Just you and I ตอนพิเศษ : การมีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
ผมนั่งอยู่ใต้ตึกเรียนมองคู่รักแห่งปีของคณะกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่ด้วยความรำคาญ ไม่ได้อิจฉาหรอก รักกันใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละ ผมผ่านมาก่อน ผมรู้ดี ไอ้การเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้ พอคบกันไปนานๆ จะรู้ว่าเช้าหาย เย็นก็หาย
“หน้าบูดทำไมวะ” ไอ้ทูที่เพิ่งไปซื้อขนมกับไอ้เคสอดตัวนั่งข้างๆ ผม “แล้วอีจอยมันคิดดีแล้วใช่มั้ยที่คบกับไอ้สักเนี่ย” รีบพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน
“มึงก็ไปว่าให้มัน ไอ้สักมันตามตื้อมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะเว้ย” ไอ้เคคาบขนมแท่งเคลือบช็อกโกแลตบอก
“กูก็คิดว่ามันเล่นๆ ที่ไหนได้ จริงจังนี่หว่า” อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับไอ้ต๋องมัน “ว่าแต่มึงเถอะ ช่วงนี้ทำไมมึงเอามอเตอร์ไซค์มาวะ ผัวไม่มารับมาส่งแล้วหรือไง”
“อย่าเผือกครับมึง” ถลึงตาใส่ไอ้คนปากมาก
“เอ้า ด่ากู” รีบหลบเมื่อไอ้เชี่ยต๋องขว้างเศษขนมใส่ผม
“เออใช่ กูได้ข่าวมาว่า เพื่อนมึงโดนรถชนนี่” ไอ้เคพยักพเยิดหน้าถามผม
“อืม กูถามไปละ แต่พี่ฟลอยด์เป็นคนตอบแทน คงหนักว่ะ” ผมบอกไป เห็นรูปที่ปล่อยตามเพจก็น่าตกใจ สภาพรถจักรยานบิดเบี้ยว คนขี่เลือดออกด้วย อยากจะถามคนถ่ายรูปจริงๆ ว่าทำไมไม่เข้าช่วยคนเจ็บก่อน มัวแต่ถ่ายรูป เกิดมันเลือดออกในท้องตายขึ้นมาจะทำยังไง
“แบบนี้พี่บริหารก็ต้องดูแลดีสิวะ” ไอ้ทูมันว่า
“ผัวก็ต้องดูแลเมียสิวะ หรือมึงจะให้ชู้ดูเหมือนไอ้เชี่ยกลอย” โดนแขวะไปหนึ่งดอก
“แล้วมันเกี่ยวกับกูตรงไหนไอ้เชี่ยเค”
“ก็มึงปล่อยฟีโรโมนล่อผู้ชายจนผัวมึงจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าชู้ไง” พูดจบพวกมันก็พร้อมใจกันหัวเราะ “ว่าแล้วอดีตชู้ก็มา” ถีบขาไอ้เชี่ยเคไปหนึ่งทีจนมันร้องโวยวาย
พวกผมเบนสายตามองเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งลงจากตึก พวกมันคงเรียนกันเสร็จแล้ว เด็กปีหนึ่งเดินผ่านพวกผมก็พากันยกมือไหว้กันเป็นแถว ไอ้ไม้กับไอ้เบียร์ยิ้มให้ผมแล้วก็เดินผ่านท่ามกลางสายตาของไอ้พวกสอดรู้ จะว่าไป ไอ้เม่นล่ะ ไม่เห็น ไม่เจอมันมาเป็นอาทิตย์ ว่าจะถามเรื่องไอ้ม่านซะหน่อย
“เพื่อนมึงล่ะ” ไอ้เคถามขึ้นมา ผมหัวขวับมองคนที่อวดรู้ถามหาคนที่หายไป
“อ่อ ไอ้เม่นมันแยกไปแล้วครับ เห็นว่าจะไปมหาลัย XXX” เลิกคิ้วมองไอ้เบียร์ที่ตอบ มหาลัยไอ้ม่านนี่หว่า หรือว่า....
“มันไปทำไมวะ” ไอ้ต๋องถามได้ตรงใจผมอีกแล้ว ผมไม่กล้าถามเองหรอก กลัวทำให้พวกมันคิดมากอีก ช่วงนี้ผมสงบปากสงบคำกับไอ้เด็กกลุ่มนี้มาก
“คือมันต้องทำตามความต้องการของใครบางคนที่ให้มันทำ” ไอ้ไม้เหล่ตามองผมนิ่งๆ ในแววตาของมันเหมือนตำหนิผมนิดๆ หรือผมอาจจะคิดไปเอง
“ใครวะ” เพื่อนผมกำลังมองหน้ากันอย่างไม่รู้อะไร
“งั้นผมไปก่อนนะครับ” พอพวกมันไป ผมก็เพิ่งรู้ว่ากำลังโดนจ้อง
“อะไร มองกูทำไม”
“มึงไม่ได้ทำอะไรแผลงๆ กับไอ้เม่นใช่มั้ย” เชี่ย โดนเฮดว้ากกดดันครับ ไอ้เชี่ยสักมันลุกมารวมหัวพวกนี้เล่นงานผม
“กูไม่ได้ทำอะไร” ตอบเสียงสูง ปฏิเสธเสียงแข็ง “กูไปดีกว่า เบื่อ” รีบชิ่งหนีก่อนจะโดนสาวไส้ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ไม่ได้สั่งไอ้เม่นไปตามจีบเพื่อนผมอย่างไอ้ม่านเลย แค่พาไปรู้จักเฉยๆ เบอร์หรือไลน์ผมก็ไม่ได้เอาให้ไอ้เม่นสักอย่าง แล้วแบบนี้จะมาโทษผมได้ยังไง...จริงมั้ย
เดินไปควบรถฟีโน่คู่ใจที่ร้างลาไปนาน จอดอยู่ที่ใต้คอนโดพี่โชไร้การแตะต้อง พอได้ขี่อีกทีมันรู้สึกแปลกๆ ก็ปกติจะนั่งเบาะรถยนต์สบายๆ มีแอร์เย็นๆ มีกลิ่นหอมๆ ด้วย พอขี่มอเตอร์ไซค์เจอแต่เบาะแข็งๆ ลมแรงตีหน้าจนหนังหน้าแทบปลิ้น แล้วกลิ่นก็มีแต่ควันจากท่อไอเสีย
ท้องฟ้ายามบ่ายมันดูมืดมนคล้ายฝนกำลังจะตก ผมรีบเร่งความเร็วเพราะอยากถึงคอนโดก่อนฝนตก แต่ดูรถจะไม่เป็นใจเมื่อมันค่อยๆ ชะลอจนขยับลำบาก ผมไถรถด้วยเท้าเข้าข้างทางแล้วก้มดู
...ยางแบน
มีอะไรจะซวยกว่านี้มั้ย
...มี
ผมเดินจูงมอเตอร์ไซค์ยางแบนได้ไม่ถึงห้าก้าว ฝนก็เทลงมาจนแทบมองไม่เห็นทาง เสื้อกันฝนก็ไม่ได้เอามา ยังดีที่ใต้เบาะรถมีที่ว่างให้ใส่กระเป๋าได้ ไม่อย่างนั้น กระเป๋า หนังสือ มือถือคงเปียกจนใช้งานไม่ได้
ร้านซ่อมมันอยู่ตรงไหนของถนนเส้นนี้เนี่ย ปกติขี่ผ่านไม่เคยสังเกต ต่อไปผมสัญญาว่าจะจดชื่อร้านทุกร้านที่ผ่าน จะได้รู้ว่ามันมีร้านซ่อมรถอยู่ตรงไหนบ้าง
ยิ่งเดิน ยิ่งเหนื่อย รถมันหนักมากครับ แถมฝนที่ตกมาทำให้เดินช้าลง ผมที่เพิ่งสระเมื่อเช้าไร้ประโยชน์ทันที รู้แบบนี้ไม่สระหรอก เปลืองแชมพูสุดๆ
ผมเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีประชาชนหนาแน่นเบียดเสียดเพราะกลัวเปียก แต่มันก็เปียกอยู่ดี เพราะไม่มีใครในนั้นไม่เปียก พอพวกเขาเห็นผมต่างก็มองด้วยแววตาแปลกประหลาด ใจจริงก็อยากจอดรถแล้วเข้าไปหลบด้วย แต่ติดตรงที่ว่า ผมกลัวรถเมล์มันจะวิ่งมาชนท้ายรถผม
ฟ้ารั่วแน่ๆ ฝนที่ตกลงมากระทบหัว กระทบหน้าจนเจ็บแสบไปหมด หนาวด้วย ปากผมสั่นจนฟันกระทบกันหงักๆ เหมือนคนแก่ อยากจอดรถโทรหาพี่โช แต่มันไม่มีที่หลบฝน เอาวะ เดี๋ยวมันต้องมีสักร้านที่เปิดรอผมอยู่
“ไอ้หนู” เสียงเรียกดังมาจากร้านรถเข็นที่ขายขนมจีบครับ ผมหันไปมองเห็นคุณป้ายืนกวักมือเรียก ผมก็ค่อยๆ ขยับไปหยุดเทียบฟุตบาท “ทำไมไม่หลบฝนก่อน เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” รู้สึกน้ำตาจะไหลที่ป้าเขาเป็นห่วง
“ผมหาร้านซ่อมรถครับ ยางมันแบน” ยกมือบาดน้ำฝนที่ชุ่มเต็มหน้าออก
“โอ้ย เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ตรงนั้นน่ะ” ผมมองตามนิ้วที่ชี้ไปไม่ไกล เหมือนเห็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ “งั้นรีบๆ ไปเลย เดี๋ยวเป็นหวัด” อยากยกมือไหว้แต่ทำได้เพียงโค้งศีรษะให้
ต่อไปผมจะเขียนชื่อร้านพร้อมพิกัดไว้ และจะมาอุดหนุนป้าใจดีทุกวัน ไอ้กลอยสัญญา
เดินฝ่าสายฝนไปจนถึงร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ลุงเจ้าของร้านรีบเดินออกมาดู แล้วบอกให้ผมนั่งรอในร่ม ฝนยังตกหนักอย่างต่อเนื่อง กลิ่นน้ำมันเครื่องลอยคละคลุ้งร้านไปหมด แม้จะเหม็นแต่มันก็รู้สึกดีนะครับ ร้านนี้เหมือนสวรรค์ของผมเลย
“เดินมาจากไหนละพ่อหนุ่ม” คุณป้าเดินออกมาจากหลังร้านถามผม
“จากหน้ามหาลัยครับ” บอกไป ป้าแกก็เบิกตากว้าง
“โห จากนั่นมาถึงนี่ไกลมากเลยนะ เป็นกิโลสองกิโล” รีบพยักหน้า คือมันไกลมากจริงๆ “ว่าแต่ ร้านแถวนั้นก็มีทำไมไม่เอาไปซ่อมล่ะ”
“มันอยู่ตรงไหนเหรอครับ” ย่นคิ้วถามอย่างสงสัย ผมผ่านบ่อยไม่เคยเห็น
“เอ้า เลยมหาลัยมาไม่กี่สิบเมตรนั่นไง ร้านอยู่ที่ตึกแถวนั่นน่ะ ร้านลูกชายป้าเอง” คุณป้ายิ้มแย้มแต่ผมกำลังอยากเอาไขควงตีหัวตัวเอง ไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ
“ผมไม่ได้สังเกตเลย” อยากร้องไห้ออกมาจริงๆ ผมมันโง่เอง
“ต่อไปถ้ารถมีปัญหา เอาไปซ่อมได้นะ ลูกชายป้าเขาจบช่างมา ซ่อมเก่ง” แล้วผมก็นั่งฟังคุณป้าอวดสรรพคุณลูกชายตัวเองอยู่นานจนยางรถเปลี่ยนเสร็จ “หนูนี่น่ารักดีนะ หน้าตาไม่เหมือนเด็กผู้ชายเลย” ยิ้มแหยๆ ให้กับคำชม
“ไปว่าเขาแบบนั้น อย่าไปถือสาป้าแกเลยนะ”
“อ่าว ฉันพูดจริงๆ ถ้าไม่เปียกฝนจนเห็นแบบนี้ รับรองป้าต้องคิดว่าหนูเป็นทอมแน่” ผมก้มมองตามที่ป้ามอง เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกฝนจนแนบเนื้อ แม้จะใส่เสื้อกล้ามแต่ก็ยังมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
“เอ่อ ครับ” ไม่รู้จะตอบอะไรไปดีเลยถามราคาแทน พอจ่ายเงินเสร็จผมก็จะขึ้นควบพอดีกับป้ารั้งไว้เพราะฝนยังตกอยู่ แม้จะไม่หนักแล้วก็ตาม
“รอฝนหยุดก่อนสิ เดี๋ยวเป็นปอดบวมนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรง ขอบคุณนะครับ” รีบควบรถแล้วขี่ออกมา เพราะความหนาวทำให้ปากหมาของผมไม่ทำงาน พอขี่รถเจอความหนาวเหน็บตัวก็ยิ่งสั่น นานแล้วที่ไม่ได้เป็นไข้ เป็นสักหน่อยคงจะดี พอคิดแบบนี้อยากกลับบ้านเลย เพราะเวลาผมไม่สบาย แม่จะทำข้าวต้มทะเลให้ผมกิน แม้จะกินลำบากแต่ผมชอบ
ขี่มาจอดใต้ตึกฝนก็ซาพอดี ผมเดินกอดตัวเองสภาพสั่นเทาเข้าตึก แค่ผลักบานประตูเข้าไปก็แทบอยากออกไปอยู่ด้านนอกตามเดิม ความเย็นของแอร์ปะทะหน้าจนปากสั่น เดินตัวงอเข้าลิฟต์ กว่าจะถึงห้อง ขาก็แทบก้าวไม่ออก หนาวเหมือนนอนในตู้เย็นสมัยเด็กๆ สมัยยังเป็นเด็กฟันหลอ ผมอยากเป็นนกเพนกวินเลยเข้าไปนอนในตู้เย็น กว่าแม่จะมาเห็นผมก็เกือบแข็งตาย ตอนนั้นไปนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์เพราะปอดบวมเล่นงาน จากนั้นผมเข็ดตู้เย็นไปพักหนึ่งเลยครับ
เปิดประตูเข้าห้องปุ๊บ ผมเขวี้ยงข้าวของไปบนโซฟาแล้วรีบไปอาบน้ำสระผม เจอน้ำอุ่นแล้วตัวชาไปหมด เหมือนเจอความเย็นจัดมาพอเจอความอุ่นร้อนไปมันเลยชา ยืนให้น้ำอุ่นผ่านตัวอยู่นานมาก ออกห้องน้ำมาส่องกระจกทีนึกว่าผีจุออน หน้าซีด ปากซีด ถ้าผมยาวใส่ชุดขาวไปนอนที่แอร์คงเหมาะ
รีบมุดเข้าอยู่ในผ้าห่มจนเป็นก้อนกลมๆ ก่อนผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงพี่โชดังข้างๆ พร้อมแรงดึงผ้าออก เชี่ย ผมกำลังถูกผ้าห่มมัดจนขยับไม่ได้เลย
“นอนยังไงน่ะ” พี่โชบ่น มือก็ช่วยแกะผ้าห่มออก
“ก็มันหนาว” บอกพร้อมกับเอาขาถีบผ้าห่มที่หลุดแล้วไปไกลๆ อาจเพราะมุดอยู่ในผ้าห่มตลอดเลยต้องรีบโกยอากาศหายใจ มันควรจะเข็ดผ้าห่มด้วยดีมั้ย
“วันนี้ฝนตกโคตรหนัก กลอยกลับมายังไง” พี่โชจ้องหน้าผมก่อนยื่นมือมาวางที่หน้าผาก “หน้าแดงๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า หรือวันนี้ตากฝนมา”
“ก็เอามอเตอร์ไซค์ไป ขากลับเจอฝนแล้วยางรถก็แบน” เป็นคนที่ไม่มีความลับกับพี่โช (ถ้าไม่จำเป็น) คนตาดุมองนิ่งแต่ไม่บ่นออกมาอย่างที่กลัว
“ไปเรียนขับรถยนต์มั้ย” พี่โชดึงผมให้ลุกขึ้นยืน “เรียนหลายๆ ครั้งก็ขับเป็น จะไม่ได้ต้องขี่มอเตอร์ไซค์”
“ไม่เอา” ส่ายหน้ากับต้นแขนที่จูงผมออกมาข้างนอก
“ทำไม”
“ถ้าขับเป็นพี่โชจะไม่ไปส่งอีก” โดนหัวเราะใส่แต่ไม่ได้โกรธ ก็ผมพูดจริง
“ช่วงนี้พี่งานยุ่ง ไม่ได้ไปส่งเลย” พี่โชยีหัวผมซะฟู
“ใช่ ไม่ดีเลย”
“รอหน่อย อีกเดี๋ยวพอลงตัวพี่ก็ว่างไปรับส่งเหมือนเดิม” พยักหน้าอยู่บนหลังกว้าง “เป็นอะไรหื้ม”
“ปวดหัว” เปล่าครับ แค่อยากอ้อน
“ไม่สบายหรือเปล่า ไหนให้พี่ดูหน่อย” โดนดึงมาจ้องหน้า ผมกระพริบตามองคนที่กำลังขมวดคิ้วมอง “ไปหาหมอมั้ย” ส่ายหน้า “งั้นกินข้าวจะได้กินยา” อันนี้พยักหน้า
ผมนั่งมองพี่โชที่กำลังสาละวนทำข้าวต้ม หลังจากถามว่าผมอยากกินอะไร ได้คำตอบก็รีบทำให้ทันที มีไม่บ่อยครั้งที่จะได้กินข้าวฝีมือพี่โช รู้สึกอยากป่วยไปสักเดือน
“หิวมากเหรอ แปบนะ ใกล้สุกแล้ว” พ่อครัวหันมายิ้มให้ผม พี่โชก็เหมาะกับผ้ากันเปื้อนเหมือนกันนะ
มองจนมีถ้วยข้าวต้มกุ้งร้อนๆ มาวางตรงหน้า กลิ่นหอมจนท้องร้องออกมา ลองชิมก็อร่อยดี ผมกวาดข้าวต้มลงท้องจนหมด คนทำก็ยิ้มหน้าบาน
“ขอบคุณครับ” ผมบอกแต่คนที่ได้ยินดูไม่ชอบใจ พี่โชส่ายหน้าแล้วยื่นปากมาตรงหน้า “ปีศาจ” หน้ามุ่ยก่อนยื่นหน้าไปจุ๊บปากที่รอ
“รีบไปกินยา เดี๋ยวพี่เก็บของก่อน”
“อืม”
เดินไปอย่างว่าง่าย ส่วนยาไม่กินหรอก เพราะไม่ได้ปวดหัวจริง ผมนอนกลิ้งอยู่บนเตียง พอเบื่อก็เอามือถือมากดดูโลกกว้าง เห็นไอ้ม่านบ่นว่ามีปลิงติดขา มันไปเที่ยวแล้วไม่ชวนผมหรือเปล่าวะ ส่วนไอ้อัธก็บ่นว่าทำควิซไม่ได้ ไอ้นี่ก็วิชาการ ส่วนไอ้ทูลงรูปคู่พี่เบอย่างหวานจ๋อย ผมว่า ผมโพสบ้างดีกว่า...เอ ไม่ดีกว่า ป่วยอยู่นี่หว่า เดี๋ยวจะโดนว่าสำออย
ได้ยินเสียงพี่โชบิดลูกบิดผมก็รีบเอามือถือสอดไว้ใต้หมอนแล้วล้มตัวนอน คนเข้ามาพอเห็นผมนอนก็ขมวดคิ้วอีกรอบ
“ไปหาหมอมั้ย พี่กลัวเป็นอะไรดึกๆ”
“ไม่เอา ไม่ชอบ” อ้อนครับอ้อน ผมยกหัวหนุนตักคนที่มานั่งบนเตียง
“ทำไมดื้อล่ะ ป่วยแล้วดื้อเหรอเรา”
“ไม่ดื้อสักหน่อย” แค่สำออย
“เอางี้ เดี๋ยวพี่จ้างคนขับรถให้เอามั้ย” รีบส่ายหน้ารัวๆ
“ปีศาจห้ามเว่อร์” พี่โชขำออกมา “พี่โช”
“ครับ”
“กลอยปวดหัว” โหมดอ้อน
“ปวดมากมั้ย งั้นไปหาลุงหมอมั้ย”
“ไม่เอา เดี๋ยวก็หาย...มั้ง”
“ดื้อนะเราเนี่ย”
“พี่โช”
“ครับ”
“พรุ่งนี้อยากกินข้าวต้มหมู” บอกเมนูไป
“ได้ครับ เดี๋ยวพี่จะทำไว้เยอะๆ”
“พี่โช”
“ครับ”
“มะรืนอยากกินข้าวผัด”
“เดี๋ยวพี่ผัดให้กิน”
“พี่โช”
“ครับ”
“มะรืนของมะรืนผมอยากกิน...” โดนก้มจูบปิดปากเพราะพูดมาก
“อยากกินเยอะขนาดนี้หายป่วยแล้วมั้ง” เออว่ะ คนป่วยห้ามหิวสิ
“งั้นไม่กินแล้ว” หน้างอแล้วยกหัวหนี
“พี่พูดเล่น ป่วยแล้วดื้อไม่พอ ขี้งอนอีกเหรอเรา” พี่โชขยับล้มตัวนอนข้างผมแล้วยื่นมือดึงผมเข้าไปกอด “อย่าป่วย อย่าเจ็บ เพราะพี่ไม่ชอบ”
“ทำไมล่ะ”
“เวลาเห็นกลอยป่วยหรือเจ็บ พี่จะเจ็บกว่า” โคตรรู้สึกดีเลยตอนนี้ ผมกอดพี่โชแน่น ซุกหน้ากับอกแกร่ง
“โคตรรักพี่เลย” งับอกแข็งไปที
“พี่ก็โคตรรักกลอยเลย” โดนบีบก้นไปเต็มมือ ปีศาจก็ยังเป็นปีศาจ ตอดเล็กตอดน้อยทุกครั้งที่มีโอกาส
ผมกอดพี่โชนอนหลับตาไปเรื่อยๆ มีมืออุ่นๆ ลูบหัวทำให้หลับไปจริงๆ ตื่นมาอีกทีก็ตอนเช้าเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาในห้อง ผมลุกขึ้นนั่ง หัวสมองปลอดโปร่งมาก ทำไมร่างกายผมมันไม่ป่วยวะ โดนทั้งฝน ทั้งแอร์ขนาดนั้น ไอ้กลอยอยากป่วย ดีดดิ้นอยู่บนเตียงก่อนรีบล้มตัวนอนเมื่อพี่โชเปิดประตูเข้ามา
“กลอยครับ” พี่โชเรียกเบาๆ ผมปรือตาทำเหมือนเพิ่งตื่น “พี่ทำข้าวต้มไว้ให้ ลุกมากินข้าวแล้วกินยานะ อ่อ พี่โทรไปบอกทูให้ลาเรียนให้แล้ว” พยักหน้าลงช้าๆ แล้วหลับตาลงอีกรอบเมื่อถูกยื่นหน้ามาจูบหน้าผาก “พี่จะรีบกลับนะครับ”
พี่โชไปแล้วเพราะได้ยินเสียงปิดประตูด้านนอก แม้จะรู้สึกผิด แต่ผมก็อยากอ้อนบ้าง ตั้งแต่คบกับพี่โชผมไม่เคยป่วยเลย เพราะอยู่ดีกินดี กินแต่ของดีๆ ทั้งนั้น
ออกไปกินข้าวต้มหมูที่ผมบอกไว้เมื่อคืนอย่างเอร็ดอร่อย ข้าวต้มที่ทำด้วยความเป็นห่วงถูกผมกินจนหมดหม้อ แม้หลังๆ จะเริ่มกลืนไม่ค่อยลงก็เถอะ อิ่มแล้วก็ไปนอนเลื้อยบนโซฟาหาดูอะไรไปเรื่อย นอนไปนอนมาก็หลับ ชีวิตคน (แกล้ง) ป่วยมันดีแบบนี้นี่เอง
คล้ายกับถูกสะกิดจนต้องปรือตาขึ้นดู หน้านิ่งๆ ของพี่จอมอยู่แทบติดกับหน้าผม ด้วยความตกใจผมรีบผุดลุกจนหน้าผากกระแทกเข้ากับหน้าพี่จอมเสียงดังสนั่น ความเจ็บปวดแล่นเป็นริ้วๆ ต้องกุมหน้าผากไว้
“ไอ้เชี่ยเกรียน มึงทำอะไรของมึงวะเนี่ย อูย” พี่จอมลูบหน้าผากตัวเองเหมือนผม
“ก็พี่เล่นบุกมาเงียบๆ ผมก็ตกใจสิวะ” โวยวายจนโดนตวัดสายตามองแรง
“ถ้าไอ้โชมันไม่โทรไปบอกให้กูมาดูมึง กูก็ไม่มาหรอกไอ้สัด เจ็บเหี้ย กูจะไปเบิกค่ายากับผัวมึง”
“เลือดไม่ออกสักหน่อย” พึมพำเบาๆ “แล้วพี่โชล่ะ”
“มันทำงานสิวะ แล้วนี่ก็บ่ายกว่ามันเลยให้กูมาดูว่ามึงตายหรือยัง”
“ใกล้ตายเพราะพี่นี่แหละ” โดนตบไปเต็มหัว “เจ็บโว้ย” ผมแหกปากโวยวายก่อนรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนมีอะไรพุ่งมาจุกอยู่ที่คอ...แล้วรีบวิ่งไปอ้วกในห้องน้ำ
“เชี่ย” พี่จอมยกมือปิดจมูกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำลังลูบหลังผมอยู่
ผมอ้วกจนท้องโล่งไปหมด อ้วกเสร็จก็ปวดท้อง แสบคอ เป็นอะไรไป เมื่อเช้าผมยังไม่เป็นอะไรเลยนะ หันไปมองหน้าพี่จอมก่อนจะรู้สึกหน้ามืด
“ปวดหัวว่ะ” ผมว่า
“สำออยป่ะมึงเนี่ย” โดนใช้ขาเขี่ย ตอนแรกก็สำออย แต่ตอนนี้แม่งเป็นจริงว่ะ ยกมือโบกว่าไม่ไหวแล้ว พี่จอมมันไม่เชื่อแถมยังออกไปรับโทรศัพท์ของตัวเองที่ดังอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าปลายสายเป็นพี่ซันไม่ใช่พี่โช ผมคลานออกมาจากห้องน้ำเพื่อเข้าห้องนอน ตอนนี้ยืนไม่ไหว เหมือนโลกมันเอียงๆ คลานมาจนถึงเตียงผมก็แทบหมดแรงนอนหอบ พี่จอมเดินเข้ามามองนิ่งๆ
“ยังไม่เลิกสำออยอีกนะมึง กูรู้ว่ามึงโกหก อยากให้ไอ้โชห่วงละสิ มุกปัญญาอ่อน” โคตรแม่น แต่แค่ตอนแรกนะ
“ไม่ได้สำออย” ตอบออกไป
“กูไม่เชื่อมึงหรอก...ฮัลโหลไอ้โช ไอ้กลอยมันหายแล้ว...เออ กูกลับล่ะ เออ” น่าจะคุยกับพี่โช “กูกลับละนะ กับกูไม่ต้องทำสำออย”
พอพี่จอมไปผมก็นอนงอเพราะปวดท้อง ไม่เคยปวดแบบนี้มาก่อนเลย หรือเป็นไส้ติ่งวะ เคยอ่านมาว่า เป็นไส้ติ่งอาจตายได้ นี่ผมจะตายเหรอวะ ผมพยายามข่มตาหลับลดอาการฟุ้งซ่านแต่มันหลับไม่ได้จริงๆ เพราะปวดท้อง ไม่น่าสำออยหลอกแต่แรกเลย
กว่าพี่โชจะมาก็เกือบหกโมงเย็น ตลอดเวลาผมนอนปวดท้องแทบขยับไม่ได้ มันทรมานเกินจนบางครั้งมีผล็อยหลับแต่ก็ต้องตื่นเมื่อท้องมันดังลั่นแล้วบิด
“กลอย เป็นอะไรไปหื้ม” พี่โชเดินมาแตะแขนผม “ทำไมนอนตัวงอเป็นกุ้งแบบนั้น”
“ปวดท้อง” ผมบอก
“ไปหาหมอมั้ย” คราวนี้ผมรีบพยักหน้าเลยครับ หมดแล้วกับการสำออย
ผมถูกพี่โชอุ้มขึ้นรถทั้งที่ยังใส่ชุดนอน พี่โชพาผมมาคลินิก แค่เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับหมอสาที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมขี่หลังพี่โชสภาพไร้เรี่ยวแรง โดนพาไปนอนในห้อง คุณหมอสาก็ตรวจนั่นนี่ พอกดท้องผมก็รีบงอตัว
“ไส้ติ่งหรือเปล่า” พี่โชถาม แต่หมอสาส่ายหน้า
“น่าจะอาหารไม่ย่อยมากกว่า” ผมขมวดคิ้วมองหน้าคุณหมอที่วินิจฉัยโรคออกมา คงเหมือนกับพี่โชที่แปลกใจเหมือนกัน
“อาหารไม่ย่อย?”
“ใช่ เพราะถ้าปวดไส้ติ่งจะเจ็บด้านขวาตรงนี้” คุณหมอชี้ตำแหน่งให้ดู “ส่วนตรงนี้เป็นกระเพาะอาหาร”
“แล้วต้องทำยังไง”
“กินยาลดกรดก็ดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะมีไข้อ่อนๆ ด้วยนะ”
“เมื่อวานไปตากฝนมา”
“อ๋อมิน่าล่ะ คอแดงเหมือนจะอักเสบ”
“ต้องฉีดยามั้ย”
“ต้องกินยาต่อเนื่องด้วย”
ผมเลื่อนตาซ้ายทีขวาทีมองคนที่ยืนค้ำหัวคุยกัน สรุปผมอาหารไม่ย่อย หรือว่ากินข้าวต้มจนหมดหม้อวะ แล้วผมป่วยด้วยเหรอ ทำไมไม่รู้สึกปวดหัวตัวร้อนเลย
“ฉีดยาแล้วคืนนี้พิษไข้คงออกนะ” พูดจบผมก็ถูกฉีดยาเข้าที่แขน “หายซ่าไปเป็นอาทิตย์แน่”
เป็นจริงดังคุณหมอสาว่า ผมกลับมาที่ห้องพิษไข้ก็เล่นงานของจริง คราวนี้ต่อมอ้อนไม่ทำงานเลย แถมไม่หิวอะไรด้วย แค่กินน้ำก็ขมไปหมด
“เป็นอะไร ปวดหัวเหรอครับ” พี่โชเดินมาดูเป็นร้อยกว่ารอบ ทั้งๆ ที่งานเยอะ ผมรีบพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาไหล มันปวดหัวไปหมด ปวดจนไม่อยากลืมตา “เดี๋ยวก็หายครับ” โดนกอดปลอบแน่น
“พี่โช ปวดหัว”
“ครับ เดี๋ยวก็หาย”
“พี่โช ปวดท้องด้วย”
“ครับ เดี๋ยวก็หายปวด”
“พี่โช...”
(โช)
ผมมองคนที่นอนหลับไปในอ้อมแขน คงทรมานน่าดู เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบเห็นกลอยป่วย เวลาน้องทำหน้าทรมานผมทรมานมากกว่าซะอีก ตอนเที่ยงผมอยากมาเองแต่เพราะงานติดพันเลยออกมาไม่ได้ ผมเลยวานให้ไอ้จอมมาดู แต่มันบอกว่ากลอยไม่ได้เป็นอะไรผมก็เริ่มเบาใจ
แต่พอกลับมา มันไม่ได้เป็นแบบไอ้จอมว่าเลย ตอนแรกที่เข้าห้อง ผมเดินไปดูข้าวต้มก่อนเพราะอยากรู้ว่าคนป่วยลุกขึ้นมากินหรือเปล่า ปรากฏว่าหมดแถมล้างเก็บเรียบร้อย ตอนนั้นคิดว่ากลอยคงหายแล้ว พอเข้าห้องนอนกลับเห็นคนที่น่าจะหายป่วยนอนตัวงอกุมท้องตัวเองอยู่ ใบหน้าขาวมีคราบน้ำตาเปรอะเต็มไปหมด
ภาพนั้นที่ผมเห็น หัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลอยดูทรมานจนผมลนลานทำอะไรไม่ถูก พอปลุกให้ตื่น น้องก็ทำหน้าบิดเบี้ยวพร้อมร้องไห้ออกมา และคิดว่าถ้าพาไปหาหมอแล้วจะดีขึ้น แต่ไหงมันแย่ลง กลอยดูทรมานกว่าเดิมเพราะพิษไข้แถมยังปวดท้องอีก คืนนั้นผมแทบไม่มีสมาธิทำงาน แม้จะต้องรีบเคลียร์เพราะอยากไปรับไปส่งน้องเหมือนเดิม
ผมเข้าๆ ออกๆ ห้องนอนกับห้องทำงานจนเช้า มาดูคนป่วยอีกทีสีหน้าเริ่มดีขึ้นจนถอนหายใจออกมา ลองปลุกคนป่วยดูก็ทำเพียงแค่ปรือตามอง ถามว่าอยากกินอะไรก็เอาแต่ส่ายหน้า ตอนแรกผมก็รู้ครับ ว่าน้องแค่แกล้งป่วยเพราะอยากอ้อนผม คนป่วยหรือไม่ป่วยดูง่ายนะครับ ยิ่งเป็นกลอยยิ่งดูง่าย
วันนี้ผมโทรเรียกพี่ชีสให้มาดูแลกลอยแทนเพราะต้องเข้าประชุม แม้จะฟังรายงานการประชุมแต่สมองผมกลับมีแต่เรื่องกลอยเต็มไปหมด
“งานทั้งหมดให้แผนกช่างคุมเลยนะ” รีบโยนงานเสร็จผมก็กลับทันที ใจตอนนี้อยู่ที่ห้องก่อนตัวแล้ว
กลับมาถึงห้อง พี่ชีสก็นั่งดูทีวีอยู่ ผมถามถึงน้องก็ชี้นิ้วเข้าไปในห้อง พอเข้าห้องไปกลอยยังนอนหลับสนิทจนพี่ชีสเดินเข้ามายืนข้างๆ
“คนป่วยก็งี้แหละ น้องบีมป่วยบ่อย”
“แต่ผมไม่ชอบเห็นกลอยป่วย”
“อย่าเว่อร์น่า ตอนแกป่วยก็แบบนี้แหละ”
“แต่ผมไม่ชอบจริงๆ”
“ไม่ชอบก็ดูแลดีๆ พี่ไปละ เดี๋ยวต้องไปรับน้องบีมอีก”
พี่ชีสออกจากห้องไป ผมก็ยืนมองคนป่วยที่หลับสนิทเพราะเพิ่งกินยาไป พี่กิ่งพี่ของกลอยบอกว่ากลอยชอบแกล้งป่วยบ่อยเพราะขี้เกียจไปเรียน ไม่ก็อยากอ้อนแม่ สุดท้ายก็มักจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้ง ที่จริงกลอยป่วยก็เพราะผมด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าผมหาคนขับรถมาให้ กลอยคงไม่ต้องตากฝนแบบนี้
ผมนั่งลงข้างคนป่วย ใช้หลังมือไล้หน้าคนป่วยเบาๆ แล้วก้มลงจูบซับหน้าผากมน
“หายไวๆ นะ พี่ไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่มีคนคอยพูดกวนประสาทแบบนี้”
“พรุ่งนี้อยากกินข้าวต้มหมู” เสียงแหบออกมาจากปากที่เริ่มมีสีชมพูอ่อนๆ คนพูดปรือตาขึ้นมามอง “ทำให้กินหน่อย”
“อยากกินอะไรพี่จะทำให้กินหมดทุกอย่างเลย ดีมั้ย” คนป่วยพยักหน้ารับ “พี่ขอแค่อย่างเดียว รีบหายแล้วห้ามป่วยแบบนี้อีก”
“เข็ดแล้ว” คนบอกเข็ดย่นหน้าจนผมต้องขำออกมา
“เข็ดแล้วก็รีบๆ หาย แล้วอย่าทำอีก”
“รู้แล้วน่า ปีศาจขี้บ่น” ผมยิ้มกว้างเมื่อถูกเรียกปีศาจ
“ถ้าไม่อยากโดนบ่นก็รีบหายเลย ไม่งั้นจะเป็นปีศาจหื่นด้วยนะ” คนป่วยขำออกมาพร้อมไอ
“เป็นปีศาจขี้บ่นหรือปีศาจหื่นก็รักอยู่ดี”
“ครับ พี่ก็รักไอ้เกรียนคนนี้มากที่สุดเหมือนกัน”
ผมกำลังจะก้มจูบปากสีชมพูระเรื่อแต่ถูกมือดันหน้าไว้
“ไม่ได้ เดี๋ยวติด”
“พี่ไม่กลัว”
บอกไปพร้อมก้มจูบปากสวย คนป่วยดิ้นขืนเบาๆ สุดท้ายก็ยอมรับจูบผมโดยดี
“ดื้อว่ะ” โดนคนป่วยส่งสายตาค้อนวงใหญ่
“หายแล้วใช้คืนพี่ด้วย ชุดใหญ่”
“อย่าหื่นกับคนป่วยได้ป่ะ”
“ก็คนป่วยกับเมียเป็นคนเดียวกันนี่”
“ปีศาจไปไกลๆ ไป” โดนโวยวายเสียงดัง ไม่นานคงจะหายแล้ว ต่อปากต่อคำได้ขนาดนี้ ผมยืนมองอยู่นานจนคนป่วยหลับไปอีกรอบ
“อย่าป่วยอีกเลยนะ”
“การมีโรค เป็นลาภอันประเสริฐมั้ยล่ะ” ผมพึมพำอยู่บนเตียงหลังจากได้ยินเสียงพี่โชออกจากห้อง ได้ทั้งอ้อน ได้ทั้งคนดูแล แม้มันจะเกินความตั้งใจไปหน่อยก็เถอะ แถมยังต้องมากินยาขมๆ อีก แต่ก็คุ้มกับการป่วยครั้งนี้ ไอ้กลอยประเกรียนสุดหล่อจิตสัมผัสแม่นเว่อร์ยืนยัน แค่กๆ
........................................................