“เอาไปสิ ผมให้ยืมใช้”
ม่านกลมมนกลอกมองสิ่งของที่เลื่อนมาตรงหน้าพลางช้อนสายตาขึ้นสบคู่สนทนาซึ่งยังเผยรอยยิ้มใจดี ภัควัฒน์โยธินคนน้องเผลอบีบมือที่สอดประสานกันบนตักอย่างไม่รู้ตัว กัดริมฝีปากล่างเหมือนทำอะไรไม่ถูก ความสับสนตีรวนยุ่งเหยิงเสียจนแสดงออกทางสีหน้า
พอทานมื้อแรกของวันฝีมือภาคภูมิเสร็จ ไฮท์ก็นั่งรถกระบะคันใหญ่สภาพใหม่กว่าที่เคยเห็นในไร่ตะวันมากับเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เด็กหนุ่มไม่กล้าเอ่ยปากถามว่ากำลังเดินทางไปที่ไหน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทัศนียภาพแปลกตาข้างถนนสายยาว ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาเขียวขจี ครั้งแรกที่ออกมาไกลเรือนท้ายไร่เช่นนี้ ตั้งแต่โดนจับมาอยู่ที่นี่สามย่างเข้าอาทิตย์ที่สี่โดยไม่ได้ติดต่อใคร
ภายในรถยนต์โดยสารเงียบกริบ อาจเพราะฤทธิ์ยาลดไข้ทำให้เคลิ้มหลับหลังจากยานพาหนะเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลักไม่นาน ตื่นอีกทีก็อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยหากแต่ป้ายขนาดพอเหมาะกำกับอยู่ตรงประตูทางเข้า บอกเขาว่าคือคลินิกรักษาโรคทั่วไป
“เผื่อคุณหนูอยากติดต่อไปที่ภัควัฒน์โยธิน”
กายสูงในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จำได้ดีว่าก้องเกียรติเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหมอชนวีร์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคนป่าที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แวะเวียนไปดูอาการตนบ่อยๆช่วงนั้น และเมื่อครู่ก็เพิ่งสั่งพยาบาลประจำคลินิกทายาแก้ฟกช้ำตามร่างกาย ตรวจผื่นแพ้เกสรข้าวโพด ตรวจวัดไข้ แม้จะใจร้ายฉีดยาให้ตั้งสองเข็มก็ตาม
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ขยับหันไปทางประตูห้อง ในอกซ้ายวูบโหวงยากเกินบรรยาย มือนิ่มเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะเบนกลับมาสบใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่มอีกครั้ง ยามสุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยแนะนำและพยายามให้ความช่วยเหลือ
“ถ้าจะโทรก็รีบโทรตอนนี้”
ชนวีร์เว้นช่วงจังหวะเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยา
“และหากจะไปก็ไปตอนนี้ ตอนที่ไอ้ขุนมันออกไปทำธุระข้างนอก มันบอกผมว่าเดี๋ยวจะกลับมารับ ถ้าคุณหนูต้องการกลับภัควัฒน์โยธินผมจะให้คนไปส่ง แต่ต้องตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น”
ประโยคเหยียดยาวที่คู่สนทนากำลังเอื้อนเอ่ยนั่นคือโอกาส โอกาสที่จะได้กลับบ้าน โอกาสที่จะได้เจอพี่ชาย โอกาสที่จะได้เจอบิดา โอกาสที่จะหนีไปจากที่นี่ โอกาสที่เขาจะหนีไปจากนายป้อเลี้ยงคนป่า...
“ไม่มีเวลาแล้วครับ”
เสียงเร่งจากบุคคลฝั่งตรงข้ามทำให้ไฮท์ไม่อาจควบคุมความสั่นเทาของร่างกาย แววเคลือบใสคู่หวานกลอกกลิ้งไปมา ขอบตาร้อนผ่าว หากแต่มือขาวค่อยๆขยับเอื้อมไปที่โทรศัพท์ของหมอหนุ่ม ก่อนที่จะ...
‘ช่วยผมด้วยครับ คุณพ่อครับช่วยผมด้วย’ ร่างสูงโปร่งภายใต้สีหน้าเฉยชาทว่ายังคงเป็นจุดรวมสายตาของผู้คน อาจเพราะรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ไม่เหมือนคนภาคเหนือโดยกำเนิด โครงหน้าหล่อจัดพ่วงตำแหน่งพ่อเลี้ยงไร่ตะวัน ไร่ของตระกูลผู้ดีเก่านามสกุลโด่งดัง ‘อัคคเดชภูดินันท์’ คนในจังหวัดเชียงรายส่วนมากรู้จักหน้าค่าตา เนื่องจากเห็นอยู่บ่อยๆเมื่อเจ้าตัวมักแวะมาทักทายพ่อค้าแม่ค้าสองสัปดาห์ครั้ง บางคราวก็นำพวกพืชผักผลไม้มาส่งกับคนงานในไร่
นัยน์ตาคมเหลือบมองเครื่องดื่มในมืออย่างหงุดหงิดใจ ไอเย็นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะตามข้างแก้วมีผลให้ต้องรีบเหยียบคันเร่งกลับมายังคลินิก ยกฝ่ามืออีกข้างขึ้นเสยกลุ่มผมพลางแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปาก ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องตรวจสักพักก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป ที่ไม่ค่อยมีคนไข้อาจเพราะยังไม่ถึงช่วงเวลาเลิกงาน
“ไม่เสร็จอีกเหรอวะ?”
สุ้มเสียงทุ้มเอกลักษณ์เอ่ยถามยามไม่พบทายาทภัควัฒน์โยธินที่ควรรออยู่ในนี้ ชนวีร์ยังคงสนใจแฟ้มเวชระเบียนบนโต๊ะสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขุนจึงปล่อยความเงียบคืบคลานบรรยากาศรอบกายช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมา
“ผื่นแพ้เกสรข้าวโพดไม่น่าห่วง ตัวรุมๆแต่ฉีดยาลดไข้และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้แล้ว ผลข้างเคียงวันสองวันนี้อาจทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่สบาย ร่างกายมีรอยฟกช้ำและรอยถลอกจากการหกล้ม ทายาบ่อยๆคงช่วยบรรเทาได้บ้าง แต่แผ่นหลังขึ้นมาถึงหัวไหล่ระบมหนักเพราะถูกกระแทกอย่างแรง”
ชนวีร์อธิบายลักษณะอาการและวิธีรักษาตามหน้าที่ น้ำเสียงราบเรียบปกติแต่คนฟังอ่านความนิ่งสงบนั้นว่ามันผิดแผกไป และดูเหมือนสัญชาตญาณของตนเองจะยังใช้การได้ดีเยี่ยมอยู่เสมอ
“อุบัติเหตุหรือว่าจงใจวะ?”
“ไอ้ชนมึงคิดจะทำอะไร?”
มือหนาบีบแก้วพลาสติกซึ่งบรรจุเครื่องดื่มแสนหวานไว้จนมันบุบตามแรง ม่านตาสีน้ำตาลเข้มมองสบคู่สนทนา จับจ้องราวกับว่าจะอ่านใจ อ่านทุกความคิดให้ทะลุปุโปร่ง
“มึงทำได้ยังไงวะตัวเล็กๆแค่นั้น ใจมึงด้านชาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้ขุน”
“ไอ้ชน”
“ช้ำไปหมด ยับเยินไปหมดทั้งตัว กับรอยที่มึงทำไว้อีก”
“ลูกไอ้พิพัฒน์อยู่ไหน?”
!!
ชาเขียวนมลอยกระทบพื้นกระเบื้องด้วยแรงโทสะ พ่อเลี้ยงหนุ่มสืบเท้าเข้าไปหาเพื่อนร่วมรุ่น จับกระชากสาบเสื้อกาวน์จนร่างชนวีร์ลอยขึ้นจากเก้าอี้นวมที่นั่ง แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกปล่อยคำพูดแทงใจดำอีกฝ่าย
“มีวิธีที่มึงจะแก้แค้นคนตระกูลภัควัฒน์โยธินมากมาย แข่งกันในสนาม ตามกฎกติกา ทำไมมึงถึงเลือกวิธีต่ำๆ เขาไม่มีทางสู้แรงมึงได้เลย มึงเคยสนใจรอยช้ำรอยแผลบนตัวเขาบ้างไหม? หรือมึงเอาแต่เสพสมร่างกายจนพอใจแค่นั้น มึงมันเลว”
เกินกว่าคำว่าน่าสงสารไปมากโข มันน่าเวทนา หดหู่ เมื่อทอดมองร่องรอยต่างๆบนผิวเนื้อขาวจัด ประกายตาหวานสั่นระริก กลีบปากสีแดงอ่อนเม้มแน่นอย่างอดทนยามพยาบาลช่วยทายา แม้ประเมินจากการแสดงออกของฟากฟ้า ก้องเกียรติและภาคภูมิก็น่าจะเอ็นดูห่วงใยคุณหนูตัวผอมไม่น้อย แต่พอพบเจอกันอีกคราสภาพก็ยังเหมือนเดิม เหมือนกับคราวก่อนที่เจอในเรือนท้ายไร่ ต่างแค่คราวนี้ไอ้ขุนพามาเยียวยาบาดแผลด้วยตัวเอง
“ไอ้ชน กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย ลูกไอ้พิพัฒน์อยู่ไหน”
กระแสเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นเสียจนน่าขนลุก แววตาคมแข็งกร้าววาวแสง รู้ว่าเลวและตนไม่ต้องการให้มาย้ำ เพราะถ้าจะต่ำก็ต่ำกันทั้งสองตระกูล แข่งกันในสนามอย่างนั้นหรือ? ควรไปบอกฝั่งนู้นดีกว่าไหม? ประมุขอัคคเดชภูดินันท์ถูกลอบยิงตายไม่เห็นได้รับความยุติธรรม
“มึงน่าจะรู้จักกูดีนะ กูมันโคตรแพ้ของน่ารัก เห็นอะไรน่ารักๆพังไม่ได้เป็นต้องอยากซ่อมอยากรักษา”
!!
กำปั้นหนักๆอัดเต็มปลายคาง แรงเสียจนร่างนายแพทย์หนุ่มเซถอยหลัง ชนวีร์สะบัดใบหน้าไปมาด้วยความมึน ยกหลังมือขึ้นแตะมุมปากที่มีเลือดไหลซิบพลางส่งเสียงหัวเราะขำ ม่านตาคมมองเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาหา คงหวังจะซัดซ้ำอีกรอบหากแต่ตนไวกว่า ปล่อยหมัดสวนกลับจนอีกฝ่ายเซถลาไปอีกทาง
“กูเอาโทรศัพท์ให้เขายืม มึงคิดว่ายังไง? ฉลาดๆแบบมึงคงรู้ว่าเขาจะทำอะไร นอกจากหนีคนแบบมึงไปไกลๆ”
“คุณหมอมีอะไรกันเหรอคะ ว๊าย!”
เป็นนางพยาบาลที่เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะการทะเลาะวิวาท ด้วยเพราะพวกหล่อนได้ยินเสียงดังโครมจากด้านใน ตู้เก็บเอกสารใกล้ๆถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อเลี้ยงรูปหล่อ ทำเอาหญิงสาวร่างเล็กสองชีวิตสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน ดวงตาคมกริบเบนจ้องสีหน้าระรื่นของเพื่อนสนิทอย่างโกรธเคืองอีกครั้งก่อนจะหุนหันออกจากห้องไป แม้ชนวีร์รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนโมโหร้ายแต่ก็ยังคิดแหย่หนวดเสือ
!!
ฝ่าเท้าเตะอัดโซฟาหนังสีดำสำหรับนั่งรอคิวเข้าพบหมอ เจ้าของกายสูงค่อนข้างเลือดร้อน ผกผันอย่างสิ้นเชิงกับสีหน้าเย็นชา ในหัวคิดวิธีตามหาทายาทศัตรูหากแต่ในอกร้อนรุ่มดั่งไฟ การเดินทางจากเชียงรายเข้าสู่เมืองหลวงมีอยู่ไม่กี่ทางเลือก รถโดยสารตัดออกตัวเลือกแรกเพราะคนอย่างชนวีร์รอบคอบพอจะไม่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้น แถมที่นั่นมีคนของอัคคเดชภูดินันท์กระจายตัวอยู่รอบๆ เร็วที่สุดจะส่งเชลยกลับภัควัฒน์โยธินคือทางเครื่องบิน
ขุนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาเส้นสายในพื้นที่ การพามารักษากับชนวีร์แม้รู้ว่ามันอยู่ข้างคุณธรรม แต่ก็ไว้เนื้อเชื่อใจกันมากพอสมควร เขาประมาท ประมาทที่คิดว่าเพื่อนจะทำหูหนวกตาบอด ไม่รู้ไม่เห็นอะไร
“นายป้อเลี้ยง!”
เสียงเรียกตะโกนดังจากอีกด้านหนึ่งชะงักทุกอย่างได้ทันท่วงที เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวผ่านชั้นหนังสือสำหรับวางคู่มือต่างๆเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ กายผอมบางกระโจนลงจากเก้าอี้ที่ไม่รู้ขึ้นไปเหยียบบนนั้นทำไม ก้มตัวสวมรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เอี่ยมเพราะคู่เก่าเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา มือขาวกำถุงยา ริมฝีปากเล็กขยับถามพลางชี้ก้านนิ้วไปยังสิ่งที่เจ้าตัวสงสัย
“มันคืออะไรอ่ะ เหมือนบอลลูนเลย”
ความสนใจลอยไปอยู่ภายนอกหน้าต่างบานกว้างด้านทิศตะวันตก ขุนหันหน้ากลับไปทางประตูห้องตรวจที่เพิ่งผละออกมาก็พบเข้ากับรอยยิ้มมุมปากของมิตรสหาย นายแพทย์หนุ่มล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์หยิบเอาเครื่องมือสื่อสารพร้อมยกมันขึ้นโบกไปมาในอากาศ สีหน้ากวนประสาทเสียจนคนเลือดร้อนกระแทกลมหายใจ ไม่ได้ดูเลยว่านางพยาบาลประจำคลินิกใจหายใจคว่ำกอดกันกลมอยู่ข้างๆ
“กวนตีนนะมึง”
“กูจะถือว่าเป็นคำชม”
คุณหมอตัวสูงตอบรับด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เลื่อนสายตาไปที่คุณหนูตัวขาวพร้อมระบายยิ้มจาง ภาพทายาทภัควัฒน์โยธินพูดพึมพำกับโทรศัพท์ทั้งที่ไม่ต่อสายยังติดอยู่ในหัว ชนวีร์ยอมรับการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม โดยไม่ถามไถ่เหตุผลใดๆอีกหลังจากได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วนั่นแก้ต่างแทนว่าวิ่งแล้วหกล้มเอง แต่ไม่ยอมบอกสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่แผ่นหลัง
เพราะเข้ามาถามหาเป้าหมายถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นคุณหนูตัวขาวนั่งรอข้างนอก ประจวบเหมาะมีของเรียกความสนใจ จึงไม่ทันสังเกตว่า ‘นายป้อเลี้ยง’ กลับมารับ แถมยังถือของฝากติดไม้ติดมือมาและแน่นอนว่าไม่ใช่ชาเขียวนมของมันเอง ทำเรื่องมหัศจรรย์เสียจนนึกอยากจับปรอทวัดไข้ยัดปาก หรืออาจต้องทำถึงขั้นเช็กว่าสมองส่วนไหนทำงานผิดปกติหรือเปล่า
“มึงทำห้องกูเลอะ”
“สมควร”
แม้นึกหวั่นว่าพ่อเลี้ยงของไร่ตะวันจะทำรุนแรงกับเด็กตัวผอม หากแต่การกระทำบางอย่างเผยสัญญาณที่ดี อย่างน้อยยังรู้จักปลอบโยนคนที่ตัวเองทำร้ายร่างกาย ถึงการปลอบโยนจะแข็งกระด้างไปสักหน่อยก็ตาม
“ทำไมไม่หนี?”
ละสายตาจากเพื่อนร่วมรุ่นหันกลับมาคว้าปลายคางเรียวสวย มือหนาบีบแก้มนุ่มเสียจนมันยุบลงตามแรง ดันกลีบปากสีแดงยู่ยื่นน่าเอ็นดู อารมณ์กรุ่นโกรธค้างเติ่งมาจากด้านใน ถ้าจะหนีก็หนีได้ คนอย่างชนวีร์ถ้าคิดช่วยเหลือคงส่งถึงรั้วภัควัฒน์โยธินอย่างปลอดภัยภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
“มีคนช่วยทำไมไม่ไป?”
ม่านตากลมกลอกมองใบหน้าหล่อเหลา นึกทวนคำถามของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมไม่หนี มีโอกาสแท้ๆทำไมถึงไม่ไป หากแต่ใช้เวลาไม่นานนักคำตอบก็ผุดขึ้นมา
“เราจำหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านไม่ได้”
โกหก เขาโกหก...
น้ำเสียงที่เอื้อยเอ่ยช่างบางเบาแทบไม่ได้ยิน ทำไมจะจำไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมเพราะจำได้ขึ้นใจ เฝ้ารอให้มันโชว์หราบนหน้าจอตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนเด็กๆก็มักจะคอยเงี่ยหูฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลดังอยู่ร่ำไป เพียงแต่...
ถ้าต่อสาย เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรกับบิดา ไฮท์ห่วงพี่ชายและกลัวการถูกต่อว่าด่าทอ นอกจากจะไม่ทำประโยชน์แก่ภัควัฒน์โยธินแล้ว ยังคอยแต่สร้างปัญหา อาจจะดีกว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ พ่ออาจมองเขาในแง่ดี หากอยู่ชดใช้หนี้แทนคุณลุงพิพัฒน์ ทว่าความคิดที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดนั้นเรียกเสียงเย้ยหยันจากเจ้าของกายสูง
“หึ! เป็นต่างด้าวแล้วยังโง่อีก ถ้าจำได้คงจะไปแล้วสิท่า”
“ใช่! ถ้าเราจำได้ เราโทรไปแล้ว เรากลับกรุงเทพฯไปแล้ว ไม่อยู่กับนายป้อเลี้ยงหรอก!”
กลีบเนื้ออ่อนเบะออกเตรียมร้องไห้เฉกเช่นทุกที ผู้กล่าวหาจับจ้องแววตาสั่นคลอนที่รื้นคลอด้วยหยาดน้ำไร้สีพลางปล่อยมือจากปลายคาง พ่อเลี้ยงหนุ่มปิดการมองเห็นลงชั่วครู่หนึ่งเพื่อปรับอารมณ์ เพียงไม่กี่วินาทีนัยน์ตาคมก็ลืมขึ้นพร้อมตอบคำถามเจ้าของดวงหน้าอ่อนเยาว์
“โคมลอย”
“ฮึก...”
“ก็บอกว่ามันคือโคมลอยไง จะร้องทำไม”
ลำแขนแกร่งช้อนอุ้มกายผอมขึ้นไปนั่งบนเบาะเนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่ากว่าจะปีนสำเร็จคงใช้เวลานาน และไม่ทันอกทันใจ อีกเหตุผลเพราะรถกระบะรุ่นนี้สูงกว่าที่ใช้งานในไร่ประจำ ผิวแก้มใสเปื้อนคราบน้ำตาอีกรอบของวัน มือเล็กยกปาดมันออกจากใบหน้าป้อยๆทั้งที่ริมฝีปากทรงกระจับยู่ยับ เจ้าของโครงหน้าหล่อจัดยังไม่ทีท่าผละห่างจากบานประตู เอาแต่จ้องมองอาการสะอื้นฮักของเด็กน้อยที่ไม่รู้จะสงบลงเมื่อไหร่
“ร้องให้ตายไปเลย”
คำพูดคำจาร้ายกาจสวนทางกับการกระทำ อาจเพราะเป็นคนดิบๆ ห่ามๆ ปลอบใครไม่เป็น ฝ่ามือหนาดันหน้าผากมนจนเจ้าของเอนพิงเบาะโดยสาร ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงตาม ใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นเป่ารดผิวแก้มนวลเนียน
“ระ...เรารู้แล้วว่า ฮึก...นายป้อเลี้ยงเกลียดเรา”
ไม่รู้คิดอะไรอยู่ จู่ๆเด็กตัวขาวก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดสบลูกแก้วคู่หวานในระยะประชิด ดึงถุงยาที่มือบอบบางกำไว้แน่นโยนไปยังเบาะหลัง ก่อนจะขยับปากเอ่ยสำทับประโยคของอีกฝ่าย
“รู้ก็ดี”
“นายภาค...ฮึก..นายฟากและนายก้องไม่เกลียดเรา”
“รู้ได้ไง?”
“มีแต่นายป้อเลี้ยงที่เกลียด..ล..อือ...”
ถ้อยคำตัดพ้อปนสะอื้นถูกกลืนด้วยเรียวปากหยัก จุมพิตละมุนละไมนุ่มนวลเสียจนนึกห่วงก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในอกซ้าย ความอุ่นชื้นสอดแทรกผ่านกลีบเนื้อนุ่มนิ่มอย่างง่ายดายเพราะแก่ประสบการณ์กว่า กวาดต้อนไล่ล่าปลายลิ้นเล็กๆไปทั่วโพรงปาก หอมหวาน เชื่องช้า ราวกับว่าปลอบประโลม โอ๋เด็กน้อยที่ร้องไห้โยเยให้หายเสียขวัญ เนิ่นนานจนกระทั่งเกิดการประท้วงร้องขอลมหายใจ ทว่ายังตามหยอกล้อคลอเคลีย กดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ ริ้วเลือดฝาดเฉดขึ้นปรางขาวน่าเอ็นดู
ความอ่อนโยนที่ไม่ควรได้รับ
และความอ่อนโยนที่ไม่ควรแสดงออก
ระบบสั่นของเครื่องมือสื่อสารหยุดการเคลื่อนไหวเจ้าของกายสูงใหญ่ชั่วขณะ ขุนผละห่างริมฝีปากหวานล้ำอย่างนึกเสียดาย โน้มจูบขมับแผ่วเบาพลางเกลี่ยก้านนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาให้กายผอมบาง มืออีกข้างล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ม่านตาคู่คมทอดนิ่งมองรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
สายเรียกเข้าจากนายหัวรังสิมันตุ์...
หากอัคคเดชภูดินันท์รุกฆาตฉันใด ภัควัฒน์โยธินก็คล้ายจะรุกฆาตฉันนั้น
คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ
เพราะคนที่พลั้งเผลอก่อน คือคนที่
พ่ายโปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ติชมนะคะ
พลิศค่อนข้างจะเป็นอุเคะจ๋ามากๆ ต้องขออภัยหากคาแรกเตอร์ดูขัดๆ