้าของปีศาจดูก็รู้ไม่ใช่แค่จะด่าเรื่องนั้นแน่นอน “กลอย เอามา”
“แต่...” พยายามหาข้ออ้างจนเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนผนัง “แต่นี่มันตีสี่นะ พี่แทมหลับอยู่ไม่รับหรอก” พี่โชเหล่ตามองนาฬิกาแล้วพยักหน้า ผมก็รีบเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วโผเข้ากอดคนใจร้ายในฝัน
“อะไรครับ” ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังผมไปมา
“ในฝันพี่โคตรนิสัยเสียอะ” บอกอู้อี้ในอก “พี่ไม่สนว่าผมจะร้องไห้มากแค่ไหน เอาแต่ทำหน้าปีศาจมองแล้วก็บอกว่าไม่รักผม โคตรเลวว่ะ” พี่โชกระพริบตาปริบก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“เมียกูฝันแล้วพาลว่ะ” หน้ามุ่ยทันทีที่โดนว่า
“ผมว่า ผมต้องลองอยู่คนเดียวบ้าง เผื่อเป็นแบบในฝัน” มันน่ากลัวจริงๆ
“ทุกเรื่องมาจากไอ้แทมพูดสินะ” ได้ยินพี่โชพึมพำเบาๆ “ฟังพี่นะ พี่ไม่มีวันไม่รักกลอย พี่จะเกลียดหัวใจตัวเองทำไม อย่าคิดมาก เพราะเรื่องนี้ไม่มีวันเกิดขึ้น” เงยหน้ามองคนบอกรักเป็นพันรอบตั้งแต่คบกัน ผมยื่นหน้าไปจุ๊บปากที่ยิ้มให้เร็วๆ แล้วกอดร่างสมส่วนแน่น
“ขอบคุณนะ ผมโคตรรักพี่เลย”
ค่ำคืนจวบจนรุ่งสาง ผมกอดพี่โชแน่นไม่ยอมปล่อย พี่โชออกไปทำงานโดยที่ผมกำลังจะออกไปเรียนเพราะมีเรียนสาย ส่วนเรื่องรถสุดที่รักก็เป็นแบบในฝัน ผมถือแค่กุญแจมันไว้ ส่วนตัวรถไปจอดนิ่งสงบอยู่ที่บ้านพี่โชนู้นแล้ว ผมเลยต้องแว้นมอเตอร์ไซค์ตามเดิม
แดดร้อนทำให้อากาศอบอ้าวจนขี้เกียจออกแดด พวกผมเลิกเรียนวิชาสุดท้ายตอนบ่ายแล้วพากันเดินลงจากตึก ไอ้สักอัพเดทว่าคบกับรุ่นน้องแต่ยังไม่เปิดเผยว่าใครเพราะกลัวอาถรรพ์ ผมกำลังจะยกขาถีบเพื่อนเพราะหมั่นไส้หากไม่ได้เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ไอ้สักคงลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว
และถ้าผมรู้ว่ากดรับแล้วจะทำให้ขี้หูแทบไหลผมคงจะไม่รับ
“ไอ้เชี่ยกลอย ความฝันมึงทำให้กูเดือดร้อน หูกูแทบไหม้เพราะถูกไอ้โชโทรมาด่าตั้งแต่ไก่โห่ กูไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ไอ้เหี้ย กูผิดตรงไหน!”
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วกดปิดทันที อยากจะก้มกราบขอโทษพี่แทมแทบเท้าแต่ก็อดขำไม่ได้ พี่โชโคตรจะจริงจังกับความฝันของผม เห็นออกจากห้องยังยิ้มแย้มอยู่เลย ไม่คิดว่าจะกลายร่างเป็นปีศาจไปอาละวาดเพื่อนตัวเอง ยังดีที่เรื่องที่เกิดเป็นแค่ฝันไป แต่ถ้าหากเลือกได้ ผมจะไม่ฝันหรอก ไม่ชอบเลยจริงๆ
.........................