'พ่าย' อัคคเดชภูดินันท์ vs ภัควัฒน์โยธิน (ตอนที่ ๑๒) ๑๑/๐๗/๒๕๕๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'พ่าย' อัคคเดชภูดินันท์ vs ภัควัฒน์โยธิน (ตอนที่ ๑๒) ๑๑/๐๗/๒๕๕๙  (อ่าน 15281 ครั้ง)

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






พ่าย
หมายเหตุ
อัคคเดช อ่านว่า อัก-คะ-เดด / ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่
ภูดินันท์ อ่านว่า พู-ดิ-นัน / ยินดีในความเจริญรุ่งเรืองอำนาจและความมั่งคั่ง

ภัควัฒน์ อ่านว่า พัก-คะ-วัด / ความโชคดี ความเจริญ
โยธิน อ่านว่า โย-ทิน / ผู้ชนะ

อัศว อ่านว่า อัด-สะ-วะ / อัศวิน(ม้า)
อัครวรกุล อ่านว่า อัก-คะ-ระ-วอ-ระ-กุน / วงศ์ตระกูลผู้เป็นเลิศ


คำอธิบาย:
นิยายเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากละครไทย ไทยแท้บ้านเราเลย พล็อตของเรื่องก็น้ำเน่าประมาณนั้นแหละ ไม่มีความสมจริงหรือสมเหตุสมผล ข้อมูลอาจมีความผิดพลาด เกินจริง เหนือธรรมชาติ(?) เดาทางได้ง่ายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น นายเอกในเนื้อเรื่องท้องได้ แต่บทบรรยายจะเป็นผู้ชายพูด ‘ครับ’ พูด ‘ผม’ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ



PANGL

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2016 19:29:31 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทนำ.



‘พินัยกรรมของคุณปู่กำลังทำฉันลำบาก’
“เรื่องการแต่งงานกับพวกภัควัฒน์โยธินน่ะเหรอครับ?”
‘ใช่ คราวนี้ฉันคงต้องขอแรงแกช่วยเหลือ’

สุ้มเสียงทุ้มโทนต่ำลอดผ่านสายโทรศัพท์เรียกให้เจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งต้องขมวดคิ้วมุ่นและคอยฟังรายละเอียดอย่างตั้งใจ นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มทอดมองทิวทัศน์นอกชานระเบียงกว้างที่ทอดยาวไปจนถึงตีนเขาลูกใหญ่ กายสูงโปร่งแบบบุรุษเพศอยู่ในชุดลำลอง กางเกงผ้าฝ้าย เสื้อยืดคอกลมสบายๆ หากแต่หัวข้อสนทนากับปลายสายไม่อาจทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น

“ทำไมท่านถึงอยากให้ดองกัน ทั้งที่เกลียดกันเข้าไส้แบบนี้ครับ?”

เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กับพวกตระกูลภัควัฒน์โยธินจะให้เรียกว่าเกลียดยังน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรก็ถูกพร่ำสอนให้มองฝ่ายนั้นเป็นศัตรู หากมีโอกาสเหยียบย่ำให้จมดิน คงไม่ปล่อยให้หลุดมือโดยง่าย ทว่าท่าน ‘อาทิตย์ อัคคเดชภูดินันท์’ กลับระบุการผูกขาดระหว่างกันไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าต้องการให้ รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ หมั้นหมายและรับทายาทคนโตของฝั่งนั้นมาเป็นศรีภรรยา มรดกในบัญชีจำนวนมหาศาลถึงจะตกเป็นของหลานชายโดยสมบูรณ์

‘ฉันไม่เข้าใจคุณปู่เลยจริงๆ ธุรกิจของพวกเรากับพวกมันก็เหมือนจะแย่งผลประโยชน์กันและกันมาโดยตลอด’

ดันมาตั้งเงื่อนไขว่าจะส่งมอบเกาะที่กระบี่ให้ภัควัฒน์โยธินหากยอมเกี่ยวดองกัน แล้วคิดหรือว่าฝ่ายนั้นจะไม่วิ่งแจ้นมารอรับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตีเป็นเม็ดเงินได้เกือบพันๆล้านบาท แม้ทะเบียนสมรสจะบ่งบอกถึงการเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่นั่นมันคือของของอัคคเดชภูดินันท์อย่างชอบธรรมอยู่แล้ว ทำไมต้องเอาไปประเคนให้คนอื่น แถมคนอื่นที่ว่ายังเป็นศัตรูที่ไม่รู้จะดึงมีดขึ้นมาแทงกันวันไหน

‘แค่ต้องปั้นหน้าตอนเจอกับไอ้พิศาลตามงานสัมปทานเหมือง ฉันก็แทบจะหยิบปืนมาเป่าหัวมันแล้ว นี่ต้องแต่งงานกับคนตระกูลนั้น แต่งเข้าบ้านไม่เกินสามวันคงได้ฆ่าลูกหลานมันตายคามือ’

‘พิศาล ภัควัฒน์โยธิน’ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆของ ‘พิพัฒน์ ภัควัฒน์โยธิน’ และมีหน้าที่ดูแลทุกอย่างของภัควัฒน์โยธินแทนคนพี่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมธุรกิจรีสอร์ทที่แม่ฮ่องสอนเมื่อสิบสามปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่าทางฝั่งนั้นคิดว่าเป็นฝีมือของอัคคเดชภูดินันท์

ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วระหว่างสองตระกูลก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ เมื่อ ‘ตะวัน อัคคเดชภูดินันท์’ นายหัวใหญ่บิดาของนายน้อยรังสิมันตุ์หรือโชตต้องมาจากไปเพราะถูกลอบยิงในหนึ่งเดือนถัดมา เหตุการณ์มันประจวบเหมาะให้เข้าใจว่าเป็นการเอาคืนของฝ่ายศัตรู ความเคียดแค้น ชิงชัง พอกพูนทวีคูณ เสียจนไม่อาจเผชิญหน้ากันได้อย่างสนิทใจ

จำได้คร่าวๆว่าพิพัฒน์มีทายาทซึ่งถูกส่งตัวไปร่ำเรียนที่เมืองนอกเมืองนาตั้งแต่เด็ก แทบไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตา เพราะเหมือนทางภัควัฒน์โยธินจะกีดกันและไม่ยอมให้สื่อเข้าถึง หรือก็คงหวั่นกลัวเลือดเนื้อเชื้อไขจะได้รับอันตรายเนื่องจากธุรกิจมากมายที่มีอยู่ในครอบครอง

“นายหัวจะให้ผมลงมือเมื่อไหร่?”

คล้ายจะรู้ใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ แม้พักหลังๆไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน เนื่องจากกิจการที่นายหัวรับผิดชอบกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงขาขึ้น จึงทำให้อีกฝ่ายยุ่งๆอยู่กับการบริหาร ส่วนตนก็มีงานประจำที่ได้รับมอบหมาย เป็นเหตุให้ต่างฝ่ายต่างห่างหายจากการติดต่อซึ่งกันและกัน

ทว่าไม่เคยลืม ที่มีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะใบบุญจากอัคคเดชภูดินันท์ ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ให้ความรักความเอ็นดู เลี้ยงดูจนเติบใหญ่จนกระทั่งยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ และมันคือการร้องขอความช่วยเหลือครั้งแรกจากปลายสาย ซึ่งตนให้ความเคารพนับถือเป็นทั้งพี่ชายและนายหัวเฉกเช่นคนอื่นๆ

‘งานแต่งงานถูกเร่งให้จัดขึ้นปลายเดือนนี้’
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
‘ไอ้พิศาลมันอยากได้ของของเราจนตัวสั่น ก็สินสอดเป็นเกาะมูลค่ามหาศาล คงอยากประเคนลูกหลานมาให้ฉันย่ำยีจนทนรอไม่ไหว’
“นายหัวเคยเจอคุณหนูของภัควัฒน์โยธินหรือยังครับ?”
‘ยัง แม่กำลังนัดแนะดูตัวกับทางนั้น แต่ฉันไม่อยากเห็น เดี๋ยวจะพาลพลั้งมือฆ่าตายเสียก่อน แต่คงไม่มีโอกาสได้ทักทายกันแล้ว จะทำอะไรกับมันก็ได้ขุน ฉันอนุญาต’
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบฝากงานทางนี้”
‘ไม่ต้องรีบ เคลียร์งานที่เชียงรายให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยลงมาหาฉันที่กรุงเทพฯ’
“ครับ”
‘งานนี้ฉันคงต้องหวังพึ่งแก’
“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าผมได้ตัวลูกชายไอ้พิพัฒน์แล้วผมคงจะไม่ติดต่อนายหัวซักระยะ”

นั่นหมายรวมถึงว่าฝ่ายนายหัวรังสิมันตุ์ก็จะไม่สามารถติดต่อตนได้เช่นกัน

‘ระวังตัวด้วย ฝั่งนั้นไม่ใช่เด็กอมมือธรรมดาๆ’
“ผมทราบครับ อะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือนายหัวได้ ผมอยากให้นายหัวเอ่ยปากบอกผมเถอะ ผมจะพยายาม”

กรอกน้ำเสียงทุ้มขึ้นจมูกผ่านเครื่องมือสื่อสารให้คู่สนทนาเบาใจ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันตามประสาอยู่นานหลายนาที ก่อนนายหัวตระกูลอัคคเดชภูดินันท์คนปัจจุบันจะกล่าวราตรีสวัสดิ์และกดวางสายไป

ภายใต้ผืนฟ้าที่ประดับประดาด้วยหมู่ดาวพร่างพราย สายลมหอบอากาศเย็นกำลังดีพัดแผ่วให้กิ่งไม้ใบหญ้าไหวเอนตามทิศทาง ร่างสูงสง่ายังยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เหม่อมองทัศนียภาพอันแสนคุ้นเคยด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าหล่อคมเรียบเฉย หากแต่ในสมองกำลังครุ่นคิดถึงแผนการบางอย่าง

โชคชะตาหรือความบังเอิญ

พรหมลิขิตจากเบื้องบนหรือมนุษย์ตั้งใจ

ใครจะเป็นผู้พ่ายแพ้ในเกมนี้

ไม่รู้...ไม่มีใครรู้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:27:05 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๑.



“ครับ ผมเข้าใจ ไว้ค่อยนัดเด็กๆตอนใกล้งานแต่งงานก็ได้ครับคุณหญิงไลลา ไม่เป็นไรครับคนกันเองแท้ๆ ครับ สวัสดีครับ”

!!!!

มือหนาปาเครื่องมือสื่อสารลงกระแทกพื้นพรมหรูในห้องทำงานอย่างเดือดดาล หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณที่บ่งบอกว่าปลายทางวางสายดังขึ้น พิศาล ภัควัฒน์โยธิน สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับโทสะ ขยับคลายปมเนคไท เอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้นวมพลางหลับตาลงสงบอารมณ์คุกรุ่น

ฝั่งลูกน้องที่ยืนรอรับใช้ในห้องทำงานกว้างซึ่งตั้งอยู่ทางเรือนซ้ายต่างปิดปากเงียบสนิท ปล่อยนายท่านใหญ่จมนิ่งอยู่กับตัวเองซักพัก เพราะรู้ดีว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดไม่เข้าหูเวลานี้คงมีแต่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง เสียงบานประตูถูกเคาะสองสามครั้งเพื่อขออนุญาต สามารถลดทอนความตึงเครียดได้เพียงเล็กน้อย กายสูงโปร่งของผู้มาใหม่เปิดและปิดกรอบไม้สักทองลงอย่างเบามือ ก่อนจะก้าวเท้าเดินมาถึงด้านในเพื่อกล่าวรายงาน

“ท่านครับ ร้านอาหารที่จองไว้...”
“ตอนนี้เจ้าเดย์อยู่ที่ไหน?”

สุรเสียงโพล่งขัดเลขานุการคนสนิท ส่งผลให้ผู้เป็นบ่าวชะงักนิ่งไปชั่วขณะ กวินทร์ก้มศีรษะลงด้วยท่วงท่าอ่อนน้อมถ่อมตน เหลือบสายตามองคนอื่นๆเพื่อประเมินสถานการณ์โดยรอบอย่างชาญฉลาด เมื่อเริ่มประมวลผลความน่าจะเป็นได้แล้ว จึงรีบเอ่ยตอบคำถามคนเป็นนาย

“คุณหนูพลัฏฐ์น่าจะอยู่ที่เรือนขวาครับท่าน เห็นว่ากำลังจัดของ”
“ไอ้โชต! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน! จองหองเหมือนพ่อมันไม่มีผิด อย่าให้ภัควัฒน์โยธินได้เอาคืนบ้างก็แล้วกัน!”

ระเบิดออกมาให้เหล่าบริวารสะดุ้งจนตัวโยนด้วยความหวั่นเกรง นัยน์ตาคู่คมเปิดขึ้นฉายแววชิงชังอย่างหาที่สุดไม่ได้ ยอมอดทนให้ทายาทศัตรูถอนหงอกอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อรอเวลาที่จะแก้แค้นอย่างสาสม ภัควัฒน์โยธินเสียเปรียบตรงที่เลือดเนื้อเชื้อไขไม่เก่งด้านบริหาร แต่พิศาลไม่เคยมองว่ามันคือจุดด้อย

รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์! คิดจะปั่นหัวกันอย่างนั้นหรือ? เลื่อนนัดดูตัวเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำ ไม่อยากมาก็ไม่มา ปฏิเสธหน้าตาเฉยว่าติดงานใหญ่ที่สุราษฎร์ธานี ทั้งที่ตนให้ลูกน้องไปตามสืบมาแล้วว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในกรุงเทพมหานคร เดินร่อนควงนางแบบไม่ซ้ำหน้าแต่ละอาทิตย์ เพียงแค่เจียดเวลามาพบว่าที่ภรรยาสักนิดมันกลับไม่เห็นถึงความสำคัญ ภัควัฒน์โยธินไม่ใช่ตระกูลต้อยต่ำให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรี

“อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะดองกันแล้วแท้ๆ แต่มันยังเลี่ยง ยังคอยหาข้ออ้างไม่ยอมมาเจอหน้าทางเรา ไม่รู้คิดแผนชั่วอะไรอยู่ ฉันคงต้องสั่งคนจับตามองมันทุกฝีก้าวจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน”

ไว้ใจไม่ได้! พวกต่ำช้า เคยใช้วิธีสกปรกพรากประมุขของภัควัฒน์โยธินมาแล้ว แต่คราวนี้ตนไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ นำพาความโศกเศร้ามาให้ทั้งตระกูล สันดานหมาลอบกัด ที่เดินเชิดหน้าชูตาอยู่ในงานสังคมทุกวันนี้ไม่คิดจะละอายแก่ใจบ้างหรืออย่างไร

แค่ต้องปั้นคำพูดจาดีๆ ราวกับไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันระหว่างสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณหญิง ไลลา อัคคเดชภูดินันท์ ภรรยาของไอ้ตะวัน เพื่อดำเนินเรื่องการแต่งงาน ตนต้องพยายามข่มความรู้สึกมาดร้ายเอาไว้ภายใต้สีหน้ายินดี

ยินดีกับผีน่ะสิ!

“ท่านจะรับข้อเสนอพินัยกรรมของท่านอาทิตย์จริงๆเหรอครับ?”

กวินทร์ย้ำถามการตัดสินใจ แม้งานดังกล่าวจะถูกตระเตรียมไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ล่วงหน้าก่อนคุณหนูยังไม่ทันกลับมาถึงประเทศไทยด้วยซ้ำ เพราะตนถวายตัวรับใช้ตระกูลนี้มานาน จึงไม่อาจปล่อยวางเรื่องความปลอดภัยของทายาทภัควัฒน์โยธิน

สิ่งที่อดีตนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของนายหัวคนปัจจุบันระบุไว้ก่อนเสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัยชรา กำลังนำพาความวุ่นวายมาสู่สองตระกูล แม้ปกติแทบจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ทว่าคราวนี้ต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้าหากัน ฝั่งนั้นก็พยายามรักษาสิทธิ์ ทว่าฝั่งภัควัฒน์โยธินกลับมองเห็นลู่ทางในการชำระความ

“ใช่ มีทางนี้เท่านั้นที่พวกเราจะสามารถเข้าไปใกล้พวกมันมากที่สุด”
“แต่คุณหนู...”
“ฉันเชื่อ มันจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเชียวล่ะ”

ใครเห็นก็รัก เติบโตขึ้นอย่างสง่างาม สมกับเป็นที่พึ่งพาของภัควัฒน์โยธินอย่างแท้จริง แม้ไม่เก่งกาจสามารถด้านธุรกิจ แต่จิตใจดี ซื่อสัตย์ ภายนอกดูอ่อนโยน สุภาพ หากแต่ภายในแข็งแกร่ง สงบนิ่ง ดังหินผา เด็ดเดี่ยวมั่นคงอย่างพี่พิพัฒน์ งดงามตรึงจิตดั่งพี่เพียงดาว พิศาลอดทนรอให้ถึงวันพังพินาศของอัคคเดชภูดินันท์แทบไม่ไหวแล้วตอนนี้

“แต่เท่าที่ผมตามดูลาดเลา ในรั้วอัคคเดชภูดินันท์เต็มไปด้วยคู่ขาของนายหัวรังสิมันตุ์ ผมเกรงว่าคุณหนูจะเป็นอันตราย”

ไม่ห่างไกลจากคำว่าฮาเร็มบำเรอใคร่นัก เพราะยอดเยี่ยมและเป็นเลิศในทุกๆด้าน รูปร่าง หน้าตา บุคลิก ไหวพริบ ตำแหน่งหน้าที่การงาน อำนาจ ทรัพย์สินที่ครอบครอง ซึ่งมันมาพร้อมกับเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่อาจละสายตา ไม่มีใครปฏิเสธว่าอยากให้แววคมสีดำขลับของนายหัวอัคคเดชภูดินันท์คู่นั้นจับจ้องและต้องใจ นิตยาสารหลายฉบับตามง้อขอลงสัมภาษณ์ด้วยการประเคนนางแบบสาวสวยให้ก็ยังมี

ทว่ากลับเป็นคนไม่มีหัวใจ มุ่งอยู่แต่กับงานและผลประโยชน์ ไม่เหลียวแลหรือสนใจคนนอกครอบครัวมากนัก แสดงกิริยาด้านชาเพิกเฉยต่อผู้อื่นได้อย่างร้ายกาจ แต่ก็สมกับเป็นนายหัวของตระกูลผู้ดีเก่า

“เจ้าเดย์เก่งพอจะเอาตัวรอดได้”

ตั้งแต่ขึ้นรับตำแหน่งนายหัวด้วยวัยเพียง ๒๒ ปี ก็ต่อสู้เชือดเฉือนกับตนเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งตอนนี้อายุ ๓๕ แล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะคบหาผู้หญิงคนไหนได้เกินสิบวัน ถูกใจมากๆหน่อยก็เก็บไปเลี้ยงที่บ้าน พอเบื่อก็ทิ้งขว้างราวกับไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน

“แต่คุณหนูยังไม่ทราบเรื่องราวบาดหมางระหว่างเรากับทางฝั่งนั้น”

เพราะถูกปิดหูปิดตา ปิดกั้นทุกๆอย่าง เนื่องจากคุณหญิงเพียงดาวไม่ประสงค์ให้ลูกรักต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องอันตราย ส่วนนายท่านพิพัฒน์เองก็หวงเลือดเนื้อเชื้อไขไม่น้อยไปกว่าภรรยา ตั้งแต่คลอดก็รับรู้ว่าลูกชายพิเศษกว่าคนอื่นๆ จึงคอยเฝ้าฟูมฟักทะนุถนอม ถ่ายทอดแต่สิ่งดีๆแง่มุมดีๆให้ คุณหนูจึงไม่ทราบความเป็นไปของสองตระกูล รู้เพียงแต่ว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันเท่านั้น

“ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าเดย์เองกวินทร์ ไว้หลังตบแต่งเข้าเรือนหอกับไอ้คนเหลี่ยมจัดนั่นก่อนเถอะ”

พิศาลยังอ่านเกมส์ตาแก่ อาทิตย์ อัคคเดชภูดินันท์ ไม่ออกสักนิดว่าทำไมถึงเขียนพินัยกรรมยกสมบัติมหาศาลให้เป็นสินสอดทองหมั้น เพียงเพื่อแลกกับการผูกกันและกันเอาไว้ด้วยทะเบียนสมรส รู้สึกผิดต่อภัควัฒน์โยธินหรือ? คงไม่น่าใช่ อาจจะวางแผนเล่นงานพวกตนอยู่ก็ได้ แต่อย่าคิดว่าอัคคเดชภูดินันท์จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ เพราะคราวนี้พิศาลยอมเดิมพันด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุดของภัควัฒน์โยธิน

“ฉันเทหมดหน้าตักแล้วไอ้เด็กอวดดี ดูซิ แกจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง”






“คุณหนูคะ เดี๋ยวนมทำเอง”
“ไม่เป็นไรครับนม ช่วยๆกันจะได้เสร็จไวๆ”

คนอายุมากถอนหายใจและจำต้องหยุดรบเร้าเจ้าของกายเล็กที่กำลังช่วยเหลือเหล่าคนใช้เก็บข้าวของซึ่งเพิ่งขนย้ายมาจากเมืองนอกให้เข้าที่เข้าทาง พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน หรือเดย์ ลูกชายคนเดียวของท่านพิพัฒน์ สิบกว่าปีแล้วที่พวกตนไม่เห็นหน้าเนื่องจากเดินทางไปร่ำเรียนอยู่ต่างประเทศ ครั้งล่าสุดที่ได้เจอยังตัวเล็กๆ ชอบเอ่ยอ้อนหล่อนทำขนมหวานให้ทานอยู่เป็นประจำ ทว่าตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ สง่างาม สุภาพ อ่อนโยน ถอดแบบท่านหญิงเพียงดาว มารดาของเจ้าตัวมาไม่มีผิดเพี้ยน

“ก็คุณหนูเดินทางมาเหนื่อยๆ น่าจะพักผ่อน นี่ก็ใกล้จะเรียบร้อยหมดแล้ว”
“นมพูดเหมือนผมเพิ่งมาถึงอย่างนั้นแหละ”
“คุณหนูก็...”
“นมอย่าไปห้ามพี่เดย์เลยครับ รายนั้นดื้อจะตาย”

สุ้มเสียงทุ้มหวานของร่างขาวจัดที่แผ่กายอยู่บนเตียงหลังกว้างโพล่งดังขึ้นพลางขยับนอนคว่ำ ก้านนิ้วเรียวแตะปุ่มหยุดเกมออนไลน์บนอุปกรณ์สื่อสารทันสมัย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหมอนมารองหนุนใบหน้าอ่อนเยาว์

“ตอนอยู่ที่นู่นก็ทำทุกอย่างคนเดียว กวาดบ้าน ถูบ้าน บางทีก็แอบซักผ้า ไม่ยอมให้คุณเมดทำ”

สาธยายความให้ผู้ใหญ่ยกมือขึ้นทาบอกแทบไม่ทัน รอยยิ้มขี้เล่นฉายบนโครงหน้าหวาน ดวงตากลมมนวาววับ พลิกร่างผอมบางอีกหนึ่งตลบก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“ถ้าตัดหญ้าในสวนหน้าบ้านเป็นคงทำไปแล้ว”
“ตายจริง! ทำไมถึงทำงานพวกนั้นเองล่ะคะคุณหนู”

นมพริ้มหัวใจจะวายเสียให้ได้ ขนาดตนเป็นบ่าวยังไม่เคยต้องลงไปทำอะไรแบบนั้น ยิ่งเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์จะให้แตะงานของบ่าวไพร่ได้อย่างไร แม้ก่อนหน้านี้คุณท่านพิศาลมักบอกเล่าให้ฟังบ่อยๆถึงนิสัยไม่ถือตัวของภัควัฒน์โยธินคนโต แต่งานบ้านเช่นนี้มันเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ ใยคุณหนูของหล่อนถึงได้เอามือนุ่มนิ่มนั่นไปต้องสัมผัส

“นมอย่าไปฟังน้องเลยครับ เจ้าตัวนั่นแหละที่ดื้อยิ่งกว่าใคร”

มือเล็กสอดหนังสือเข้าชั้นวางขนาดพอเหมาะ ริมฝีปากรูปหัวใจขยับบอกปนขำ ถึงไม่หันไปมองก็รับรู้ได้ว่าร่างผอมบนฟูกนุ่มกำลังทำสีหน้าเช่นไร

สำหรับคุณหนูคนโตอย่างพลัฏฐ์ คนในคฤหาสน์ภัควัฒน์โยธินก็ว่าไม่ค่อยได้เห็นหน้าแล้ว ยิ่งคุณหนูคนเล็กอย่าง พลิศ ภัควัฒน์โยธิน หรือไฮท์ ลูกชายของท่านพิศาลกับท่านหญิงรัมภายิ่งแล้วใหญ่ เพราะเจ้าตัวเกิดและโตที่นู่น แทบไม่ได้กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทย จะถูกเรียกตัวเฉพาะวันสำคัญของตระกูล ทว่าทั้งคู่สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ตัวติดกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย คนพี่อยู่ที่ไหน คนน้องก็อยู่ที่นั่น แต่นิสัย ความชอบ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“ผมเป็นเด็กดีเถอะ”

ค้อนคนเป็นพี่แล้วพลิกกายขาวอีกทีด้วยความเบื่อหน่าย กลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว นอกจากนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้าน ออกไปเดินห้าง ช็อปปิ้ง ดูหนัง ก็ไม่รู้จะทำอะไรอีก

“ดูสิครับนม พอเดี๋ยวนี้พูดไทยชัดแล้วชักจะชอบเถียงใหญ่”
“อยู่ที่อังกฤษไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยต่างหาก ถ้าไม่คุยโทรศัพท์กับคุณพ่อหรือพูดกับพี่ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย”

ตอนเด็กๆยามได้กลับมาแทบฟังไม่ออก ทว่าหลังจากคุณลุงพิพัฒน์เสียและพี่เดย์ได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็เหมือนมีคู่ฝึกปรือภาษา จนกระทั่งตอนนี้ อ่านออก เขียนได้ พูดคล่องขึ้นมาก ไฮท์ยังจำได้เป็นอย่างดี วันที่ไปรอรับพี่ชายตัวเล็ก พวกเราโผเข้ากอดกันแล้วเอาแต่ร้องไห้ เพราะอุบัติเหตุในครั้งนั้นไม่ได้พรากเฉพาะนายท่านใหญ่ของภัควัฒน์โยธินไปเพียงคนเดียว ยังพรากคุณป้าเพียงดาวและคุณแม่ของเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา

“นมครับ เดี๋ยวที่เหลือผมทำเอง พี่แต้มกับพี่ต้อมด้วย ลงไปเตรียมข้าวเหนียวมะม่วงให้เจ้าตัวดื้อบนเตียงดีกว่าครับ”
“ค่ะคุณหนู”

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เหลือแต่เพียงข้าวของส่วนตัวที่คุณหนูคงอยากจัดเก็บเองจึงได้พากันทยอยออกจากห้องไป ที่ล่าช้าเป็นสัปดาห์เพราะของส่วนใหญ่ถูกขนส่งมาทางเรือ

“พี่เดย์ ผมเบื่อแล้ว”

เสียงบ่นกระปอดกระแปดแว่วดังเรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ฉายขึ้นบนดวงหน้าน่ารักของร่างที่วุ่นอยู่กับชั้นวางหนังสือ เจ้าของชื่อเดย์ยอมหันไปดูสภาพเด็กตัวขาวจอมโวยวาย ที่ตอนนี้กลายร่างเป็นกระต่ายหงอยกระโดดโลดเต้นไม่ได้ชั่วคราว ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงตั้งแต่ช่วงคล้อยบ่าย แถมไม่ยอมไปนอนห้องของตัวเอง เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวที่ขนมาจากลอนดอนก็สั่งให้เอามาจัดเก็บที่ห้องนี้ทั้งหมด

“เดี๋ยวเราออกไปข้างนอกกันดีไหม มีที่ไหนที่ไฮท์อยากไปอีก”
“อยู่ที่บ้านน่าเบื่ออ่ะ ออกไปเดินห้างก็ไม่รู้จะทำอะไร เสื้อผ้าก็มีให้เลือกไม่เยอะเหมือนที่นู่น อากาศก็ร้อน เบื่อๆๆๆ ผมเบื่อ! พี่มาช่วยผมอ้อนคุณพ่อให้ส่งพวกเรากลับอังกฤษเถอะ ผมไม่ชอบที่นี่เลยจริงๆ”

สุ้มเสียงทุ้มใสร่ายยาว ใบหน้าขาวจัดบูดบึ้ง ทำปากยื่นปากอูมตามนิสัย คนตัวเล็กหัวเราะขำพลางขยับเท้าเดินมาทรุดนั่งบนเตียง เอื้อมมือไปยีกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบาให้เจ้าของเคลื่อนตัวมาซบซุกบนตักนุ่มอย่างออดอ้อน เดย์เข้าใจคนเป็นน้องดี เพราะอยู่กันที่ต่างประเทศมาเป็นสิบยี่สิบปี พอถูกสั่งให้กลับเมืองไทยกะทันหันเช่นนี้เจ้าตัวดื้อเลยไม่ค่อยพอใจ ปกติก็ชอบทำอะไรเอาแต่ใจอยู่แล้ว ใครกล้าบังคับเสียที่ไหน ทว่าคราวนี้ปฏิเสธคุณอาพิศาลไม่ได้ ก็เล่นส่งคนไปรับถึงที่ หน้าของน้องนี่งองุ้มตั้งแต่เทคออฟจากลอนดอนฮีทโธรว์จนกระทั่งแลนดิ้งลงจอด ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

“ตัวดื้อก็รู้ว่าคงไม่ได้กลับไปแล้ว”
“ไม่เอา! ผมไม่ยอม! แล้วดูคุณพ่อสิ บังคับให้พี่แต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ หน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น พี่เดย์อย่ายอมนะ! อย่ายอม! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”
“ไฮท์อย่าตะโกนเสียงดังสิ พี่ก็อยู่ใกล้แค่นี้”

เอ่ยปรามน้องชายตัวขาวที่ส่งเสียงเกินระดับการพูดคุยปกติ พอเห็นเจ้าตัวยู่กลีบปากเลยอดเลื่อนมือไปบีบแก้มกลมป่องด้วยอากาศนั่นเสียไม่ได้

“ก็พี่ไม่ยอมปฏิเสธคุณพ่อ”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย ถ้าคุณอาพิศาลเห็นว่าดีพี่ก็ไม่อยากขัดท่าน”
“ไม่ใหญ่โตได้ยังไง นี่มันคือการเลือกคู่ชีวิตนะครับ! พี่เดย์อ่ะ! พี่ก็เป็นเสียแบบนี้ ผมไม่ชอบใจเลย”

มีแต่เพียงรอยยิ้มบางเท่านั้นที่ฉายบนดวงหน้านวลผ่องของพี่ชาย ภัควัฒน์โยธินคนน้องถอดถอนหายใจราวกับปลงตก ทว่ามันกลับเป็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูให้คนที่มองอยู่หลุดหัวเราะขำ

แต่ไหนแต่ไรพี่เดย์ก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไรจากบิดาของตนอยู่แล้ว ให้ความเคารพนับถือ ตั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทว่าคราวนี้คุณพ่อใจร้ายเกินไปจริงๆ จะให้พี่ชายแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าตา ยังไม่ทันได้ศึกษานิสัยใจคอ

“จะแต่งกันปลายเดือนนี้แล้ว เขายังไม่เคยพาพี่ไปเดทเลยซักครั้ง”
“ตัวดื้ออย่าคิดมากสิ”
“เชอะ! น่าเบื่อชะมัด เบื่อมันทุกอย่างนี่แหละ! ผมหนีกลับอังกฤษคนเดียวน่าจะดี”
“ไฮท์อ่า~”

“จะหนีไปไหน หืม? โวยวายอะไรเสียงดังลั่นบ้านเจ้าไฮท์”
“คุณพ่อ!”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำลอยดังจากหน้าประตูห้องเรียกให้ร่างขาวจัดดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแทบทันที พิศาลส่ายหน้าอย่างเอือมระอายามเห็นทายาทหัวแก้วหัวแหวนส่งยิ้มแห้งๆมาให้ เลื่อนกรอบสายตาจับจ้องไปทางหลานชายตัวน้อย ก่อนริมฝีปากอิ่มจะค่อยๆขยับเอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้ามีกังวล


“เดย์ อาขอคุยกับหลานหน่อยได้ไหม?”






“ชาเขียวที่สั่งได้แล้วค่ะ”

รับแก้วเครื่องดื่มจากพนักงานได้ ริมฝีปากสีแดงอ่อนก็งับหลอดพลาสติกดูดของเหลวดับกระหายทันที ก้าวเท้าออกจากร้านกาแฟที่แอบแวะระหว่างทางเดินกลับไปร้านเสื้อผ้า ซึ่งไฮท์ทิ้งพี่ชายตัวเล็กให้รออยู่ที่นั่น เพราะตนรู้สึกปวดห้องน้ำ จึงตะโกนบอกภัควัฒน์โยธินคนโตที่กำลังลองเสื้อในห้องลองข้างๆ ทั้งยืนยันว่า ออกมาคนเดียวได้

พอพี่เดย์คุยธุระกับบิดาของตนเสร็จ อีกฝ่ายก็ตามใจด้วยการพามาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เดินวนเข้าช็อปเสื้อผ้าทุกแบรนด์ที่มี ทั้งที่เมื่อวันสองวันก่อนเพิ่งจะมาเดินแก้เบื่อกันที่นี่เพื่อฆ่าเวลา

เนื่องจาก พลิศ ภัควัฒน์โยธิน เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมาตั้งแต่เกิดและไม่ค่อยคุ้นเคยกับประเทศไทยมากนัก ม่านกลมจึงคอยกราดสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกาย ทว่ามันไม่ใช่เพราะความสนใจอะไรเทือกนั้น หากแต่เจ้าตัวกำลังเบื่อหน่ายเข้าขั้นวิกฤต เด็กหนุ่มอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ และยังเรียนไม่จบ ต้องรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้นเทอมหน้า มาเริ่มใหม่ทั้งหมด จึงไม่แปลกเลยที่ไฮท์จะโกรธและงอนคนเป็นพ่อมาก ที่จู่ๆก็สั่งให้ย้ายกลับบ้านอย่างกะทันหัน

!!

“อ๊ะ!”

กายผอมบางทรุดนั่งลงกับพื้น แก้วเครื่องดื่มที่ถืออยู่หลุดร่วงไม่ต่างกัน คนผิวขาวจัดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเมื่อเดินชนกับอะไรบางอย่าง แต่ยามดวงตาคู่หวานช้อนเงยขึ้นด้วยสีหน้ายุ่งสุดๆก็พบว่ามันคือกำแพงมนุษย์ยักษ์

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำของคู่กรณีลอยดัง มือหนายื่นมากำลังจะจับลำแขนกลมกลึงคล้ายพยายามช่วยเหลือ ทว่าคุณหนูตระกูลผู้ดีไม่ชอบการถูกแตะเนื้อต้องตัวจากคนแปลกหน้า และยิ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือยิ่งไปกันใหญ่ ปัดความหวังดีพลางทำท่าจะลุกขึ้นเอง หากไม่เหลือบเห็นสภาพเสื้อยืดที่ตัวเองสวมใส่เสียก่อน

“นายเดินยังไงของนาย ถึงได้มาชนคนอื่น! ยี้!”

เครื่องดื่มที่แสนโปรดปรานหกเลอะเป็นวงกว้างบนเสื้อผ้าที่ดูเหมือนจะธรรมดาทว่าราคาเหยียบหมื่น ส่งเสียงตำหนิทั้งที่เป็นฝ่ายผิด เดินไม่ดูทาง มัวแต่มองหาร้านที่คิดว่าน่าสนใจ เรียกคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หมวกแก๊ปให้ขมวดฉับ ฝ่ามือหนาที่เกือบจะเอื้อมถึงบุคคลซึ่งนั่งแหมะอยู่กับพื้นชะงักและผละห่าง นัยน์ตาคู่คมจ้องมองดวงหน้าขาวใสของฝ่ายตรงข้ามนิ่ง

“นายรู้หรือเปล่าว่าเสื้อของเราตัวละเท่าไหร่ เลอะหมดเลย เหนียวด้วย!”

โวยวายตามนิสัย ยกมือทั้งสองข้างค้างกลางอากาศไม่กล้าลดมันลงไปถูกส่วนที่สกปรก พลิศพยายามจะดันกายขึ้นยืนเต็มความสูง แต่เพราะผุดลุกขึ้นเร็วเกินไปส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืด ร่างทั้งร่างจึงผงะถอยไปด้านหลัง แล้วทำท่าจะล้มลงหากไม่มีอ้อมแขนแกร่งตวัดคว้าเอาไว้ได้ทันเสียก่อน

ใบหน้าอ่อนเยาว์ซุกซบแผงอกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ มือบอบบางยึดลำแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไว้เป็นหลัก กลิ่นหอมอ่อนๆลอยแตะปลายจมูกโด่งรั้น เรียกสติคุณหนูตัวดื้อให้ตื่นจากอารามตกใจ

“ปล่อยเรา!”

สะบัดตัวด้วยท่าทางรังเกียจสุดๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดตามแบบฉบับลูกผู้ดีที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบเอาอกเอาใจ ม่านตาคู่สวยจ้องเขม็งมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้ชายร่างสูงที่ไม่คิดจะขยับปากพูดคำขอโทษให้ได้ยิน

“ก็ไม่ได้อยากแตะนักหรอก”

กระแสเสียงที่โพล่งดังไม่มีความรู้สึกผิดสักนิด ทำให้คนตัวขาวยิ่งโมโห หน้าบูดเข้าไปอีก กายสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเชิ้ตตัวหนาสีเขียวเข้ม สวมกางเกงยีนส์สีซีดเข้ารูป ใบหน้าถูกบดบังด้วยหมวกแก๊ปเกือบครึ่ง และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มร่างผอมก็ยังมองเห็นสีหน้าเฉยชาและดวงตาสีน้ำตาลเข้มได้อย่างชัดเจน

“เสื้อผ้าเราเปื้อน รับผิดชอบเลย ขอโทษเราด้วย!”
“งั้นถอดออกมาสิ ผมจะเอาไปซักให้”
“นายจะบ้าเหรอ!”

จะให้ถอดได้ยังไง ก็ใส่อยู่แค่ตัวเดียว ถอดก็โป๊สิ คนเขาเดินอยู่ดีๆ มาชนแล้วไม่ยอมขอโทษซักคำ มองดูจากการแต่งตัวแล้วจะมีปัญญาจ่ายค่าเสียหายหรือเปล่าเถอะ ไม่รู้ว่าห้างหรูที่มีแต่เสื้อผ้าแบรนด์แพงๆขายแบบนี้ปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านได้ยังไง

“เราบอกให้ขอโทษเราก่อนไง หรือว่านายเป็นยาม?”

ท้ายประโยคคิดดังไปหน่อย จนเผลอขยับกลีบเนื้อนุ่มถามออกมา
   
“อ่อ...พวกคนรวย”

คนตัวสูงกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ถอนหายใจแรงๆพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก ทอดมองร่างคู่กรณีตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจาบจ้วง เสื้อยืดตัวบางบนกายขาวเปรอะเปื้อนด้วยคราบชาเขียว ดูจากเนื้อผ้าแล้ว ราคาคงหลายตังค์

ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเพื่อลดระยะห่าง สร้างความหวาดหวั่นจนร่างผอมต้องขยับถอย ทว่าใบหน้าสวยยังเชิดรั้น ลำคอตั้งตรง สมกับเป็นผู้มีอันจะกินที่มักจะมีศักดิ์ศรีค้ำอยู่ ลูกแก้วกลมมนฉายแววความไม่พอใจอย่างท่วมท้น กระทั่งแผ่นหลังบางถอยชนแนบผนัง แถมยังถูกกักไว้ด้วยฝ่ามือหนาที่ทับทาบบนกำแพงเยียบเย็นจากเครื่องปรับอากาศ คุณหนูคนเล็กของภัควัฒน์โยธินจึงรีบเอ่ยปากตำหนิสถานการณ์ที่ค่อนข้างเสียมารยาทและตกเป็นรองโดยทันที

“จะทำอะไรของนาย”

พูดเร็วไปหน่อย เลยทำให้สำเนียงภาษาแปลกประหลาด ฝ่ายตรงข้ามถึงกับเลิกคิ้วสูง ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอื้อนเอ่ยประโยคในเชิงล้อเลียน แม้พอคาดเดาได้ว่าคู่สนทนาอาจเป็นทายาทของซักตระกูลที่ถูกส่งไปร่ำเรียนเมืองนอกตั้งแต่เกิด จึงทำให้การสื่อสารภาษาไทยไม่คล่องแคล่ว ฉะฉาน

“อ้าว พูดไม่ชัดนี่ เป็นต่างด้าวเหรอ?”
“ไม่ใช่! นายนั่นแหละ คนป่า!”   

โน้มใบหน้าลงมาชิดใกล้ นัยน์ตาคู่คมสบจ้องแววเคลือบใสที่เริ่มสั่นระริก ก่อนเลื่อนระดับโฟกัสมายังกลีบเนื้อที่โดดเด่นด้วยสีธรรมชาติ แลบปลายลิ้นชื้นเลียริมฝีปากของตัวเอง พร้อมกับต่อบทสนทนาด้วยรอยยิ้มร้าย

“ปากสีแดงน่า...”
“ยี้! ขยับออกไปไกลๆเลยนะ”

พูดพลางผลักแผงอกกำยำ แทรกกายจนหลุดพ้นจากองศาการกักขัง หอบหายใจถี่รวนอย่างโกรธเคือง คนตัวสูงปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดเรียบเฉย มือหนาถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกโยนใส่เด็กหนุ่มตัวขาวอย่างส่งๆ ม่านตาคู่คมทอดนิ่งอยู่ไม่นาน ก่อนจะหันหลังเดินจากมา แม้สุ้มเสียงทุ้มใสจะตะโกนต่อว่าด่าทอก็ไม่สนใจ

“ยี้! ใครอยากได้เสื้อของนายกัน!”
“กลับมาขอโทษเราเลยนะ คนบ้า!”
“อยากตกงานใช่ไหม เดี๋ยวเราจะไปฟ้องเจ้าของห้างให้ไล่นายออก คอยดูเถอะ!”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:33:12 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
“ไฮท์ กลับมาหรือยัง?”

ส่งเสียงเรียกภัควัฒน์โยธินคนน้อง ทว่าก็ไร้การตอบรับ มือเล็กแง้มเปิดผ้าม่านสีกรมท่าที่ถูกติดกั้นไว้เป็นห้องลอง กราดสายตาสำรวจโดยรอบ เมื่อไม่พบลูกค้าคนอื่นๆจึงขยับปลายเท้าเดินออกมา กายบางอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวหลวม เป็นเชิ้ตที่ต้องสวมทับด้วยสูทสีดำสนิทแบบทางการ แต่เดย์กลับหยิบไซส์มาผิดและคงจะสลับกับของไฮท์

ตัดสินใจขับรถพาน้องชายออกมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า เผื่อสีหน้ายุ่งๆและอาการงอแงจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย กระทั่งถูกไฮท์ลากเข้ามาในร้านเสื้อผ้าและหอบเลือกมาลองสวมใส่ รายนั้นเป็นขาช็อป ชอบและสนใจเกี่ยวกับแฟชั่น ต่างจากตนลิบลับ ที่แทบจะไม่มีเซ้นส์เรื่องการแต่งตัวเลย

พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน เพิ่งเป็นบัณฑิตปริญญาโทหมาดๆ เรียนจบหลักสูตรด้านการบริหารจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ประเทศอังกฤษ ตอนจบปริญญาตรีเคยสมัครเข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งเพื่อหาประสบการณ์ ทว่าคุณอาพิศาลไม่อยากให้หลานต้องลำบาก จึงขอให้เรียนต่อ ซึ่งเดย์ก็ไม่อยากขัดใจคนที่ตนนับถือเป็นทั้งพ่อและญาติผู้ใหญ่

“แล้วดูเจ้าตัวดื้อทำ วางไว้แบบนี้ได้ยังไง”

เหลือบเห็นกองเสื้อผ้าบนเบาะข้างประตูที่เชื่อมไปยังโซนภายในร้านพลางบ่นปนเอ็นดู คงจะปวดห้องน้ำน่าดูถึงได้รีบจนกองเสื้อผ้ารวมๆกันไว้เช่นนี้ คนเป็นพี่จัดการพับเก็บให้เรียบร้อย ไม่แคล้วว่าเด็กดื้อจะเหมากลับทุกตัว เพราะปกติถ้าได้หอบมาลองไม่เคยต้องให้พนักงานเอาไปเก็บเข้าที่ กระทั่งเสร็จหมดแล้วจึงหยิบเสื้อเชิ้ตไซส์ตนเองขึ้นมาทดลองสวมใส่

ม่านตากลมใสเหลียวมองกระจกบานใหญ่ซึ่งถูกกรุเป็นผนังทั้งด้าน เพราะคิดเองเออเองว่าอยู่เพียงลำพัง เดย์จึงไม่เสียเวลาเดินกลับเข้าไปในห้องเล็กๆที่เพิ่งผละออกมาเมื่อครู่ก่อน มือบอบบางค่อยๆติดกระดุมทีละเม็ด ทว่าจังหวะนั้นเองที่ผ้าม่านสีเข้มซึ่งสะท้อนในกระจกเงาเลื่อนเปิด เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของลูกค้าอีกคนที่ไม่รู้เข้ามาตอนไหน สร้างความตกใจให้คุณหนูภัควัฒน์โยธินเล็กน้อย หากแต่เจ้าตัวก็ยังมีมารยาท โค้งศีรษะพร้อมกล่าวคำขอโทษด้วยความเกรงใจ

“ขอโทษที่เสียงดังนะครับ ผมนึกว่าไม่มีลูกค้าท่านอื่น”

หันกายเล็กไปสบแววคมสีดำขลับ แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าพลาด เพราะมันสวยและเปี่ยมด้วยบารมีเสียจนต้องเฉหลบทันที กลัวๆกล้าๆที่จะมองตอบอย่างอธิบายไม่ถูก โค้งตัวอีกรอบก่อนจะรีบหันหลังกลับแล้วเอาแต่โฟกัสเงาสะท้อนของตนเอง ไม่ทันได้สังเกตเห็นใบหน้าหล่อปนหวานที่กำลังเผยรอยยิ้ม...


ถูกใจ


นายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์แค่แวะมาลองสูทที่สั่งตัดไว้ แม้ปกติตนไม่จำเป็นต้องมาถึงที่ร้าน ให้พวกลูกน้องมารับหรือออกคำสั่งให้จัดส่งไปถึงบ้านก็ได้ แต่เพราะช่วงเย็นมีนัดพูดคุยเรื่องสำคัญแถวๆนี้พอดี เลยถือว่าเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอ

ทอดมองดวงหน้าอ่อนหวานปนน่ารักของร่างบอบบาง แปลกเสียหน่อย เพราะนานๆทีตนจะชอบพอเด็กผู้ชาย ตัวเล็กมาก ทั้งยังมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ไม่อาจละสายตา หลังจากที่ได้สบมองกัน ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ กลับค้นพบว่าลูกแก้วกลมโตคู่นั้นมันน่าหลงใหล หากมีโอกาสได้เชยชมยามส่งเสียงครวญครางอยู่ใต้ร่างกาย อาจน่าจดจ้องมากกว่านี้ก็ได้ ใครจะล่วงรู้


น่ามอง...


เป็นคำจำกัดความยามแรกพบ ท่าทางสง่างามแต่ก็อ่อนน้อม คงจะเป็นทายาทของตระกูลไหนซักตระกูลหนึ่ง ซึ่งนายหัวที่ทุกคนต่างยอมสยบให้ ยอมรับได้เต็มปากเต็มคำว่ากำลังถูกตาต้องใจ และอยากได้มาครอบครอง

!!

สะดุ้งจนตัวโยนยามอ้อมแขนแกร่งสอดผ่านจากทางด้านหลัง เข้ามาโอบล้อมรอบช่วงเอวคอด เรียกนัยน์ตาคู่สวยเผลอช้อนขึ้นสบดวงตาคู่คมอีกครั้ง แผงอกกว้างมอบสัมผัสอุ่นแนบแผ่นหลังแคบและบอบบาง ลมหายใจร้อนเป่ารดบริเวณข้างปรางใส มือหนาขยับเลื่อนติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เจ้าของร่างเล็กเพิ่งติดเสร็จไปเพียงสองเม็ดเท่านั้น ไล่เรื่อยเชื่องช้าจากด้านล่าง ส่งผลให้จังหวะก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นรัวผิดปกติ

เป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนาน กลีบปากรูปหัวใจถูกกัดด้วยฟันคมคล้ายทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าพอแม้จะเอื้อนเอ่ยห้ามปรามความใกล้ชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงจะอาศัยอยู่ต่างประเทศหลายปี คลุกคลีกับสังคมที่มีอิสระเรื่องการคบหา ทว่าไม่เคยปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้าถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้มาก่อน หวั่นไหว สั่นไหว ไร้การควบคุม


คุณหนูคนโตของภัควัฒน์โยธินกำลังกลั้นหายใจ...


เพราะคนที่อยู่ด้านหลังตัวใหญ่กว่ามาก มองจากตรงนี้เห็นได้ชัดว่าแทบจะโอบกลืนร่างทั้งร่างให้จมหายไปกับอก แม้มือจะวุ่นอยู่กับการติดกระดุม ทว่าดวงตาสีดำสนิทกลับสบจ้องมองตนผ่านกระจกบานกว้าง


อันตราย...


ยามโครงหน้าดูดีโน้มเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบแผ่วข้างใบหู รู้สึกเหมือนตัวลีบลงเท่ากระดาษ เมื่อริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มบางส่งผ่านทางเงาสะท้อนเบื้องหน้า แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าผิวแก้มของตนเองร้อนฉ่าได้ถึงขนาดนี้


“เสร็จแล้วครับ”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:35:10 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๒.



   ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะเบนใบหน้าไปด้านข้าง เพื่อไปเจอกับความใกล้ชิดเพียงม่านอากาศกั้น ถูกดวงตาคมกริบดูดกลืนให้สบจ้อง คล้ายกำลังหลอกล่อให้จมดิ่งสู่หุบเหวลึกไร้แสงสว่าง หากแต่น่าค้นหา ทรงอิทธิพล จนไม่กล้าขัดขืน โครงหน้าหล่อปนหวานค่อยๆโน้มลงมาลดระยะห่าง กระทั่งลมหายใจผละแผ่วรดผิวเนื้อ พลัฏฐ์กะพริบตาปริบๆ รีบก้มหน้าลงพลางเบี่ยงกายหลบจากพันธนาการ มันไม่ใช่ท่าทางเล่นตัวหรือต้องการหว่านเสน่ห์ แต่สิ่งที่คุณหนูคนโตของภัควัฒน์โยธินแสดงออกกลับเต็มไปด้วยกิริยาน่าดูเสียจนเจ้าของร่างสูงตาเป็นประกายวาววับ

   “เอ่อ...ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

   ยังมีกระจิตกระใจโค้งศีรษะพร้อมเอื้อนเอ่ยคำกล่าวลาอย่างคนสุภาพ ร่างบอบบางเอี้ยวตัวเดินมาหอบกองเสื้อผ้าบนเบาะซึ่งวางทิ้งเอาไว้ ก่อนจะรีบหายลับเข้าไปในห้องลอง มือเล็กจัดแจงหาที่วางข้าวของเสร็จก็หันไปเลื่อนปิดผ้าม่านสีกรมท่า ดวงหน้าขาวใสเห่อร้อน เม้มกลีบเนื้ออ่อนพลางถอดถอนหายใจ ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆนอกเสียจากอัตราการเต้นของก้อนเนื้อในอกซ้ายตนเอง

   ยืนนิ่งเป็นหินภายในห้องเล็กๆจนไม่รู้ช่วงเวลาผ่านไปนานสักเท่าไหร่ ทว่าจำต้องสะดุ้งสุดตัว หัวใจสั่นระรัวอีกครั้ง ยามผืนผ้าที่กั้นอยู่ถูกกระชากเปิดอย่างรวดเร็ว โดยสัญชาตญาณแล้วเรียวขาเพรียวจึงรีบก้าวถอย แต่เมื่อนัยน์ตาคู่หวานสะท้อนภาพกายผอมบางของน้องชาย คนเป็นพี่ก็ถึงกับพรั่งพรูลมหายใจออกมา

   “พี่เดย์ ผมไม่ยอมจริงๆด้วย!”

   กลีบเนื้อสีแดงสดขยับฟ้องทันที ใบหน้าอ่อนเยาว์บูดบึ้ง รีบถอดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ไม่รู้ว่าของใครออกแล้วจับมันปาลงพื้น แถมท้ายด้วยการชี้นิ้วด่าเสื้อตัวดังกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

   “นายยาม! นายคนป่า! ใครอยากใส่เสื้อของนายกัน! เราใส่มาที่นี่เพราะเสื้อเราเปื้อนหรอกนะ ถ้าเลือกได้เราไม่ใส่เสื้อนายหรอก ยี้!”

   ว่าจบก็ปัดเนื้อปัดตัวราวกับมีฝุ่นละอองติดจนทั่วเสียอย่างนั้น เดย์ทำหน้าเหรอหรา เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้น งุนงงเสียเต็มประดาว่าเจ้าตัวดื้อของตนกำลังโกรธเคืองเรื่องใด ทว่าท่าทางของคนเป็นน้องช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาของพี่ชายตัวเล็ก เอื้อมมือไปจับท่อนแขนขาวก่อนจะเอ่ยถามเอาความปนรอยยิ้มเอ็นดู

   “ตัวดื้ออย่าเสียงดังสิ ใครทำอะไรขัดใจอีก แล้วนี่เสื้อเปื้อนได้ยังไงครับ?”

   ยกก้านนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากนุ่มที่ส่งเสียงด่าทอไม่หยุด เผลอนึกไปถึงผู้ชายร่างสูงใหญ่เมื่อครู่ก็กลัวว่าเสียงของน้องจะรบกวนคนอื่นเขา

   “ก็นายยามนิสัยไม่ดี เดินชนผม แล้วไม่ยอมขอโทษซักคำ”
   “อ่า...คุณยาม”
   “ไม่ใช่คุณยาม! นายยาม!”

   ภัควัฒน์โยธินคนโตถึงกับร้องหือในลำคอ ทอดมองสีหน้างองุ้มของภัควัฒน์โยธินคนเล็กที่คัดค้านเพียงแค่ถ้อยคำในการเรียกขานต่างกัน อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูที่ให้อิสระกับเจ้าตัวทุกอย่าง น้องจึงค่อนข้างงอแงเวลาไม่ได้ดั่งใจ ทว่าไฮท์ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร เดย์ไม่ได้อวยน้อง เพราะถึงไฮท์จะเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นการเอาแต่ใจที่น่าตามใจเสียทุกที แล้วดูตอนนี้สิ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยังน่ารักจะแย่

   “แต่น้องจะขว้างปาข้าวของแบบนี้ไม่ได้นะครับ มันไม่ดีรู้ไหม”

   เอ่ยตำหนิตามประสาพี่ชาย พร้อมกับทำท่าจะก้มตัวลงไปหยิบเสื้อซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาขึ้นมา ทว่าเด็กตัวขาวรีบห้ามปรามทันที

   “พี่เดย์อย่าแตะต้องมันนะ! เดี๋ยวผมจะเอาไปทิ้งถังขยะเอง”

   แต่คนพี่ฟังเสียที่ไหน มือเล็กคว้าจับได้ก็จัดการพับให้เรียบร้อยเรียกแก้มขาวโป่งพอง กลีบปากสีแดงเบะออกด้วยความขัดใจ พลิศเปลี่ยนเป้าหมายไปที่กองเสื้อผ้าแทน เลือกหยิบมาหนึ่งตัวเพื่อสับเปลี่ยนเพราะเปื้อนคราบชาเขียว ถอดตัวเก่าออกและสวมตัวใหม่อย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็มายืนทำหน้ามุ่ยเหมือนเดิม

   “แล้วนี่เสื้อของใครครับ”

   เดย์ยื่นมือไปรั้งเสื้อตัวที่น้องถือไว้มาพับเก็บก่อนที่เด็กหนุ่มจะปาทิ้งอีกรอบ พร้อมถามคำถาม

   “เสื้อนายยามคนป่านั่นแหละ ปาใส่หัวผมเต็มๆ แย่มาก!”

   คิดไปถึงสีหน้าเฉยชาภายใต้หมวกแก๊ปแล้วอารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นทันที คนอะไรนิสัยไม่ดี ยิ่งตอนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ไฮท์ยิ่งอยากตะโกนโวยวายเสียงดังลั่นห้าง หยาบคายทั้งวาจาทั้งการกระทำ ไหนจะสายตาที่กราดมองตนอย่างหยาบโลนนั่นอีก

   “ต้องเอาไปคืนเขาใช่ไหม”
   “ไม่เด็ดขาด! เดี๋ยวเราต้องไปแจ้งทางห้างให้ไล่นายยามออกด้วย รับเข้ามาทำงานได้ยังไง ไม่มีมารยาทกับลูกค้าเลย แถมไม่พอเชิดใส่ผมอีก พี่เดย์รีบเปลี่ยนเสื้อเลยนะ เร็วๆสิ”

   เอ่ยเร่งคนเป็นพี่ยิกๆ จับลาดไหล่แคบให้หันหน้าไปด้านที่มีกระจก แต่คุณหนูคนโตกลับไม่ยอมจบง่ายๆ พยายามปลอบให้เจ้าของกายขาวเย็นลง

   “ตัวดื้ออ่า...เขาอาจจะไม่ตั้งใจก็ได้”
   “ไม่ตั้งใจก็ต้องขอโทษผมสิ แต่นี่มา...”
   “หือ? มาอะไรครับ?”
   “ช่างเถอะน่า อ่ะ! เปลี่ยนเลยๆ”

   คว้าเสื้อตัวเดิมที่อีกฝ่ายสวมมาจากบ้านยื่นให้ รุดเข้าไปช่วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตบนกายเล็กทั้งที่ยังยู่กลีบเนื้อนุ่มเพราะทั้งโกรธทั้งงอน เดย์ระบายยิ้มขำ ปล่อยคนเป็นน้องทำตามแต่ใจ แต่ยังไม่วายแนะข้อเสนอที่จะไม่ทำให้เรื่องยืดยาวและยุ่งยากไปกว่านี้

   “แต่เราเอาเวลาที่ต้องเดินไปฟ้องเจ้าของห้างให้ไล่คุณยามออก ไปหาของอร่อยๆทานกันไม่ดีกว่าเหรอ อารมณ์จะได้ดีขึ้นด้วยไงครับ ส่วนเสื้อเปื้อนแค่นี้เอง พี่ต้อมซักผ้าเก่งจะตาย”
   “.......”
   “นะครับตัวดื้อ นะไฮท์อ่า~”

   รบเร้าเสียงหวานพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยน เอื้อมฝ่ามือไปแตะท้องแขนกลมกลึงยามจัดเครื่องแต่งกายบนร่างของตนเองเรียบร้อยดีแล้ว กระทั่งคนตัวขาวยอมให้แต่โดยดี จะไม่ดื้อมากก็กับพี่เพียงคนเดียว

   “ผมจะไม่ใส่ตัวนี้อีกแล้วเหอะ”

   คุณหนูคนเล็กกล่าวเพียงสั้นๆ แต่คนฟังก็รู้ว่านั่นเป็นการตอบรับของน้องชาย และหมายถึงการจะไม่เอาเรื่องฝ่ายที่ทำให้เจ้าตัวโมโห ช่วยกันหอบเสื้อผ้ากองโตมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้านนอก แจ้งความประสงค์ว่าให้จัดส่งทั้งหมดไปที่บ้านภัควัฒน์โยธิน เนื่องจากเด็กน้อยงอแงบอกขี้เกียจหิ้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พี่ชายจะตามใจ ต่อบทสนทนาเรื่องอื่นๆที่พอจะทำให้เจ้าตัวดื้อคุยจ้อเหมือนอย่างเคย ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ได้พบเจอกับใครบางคนในห้องลองเสื้อแห่งนั้น


   คนที่ พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน กำลังจะได้พบเจออีกครั้งเร็วๆนี้
   ในฐานะสามีและศัตรู









   “วันนี้นายหัวดูอารมณ์ดีนะครับ”

   ลอบสังเกตใบหน้าหล่อปนหวานของร่างสูงสง่าในชุดสูทซึ่งทอดกายนั่งอยู่อีกด้าน เอ่ยคำทักทายอย่างเป็นทางการหลังจากไม่ได้พบเจอกันกว่าสามเดือน ครั้งล่าสุดเหมือนจะเมื่อประชุมธุรกิจโรงแรมที่เชียงใหม่ ทว่าตอนนั้นมีโอกาสพูดคุยกันไม่กี่คำ นายหัวก็ต้องรีบลงใต้เพื่อไปสะสางงานเร่งด่วน

   ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ จะมีสีหน้าผ่อนคลาย หลังจากอีกฝ่ายขึ้นปกครองและดูแลกิจการของตระกูล แบกความรับผิดชอบอันแสนหนักหน่วงไว้บนบ่ากว้างแต่เพียงผู้เดียว ก็ไม่เห็นนายน้อยโชตคนเดิมอีกเลยตั้งแต่นั้น วันๆจมอยู่กับงานและงาน จะหาความสุขสำราญใส่ตัวบ้างก็เรื่องคู่ขาที่ชอบควงไม่ซ้ำรายสัปดาห์ ไม่ก็เปลี่ยนบ่อยเสียจนหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับแย่งกันลงข่าวแทบไม่ทัน

   “ฉันน่ะเหรอ? สงสัยช่วงนี้งานราบรื่นไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่”

   ตอบคู่สนทนาพลางเอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟาตัวนุ่มภายในร้านกาแฟซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ เรียวปากหยักกระตุกยิ้ม เมื่อจู่ๆดวงหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มตัวเล็กก็โผล่ขึ้นมาในมโนภาพ ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักก็ชิ่งหนีตนไปเสียก่อน ยามผิวแก้มใสฉาบด้วยริ้วเลือดฝาดช่างน่ามอง แถมติดตาต้องใจนายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์ หากได้พบกันอีกครั้ง นั่นอาจหมายถึงบนตั่งเตียงหรือวิมานสักแห่งที่ตนจะนำพาไป

   ถ้าเกิดสถานการณ์ทำนองนี้กับคนอื่นโชตคงจะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังให้ท่า ไม่เกินสิบนาทีไม่วายหาทางโผล่มาอยู่บนกรอบสายตา สารพัดมารยาที่หญิงสาวหรือหนุ่มน้อยงัดมาใช้ แต่ก็ยอมรับว่าชอบจ้องมองจริตจะก้านซึ่งเติมแต่งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตน ทว่าตอนนี้เวลาผ่านพ้นไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลับไม่เห็นเจ้าของดวงตากลมโตคู่งามนั้นแม้แต่เงา

   หรือว่าเขาประเมินอะไรผิดพลาดไป?

   “เมื่อซักครู่นายหัวกำลังจะได้งาบลูกแมวตัวน้อยๆครับคุณขุน บังเอิญผมเข้าไปขัดจังหวะเสียก่อน”
   “ปฐพี”
   “ขออภัยครับ”

   ลูกน้องคนสนิทซึ่งยืนถัดไปไม่ไกลก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม หากแต่รอยยิ้มยังแต้มบนโครงหน้าหล่อเหลาไม่จางหาย รังสิมันตุ์ไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะในบรรดาบ่าวไพร่และพนักงานก็เห็นจะมีแต่ปฐพีเท่านั้นที่กล้าพอจะถกเถียง ล้อเลียนหรือคัดค้านความเห็นของตน

อีกฝ่ายเป็นทั้งมือขวาและมือซ้าย รู้ใจไปเสียทุกอย่าง รับใช้อย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี และโชตก็เอ็นดูเป็นเสมือนดั่งน้องชายอีกคน เพียงแต่เจ้าตัวมักเจียมตนอยู่เสมอ จะน่าโมโหนิดหน่อยก็ตอนรู้ทันว่าเขากำลังหมายตาคู่ขาคนไหน

   “ว่าแต่ทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”

   ประสานมือหนาบนตักด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม เรียกสายตาเหล่าบรรดาลูกค้าและพนักงานในร้านต้องแอบลอบมอง บ้างก็ด้วยความชื่นชม บ้างก็หลงใหลในเสน่ห์เหลือร้าย นายหัวรูปหล่อที่ผู้คนในสังคมต่างพูดถึงมานั่งให้เห็นตัวเป็นๆเช่นนี้ ใครจะไม่เหลียวดูให้เป็นบุญตาบ้างล่ะ

   “เรื่อยๆครับ คงไม่หนักหนาเท่างานนายหัว”

   ถอดหมวกแก๊ปที่สวมอยู่บนศีรษะออกพร้อมกับวางมันลงบนโซฟาตัวที่นั่ง เผยใบหน้าหล่อคม สันกรามได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดธรรมดาๆ เพราะต้องเสียสละเสื้อเชิ้ตตัวนอกให้กับคุณหนูตัวขาวปากแดงที่เดินไม่ดูทางมาชนเข้า ไม่พอยังโวยวายกล่าวหาว่าเขาเป็นฝ่ายผิด นานๆจะได้ลงมากรุงเทพฯ ทว่าเหยียบเขตเมืองหลวงไม่ถึงสองชั่วโมงก็เจอเรื่องน่าปวดหัวทันที

   ตอนแรกขุนกะจะช่วยเหลือดีๆอยู่หรอก แต่เจ้าของใบหน้าง้ำงอนั่นกลับตวัดสายตาขุ่นๆขึ้นจ้อง กลีบเนื้อที่คาดเดาว่ามันคงนุ่มนิ่มน่าดูขยับปล่อยสุ้มเสียงหวาน หากแต่เป็นถ้อยคำไม่น่าฟังเสียเลย ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาตีให้ก้นลาย ประเมินแล้วน่าจะเด็กกว่าตนหลายปี เผลอๆอาจเรียนมหาวิทยาลัยยังไม่จบด้วยซ้ำ

   “ถ้าอย่างนั้นแกก็ลงมาช่วยฉันสิ”

   มีแต่เพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ คนอายุน้อยกว่าเอื้อมมือไปหยิบยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบโดยไม่ยอมต่อบทสนทนาดังกล่าว ทั้งๆที่ผู้ถามเป็นถึงผู้นำตระกูล นอกจากปฐพีที่อาจหาญพอจะแหย่นายหัวเล่นแล้ว คนที่กล้าขัดคำสั่งประกาศิตของนายใหญ่ ก็เหมือนจะเป็นเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งเพียงผู้เดียว

   “กาแฟร้านนี้หอมดีนะครับ”

   เปลี่ยนเรื่องคุยราวกับไม่กลัวชะตาขาด ปฐพีกลั้นยิ้มขำยามคนเป็นนายขมวดคิ้วฉับ และก็คงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างเช่นทุกที ในด้านการเจรจาธุรกิจ ไม่เคยมีสักครั้งที่นายหัวอัคคเดชภูดินันท์จะพลาดท่า หากแต่เรื่องการเจรจาเพื่อหว่านล้อมคนตรงหน้า กลับไม่เคยทำได้สำเร็จ

   “แกนี่มันดื้อจริงๆ ว่าแต่มายังไง?”

   ตำหนิอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเรื่องการเดินทาง โชตยกเครื่องดื่มของตนขึ้นจิบบ้าง รู้นิสัยค่อนข้างติดดินของขุนดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าหากทำอะไรที่มันยากลำบากเกินกว่าเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ขับมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จากเชียงรายมาถึงกรุงเทพฯเพียงลำพัง เป็นต้น

   “ผมขับรถมากับพวกเด็กที่ไร่”
   “รถยนต์?”
   “เอารถตู้มาครับ มากัน ๔ คน มีภาคภูมิ ก้องเกียรติกับฟากฟ้า

   โชตพยักหน้ารับ วางแก้วกาแฟในมือลงบนโต๊ะกลมทรงต่ำด้านหน้า พร้อมกับถามไถ่หามารดาของอีกฝ่าย

“แม่อัมพรล่ะสบายดีไหม? ฉันไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมท่านเลย”
   “แม่สบายดีครับ แล้วอาการปวดหลังของคุณหญิงไลลาดีขึ้นหรือยังนายหัว?”
   ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถามถึงมารดาตนเองบ้าง คนเป็นนายหัวก็ถึงกับหัวเราะหึในลำคอ
   “รายนั้นบ่นถึงแกทุกวัน อย่าโผล่ไปให้แม่ฉันเห็นหน้าเชียว แกจะไม่ได้กลับเชียงรายแน่ๆ ดีไม่ดีจะขึ้นไปลักพาตัวแม่อัมพรมาอยู่ด้วยกัน”

   กล่าวเตือนด้วยความหวังดี ขนาดปวดหลังตามประสาคนแก่ยังต่อสายโทรศัพท์ไปบ่นกับคนที่เชียงราย ถ้ารู้ว่าตอนนี้ขุนอยู่กรุงเทพฯคงให้คนมาตามตัว ประชดประชันเขาอยู่เสมอว่าทำไมไม่หาทางบังคับให้ทางนู้นลงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่จริงโชตก็พยายาม แต่ดูเจ้าขุนเอาเองก็แล้วกัน มันเชื่อฟังเขาเสียที่ไหน

   “ผมไม่บังอาจเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านอัคคเดชภูดินันท์หรอกครับ ที่อุตส่าห์เลี้ยงดูผมจนโตมาขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณจนชดใช้ไม่หมดแล้ว”
   “ไม่เอาน่าขุน”
   “ผมจะลงมือคืนนี้”

   วกเข้าสู่ประเด็นที่ทำให้ตนลงมาถึงกรุงเทพมหานครโดยทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบมองกับดวงตาคู่คมที่จับจ้องตนอยู่เช่นกัน

   “ผมอยากรู้ว่าสายของเราในบ้านภัควัฒน์โยธินคือใครและไว้ใจได้แค่ไหน”

   เพราะเป็นศัตรู โชตถึงส่งคนเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวต่างๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เสียเท่าไหร่ แต่รู้เขารู้เราน่าจะได้เปรียบกว่าการไม่รู้อะไรเลย

   “อย่าประมาทขุน”
   “ครับ ผมจะระวัง แค่ชี้ตัวลูกชายไอ้พิพัฒน์ให้กับผม ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”

   ทว่าระบบสั่นเตือนของเครื่องมือสื่อสารเรียกให้ขุนต้องโค้งศีรษะลงเป็นเชิงขออนุญาตสนทนา โชตพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะโดยปกติหากไม่เร่งด่วน อีกฝ่ายจะจัดความสำคัญตนไว้เป็นอันดับแรกเสมอ

   “ว่าไงภาค”
   ‘ผมมาดูลาดเลาบ้านหลังนั้นตามคำสั่งแล้วครับ’
   “เป็นไง?”
   ‘ผมคิดว่าปีนเข้าไม่ยาก ถ้ามีสายเป็นคนในบ้านคอยดูต้นทางจะดีมากเลยครับ ขากลับพวกเราจะออกทางประตูด้านข้างได้แบบสบายๆ’
   “ทำดีมากภาค หาที่หลบแถวๆนั้นอย่าให้คนสังเกตเห็น”


   “ครับป้อเลี้ยง”









“ลูกต้องไปงานเลี้ยงกับแม่ค่ำนี้ ตาโชตได้ยินที่แม่พูดกับลูกไหม?”
   “แม่ครับ เบาเสียงหน่อย ผมกำลังตรวจบัญชีฟาร์มไข่มุกที่ภูเก็ตอยู่”
   “เจ้าลูกคนนี้นี่!”

   คุณหญิงไลลาใช้ฝ่ามือฟาดท่อนแขนของลูกชายราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่นายใหญ่ของอัคคเดชภูดินันท์ อายุ ๓๕ ปีแล้วยังทำหูทวนลมเป็นเด็กๆ เธอเหนื่อยเหลือเกินที่จะต่อว่าเรื่องการหลบเลี่ยงไม่ยอมพบเจอฝั่งภัควัฒน์โยธิน คิดจะเจอกันทีเดียวในงานแต่งเลยหรืออย่างไร หน้าตาคู่ชีวิตเป็นแบบไหน ไม่คิดจะสนใจบ้างเลยเหรอ

   ถึงจะรับรู้ความบาดหมางระหว่างสองตระกูล ทว่าเธอเป็นหญิง และเมื่อคุณพ่ออาทิตย์เขียนพินัยกรรมในเชิงปรองดอง เธอจึงรู้สึกมีความหวัง แม้จะเคยต่อสู้เคียงคู่กับนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ผู้เป็นสามีมาก่อน แต่ลึกๆแล้วไลลาต้องการหยุดสงครามความแค้นที่ปะทุร้อนนี้ให้สงบมากกว่า

   ตั้งแต่ตบแต่งเข้ามาใช้นามสกุลนี้ ก็ต้องคอยปรามสามีให้ใจเย็นเรื่องการตอบโต้กับฝั่งตรงข้าม กระทั่งเวลาผ่านมาถึงรุ่นลูก ตาโชตก็ดันถอดนิสัยคนเป็นพ่อมาไม่มีผิดเพี้ยน ถ้าให้เปรียบเทียบกัน ลูกชายของเธอนี่ยิ่งกว่ารวม ตะวัน อัคคเดชภูดินันท์ สิบร่างเอาไว้ในคนคนเดียว

   “น้องน่ารักมากรู้ไหม แกต้องชอบพอน้องแน่ๆ”

   กล่าวชมทั้งที่ก็เคยเห็นแต่เพียงในรูปถ่ายเท่านั้น หากแต่น่ามองน่าเอ็นดูแม้ยังไม่ได้พบตัวจริง เธอต้องบากหน้า อ้างสารพัด ขอภาพถ่ายว่าที่เจ้าสาวของทายาทหัวแก้วหัวแหวนจากท่านพิศาล งามหน้าเหลือเกิน! ที่ทางนู้นยอมส่งมาให้ก็ถือว่าไว้หน้า ไลลา อัคคเดชภูดินันท์ มากแล้วจริงๆ

    “แม่ก็รู้ว่าผมยอมแต่งเพราะอะไร”

   เอ่ยทั้งที่นัยน์ตาสีนิลยังคงจับจ้องอยู่กับเลขบัญชี เพราะขุนขอตัวไปเตรียมการ ตนจึงต้องกลับเข้าบ้านเร็วกว่าเวลาปกติ พอมาถึงก็ถูกมารดาซักเรื่องงานวันนี้รายละเอียดยิบ ทั้งยังโทรไปเช็กที่เชียงรายว่าตอนนี้ขุนอยู่ไหน ทว่าอีกฝ่ายรอบคอบพอที่จะไม่มาพลาดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าตัวนัดแนะกับพรรคพวกคนงานทางนู้นและแม่อัมพรเองก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องที่ขุนลงมากรุงเทพมหานคร เข้าใจว่าลูกชายคุมงานอยู่ในไร่ไม่กลับไปนอนที่รีสอร์ทอย่างเช่นปกติ แต่เพราะคุณหญิงไลลามีสายแจ้งความเคลื่อนไหว จึงตามเข้ามาจับสังเกตทายาทในไส้ถึงในห้องทำงาน

   “จะเพราะอะไรก็ช่าง แต่แกควรจะเห็นแก่หน้าแม่บ้างโชต เลื่อนนัดท่านพิศาลหลายรอบจนแม่หาข้ออ้างมาแถเข้าข้างแกไม่หวาดไม่ไหว แล้วนี่รูปน้อง เปิดตาดู จะได้รู้ว่าต้องแต่งงานกับใคร”

   โยนซองสีน้ำตาลที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะทำงานของลูกชาย ก่อนจะสะบัดกายเยื้องย่างออกจากห้องไปอย่างมีน้ำโห ทว่าคนเป็นนายหัวกลับยังเพ่งความสนใจอยู่ที่ตัวเลขหลายหลักบนหน้ากระดาษสีขาว เพิกเฉยต่อซองเจ้าปัญหาที่วางคาอยู่บนเอกสารบางฉบับ ปฐพีรุดเข้ามาหยิบเอามันไปถือไว้ เพื่อไม่ให้เกะกะเจ้านายระหว่างการตรวจบัญชี เพราะขืนอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา อาจจะพลั้งปากสั่งฆ่าคุณหนูของภัควัฒน์โยธินเอาได้

   “ยุ่งยาก! จะน่ารักแค่ไหนฉันก็เอาไม่ลงหรอก!”

   ปาเอกสารในมือลงพื้นที่ปูด้วยไม้ปาเก้หรูอย่างเกรี้ยวกราด ความขุ่นแค้นสุมแน่นอยู่ในอก ต้องเสียบิดาบังเกิดเกล้าไปทั้งคน จะให้ทนมองหน้าลูกชายไอ้ตัวต้นเหตุได้อย่างไร!

   “นายหัวจะให้ผมส่งคนไปช่วยคุณขุนไหมครับ?”

   เสนอความเห็นอย่างเช่นทุกที ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งนายหัวรังสิมันตุ์ชอบคนประเภทนี้ กล้าคิด กล้าแสดงออก ซื่อสัตย์ ไม่ซับซ้อน ปฐพีมีไหวพริบพอจะดูเกมธุรกิจบางเกมออก แต่สำหรับเรื่องนี้คงต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของขุน

   “ห้ามเคลื่อนไหวปฐพี ทำตามที่เจ้าขุนมันบอก ฉันเชื่อว่ามันเก่งพอ อย่าพาคนของเราไปถ่วงเดี๋ยวจะเสียเรื่องเปล่าๆ”
   “ครับนายหัว”

   กระแทกแผ่นหลังลงเก้าอี้นวมพลางยกมือขึ้นมานวดขมับ นิ่งไปสักพัก ม่านตาคู่คมก็ลืมขึ้นพร้อมกระดิกปลายนิ้วออกคำสั่ง ซึ่งลูกน้องคนสนิทก็รู้ใจ รีบส่งซองสีน้ำตาลที่ถือไว้ให้กับนายหัวทันที

   แต่อย่าหวังว่ารูปถ่ายที่สอดอยู่ในนั้นจะถูกเปิดให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอัคคเดชภูดินันท์จับจ้องให้เสียสายตา กายสูงสง่าเดินออกไปที่นอกระเบียง ก้านบุหรี่ถูกจุดอย่างรู้งานโดยบ่าวผู้รับใช้ อัดนิโคตินยี่ห้อโปรดเข้าปอด ทอดมองสระน้ำส่วนตัวที่ทอดยาวไปถึงรั้วติดขอบถนน

   ปล่อยของในมือลงถังขยะใกล้ๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ที่สูบจนเหลือเพียงครึ่งม้วนตามไปติดๆ ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มดูแคลนแสนร้ายกาจ อยากรู้นักว่าไอ้พิศาลจะทำยังไงเมื่อลูกของพี่ชายตัวเองหายไปก่อนถึงวันแต่งงาน

   “ที่จริงพี่ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้เจอน้อง ไว้เราค่อยพบกัน...”

   เพราะเกมนี้อัคคเดชภูดินันท์จะเป็นฝ่ายชนะ...

   “ชาติหน้าดีไหมครับ?”


   สุ้มเสียงทุ้มโทนต่ำรำพันเลื่อนลอยอย่างมีชัย
   โดยไม่รู้เลยว่าตนนั้นพ่ายให้กับภัควัฒน์โยธินไปแล้วเช่นกัน









   ห้องโถงกว้างกำลังถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับทายาททั้งสองของตระกูล พลัฏฐ์และพลิศไม่รู้เลยว่าพิศาลตระเตรียมการไว้เอาใจ นมพริ้มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลเรื่องอาหารการกิน ซึ่งปาร์ตี้เย็นนี้จะถูกจัดเล็กๆเฉพาะคนในเพียงเท่านั้น

   บรรดาบ่าวไพร่ช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ทุกคนต่างรู้สึกปลื้มปีติยินดีที่นานๆจะมีงานสังสรรค์เกิดขึ้น ยิ่งได้เห็นคุณหนูผู้น่ารักพร้อมหน้าพร้อมตายิ่งสุขล้น หลังจากนายท่านพิพัฒน์และคุณหญิงเพียงดาวเสียชีวิต รั้วภัควัฒน์โยธินก็ไร้เสียงหัวเราะอย่างแท้จริง หลงเหลือแต่เพียงความเศร้าโศกโอบล้อมคฤหาสน์หลังโต คล้ายกับมีม่านหมอกสีเทาปกคลุมอยู่เจือจาง แม้ช่วงเวลาจะผ่านพ้นมากว่า ๑๓ ปี ทว่าไม่มีใครสามารถลืมเลือนการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครานั้นได้ ภาพคุณหนูตัวเล็กๆที่สะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร ยังติดตาเหล่าบริวารทาสรับใช้ บ้างก็หลั่งน้ำตาไปพร้อมๆกับเด็กตัวแค่นั้น ท่อนแขนน้อยตระกองกอดร่างไร้วิญญาณของผู้ให้กำเนิด บรรยากาศสุดแสนเจ็บปวดเหลือคณานับ รู้ทั้งรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางฟื้น แต่กลีบปากซีดเผือดก็คอยพร่ำเรียกหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ทว่าเวลานี้พวกเราได้เสียงหัวเราะคืนกลับมา อย่างน้อยคุณหนูคนน้องก็พอจะกระตุ้นความกระตือรือร้นได้มาก ถึงจะแสนงอนแสนงอแง แต่ก็ชอบอ้อน ชอบส่งเสียงใสถามจ้อไม่หยุด บ้างก็ฟังคุณหนูพลิศไม่เข้าใจ บ้างก็หาวิธีเอาอกเอาใจด้วยการเล่าเรื่องตลกให้ฟัง คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ทว่าทุกคนสัมผัสได้ถึงความสุขที่มันเคยขาดหายไป

   ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มหวานโค้งทักทายผู้คนในบ้านอย่างเป็นกันเอง ร่างสมส่วนภายใต้ชุดสูทสีดำสนิทก้าวเรื่อยตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีนายท่านใหญ่คนปัจจุบันจิบน้ำชารออยู่ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวกายขาวสะอาด ดวงตาเรียวเล็กมักหยีจนแทบปิดตอนริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มกว้าง หากแต่แววคมเข้มไหวระยับอ่อนโยนยามสบมองผู้อื่น สี่ปีเต็มที่ตนจากสถานที่แห่งนี้ไป ไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าคือ ‘บ้าน’ แต่ภัควัฒน์โยธินคือทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ที่ซุกหัวนอน ให้การศึกษา ให้ชีวิตใหม่กับเด็กตาดำๆซึ่งถูกทิ้งอย่างไร้ค่าข้างถนน และก็เป็นนายท่านพิพัฒน์ที่เมตตาเก็บกลับมาเลี้ยงดูอย่างดี

   พาตัวเองพ้นกรอบไม้สักทองได้ไม่กี่ก้าว สุ้มเสียงที่คอยถามไถ่ความเป็นไปของเขาอยู่เสมอผ่านสายโทรศัพท์ทางไกลก็ดังกังวานขึ้น ทิ้งกายลงเดินเข่าเข้าไปหา ก่อนจะยกมือกราบสวัสดีผู้ใหญ่ตามขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทย

   “มาถึงแล้วเหรอ?”
   “ครับนายท่าน”

   เสียงตอบรับด้วยความสุภาพนั่นทำให้พิศาลหยัดยิ้มบาง เด็กหนุ่มที่ตนดูแลต่อจากพี่พิพัฒน์เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบและได้ดั่งใจ สมกับเป็นคนโปรดของพี่ชายที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง นอกจากกวินทร์ก็เห็นจะมีแต่อีกฝ่ายที่พอจะฝากผีฝากไข้ให้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของภัควัฒน์โยธิน

   “เรื่องเรียนเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม?”
   “เรียบร้อยแล้วครับนายท่าน”
   “กลับมาช่วยฉันกับกวินทร์ได้สักที อย่าทำให้ฉันผิดหวังที่ส่งเสียแกเรียนสูงๆ”
   “ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังครับ”

   พูดพร้อมก้มศีรษะลงรับฝ่ามือหนาที่เอื้อมแตะบนบ่า รับขวัญกลับเข้าบ้านเข้าเรือนด้วยการตบลาดไหล่สองสามครั้งคล้ายเอ็นดู

   “มาถึงเหนื่อยๆไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดย์กับไฮท์เหมือนจะออกไปข้างนอก ซักประเดี๋ยวคงกลับมา”

   ไม่ทันขาดคำเสียงเจื้อยแจ้วของลูกชายตัวขาวก็ลอยดังมาแต่ไกล และที่เจ้าตัวดื้อส่งเสียงร้องลั่นขนาดนั้นคงเพราะเห็นสวนดอกไม้ด้านหน้าถูกประดับประดาด้วยลูกโป่งหลากสี พิศาลพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงบอกให้คู่สนทนาออกไปทักทายกันเสีย ก่อนที่ชายหนุ่มจะโค้งศีรษะขออนุญาต ผุดกายขึ้นก้าวไปตามโถงทางเดินออกสู่สวนหย่อมของบ้านโดยทันที



   ไม่อาจบรรยายความรู้สึกยามกรอบสายตาปรากฏภาพเจ้าของเรือนผมสีช็อกโกแลตเข้มซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น โครงหน้าอ่อนหวานปนน่ารักแต้มรอยยิ้มจาง คงจะเอ็นดูภัควัฒน์โยธินคนน้องที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

   เหมือนจะไม่นานมานี่เองที่ได้พบเจอ นั่นหมายถึงการนับเวลาบนปฏิทินตามหลักสากล ทว่าสำหรับตนช่วงเวลาช่างเชื่องช้านัก กว่าจะผ่านพ้นไปแต่ละวัน ทั้งที่มี ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน แต่เวลาของคนที่เฝ้ารอมันกลับดูเพิ่มพูนยาวนานกว่าหลายต่อหลายเท่า

   กระทั่งดวงตากลมโตสุกสกาวเบนมาสบกับคนต่ำต้อยเพียงดิน แววเคลือบใสไหวระริกเป็นประกายเรียกให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายสั่นรัวอัตโนมัติ ยามกลีบปากรูปหัวใจวาดยิ้มกว้างราวกับโลกใบนี้ส่องสว่างขึ้นในชั่วพริบตา เป็นพระอาทิตย์ตอนกลางวัน เป็นพระจันทร์ตอนกลางคืน เป็นหยาดทิพย์ชโลมร่างกายที่ใกล้อับเฉาให้เบ่งบานขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
   ทรุดเข่าลงกับพื้น เพื่อให้ลำแขนกลมกลึงตวัดล้อมรอบช่วงบ่าแกร่งได้สะดวก ไม่อาจยืนเทียบเคียงบารมี เพราะรับรู้ถึงความไม่คู่ควร ซบใบหน้าแนบหน้าท้องแบนราบยามอ้อมแขนเล็กกระชับแน่น แม้อยากจะขยับท่อนแขนกอดตอบสักเพียงไร ทว่าก็คงทำได้แค่คิดในใจเท่านั้น

   “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ยอมบอกกันเลย”

   กระแสเสียงนุ่มนวลนั้นสยบได้ทุกความเคลื่อนไหว หากเปรียบอีกฝ่ายเป็นภูผา ก็คงจะเป็นภูผาที่สูงตระหง่าน แสนสง่างาม หากเปรียบเป็นสายน้ำ ก็คงเป็นสายน้ำที่ไหลเรื่อยให้ความเย็นฉ่ำ หากเปรียบเป็นไฟ ก็คงเป็นไฟที่ให้ความอบอุ่นยามเหน็บหนาว
 
   “เพิ่งกลับมาถึงครับ”

   ไม่คิดว่าเสียงของตัวเองจะแผ่วเบาและขาดห้วงได้ถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่เท่ากับประโยคต่อมาที่คนพูดเอ่ยถามให้ได้ยินชัดถ้อยชัดคำ

“คิดถึงเราไหม”

   ทว่าความรู้สึกช่างแตกต่าง เพราะสำหรับคนฟังนั้นมันมากล้นเกินกว่าจะบรรยาย แม้เทวดาตัวน้อยจะถามไถ่ในฐานะอื่น ทว่าตนช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และถึงจะไม่ถูกสอนสั่ง มันกลับฝังลึกอยู่ข้างใน ตราตรึงเป็นรอยสักถาวรให้รักและเถิดทูน ถวายชีวิตทั้งชีวิตให้กับ พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน แต่เพียงผู้เดียว...


   “ผมบังอาจเหลือเกินครับคุณหนู”

   บังอาจคิดถึง คิดถึงสุดหัวใจ




   “เบียร์อ่า...”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2016 19:02:50 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๓.



“ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องทางซ้ายมือสุดเป็นห้องของคุณหนูครับ”

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเฉพาะในกลุ่ม แม้ผู้คนส่วนใหญ่ ณ เวลานี้จะไปกระจุกรวมกันที่ห้องโถงของบ้านเพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคุณหนูทั้งสอง ทว่าก็ยังมีบ่าวบางส่วนที่ยังต้องคอยทำหน้าที่ของตนเอง เจ้าของกายสูงพยักหน้าเป็นการตอบรับ ใบหน้าหล่อเหลาถูกบดบังไว้ด้วยหมวกแก๊ปเกือบครึ่งไร้ความรู้สึกยินดียินร้าย นัยน์ตาคู่คมกราดสำรวจทั่วบริเวณในรั้วภัควัฒน์โยธินที่ตนกับพรรคพวกเพิ่งเดินผ่านประตูด้านหลังเข้ามา โดยมีสายของนายหัวเปิดประตูต้อนรับราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

ไม่เคยคิดจะเข้ามาเหยียบถิ่นของศัตรู ความเกลียดชังที่ฝังลึกแทบเป็นเนื้อเดียวกับร่างกาย แม้จะไร้เหตุผล แต่ก็ไม่อาจจัดการมันด้วยวุฒิภาวะ ความฉลาดเฉลียวหรือแม้กระทั่งความยุติธรรม หากขึ้นชื่อว่าเป็นภัควัฒน์โยธินแล้ว ความรู้สึกนึกคิดมันกลับเป็นไปโดยอัตโนมัติ ทำลายได้ให้ทำลาย ฆ่าได้ให้ฆ่า เพื่อชดใช้หนี้แค้นที่ตระกูลผู้ดีจอมปลอมมาบังอาจพรากประมุขผู้ยิ่งใหญ่ของอัคคเดชภูดินันท์ด้วยการลอบยิง

“ก้องดูต้นทาง ภาคไปรอที่รถ ส่วนฟากมากับฉัน”

เหล่าคนสนิทต่างพยักหน้ารับแทนการใช้เสียง แยกย้ายกันตามคำสั่งที่พ่อเลี้ยงของไร่ลั่นผ่านริมฝีปาก ขุนขยับปลายเท้าเดินขนาบข้างคนของอัคคเดชภูดินันท์ไปอย่างเงียบๆ มือข้างหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำ แผ่นอกผายกว้างตั้งตรง ลาดไหล่ตกเล็กน้อยหากก็ไม่ทำให้ความน่าเกรงขามลดลง ยังคงแผ่อำนาจไม่ด้อยไปกว่านายหัวรังสิมันตุ์ที่ทุกคนรู้จัก

“ภัควัฒน์โยธินหละหลวมเรื่องความปลอดภัยขนาดนี้เชียว?”

เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าลู่ทางมันดูสะดวกสบายเกินไป ราวกับเชื้อเชิญให้ตนเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น อย่างน้อยก็น่าจะมีเวรยามเดินตรวจตราความเรียบร้อย แต่จากประตูหลังเรื่อยขึ้นมายังเรือนฝั่งขวา ขุนกลับไม่พบคนของภัควัฒน์โยธินเลยสักชีวิต

“วันนี้มีงานเลี้ยงครับ เห็นว่าคุณหญิงไลลาเองก็อาจจะมาร่วมงานด้วย”

“อ่อ พวกศัตรูมาเยือนเลยต้องไปออต้อนรับ”

การโต้ตอบสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น เพราะผู้นำทางรู้สึกหวั่นกับกระแสเสียงเยียบเย็นที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินยากเกินจะอธิบาย พอมาถึงจุดหมายก็รีบแยกตัวไปเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสังเกต เรียวขายาวก้าวย่างอย่างใจเย็น กระทั่งชะลอหยุดตรงหน้าประตูของห้องสุดทางเดิน ผลักกรอบไม้สักทองให้เปิดออกด้วยฝ่ามือ ก่อนจะแทรกกายเข้าไปในความมืดเพื่อรอเหยื่อตัวน้อยมาติดกับ...




“คุณหนูไฮท์ ไหวหรือเปล่าคะ? ให้แต้มเรียกคุณนมพริ้มดีไหม หรือไม่ก็คุณหมอชัชวาล”
“เราไหวน่าพี่แต้ม แค่รู้สึกเพลียๆอยากนอนพักซักหน่อย แล้วก็อย่าเอาไปฟ้องพี่เดย์นะ ให้อยู่กับคุณพ่อรอพบแขกผู้ใหญ่นั่นแหละ”

แม้กลีบปากสีแดงอ่อนของผู้เป็นนายที่มักจะพูดจ้อถามด้วยความสงสัยอยู่เป็นประจำจะขยับเอ่ยเช่นนั้น ทว่าสาวใช้ก็มิอาจเบาใจ เหตุเพราะเหลือบเห็นอีกฝ่ายลุกออกจากที่นั่งของตัวเอง เดินซึมๆตรงมาทางเรือนขวาไม่บอกไม่กล่าวใครสักคน หล่อนจึงรีบตามมาถามไถ่เผื่อคุณหนูอยากได้อะไรเป็นพิเศษจะได้หามาให้อย่างที่ต้องการ

“ถ้าอย่างนั้น แต้มจะชงชาร้อนๆมาให้คุณหนูดื่ม...”
“ไม่เป็นไรครับ พี่แต้มก็กลับไปที่งานเถอะ เรากะจะนอนเลย ถ้ามีใครถามหาก็ให้บอกว่าเราง่วงแล้ว เข้าใจไหม”

รู้ว่าเสียมารยาท แต่เด็กหนุ่มตัวขาวก็ไม่อาจทนนั่งอยู่ท่ามกลางความกดดัน รีบผละห่างจากคู่สนทนา ก้าวเร็วๆขึ้นบันไดมุ่งตรงไปยังห้องนอนทันที ปล่อยให้บ่าวมองตามแผ่นหลังแคบที่หายลับโดยไม่กล้าจะตอแยให้เกิดความรำคาญ


ร่างผอมบางกระโจนลงที่นอนนุ่ม มุดดวงหน้าอ่อนเยาว์เข้ากับหมอนใบโตไม่ยอมเปิดสวิตซ์ไฟให้ส่องสว่าง พลิศ ภัควัฒน์โยธิน ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไร อยากทำอะไร ก็ไม่มีใครเคยห้าม ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ที่ต่างประเทศมาตลอดอายุ ๒๐ ปี ทว่าการถูกตามใจไม่ได้หมายถึงการได้รับความใส่ใจจากผู้เป็นบิดา

ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กหนุ่มจะกลายเป็นคนที่ไม่เอาไหน แม้เลือดเนื้อที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะเป็นภัควัฒน์โยธินเต็มตัว หากแต่คุณสมบัติกลับไม่เหมาะสม เป็นที่พึ่งพาให้ใครไม่ได้ เรียนไม่เก่ง ทั้งยังนิสัยเสีย ชอบงอแงยามไม่ได้ดั่งใจและมักถูกพ่อบังเกิดเกล้าตำหนิด้วยสายตาอยู่เสมอ

“ยังไงพี่เดย์ก็รักเรา”

พึมพำย้ำให้กำลังใจตัวเองอย่างเช่นทุกที เพราะมีแต่พี่ชายเพียงคนเดียวที่เป็นเหมือนทุกๆอย่าง ถึงตนจะดื้อพี่ก็ยังรักยังเอ็นดู ดวงตากลมโตที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือเล็กที่คอยลูบกลุ่มผมปลอบประโลมยามเขาถูกดุ สุ้มเสียงนุ่มหวานที่มักพร่ำบอกว่า ตัวดื้อเก่งที่สุดสำหรับพี่ ตัวดื้อสำคัญที่สุดสำหรับพี่ แค่นี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าตัวเองยังพอมีความหมาย อย่างน้อยก็กับพี่ชายคนหนึ่ง

พลิกกายขาวขึ้นนอนหงาย แววเคลือบใสคลอหยาดน้ำไร้สีใกล้ไหลอยู่แล้วรอมร่อจับจ้องเพดานห้องด้านบนเป็นจุดรวมสายตา กลีบเนื้อนุ่มเริ่มขยับฮัมเพลงโปรดไปเรื่อยเปื่อย มันคือวิธีคลายความโศกเศร้าที่เจ้าตัวชอบทำ มือบางควานสะเปะสะปะตามหาหมอนข้างบนฟูกนอนของภัควัฒน์โยธินคนโต ซึ่งทายาทคนน้องยึดเป็นฐานที่มั่นและจะไม่ยอมกลับไปอยู่ห้องของตัวเองจนกว่าพี่ชายจะย้ายเข้าบ้านของสามีหลังการแต่งงาน

!!

“อ๊ะ!”

จู่ๆร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากให้ลอยขึ้นจากเตียง นัยน์ตาคู่หวานเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงใดๆ ริมฝีปากกลับถูกปิดกั้นไว้ด้วยผู้บุกรุก

“ยังไงต่อดีครับป้อเลี้ยง”

เจ้าของฝ่ามือร้องขอคำสั่ง อ้อมแขนขวากอดรัดช่วงเอวคอดล็อกกายขาวซึ่งดิ้นขัดขืนเท่าที่กำลังจะเอื้ออำนวย ทว่าฝ่ายคุณหนูคนเล็กก็ไม่ได้มีฤทธิ์เดชธรรมดา พลิศสะบัดดวงหน้าหนีจนกลีบปากเป็นอิสระ ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นเรียกร้องหาความช่วยเหลือ

“พวกนายเป็นใคร! พี่แต้ม! พี่แต้มครับ! อุก!”

หมัดหลุนๆต่อยอัดเข้าเต็มช่วงท้องส่งผลให้ร่างผอมทรุดร่วงลงหากก็มีอ้อมแขนแกร่งที่ยื่นเข้ามาประคองเอาไว้ ดวงหน้าอ่อนหวานบิดเบ้ด้วยความจุกและเจ็บเสียจนพูดอะไรไม่ออก ม่านตากลมสั่นระริกช้อนมองใบหน้าเรียบนิ่งภายใต้หมวกแก๊ปผ่านความมืด กายบอบบางถูกจับอุ้มพาดบ่ากว้างอย่างง่ายดาย มือขาวคว้าขยำเสื้อเชิ้ตด้านหลังของร่างสูงใหญ่ที่แบกตนเองไว้ระบายความเสียดแน่นจากการถูกชก หยาดน้ำตาหลั่งไหลอาบแก้มเนียน ไร้เสียงสะอื้น ไร้เสียงร้องตะโกนแม้นึกหวังให้บ่าวสักคนในบ้านมาพบเข้าก็ยังดี

“ก้องเปิดประตู”
“ครับ”

ถูกจับโยนเข้าไปในรถตู้อย่างแรงจนร่างกระแทกลงกับเบาะหนัง ภัควัฒน์โยธินคนน้องกุมท้องงอตัวเนื่องจากยังไม่คลายความจุก เสียงประตูที่เลื่อนปิดไม่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเท่าเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ทและยานพาหนะกำลังทะยานออกจากหน้าประตูด้านข้างของคฤหาสน์หลังโต พร้อมกับ...เสียงทุ้มแสนคุ้นหูเอ่ยทิ้งประโยคเสียดแทงที่ตนไม่อาจตีความหมาย


“ยินดีต้อนรับสู่นรกครับคุณหนู”






“นายคนป่า! จะพาเราไปไหน! เราคือ พลิศ ภัควัฒน์โยธิน นะ! ถ้าทุกคนรู้ว่าเราหายไปนายตายแน่ๆ! เราบอกให้จอดรถเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ได้ยินไหม!”
“ย๊ากกก!”
“เราเหนื่อยแล้วนะ นายยามโกรธเราเหรอ? เราขอโทษก็ได้ เราไม่ได้ตั้งใจเดินชนนายซักหน่อย อีกอย่างเราไม่ได้ไปฟ้องเจ้าของห้างให้ไล่นายออกด้วย หรือว่านายต้องการเงิน? เรามีเยอะแยะเลย ปล่อยเราไปเถอะ”
“หรือจะให้เราซื้อเสื้อตัวใหม่คืนนายก็ได้ ซื้อหลายๆตัวก็ได้ ง่ะ~ หิวน้ำ เราหิวน้ำ”

“ป้อเลี้ยงครับ...”
“ฟากหาอะไรปิดปากหน่อยซิ หนวกหู”
“เอ่อ...”

ลูกน้องคนสนิทถึงกับทำอะไรไม่ถูกยามผู้เป็นนายตัดบทมาเช่นนั้น ฟากฟ้าเหลือบมองเสี้ยวหน้าหล่อคมของพ่อเลี้ยงที่ฉายความรำคาญอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันมาสบสายตากับคุณหนูตัวขาวที่นั่งอยู่บนเบาะแถวเดียวกันพลางยกก้านนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเป็นการบอกให้อีกฝ่ายเงียบเสียง

แผลงฤทธิ์ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง คงจะหายจุกแล้ว ทั้งคืนก็นอนแน่นิ่ง กุมท้องมาตลอดการเดินทาง รู้ว่าจะต้องมาเอาตัวคนของภัควัฒน์โยธิน แต่ไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึกเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องของนาย บ่าวไพร่มีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่งและจงรักภักดี เคยจินตนาการภาพคุณหนูผู้สูงศักดิ์ไว้ประมาณนายหัวรังสิมันตุ์ที่จะต้องใช้แรงมหาศาลในการฉุดกระชากลากถู หรืออาจถึงขั้นลงไม้ลงมือหากฝ่ายตรงข้ามขัดขืนหรือสวนกลับ ทว่าพอมาอยู่ในสถานการณ์จริงแล้วมันช่าง...แตกต่าง

ตัวผอมบางเสียจนไม่รู้ว่าถ้าให้ไปยืนกลางทุ่งลมจะพัดหักเป็นสองท่อนหรือไม่ กลีบเนื้อนุ่มสีแดงสดขยับปล่อยเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ม่านตากลมคู่หวานมักคลอเคล้าด้วยหยาดน้ำหล่อเลี้ยง ดวงหน้าขาวจัดค่อนไปทางสวย ปลายคางเรียวแหลม ผิวแก้มขึ้นสีเลือดฝาดตามธรรมชาติ ยิ่งตอนทำสีหน้ายุ่งๆ ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับเด็กตัวเล็กๆแถวไร่

เลือกหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนซึ่งชะโงกหน้ามาจากเบาะด้านหลัง ก้องเกียรติส่งขวดน้ำที่คุณหนูจอมโวยวายเพิ่งจะโยนทิ้งเมื่อสามสี่นาทีก่อนให้ฟากฟ้า พร้อมกับเอ่ยข้อเสนอแนะที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์

“คิงก่อเอาฮื้อเปิ้นกิ๋นแหละ”
“ก่อเปิ้นบ่กิ๋น”
“เอาแต่ใจ๋ขนาด แต่หน้าต๋าโคตรน่าฮัก ฮาว่าป้อเลี้ยงไปลักเปิ้นมาเป๋นเมียแน่ๆ”
“อู้ดัง ป้อเลี้ยงได้ยินคิงจะซวย”

บทสนทนาภาษาไม่คุ้นหูเรียกให้เด็กหนุ่มถอยกรูดไปจนติดกระจกอีกด้าน อ้อมแขนกลมกลึงกอดกระชับเข่าของตัวเองแน่นหนา แถมยังจ้องมองฟากฟ้าสลับกับก้องเกียรติอย่างหวาดระแวง ทว่าปิดปากเงียบไปสักครู่ใหญ่ๆ สุ้มเสียงใสด้วยสำเนียงค่อนข้างประหลาดเนื่องจากการพูดไม่ชัดก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เรียกให้ลูกน้องคนสนิททั้งสองชีวิตที่จับจองเบาะกลางและเบาะหลัง หลุดขำออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เพราะจะว่าน่ารำคาญก็น่ารำคาญ
แต่ว่ามันน่ารักมากกว่านี่สิ...

“หิวน้ำอ่ะ! เราหิวน้ำ! โอ๊ย! เจ็บนะคนบ้า! ก็บอกว่าจะกินชาเขียวไง”

สมกับเป็นคุณหนูผู้เอาแต่ใจอย่างแท้จริง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถต่อรองอะไรได้ ขวดน้ำเปล่าลอยลิ่วมาปะทะหัวไหล่มนเปลี่ยนเสียงโวยวายให้เป็นเสียงโอดครวญ ด้วยฝีมือเจ้าของร่างสูงซึ่งนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ ขุนถอนหายใจพลางดุนปลายลิ้นแตะกระพุ้งแก้มอย่างพยายามสะกดอารมณ์

“คนป่าแบบนายรู้จักชาเขียวไหม? ชาเขียวอ่ะ เราจะกินชาเขียว! จะกิน!”
“ถ้าไม่หุบปาก ระวังจะมีสามีพร้อมกันสี่คน”

เงียบกริบทันที พอถูกพ่อเลี้ยงขู่ก็กลับไปทำตัวลีบแทบสิงเป็นเนื้อเดียวกับเบาะโดยสาร สักพักก็ขยับกลีบเนื้ออ่อนพูดจ้อต่างๆนานา เหตุการณ์วนอยู่เช่นนี้เป็นสิบๆรอบ โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังเดินทางเข้าเขตจังหวัดเชียงรายและคงไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้ง่ายๆอย่างที่เจ้าตัวต้องการ

“เราอยากเข้าห้องน้ำ”

ใช้ลูกไม้ตื้นๆนี้มาสี่ครั้งติดกัน ครั้งล่าสุดวิ่งหนีได้ไกลกว่าครั้งก่อนๆเกือบประมาณหนึ่งร้อยเมตร แต่มาจบลงเพราะหกล้มหัวคะมำจนเลือดออก ลำบากพ่อเลี้ยงต้องเดินไปอุ้มกลับมาพร้อมเสียสละเสื้อตัวนอกเช็ดบาดแผลห้ามเลือดให้

“อย่าลืมว่าคุณหนูไม่ได้สวมรองเท้า แถมบนพื้นมีแต่เชื้อโรคตัวโตๆ”

ก้องเกียรติกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ยิ่งทำไม้ทำมือประกอบให้ดูเกินจริงก็ยิ่งเห็นเรียวคิ้วสวยขมวดมุ่น กลายเป็นเรื่องสนุกทั้งที่สีหน้าคนเป็นนายบ่งบอกว่าปวดหัวจนใกล้จะระเบิดแล้วเต็มที

“ถ้างั้นให้เรายืมรองเท้าหน่อยสิ นะๆ”
“แต่ของผมมันเหม็นนะครับ”

ไม่ว่าเปล่า ก้มตัวลงถอดรองเท้าผ้าใบคู่เก่าส่งให้คุณหนูผู้น่ารัก ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับก็เป็นไปอย่างที่คาดเดาไว้

“ยี้! ทำไมสภาพมันเป็นแบบนี้ล่ะ นายใส่เข้าไปได้ยังไง!”

ทำสีหน้ารังเกียจเสียจนคู่สนทนาหัวเราะหงายหลัง ฟากฟ้ารีบยื่นขวดน้ำที่เปิดฝาออกพร้อมบริการใส่หลอดพลาสติกให้ กระซิบกระซาบบอกคล้ายได้ยินกันเพียงสองคน แม้ความจริงเสียงมันจะดังก้องไปทั้งรถก็ตาม

“กินน้ำเยอะๆครับจะได้ปวดจริงๆ ป้อเลี้ยงจะได้เชื่อคุณหนูไง”

เมื่อเห็นว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า มือขาวจึงขยับเลื่อนมารับอย่างกล้าๆกลัวๆ ยอมดื่มน้ำเปล่าที่ฟากฟ้าหลอกล่อเพราะเห็นว่าคุณหนูตัวผอมยังไม่ได้ทานอะไร พอหมดขวดถึงได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้วใส่คนด้านหน้า ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจไปแล้วว่าชื่อป้อเลี้ยง

“นายป้อเลี้ยง เราปวดห้องน้ำแล้วอ่ะ ปวดห้องน้ำมันทนไม่ได้เหมือนตอนอยากกินชาเขียวนะ”
“ภาค จอดปั๊มข้างหน้า”

ประโยคคำสั่งที่หลุดจากริมฝีปากหนาเรียกให้ม่านตากลมใสมีประกายระยับ มือนิ่มกำเข้าหากันแน่น หัวใจสูบฉีดพองโต กลีบเนื้อนุ่มลอบวาดรอยยิ้มอย่างดีใจ คิดแต่เพียงว่าถ้าได้ออกจากรถคันนี้อีกสักหน อาจจะพอมีโอกาสขอความช่วยเหลือ
รอคอยอย่างมีความหวังจนกระทั่งรถตู้เลี้ยวเข้าปั๊มและจอดสนิท กายสูงใหญ่ที่แผ่รังสีอำมหิตมาตลอดทางเปิดและปิดประตูจนกายผอมบางสะดุ้งสุดตัว แล้วต้องมาหวาดผวาอีกรอบเมื่อประตูด้านข้างถูกเลื่อนเปิดด้วยความรุนแรง

ฟากฟ้าขยับลงจากรถอย่างรู้งานเพื่อไม่ให้เกะกะผู้เป็นนาย เปิดทางให้แววคมสีน้ำตาลเข้มกราดมองสภาพทายาทของตระกูลภัควัฒน์โยธินเต็มตา แม้เครื่องแต่งกายที่อีกฝ่ายสวมใส่จะเป็นเนื้อผ้าอย่างดี แต่เวลานี้มันกลับเปื้อนไปด้วยฝุ่นจากความซุ่มซ่าม เนื้อตัวมอมแมมเพราะริอาจจะหลบหนีทั้งที่ฝ่าเท้าเล็กเปลือยเปล่า ทว่าก็ยังแผ่ออร่าลูกคุณหนูผู้มีอันจะกินด้วยกรอบดวงหน้าขาวสะอาด โดดเด่นตรงเรียวปากทรงกระจับ ตัดผิวแก้มอมชมพูอ่อนๆเนื่องจากความร้อนของอากาศภายนอกรถ ไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกับที่เจอกันบนห้าง นึกมาถึงตรงนี้ก็อดสงสารปนเวทนาไอ้พิศาลไม่ได้ นี่น่ะเหรอคนที่จะเอามาต่อสู้ทัดทานกับนายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์

กระดูกมันคนละเบอร์ ต่างชั้นกันเห็นๆ

“ยุ่ง”
“เราชื่อไฮท์ไม่ได้ ชื่อยุ่ง!”

ทั้งที่กลัวจนตัวสั่น ทว่ากลีบปากสีแดงอ่อนก็ยังริจะขยับเถียงทุกถ้อยทุกคำ เรียกให้เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยกระตุกยิ้มหยันพลางโน้มลงมาใกล้เสียจนร่างผอมแทบสิงเข้าไปกับเบาะโดยสาร

“เอ่อ นั่นแหละ แถวบ้านเรียกว่ายุ่ง ตัวยุ่ง

คว้าจับข้อแขนขาวพร้อมกับออกแรงฉุดจนตัวบางๆลอยถลามาปะทะแผงอก ใบหน้าหวานง้ำงอบูดบึ้งช้อนขึ้นสบมองอย่างเอาเรื่อง พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากฝ่ามือใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจคิด

“ปวดห้องน้ำก็ลงมา จะไปส่ง”
“เราโตแล้วไปคนเดียวได้”
“ถ้าไม่กลัวพวกเด็กปั๊มลากไปรุมโทรมก็เชิญ”

ขุนปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ ผละห่างออกมาให้ม่านตาคู่สวยได้มองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอก เจ้าของกายผอมผงะถอยหลังทันทีเมื่อพนักงานของปั๊มพากันหันมาสังเกตการณ์ด้วยความสนใจ เพราะต่างก็รู้ว่าเป็นรถตู้ของพ่อเลี้ยงรูปหล่อแห่งไร่ตะวัน รีบเปลี่ยนจุดโฟกัสหันไปทางอื่นกลบเกลื่อนความกลัว เรียวปากอิ่มเบะออกด้วยท่าทางรังเกียจยามสบเข้ากับเป้าหมาย แม้ห้องน้ำจะถูกปรับปรุงซ่อมแซมให้ดูใหม่กว่าเดิม แต่สำหรับคุณหนูผู้สูงศักดิ์คงไม่เคยพบเจออะไรเช่นนี้

ลอบมองปฏิกิริยาของคนตัวขาวอย่างเงียบๆ เอนแผ่นหลังกว้างพิงไปกับตัวรถพลางเอ่ยข้อต่อรองเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในถิ่นของตนเองแล้วก็ตาม

“อ่อ แล้วถ้าส่งเสียงร้องแม้แต่คำเดียวล่ะก็...”
“ช่วยด้วย!!!!! อื้อ!! ฮื่อ...”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวยุ่งก็ทำการแผลงฤทธิ์เดชทันที ขุนเอี้ยวตัวไปปิดกลีบเนื้อนุ่มที่ส่งเสียงไม่ฟังคำสั่ง กดฝ่ามือเสียจนแก้มนุ่มยุบลงตามแรงมหาศาล โครงหน้าหล่อเหลาฉายแววหงุดหงิดอย่างมีน้ำโห กึ่งลากกึ่งอุ้มลูกของศัตรูลงจากรถด้วยความทุลักทุเล ฟากฟ้ากับก้องเกียรตินิ่งอึ้งเนื่องจากไม่รู้จะช่วยเหลือคุณหนูผู้น่ารักอย่างไร เพราะไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจะโกรธจนทำอะไรรุนแรงกับเด็กหนุ่มตัวแค่นี้

“นายรู้ไหมว่าเราคือใคร! ถ้าไม่อยากโดนภัควัฒน์โยธินจัดการก็ให้ปล่อยเราเดี๋ยวนี้! เราบอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

กายขาวพยายามต่อสู้สุดชีวิตเพราะเลือดผู้ดีมันค้ำคอ และทายาทคนเล็กเคยชินเฉพาะตอนอยู่สูงกว่าบริวาร แต่ก็ไม่ใช่การกดขี่ข่มเหงคนอื่นให้ต่ำลง โดยไม่รู้ว่าการเอ่ยชื่อต้นตระกูลนั้นเป็นการสุมเพลิงให้ลุกโชนขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย

!!

ดวงหน้าอ่อนเยาว์เหยเกด้วยความเจ็บปวดยามร่างกายถูกส่งกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำ เสียงปิดประตูดังโครมเร่งความหวาดกลัวให้แผ่ซ่านไปทั้งอก
 
“จะ...เจ็บ อย่า...”

เงาสูงดังภูเขาคืบคลานมาทาบทับ หากไม่เท่าแรงกระชากที่รั้งร่างซึ่งร้าวระบมจากความป่าเถื่อนขึ้นมาเผชิญหน้า สบกับนัยน์ตาคู่คมที่ลุกวาวด้วยไฟแค้น แม้สีหน้าจะนิ่งเฉยเหมือนแทบไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ประกายในลูกแก้วสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกชัดเจนถึงความเกลียดชัง

“ฉันจะทำให้เจ็บยิ่งกว่านี้ ดีไหม?”
“เราไปทำอะไรให้นายกัน...”

เปล่งเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ กลอกแววเคลือบใสที่สั่นระริกด้วยความกลัวมองโครงหน้าหล่อเหลาซึ่งไร้หมวกแก๊ปบดบัง เนื่องจากมือหนาขว้างปามันลงพื้นระบายอารมณ์อย่างไม่ใยดี ถ้าการที่ตนเดินชนอีกฝ่ายแล้วต้องได้รับผลตอบแทนเช่นนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ

“ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าทำ”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นชวนขนลุก ดวงตาคมแข็งกร้าว เผลอบีบท่อนแขนขาวจนเจ้าของร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย! จะทำอะไร! คนต่ำช้า!”

กระชากเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่เด็กหนุ่มสวมใส่จนกระดุมหลุดลุ่ยกระจัดกระจาย เผยผิวขาวเนียนละเอียดปรากฏสู่สายตา คุณหนูตัวผอมกรีดร้องอย่างหวาดผวาตื่นตระหนก พยายามดิ้นหนีซาตานร้ายในร่างมนุษย์ใจทราม สะอิดสะเอียนกับความวาบร้อนที่สอดเข้ามาลูบไล้ผิวกายเปลือยเปล่าอย่างหยาบโลน

“กับคนต่ำๆ ในปั๊มโกโรโกโสสักครั้งจะเป็นไรไป อาจจะเร้าใจกว่าในโรงแรมหรูๆที่เมืองนอกเมืองนาก็ได้ หืม?”

กระแสเสียงเย้ยหยันกับถ้อยคำดูถูกเรียกให้หยาดน้ำใสรื้นคลอเต็มหน่วยตา ไฮท์กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้เพราะความอ่อนแอ อ่อนต่อโลก เนื่องจากไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน

“อย่า...”

ร้องประท้วงยามฝ่ามืออุ่นค่อยๆเลื่อนลงปลดกระดุมกางเกงสแล็คที่ตนสวมใส่ พยายามลดมือลงไปยุติการกระทำหยามเหยียดหยาบคาย หากก็ถูกปัดและจับขึ้นมาพาดไว้บนบ่าแกร่ง สิ้นแรงดื้อดึงขัดขืนเพราะความเจ็บร้าวจากการถูกผลักอัดเข้ากำแพงเมื่อครู่ก่อน

“ไอ้พิพัฒน์มันทำเลวๆไว้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ?”
“คะ..คุณ...ล”

กลีบเนื้อนุ่มจำต้องชะงักค้าง เมื่อดวงหน้าน่ารักของพี่ชายตัวน้อยโผล่ขึ้นมาซ้อนทับ ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เพื่อปล่อยเวลาให้ขบคิดถึงความน่าจะเป็น หลุบนัยน์ตาคู่หวานลงอย่างสับสนปนทำอะไรไม่ถูก คล้ายจะเข้าใจในตอนนั้นว่าเจ้าของร่างสูงหมายถึงใคร แต่ถ้ารู้ว่าจับผิดตัว ฝ่ายที่ต้องลำบากก็คงจะเป็นพี่ชายของตนเสียเอง

น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นเมื่อเกียรติของภัควัฒน์โยธินถูกหยามโดยที่ตนไม่สามารถห้ามปรามหรือหยุดยั้ง ไม่เคยมีใครได้ถูกเนื้อต้องสัมผัสเรือนร่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง สั่นสะท้านยามแผงอกกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามแบบบุรุษเพศเบียดประชิด ลมหายใจร้อนเป่ารดผิวเนื้ออ่อนช่วงลำคอ เปลือกตาสีน้ำนมปิดสนิทไม่อาจทนมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป

“ฮึก...ฮือ...”


อัคคเดชภูดินันท์กำลังหยิ่งผยองลำพองใจ
มิได้ใคร่ครวญถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายเลยสักนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:47:32 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สายน้ำเย็นจากขันเรียกให้กายขาวสะดุ้งโผเข้ากอดรัดร่างสูงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะรีบผลักไสให้ไกลตัว ทว่าพละกำลังกลับไม่เอื้ออำนวยให้ต่อต้าน ต้องยอมให้ท่อนแขนแกร่งกักขังติดผนังห้องน้ำแคบๆ ภัควัฒน์โยธินคนเล็กสะอื้นไห้ ปล่อยความอ่อนแอรินไหลไปกับความเยียบเย็น รู้สึกแสบบาดแผลตามหัวเข่าและฝ่าเท้าที่เกิดจากการหกล้ม แต่ตนทำได้แค่เพียงระบายมันออกมาในรูปแบบของน้ำตา

“จะสูงส่งแค่ไหน พอมาโดนน้ำโสโครกแบบนี้ก็สกปรกพอๆกัน”

เสียงทุ้มขึ้นจมูกเรียกผลตอบรับตรงกันข้าม หยาดน้ำใสไหลหลั่งราวเขื่อนพัง แรงสะอื้นฮักรุนแรงขึ้นตามลำดับ ไม่อาจควบคุมความรู้สึกขยะแขยงที่กำลังถูกยัดเยียดให้ ฝ่ามือหนาวาดผ่านปรางใสเพื่อปาดเช็ดมันอย่างลวกๆ หันไปรองน้ำจากก๊อกสำหรับล้างมือมาราดศีรษะทายาทศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ตัวเองจะเปียกปอนไปด้วยก็ไม่ใส่ใจ แววคมสีน้ำตาลเข้มทอดนิ่งมองใบหน้าขาวจัดไม่ละสายตา โครงหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยราวกับเป็นสีหน้าปกติ ก่อนลำแขนแข็งแรงจะขยับยกร่างผอมบางขึ้นแนบผนังพลางดันกายสูงเข้าหา กระซิบถ้อยคำร้ายกาจให้ยิ่งชอกช้ำใจ

“รสชาติตระกูลผู้ดีไม่เห็นจะถูกปาก จืดจางซะไม่มี”

เรียวปากอิ่มเหยียดยิ้มดูแคลน โน้มตัวลงไปแทบชิดปรางใสของคนที่พยายามเบนใบหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงการสบสายตา แม้ปรารถนาจะเข่นฆ่าให้ตายคามือเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้ก็ไม่อาจทำได้ เพราะกลัวจะไม่สาสมกับความทุกข์ทรมานในจิตใจของอัคคเดชภูดินันท์

“ฮืออออ อะ...อย่า”

นี่ต่างหากถึงจะสาสม ทรมานเสียให้พอ พังยับเยินเสียให้พอ แม้อยากสิ้นลมหายใจสักเพียงไร หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็จะไม่มีแม้แต่ความสงสาร 


แม้แต่ความตายที่ร้องขอด้วยความต้องการ เขาก็จะไม่สนองให้...




เหลียวสบตากันคล้ายกำลังเกี่ยงหน้าที่ยามไม่กล้าตัดสินใจ ภาคภูมิตัดบทด้วยการฟุบใบหน้าลงกับพวงมาลัยเป็นเชิงบอกว่าตนขับรถมาทั้งคืน เหนื่อยมากและจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกเสียจากการนั่งอยู่ตรงตำแหน่งนี้ เป็นเหตุผลให้ฟากฟ้าหันไปหาคนที่จับจองเบาะหลัง แน่นอนว่าก้องเกียรติส่ายหน้ารัว ปฏิเสธว่าตนไม่มีทางเอาชีวิตไปเสี่ยง ยิ่งเป็นตอนพ่อเลี้ยงอารมณ์ร้ายด้วยแล้ว ใครกล้าเสนอหน้าและหัวตามเข้าไป มีแต่ตายกับตาย โง่ยิ่งกว่าไอ้โรเบิร์ตควายที่พวกตนเลี้ยงไว้เป็นน้องชายเสียอีก

ภาคภูมิ ก้องเกียรติและฟากฟ้า ได้รับความเอ็นดูจากแม่เลี้ยงใหญ่ แม้พวกตนจะเป็นเพียงลูกหลานของคนงานในไร่ ทว่าท่านกลับส่งเสียให้เรียนสูงถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง คว้าใบปริญญาจากรั้วม่วงขาวชื่อดังทางภาคเหนือ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งฝีมือภาคภูมิ เกียรตินิยมอันดับสองฝีมือฟากฟ้า ส่วนก้องเกียรติเกรดนิยมทั่วไปที่คนหน้าตาดีมักจะได้กัน และรู้กตัญญูด้วยการกลับมาช่วยพ่อเลี้ยงขุนพัฒนาไร่ตะวันให้เจริญรุ่งเรือง

เสียงดังจากการเลื่อนปิดประตูด้านข้างทำให้บรรยากาศในรถตู้โดยสารเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าปริปากเอ่ยพูดอะไรใดๆทั้งสิ้น เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของผู้เป็นนายไม่แสดงให้ชวนเอ่ยถามคำถาม ฟากฟ้าเลือกขึ้นไปนั่งด้านหน้าโดยไม่ต้องให้พ่อเลี้ยงเปลืองน้ำลายขยับปากออกคำสั่ง ส่วนภาคภูมิซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับสตาร์ทรถและออกตัวทันทีเช่นกัน ปล่อยสถานการณ์ผิดปกติดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหักเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางเข้าไร่

ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยภูเขาและที่โล่งกว้าง ทำการเกษตรตามฤดูกาล ปลูกพืชไร่สลับกับแปลงดอกไม้เพื่อความสวยงาม และนั่นเป็นแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยากลองปรับทัศนียภาพของไร่ให้ดูเป็นอะไรที่มากกว่านั้น

อากาศที่เชียงรายค่อนข้างดี มีหลายๆคนที่หลงใหลและอยากใช้ชีวิตอยู่แบบสบายๆ ไม่ต้องลงไปวิ่งวุ่นหัวหมุนหางานทำในเมืองหลวง อย่างน้อยลูกน้องคนสนิททั้งสามชีวิตก็คิดเช่นนั้น ปัจจุบันในตัวจังหวัดเริ่มมีห้างสรรพสินค้าผุดมาให้เดินเล่นบ้างแล้ว แต่นานๆทีพวกตนถึงจะพากันไปสักครั้งสักหน ส่วนมากพ่อเลี้ยงจะให้ขับรถพาแม่เลี้ยงใหญ่ไปทำธุระ ท่านก็จะใจดีให้เวลาวัยรุ่นได้เปิดหูเปิดตา ส่องสาวในเมือง(เชียงราย)เพราะกลัวว่าบ่าวจะเฉาตายกันเสียก่อน

ถนนลาดยางทอดยาวผ่านบ้านพักคนงานลึกเข้าไปเกือบกิโลเมตร ก็พบกับทางลูกรังที่ทำให้ตัวยานพาหนะสั่นสะเทือนกว่าปกติ หากตรงข้ามกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นรอบด้าน เพราะทุกอย่างเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้น้อยใหญ่ ทว่าเสียงกลั้นสะอื้นแผ่วเบาเรียกให้บรรยากาศดังกล่าวดูเศร้าหมองลงถนัดตา แม้ว่าช่วงเก้าโมงเช้าเช่นนี้ แสงแดดที่ส่องลอดกิ่งไม้ใบไม้ลงมาจะน่ามองกว่าช่วงเวลาอื่น

รถตู้ชะลอจอดเพราะถนนแคบลงไม่สามารถขับเข้าไปได้ ต้องอาศัยกำลังขาเดิน แต่จากตรงนี้จะสามารถมองเห็นเรือนเล็กขนาดกะทัดรัด ด้านหลังติดกับป่าทึบและภูเขาสูงลาดชัน เข้าไปอีกหน่อยจะมีลำธารไหลผ่าน สายน้ำเย็นกำลังดีไหลลงมาจากน้ำตกที่ห่างจากบริเวณนี้ไปไม่ไกล และทางออกมีทางเดียวคือถนนเส้นที่พวกตนเพิ่งขับผ่านมา ไร้สัญญาณโทรศัพท์ จะติดต่อต้องมาถึงที่เท่านั้น ขนาดในไร่เวลาจะโทรทียังต้องคอยเดินหาเพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าในบ้านจะมี พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ได้เพราะเครื่องปั่นไฟที่ภาคภูมิจัดหามาติดตั้งให้ แต่มันก็ไม่ได้สะดวกสบายแบบที่บ้านพักคนงาน

ฟากฟ้ารีบลงจากเบาะโดยสาร เลื่อนเปิดประตูด้านข้างให้พ่อเลี้ยงร่างสูงจับคุณหนูตัวขาวพาดบ่า แบกพาเข้าบ้านโดยไร้แรงต้านทานขัดขืน ก้องเกียรติชะโงกหน้ามาจากเบาะหลัง มองตามผู้เป็นนายที่กำลังใช้อวัยวะเบื้องล่างถีบบานประตูให้เปิดออกด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก

ตัวเล็กๆ ผอมๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์เปื้อนคราบน้ำตา เสื้อผ้าถูกกระชากจนขาดไม่เหลือชิ้นดี เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกหยามเกียรติหยามศักดิ์ศรี สีหน้าน่ารักยามที่ขยับริมฝีปากส่งเสียงเป็นลูกนกปรากฏแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวเกินกว่าจะบรรยาย แม้ฟันคมจะขบกัดกลีบเนื้ออ่อนไว้แน่นคล้ายจะอดกลั้นอดทน หากตัวแค่นั้นคงเคยแต่ถูกประคบประหงม เอาอกเอาใจ ไม่เคยต้องมาพบความโหดร้ายทารุณเช่นนี้...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:48:34 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๔.



ริมฝีปากอิ่มเอิบเคลือบลิปสติกสีเรื่อแย้มยิ้มจาง ดวงตาคลอหยาดน้ำใสเหตุเพราะความปลาบปลื้มยินดีตามประสาคนเป็นแม่ แววตาแสนรักใคร่เอ็นดูกราดมองร่างสูงโปร่งของทายาทเพียงคนเดียวอยู่ในชุดซึ่งเสริมความสง่างามไร้ที่ติ สูทสีขาวสำหรับช่วงเช้าขับผิวกายสุขภาพดีให้ยิ่งดูโดดเด่น ผมเผ้าถูกเซตเข้าทรงเผยโครงหน้าหล่อเหลาเหลือร้าย เล่นเอาช่างแต่งตัวแต่งหน้ามือสั่นเป็นแถวยามต้องใกล้ชิดเพื่อตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้าบ่าวรูปงาม แม้จะค่อนข้างแปลกใจเสียหน่อยกับท่าทางผ่อนคลาย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แทบจะฆ่าคนได้หากใครยืนขวางหูขวางตา ทว่าคุณหญิงไลลาก็ไม่อยากครุ่นคิดให้ปวดหัว อย่างน้อยงานวันนี้ก็น่าจะผ่านพ้นไปด้วยดี โดยที่ไม่ต้องคอยกำกับสีหน้าเจ้าลูกชาย

“พิธีรดน้ำสังข์จะมีขึ้นตอนเก้าโมงเก้านาที ลูกจะไปสายไม่ได้ เข้าใจไหม?”

เอ่ยย้ำกำหนดการอีกครั้ง ทั้งที่ควรมีขั้นตอนตักบาตรฟังพระสวดพุทธมนต์และถวายจตุปัจจัยไทยธรรมกันก่อนแท้ๆ แต่จำต้องตัดออกเพราะความร้ายกาจของนายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์ ที่กล่าวสั้นๆว่าไม่ต้องการทำบุญร่วมกับศัตรู

เกินกว่าจะเยียวยา!
น้องก็ไม่ยอมไปเจอ แล้วยังจะทำงามหน้าเพิ่มอีก!

“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าฝั่งนั้นจะมาไม้ไหน”

เลื่อนงานแต่งเข้ามาไวกว่าเดิม เชิญแขกเหรื่อผ่านสื่อประโคมเป็นข่าวใหญ่ รู้กันไปทั้งประเทศ วิ่งเต้นจะส่งลูกหลานมาให้จนเกินหน้าเกินตา จากที่จะจัดงานกันตอนปลายเดือนกลับเร็วขึ้นอีกหนึ่งอาทิตย์

แต่การที่ขุนเงียบแสดงว่าแผนสำเร็จลุล่วง ภัควัฒน์โยธินคงกำลังเป็นเดือดเป็นร้อนจนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ วิ่งวุ่นหาตัวทายาทที่หายไป ทว่าสถานการณ์กลับตาลปัตร จะติดต่อกับสายในนั้นก็ไม่ได้ เพราะถ้าตนเคลื่อนไหวจะกลายเป็นการส่อพิรุธ

หรือคิดจะเล่นตุกติก?

อย่านึกว่าตนจะหลับหูหลับตาเดินตามเกม ไม่หน้าแตกท่ามกลางแขกผู้ใหญ่และนักข่าวอีกมากมายก็เอามาสิ เจ้าสาวตัวปลอมน่ะ ให้มันรู้กันทั้งประเทศว่าพวกภัควัฒน์โยธินโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวง

“ลูกว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรครับ แม่ไปก่อนเถอะ ผมไม่หนีงานแต่งงานหรอกน่า”
“แม่เชื่อแกทุกอย่างโชต ยกเว้นเรื่องนี้”

คุณหญิงไลลาตอกกลับพลางจิกสายตาปรามาสกายสูงใหญ่ ทว่าคงไม่ระแคะระคายเท่าไหร่นัก เนื่องจากใบหน้าหล่อปนหวานยังฉายรอยยิ้มขี้เล่นคล้ายกลั่นแกล้งหยอกเย้ามารดาให้เดือดเนื้อร้อนใจ นัยน์ตาสีดำขลับทอดมองแผ่นหลังตั้งตรงของบุพการีลับหายไปจากบานประตูกว้าง มือหนาขยับจัดสูทที่สวมใส่ ก่อนจะก้าวเดินตรงไปยังระเบียงห้อง รับมวนบุหรี่จากลูกน้องคนสนิทที่ส่งให้อย่างรู้หน้าที่ กลุ่มควันสีหมอกลอยหายตามสายลมอ่อนยามเช้า อากาศแจ่มใสราวกับเป็นฤกษ์งามยามดีเสียจนน่าหงุดหงิดใจ

จมอยู่กับความคิดไม่นาน มุมปากอิ่มกลับกระตุกยิ้มหยันอย่างนึกสนุก อัดนิโคตินยี่ห้อโปรดเข้าปอดอีกหนึ่งครั้ง ก่อนเสียงทุ้มทรงอำนาจจะลั่นคำสั่งกับเหล่าบริวาร

“เตรียมรถเลยปฐพี ฉันอยากจะเห็นหมากบนกระดานวันนี้ใจจะขาด”
“ครับนายหัว”


รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ใจแทบขาดเป็นแน่...
เพราะแม้แต่คุณหญิงไลลาก็ตกหลุมรักภัควัฒน์โยธินคนโตไปแล้วตั้งแต่แรกพบ






สถานการณ์คล้ายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ และนั่นคือสิ่งที่ต้องการให้บุคคลภายนอกรับทราบ หากแต่ภายในกำลังเกิดความโกลาหลย่อมๆ ประมุขคนปัจจุบันยกฝ่ามือขึ้นนวดขมับพลางหลับตาลงตั้งสติ งานแต่งงานกำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทว่ายังมีเรื่องปวดหัวกวนใจ

“ผมลองติดต่อเพื่อนของคุณหนูพลิศในกรุงลอนดอน ทุกคนบอกเหมือนๆกันว่าไม่พบคุณหนูเลยตั้งแต่เจ้าตัวกลับมาประเทศไทย”

กวินทร์รายงานความคืบหน้าต่อผู้เป็นนาย เยื้องไปด้านหลังมีบดินทร์คอยยืนฟังด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เด็กตัวแค่นั้นทำไมยังหาไม่เจอ?! นี่มันผ่านมากี่วันแล้วกวินทร์!”
“ผมขอโทษครับ”

คนสนิทรีบก้มศีรษะให้ต่ำเมื่อถูกตวาดใส่ แม้ในอกจะร้อนเป็นไฟ คุณหนูคนเล็กหายตัวไปทั้งคน แต่นายท่านกลับออกคำสั่งให้ตามหาโดยตีกรอบขีดเส้นอยู่เพียงเท่านี้...

“เจ้าลูกไม่รักดี”

พิศาลกล่าวลอดไรฟัน ความชิงชังมากล้นเสียจนละเลยความห่วงใยเนื้อเลือดเชื้อไขของตัวเอง คิดแต่เพียงจะแก้แค้น ปรารถนาให้การจดทะเบียนสมรสกับอัคคเดชภูดินันท์เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ไม่รู้เลยว่าเพิ่งถูกศัตรูเล่นงานตลบหลัง ข้ามเขตรั้วบ้านมาหยามด้วยการจับทายาทคนเล็กไป หากแต่การหยิบผิดตัวกลับส่งผลให้เข้าใจเป็นอื่น จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดไว้รักษาความปลอดภัย กลับมีบางตัวที่เสียและไม่ได้ส่งซ่อม ทว่าดูภาพเคลื่อนไหวโดยรวมแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ นอกเสียจากเจ้าเด็กดื้อจะหนีออกจากรั้วภัควัฒน์โยธินไปเอง

ก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน!

อยู่ต่างประเทศก็มีแต่มิตรสหายดีๆทั้งนั้น ชวนเที่ยว ชวนผลาญเงิน สารพัดอย่าง ถ้าไม่มีเดย์อยู่ด้วยจะยิ่งรั้นเอาแต่ใจกว่านี้ คราวก่อนก็หนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาช็อปปิ้งกับกลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยถึงกรุงโตเกียว เดือดร้อนให้คนพี่วิ่งวุ่นตามหาเพราะกลับจากคลาสเรียน ป.โท มาแล้วไม่เจอคนน้อง มาโล่งใจก็ตอนติดต่อกันได้ ซึ่งหลานชายตัวเล็กไม่เคยชนะลูกอ้อนเจ้าเด็กน้อยตัวขาวได้เลยสักครั้ง เพียงแค่เอ่ยดุอย่างไม่จริงจัง ถ้าไม่ได้รับรายงานจากเมดที่จ้างไว้ดูแลบ้าน เจ้าเดย์ไม่มีทางเอ่ยปากบอกตนแน่นอน

รักน้อง ตามใจน้องเสียจนได้เรื่อง!

ตั้งแต่เกิดเจ้าไฮท์ไม่เคยอยู่ในกรุงเทพมหานครเกินสองสัปดาห์ ไม่เคยออกสื่อ ไม่เคยออกงานสังคมในนามลูกชายของพิศาลและรัมภา แน่นอนเช่นกันว่าไม่มีใครรู้จัก คนละกรณีกับพี่เพียงดาวที่มีข่าวหลุดเรื่องการตั้งครรภ์ ลงหน้าหนังสือพิมพ์ช่วงนั้นทุกฉบับ พวกผู้รับผลประโยชน์ร่วมธุรกิจต่างส่งของกำนัลและดอกไม้แสดงความยินดี เป็นเหตุผลให้พิศาลคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอัคคเดชภูดินันท์

“กวินทร์ เสร็จจากงานแต่งแล้วให้บินไปตามหาเจ้าไฮท์ที่อังกฤษ”

นึกที่ไหนไม่ออกนอกจากจะหนีกลับไปที่แห่งความทรงจำของเจ้าตัว เพราะเกิดที่นั่น โตที่นั่น อยู่กับรัมภาที่นั่น ถึงได้ผูกพัน แต่การที่จะมาดื้อดึงเอาเวลานี้มันน่าจับตีเสียให้เข็ดหลาบจริงๆ

“แล้วอย่าให้เรื่องถึงหูไอ้นายหัวรังสิมันตุ์เด็ดขาด ส่วนสายของมันก็จัดการเสียวันนี้”
“ครับนายท่าน”






ม่านตากลมกลอกมองตามการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตหนึ่งในสี่และเป็นประเภทที่ตนจัดไว้ในกลุ่มใจดีทุกๆฝีก้าว หลังจากนอนซมเพราะพิษไข้มาหลายวันและเหมือนจะไม่ได้เป็นมาหลายปี ก็เพิ่งได้ลุกขึ้นนั่งยืดเส้นยืดสาย เจ้าของชื่อภาคภูมิจัดเก็บพวกอาหารแห้งที่หาซื้อมาจากในตัวเมืองเข้าตู้เก็บให้เรียบร้อยก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มตัวขาวซึ่งกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนฟูกนอน ดวงหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีเลือดฝาดไม่เหมือนเมื่อสองวันก่อนที่ซีดเผือดจนน่าเป็นห่วง

“วันนี้ผมมีของมาฝากคุณหนูยุ่งด้วยครับ”

เหลียวซ้ายมองขวาดูลาดเลา ขยับก้าวเดินเข้ามาถึงข้างเตียงป้องปากกระซิบกระซาบเสียงเบา รีบปลดเป้ใบเก่าที่สะพายอยู่บนหลัง เปิดซิปพลางหยิบขนมขบเคี้ยวซองโตกับชาเขียวชนิดขวดออกมาวางบนที่นอนนุ่ม เรียกให้นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกาย กลีบปากสีแดงขยับส่งเสียงประหลาดด้วยความดีใจ น่าเอ็นดูเสียจนคนที่มองอยู่อดคลี่ยิ้มตามไม่ได้ ไม่รู้พ่อเลี้ยงเป็นหินแกรนิตหรืออย่างไร ถึงจับอีกฝ่ายมัดติดขาเตียงไว้เช่นนี้ได้ลงคอ

“แต่คุณหนูต้องกินข้าวและกินยาก่อนนะครับ ผมถึงจะให้กินขนม”
“อื้อๆ!”

พยักหน้ารัวจนเส้นผมฟุ้งกระจาย ภาคภูมิโล่งไปทั้งอกเมื่อตัวยุ่งของนายไม่ดื้อเหมือนหลายวันที่ผ่านมา รีบโผกลับไปหยิบปิ่นโตจากห้องครัวเล็กๆ เตรียมข้าวต้มฝีมือตัวเองให้คนป่วยทาน เพราะโดนบังคับให้กินอาหารที่พ่อเลี้ยงทำ อย่าว่าแต่คุณหนูตัวผอมไม่ยอมแตะ พวกบ่าวแบบตนยังไม่กล้าตักเข้าปาก นั่นไข่เจียวหรือว่าฆาตกรรมไข่ในกระทะ? ดำปี๋ไม่พอ รสชาติแย่มาก ถ้าเอาไปให้ไอ้โรเบิร์ตดู ควายมันยังรู้ว่าทานไม่ได้

“นี่ครับ ไม่ร้อนแล้ว ตักกินได้เลย”

ประคองภาชนะรูปทรงกระบอกส่งให้ ทรุดกายนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ มองเด็กหนุ่มตักข้าวต้มเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ คงจะรู้สึกหิวเพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ทำสงครามดื้อเงียบกับคนที่เรียกติดปากว่าคนป่า มุดกายอยู่ในผ้าห่ม ประท้วงไม่ยอมกินข้าวกินยา จนพ่อเลี้ยงโมโหจับตัวเล็กๆขึ้นมายัดข้าวยัดปลาให้กินกันตาย รุนแรงเสียจนหยาดน้ำไร้สีไหลอาบแก้มขาว สะอึกสะอื้นทั้งที่อาหารเต็มปาก เป็นฟากฟ้าที่ทนอยู่เฉยไม่ไหว เสี่ยงชีวิตอาสาว่าจะหาวิธีทำให้คุณหนูตัวยุ่งทานเอง และที่แอบซื้อขนมกับชาเขียวมา แม้จะไม่ใช่ชาเขียวนมอย่างที่เจ้าตัวชอบดื่มก็ตาม ถ้าคนเป็นนายรู้ พวกตนต้องถูกทำโทษให้ไปนอนในคอกหมูกันทั้งหมู่คณะเป็นแน่

“อร่อยไหมครับ?”
“อร่อยๆ~ อร่อยกว่าที่นายป้อเลี้ยงทำพันเท่า”

ภาคภูมิหลุดหัวเราะขำอย่างเข้าใจ เพราะใครทานอาหารที่พ่อเลี้ยงขุนทำได้ ก็ลิ้นจระเข้แล้วเต็มที แม้ตอนแรกอีกฝ่ายจะมีท่าทียี้ใส่กับข้าวบ้านๆ แต่พอโดนบังคับจับยัดใส่ปาก คงจะรู้ว่ารสชาติมันไม่ได้แย่อย่างที่คิด

“ส่วนขนมคุณหนูยุ่งต้องกินให้หมดเลยนะครับ ผมจะได้ทำลายหลักฐาน”

พูดพลางเอี้ยวตัวไปหยิบกระดาษทิชชู่มาส่งให้เด็กหนุ่ม ที่จริงเป็นของต้องห้ามในบ้านหลังนี้ แต่เพราะรู้ดีว่าคู่สนทนาถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ตอนแรกๆไม่ค่อยชินเสียเท่าไหร่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ปากเลอะต้องใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้าสะอาดเช็ดเท่านั้น ก็ถ้าเป็นพวกตนคงยกหลังมือขึ้นมาปาดออกเป็นอันจบเรื่อง

ภาคภูมิมีหน้าที่คอยแวะเวียนมาดูแลคนป่วยตามคำสั่ง เช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า พาเข้าห้องน้ำ ที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาเนื่องจากคุณหนูทำสีหน้ารังเกียจไม่ยอมใช้ เรียกร้องหาชักโครกทันสมัย ทว่าในเขตชนบทแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ยังต้องคอยเดินหาแบบนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก พอปวดเข้าจริงๆก็ต้องลดทิฐิลงยอมเข้าไปนั่ง แต่ก็ยังมีปัญหากับพวกจิ้งจกซึ่งเจ้าตัวกลัวเสียจนร้องลั่นคิดว่าเป็นสัตว์ประหลาด เดือดร้อนให้ก้องเกียรติต้องคอยจับไปปล่อยที่อื่น ทว่าพวกมันก็กลับเข้ามาอาศัยอยู่ที่เดิม กลายเป็นฝ่ายคุณหนูที่ต้องคอยหวาดระแวงเสียแทน

พวกเครื่องแต่งกายเป็นของพ่อเลี้ยงซึ่งมีแต่ไซส์ใหญ่ๆ เด็กหนุ่มตัวผอมจะใส่ได้เฉพาะเสื้อยืดและเสื้อเชิ้ตบางตัวกับกางเกงวอร์มที่ต้องเอ่ยปากหว่านล้อมเป็นชั่วโมงถึงจะยอมสวม ที่จริงเพราะโดนนายขู่ว่าถ้าไม่ใส่ก็นอนเปลือยให้พวกคนงานมาจับข่มขืน พูดซะเสียภาพพจน์บ่าวไพร่บริวาร ถึงหน้าตาจะหล่อสู้ดาราหนังไม่ได้แต่ก็ไม่มีใครใจร้ายใจดำเท่าพ่อเลี้ยงอีกแล้วในไร่นี้

“นายภาคเอาไอ้นี่ออกให้เราได้ไหม?”

เป็นประโยคแรกที่เรียวปากทรงกระจับเจื้อยแจ้วใส่ตนยาวกว่าปกติ ทว่ากลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำตามคำร้องขอได้ ก้านนิ้วเล็กกราดชี้ลงไปยังตำแหน่งข้อเท้าซ้าย ซึ่งแดงเถือกเป็นแผลถลอกเพราะเจ้าตัวคงพยายามแกะมันหลายต่อหลายครั้ง

“ผมขอโทษจริงๆครับ”

ใบหน้าอ่อนหวานหมองลงถนัดตา เงียบไปสักพักมือขาวก็ยื่นปิ่นโตกลับคืนมาให้ตนเป็นเชิงบอกว่าอิ่มแล้ว ภาคภูมิมองอาหารที่พร่องลงไปค่อนภาชนะพลางถอนหายใจ อย่างน้อยก็ทานได้เยอะกว่ามื้อที่ผ่านมา และรู้ดีว่ารบเร้ามากกว่านี้คงจะไม่มีประโยชน์จึงหันไปหยิบถุงขนมมาฉีกก่อนส่งมันให้คุณหนูผู้น่ารัก ลุกเอาปิ่นโตไปเก็บพร้อมกับจัดยาลดไข้มาให้ แม้ตัวไม่ร้อนแล้วแต่ก็ควรจะทานอีกสักเม็ดกันไข้กลับ

“นายภาค ไฮท์แปลว่ายุ่งเหรอ?”
“หือ? ครับ?”

เพราะสำเนียงมันค่อนข้างแปร่งหู เจ้าของร่างผอมเหมือนกันทว่าสูงโปร่งกว่าจึงเอ่ยถามย้ำอีกรอบ ภาคภูมิทิ้งกายนั่งลงตำแหน่งเดิม ยื่นเม็ดยากับน้ำเปล่าให้คู่สนทนา ซึ่งคุณหนูตัวยุ่งก็รับไปทานอย่างว่าง่าย ก่อนกลีบเนื้อนุ่มจะขยับส่งเสียงให้ต้องหลุดขำ เนื่องจากรอบนี้ฟังชัดถ้อยชัดคำกว่ารอบที่แล้ว

“ก็นายคนป่า นายภาค นายก้อง นายฟากเรียกเราว่ายุ่ง เราอยากรู้ว่าชื่อเราแปลว่ายุ่งเหรอ? หมายถึงที่นี่อ่ะ”

โดนพ่อเลี้ยงหลอกเข้าให้อย่างจัง และที่เรียกคุณหนูจากภัควัฒน์โยธินว่าคุณหนูยุ่งก็เพราะเรียกตามคนเป็นนาย ไม่มีเจตนาให้เจ้าตัวเข้าใจเป็นเช่นนั้น อาจเพราะเวลาอยู่กับฟากฟ้าและก้องเกียรติพวกตนใช้ภาษาเหนือในการสื่อสาร อีกฝ่ายเลยคิดว่าชื่อของตัวเองคงจะมาจากภาษาถิ่นของที่นี่

“ฮ่าๆ คืออย่างนี้ครับ...”

!!!

ทว่ายังไม่ทันอธิบายให้หายข้องใจ ประตูห้องกลับถูกเปิดออกด้วยฝีมือเจ้าของกายสูงใหญ่ คนตัวผอมบนเตียงผวามุดลงไปใต้ผ้านวมทั้งที่มือถือขนม ภาคภูมิผุดลุกขึ้นถอยกรูดหลีกทางให้คนที่หนีไปนอนในโกดังตั้งแต่คืนวานเนื่องจากติดงานเช็กสต็อกของที่นั่น แววคมเข้มกราดมองให้ต้องสะดุ้งสุดตัวยามเห็นขวดชาเขียวที่ยังไม่ถูกเปิดตั้งอยู่ข้างฟูกนอน


ซวยแล้วไง...

“ภาค”
“คะ...ครับ”

กระแสเสียงเยียบเย็นเสียจนคนสนิทตัวลีบตัวสั่น ภาคภูมิทำใจดีสู้เสือด้วยการระบายยิ้มแห้งๆให้ พลางค่อยๆขยับตัวไปยังทางออกทางเดียวของห้องสี่เหลี่ยมนี้

“จะทำอะไร! ปล่อยเรานะ!”

เสียงโวยวายดังลั่นเมื่อสิ่งป้องกันถูกกระชากออกด้วยมือหนา เชือกรัดข้อเท้าถูกตัดด้วยมีดพกให้ขาดจากขาเตียง ก่อนร่างบอบบางจะลอยหวือขึ้นเพราะโดนจับอุ้มพาดบ่า ดวงหน้าขาวจัดฉายแววตื่นตระหนก มือน้อยปล่อยถุงขนมซองโตให้ร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ แววเคลือบใสทอดขอความช่วยเหลือจากฝ่ายที่ยืนนิ่งแทบสิงผนังห้อง ทว่าภาคภูมิทำได้แค่มองตอบและเดินตามพ่อเลี้ยงของไร่โดยไร้ปากเสียงใดๆ

พอเดินออกจากตัวบ้านถึงได้เห็นฟากฟ้าและก้องเกียรติมากับนายด้วยเช่นกัน บ่าวทั้งสามสบสายตาคล้ายกำลังเกี่ยงหน้าที่อย่างเช่นปกติ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าพายเรือไปขวางสายน้ำเชี่ยวกราด กายสูงสง่าแบกคุณหนูตัวยุ่งไว้บนบ่ากว้าง เดินตรงไปทางน้ำตกซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ใกล้ไม่ไกล ฝั่งลูกน้องใจหายวาบ วิ่งขนาบข้างไปติดๆ ยามมาถึงที่หมายก็เกิดสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขึ้นทันที เมื่อพ่อเลี้ยงโยนร่างผอมบางที่แบกอยู่ลงไปในแอ่งน้ำ ต่อหน้าเหล่าบริวารทั้งสามชีวิต

“ชะ...ช่วยด้วย!”
“ป้อเลี้ยงครับ ผมว่าคุณหนูอาจจะว่ายน้ำไม่เป็น”

ก้องเกียรติโพล่งขึ้นเสียงดัง วิ่งย่ำอยู่กับที่อย่างคนทำอะไรไม่ถูก กลัวเด็กหนุ่มจากเมืองกรุงจะจมน้ำตาย แม้บริเวณดังกล่าวจะไม่ลึกมาก แต่คนว่ายน้ำไม่เป็นแถมยังเพิ่งฟื้นไข้ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ ทว่าเสี้ยวหน้าหล่อคมที่เรียบนิ่งเสียจนน่ากลัวกลับส่งผลให้ต้องหุบปากฉับพลัน

พลิศ ภัควัฒน์โยธิน พยายามตะเกียกตะกายเรียกร้องหาอากาศ เพราะว่ายน้ำไม่เป็นบวกความตกใจจึงยิ่งทำให้จมดิ่งลงเรื่อยๆราวกับมีใครมาฉุดรั้ง ชั่วขณะหนึ่งที่ภาพพี่ชายตัวเล็กผ่านเข้ามาในห้วงความคิด รอยยิ้มอ่อนโยน ดวงหน้าน่ารัก หากตอนนี้อยู่ด้วยกันตนจะกอดจะอ้อนจะขอนอนตักให้คนพี่เอ็นดูและคอยเอาใจ

ได้ยินเสียงคนกระโดดตามลงมาหลังจากดื่มน้ำตกไปหลายอึกและใกล้จะหมดแรงเฮือกสุดท้ายแล้วเต็มที ร่างขาวถูกช้อนขึ้นด้วยลำแขนแข็งแรง พอพ้นเหนือน้ำก็สำลักหน้าดำหน้าแดง หยาดน้ำใสรื้นคลอเต็มหน่วยด้วยความกลัว ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเป็นพัลวัน แต่เมื่อนัยน์ตาคู่สวยสบใบหน้าหล่อเหลาของคนร้ายกาจที่จับตนโยนลงมาในระยะห่างเพียงลมหายใจกั้น ฝ่ามือนิ่มก็ระบายความโกรธเคืองลงกับลาดไหล่เปลือยเปล่าทันที

“เห็นว่าสกปรกมาหลายวันเลยจะล้างให้”
“คนนิสัยไม่ดี!”
“จะด่าก็ด่าให้ชัดๆ อ่อ...ลืมไปว่าเป็นต่างด้าว”
“คนบ้า!”

ทั้งไอทั้งด่าทั้งสำลักไม่หยุดหย่อน มองสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา และยิ่งเห็นเรียวปากอิ่มเหยียดยิ้มสมน้ำหน้ายิ่งเจ็บใจ ระดมฝ่ามือฟาดไม่ยั้ง ก่อนจะถูกจับยกขึ้นไปนั่งบนโขดหินซึ่งด้านหลังเป็นธารน้ำตก

เจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งไม่ฟังเสียงตัดพ้อต่อว่า ช้อนแววคมขึ้นมองร่างที่เพิ่งจับวางไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่า กราดสายตาดูสภาพตัวเปียกมะล่อกมะแล่กพลางคว้าข้อเท้าขาวขึ้นมาทาบบนแผ่นอกกว้าง คุณหนูภัควัฒน์โยธินไม่ขัดขืนเพราะยังอยู่ในอารามตกใจ ใช้เวลาเกือบสองนาทีสำหรับการแกะเชือกที่ผูกมัดไว้ป้องกันการหลบหนีให้หลุดออก สบจ้องม่านกลมใสซึ่งกลอกกลิ้งไปมาคล้ายกำลังสับสนก่อนจะผละขึ้นฝั่งไปโดยไร้คำพูดจาถากถาง ปล่อยทายาทศัตรูไว้กับภาคภูมิ ซึ่งถือขวดแชมพู สบู่และผ้าเช็ดตัวเดินลุยน้ำมาหาอย่างรู้หน้าที่ ส่วนก้องเกียรติและฟากฟ้าสละข้าวของทุกอย่าง(ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของภาคภูมิ)โดดลงน้ำตั้งแต่เห็นผู้เป็นนายถอดเครื่องแต่งกายท่อนบนออกพร้อมกับกระโดดตามคุณหนูตัวขาวไป

จู่ๆก้อนเนื้อในอกซ้ายก็พลันสั่นไหวคล้ายทำงานหนัก พลิศเฉหลบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอดมองมาจากโขดหินอีกด้านพลางเม้มกลีบปากกลั้นสะอื้น นึกโมโหตัวเองที่อยู่ๆก็รู้สึกขลาดเขินกับรูปร่างสมส่วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามของคนป่า ความอุ่นที่ประทับแนบฝ่าเท้ายังไม่จางหาย แม้ตอนนี้ช่วงขาของตนจะจมอยู่ในสายน้ำเย็นยามเช้าตรู่ก็ตาม ทว่าเสียงสนทนาด้วยภาษาไม่คุ้นหูช่วยทำลายความคิดฟุ้งซ่านให้จบลง

“บ่าก้อง! บ่าฟาก! คิดลามกกับคุณหนูยุ่งก๊ะ? ไค่ต๋ายแหละ?”

ภาคภูมิรีบเอาผ้าเช็ดตัวคลุมให้กับร่างผอมเนื่องจากสังเกตเห็นเพื่อนชะงักค้างกันทั้งคู่ แล้วพอไล่ดูตามระดับสายตาก็พบว่าเสื้อที่คุณหนูสวมอยู่มันบางมาก ยิ่งตอนเปียกน้ำยิ่งแนบผิวเนื้อบริสุทธิ์จนมองทะลุผ่านไปถึงไหนต่อไหน

“เฮ้ย! ฮาบ่าได้ตั้งใจ๋ผ่อ มันเห็นคนเดียว”
“ฮาก็บ่าได้ตั้งใจ๋ภาค ฮาขอสุมาเต๊อะ”

ก้องเกียรติและฟากฟ้าก้มหัวผงกๆพร้อมยกมือไหว้ ส่งยิ้มแหยๆให้เด็กหนุ่มก่อนจะรีบดำลงไปใต้ผืนน้ำกลบเกลื่อน ไฮท์ทำหน้าเหรอหราด้วยเพราะฟังไม่รู้เรื่องและไม่รู้เดียงสา หันไปขอคำแปลจากคนด้านหลัง แต่ภาคภูมิกลับขว้างปาขวดแชมพูใส่เพื่อนตัวเอง ไม่คิดจะอธิบายอะไร

บรรยากาศกดดันจางหายเมื่อกายสูงใหญ่ของพ่อเลี้ยงขุนลับไปจากกรอบสายตา คงจะกลับบ้านพักแล้วเพราะช่วงสายมีงานต่อ ภาคภูมิช่วยบริการสระผมให้เจ้าของกายผอม แอบนึกค่อนขอดคนเป็นนาย จะพาคุณหนูมาอาบน้ำอาบท่าก็พามาดีๆก็ได้ ทำไมต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็ปากดีได้แค่ในความคิด เสียงก้องเกียรติกับฟากฟ้าดังจ้อกแจ้กจอแจเป็นเด็กๆเมื่อพยายามชวนฝ่ายที่นิ่งเงียบไปไม่ยอมพูดยอมจา ตั้งแต่จบคำถามที่ว่าน้ำมันสะอาดไหม

และก็ไม่อาจฝืนทำร่าเริงกันได้อีกต่อไป ยามริมฝีปากสีแดงสดขยับเอื้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาให้เงียบกริบกันทั้งกลุ่ม
จะไม่น่าสงสารเลยสักนิด
หากไม่ใช่คุณหนูตัวยุ่งที่ทุกคนหลงเอ็นดูไปแล้ว...หมดทั้งใจ


“ถ้าไฮท์แปลว่ายุ่ง...”
“ป้อเลี้ยงต้องแปลว่าใจร้ายแน่ๆ”



ภัควัฒน์โยธินคนเล็กได้แต่เรียกหาพี่ชายผ่านความอ่อนแอที่หลั่งไหล ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ เพราะกลัวจะหลุดพูดอะไรที่ทำให้เทวดาตัวน้อยของตนต้องเดือดร้อน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:52:10 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรียวขาเพรียวภายใต้กางเกงสแล็คสีดำขยับก้าวไปตามโถงทางเดินด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเต็มเปี่ยม แม้จะคอยย้ำเตือนตัวเองหลายต่อหลายครั้งถึงความเหมาะสม ทว่าส่วนลึกน้อยคนนักจะสามารถจัดการความยุ่งเหยิงเรื่องหัวใจ ทั้งจงรักภักดีทั้งเกลียดชังนามสกุลที่ต่อท้ายชื่อตั้งแต่ถูกเก็บมาเลี้ยง บดินทร์ ภัควัฒน์โยธิน ไม่มีคำว่า ‘หากเลือกได้’ เพราะตนมีทางเลือกเดียวและไม่อาจก้าวข้ามฐานะบ่าวรับใช้ หากไม่ใช่ตำแหน่งนี้คงไม่มีสิทธิ์ชิดใกล้ หรือแม้แต่เงาก็อาจจะไม่มีโอกาสได้มองเห็น

ชะลอหยุดตรงหน้าประตูบานกว้าง สูดลมหายใจพลางพรั่งพรูออกมาหวังเพื่อบรรเทาความผิดบาป ที่บังอาจคิดเอื้อมจับดอกฟ้า ทั้งที่รู้อยู่ตลอดว่าแค่ในความคิดก็ไม่คู่ควร ยืนนิ่งจมอยู่ในห้วงภวังค์ รักษาสภาพก้อนเนื้อเท่ากำปั้นที่มันไม่รู้จักรักดี ก่อนจะเลื่อนมือไปเคาะกรอบไม้สักทองสองสามทีเป็นเชิงขออนุญาต

ยามสบเข้ากับร่างเล็กของเทวดาผู้สูงศักดิ์บนเบาะนั่งในห้องแต่งตัวก็ไม่อาจควบคุมเสียงดังตึงตังที่กู่ก้องอย่างบ้าคลั่ง พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน ในชุดแต่งงาน งดงามเสียจนดวงตาพร่าเลือน หากแต่ในอกซ้ายกลับร้าวระบมเกินกว่าจะบรรยาย คล้ายมีหอกแหลมพุ่งแทงจากรอบทิศทาง ทว่าบนอาวุธสังหารนั้นเคลือบน้ำหวานดั่งน้ำผึ้งพระจันทร์ ยิ่งกลีบปากอิ่มวาดรอยยิ้มยิ่งไม่กล้าทัดทาน บริวารผู้ซื่อสัตย์ทรุดกายลงต่ำ สมกับเป็นก้อนดินยินยอมให้เหยียบย่ำอย่างเต็มใจขอแค่ฝ่าเท้าแสนบอบบางไม่เปื้อนโคลน รอคอยจนกระทั่งมือนุ่มเอื้อมมาแตะสัมผัสข้างแก้มสาก แม้อยากจะประกบฝ่ามือแนบตอบสักเพียงไร คนต่ำต้อยก็ทำได้แค่เอียงใบหน้าซบไปกับความเย็นเฉียบเพียงเท่านั้น

“เบียร์เราเป็นห่วงไฮท์”

ไม่มีสิ่งไหนที่คุณหนูคนโตจะคำนึงถึงนอกเสียจากน้องชายตัวเอง อย่างน้อยฝ่ามือที่กำลังชื้นเหงื่อก็พอจะทุเลาความหวาดหวั่นเล็กๆในความคิดของบดินทร์ เข้าข้างตัวเองเพื่อไม่ให้หัวใจเจ็บปวดทรมาน ภัควัฒน์โยธินคนพี่ไม่ได้สั่นเพราะกำลังตื่นเต้นกับการแต่งงาน แต่ฝ่ามือเยียบเย็นเนื่องจากเป็นห่วงภัควัฒน์โยธินคนน้องเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

“ผมรู้ครับ”
“เราไม่เชื่อหรอกว่าตัวดื้อจะหนีกลับอังกฤษ หรือถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็น่าจะหาทางติดต่อเราแล้ว แต่นี่มันผ่านมาหลายวัน เราไม่สบายใจเลย”

ดวงหน้าขาวใสฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้จักไฮท์ดีกว่าใคร แม้จะดื้อแค่ไหนก็ไม่เคยสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน น้องมักจะบอกทุกเรื่องกับตน สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ผิดหวัง สิ่งที่กำลังคิดอยู่ ถึงเจ้าตัวจะเคยพูดออกมาว่าจะหนีกลับคนเดียว แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่น้องเอ่ยประชดประชัน ไม่ใช่ถ้อยคำจริงจังอย่างที่คุณอาพิศาลเข้าใจ

“เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอาไปซักตัว เงินในบัญชีก็ไม่ถูกเบิกไปใช้ น้องจะไปอยู่กับใครเราคิดไม่ออกเลยจริงๆ”

กล่าวโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่มนุษย์สัมพันธ์แย่เหลือเกิน เพราะแทบไม่รู้จักกลุ่มเพื่อนสนิทของเจ้าตัวดื้อ พอเกิดเรื่องเลยถึงกับมืดแปดด้าน โทรถามไถ่ได้เฉพาะคนที่น้องเคยพามาแนะนำและบังเอิญได้จดหมายเลขติดต่อไว้กับสมุดบันทึก

“เราจะทำยังไงดีเบียร์”

น้ำเสียงนุ่มหวานนั้นทรมานร่างกายให้แทบแหลกสลายในพริบตา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาคู่หวานซึ่งสั่นระริกด้วยความห่วงใยน้องชายมากล้น บดินทร์คลี่ยิ้มจาง ก่อนจะเอ่ยปลอบคุณหนูคนโตให้หายกังวลใจ

“นายท่านออกคำสั่งให้พี่กวินทร์บินไปตามคุณหนูเล็กที่นู่นหลังเสร็จงานวันนี้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ อีกเดี๋ยวพิธีจะเริ่มแล้ว ทางอัคคเดชภูดินันท์ก็กำลังจะมาถึง...”

เสียงเคาะประตูชะงักบทสนทนาให้จบลงทันใดนั้น ภัควัฒน์โยธินคนโตดันกายขึ้นยืนเต็มความสูงยามเห็นบุคคลไม่รู้จักโค้งศีรษะทำความเคารพ ก่อนอีกฝ่ายจะเบี่ยงตัวเปิดทางให้...


เจ้าของกายสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวก้าวเข้ามา ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเดินกะทันหัน ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ปล่อยให้นัยน์ตาคมสีดำขลับเบนสบกับร่างบอบบางในชุดสีเดียวเช่นกัน...ร่างของคู่ชีวิต


นายหัวรังสิมันตุ์ยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกสาปเป็นรูปปั้น ม่านตากลมโตกลอกกลิ้งช้อนมองให้ภายในสั่นไหวหวาดหวั่นอย่างร้ายกาจ หมากบนกระดานไม่ได้มีแค่ ขุน เม็ด โคน ม้า เรือและตัวเบี้ย เพราะหากอัคคเดชภูดินันท์รุกฆาตฉันใด ภัควัฒน์โยธินก็คล้ายจะรุกฆาตฉันนั้น

แต่จะไม่มีคำว่าเสมอ


เด็กหนุ่มที่เคยถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ แม้หลับตาลงภาพผิวแก้มขึ้นสีเรื่อยังปรากฏให้เห็นเป็นบางคราว ทว่าครั้งนี้มายืนอยู่ต่อหน้าในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ และนั่นหมายถึงการประกาศตัวให้รับรู้ว่าคือศัตรูของอัคคเดชภูดินันท์

“ยินดีต้อนรับสู่รั้วภัควัฒน์โยธิน นายหัวรังสิมันตุ์”

เสียงทักทายของประมุขเจ้าบ้านทำลายความเงียบงันแต่ไม่อาจเรียกสายตาคู่คมให้ผละห่างจากกายเล็ก เดย์ยกมือไหว้แสดงความนอบน้อมเมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามหลุดจากปากของผู้ใหญ่ เพราะนับตามอายุแล้วตนอ่อนกว่าอีกฝ่ายอยู่หลายปี

“อ้าว เจอกันแล้วเหรอลูก ตาโชตมาทางนี้สิ”

เป็นคุณหญิงไลลาที่โผล่แทรกเข้ามากลางบรรยากาศแปลกประหลาด เพราะเพิ่งกลับจากการไปดูความเรียบร้อยหน้างาน เธอมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับว่าที่สะใภ้ตั้งแต่ร่วมโต๊ะอาหารค่ำด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน กวักมือเรียกทายาทตัวสูงซึ่งยืนขวางประตูไม่คิดจะขยับเข้ามาด้านใน และไม่บ่อยนักที่คนเป็นนายหัวจะเชื่อฟังคำสั่งเธอง่ายๆ โดยไม่ต้องให้เอ่ยเรียกซ้ำ

ฝ่ามือเล็กถูกจับวางบนฝ่ามือใหญ่ เมื่อความอุ่นโอบกระชับให้ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบมองใบหน้าหล่อปนหวาน ถูกจ้องเสียจนเผลอขบกัดกลีบปากไว้ด้วยความประหม่า กิริยาท่าทางที่แสดงออกช่างน่ารักน่ามอง สมกับเป็นคุณหนูของตระกูลผู้ดีเก่า...

   
ไม่รู้ว่าเสียงก้อนเนื้อในอกซ้ายของใครจะเต้นเร้ารุนแรงกว่ากัน
ระหว่างอัคคเดชภูดินันท์หรือภัควัฒน์โยธิน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2016 21:53:28 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๕.



ริมฝีปากทรงกระจับเบะออก เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นยามไม่ได้ดั่งใจ แม้ทายาทคนเล็กแห่งภัควัฒน์โยธินจะพยายามทำมันด้วยตัวเอง ไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย หากแต่ช่างยากเย็นไม่เหมือนกับตอนที่ภาคภูมิคอยช่วยเหลือ เชิ้ตตัวโคร่งของคนป่ามักสร้างปัญหาใหญ่ แค่ไซส์เกินตัวไม่สร้างความลำบากมากนัก ทว่าคุณหนูตัวยุ่งกำลังทำสงครามกับแขนเสื้อที่ยาวเลยเพื่อให้ข้อแขนของตนโผล่พ้นออกมา

“ถามจริง ทำอะไรเป็นบ้าง?”

สุ้มเสียงทุ้มเอกลักษณ์ของร่างสูงซึ่งยืนพิงผนังด้านหนึ่งเอ่ยกระแนะกระแหนเรียกให้กายผอมขยับหันหนีไปอีกทาง แถมยังทำปากขมุบขมิบคล้ายนินทาว่าร้าย คงอยากต่อปากต่อคำใจแทบขาดแต่ยังไม่กล้า ขุนยกถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือขึ้นจิบพลางทอดมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังบูดบึ้งอย่างเด็กเอาแต่ใจ พลิศ ภัควัฒน์โยธิน ไม่ได้เพิ่งจะมาแผลงฤทธิ์เดช ขนาดตอนป่วยยังก่อเรื่องวุ่นวายทั้งที่นอนซมอยู่บนฟูก พวกภาคภูมิ ฟากฟ้า ก้องเกียรติก็เห็นจะเอ็นดูกันเสียเหลือเกิน จุดประสงค์คือทำเพื่อนายหัวโชต ไม่ใช่ให้จับมาโอ๋หรือคอยแอบซื้อขนมมาให้

“สงสัยทำปากหายที่น้ำตก”
“นายภาคไปไหนอ่ะ นายภาค!”

ตะโกนเรียกหาคนที่ตู่เอาเองว่าสนิท หลังจากขี่หลังฟากฟ้ากลับมาเพราะไม่มีรองเท้าทุกคนก็สลายตัวแยกย้ายกันไป เหลือแต่พ่อเลี้ยงของไร่ที่ไม่รู้จักสวมเสื้อให้เรียบร้อย เปลือยท่อนบนโชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยเดินร่อนไปร่อนมาภายในบ้าน ลำบากเด็กน้อยต้องคอยหลบเลี่ยงสายตา ควบคุมเสียงดังตึงตังในช่วงอกให้เป็นปกติ

“มานี่”

วางถ้วยกาแฟลงบนตู้เก็บเอกสารใกล้ๆ เรียวขายาวภายใต้กางเกงบลูยีนส์ขยับพากายมาทรุดนั่งบนเตียง พร้อมเอ่ยเรียกคุณหนูตัวขาวซึ่งยึดเอาซอกโต๊ะทำงานเป็นโล่กำบัง พุ่งไปซุกตัวอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เข้าไปสวมเสื้อผ้าในห้องน้ำและจำต้องรีบออกมาเนื่องจากบรรยากาศด้านในไม่น่าพิสมัย พวกจิ้งจกสองสามชีวิตคอยทำให้เจ้าตัวผวา หยาดน้ำใสชุ่มกระบอกตาหวานเพราะกลัวมากเสียจนร้องไห้

“จะเดินมาเองดีๆ หรือจะให้ฉันไปลากมา”
“.....”
“หนึ่ง สอง...”
“คนป่า! คนนิสัยไม่ดี!”

แน่นอนตัวผอมๆผุดลุกขึ้นทันที เพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรต่อต้าน ทำปากยื่นปากอูมเดินกระแทกเท้ามาหาเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่ครานี้กระตุกยิ้มรออย่างเป็นต่อ ขุนคว้าจับข้อแขนขาวรั้งเอากายบอบบางมายืนตรงระหว่างขา มือหนาขยับช่วยพับแขนเสื้อให้ ทว่ายังไม่วายจิกกัดเด็กหนุ่ม

“ตระกูลผู้ดีเขาสอนคำด่าให้แค่นี้?”
“ยุ่ง!”
“อ้าว จำชื่อตัวเองได้แล้วนี่ พูดชัดถ้อยชัดคำ ฟังผ่านๆไม่รู้ว่าเป็นต่างด้าว”
“นายนั่นแหละคนป่า นายป้อเลี้ยงเป็นคนป่า! ไม่รู้จักชาเขียว ไม่รู้จักโลชั่น!”

หน้างอระดับสิบ ถ้าคนตรงหน้าคือ พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน คงเอื้อมมือมาบีบแก้มกลมป่องด้วยอากาศนั่นเสียให้หายหมั่นเขี้ยว แต่เพราะเป็นนายยามที่ชื่อป้อเลี้ยงและเป็นคนป่า นอกจากนัยน์ตาคมเข้มที่จับจ้องราวกับจะหาเรื่องตลอดเวลา ก็มีแต่เพียงสีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆ

“รู้จักโลชั่นไหม? ที่เขาเอาไว้ทาเพิ่มความชุ่มชื่นอ่ะ”

เผลอเจื้อยแจ้วใส่อย่างลืมตัว เรียกร้องจะเอาเครื่องประทินผิวที่มักใช้จนติดเป็นนิสัย เพราะในบ้านหลังนี้นอกจาก สบู่ แชมพู ยาสีฟัน แป้งทาตัว แล้วก็ไม่มีอะไรอีก แต่แทนที่จะได้คำตอบหรือคำอธิบายว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก กลับถูกอ้อมแขนแกร่งโอบกระชับรอบช่วงเอวคอดกะทันหัน ส่งผลให้กายผอมลอยลิ่วเข้าไปปะทะแผงอกกำยำไม่ทันได้ตั้งตัว

“ปล่อยเรานะ เราไม่อยากอยู่ใกล้นาย”

กลายเป็นว่าเด็กหนุ่มต้องนั่งคร่อมตักแกร่งเพียงแค่ลำแขนสีแทนขยับยก เกิดการต่อสู้ขัดขืนทว่าคนที่มีพละกำลังน้อยกว่าเป็นฝ่ายแพ้พ่ายไป มือบางดันลาดไหล่กว้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าหวังพากายให้หลุดพ้นพันธนาการแข็งแรงดั่งเหล็กกล้า ม่านตากลมวูบไหวอย่างหวาดหวั่นเนื่องจากความใกล้ชิดเกินพอดี ยิ่งดวงตาคมสบจ้องราวกับมองทะลุร่างกายได้ยิ่งดิ้นรนออกห่าง

“มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว หรือจะต้องให้ทบทวนความจำ?”

ถ้อยคำหยาบโลนบวกกับแววเย้ยหยันบนใบหน้าหล่อเหลานำเรื่องราวเลวร้ายในวันวานหวนคืน ภาพของการถูกหยามเกียรติผุดขึ้นพาขอบตาร้อนผ่าวอย่างง่ายดาย ไฮท์เริ่มระดมทุบตีคนที่รังแกตนได้แม้กระทั่งในสถานที่แบบนั้นระบายความขุ่นเคือง

“เรารังเกียจนายจะแย่อยู่แล้ว!”
“ดีเลย รังเกียจฉันให้มากๆ แล้วอย่าลืมรังเกียจตัวเองด้วยนะ อย่างน้อยมันก็เต็มไปด้วยอะไรที่คนต่ำๆฝากเอาไว้”

!!

ผิวแก้มสากแสบร้อนนิดหน่อยเนื่องจากฝ่ามือเล็กฟาดผ่าน กายบางหอบจนตัวโยนด้วยความโกรธ เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยพบเจอคนหยาบคายหยาบกระด้างเช่นนี้ หากไม่ทันได้สะบัดกายหนีกลับถูกรั้งท้ายทอยลงมารับโทษทัณฑ์

“อื้อ! ฮื่อ~”

ครางประท้วงด้วยความตกใจยามริมฝีปากอิ่มกดย้ำบดคลึงบนกลีบเนื้อนุ่ม ไฮท์ผลักแผ่นอกอุ่นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ไม่อาจต้านทาน ปลายคางถูกล็อกด้วยฝ่ามือหนาไม่ให้หลบหลีก อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟทันทียามปลายลิ้นสอดแทรกรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากหวาน เกี่ยวกระหวัดสอดพันสั่งสอนอย่างรุนแรงจาบจ้วง

กายผอมถูกจับพลิกลงฟูกนอนนุ่มง่ายดายทั้งที่จุมพิตปลิดชีวิตยังไม่ผละห่าง ร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นคร่อมทับกักขัง เบียดร่างขาวจัดแนบชิดเสียจนแทบจมหายไปกับตั่งเตียง ด้วยความไม่ประสาเด็กหนุ่มจึงพยายามหลบเลี่ยงความอุ่นชื้นที่ไล่ล่าตามต้อนไปทุกหนแห่ง ไม่รู้เลยสักนิดว่ายิ่งหนีก็ยิ่งท้าทาย ยิ่งเร่งความอยากเอาชนะจากเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง

ดูดกลืนกลีบปากสีแดงสดให้ยิ่งบวมช้ำบวมเจ่อ จับประคองดวงหน้าน่ารักปรับองศาให้รับจูบ ซึ่งเด็กเมื่อวานซืนอย่างภัควัฒน์โยธินคนน้องไม่อาจตามทัน มือเรียวคว้าสะเปะสะปะกระทั่งยึดแผ่นหลังกว้าง ทุบตีร้องขอลมหายใจ



“ป้อเลี้ยงครับ ของในโกดังให้ผมกับฟากเอาไปส่งที่ตลาด...เฮ้ย!”

ก้องเกียรติที่ทะเล่อทะล่าขึ้นเรือนมาก่อนเผลอร้องขัดจังหวะ รีบกระโจนไปปิดตาฟากฟ้าซึ่งเดินตามมาพลางลากพากันไปหลบหลังบานประตู ทำตาโตเท่าไข่ห่านมองหน้ากันอยู่ด้านนอก ขุนผละออกจากเด็กหนุ่มตัวผอม หลับตาลงสงบอารมณ์เพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งลูกน้องคนสนิท

“เดี๋ยวฉันตามไป”

พูดจบก็หันกลับมาสบมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ของคนใต้อาณัติ หยาดน้ำใสคลอหน่วย นัยน์ตาคู่สวยสั่นวูบกลอกมองตอบในระยะแค่ปลายจมูกโด่งแตะสัมผัสกันและกัน หน้าอกบางกระเพิ่มขึ้นลง หอบหายใจถี่รวนเนื่องจากปอดขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน แต่คงไม่เท่าก้อนเนื้อข้างในที่สั่นสะท้านราวกับใกล้จะระเบิดแล้วเต็มที


หรือหมากกระดานนี้ภัควัฒน์โยธินจะเป็นฝ่ายพ่ายก็มิอาจล่วงรู้






“ผมไปตรวจสอบประวัติมาแล้วครับนายหัว คุณหนูพลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน ตัวจริงแน่นอนครับ”

สิ่งที่ลูกน้องคนสนิทรายงานไม่ต่างจากที่คาดเดาไว้ เพราะเท่าที่สังเกตจากพวกแขกเหรื่อในงานซึ่งเป็นพันธมิตรกับทางฝั่งนั้นก็พอจะชี้ชัดว่าไม่ใช่ตัวปลอม รวมถึงดวงหน้าอ่อนหวานที่ค่อนคล้ายไปทางคุณหญิงเพียงดาวจนไม่อาจปฏิเสธ

“คุณหนูเพิ่งจบปริญญาโทด้านบริหาร เคยมีประสบการณ์ทำงานธนาคารประมาณปีกว่าด้วยครับ แต่เหมือนนายท่านพิศาลจะหวงหลานมาก คุณหนูเลยต้องออกจากงานมาเรียนต่อ”

ไม่ใช่เฉพาะกิริยามารยาท การวางตัว ทว่ากลับเพียบพร้อม สง่างาม สูงส่ง แม้แต่รอยยิ้มที่วาดขึ้นด้วยกลีบปากรูปหัวใจนั่น ไม่ได้ทำลายล้างทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง ในทางตรงกันข้ามมันกลับสร้างแสงสว่างให้โลกทั้งใบ ตัวเล็กนิดเดียวแต่สามารถสะกดทุกสายตาให้จับจ้องเพียงแค่ขยับเอ่ยสุ้มเสียงแว่วหวาน ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับสิบนับร้อยก็ยังโดดเด่น

ตอบคำถามสื่อตอนถูกรุมสัมภาษณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะมีท่าทางเคอะเขินเนื่องจากไม่คุ้นเคย หากแต่ก็พยายามปรับตัว โชตยอมรับว่าพิธีการต่างๆผ่านพ้นไปด้วยดี สาเหตุหนึ่งมาจากเจ้าสาวตัวน้อยที่คอยแย้มยิ้มคล้ายกับให้กำลังใจ เหมือนรู้ว่าเราสองเกี่ยวดองกันเพราะผู้ใหญ่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

“หรือขุนจะทำงานพลาด?”

เอ่ยพลางขยับมือหนาจัดสูทตัวนอกสำหรับงานเลี้ยงช่วงกลางคืนให้เข้าที่ นัยน์ตาสีนิลทอดมองเงาของตนเองที่สะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำของโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางเมืองกรุง ซึ่งคุณหญิงไลลาเหมาทั้งชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่จัดงาน

“ให้ผมติดต่อคุณขุนไหมครับนายหัว”
“อย่าเพิ่งทำอะไรปฐพี”

หากภัควัฒน์โยธินอยู่เบื้องหลังจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะถ้าถูกจับระหว่างลงมือจริง อย่างน้อยทางเชียงรายน่าจะโทรมาถามไถ่ข่าวคราว ต้องร้อนใจตามหาพ่อเลี้ยงของไร่แล้ว แต่การที่แม่อัมพรเงียบแสดงว่าขุนปลอดภัยและยังติดต่อมารดาของตนเอง มีความเป็นไปได้ว่าเพราะทำไม่สำเร็จจึงจำต้องหลบหนีไปก่อน ต่างฝ่ายต่างเงียบ ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อไม่ให้พวกศัตรูรู้ความเกี่ยวข้องกัน

เนื่องจาก พิศาล ภัควัฒน์โยธิน ไม่ใช่คนที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ แม้ขุนเก่งกาจแค่ไหน ทว่าก็ยังมีโอกาสเสี่ยงสูง ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงจะต้องเดินตามเกมของฝั่งนั้นไปก่อน แน่นอนว่าไม่นาน แค่ให้ผ่านช่วงการจดทะเบียนสมรสไป

“ไอ้พิศาลยังทำตัวปกติ คงไม่มีอะไรน่าห่วง”

ฝ่ายศัตรูเองก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองในเชิงหยามเหยียด เพราะถ้ารู้ว่าตนส่งคนไปบุกถึงเรือนก็น่าจะมีคำพูดจาส่อเสียดให้ได้ยินบ้างแล้ว แต่นี่กลับไม่มีเลยสักประโยคเดียว ทำหน้าชื่นตาบานเดินทักทายแขกทั่วงาน แถมยังเอ่ยฝากฝังทายาทตัวเล็กไว้กับเขาเสียดิบดี

“คุณหนูน่ารักดีนะครับ นายหัวเองก็ถูกใจ...”
“จะน่ารักแค่ไหนก็เป็นศัตรู”

บ่าวคนสนิทรีบโค้งศีรษะลงเมื่อเผลอแสดงความคิดเห็นขัดผู้เป็นนาย แม้สิ่งที่เอ่ยออกไปจะไม่มีตรงไหนที่น่าคัดค้านเลยก็ตาม เวลาจ้องดวงหน้าขาวใสของคุณหนูภัควัฒน์โยธินเหมือนแทบจะกลืนกินลูกเต้าเขาไปทั้งตัว เพราะรับใช้นายหัวมานานหลายปี จึงพอรู้ใจบ้างยามที่ท่านชอบพอหรือต้องตาใคร

เรียวขายาวก้าวเรื่อยผ่านประตูห้องน้ำโดยมีปฐพีเดินตามอยู่ด้านหลัง โถงทางเดินโอ่อ่าสมกับเป็นโรงแรมเลื่องชื่อระดับประเทศ ผนังจัดตกแต่งด้วยรูปวาดราคาแพงจากศิลปินชื่อดัง พื้นปูด้วยพรมทอเรียบสีเบจกระทั่งถึงบริเวณจัดงาน สายตาคมทอดมองร่างบอบบางซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ที่ตนเอ่ยปากบอกให้รอเพราะต้องการผละไปทำธุระส่วนตัว กรอบใบหน้าน่ารักดูอิดโรยเล็กน้อยคงเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ข้าวปลามื้อแรกก็เพิ่งจะได้ทานกันเกือบค่อนบ่าย แล้วยังต้องมาเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงตอนค่ำอีก

มือเล็กที่นายหัวรูปหล่อจับประคองตลอดหลายชั่วโมงวางนิ่งบนตัก แผ่ออร่าความสง่างามได้แม้กระทั่งนั่งอยู่เฉยๆ ยามชะเง้อหรือเบนม่านตากลมใสไปทิศทางใดก็น่ามองน่าจดจ้องเสียทุกท่วงท่า ช่างเกิดมาสมบูรณ์แบบแทบไม่มีส่วนไหนให้ติติง ถ้าจะหาข้อผิดก็คงผิดที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของศัตรู

“พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน อย่างนั้นหรือ...”

รอยยิ้มร้ายเหยียดขึ้นบนริมฝีปาก สุ้มเสียงทุ้มต่ำลอยดัง อัคคเดชภูดินันท์เปลี่ยนแผนเดินหมากบนกระดานใหม่ เป้าหมายหลักคือการล้มตัวขุนอย่างไอ้พิศาล ทว่าคงไม่สนุกนักหากเอาแต่มุ่งไปจุดนั้น ค่อยๆกินตัวเบี้ย ตัวโคน ตัวเรือ ตัวม้า จนหมดกระดาน ปล่อยประมุขของบ้านมองลูกหลานมันล่มไม่เป็นท่าไปทีละคน กระทั่งเหลือตัวคนเดียว โดดเดี่ยวกลางสนามรบ...คงสะใจพิลึก

“หึ เริ่มจากลบชื่อนามสกุลนี้ก่อนดีไหม?”


อย่ามาหาว่าพี่ใจร้ายกับน้องเลย





มือบางสอดประสานจับกันไว้มั่น ดวงตากลมจับโฟกัสบนพื้นพรมของห้องหอซึ่งเป็นลำดับพิธีการสุดท้ายของงานแต่งงานในวันนี้ หลังจากถูกเจ้าบ่าวตัวสูงจูงมือเข้ามาแล้วปล่อยตนให้ยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องจนช่วงเวลาผ่านพ้นไปชั่วครู่ใหญ่

ระหว่างการเดินทางแทบไม่มีการสนทนา ต่างฝ่ายต่างทำราวกับว่าท้องถนนน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ นายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์ที่ปกติมีบ่าวรับใช้คอยขับรถให้นั่งโดยสาร ทว่าครานี้ต้องทำหน้าที่ขับพาคู่แต่งงานกลับคฤหาสน์ของตระกูล แต่ก็ยังมีพวกบอดี้การ์ดขับตามประกบอยู่ห่างๆ เสียงหัวใจเต้นรัวเสียจนน่ากลัวยามถูกจับจ้องด้วยม่านตาคมกริบคู่นั้น บางจังหวะเดย์ก็ไม่กล้าพอที่จะจ้องกลับด้วยไม่อาจตีความหมายบนประกายสีนิล แข็งกร้าวดุดันในบางที ไหวระยับหวานล้ำให้สั่นสะท้านไปทั้งทรวงในบางครั้ง ยิ่งรอยยิ้มวาดบนริมฝีปากได้รูป สุ้มเสียงแหบทุ้มกระซิบถามว่าเหนื่อยไหม ยิ่งเร่งผิวเนื้อบริเวณข้างแก้มให้ร้อนฉ่า

ผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อระงับความกังวลปนตื่นเต้น แม้ยังนึกห่วงน้องชายคนเล็กทว่าภัควัฒน์โยธินคนโตมีเรื่องให้ต้องหาทางแก้ปัญหา เสื้อผ้าบางส่วนถูกส่งมาเก็บไว้ที่นี่ตั้งแต่เย็นวาน อัคคเดชภูดินันท์จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยหลักของตน และคงจะได้กลับบ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่อย่างน้อยระยะทางก็ยังใกล้กว่าประเทศอังกฤษ

เสียงเปิดประตูเรียกเจ้าของกายเล็กให้หันไปยังทิศทางดังกล่าว เดย์กำลังจะเอ่ยปากขอห้องพักส่วนตัว เพราะถ้าพูดกันตามจริงเขายังไม่พร้อม หมายถึงการนอนกับคนที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกและคุยกันแทบนับคำได้ หากสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ข้อความที่คิดไว้กลืนหายลงไปในลำคอ

รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ เขาฟังชื่อนี้ผ่านคุณอาพิศาล และทราบเพียงแต่ว่าเป็นบุคคลที่ตนต้องแต่งงานด้วยตามพินัยกรรม จำได้แค่ลางๆว่าคือตระกูลคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นพันธมิตรต่อกันน่าจะดีกว่าการเป็นปรปักษ์ ทว่าเดย์เพิ่งรับรู้ว่าตนเองนั้นช่างอ่อนหัด เกือบเอาตัวไม่รอดมาแล้วหนึ่งครั้งในห้องลองเสื้อ แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นเศษเสี้ยวของความอันตรายจากนายหัวผู้ทรงอำนาจ...

“น้องจะนอนตรงไหนก็ได้ในห้องนี้”

ใบหน้าหล่อร้ายโน้มลงมาใกล้แทบชิดผิวแก้มหอมกรุ่น เรียวปากหยักกระตุกยิ้มเยาะเรียกความสั่นคลอนในดวงตาคู่งาม อ้อมแขนแกร่งโอบกระชับร่างอรชรในชุดนอนซึ่งบางเสียจนเผยก้อนเนื้อสาวหนั่นแน่นเปล่งปลั่งล้นทะลักและมันหลุดลุ่ยไปบางส่วนเนื่องจากการนัวเนีย

กลอกม่านกลมสบมองลูกแก้วสีนิลที่ฉายแววเย้ยหยันอย่างเป็นต่อ ทายาทแห่งภัควัฒน์โยธินขยับถอยห่างคล้ายจะตั้งหลัก ยืนนิ่งดูภาพสามีหมาดๆกำลังก้มลงแลกจุมพิตแสนเร่าร้อนกับคู่ขาคนสวย ทว่าสายตากลับจ้องตามตนเสียทุกความเคลื่อนไหว


ไม่มีคำว่าให้เกียรติ ไม่มีการรักษาน้ำใจ


ริมฝีปากหนาเปื้อนคราบลิปสติกสีสดเพราะเพิ่งกอบโกยเอาจากนางแบบสาวภายใต้วงแขนกำยำออกคำสั่งด้วยการกระซิบ ทาสบำเรอแสดงอาการออดอ้อนเล็กน้อยแต่พอเห็นเรียวคิ้วเข้มขมวดยุ่งราวกับรำคาญ เธอก็ยอมเยื้องย่างตรงไปนั่งรอบนตั่งเตียงหลังกว้างภายใน

นายหัวใหญ่แห่งอัคคเดชภูดินันท์รั้งปมเนคไทให้คลายออกอย่างลวกๆพลางสาวปลายเท้าเข้าเผชิญหน้ากับศัตรูในคราบของภรรยา ท่าทางสง่าสมศักดิ์ศรี แม้ดวงหน้าอ่อนหวานจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก กลับเป็นตัวเร่งให้ตนอยากทำลายล้างความโอหังที่มันค้ำคอพวกภัควัฒน์โยธิน ให้ยอมสยบลงแทบเท้าเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้

“หรือว่าน้องอยากจะนอนกับพี่...บนเตียง”



!!

แผ่นหลังแคบเอนแนบบานประตูไม้สักทองที่เพิ่งจะปิดมันด้วยตัวเอง ปิดกั้นการมองเห็น ปิดกั้นทุกๆอย่าง แล้วพยายามตั้งสติ สารพัดเหตุและผลที่หยิบยกขึ้นมาลบล้าง เพราะไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก ไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอ แต่มันออกจากเลวร้ายไปเสียหน่อยที่ต้องมาพบเจออะไรแบบนี้

“เอ่อ...พอจะมีห้องว่างให้ผมซักห้องไหมครับ?”

ส่งยิ้มแห้งๆให้กับบุคคลที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้องของผู้เป็นนาย อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย อาจเป็นเพราะจู่ๆตนก็โผล่พรวดออกมา เลือกจะหนีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดเดาว่าจะเกิดขึ้นทั้งที่เพิ่งจบพิธีแต่งงานยังไม่ถึงชั่วโมง

“คือผมอยากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยครับ รบกวนคุณช่วยเป็นธุระได้ไหม”

ม่านตากลมโตงดงามเสียจนคู่สนทนาไม่กล้าสบจ้องตรงๆ ชายหนุ่มร่างสูงก้มศีรษะลงต่ำแสดงความนอบน้อม แอบชื่นชอบชื่นชมคุณหนูตัวเล็กอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเห็นกับตาว่านายหัวเพิ่งโอบประคองนางแบบสาวเข้าไปด้านใน ทว่าอีกฝ่ายยังนิ่งสงบเย็นเป็นน้ำได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงโวยวายไม่พอใจ ถ้าเป็นคู่ขาคนอื่นๆคงได้อาละวาดจนเรือนสั่น แต่ก็คงจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะคนตรงหน้าดูสูงศักดิ์กว่าคนพวกนั้นหลายร้อยหลายพันเท่านัก

“เรียกปฐพีดีกว่าครับนายน้อง เชิญทางนี้ครับ”

ผายมือนำทางนายคนใหม่ไปยังห้องรับรองอีกด้าน เดย์ระบายยิ้มบางเพื่อขอบคุณ จิตใจว้าวุ่นจนไม่สะดุดถ้อยคำเรียกขาน เรียวขาเพรียวขยับก้าวตามชายหนุ่มร่างสูงไปติดๆ


ช่างเหมาะสมคู่ควรกับนายหัวรังสิมันตุ์
ตั้งแต่เข้ามารับใช้ตระกูลอัคคเดชภูดินันท์ ปฐพีเพิ่งจะมีความคิดเช่นนี้เป็นครั้งแรก






ลมหายใจขาดห้วง รู้สึกวูบโหวงทั้งช่วงอกคล้ายจะไม่สบาย นัยน์ตาคู่หวานฉายความมึนงงสับสนระคนตกใจให้ผู้ใหญ่ต้องเอื้อมมือมาจับประคองมือนุ่ม ถ่ายทอดความอบอุ่นให้รับรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง โซฟาฝั่งตรงข้ามมีบดินทร์นั่งมองอยู่อย่างเป็นห่วง

“พวกมันเป็นต้นเหตุให้ภัควัฒน์โยธินต้องสูญเสีย”

ข้อความที่ได้รับฟัง ไขความกระจ่างเรื่องการกระทำของนายหัวรังสิมันตุ์เมื่อคืนชัดเจนยิ่งขึ้น เดย์ตื่นแต่เช้ามืดเพราะไม่อาจข่มตาหลับ ก่อนจะตัดสินใจต่อสายเรียกเบียร์ให้ไปรับที่บ้านอัคคเดชภูดินันท์ พอมาถึง ตนก็รีบขอเข้าพบคุณอาพิศาลโดยทันที

ทว่าการรับรู้ความจริงไม่ใช่การสะกิดบาดแผลเก่า แต่มันคือการสร้างรอยร้าวขึ้นมาใหม่ เขาคิดมาตลอดว่าการตายของผู้เป็นที่รักเกิดจากอุบัติเหตุ เพราะอย่างนั้นเดย์จึงไม่ยอมให้น้องชายตัวขาวขับรถเพียงลำพัง ถ้าไม่มีตนไปด้วยก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด ถึงไฮท์จะใช้ลูกอ้อนร้อยแปดพันเก้าสารพัด เขาจะร้องขอน้องแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“มันไม่ได้ทำร้ายหลานใช่ไหม?”
“เปล่าครับ”

ปฏิเสธพลางส่ายหน้าเบาๆ เพราะเขาไม่ได้บาดเจ็บทางร่างกาย ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้าหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่ากิจการของครอบครัวต้องเกี่ยวพันกับเรื่องอันตราย และพ่อกับแม่รวมถึงคุณอาหญิงรัมภาต้องจากไปด้วยสาเหตุนี้

แค้นเคืองถึงขนาดต้องเข่นฆ่ากันเชียวหรือ? เรื่องระหว่างสองตระกูลหนักหนาสาหัสมากจนต้องชดใช้ด้วยชีวิต? นี่มันเรื่องอะไรกัน เดย์ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ แต่งงานทั้งที่ความชิงชังฝังขั้วหัวใจ เขาจะอยู่อย่างไรในรั้วอัคคเดชภูดินันท์

“ไอ้นายหัวนั่นมันเจ้าเล่ห์! ยืนยันจะให้หลานใช้นามสกุลของมัน ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมจดทะเบียนสมรส”

พิศาลระเบิดความกรุ่นโกรธออกมา เพราะถูกยื่นข้อเสนอเหยียบหน้า แม้ที่จริงตบแต่งกันแล้วจะใช้นามสกุลเดิมก็ได้ หากแต่คงไม่สะใจพวกต่ำช้า อ้างเรื่องข้อกฎหมายต่างๆนานา ทั้งที่ตนก็รู้อยู่แก่ใจว่าฝั่งตรงข้ามแค่ต้องการหยามเท่านั้น

สินสอดทองหมั้นจำนวนมหาศาลไม่ล่อใจเท่าลู่ทางในการแก้แค้น ทำฝั่งเราตายถึงสาม แต่จำนวนไม่สำคัญเท่ากับการฆ่าประมุขของภัควัฒน์โยธิน ถึงสวรรค์จะลงโทษพวกมันด้วยการพรากไอ้ตะวัน ทว่ายังน้อยไป พิศาลเคยสาปแช่งให้ถูกลอบยิงตายกันทั้งตระกูล ทำไมต้องเหลือไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นให้อยู่ขัดหูขัดตา

สุดท้ายเลื่อนการจดทะเบียนสมรสมาหลังวันแต่งเนื่องจากตกลงกันไม่ได้ เวลานี้คงต้องเป็นฝ่ายยอมความไปก่อน พลัฏฐ์จะต้องเปลี่ยนนามสกุลต่อท้ายชื่อ จนกว่าวันที่อัคคเดชภูดินันท์พังย่อยยับมาถึง จะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับทายาทของพี่พิพัฒน์และพี่เพียงดาว

“เดย์ฟังอา หลานต้องทำให้พวกมันทรมานเจียนตาย แก้แค้นให้สาสมกับที่มันทำกับพวกเรา หลานต้องทำ มีแต่หลานเพียงคนเดียวที่ทำได้”

บอกเล่าความจริงอย่างหมดเปลือก เพราะอีกฝ่ายเป็นเหมือนที่พึ่งพาสุดท้ายของตระกูล พลัฏฐ์คือความหวังและแสงสว่างเดียวที่พี่ชายของตนมอบให้ รอยแผลเหวอะหวะกรีดลึกในหัวใจใกล้ถึงฤกษ์ชำระความ

“คุณอาครับ...”

ประกายตาหวานสั่นสะท้าน ฝ่ามือชื้นเหงื่อทว่าเยียบเย็นเผลอกำแน่น แม้จะไม่เด็กจนไม่รู้เดียงสา ทว่าเรื่องราวมันหนักหนาเกินกว่าจะตั้งรับทัน ยิ่งเป็นเรื่องบิดามารดายิ่งอ่อนไหวหวาดหวั่นกว่าปกติ

“หลานอย่าใจอ่อน อารอคอยให้ถึงวันนี้มานานเหลือเกิน ตั้งแต่พี่พิพัฒน์ตาย อาไม่เคยมีความสุขเลย”

โอนถ่ายความเจ็บปวดผ่านดวงตา ทว่าเดย์กลับไม่กล้ารับมันเอาไว้ ผุดกายขึ้นยืนเต็มความสูง สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือเวลา เวลาสำหรับทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นและกำลังจะเป็นไป

“ผมขออยู่คนเดียวสักพักนะครับ”

ชายหนุ่มบนโซฟาอีกด้านได้แต่มองแผ่นหลังแคบของเทวดาตัวน้อยลับหายไปจากบานประตู ไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำปลอบโยน ไม่อาจโอบกอดไว้ด้วยสองแขน ทำได้แต่เพียงนั่งนิ่งแล้วจับจ้องผู้เป็นดั่งดวงใจจากที่ของตัวเองเพียงเท่านั้น





ภายในห้องนอนชั้นสองทางเรือนฝั่งขวา ภัควัฒน์โยธินคนพี่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงหลังกว้าง ไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างอันแสนบอบบางไปทางใด มือเล็กถือรูปถ่ายรูปสุดท้ายที่ตนมีโอกาสได้ถ่ายร่วมกับผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ๑๓ ปีแล้วที่ไม่มีท่านอยู่เคียงข้าง และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เขาไม่เคยเหงาเพราะคิดอยู่เสมอว่าเก็บท่านไว้ในหัวใจ

น้องชายตัวผอมคือเหตุผลที่ทำให้เขามีรอยยิ้ม เพราะน้องน่าชัง ขี้อ้อน ช่างเจรจา เดย์จึงไม่รู้สึกอ้างว้าง ไฮท์เองก็ต้องเสียแม่ไปเหมือนกัน เราสองคนจึงค่อนข้างสนิทสนม เข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน เขามักจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าน้อง เพราะถ้าเขาอ่อนแอน้องก็จะงอแงตาม ซึ่งรายนั้นขี้แยมากๆ น้ำตาไหลพรากแต่ละทีกว่าจะหยุดคนเป็นพี่แทบขาดใจ

เอนกายลงนอนราบไปกับฟูกนุ่ม วางกรอบรูปครอบครัวอันเป็นที่รักไว้บนแผ่นอกบาง แม้หวังให้เรื่องราวทุกอย่างที่ได้รับฟังเป็นเพียงความฝัน หากแต่ก็ไม่อาจหลอกตัวเองเช่นนั้นได้ หลับตาลงหาวิธีผ่อนคลายความเครียด ถ้าเป็นเจ้าเด็กดื้อเวลาแบบนี้คงส่งเสียงร้องเพลงโปรดทั้งที่หยาดน้ำไร้สีรินไหล

!?

กายเล็กสะดุ้งโหยงเนื่องจากความอุ่นต้องสัมผัสผิวแก้มขาว รีบเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทขึ้นด้วยความตกใจ พลันก้อนเนื้อในอกซ้ายกระตุกวูบเมื่อภาพที่ปรากฏให้เห็นเป็นใบหน้าหล่อเหลาของนายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์ ใกล้ชิดเสียจนเดย์ต้องปรับโฟกัสมองรอยยิ้มจางบนเรียวปากหนา

“พี่มารับน้อง”

โน้มลงมากระซิบแผ่วข้างใบหูให้ภรรยาเบี่ยงดวงหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน ก่อนจะดันกายบอบบางขึ้นนั่งตัวตรง เลี่ยงการเผชิญหน้าโดยการเอากรอบรูปที่ถืออยู่ไปตั้งตรงตำแหน่งเดิม ซึ่งฝ่ายสามีไม่ปล่อยให้เวลาดำเนินไปอย่างเปล่าประโยชน์ เอ่ยคาดโทษอีกฝ่ายทันที

“น้องไม่ควรหนีกลับบ้านตั้งแต่คืนแรกแบบนี้”

สอดมือหนาข้างหนึ่งลงกระเป๋ากางเกงสแล็คที่สวมใส่ ม่านตาคู่คมมองเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตนก็หวังให้เป็นเช่นนั้น

“ผมแค่ลืมของ”
“แค่ลืมของก็น่าจะบอกพี่ หรือสั่งให้ปฐพีมาเอา น้องไม่เห็นต้องลำบาก หรือจะให้พี่ขับรถมาส่งก็ได้ พี่ยินดี”

ทว่าคุณหนูคนโตเงียบกริบไม่ยอมต่อความ สร้างความพึงพอใจให้กับคนเป็นนายหัวยิ่งนัก แม้จะค่อนข้างหงุดหงิดกับการแสดงออกของคู่สนทนา นิ่ง สงบ คล้ายไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการ

ความทุกข์ทรมานต่างหากที่เขาอยากจะให้น้องลิ้มลอง...

“ผมเกรงใจครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก วันนี้น้องก็จะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพี่ต่อท้ายชื่อแล้ว”

เหมือนเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา ทว่าเนื้อหาบาดลึกเสียดแทงใจ ใบหน้าอ่อนหวานค่อยๆหันกลับมาสบจ้องนัยน์ตาสีดำขลับ แววเคลือบใสสั่นระริกไม่อาจควบคุม เหตุเพราะเรื่องราวที่ตนเพิ่งได้รับฟังจากผู้เป็นอา หากแต่ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่ได้สั่นคลอนตามดวงตาคู่สวยแม้แต่น้อย

“ถึงผมจะใช้นามสกุลของใคร แต่เลือดในกายผมก็เป็นเลือดบริสุทธิ์ของภัควัฒน์โยธิน”

มันไม่ใช่คำพูดจาประชดประชัน และมันไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างแต่อย่างใด คุณหนูคนโตยังเป็นตัวของตัวเอง เสมอต้นเสมอปลาย สูงส่ง สง่างามเพียงไรก็ยังเป็นเช่นนั้น ซึ่งถูกอีกฝั่งตีว่าเป็นท่าทางโอหัง อวดดี ร่างสูงโปร่งของสามีขยับก้าวเข้าหาเพื่อลดระยะห่างระหว่างภรรยาตัวเล็ก

“อ่า...นั่นแหละดีแล้ว”

สุ้มเสียงทรงอำนาจลั่นผ่านเรียวปากหยักพลางเหยียดยิ้มร้าย โน้มตัวลงมาจ้องลูกแก้วกลมมนใกล้ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเบี่ยงกายหนี จ้องสบราวกับไม่เกรงกลัวแม้ตัวจะเล็กแค่นี้ก็ตาม และนั่นยิ่งทำให้โชตรู้สึกย่ามใจ


จะมีแต่ พลัฏฐ์ อัคคเดชดิภูนันท์
ภัควัฒน์โยธินจะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป



“เพราะพี่จะเป็นคนทำให้มันแปดเปื้อนเอง”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:04:19 โดย pangll »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๖.



สอดเชือกเข้าปมผูกเป็นโบว์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้าผ้าใบคู่เล็กซึ่งตนเพิ่งอาสาช่วยเหลือสวมให้ด้วยความเต็มใจ ชายหนุ่มระบายยิ้มบางนึกหวังว่ามันจะช่วยผ่อนคลายความมัวหมอง และถึงแม้เรียวปากอิ่มจะหยักยิ้มยามจ้องสบกัน หากแต่ข้างในของคนที่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นกำลังถูกเฉือนให้ขาดเป็นชิ้นๆ

การจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นหลังจากทายาททั้งสองตระกูลตวัดปลายปากกาลงนามบนกระดาษ นายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์บอกความต้องการว่าจะพาภรรยากลับคฤหาสน์ทันที อ้างเหตุผลเรื่องมีธุระต้องสะสางมากมาย แม้การกระทำจะขัดกับคำพูดหน่อยก็ตรงที่รีบบึ่งมาภัควัฒน์โยธินแต่เช้าก่อนเวลานัดหมาย แถมยังขอขึ้นไปตามคุณหนูบนห้องด้วยตัวเองตั้งนานสองนาน ไม่เห็นจะมีท่าทีรีบเร่งอย่างที่ปากเอ่ยอ้างแต่อย่างใด

“ได้โปรดอย่าทำหน้าแบบนี้ได้ไหมครับ”

เพราะเขาเจ็บ ม่านตากลมโตสั่นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกแสนหนักอึ้งเกินกว่าจะตั้งรับไหว ยิ่งคนตรงหน้าทรมานมากเพียงไรคนที่สาหัสยิ่งกว่ากลับเป็นเขา แม้ภายนอกจะเหมือนไม่เป็นอะไร แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายแบกรับภาระอันใหญ่หลวงไว้บนบ่าเล็กๆ

“เบียร์ก็รู้เรื่องอยู่แล้วเหรอ?”

น้ำเสียงสั่นหวานเรียกพาให้หน้าอกด้านซ้ายกระตุกวูบ พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน มีอิทธิพลกับเขาเสียทุกลมหายใจ บดินทร์โอบกระชับมือนุ่มนิ่มที่เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของตน ชายหนุ่มรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินที่คุณหนูคนพี่มักจะทำเช่นนี้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรคิดแบบนั้นก็ตาม

“ผม...ขอโทษครับ”

นับตามอายุแล้วเขาแก่กว่าคุณหนูคนโตสามปี แต่อีกฝ่ายมักจะเรียกเขาด้วยชื่ออย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ชวนไปเล่น ชวนไปกินขนม ทำราวกับเขาไม่ใช่คนต้อยต่ำ คุณท่านพิพัฒน์และคุณหญิงเพียงดาวมักมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู พร่ำสอนอยู่เสมอว่าให้รักและปกป้องน้อง แต่บดินทร์ไม่เคยตีตนเสมอลูกหลานของภัควัฒน์โยธิน

“มีแต่เราที่ไม่รู้อะไรเลยอยู่คนเดียว”
“อย่าตัดพ้อกันเลยครับคุณหนู ผมแค่...”
“แค่ทำตามคำสั่งคุณพ่อ เบียร์จะพูดแบบนี้ใช่ไหม”

อย่างน้อยดวงหน้าเศร้าสร้อยก็ยังพอมีรอยยิ้มจาง บดินทร์เอียงใบหน้าซบเข้าหาฝ่ามือบอบบางเพื่อซึมซับไออุ่นมากยิ่งขึ้น ยามอยู่กับเดย์เขาเป็นเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยที่แสนซื่อสัตย์

“ตอนเราอยู่อังกฤษก็ไม่ยอมไปหา”

รู้ว่าคุณหนูแค่พูดไปตามประสา แต่ที่เขาไปหาบ่อยๆไม่ได้ก็เพราะกลัวจะว้าวุ่นใจ สู้อดทนรอให้ถึงวันกลับ

“ติดสาวน่ารักๆที่นู่นหรือเปล่า ไม่เห็นพามาแนะนำให้เรารู้จัก”
“ไม่มีหรอกครับ”

เพราะเขามอบทั้งชีวิตแด่คุณหนูเพียงคนเดียว แม้อยากจะเอื้อนเอ่ยให้ได้ยินแต่ชายหนุ่มกลับทิ้งท้ายประโยคไว้ในใจ สัมผัสถึงความขมไหม้ตีตื้นขึ้นลำคอ ไม่อาจบอกความรู้สึกนึกคิด ไม่กล้าเอื้อมมือเปื้อนดินไปแตะต้องสิ่งที่สูงค่า หากตัดเรื่องความขุ่นแค้นชิงชัง นายหัวอัคคเดชภูดินันท์นั้นเหมาะสมคู่ควรเสียจนไม่มีข้อคัดค้านปฏิเสธ

“ขนาดกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ถ้าเหงาผมจะไปหาคุณหนูที่นั่นบ่อยๆ”
“อย่ามาหลอกให้เราดีใจเลย ตอนเราจะย้ายไปอังกฤษเบียร์ก็พูดแบบนี้”

กลีบปากรูปหัวใจขยับวาดยิ้มกว้าง ปลุกบางสิ่งบางอย่างเต้นเร้ารุนแรงภายในช่วงอก ทำให้เขาทั้งทุกข์ทั้งสุขได้อย่างง่ายดาย ดั่งภูผาสูงใหญ่ที่คอยกั้นลมพายุไม่ให้พัดกระหน่ำทว่าก็ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าเสียจนปีนป่ายขึ้นไปไม่ถึง

ดวงหน้าอ่อนหวานค่อยๆโน้มลงมาจนกระทั่งหน้าผากเราสองแนบสนิทกัน นัยน์ตาคู่โตหลบอยู่ภายใต้เปลือกตาสีน้ำนม ระยะห่างเพียงหนึ่งลมหายใจ บดินทร์ไม่อยากหลับตา ไม่อยากกะพริบตาเลยด้วยซ้ำ อยากเก็บความใกล้ชิดนี้ไว้ชโลมร่างกายยามอ่อนล้า มันคือวิธีที่อีกฝ่ายใช้แสดงออกว่ากำลังมีเรื่องหนักใจ และเขากับคุณหนูพลิศเท่านั้นที่มีโอกาสได้แบ่งเบาด้วยการกระทำน่ารักๆนี้ ทว่าช่วงเวลาที่แสนมีค่ากลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของ...

“น้องจะกลับกับพี่ได้หรือยังครับ?”

สายตาที่จับจ้องย้อนแย้งอย่างสิ้นเชิงกับรอยยิ้มตรงมุมปาก ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นตามเจ้าของกายเล็ก สบแววคมเข้มสีดำขลับอ่านความหมายที่ส่งผ่านให้รับรู้ ทว่าศัตรูก็ไม่ได้เผยไต๋ให้ประเมินความนัยมากนัก บดินทร์ก้มศีรษะลงทำความเคารพนายหัวผู้ยิ่งใหญ่ หากนับตามอาวุโสแล้วอีกฝ่ายมากกว่าตนอยู่หลายปี ทั้งเรื่องประสบการณ์การทำงาน บารมีและวาสนา

วาดรอยยิ้มจนดวงตาหยีโค้งเมื่อทายาทคนโตหันหลังกลับมาราวกับว่าอาลัยอาวรณ์กัน หลังจากถูกฝ่ามือหนาโอบประคองแผ่นหลังให้เดินจากไปเกือบถึงประตูรถยนต์คันหรู ยืนนิ่งอยู่กับที่เฝ้าดูยานพาหนะลับหายจากสายตา นานเสียจนเข็มนาฬิกาเดินวนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลบปลายลิ้นผ่านริมฝีปากยามรู้สึกถึงความแห้งผากตามนิสัย ก่อนจะขยับพูดพึมพำด้วยประโยคที่ทำให้ปวดปร่าไปสุดขั้วหัวใจ...

อยากยิ้มเยาะทั้งที่รู้สึกใกล้ตายแล้วเต็มที

“คุณแพ้แล้วนายหัวรังสิมันตุ์”


ภัควัฒน์โยธินมิได้สูญสิ้นทุกอย่าง
อัคคเดชภูดินันท์ต่างหากที่จะเป็นฝ่ายไล่ตามนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป






ไร้เสียงสนทนาราวกับแข่งขันกันเงียบจนกระทั่งเดินทางถึงที่หมาย ปฐพีเปิดประตูให้เจ้านายก่อนโชตจะเป็นฝ่ายรีบเดินอ้อมมาทำหน้าที่นั้นให้กับผู้เป็นภรรยา คุณหญิงไลลากลับมาถึงก่อนแล้วด้วยรถยนต์ส่วนตัว รั้วอัคคเดชภูดินันท์เกิดความโกลาหลตั้งแต่เช้าตรู่เหตุเพราะนายหญิงตามหาตัวลูกสะใภ้ คงตั้งใจย่องเข้าไปดูลาดเลาในห้องหอเผื่อจะได้อุ้มหลานเร็ววันนี้ ทว่าดันเจอลูกชายตัวดีนอนกกกอดนางแบบสาวแทนที่จะเป็นคู่แต่งงาน ในสภาพไร้เสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนั้นไม่อาจตีความเป็นอื่น

ภายในอาณาบริเวณบ้านแบ่งออกเป็น ๔ เรือนหลัก เรือนหน้าเป็นเรือนใหญ่ ซึ่งปกติคุณหญิงไลลาจะอาศัยอยู่ที่เรือนนี้ ส่วนทั้งเรือนฝั่งขวาเป็นพื้นที่ฮาเร็มของนายหัวก็เห็นจะไม่ผิดนัก เพราะคู่ขาคู่ควงได้รับอนุญาตให้อยู่เฉพาะแต่ฟากดังกล่าว หากล่วงล้ำพื้นที่อื่นจะถูกขับไล่ทิ้งขว้างอย่างเฉยชา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ค่อยมีคนกล้าขัดคำสั่ง เรือนซ้ายเป็นเรือนรับรองและห้องทำงาน ส่วนเรือนหลังนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่าน เพราะมันค่อนข้างอยู่ห่างไกล ลึกเข้าไปทางสวนหลังบ้าน นอกเสียจากนมช้อยที่มีหน้าที่เข้าไปทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง กลายเป็นเรือนร้างให้พวกคนใช้เล่าขานกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

พลัฏฐ์โค้งศีรษะขอบคุณหลังลงจากห้องโดยสาร แต่ไม่ยอมช้อนสายตามองใบหน้าหล่อปนหวานของคนเป็นสามี ทำทีจะเลี่ยงการเผชิญหน้า เดินตรงไปทางเรือนด้านขวาด้วยเข้าใจว่าตนต้องอาศัยอยู่ที่นั่น ทว่ากลับถูกรั้งด้วยบทสนทนาที่เจ้าของกายสูงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“น้องไม่ควรคบชู้สู่ชาย”

ประโยคเชิงปรามาสลอดผ่านริมฝีปากหยักสวยพาให้เรียวคิ้วขมวดเล็กน้อย ท่อนแขนกลมกลึงกอดกระชับกรอบรูปครอบครัวซึ่งถือติดไม้ติดมือมา ให้สมกับเหตุผลที่ก่อเรื่องเสียมารยาทหนีกลับบ้านเมื่อตอนเช้า เขาไม่ได้ลืมอะไร เพราะสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ได้ขนมาไว้ที่อัคคเดชภูดินันท์หมดแล้ว คนตัวเล็กกำลังคิดแก้ปัญหาด้วยการใช้ความเงียบเข้าสู้ แต่วาจาดูถูกแสนร้ายกาจประโยคถัดมาเรียกดวงหน้าขาวใสหันกลับไปสบนัยน์ตาคู่คมไม่อาจทนอยู่เฉย

“โดยเฉพาะกับบ่าวไพร่ในบ้านของน้องเอง”
“นายหัวครับ เบียร์เป็นพี่ชายของผม”

เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง แม้เลือดสักหยดจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทั้งยังเป็นเพียงลูกบุญธรรมที่พ่อแม่ตนรับเลี้ยงดู แต่เขามองบดินทร์เป็นเสมือนพี่ชายคนโตที่คลานตามกันมา ห่วงหาห่วงใย ถึงอีกฝ่ายมักจะทำตัวไม่ต่างจากบ่าวในภัควัฒน์โยธิน ตั้งแต่ถูกพามาอยู่ใหม่ๆ คุณพ่อสั่งให้ย้ายขึ้นมาอาศัยบนเรือนก็ดื้อดึงจะอยู่รวมกับคนใช้ ไม่ยอมร่วมโต๊ะอาหาร ไม่ยอมสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงที่คุณแม่มักซื้อหามาให้ ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังทุกอย่างยกเว้นแต่เรื่องความสุขสบายที่จะปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่หาใส่ตัว

กว่าจะยอมให้เขาเข้าใกล้ก็นานนับปี เบียร์มักจะพูดเสมอว่าตัวสกปรกและพยายามไม่ให้แตะสัมผัส ตอนเล็กๆเดย์แก้ปัญหานี้ด้วยการโถมตัวเข้ากอด ไม่ก็อ้อนขอขี่หลัง สารพัดวิธีที่เด็กหกขวบพยายามคิดหาเพื่อมาตีสนิท

“อ่อ พี่ชายหรอกหรือ”

นายหัวอัคคเดชภูดินันท์หัวเราะหึในลำคอราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลกขบขัน ร่างสูงใหญ่ขยับก้าวเข้ามาใกล้ สบแววเคลือบใสเพื่อเก็บภาพความวาววับงดงาม สายตาแบบนั้น น้องคงจะไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่หลับตา หรืออีกเหตุผลคงไม่คิดว่าจะถูกหักหลัง

“แล้วน้องเคยถามเขาไหม...”

แย้มยิ้มบางพลางยกฝ่ามือหนาขึ้นทาบผิวแก้มขาว ให้คนเป็นเจ้าของรีบเบี่ยงกายหลบด้วยความตกใจ ทว่าผู้ล่ากลับไล่ต้อนไปจนกระทั่งเป็นฝ่ายชนะ ภรรยาตัวเล็กหลุบมองต่ำไม่มีทางเลือกยามก้านนิ้วเกลี่ยไล้สัมผัสความนวลเนียนอย่างย่ามใจ

“ว่าเขาอยากเป็นพี่ชายของน้องหรือเปล่า”
“ผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”

ตัดบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใยพลางหมุนตัวเดินจากไปเสียอย่างนั้น เหลือไว้แต่เพียงรอยยิ้มหยันของผู้มีชัย ดวงตาคมกริบทอดมองแผ่นหลังแคบกระทั่งเลี้ยวผ่านประตูใหญ่ของเรือนขวา แม้จะโดนมารดาโกรธเคืองเรื่องห้องหับของลูกสะใภ้คนโปรด แต่ตนก็ไม่เห็นความเหมาะสมที่จะให้ทายาทศัตรูขึ้นมาอยู่เรือนหน้า

“ปฐพี พานายน้องลงมาอยู่ห้องชั้นสอง”
“แต่นายหัวครับ”

กำลังจะเอ่ยขัดคำสั่งผู้เป็นนาย ทว่าสีหน้าเรียบนิ่งที่บ่งบอกว่าไม่ควรต่อต้านหรือคิดจะเสนอความเห็นใดๆนั่นทำให้คนสนิทจำต้องก้มศีรษะลงแทน

“ขออภัยครับ”

ปฐพีนึกหวังให้นายหัวแสดงออกถึงความชอบพอสักนิด ไม่ปล่อยความชิงชังบดบังเสียจนดวงตามืดบอดไปหมด คงต้องรอแค่วันที่เผลอไผล รอวันที่เผลอใจอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเฝ้าภาวนาให้คุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินอดทนและจัดการกับความวุ่นวายที่กำลังจะเผชิญหลังก้าวผ่านประตูบานนั้น




ม่านกลมโตสุกสกาวเบนมองชิ้นส่วนของกระจกซึ่งแตกร้าวกระจัดกระจายบนพื้นปาเก้ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย เฉกเช่นก้อนเนื้อในอกซ้ายที่มันคงแหลกสลายไม่ต่างกัน สูดลมหายใจเข้าก่อนจะหลับตาลงตั้งสติ การหมิ่นเกียรติหยามศักดิ์ศรีเมื่อคืนกลายเป็นเรื่องหยุมหยิมไปทันที เมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังพบเจออยู่ตอนนี้ ตรงหน้าของตัวเอง

ไม่เคยจินตนาการหรือวาดฝันภาพคู่ครองในอนาคต คิดเสมอว่าจะอยู่กับน้องชายตัวขาวไปจนแก่เฒ่า หรือถ้าหากไฮท์แต่งงานมีครอบครัวเขาก็จะอาสาช่วยเลี้ยงดูหลาน เดย์สนใจแต่เรื่องเรียนและหวังกลับมาช่วยเหลืองานของผู้เป็นอา ภัควัฒน์โยธินมีกิจการและธุรกิจค่อนข้างใหญ่โต แม้เบียร์ถูกวางไว้เป็นผู้สานต่อเจตนารมณ์ของบิดา ทว่าเขาอยากแบ่งเบาภาระพวกนั้นไม่มากก็น้อย

ความคิดทำนองนี้เพิ่งโลดแล่นผ่านหัวได้ไม่นานหลังจากคุณอาพิศาลมักย้ำกับเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างของภัควัฒน์โยธินจะเป็นของตนทั้งหมดโดยชอบธรรม ทั้งที่เดย์ไม่เคยนึกห่วงเรื่องนั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง เพราะเขาแค่อยากช่วยเหลืออะไรบ้าง จะเป็นงานง่ายๆก็ยังดี ไม่ใช่คอยแต่จับจ่ายใช้สอยคล่องมืออยู่แบบนี้โดยไม่ทำอะไร

จนกระทั่งถูกขอร้องให้แต่งงาน เขาไม่ปฏิเสธไม่ใช่เพราะเป็นคนหัวอ่อน เดย์รับรู้ถึงความคาดหวังในกระแสเสียงของญาติผู้ใหญ่ซึ่งเหลืออยู่ให้เคารพนับถือเพียงคนเดียว เขาไม่ได้ถามถึงเหตุผล ทำหน้าที่รับฟังและรับคำให้ท่านสบายใจ แต่ก็ไม่คิด ไม่คิดเลยว่าฝ่ายที่ต้องเกี่ยวดองด้วยจะมีเรื่องบาดหมางร้ายแรงต่อกัน   

“เป็นเด็กใหม่ก็ควรรู้ว่าใครมาก่อนมาหลัง”

เสียงแหลมตะเบ็งดังพลางจิกตาใส่โดยเข้าใจว่าตัวเองเหนือกว่า เป็นบุคคลเดียวกับที่ยื้อแย่งเอากรอบรูปไปปาลงพื้นจนเกิดความเสียหาย ซึ่งมันหมายรวมถึงจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ

“นี่! ฉันพูดกับแกได้ยินไหม ห๊ะ?!”

เพราะเดย์เพิ่งกลับมาอยู่ประเทศไทย จึงไม่รู้ว่าหล่อนเป็นดารานักแสดงชื่อดังที่ค่าตัวออกงานแต่ละครั้งเหยียบแสนบาท แต่ที่รู้คือเป็นหนึ่งในคู่ขา ไม่สิ อาจกำลังคบหาดูใจกับเจ้าบ้านฉันท์คนรัก ที่แน่ๆไม่ใช่คนเดียวกับที่พบเห็นเมื่อคืน

“กฎของที่นี่คือต้องเคารพคนที่มาก่อนจำใส่หัวแกไว้ด้วย”
“อย่าคิดว่าแต่งงานใหญ่โตขนาดนั้นจะมีสิทธิ์ยึดนายหัวเอาไว้คนเดียว”
“ใช่!”

ไม่ได้เริ่มสงครามกันแค่สอง ทว่ามีถึงห้าชีวิตรวมทายาทภัควัฒน์โยธิน และเสียงคงจะเอะอะไปสักหน่อยจึงทำให้พวกบ่าววิ่งกรูกันเข้ามาดูเหตุการณ์ เป็นปกติที่เรือนฝั่งนี้มักเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท เพราะคู่ขาที่ถูกอนุญาตให้เข้ามาอาศัยในรั้วอัคคเดชภูดินันท์ต่างก็คิดว่าตนนั้นเป็นคนโปรดของนายหัวรังสิมันตุ์

พลัฏฐ์ผ่อนลมหายใจออกแผ่วเบาราวกับต้องการระบายความโศกเศร้าหดหู่ภายใน คุณหนูผู้สูงศักดิ์ไม่ได้เอาใจไปใส่ว่าใครพูดอะไรบ้าง หากก็ผ่านเข้าหูทุกถ้อยคำ ทว่าสิ่งที่คนตัวเล็กสนใจอยู่กับมันคือภาพถ่ายครอบครัวที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น...

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเก็บเอง”

สุ้มเสียงหวานบอกปนรอยยิ้มจางทว่าไม่อาจปิดบังความหม่นหมองได้อย่างมิดชิด นมช้อยและสาวใช้สองสามคนที่วิ่งตามเสียงมาจนถึงเรือนขวา กำลังจะช่วยกันเก็บกวาดเศษเล็กเศษน้อยด้วยเกรงว่าจะไปตำคนอื่นๆให้เลือดตกยางออกชะงักนิ่งกันทั้งหมด

“ระวังมันบาดมือครับ”

มือนิ่มคว้าจับข้อแขนของหญิงชราเอาไว้ได้ทัน กึ่งรั้งกึ่งประคองให้ยืนขึ้นพลางพาถอยห่างจากที่อันตราย ทว่าท่าทีเมินเฉยและเอาแต่สนใจคนใช้ สร้างความขุ่นเคืองให้คนที่เหลือพากันวีนลั่น หนึ่งในนั้นออกแรงกระชากกายบอบบางจนทั้งร่างเซหันมาเผชิญหน้า

“แกกล้าดียังไง!”
“เอาไปเถอะครับ ผมไม่ได้ต้องการเขา”
“ตอแหล!”

ฝ่ามือเรียวที่ง้างอยู่กลางอากาศฟาดผ่านผิวแก้มขาวจนขึ้นรอยแดง ดวงหน้าเคลือบเครื่องสำอางต่างพากันแสยะยิ้มเยาะด้วยความสะใจ เป็นนมช้อยที่รีบเอาตัวเข้ามาขวางพร้อมกับเอ่ยตำหนิการกระทำต่ำทรามเสียยิ่งกว่าไพร่ ซึ่งหล่อนปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

“กรุณาอย่าทำกิริยาเช่นนี้ในบ้านอัคคเดชภูดินันท์ค่ะ”
“ทำไม? แกเป็นแค่คนใช้ อย่ามาสะเออะสั่งสอนฉัน!”
“ค่ะ ดิฉันเป็นแค่คนใช้ และดิฉันจะรายงานเรื่องนี้ให้คุณหญิงไลลารับทราบ”

แม้จะบ่มเพาะความไม่พอใจทว่าชื่อของนายหญิงใหญ่ก็พอมีอิทธิพลให้แต่ละคนแยกย้ายกลับไปอยู่ในที่ของตนเอง ทิ้งท้ายด้วยเสียงข่มขู่ต่างๆนานา ปรายตามองผู้มาใหม่ที่เห็นจะสงบนิ่งเสียจนก่อน้ำโห

“ขอบคุณครับที่ช่วยผม”

ยังจะระบายยิ้มกว้างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นมช้อยเห็นเช่นนั้นก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกที่ได้ยินคุณหญิงไลลาพูดถึงหล่อนก็ไม่ค่อยเชื่ออะไรมากนัก กลัวนายหญิงจะถูกหลอกตกหลุมพรางด้วยซ้ำ เพราะหล่อนทำหน้าที่ดูแลนายหัวโชตมาตั้งแต่แบเบาะและไม่เคยเห็นใครเข้าตา จนกระทั่งมาพบเจอด้วยตนเองในงานแต่งงาน อคติทั้งหมดที่มีกลับถูกลบล้างเสียจนหมดสิ้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:07:19 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ภาคภูมิรู้สึกผิดนิดๆแต่กลับอดไม่ได้ที่จะลอบขำเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งแบบฉบับคุณหนูภัควัฒน์โยธิน มือขาวยกขึ้นปาดคราบน้ำตาออกจากผิวแก้มใสอย่างลวกๆ เหตุเพราะถูกบังคับให้สวมรองเท้าบูทสำหรับทำไร่ ถึงจะแสดงท่าทีขยะแขยงไม่อยากใส่เช่นไรก็ถูกบุคคลที่เจ้าตัวเอ่ยเรียกจนติดปากว่า ‘นายป้อเลี้ยง’ จับฝ่าเท้ายัดเข้าไปจนสำเร็จอยู่ดี

แต่เรื่องน่าแปลกใจกลับไม่ได้อยู่ที่ประเด็นกลีบปากบวมช้ำของเด็กหนุ่มร่างผอม เจ้าของร่างสูงใหญ่นั่นต่างหาก ซึ่งปกติสายป่านนี้ควรจะยุ่งอยู่กับกองเอกสารไม่ก็เดินตรวจงานอยู่ในโกดัง ทว่ายังมายืนหล่อให้คุณหนูยุ่งทำปากขมุบขมิบด่าทอตรงหน้าประตูบ้าน มันค่อนข้างจะผิดวิสัย

งานที่ไร่ตะวันไม่มีวันหยุด นอกเสียจากชาวบ้านที่ไม่ใช่คนของตระกูลอัคคเดชภูดินันท์สามารถหยุดได้ตามที่ต้องการ เพราะรับค่าจ้างเป็นแบบรายวัน และส่วนมากจะไป-กลับ ไม่นอนค้างอ้างแรมในไร่ หรือถ้าใครอยากมาพักก็ขอให้แจ้งเป็นกิจจะลักษณะ แถมเดี๋ยวนี้มีคนหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่สนใจงานเกษตรกรรม ดังนั้นคนงานส่วนหนึ่งจะเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่มาเก็บประสบการณ์ เรียนรู้และทำงานวิจัย

“ด้านซ้ายมีเสือมีหมีออกล่าหาอาหารทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนด้านขวาก็อย่างที่เคยเห็น เป็นน้ำตกไหลไปจนถึงท้ายไร่ พวกคนงานที่ไม่มีลูกมีเมียพักอยู่แถวๆนั้น”

ลูกน้องคนสนิทถึงกับเลิกคิ้วสูงพลางทำเสียง ‘หือ’ ยาวๆในลำคอ ประโยคบอกเล่าเชิงข่มขวัญส่งผลให้เด็กหนุ่มขยับถอยหลังคล้ายกำลังตั้งหลัก เล่นเอาซะพวกบ่าวไพร่เป็นโจรป่าโจรเขา บ้านพักคนงานทุกหลังอยู่ด้านหน้า ส่วนเสือกับหมีนั่นตั้งแต่เกิดมาภาคภูมิเคยเห็นตัวเป็นๆอยู่หลายครั้งในสวนสัตว์เชียงใหม่

“โกหก...เสือกับหมีก็ต้องอยู่ในป่าสิ”

ได้ยินสุ้มเสียงหวานหลุดพึมพำ ชายหนุ่มอยากจะเอ่ยบอกเหลือเกินว่า ก็นี่แหละในป่า แต่ไม่ได้ลึกมากจนมีสัตว์ดุร้ายแบบนั้นอาศัยอยู่ ถ้าจำพวกสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูก็ว่าไปอย่าง แต่กลัวจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้เด็กน้อยมากจนเกินเหตุ แค่พ่อเลี้ยงกับจิ้งจกในห้องน้ำก็ทำเอาร้องไห้ขี้มูกโป่งวันละหลายรอบ

พอหันไปทางเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งกลับเห็นรอยยิ้มกระตุกขึ้นตรงมุมปาก เพราะรับใช้อีกฝ่ายมานานถึงรู้ว่ามันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอารมณ์ที่ค่อนข้างดี ไม่รู้เพราะกลืนกลีบเนื้อนุ่มนิ่มจนอิ่มตั้งแต่เช้าหรืออย่างไร

ไหนว่าจับเขามาทรมาน?
หรือว่านี่ทรมานแล้ว?

“ภาค เดี๋ยวพาไปทำงานที่ไร่ข้าวโพด”
“หะ...หา?”
“ทำไม? มีปัญหาอะไร?”
“ปะ...เปล่าครับป้อเลี้ยง แต่ผมคิดว่ามันไม่เหมาะกับคุณหนู ให้ไปอยู่กับป้อเลี้ยงที่...”
“ภาค”

กระแสเสียงน่าขนลุกพาให้ภาคภูมิต้องหุบปากลงฉับพลัน ชายหนุ่มมองคุณหนูผู้น่ารักสลับกับคนเป็นนาย ตัวแค่นี้จะให้ไปทำงานในไร่? แค่จะเอ่ยปากขอให้ช่วยรดน้ำต้นไม้ตรงกระถางหน้าบ้านตนยังคิดแล้วคิดอีก เอาไปตั้ง นั่งเชยชม มองเพลินๆที่ออฟฟิศนู่นน่าจะดีกว่า ไหนๆก็ปล้ำจูบลูกเต้าเขาเสียจนปากช้ำปากเจ่อขนาดนี้

“เราไม่ไปไร่ เราจะอยู่ที่นี่”
“แต่วันนี้ผม ไอ้ฟาก ไอ้ก้องมีงานต้องทำครับ จะไม่มีใครว่างมาดูแลคุณหนูยุ่ง”
“เราโตแล้วดูแลตัวเองได้”
“แต่ผมขัดคำสั่งป้อเลี้ยงไม่ได้ครับ”
“นั่นมันเรื่องของนายภาค ไม่ใช่เรื่องของเรา”

เอ่ยพูดอย่างเอาแต่ใจ จะดีกว่านี้ถ้าไม่ปารองเท้าที่เพิ่งถูกบังคับให้สวมใส่เมื่อครู่ไปทางด้านนั้น ด้านที่มีพ่อเลี้ยงขุนยืนพิงราวระเบียงจ้องมองอยู่ คนสนิทรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าสถานการณ์ชักไม่ปลอดภัย ตัวยุ่งสมชื่อทำท่าจะเดินหนีกลับเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก็ช้ากว่าขายาวๆที่กำลังก้าวตามไปติดๆ

“คนป่า! ปล่อยเราลงนะ เราไม่ไป ปล่อยเราเดี๋ยวนี้ได้ยินไหม!”

โวยวายเสียงดังลั่น ออกคำสั่งแต่คู่สนทนาฟังเสียที่ไหน ยกร่างผอมอุ้มพาดบ่าพาเดินลงบันได ไม่สนใจกำปั้นน้อยๆที่คอยระดมทุบลงกลางแผ่นหลังกว้าง กระทั่งมาถึงยานพาหนะคันเล็ก เด็กหนุ่มถูกจับโยนลงท้ายกระบะอย่างแรง เรียกให้ภาคภูมิต้องรีบกระโดดตามขึ้นไป กราดสายตาสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บเพราะการกระทำป่าเถื่อนของพ่อเลี้ยงหรือไม่ด้วยความเป็นห่วง

“คุณหนูยุ่งอย่าทำให้ป้อเลี้ยงโกรธสิครับ”

ม่านกลมมนช้อนสบนัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มคล้ายกำลังตัดพ้อต่อว่าอย่างน้อยอกน้อยใจ ไม่ได้ฟังเสียงปรามจากคนข้างกายเลยสักนิด ทว่าจำต้องรีบสะบัดหนีไม่อาจทนดูสีหน้าเรียบเฉยที่ทอดมองมา แผ่รังสีความน่ากลัวเสียจนไม่กล้าขยับร่างกาย พลิศ ภัควัฒน์โยธิน เปราะบางเกินกว่าจะต้านทานความโหดร้ายระดับนี้ แม้จะเป็นระดับที่เบาบางเหลือเกินก็ตาม และเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นหลังจากประโยคเชือดเฉือนลอดผ่านริมฝีปากหนาของคนใจร้าย


เขาทำอะไรผิด?
ผิดที่ใช้นามสกุลภัควัฒน์โยธินอย่างนั้นหรือ?


“ร้องไห้จนตายก็ไม่สาสม”




แสงแดดจ้าในช่วงเวลากลางวันพาอุณหภูมิไต่ปรอทต่างจากช่วงเช้าอยู่สักหน่อย กระนั้นภูมิประเทศทางภาคเหนือก็ไม่ร้อนอบอ้าวมากนัก เนื่องจากเต็มไปด้วยภูเขาสูง ต้นไม้เขียวชอุ่ม ซึ่งคนรุ่นใหม่หันมาช่วยกันอนุรักษ์เพื่อคงสภาพผืนป่าและรักษาสมดุลธรรมชาติ ทว่ามันกลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับคุณหนูผู้ไม่เคยตกระกำลำบากและเติบโตที่เมืองนอกเมืองนาซึ่งอากาศเย็นกว่านี้

ภัควัฒน์โยธินคนเล็กถูกพามายืนเคว้งคว้างอยู่กลางไร่ทางตะวันออก หลังยานพาหนะจอดแบบไม่ดับเครื่องยนต์ ทั้งร่างก็ถูกช้อนอุ้มอีกรอบด้วยฝีมือคนป่า ท่ามกลางสายตาคนงานนับสิบ กายผอมบางลอยละลิ่วเข้าหาดงข้าวโพดอาหารสัตว์จนตัวต้นล้มระเนระนาด ยังไม่ทันขยับปากสาปแช่งกลับมองเห็นแต่เพียงท้ายรถกระบะแล่นฉิวห่างไปไกล

คนนิสัยไม่ดี...

กลีบเนื้อสีแดงอ่อนได้แต่ส่งเสียงพึมพำแผ่วเบา พยุงกายขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยตัวเองเนื่องจากไม่มีภาคภูมิคอยช่วยคอยปลอบโยนเฉกเช่นทุกที

จะมองไปทางไหนต้นข้าวโพดก็สูงท่วมหัว ละอองเกสรของมันกำลังทำพิษกับผิวเนื้อขาวจัดจนเริ่มขึ้นเป็นผื่นคัน และสาเหตุคงมาจากตอนที่ถูกจับโยนเข้าไปสัมผัสจังๆก่อนหน้า รถเก็บเกี่ยวผลิตผลวิ่งผ่านไปผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเป็นแต่ก่อนคงเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มได้ไม่น้อย หากแต่เวลานี้ไฮท์กระหายน้ำและรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง

ทุกชั่วโมงจะมีคนงานผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาถามไถ่ บ้างก็ใจดีแบ่งน้ำเปล่าให้ด้วยความเอ็นดูปนสงสาร ทว่าภัควัฒน์โยธินคนน้องยังมีนิสัยหยิ่งผยองตามประสาลูกผู้ดี ไม่ดื่มน้ำร่วมกับคนอื่น ไม่พูดคุยกับคนไม่รู้จัก เรียกหาแต่ภาคภูมิ ก้องเกียรติและฟากฟ้า ทั้งวีนทั้งเหวี่ยงเสียจนคนอื่นๆไม่กล้าเข้าใกล้ เอาแต่ใจอย่างไร ก็ยังเอาแต่ใจอย่างนั้น

“ป้าแก้วๆ เปิ้นเป๋นไข๋ จะไดป้อเลี้ยงเอาเปิ้นมาละตี่นี่?”
“เห็นฟากมันว่าเป๋นเมียป้อเลี้ยงอี้หนา”
“ป้อเลี้ยงโขดเปิ้นก๊ะ? เป๋นเมียแล้วหยังบ่าปาเปิ้นไปอยู่เฮือนใหญ่”
“ป้าก่อบ่าฮู้เน้อ ข้าวตอนก่อบ่ายอมกิ๋น เอาน้ำฮื้อกิ๋นก่อบ่ากิ๋น ดื้อขนาด”

บทสนทนาด้วยภาษาที่ฟังไม่เข้าใจเรียกให้ร่างผอมตัดสินใจก้าวเท้าเดินหนี ขอบตาสวยร้อนผ่าว หยาดน้ำไร้สีคลอเบ้า รู้สึกเหมือนหลงอยู่ในที่ที่ไม่มีทางออก ค่อยๆพยุงตัวเองลัดเลาะไปตามทางซึ่งยาวสุดลูกหูลูกตา ผ่านเหล่าคนงานที่ต่างก็หันมามองด้วยความสนใจ กายขาวแม้จะสวมหมวกสานที่ภาคภูมิให้ไว้ตอนอยู่บนรถ หากคงไม่พอจะปกป้องผิวเนื้อเนียนจากความร้อนระอุของสภาพอากาศในช่วงบ่าย

เวลาแบบนี้เด็กหนุ่มเอาแต่ร้องไห้หาพี่ชายตัวเล็กอย่างเงียบๆ อัดอั้นตันใจไม่อาจพูดระบายความจริง เพราะตนไม่ใช่ลูกของคุณลุงพิพัฒน์ แต่ถ้าบอกแบบนั้น พี่เดย์ก็จะตกอยู่ในอันตราย แม้จะยังเด็กแต่ไฮท์ก็รู้ว่าฝ่ายมาดร้ายไม่ธรรมดา ถึงขั้นบุกขึ้นเรือนภัควัฒน์โยธินที่มีบ่าวไพร่รักษาความปลอดภัยรอบด้านมาแล้ว ถ้าจะลงมืออีกซักครั้งก็คงทำได้ง่ายๆ และเขาจะไม่มีทางยอมให้พี่ชายต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เด็ดขาด

ไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาผ่านพ้นมาจนเกือบเย็นย่ำ แสงแดดค่อยๆอ่อนกำลังลงจนใกล้ลับภูเขาลูกใหญ่ฝั่งตะวันตก คุณหนูตัวยุ่งสะอื้นไห้เดินวนอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

!!

ในจังหวะที่จะก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกก้าว จู่ๆโลกก็หมุนกลับด้าน โคลงเคลงเสียจนไม่อาจหยัดยืนตัวตรง ดวงตาคู่หวานพร่าเลือนแล้วทำท่าจะทรุดลง หากแต่มีอ้อมแขนของใครบางคนมาช่วยประคองไว้ได้ทัน ไม่หกล้มหัวฟาดพื้นไปเสียก่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำของผู้หวังดีเอ่ยถามเจือแววห่วงใย คุณหนูตัวขาวสะบัดใบหน้าอ่อนเยาว์ไปมาเหมือนพยายามตั้งสติ ไม่แน่ใจว่าได้ยินเสียงก้องเกียรติเอ่ยเรียกหรือหูแว่ว เพราะม่านตาสวยใกล้ปิดลงแล้วเนื่องจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย

“คุณจอมทัพ เอ่อ...เดี๋ยวผมจะพาคุณหนูกลับเองครับ”

ฟากฟ้าที่มาถึงตัวก่อนเอ่ยบอกจุดประสงค์ พลิศไม่ได้คิดไปเองเพราะทั้งฟากฟ้ากับก้องเกียรติออกตัววิ่งตั้งแต่เห็นคุณหนูของตนทำท่าจะล้มหน้าคะมำ แอบขัดคำสั่งผู้เป็นนายหนีงานที่ใกล้จะเสร็จแล้วเพื่อมาตามหาเด็กหนุ่ม ทว่าคู่สนทนากลับสอดแขนผ่านช่วงขอพับขาแล้วช้อนกายผอมบางขึ้นอุ้มโดยไม่ฟังคำร้องขอ

“แขกของพ่อเลี้ยงขุนเหรอ? แล้วทำไมปล่อยให้มาเดินเตร่จนเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้”

รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนใบหน้าหล่อดูดี คนที่ใกล้หมดสติพยายามหรี่ตามอง แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ

“ป้อเลี้ยงจอมครับ คือผมขอตัวคุณหนู...”
“พ่อเลี้ยงขุนอยู่ไหนล่ะ ฉันจะพาเขาไปส่งเอง อยู่ที่ออฟฟิศใช่ไหม?”

คล้ายจะไม่ใช่ประโยคคำถาม แค่เอื้อนเอ่ยเพื่อต้องการย้ำความมั่นใจมากกว่า กายสูงออกตัวเดินไปทางออฟฟิศที่ว่านั่นทันที ฟากฟ้ากับก้องเกียรติมองหน้ากันราวกับเกี่ยงหน้าที่ ถ้าขืนให้พ่อเลี้ยงจอมทัพอุ้มคุณหนูยุ่งไปหาคนเป็นนายแบบนี้ยิ่งกว่ามีปัญหา สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามโดยไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นเช่นไร

“ปล่อยเรา เราจะไปกับนายฟาก”

น้ำเสียงหวานหูนั้นช่างอ่อนแรง แม้จะเป็นความหวังดี ทว่าทายาทภัควัฒน์โยธินไม่ชอบการถูกแตะเนื้อต้องตัวจากคนแปลกหน้า หากแต่ชายหนุ่มกลับโน้มตัวลงมาหาพลางคลี่ยิ้มจาง ก่อนจะหันไปสั่งผู้ติดตามของตัวเองให้เปิดประตูกระจก...
   

เกิดสภาวะขาดออกซิเจนเฉียบพลันภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลาง ทั้งที่เครื่องปรับอากาศเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทว่าฟากฟ้ากับก้องเกียรติรู้สึกเหมือนมันทำงานผิดปกติ ลูกน้องคนสนิทรีบสลายตัวเข้ากลีบเมฆทันทียามสายตาคมกริบกราดมองให้สะดุ้งโหยงขนลุกขนพองไปตามๆกัน ถึงจะห่วงสวัสดิภาพเด็กหนุ่มร่างผอมแต่ก็ไม่กล้าเผชิญกับความน่ากลัวของเจ้านาย

หลังจากพ่อเลี้ยงขุนกล่าวขอบคุณบุคคลที่อุตส่าห์พาคุณหนูยุ่งมาส่งให้ถึงที่ ต่างฝ่ายต่างยืนนิ่งจ้องหน้ากันหลายนาทีราวกับต่อบทสนทนาทางสายตา และเป็นพ่อเลี้ยงจอมทัพที่ยุติสงครามลง กล่าวลาด้วยเหตุผลที่ว่ามีธุระ ก้องเกียรติรู้สึกอยากก้มกราบเจ้าของไร่ข้างๆเป็นครั้งแรก เพราะถ้าขืนยังอยู่ต่อคนที่จะซวยไม่พวกตนก็คนตัวเล็กที่นั่งแหมะอยู่บนโซฟา

ความเงียบคืบคลานเข้ามาปกคลุมยามประตูกระจกปิดลง หลงเหลือไว้แต่เพียงร่างบอบบางของคุณหนูผู้น่ารักกับเจ้าของใบหน้าเรียบสนิท ยังมีชีวิตรอด ยังไม่ตายกลางไร่ก็ถือว่าดวงแข็งใช่เล่น แต่การปรากฏกายพร้อมกับแขกไม่ได้รับเชิญ ก่อเพลิงกองขนาดย่อมให้ปะทุขึ้นจากกิ่งแรกไปยังกิ่งที่สอง

หลับหูหลับตา โดยไม่ได้พิจารณาก่อนสักนิดว่ามันคนละเรื่องกัน...

“ให้ออกมาทำงานในไร่ ไม่ใช่ให้มาอ่อยผู้ชาย”
“.....”

เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้ ความเย็นภายในห้องช่วยดึงสติและลดอาการเมาแดดของตนได้มาก มือนิ่มถือผ้าชุ่มน้ำที่ฟากฟ้าเอามาให้เช็ดไปตามใบหน้าและท่อนแขน กัดฟันทนทำไม่สนใจเสียงกระแนะกระแหนจากเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง

“ไม่คิดว่าสันดานคุณหนูภัควัฒน์โยธินจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้”
“อย่ามาว่าตระกูลเรา!”

ทว่าประโยคถัดมานั่นเกินกว่าจะนิ่งเฉย แม้อ่อนแอแต่เด็กหนุ่มไม่สามารถทนฟังเสียงมาดร้ายต้นตระกูลโดยไม่คิดจะทำอะไร หยาดน้ำไร้สีคลอหน่วยใกล้ไหลอาบปรางขาวอีกระลอก ก้อนสะอึกตีขึ้นจุกที่ลำคอ หัวใจดวงน้อยถูกวาจาร้ายกาจทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกินกว่าจะรับไหว

“ทำไม? ถ้าร่านอยากได้จนตัวสั่นฉันก็จะสนองให้...”

ค้อมตัวกักกายผอมที่แทบสิงเป็นเนื้อเดียวกับโซฟาหนัง ก่อนริมฝีปากหนาจะขยับพูดต่อให้อีกฝ่ายตัวสั่นหวั่นกลัวยิ่งขึ้น

“ตรงนี้ดีไหม?”

ใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักร่างสูงใหญ่ให้พ้นทาง พลิศน้ำตาไหลพราก สติแตกออกตัววิ่งเพื่อจะไปขอความช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าคนนั้น คิดหวังอยู่ในใจว่ายังน่าจะทันเวลา เด็กหนุ่มทนไม่ไหวแล้ว ทนอยู่กับคนต่ำช้าที่เอาแต่กล่าวหาว่าตนในทางเสียๆหายๆไม่ไหวแล้วจริงๆ

ทั้งที่นี่มันเพิ่งเริ่มต้น


“ช่วยด้วย! ช่วยเราด้วย!”

รวบรวมพลัง ตะโกนดังสุดเสียง เรียกรถยนต์คันสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวย่ำลงกับพื้นโดยไม่สนใจว่าจะสร้างบาดแผลให้ต้องร้องไห้โยเยยามภาคภูมิทายา อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้กลับบ้าน กลับไปหาพี่ชาย กลับไปหาคุณพ่อ ทว่าแรงกระชากจากด้านหลังดับฝันให้สลายลงในพริบตา

แต่ก็ไม่หมดหวังเสียทีเดียว เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวชะลอจอด...

“มีอะไรเหรอครับ?”

จอมทัพก้าวขาลงมาจากห้องโดยสารพร้อมกับเอ่ยถามเอาความ เพราะลูกน้องรายงานว่ามีคนวิ่งตามมา เขาจึงสั่งให้หยุดรถทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“อือ...!”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทะเลาะกันนิดหน่อย”

ฝ่ามือหนาประกบกลีบปากสีแดงอ่อนที่กำลังจะส่งเสียงร้องไม่เข้าท่าออกไป ขุนยังมีสีหน้าไม่ยินดียินร้ายเฉกเช่นปกติ ลำแขนแกร่งดั่งกรงเหล็กอีกข้างตวัดล็อกเอวคอดบางของคนที่พยายามดิ้นพลางกระชับแน่นหนา

“แต่เขาดูไม่โอเคที่จะอยู่กับคุณ”

จอมทัพว่า สายตายังไม่ละห่างไปไหน

“ผมดูแลคนของผมได้ อย่าห่วงเลย”

มีแต่เพียงรอยยิ้มกระตุกขึ้นเบาบาง ก่อนรอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี สบจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ทอดนิ่งทว่าแผ่อำนาจ จอมทัพพยักหน้าเออออสองสามครั้งคล้ายทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยดูแลคนของคุณดีๆนะครับ”
“เผื่อวันไหนผมอยากดูแลบ้าง...”


“ผมจะมาขอ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:10:43 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๗.



!!

กายขาวจัดจมดิ่งลงสู่แอ่งน้ำตกเย็นเยียบ พลิศ ภัควัฒน์โยธิน หวาดกลัวสุดขีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือผอมตีแหวกมวลน้ำ พยายามพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงลอยขึ้นไปหาอากาศหายใจ แม้ตัวเองจะสวมใส่แต่เพียงเสื้อเชิ้ตกับกางเกงวอร์มเท่านั้น ทว่ารู้สึกเหมือนร่างกายช่างแสนหนักอึ้ง ยิ่งแรงกดมหาศาลโถมทับจากเบื้องบนยิ่งเร่งให้ต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดตามสัญชาตญาณ

จู่ๆ ก็ถูกดึงตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เหมือนได้พบแสงสว่างกลางขุมโลกันตนรก หากนั่นไม่ใช่การช่วยเหลือจากเทวดาผู้สูงส่งและใจดี สำลักน้ำที่กลืนเข้าไปหลายอึกเสียจนดวงตาแดงก่ำ ทว่ายังไม่ทันหายตื่นตระหนก ลมหายใจไหลวนยังไม่ทั่วปอด ใบหน้าอ่อนหวานกลับถูกรั้งเข้าหาเรียวปากอิ่มของคนโมโหร้าย

“อื้อ!”

ร้องประท้วงยามความอุ่นชื้นล่วงล้ำไล่ต้อนร้อนแรง ทั้งดันทั้งยึดช่วงบ่าแกร่งเปลือยเปล่าไว้เป็นหลัก ด้วยความอ่อนต่อโลก จึงสับสน มึนงง แม้สมองจะสั่งให้ต่อต้านแต่เด็กน้อยกลับไม่อาจต้านทานปลายลิ้นที่กำลังเกี่ยวกระหวัดปั่นป่วนภายใน
 
กว่าจะได้รับอิสรภาพ เจ้าของกายผอมรู้สึกเหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ทิ้งให้หายใจหายคอไม่ทันได้ลืมตาหรือขยับริมฝีปากด่าทอ กลับถูกดึงเข้าไปรับโทษทัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความผิดที่ถูกตั้งข้อหาปรักปรำ สัมผัสวาบร้อนเลื่อนผ่านช่วงเอวคอดแม้จะลอยตัวอยู่ในน้ำอุณหภูมิต่ำ หากแต่ผิวเนื้อยามต้องสัมผัสสั่นสะท้าน และจำต้องสะดุ้งผวาถอยห่างเมื่อเสื้อเชิ้ตถูกกระชากจนเม็ดกระดุมขาดวิ่น หลุดลุ่ย

“ไม่...ฮือ...”

แผ่นหลังแคบถูกดันแนบสนิทโขดหินเยื้องธารน้ำตก เสียงสายน้ำไหลตกกระทบจากที่สูงกลบเสียงสั่นหวานของกายบอบบางแทบมิด ผิวขาวนวลเนียนขึ้นรอยผื่นคันจากเกสรข้าวโพดกระจายทั่วบริเวณ หากแต่เจ้าของกายสูงกลับแต่งแต้มรอยสีกุหลาบลงบนที่ว่าง สร้างความอัปยศอดสูให้แก่ภัควัฒน์โยธินคนน้อง...

“คิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ?”

ริมฝีปากอุ่นเลื่อนขึ้นมากระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าข้างแก้มใส เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว สะอึกสะอื้นหวาดกลัวม่านคมเข้มแสนเย็นชาที่จับจ้องในระดับสายตา โดยไม่อาจหลบเลี่ยง

“ยังไม่ทันชดใช้อะไรเลย แล้วยังจะหน้าด้านวิ่งตามผู้ชายที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ไร้ยางอายสิ้นดี”

วาจาสบประมาทเรียกน้ำตาเม็ดโตหยดลงตามแรงโน้มถ่วง หมายรวมถึงก้อนเนื้อในอกที่ถูกหน่วงด้วยก้อนหินก้อนใหญ่ ไฮท์ปล่อยโฮร่ำไห้จนตัวโยน ทั้งกลัวทั้งโกรธ ความรู้สึกผสมปนเปไม่สามารถแยกแยะออกจากกัน พยายามผลักดันตัวออกจากพันธนาการแข็งแรง ไม่รู้เลยว่ายิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเร่งเชื้อไฟแค้นให้โหมกระพือลุกโชน สรรหาสารพัดถ้อยคำมาหยามให้ยิ่งเจ็บปวดชอกช้ำ

“อ่อ...ลืมไป เลือดชั่วๆของไอ้พิพัฒน์มันไหลพล่านอยู่ในกาย มันคงดีใจน่าดูถ้ารู้ว่าลูกชายร่านเป็นอีตัวแบบนี้”
“ไม่ใช่! ใจร้าย! คนใจร้าย! หยุดพูด!”
“ได้! ถ้าไม่ให้ฉันพูดฉันก็จะไม่พูด อ่อ! แล้วอย่าลืมครางดังๆด้วยล่ะ เผื่อฉันจะอ่อนโยนเวลาพาลงนรกไปพร้อมกัน ดีไหม?”

อากาศเลี้ยงปอดถูกยึดครองด้วยเงื้อมมือซาตานร้ายในร่างมนุษย์ บดขยี้หนักหน่วงเสียจนกลีบเนื้อบวมเป่งเกิดบาดแผล แอ่งน้ำตกเปรียบเสมือนห้องขังจองจำชีวิต และเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งก็เทียบเคียงดั่งโซ่ตรวนที่ผูกมัดตนไว้เสียแน่นหนา

ทั้งจิกทั้งข่วนปลายเล็บลงบนแผ่นหลังกว้าง เรียกร้องหาออกซิเจนที่ขาดเป็นเวลานาน ทว่ากว่าจะได้รับความเห็นใจ กลีบปากก็แทบหลอมละลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ม่านคมเข้มจ้องสบชิดใกล้ ระยะเพียงแค่แพขนตาแตะสัมผัส ลูกแก้วกลมมนรีบเฉหลบพลันใจสั่นไหวเหนือความควบคุม กายผอมลอยขึ้นด้วยลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไม่ทันไรใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงมาฉกฉวยเอาความหอมหวานไปจากตน



พลิศไม่รู้ว่านี่คือนรกหรือที่ไหน...

ทุกข์ระทมขื่นขมปนความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย หยาดน้ำใสไหลรินอาบปรางขาวหากแต่ริมฝีปากกลับขยับปล่อยเสียงแปลกประหลาด เจ็บร้าวไปทั้งร่างทว่ามันไหวซ่าน ทั้งเย้ายวนทั้งทรมาน ความต้องการที่ถูกปลุกปั้นรวนคุณหนูคนน้องแทบสติหลุด

ร่างกำยำเบียดกายผอมอ่อนกำลังเข้าผนังห้องน้ำ ความเย็นจากฝักบัวไหลผ่านความเร่าร้อน ลุกลามแผดเผาราวปรารถนาให้ร่างสูญสลายกลายเป็นเศษผง ปลายลิ้นอุ่นฉกชิงเก็บกินน้ำหวานปานน้ำผึ้งในโพรงปาก สร้างความวาบหวามมากขึ้นเมื่อฝ่ามือหนาไต่ผิวเนื้อนวลสะอาดไปทั่วบริเวณ ฟอนเฟ้นหนักหน่วงหยาบโลนบริเวณสะโพกมน

“อือ...”

คล้ายกำลังล่องลอยไปในห้วงอากาศอันแสนไกล เนิ่นนาน ยาวนาน และเพราะความไม่ประสาจึงโอนอ่อนเผลอไผลให้ถูกรังแก แรงสะอื้นฮักค่อยๆผ่อนคลายลงตามการหลอกล่อนำพา หัวไหล่ แผ่นอกบาง หน้าท้องแบนราบ เรื่อยผ่านมายังต้นขาด้านใน ไม่มีบริเวณไหนรอดพ้นจากรอยราคี

ภัควัฒน์โยธินคนเล็กเมารสจุมพิตจนเสียท่า ดวงตาคู่สวยฉ่ำหวานไหวระริกยั่วเย้าอย่างไม่ตั้งใจ เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เหลือติดตัวมาสักชิ้นตั้งแต่ธารน้ำตก ทว่าอะไรก็ไม่น่าอับอายเท่าบางส่วนของร่างกายที่กำลังเชื่อมต่อกัน...อีกครั้ง และมันส่งผลให้กระตุกเกร็งยามผู้คุมเกมเริ่มขยับสอดใส่ เติมเต็มโดยไม่คิดจะสนใจลิ่มเลือดที่ไหลปนหยาดหยดของม่านอารมณ์ เรียวขาเพรียวตวัดพาดเอวสอบถูกรั้งประคองไว้ด้วยคนป่าเถื่อน ที่เหมือนจะอ่อนโยนมากขึ้นอาจด้วยเพราะเสียงครวญครางระรื่นหูเครือคลออย่างน่าเอ็นดู ปราบพยศเด็กดื้อจนหมดคราบคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง เหลือแต่เพียงตัวยุ่งที่พร่ำเรียกให้ช่วยหลุดพ้นจากความทรมาน

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดนิ่งมองใบหน้าขาวจัดเหยเกจากความจุกและสุขสม อดไม่ได้ที่จะโน้มลงไปหาเพื่อมอบจูบปลิดลมหายใจ กลืนความบวมช้ำนั้นไว้ซ้ำๆ ไม่รู้ทำไมจู่ๆมันก็หวานละมุนละไมติดลิ้นติดปาก ร่างกายผอมบางทว่านุ่มนิ่มอ่อนปวกเปียกด้วยสิ้นฤทธิ์เดช โดนทำโทษเสียจนหมดเรี่ยวแรง ทั้งหอบทั้งสั่น คราวนี้ไม่เหมือนกับคราวก่อนในปั๊มน้ำมันระหว่างทาง เนื่องจากตนไม่ยอมให้ทายาทศัตรูกรีดร้องจนสลบคาห้องน้ำเพราะแค่ทำให้เสร็จด้วยมือ และถึงแม้จะรู้ว่ามันคือครั้งแรก ผนังอ่อนนุ่มรัดแน่นเสียจนเขาเสร็จข้างใน แถมทำท่าจะหมดสติทันใดหากแต่ขุนไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ทำทุกวิธีให้อีกฝ่ายตื่นตัวตลอดเวลา ก็เพราะว่าอยากทำลายให้แหลกไม่เหลือชิ้นดี ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นภัควัฒน์โยธินยิ่งเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ดวงตาใสแจ๋วที่ช้อนมองอย่างเว้าวอนไม่อาจทำให้หัวใจด้านชานั้นอ่อนลง


ฆ่าให้ตายตอนนี้มันไม่สาแก่ใจหรอก

ต้องรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นต่างหาก

นั่นแหละ...ทุกข์ทรมานเสียให้พอ




แสงสว่างในช่วงสายลอดผ่านหน้าต่างไม้ด้านข้างหัวเตียง ไม่ใช่นาฬิกาปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นจากความฝันอันแสนเหนื่อยล้า ทว่าความร้อนระอุที่ถูกส่งเข้ามารบกวนและร่างกายที่เริ่มสั่นโยกนั่นคือต้นเหตุ ความเสียวกระสันพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว แม้รู้สึกปวดหัวแทบระเบิด พิษไข้รุมเร้าแต่ก็ฝืนลืมเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมา เพื่อพบกับ...

ใบหน้าหล่อเหลาในระยะประชิด กลีบปากสีซีดถูกครอบครองทันทีโดยไร้บทสนทนา ความอุ่นชื้นกวาดสำรวจไปตามไรฟัน เกี่ยวกระหวัดสอดพันลิ้นเล็กๆเพื่อร้องหาหยาดน้ำเชื่อมอย่างไม่รู้จักพอ

“อ๊ะ...”

หลุดครางสั่นยามสะโพกสอบหมุนควงหนักหน่วงด้วยจังหวะเนิบนาบ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนสลบไปตอนไหน เพราะภาพสุดท้ายก่อนจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ตนถูกพามาย่ำยีบนเตียงนอนหลังนี้

“พอแล้ว...ได้ โปรด..”

น้ำเสียงแหบแห้งร้องขอแผ่วเบา ทว่าคนด้านบนกลับเพิกเฉยละเลยไม่สนใจ เล้าโลมแกนกายขาวปลุกเร้ารูดรั้งด้วยฝ่ามืออุ่น ช่องทางแคบบอบช้ำแต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ทอดสายตามองร่างขาวโพลนที่เต็มไปด้วยรอยฟันและรอยห้อเลือด รวมถึงผื่นคันจากการแพ้เกสรข้าวโพดในไร่เมื่อวาน อุณหภูมิผิวเนื้อร้อนผ่าวเพราะกำลังไม่สบาย หากแต่ตนก็ใจร้ายลงมือรังแกได้ลงคอ

บีบแก้มนิ่มจนมันยุบตัวไปตามแรง ตอนแรกขุนแค่ต้องการบังคับฝ่ายที่พยายามหลบเลี่ยงให้สบจ้องกันและกัน อยากดูความทุกข์ทรมานของทายาทศัตรู ทว่าการกระทำนั้นส่งผลให้กลีบเนื้ออ่อนเผยอยู่น้อยๆ และเจ้าของกายสูงก็ไม่ปล่อยให้มันค้างเติ่งอยู่ท่านั้น ก้มลงไปดูดกลืนมันอย่างเร่าร้อน สั่งสอนว่าไม่ควรยั่วอารมณ์คนอย่างเขาให้มากนัก

พลิกร่างบางจัดท่วงท่าให้นอนคว่ำ รั้งสะโพกสวยขึ้นจนสามารถมองทะลุไปถึงไหนต่อไหน แลบปลายลิ้นเลียริมฝีปากอิ่มก่อนจะค่อยๆกดส่วนกลางลำตัวเข้าไปใหม่จนมิดด้าม ชะงักนิ่งไม่ยอมขยับสอดใส่พลางโถมกายสูงใหญ่ทาบทับ

ทิ้งน้ำหนักตัวไว้บนท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างซึ่งวางขนาบลงฟูกนอน กักกายผอมด้วยกำแพงมนุษย์ยักษ์ จับจ้องดวงหน้าขาวจัดไม่ละสายตา ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปฝังฟันคมกัดข้างแก้มเนียน ฟังเสียงลมหายใจหอบกระชั้นของเด็กหนุ่ม รอคอยจนกระทั่งผิวเนื้อบริสุทธิ์สั่นระริกด้วยความอยากกระสัน ข้างในร้อนรุ่มยิ่งกว่าครั้งก่อนๆเพราะอีกฝ่ายโดนพิษไข้เล่นงาน แล้วยังต้องมาคอยแบกรับภาระจัดการส่วนที่มันขยายตัวเนื่องจากจังหวะตอดรัดถี่รัวของผนังอ่อนนุ่ม

“อืม...”

ได้ยินเสียงครางต่ำลอยดังอยู่ไม่ไกล ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็ถึงกับเต้นเร้ารุนแรง ยิ่งคนด้านบนเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ความทรมานยิ่งพอกพูนแผ่ขยายไปทุกสรรพางค์ จำต้องช้อนใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ศีรษะทุยสวยจะส่ายไปมาคล้ายปฏิเสธการกระแทกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า หากแต่ลึกๆเด็กหนุ่มกำลังอ้อนวอนขอให้พาขึ้นสู่สรวงสวรรค์ มือเล็กจับขย้ำผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อระบายห้วงอารมณ์ที่ชวนให้สติกระเจิดกระเจิงแต่หัววัน สุ้มเสียงหวานลอดผ่านกลีบเนื้อนุ่ม พยายามร้องขอความเห็นใจ

“ได้..โปรด...”

เหมือนความมืดบอดแทรกซึมทุกโสตประสาท กระบอกตาชุ่มหยาดน้ำไร้สี รื้นคลอเต็มหน่วยใกล้ทะลักแล้วเต็มที ภัควัฒน์โยธินต้องมาเสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีเพราะตน น่าอับอายขายขี้หน้าเสียจนอยากหลุดพ้นด้วยความตาย ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้าหา ไม่อาจต้านทานด้วยเหตุผลที่ว่าอ่อนแอ ไม่เอาไหน คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด

แววคมสีน้ำตาลเข้มสะท้อนอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือหนาบีบปลายคางเรียวบังคับให้หันมาสบจ้อง ม่านกลมมนพร่าเลือนด้วยเพราะถูกหยาดน้ำตาบดบัง ทว่าพอมันเริ่มไหลรินโครงหน้าดูดีก็ค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้น ประกายตาหวานสั่นระริก กลอกมองคล้ายต้องการหยั่งลึกถึงจิตใจ และเพราะอ่อนต่อโลก เด็กน้อยจึงเผลอหลุดถามคำถามหนึ่งในห้วงความคิดอันแสนยุ่งเหยิง


“เรา...ฮึก...”
“ทำอะไรผิดเหรอ”


หากแต่คำตอบกลับเป็นเพียงจุมพิตวาบหวามที่ทำเอาแทบหมดลม
ถ้าจะผิด ก็คงผิดตั้งแต่เกิดมาใช้นามสกุล ภัควัฒน์โยธิน






ภาพความฝันอันแสนเลือนรางนั่นคือการถูกพาไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ แปลกที่เขาไม่นึกหวาดกลัวพวกจิ้งจกข้างผนังแม้จะสะอื้นฮักจนตัวสั่นโยน ทว่าอ้อมแขนแกร่งที่โอบล้อมจากด้านหลังสร้างความรู้สึกประหลาด อบอุ่นจนร้อนและแข็งแรงเสียจนน่าอึดอัด ไม่รู้เพราะเจ้าของลำแขนที่ว่าน่ากลัวกว่าพวกมันหรืออย่างไร ฝ่ามือใหญ่คอยปาดคราบน้ำตา พร้อมๆกับเสียงกระซิบที่คอยบอกให้หยุดร้องไห้ ไม่ใช่การขู่บังคับเฉกเช่นทุกที ก่อนสติของตนจะดับลง

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่เฝ้ามองแผ่นหลังของพ่อ เฝ้าฟังเสียงทุ้มทรงอำนาจตำหนิสั่งสอนผ่านสายโทรศัพท์ทางไกล อาจจะตั้งแต่ที่แม่จากไปเพราะอุบัติเหตุ เด็กหนุ่มเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ รั้วภัควัฒน์โยธินดูโกลาหลวุ่นวายหลังจากคุณลุงพิพัฒน์เสียชีวิตในเหตุการณ์เดียวกัน ตอนนั้นไฮท์ยังเด็กมากและไม่เข้าใจภาษาไทย เขาอยู่ที่อังกฤษกับพี่เลี้ยงเนื่องจากไม่ได้กลับบ้านพร้อมมารดา กว่าจะรู้ความหมายของคำว่า ‘ตาย’ นั่นคือการที่ผู้เป็นดั่งดวงใจจะไม่กลับมาอยู่ด้วยกัน ร่างไร้วิญญาณก็ถูกเผาจนเหลือเพียงเถ้ากระดูก

เพราะถูกตามใจ เขาจึงเอาแต่ใจและมีนิสัยที่ไม่ดี พ่อมักจะพูดแบบนี้ พูดว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหน ทำไมถึงคอยแต่ทำให้ภัควัฒน์โยธินด่างพร้อย ทำไมไม่รู้จักคิด ทำไมถึงไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วจบลงด้วยการวางสายใส่เสมอ

เพราะพ่อต้องทำงานหนัก เพราะพ่อต้องแบกรับภาระของตระกูลมากมาย เพราะพ่อเหนื่อยและไม่มีเวลาพักผ่อน พี่เดย์มักปลอบด้วยประโยคเหล่านี้และเขาเข้าใจดี เข้าใจว่าที่พ่อเปลี่ยนไปก็เพราะเหตุผลทั้งหมดที่พี่ชายกล่าวมา

พ่อกอดเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะก่อนที่แม่ตาย มีแต่เพียงอ้อมแขนเล็กๆของพี่ชายเท่านั้นที่พอจะทดแทน คลายความว้าเหว่อ้างว้างในจิตใจ ไฮท์ไม่ได้ขาดความอบอุ่นแต่เขาแค่ต้องการมัน

บ้าง...

หรือสักนิดก็ยังดี




“ตื่นแล้วเหรอครับ?”

ดวงตาคู่หวานกลอกมองเพดานห้องเพื่อปรับโฟกัส รอยยิ้มอ่อนโยนฉายบนใบหน้าของบุคคลที่ตัวเองไม่รู้จักพาเรียวคิ้วสวยขมวดมุ่น ทว่าเสียงของคนที่กระโจนมาเกาะข้างเตียงทุเลาความกังวลของเด็กหนุ่มได้ทันที

“คุณหนูยุ่ง! เป็นยังไงบ้างครับ คุณหนูเจ็บตรงไหน คุณหนูปวดหัวไหมครับ หิวข้าวหรือยัง เดี๋ยวผมจะไปตามไอ้ภาคมาทำข้าวต้มให้กินนะครับ”

ฟากฟ้ารัวคำถามเป็นชุด ทั้งดีใจทั้งโล่งอก กราดสายตาสำรวจร่างผอมไปทั่วเพื่อความสบายใจพลางผุดลุกขึ้นวิ่งออกไปเรียกหาภาคภูมิอย่างคนเสียสติ เป็นก้องเกียรติที่โผเข้ามานั่งแทนที่ด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่ต่างกัน เรียกเสียงหัวเราะขำจากชายหนุ่มที่กำลังดูอาการของคนป่วย

“หลับไปตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง ไหนหมอขอตรวจดูผื่นที่หน้าอกหน่อยครับ”

แม้ชายแปลกหน้าจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเองเป็นหมอ หากแต่คุณหนูกลับไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัวตามนิสัย ทำท่าจะขยับถอยแต่ต้องชะงักเนื่องจากความร้าวระบมของร่างกาย ดวงหน้าอ่อนหวานบิดเบ้ด้วยความเจ็บ หยาดน้ำตารื้นคลอเต็มหน่วย ทำให้ก้องเกียรติเผลอเรียกเสียงอ่อนด้วยความสงสาร

“คุณหนู...”
“ก้อง ไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาหน่อย เราต้องช่วยกันเช็ดตัวให้เขา จะได้ทายาลดผื่นคัน”
“หมอครับ คือผมว่ารอให้ไอ้ภาคมาก่อนได้ไหม คุณหนูยุ่งจะคุ้นเคยมากกว่า”

ชนวีร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไประบายยิ้มให้คนไข้บนเตียง ใบหน้าขาวจัดที่เคยซีดเซียวเริ่มมีเลือดฝาด น้ำเกลือสองกระปุกช่วยได้มาก ดีที่ฉีดยาลดไข้ให้ทันเวลา ตัวร้อนเกือบสี่สิบองศา ไม่รู้ว่าถ้าตนมาช้าสักนาทีจะเกิดอะไรขึ้น






“ใครวะ? มึงควรอธิบายรายละเอียดเชิงลึกมากกว่าบอกว่าเขาไม่สบาย”

วางกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ลงบนโต๊ะกระจกทรงต่ำ ทรุดกายสูงใหญ่นั่งบนโซฟาหนังพลางเริ่มบทสนทนา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในออฟฟิศช่วยลดทอนความอ่อนล้าจากการไม่ได้พักผ่อน จู่ๆก็ถูกเรียกตัวมากลางดึกเมื่อคืนวาน พอมาถึงก็พบเด็กหนุ่มนอนซมหมดสภาพอยู่ในเรือนท้ายไร่ ไม่ต้องให้บรรยายความเสียหายยับเยิน แค่อุณหภูมิร่างกายสูงจนเกือบช็อกตายก็เกินกว่าจะมีเวลาถามไถ่เอาความ

“มึงทำหน้าที่มึงเสร็จแล้วก็กลับไป”
“กูไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่กูคิดว่ามึงทำเกินไป”

นายแพทย์หนุ่มแสดงความคิดเห็น อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับอีกฝ่ายถึงได้เอ่ยปากเตือน ภาพเจ้าของกายผอมบางนอนเพ้อเนื่องจากพิษไข้ตลอดทั้งคืนยังติดตา ไม่ไกลจากคำว่า ‘น่าเวทนา’ เลยสักนิด ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ร่องรอยการถูกกระทำชำเรา

ทว่าความเงียบนั่นทำให้ชนวีร์ต้องถอดถอนหายใจ รู้ดีว่าถ้าขุนไม่อยากตอบก็คือไม่ได้คำตอบ โชคดีที่เขาปิดคลินิกดึกกว่าปกติ ตอนแรกก็แปลกใจที่เห็นฟากฟ้าโผล่มาหาถึงหน้าบ้าน เพราะระยะทางจากในตัวเมืองเชียงรายจนถึงไร่ตะวันค่อนข้างไกล แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ใช่จะขับรถไปมาหาสู่กันเมื่อไหร่ก็ได้

“ผื่นคันทายาหลังเช็ดตัวทุกครั้งอีกไม่กี่วันก็หาย ส่วนไข้ลดลงแล้วแต่ตัวยังรุมๆให้กินยาจนกว่าจะหมด ต้องให้เขาทานอาหารบ้างไม่อย่างนั้นจะอ่อนเพลีย อ่อ! ถ้ามึงจะช่วยอดทนไม่จับเขาปล้ำอีกจะดีมาก ให้บาดแผลมันสมานกันเสียก่อน กูกลับละเดี๋ยวอีกสองวันจะมาดูอาการใหม่”

ชนวีร์ว่ายาวพร้อมๆกับดันตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมมือไปหยิบยกกระเป๋า สาวเท้าเข้าไปหาพ่อเลี้ยงของไร่ที่เอาแต่สนใจเอกสารรายรับรายจ่าย แต่ก็รู้ว่าทุกถ้อยคำที่ตนกล่าวพูดได้ผ่านเข้าหูและเก็บไว้ในสมองของมันจนหมดแล้ว นาฬิกาบนฝาผนังด้านหนึ่งบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ดึกป่านนี้ยังเอาแต่ทำงาน หรือเพราะประโยคตัดพ้อจากปากเด็กน้อยทำให้ไม่กล้าเผชิญหน้า ก็ชักไม่มั่นใจ

“กูว่าเขาน่ารักว่ะ”

หมอหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นตรงมุมปาก ลอบสังเกตหัวคิ้วเข้มที่ขมวดฉับ ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ชนวีร์มองออกว่าเจ้าตัวไม่ค่อยปลื้มกับข้อความข้างต้นมากนัก

“มึงเรียกเขาว่าอะไรนะ? น้องยุ่ง?”
“กูไม่เชิญ มึงไม่ต้องมาอีกก็ได้ ไม่เป็นอะไรแล้วนี่”
“หวงก้างซะด้วย”
“พอไอ้ชน กูขี้เกียจทะเลาะกับมึงเป็นเด็กๆ จะให้ฟากไปส่งหรือจะเอารถกูไป?”

ใบหน้าหล่อเหลาฉายความหงุดหงิดทำให้ชนวีร์ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ และจะไม่ต่อกร ส่วนเรื่อง ‘น้องยุ่ง’ เขาแค่แซวเพราะได้ยินพวกคนสนิทเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อนั้น อย่างมันลองเรียกชื่อคนอื่นหวานๆถ้าไม่ป่วยหนักก็คงจะโดนดักตีหัวมาเป็นแน่ นอกจากแม่บังเกิดเกล้าอย่างป้าอัมพรแล้ว ไม่เห็นมันจะพูดจาดีๆกับใคร

“เอารถมึงไปแล้วกัน ยังไงกูก็จะกลับมาดูอาการน้องยุ่งของมึง กูเป็นพวกแพ้ของน่ารักมึงก็รู้”
“กูไม่รู้”

ตัดบทสนทนาอย่างเฉยชา พร้อมกับปากุญแจยานพาหนะมาจนนายแพทย์หนุ่มเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน ชนวีร์ส่ายหน้าหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ทั้งที่ได้นอนหลับไม่กี่ชั่วโมงเนื่องจากต้องคอยดูอาการคนป่วยตลอดทั้งคืนวานลากยาวจนถึงตลอดทั้งวันนี้ ก้มตัวลงเก็บกุญแจรถที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะบอกลา ทว่าพอเดินไปถึงประตูเสียงทุ้มต่ำเอกลักษณ์กลับดังขึ้น ชะงักการเคลื่อนไหว จำต้องหันกลับไปสบจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม

ที่สื่อความนัยให้อ่านอย่างทะลุปรุโปร่ง


“พวกภัควัฒน์โยธิน”
“ไอ้ขุน...มึง...”


หรือเป้าหมายของเกมหมากกระดานนี้จะถูกเปลี่ยนแปลง?
ก็เกินกว่าจะคาดเดา...
   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:15:03 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ก้องเกียรติไม่รู้จะนิยามบรรยากาศในเรือนหลังกะทัดรัดนี้ด้วยคำไหน หมองมัว เศร้าสร้อย หดหู่ หรือว่าอะไรก็ไม่เหมาะกับเจ้าของฉายาตัวยุ่งที่ไม่ทำหน้าที่ให้สมกับชื่อเรียกนั้นตั้งแต่ตื่นนอน ดวงตากลมมนทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่าต้นไม้บริเวณดังกล่าวน่าสนใจกว่าพวกเขาสามคนที่พยายามผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้า ปฏิกิริยาตอบสนองมีเพียงความเงียบงันกับการส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อไม่หิวหรือไม่ต้องการสิ่งใด พวกเขาปล่อยให้คุณหนูอยู่กับตัวเอง แม้อยากจะฟังเสียงแว่วหวานนั้นตะโกนโวยวายอย่างเอาแต่ใจมากกว่าก็ตาม

น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะขณะเจ้าตัวก้มลงมองร่องรอยบนร่างกายผ่านสาบเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง เรียกให้ฟากฟ้ากับก้องเกียรติต้องรีบหันหน้าไปทางอื่น ไม่อาจทนเห็นความปวดร้าวที่เผลอหลุดแสดงออกมา ใบหน้าขาวจัดหม่นหมอง ทั้งมีอาการเซื่องซึม กลีบปากสีแดงสดที่เคยขยับเจื้อยแจ้วและมักเอ่ยถามด้วยความสงสัยปิดสนิท แต่เหมือนเด็กหนุ่มกำลังกรีดก้อนเนื้อในอกพวกตนด้วยแววเคลือบใสคู่นั้น ที่ฉายความทุกข์ทรมาน สิ้นหวัง หรืออะไรซักอย่างที่สาหัสสากรรจ์เกินกว่าจะแบกรับเอาไว้ด้วยตัวเล็กๆ

แม้เพิ่งได้ดูแลรับใช้ ทว่าบ่าวไพร่อย่างพวกตนกำลังรู้สึกผูกพัน ราวกับปรนนิบัติพัดวีมาแต่เล็กแต่น้อย รู้ดีว่าไม่ถูกต้องและไม่ควรบังอาจ อีกฝ่ายเป็นดั่งจำเลยที่สามารถถูกปลิดชีพได้ทุกเวลา ถึงพ่อเลี้ยงจะยังไม่ลงมือแต่ถ้านายหัวรังสิมันตุ์เอ่ยปากเมื่อไหร่ถือว่าเป็นคำประกาศิต และไม่มีใครกล้าคิดขัดคำสั่ง พวกเขาถูกพร่ำสอนให้เกลียดตระกูลภัควัฒน์โยธิน แต่พวกเขาไม่อาจเกลียดคุณหนูยุ่ง ตัวก็แค่นี้ใครจะเกลียดจะชังลง ยิ่งเวลาเอาแต่ใจยิ่งน่าเอ็นดูเสียจนอยากจะนั่งตามใจทั้งคืนทั้งวัน

ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรในขณะยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาออกจากดวงหน้าอย่างลวกๆ ดูซูบตอบลงไปเยอะ ทั้งที่ปกติก็ตัวผอมมากอยู่แล้ว ถึงจะยอมทานข้าวทานยา ไม่ดื้อเวลาที่ช่วยเช็ดตัวหรือทาคาลาไมน์ลดผื่นคัน ให้ความร่วมมือดีทุกอย่าง แค่ไม่สนทนาเท่านั้น แต่ก็ใช่จะไม่ยอมปล่อยเสียงให้ลอดผ่านริมฝีปากเลยซะทีเดียว...

เป็นฟากฟ้าที่หันหลังเดินออกไปจากห้อง แม้ร่างกายจะสูงใหญ่ ถูกฝึกมาให้เป็นทั้งบ่าวรับใช้และบอดี้การ์ด ทว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอจะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก สถานการณ์ที่...กลีบเนื้ออ่อนขยับฮัมเพลงแผ่วเบา คงจะเป็นเพลงโปรดของเจ้าตัว แม้เนื้อร้องฟังแล้วช่างดูมีความสุข หากแต่หยาดน้ำไร้สีที่ไหลเปรอะเปื้อนแก้มขาวนั่นช่างสะเทือนใจ

มันคือวิธีคลายความโศกเศร้าที่สุดแสนจะทรมานผู้พบเห็นอย่างพวกเขาโดยไร้ซึ่งความปรานี ถ้าคุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินมีมีด ก็ขอให้เอามาแทงมากรีดให้เกิดบาดแผลเสียยังดีกว่า ถ้ามีปืนก็ขอให้ลั่นไกเล็งตรงมายังจุดสำคัญ หากจะลงโทษที่พวกเขานั้นแสนด้อยค่า ไม่อาจให้ความช่วยเหลือใดๆนอกเสียจากมายืนเสนอหน้าตรงนี้ทุกๆวัน ด่าทอ ตบตี หรือได้โปรดใช้กำลัง ร้องเพลงทั้งที่ร้องไห้ ถึงอยากจะฟังเสียงแต่ไม่เคยปรารถนาให้เป็นเช่นนี้


“ภาค ก้อง ออกไปช่วยฟากขนของมาเก็บ”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำลอยดังพาเสียงฮัมเพลงแผ่วเบาจากร่างบอบบางหยุดชะงักไป ภาคภูมิกับก้องเกียรติก้มศีรษะลง ก่อนจะพากันแยกย้ายตามคำสั่ง หนึ่งทุ่มยี่สิบแปดนาที เป็นคืนวันแรกที่พ่อเลี้ยงกลับมายังเรือนนี้ตั้งแต่เกิดเรื่อง มีแต่พวกเขาสามคนกับคุณหมอชนวีร์ที่คอยแวะเวียนมาตลอดทั้งสัปดาห์ อีกเหตุผลคงจะติดงานที่รีสอร์ท เนื่องจากแม่เลี้ยงใหญ่ให้คนที่นู่นมาตามตัว

กายสูงโปร่งสาวเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน ถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกพาดไว้บนพนักเก้าอี้ เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวที่สวมซ้อนไว้ด้านในกับกางเกงบลูยีนส์ เข้ากันดีด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลซึ่งพาดผ่านเอวสอบได้อย่างลงตัว ม่านคมเข้มทอดมองร่างบอบบางของคนที่นั่งนิ่งติดขอบหน้าต่าง ปลายคางเรียวสวยเกยบนท่อนแขนกลมกลึงข้างหนึ่ง สายตาจับจ้องออกไปด้านนอกไม่รู้กำลังมองสิ่งใด

ไร้เสียง ไร้ความเคลื่อนไหว จนกระทั่งลูกน้องคนสนิทขนข้าวของมาเก็บในบ้าน และพากันขับรถกระบะออกไปแม้จะมีท่าทีอาลัยอาวรณ์คุณหนูคนโปรดของตัวเอง เพราะมัวแต่ขลุกอยู่ในไร่หลายอาทิตย์ ขุนจึงต้องกลับไปสะสางงานที่รีสอร์ท จะละทิ้งความรับผิดชอบในส่วนนั้นก็เห็นจะไม่ถูก ถึงงานที่ทำอยู่ตรงนี้จะอยู่ในส่วนที่นายหัวร้องขอมาเป็นพิเศษก็ตาม

“ก็ยังไม่ตาย”

ตัวผอมบางเริ่มสั่นเทาเพราะกลั้นสะอื้น จากที่เกยคางอยู่บนขอบหน้าต่างก็เปลี่ยนท่วงท่ามาเป็นการกอดร่างของตัวเอง เบียดกายเล็กๆเข้ากับมุมห้องไม่ต่างจากลูกหมาจนตรอก ขุนสืบเท้าเข้าไปหา คล้ายว่าจะต้อนให้หมดหนทางหลบหนี ทรุดร่างสูงนั่งยองๆมองเด็กน้อยที่ซุกใบหน้าลงกับเข่า

“แต่ถึงอยากตาย ฉันก็ไม่ให้ตาย”
“เราจะไม่หนี...”

กระแสเสียงสั่นพร่า ม่านตากลมมนสั่นระริกช้อนขึ้นมาสบจ้อง แม้จะมีแต่ความหวาดหวั่นหวาดกลัวสะท้อนบนลูกแก้วคู่หวาน หากแต่ช่วงเวลาที่ได้จมอยู่กับตัวเองทำให้เด็กหนุ่มคิดตัดสินใจ เขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ เขาไม่ใช่คนไม่เอาไหน พี่ชายบอกเสมอว่าเขาเก่ง พี่เดย์บอกเสมอว่าไฮท์เก่งที่สุด

ในเสี้ยวเวลาสั้นๆ ภาพรอยยิ้มหวานของมารดาลอยผ่านเข้ามาให้หัว หลังจากกลับมาอยู่ประเทศไทย เขาเริ่มถามคำถามหนึ่งกับนมพริ้มเพราะชอบฟังคำตอบ คำตอบที่แม้จะเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่เขากลับถามซ้ำๆไม่รู้เบื่อ ถามเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่เริ่มเรียนรู้สิ่งรอบกาย เพราะมันทำให้รู้สึกดี รู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็เหมาะสมคู่ควรที่จะใช้นามสกุลภัควัฒน์โยธิน

“เราจะอยู่...ฮึก..ชดใช้ให้...”

เขาจะไม่ทำให้ต้นตระกูลต้องป่นปี้แปดเปื้อน ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาจะปกป้องพี่ชายได้ อย่างน้อยที่สุดก็ลบล้างหนี้แค้นที่คุณลุงพิพัฒน์ทำไว้อย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหา ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดไป หรืออาจจะต้องใช้ตลอดทั้งชีวิตนี้

รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นทันทีบนใบหน้าหล่อร้าย ไม่มีถ้อยคำใดๆลอดผ่านเรียวปากหยัก นอกเสียจากม่านคมเข้มที่ลอยอยู่ในระยะเพียงหนึ่งลมหายใจ สายตาทอดนิ่งคล้ายเยาะเย้ยให้กับความพ่ายแพ้ย่อยยับ

นั่นไม่ใช่ของภัควัฒน์โยธิน...
หากจะโทษให้เป็นความผิดใครสักคนบนโลกใบนี้
เขาขอโทษตัวเองที่เกิดมาอ่อนแอ ไร้ค่า

ถ้าจะใจร้ายก็ได้โปรดช่วยใจร้าย ใจร้ายให้มากกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า ทำร้ายทำลายให้แหลกละเอียดมากกว่านี้หมื่นเท่าล้านเท่า แม้เขาจะไม่ใช่ภูผาภัควัฒน์โยธินที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้า แต่เขาจะเป็นหญ้าที่ช่วยโอบล้อมผืนดินภัควัฒน์โยธินให้ชุ่มฉ่ำ ความทุกข์ทรมานที่ปะปนไปกับเสียงดังโครมครามในอกนี่คืออะไร? ความเจ็บปวดชอกช้ำที่น่าหลงใหล เพราะเขาอ่อนประสาเกินไปหรือเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ที่อ่านได้ยากยิ่ง

จูบหวานล้ำที่ตระกองมอบให้ ฝ่ามือหนาที่ประคองใบหน้าอ่อนเยาว์เอาไว้ราวกับกลัวเจ้าของจะแตกสลาย แรงกดย้ำนุ่มนวลแทบหลอมละลายริมฝีปากปากทั้งคู่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


แม้แต่ผู้กระทำก็ยังไม่รู้
ไม่รู้ตัว...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:16:18 โดย pangll »

ออฟไลน์ Sbatandty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อย่าลืมแปะกฎนะจะ  เรื่องนี้นายเอกท้องได้ทั้งสองคนหรือเปล่า

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๘.



“อร่อยไหมครับ?”

ดวงตากลมโตจับจ้องลุ้นคำตอบของคำถาม พานมช้อยกับสาวใช้อีกสองชีวิตรีบพยักหน้ารับทันทีที่รสชาติของขนมหวานแตะปลายลิ้น กลีบปากรูปหัวใจวาดยิ้มกว้างยามได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น และเจ้าตัวคงไม่รู้ว่ารอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอ่อนหวาน งดงามเสียจนไม่มีใครอยากละสายตา จะสะดุดก็คงเป็นรอยช้ำจางๆบนผิวแก้มด้านซ้าย ฝีมือแม่นักแสดงสาวที่ตอนนี้หายหน้าหายตาไปจากรั้วอัคคเดชภูดินันท์ คาดเดาว่าคงถูกคุณหญิงไลลาสั่งเก็บเพราะบังอาจแตะต้องลูกสะใภ้คนโปรด

ไม่คิดว่านายน้องจะบอกเหตุผลของรอยมือนั่นว่าเป็นอุบัติเหตุจากการหกล้ม ทั้งยังพยายามเปลี่ยนบทสนทนา เบนความสนใจของทุกคนไปเรื่องอื่น ทว่าฟังขึ้นเสียที่ไหน เห็นอยู่คาตาว่าอะไรเป็นอะไร นมช้อยเป็นฝ่ายรายงานความกระจ่างแจ้งแก่เจ้านายภายหลังโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนั้น นายหัวรังสิมันตุ์ยังคงความสุขุมไว้อย่างดีเยี่ยม หากแต่คุณหญิงไลลาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ตวาดสั่งลูกชายให้จัดการ ยื่นคำขาดถ้าไม่ทำ เธอจะลงมือเอง

“ผมทำไม่ค่อยเก่ง ดีใจที่มันยังพอทานได้”
“พอทานได้ที่ไหนกันคะนายน้อง มาอยู่แค่อาทิตย์เดียว ดูมะปรางกับแสงเดือนเอาเถอะค่ะ จะสวมกระโปรงกันไม่ได้แล้ว”
“คุณนมช้อยล่ะก็ ขนมฝีมือนายน้องอร่อยจะตาย ให้แสงเดือนชิมทีไร หมดทุกทีเลยค่ะ”
“นายน้องสอนมะปรางทำหน่อยนะคะ พวกขนมฝรั่งถ้าคุณหญิงท่านไม่หยิบมาฝาก ก็แทบจะไม่ซื้อกินกันเลย”
“ขี้งกน่ะสิ”

นมช้อยเอ่ยประชดเข้าให้ เรียกเสียงกระเง้ากระงอดจากสาวใช้ทั้งสองคน รวมถึงเสียงหัวเราะขำจากเจ้าของกายบอบบาง แม้สถานการณ์จะไม่เลวร้ายมากนักแต่ไม่อาจไว้วางใจ พวกคู่ขาคู่ควงทั้งหลายจ้องจะเล่นงานทุกเมื่อยามสบโอกาส อย่างเช่นสายวันนี้เสื้อผ้าในตู้ของนายน้องก็ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย บ้างก็ลอยเล่นอยู่ในสระน้ำด้านหลังเรือน กลั่นแกล้งกันเหมือนเป็นเด็กประถม ทว่าคุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินกลับไม่โต้ตอบใดๆ เก็บข้าวของของตัวเองโดยไม่แม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือ มะปรางซึ่งมีหน้าที่ไปทำความสะอาดพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าวเข้า จึงได้ยื้อแย่งเอาเสื้อผ้าทั้งหมดไปซักรีดให้ ตอนแรกนายน้องบอกว่าจะทำเองแต่สาวใช้ยืนยันหนักแน่นไม่ยอมเด็ดขาด เพราะคุณหญิงไลลาไม่อยู่เรื่องทำนองนี้ถึงเกิดขึ้นอีก ส่วนนายหัวลงไปสะสางงานที่กระบี่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์

“เดี๋ยวผมทำเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่า”
“นายน้อง...”

มีแต่เพียงเสียงเรียกด้วยความเทิดทูนบูชา เพราะนมช้อยรู้ว่าเจ้าตัวจะทำเพิ่มเผื่อบ่าวไพร่ทั้งเรือนอัคคเดชภูดินันท์ แม้แต่คนสวนก็ยังได้ทานกันทุกคน ถ้าไม่ขลุกอยู่กับพวกหล่อนช่วยทำกับข้าวทำขนม ก็มักจะไปสนใจพวกดอกไม้ต้นไม้ในเรือนเพาะชำ เหมือนนายน้องเองก็รู้ว่าหากทำงานบ้าน พวกตนจะถูกทำโทษ จึงมักคอยช่วยดูอยู่ห่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนในเรือนฝั่งขวาด้วยการตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อออกมาอยู่ในครัวไม่ก็สวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนหรือทำอะไร ก็ดูจะเพลินตาไปเสียหมด และกว่าจะกลับไปพักผ่อนก็หลังจากร่วมโต๊ะอาหารค่ำกับคุณหญิงเรียบร้อยแล้ว


จู่ๆกายสูงสง่าภายใต้ชุดสูทสีดำแบบทางการซึ่งไม่เหมาะจะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น สร้างความแตกตื่นให้แก่เหล่าบริวารซึ่งยืนออกันอยู่ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะต่างพากันรีบถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆราวกับรู้หน้าที่ เหลือไว้แค่เพียงคนที่ง่วนอยู่กับการทำไส้ครีมเอแคลร์บนเตา ไม่ได้รับรู้การมาถึงของผู้เป็นสามี

“พี่แสงเดือนหยิบเนยให้ผมหน่อยครับ”

นายหัวผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับชะงักฝีเท้า เพราะโดยปกติเขาเคยแต่ออกคำสั่ง แม้สุ้มเสียงแว่วหวานนั่นจะเป็นการไหว้วานมากกว่า แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ประมุขของอัคคเดชภูดินันท์ ไม่รู้ว่า ‘เนย’ ที่ว่านั่น มันคืออะไร

“ขอบคุณครับพี่แสงเดือน”

ลูกน้องคนสนิทหลุดยิ้มขำเพราะไม่อาจฝืนกลั้น เป็นปฐพีที่โผล่เข้ามาส่งวัตถุดิบบนโต๊ะให้กับผู้เป็นนายก่อนจะรีบถอยออกไปอยู่อีกฟากของประตู ด้วยรู้ทั้งรู้ว่านายหัวไม่มีทางรู้จัก พอรถยนต์จอดเทียบคฤหาสน์สุ้มเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยถามหาภรรยาทันที และทั้งที่จะสั่งบ่าวมาตามตัวให้ไปพบก็ได้ หากแต่กลับเป็นฝ่ายจะมาหานายน้องถึงที่เอง

“ไม่รู้ว่าหวานไปหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าน่าจะกำลังดี อ๊ะ!”

ปลายจมูกโด่งกดจมผิวแก้มนวล ชิงความหอมกรุ่นได้อย่างรวดเร็วร้ายกาจ กายเล็กสะดุ้งหันกลับมาทางตัวต้นเหตุ ทว่าก็เห็นแต่เพียงความชิดใกล้เกินพอดี ใบหน้าหล่อเหลาลอยห่างเพียงม่านอากาศกั้น นัยน์ตาสีดำขลับแพรวพราววาววับสร้างความสั่นไหว ดึงดูด หลอกล่อให้ลุ่มหลง พลัฏฐ์ไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงในเรือนฝั่งขวาถึงรบราแย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอบครอง

“ที่ว่าหวานน่ะ พี่ขอชิมหน่อยได้ไหม”

โครงหน้าดูดีโน้มลงมาจนปลายจมูกแทบแตะสัมผัสกัน ภัควัฒน์โยธินคนโตถึงกับเผลอกำด้ามจับอุปกรณ์สำหรับทำขนมแน่นอย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดผิวเนื้อ เรียกสีเลือดฝาดเฉดขึ้นตามปรางใส ยิ่งน่าดูน่าจดจ้องขึ้นอีกในสายตาคนมอง กลีบปากสีแดงธรรมชาติถูกฟันขาวขบด้วยความประหม่า แต่ฝั่งสามีกลับรู้สึกว่ามันกำลังเผยอยั่วให้บดเบียดลิ้มลอง

ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างกักกายบางติดเคาน์เตอร์ทำครัว แผงอกกว้างสมบุรุษกลืนแผ่นหลังแคบเสียจนมิด เรียวปากหยักสวยเลื่อนลงมาเรื่อยๆ สะกดความเคลื่อนไหวเหยื่อตัวน้อยไว้ด้วยม่านคมเข้ม แม้จะเห็นว่าอันตราย ทว่ามันกลับทรงอิทธิพล คล้ายบังคับให้สยบยอมสละสิ้นทุกสิ่งอย่าง แต่...ดวงหน้าน่ารักขยับเบี่ยงหลบได้ทันเวลา เกือบเผลอไผลในเสน่ห์เหลือร้าย ที่ไม่รู้ว่าถ้าพลาดขึ้นมาจริงๆ เขาอาจคลั่งไคล้อย่างทุกข์ทรมาน

“เอแคลร์ครับ”

เอื้อมมือไปหยิบเอาขนมบนถาดซึ่งทำเสร็จแล้วมายื่นให้ สัมผัสถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ปกติ เพราะลมหายใจร้อนผ่าวยังไม่คิดผละห่าง ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มยามจับกระแสเสียงสั่นตะกุกตะกักนั่นได้

“มือพี่ไม่ว่าง น้องป้อนหน่อยไม่ได้หรือ?”

เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหู เหตุผลข้างๆคูๆเนื่องจากมือที่ว่านั่นเลื่อนมากอดกระชับอยู่บริเวณช่วงเอวคอดบาง สร้างความกดดันให้แก่ภรรยาตัวเล็ก จำต้องส่งขนมหวานเข้าปากเจ้าของกายสูงอย่างไม่มีทางเลือก

ก้านนิ้วนุ่มนิ่มถูกงับด้วยฟันคม ลำบากคุณหนูคนพี่ต้องรีบชักมือกลับด้วยความตกใจ ทว่าข้อแขนกลับโดนรั้งไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ กระทั่งเลื่อนไล้มาสอดประสาน ดวงหน้าขาวจัดแดงซ่านขณะปลายนิ้วชี้เปื้อนครีมถูกปลายลิ้นชื้นแตะสัมผัส ดูดเบาๆอย่างย่ามใจ ทั้งที่สายตาทอดนิ่งมาคล้ายกับจะกลืนร่างกายเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น

อันตราย...

เหมือนมีใครกู่ก้องร้องเตือน ก้อนเนื้อในอกซ้ายดีดกระทบซี่โครง ถี่รัวเสียจนนึกห่วงว่ามันจะเป็นอะไร กลั้นลมหายใจ ไม่กล้าสะบัดกาย ไม่รู้ทำไมถึงไม่ทำ แค่ออกแรงขัดขืนก็จะได้รับอิสรภาพ หรืออาจจะต้องต่อสู้กับพละกำลังมหาศาลของอีกฝ่าย

ถ้าเปรียบ รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ เป็นสายน้ำ ก็คงจะเป็นสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราด หากเปรียบเป็นไฟ คงจะเป็นไฟที่พร้อมแผดเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้ และไม่อาจเปรียบเป็นภูผาสูงตระหง่าน เพราะอีกฝ่ายเทียบดั่งหุบเหวลึกที่มีแต่คนพร้อมจะทิ้งตัวลงไป ไม่ใช่ต้อยต่ำ แต่มันสุดที่จะหยั่งถึง

หากจมดิ่งลงลึกกว่านี้เขาอาจสูญเสียความเป็นตัวเอง...


“นายหัวครับ เอ่อ...ผมกลัวว่าขนมมันจะไหม้”

ม่านตากลมโตช้อนสบไร้แววสั่นไหวหวาดหวั่นเช่นก่อนหน้านี้ หลงเหลือแต่ความสุกสกาวโสภา ทอดส่งมาให้ช่วงอกแกร่งสั่นสะท้านเสียเอง ไม่ได้ข่มขวัญหรือกดขี่เพียงสักนิด แต่ร้อยทั้งร้อยต้องสยบแทบฝ่าเท้าเล็กๆ ยินยอมให้เหยียบย่ำด้วยความเต็มใจ

คล้ายๆหรือเทียบเคียงนางฟ้านางสวรรค์ แต่ด้วยเลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายนั่นช่างแสนน่ารังเกียจ โน้มตัวลงไปฝังปลายจมูกจมมิดผิวแก้มขาว สูดเอากลิ่นหอมละมุนเนิ่นนานเสียจนชุ่มปอด ความคิดกับการกระทำย้อนแย้งสวนทางอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะค่อยๆคลายพันธนาการ...


ทว่าพวกเขากำลังผูกบ่วงให้กันและกันอย่างไม่รู้ตัว   






“ลูกต้องพาน้องไปงานนี้ด้วย อย่างน้อยก็ควรเปิดตัวให้ฐานะคู่สามีภรรยา”
“....”
“ตาโชตได้ยินที่แม่พูดกับลูกไหม?”
“แม่ครับ ผมกำลังยุ่ง”
“ตาโชต!”

คุณหญิงไลลาเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาหาลูกชาย พลางโยนการ์ดเชิญร่วมงานเปิดประมูลเครื่องประดับลงโต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ความจริงงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่ออวดฐานะและความมั่งคั่งของบุคคลชนชั้นสูงในสังคม ที่อาศัยคำว่า ‘การกุศล’ มาเป็นข้ออ้าง แต่เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว จะปฏิเสธร่วมงานก็เหมือนไม่เป็นการสมควร

“แกต้องพาน้องไปด้วย นี่คือคำสั่ง”
“แม่เคยสั่งผมได้ด้วยเหรอ?”

เอ่ยพูดทั้งที่ไม่ยอมเงยหน้า เอาแต่สนใจตัวหนังสือที่เรียงร้อยเป็นข้อมูลการซื้อสัมปทานเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าของใบหน้าหล่อปนหวานตั้งเป้าว่าต้องได้งานนี้ แม้จะมีคู่แข่งอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่น่าพลาด

สีหน้าเคร่งขรึมของคนเป็นนายหัวนั้นทำให้คุณหญิงไลลายอมอ่อนข้อลง เหนื่อยใจเหลือเกินกับนิสัยดื้อรั้นไม่ฟังแม้แต่หล่อนที่เป็นมารดา ถึงจะโตขึ้นมาพร้อมกับหน้าที่ดูแลต้นตระกูล แต่ใครจะรู้ว่าความเก่งกาจฉลาดเหลือร้ายจะได้มามากล้นเสียขนาดนี้ ตะวันไม่เคยกดดันหรือบังคับให้ลูกต้องทำ หากแต่สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมรังสิมันตุ์ให้เป็นผู้นำด้วยตัวของตัวเอง มันคือจุดแข็งของอัคคเดชภูดินันท์ แข็งแกร่งดั่งเพชรแท้ ทว่าในมุมกลับกัน เธอต้องการให้ลูกมีความสุข มากกว่าเอาแต่คิดถึงหนี้ชีวิตที่ต้องชำระความ

“โชต แม่ขอร้องเถอะ พอได้แล้ว หยุดความเคียดแค้นชิงชังบ้าๆบอๆนั่นเสียที มันไม่เป็นผลดีอะไรกับลูกเลย”

เธอรู้ว่าทายาทเพียงคนเดียวต้องตาต้องใจคุณหนูภัควัฒน์โยธิน ชอบพอในระดับที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ แต่อคติล้วนๆบดบังความรู้สึกดีงามนั่นเสียมืดมิด คนอย่าง รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ไม่มีทางเข้าไปเหยียบถึงในครัวเช่นนั้น ไม่มีทางแน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตสนใจแต่งานบริหารกับการยิงปืน หยาบกระด้างเกินกว่าจะมาทำตัวน่ารักไม่อายบ่าวไพร่ ถึงจะพาคู่ขามากมายเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ลูกชายไม่เคยแสดงออกว่าชอบพอใครอย่างเปิดเผย

“จบที่รุ่นลูกไม่ได้เหรอ? แม่เชื่อว่าที่คุณปู่เขียนพินัยกรรมเอาไว้ก็เพื่อยุติทุกอย่าง”

ไลลาได้แต่ภาวนา และเชื่อว่าคุณพ่ออาทิตย์ต้องการจบความบาดหมางที่เธอเองก็ไม่เคยทราบถึงต้นตอ แค่เกิดมาเป็นภัควัฒน์โยธินก็ต้องเกลียดชังสาปแช่งให้วอดวาย ไร้เหตุผล ไร้น้ำหนัก

“ถ้าปล่อยวาง ลูกอาจจะรักน้อง...”
“หึ ความแค้นบ้าๆบอๆเหรอ? พ่อตายไปทั้งคน ตายเพราะพวกมัน ผมจะย้ำเผื่อแม่จะจำไม่ได้แล้ว”

ม่านคมแข็งกร้าวช้อนขึ้นสบนัยน์ตาสีดำขลับของผู้เป็นมารดา ไลลาไม่สามารถควบคุมริมฝีปากที่เริ่มสั่นด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง ลูกชายของเธอเป็นคนไร้หัวใจตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ความทรงจำช่างเลือนราง

“โชต...”
“ผมคิดว่าคุณปู่เขียนพินัยกรรมแบบนี้เพราะอยากให้ผมพังภัควัฒน์โยธินจนย่อยยับ”

เอาให้ตายกันไปข้าง อย่างน้อยไอ้พิศาลต้องจมลงผืนดิน ชดใช้แก่ลูกกระสุนที่เจาะทะลุศีรษะบิดา...ต่อหน้าต่อตาเขาที่เป็นลูกชาย ความรู้สึกในขณะที่ร่างไร้วิญญาณโถมทับ พ่อไม่มีลมหายใจ พ่อไม่ได้บอกลา ไม่ได้เอ่ยแม้กระทั่งว่าจะให้เขาทำอย่างไรต่อไป คำพูดสุดท้ายที่พ่อเอ่ยพูดในวันนั้น แค่คำถามสั้นๆว่าเขาหิวข้าวไหม

“อยากให้ผมพาน้องไป ผมก็จะพาไป ปฐพี เตรียมสูทให้ฉันกับนายน้อง”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจลอดผ่านเรียวปากหยักเพื่อออกคำสั่งลูกน้องคนสนิท ปฐพีโค้งตัวลงทำความเคารพก่อนจะผละออกจากห้องไป กายสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นยืน สายตายังจับจ้องใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของมารดาบังเกิดเกล้า แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเธอเปราะบาง แต่แค่แสร้งทำเป็นเข้มแข็ง กล้าหาญ อัคคเดชภูดินันท์หล่อหลอมไลลาให้แกร่ง กลบความอ่อนหวานอ่อนโยนอ่อนแอให้เหลือแต่นายหญิงที่ต้องคอยเคียงคู่ประมุขของบ้าน

“ผมจะบอกแม่อีกครั้ง”


ความรักหรือจะย้อมความเจ็บปวด งี่เง่า งมงาย
ถ้าหากเกมนี้เขาพ่าย ก็แค่ตาย...


“ภัควัฒน์โยธินต้องพังด้วยมือของผม ผมสาบาน”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:19:12 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
“นั่นนายหัวรังสิมันตุ์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงควงนางแบบมาล่ะทั้งที่ภรรยาก็อยู่ในงานนี้ด้วย”
“เขาลือกันว่าเจ้าตัวเป็นเสือผู้หญิง แต่ก็นะ ทั้งหล่อทั้งรวย ใครๆก็วิ่งเข้าหา”
“แล้วที่แต่งงานกับลูกชายท่านพิพัฒน์ ภัควัฒน์โยธิน จัดงานเสียใหญ่โตก็เรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจน่ะสิ”
“ต๊าย! อย่าง รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ใครจะเอาอยู่ คนหมายปองไปทั่วคงมีแต่แช่งให้หย่าร้างกันไวๆ”

ม่านตากลมโตเบนมองไปยังตำแหน่งดังกล่าว ตามหัวข้อบทสนทนาที่อาจไม่รู้ว่าเขาคือ พลัฏฐ์ ภัควัฒน์โยธิน แม้ข่าวงานแต่งงานจะลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว เขาไม่เคยออกงานสังคมเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะจดจำใบหน้าไม่ได้

กลายเป็นว่าต้องมายืนเคว้งอยู่กลางงาน ถึงจะมีปฐพีคอยเดินตามหลังอยู่ห่างๆ และคงไม่งามนักหากร้องขอให้มายืนข้างๆเพื่อคอยอธิบายว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป กายสูงใหญ่ของผู้เป็นสามีภายใต้ชุดสูทหรูหรา แค่ความสูงกับใบหน้าหล่อเหลาก็ดึงความสนใจคนทั้งงานได้มากแล้ว หากแต่ไม่เท่าอ้อมแขนแกร่งที่คอยโอบประคองช่วงเอวคอดของหญิงสาวในชุดราตรีสีแดงเพลิง เพื่อให้นักข่าวพากันชักภาพเก็บเป็นที่ระลึก ไม่ก็พาดหัวข่าวหน้าบันเทิงในวันถัดไป คงจะเป็นคู่ขาคนใหม่เนื่องจากไม่เคยเห็นในเรือนขวา

พรั่งพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา ยากจะอธิบายความรู้สึกหม่นๆที่กำลังก่อตัว เดย์เข้าใจว่าไม่ใช่ความหึงหวง แต่เหมือนเหนื่อยมากกว่า เพราะไม่รู้จะมีปัญหาวุ่นวายเกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายหัวโชตค่อนข้างเจ้าชู้ ดังนั้นเรื่องการเข้าหาหรือเข้ามาประชิดตัว คุณหนูภัควัฒน์โยธินคิดไปในทางเดียวว่ามันคือเรื่องปกติ ไม่ใช่เฉพาะรายบุคคล กับผู้หญิงคนอื่นๆนายหัวก็น่าจะปฏิบัติเช่นนี้ ไม่มีใครพิเศษไปกว่ากัน

โดยไม่รู้ว่าตนเองก็เป็นจุดสนใจของชายหนุ่มในงาน รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ต้องตาเพศหญิงฉันใด ภรรยาก็คล้ายจะต้องตาเพศชายฉันนั้น มีนักธุรกิจหลายคนรู้สึกอิจฉาเพราะไม่นึกว่าพิพัฒน์จะมีทายาทหน้าตาหมดจดงดงาม ถอดแบบคุณหญิงเพียงดาวมาทุกกระเบียดนิ้ว แต่สถานการณ์บริเวณด้านหน้านั่นเหมือนจะสร้างโอกาส มีข้อครหานินทาเพิ่มขึ้นอีกเรื่องว่าแต่งงานกันเพราะสินทรัพย์มหาศาลในครอบครอง

เพราะอัคคเดชภูดินันท์และภัควัฒน์โยธินเป็นแนวหน้า ต้นตระกูลผู้ดีเก่าที่สืบทอดธุรกิจกันมาและไม่เคยดิ่งลง มีแต่เจริญรุ่งเรือง แผ่ขยายอำนาจ ไม่แปลกที่จะเป็นข่าวดังไปทั้งประเทศเนื่องจากการประกาศเกี่ยวดอง นั่นหมายถึงการรวมอสังหาริมทรัพย์ กิจการต่างๆ ทั้งที่มีท่าทีแข่งขันกันเองมาโดยตลอด คู่แข่งตระกูลอื่นๆเริ่มตกที่นั่งลำบาก เพราะจะยากต่อการโค่นล้มมากเป็นเท่าตัว

“ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ?”

สุ้มเสียงทุ้มเอ่ยดังจากด้านข้างเรียกดวงหน้าอ่อนหวานให้เปลี่ยนความสนใจ ใบหน้าหล่อคมของชายร่างสูงไม่คุ้นตา ทว่าเดย์ก็ยื่นมือไปรับแก้วน้ำส้มคั้นมาถือไม่ให้เสียมารยาท พลางโค้งศีรษะเป็นการขอบคุณ

“อ่า...ผมสงครามครับ คุณ?”

รู้ทั้งรู้ว่าคู่สนทนามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร วางสายตาอยู่กับเจ้าของกายบอบบางตั้งแต่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในงาน แต่กว่าจะรวบรวมความกล้าเดินมาทักทาย ก็ยามเห็นนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ควงคู่มากับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา และถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้ เห็นจะมีหลายคนที่ใจตรงกับตนอยู่เหมือนกัน

“ผมพลัฏฐ์ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณสงคราม”

วาดยิ้มบางให้อีกฝ่าย เผลอหว่านเสน่ห์โดยไม่ตั้งใจ เพราะคนมองถึงกับชะงักไปยามจดจ้องนัยน์ตาคู่หวาน

“เอ่อ...ชื่อผมแปลกใช่ไหมครับ”

ชวนสนทนาต่ออย่างมีชั้นเชิง ไม่อยากต้องเดินกลับไปเฉยๆ อยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เหมือนมีแรงดึงดูดทางสายตาแม้จะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย โดดเด่นตรงโครงหน้าได้รูปโอบล้อมด้วยกลุ่มผมสีช็อกโกแลต ขยับเขยื้อนร่างกายเพียงนิดหน่อยก็น่ามอง

“ไม่แปลกหรอกครับ น้องชายผมชื่อตัวดื้อยังไม่แปลกเลย ออกจะน่ารัก”

จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กน้อยที่ไม่รู้หายตัวไปอยู่ไหน กวินทร์ที่ได้รับคำสั่งให้บินไปตามถึงอังกฤษก็ยังไม่รายงานความคืบหน้า เป็นครั้งแรกที่ไฮท์ไม่ติดต่อมาหาตน ไม่แม้แต่จะส่งข่าวคราว ตอนนี้เป็นอย่างไร ไปดื้อไปซนหรือไปตกระกำลำบากหรือเปล่า ทั้งห่วงทั้งกังวล

“น่ารักจริงๆด้วยครับ”

คุณหนูคนโตเข้าใจว่านั่นหมายถึงน้องชายตัวขาว ทว่าสายตาคมเจ้าของประโยคดังกล่าวทอดมองใบหน้านวลผ่องแทบไม่กะพริบ หัวข้อพูดคุยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเรื่องการประมูลเครื่องเพชรจากแบรนด์ต่างๆ เนื่องจากเดย์ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ โชคดีที่ได้อีกฝ่ายคอยให้คำแนะนำ อธิบายข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“ขอบคุณมากๆนะครับที่อุตส่าห์มายืนเป็นเพื่อน”

เครื่องดื่มในแก้วถูกจิบให้พร่องลงไม่มาก สงครามรู้สึกดวงตาพร่าเลือนในบางครั้งที่เผลอจ้องคู่สนทนานานจนลืมตัว ความสง่างามภายใต้ความสุภาพอ่อนโยน น่าหลงใหลเสียจนนึกถึงเหตุผลของนายหัวรังสิมันตุ์ ถ้าเป็นเขาที่ได้ดองกับภัควัฒน์โยธินคงจะสยบยอมแก่คุณหนู คงแทบไม่ให้อยู่ห่างกาย แต่เป็นแบบนี้ก็ดี ยังมีโอกาสปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยังพอเหลือลู่ทางให้คิดสานต่อ

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยินดี และคิดว่าเราสองคนน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้...”
“น้องอยู่นี่เองเหรอครับ”

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามาโอบรอบเอว ข้างกายสูงโปร่งไม่มีนางแบบสาวคนนั้นแล้ว ทั้งสายตายังเจือแววฉุนเฉียวประหลาด

“สวัสดีครับคุณสงคราม ไม่ได้พบกันซะนาน ตั้งแต่ประชุมเรื่องสัมปทานเหมืองคราวก่อน”
“สวัสดีครับนายหัว ตัวผมเองก็หวังเหลือเกินว่าจะได้งานนั้น”
“ผมเองก็หวังครับคุณสงคราม”
“แต่เหมือนผมจะมีเรื่องให้หวังเพิ่มขึ้นอีกอย่าง...”

ม่านคมเข้มทอดนิ่ง สีหน้าเรียบสนิท ทว่ารอบข้างสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่าง น่าเกรงขาม ทรงอิทธิพล สมกับเป็นนายหัวผู้เก่งกาจที่สังคมยกย่องนับถือ พอยืนคู่กับภรรยาถึงได้รู้ว่าเหมาะสมคู่ควรราวกับเกิดมาเพื่อกันและกัน ออร่าส่งเสริมส่องสว่าง กลายเป็นจุดรวมสายตา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเป็นภาพที่น่าชื่นชมและน่าอิจฉาไปพร้อมๆกัน

“เอาแต่ทำงาน...กับนางแบบ จนทำหน้าที่สามีบกพร่องหรือเปล่าครับนายหัว”

กล่าวตำหนิพลางเหยียดยิ้มหยัน แม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะยังนิ่งเฉย ทว่าตนรับรู้ถึงกระแสความไม่พอใจ ทิ้งภรรยายืนเหงาอยู่เดียวดายแล้วยังจะหวงก้าง เรื่องมันชักจะไม่ง่ายแต่ก็ใช่จะไม่สนุกเลยทีเดียว

สงครามมั่นใจว่าอัศวอัครวรกุลตามหลังอัคคเดชภูดินันท์อยู่ไม่กี่ก้าว เพราะเขาเพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งต่อจากบิดา ด้วยเหตุผลสมควรแก่วาระเปลี่ยนผู้นำ ไม่ใช่สถานการณ์บีบบังคับดั่งเช่นอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้ด้อยประสบการณ์ นายหัวรังสิมันตุ์แม้จะเก่งไปเสียทุกด้านทว่าอ่อนหัดเรื่องการเอาใจใส่ มีคู่ขาก็เพื่อบำบัดความใคร่ ความเครียดสะสมจากการโหมงาน คงแพ้ภัยตัวเองเข้าสักวัน ยิ่งแสดงออกว่าอะไรสำคัญยิ่งเผยจุดอ่อน แบบนี้คงไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากใช้ของร่วมกับคนอื่น

เพราะ ‘ของ’ ที่ว่าดูจะสูงค่าเสียจนเขานึกอยากลองเอื้อมดูสักครั้ง

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลภรรยาผมนะครับ”
“ด้วยความยินดีครับนายหัว ยินดีมากๆ”
“ปฐพี”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยปรามคนสนิทที่กำลังชักอาวุธปืนขึ้นมาเล็งจ่อคู่สนทนาของตน ด้วยเห็นว่าลูกน้องของทางฝั่งนั้นเริ่มก่อน โชตกระตุกยิ้มตรงมุมปาก มือหนากระชับกายเล็กเข้าหาตัวมากขึ้นสร้างความอุ่นใจ ผู้คนในงานเริ่มแตกตื่นกระจัดกระจายเพราะกลัวลูกหลง สุภาษิตเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้นั่นจริงเสมอ ยิ่งเสืออย่างนายหัวรังสิมันตุ์ยิ่งอันตราย

ฝ่ายอัศวอัครวรกุลที่อยู่ในงานมีสามคน เล็งจากด้านหลังสองและด้านข้างอีกหนึ่ง ไม่รวมกับที่ยืนอารักขาด้านนอก เป็นการกระทำหยามเกียรติอัคคเดชภูดินันท์เหลือเกินในความคิดของปฐพี และขอลงเป็นการกระทำที่สิ้นคิดที่สุด เท่าที่เคยพบเจอมา

“น้องอยากกลับหรือยัง เบื่อที่นี่หรือยัง หืม?”

ใบหน้าหล่อปนหวานเบนความสนใจมายังร่างในอ้อมกอด ทำราวกับไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ แตะฝ่ามือใหญ่ประคองดวงหน้าน่ารัก ใช้ก้านนิ้วเกลี่ยไล้ผิวแก้มนุ่มเล่นแผ่วอย่างทะนุถนอม หากอยู่ในสถานการณ์ปกติคงเป็นภาพข้าวใหม่ปลามัน คุณหญิงไลลาคงได้หวังมีหลานให้อุ้มเร็ววันนี้

“นายหัวครับ นี่มันเรื่องอะไร”

ไม่เลย ไม่เลยสักนิด ดวงตาคู่สวยที่ช้อนขึ้นมาสบจ้องยามเอ่ยคำถาม ไร้แววหวาดกลัวอาวุธที่พร้อมสังหารดับลมหายใจ หากแต่ส่องประกายความกังวลปนห่วงใยเสียเต็มเปี่ยม คุณหนูภัควัฒน์โยธินพยายามขืนกาย แต่จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อหลบหนีจากพันธนาการของผู้เป็นสามี หัวคิ้วบนโครงหน้าหล่อเหลาขมวดฉับเริ่มมีน้ำโห สีหน้าเรียบนิ่งหลุดฉายความขุ่นเคือง เนื่องจากน้องพยายามดันร่างออกเพื่อ...

เอาตัวมาบังวิถีกระสุนที่เล็งส่งมายังเขา


ปฏิกิริยาที่แสดงออก ร้องบอกให้โชตรับรู้ว่าการพังตระกูลศัตรูนั้นไม่ง่าย ตัวแค่นี้ทำไมถึงได้เด็ดเดี่ยวเสียจนน่าหงุดหงิด ภายใต้ความอ่อนหวานนุ่มนวลซ่อนปราการแข็งแกร่งดังหินผา และม่านตากลมโตที่ทอดมองราวกับห่วงว่าเขาจะเป็นอะไร เรียกพาให้นายหัวต้องเป็นฝ่ายละสายตาขึ้นมา ไม่รู้เพราะกลัวก้อนเนื้อในอกมันจะฟื้นคืนมาเต้นรัวหรืออย่างไร


“กรุณาออกคำสั่งให้ลูกน้องของคุณลดปืนลงเถอะครับ”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำราบเรียบดังขึ้น ปลายกระบอกโลหะจ่อห่างขมับด้านขวาระยะไม่ถึงสามเซนติเมตร ประมุขอัศวอัครวรกุลเหลือบมองร่างสมส่วนของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิท ใบหน้าขาวจัด ดวงตาเรียวล้อมม่านคมเข้ม หากแต่ประสบการณ์ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาร้องเตือนบอกว่าไม่ธรรมดา

เพราะเอาแต่สนใจเจ้าของกายบอบบางในอ้อมแขนนั้น จึงไม่ทันระแวดระวังตัว หรือเพราะผู้มาใหม่มีฝีมืออยู่ในระดับที่ไม่ควรประมาทก็เกินกว่าจะคาดเดา สงครามกระตุกยิ้มราวกับกำลังพบเจอเรื่องขบขัน ยกมือขึ้นโบกในอากาศ ลูกน้องทั้งสามชีวิตมีท่าทีลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมลดอาวุธลงตามคำสั่งผู้เป็นนาย จังหวะเดียวกับที่ปลายกระบอกปืนซึ่งจ่อศีรษะตนอยู่ลดลงไปเช่นกัน

“ผมขออภัยด้วยครับที่เสียมารยาท”

โค้งตัวลงแสดงความนอบน้อมถ่อมตน น้ำเสียงเรียบนิ่งยังคงความสุภาพไว้ คล้ายรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร ไม่ตีตนเสมอผู้ที่แก่บารมีกว่า ไม่อาจตีราคาว่าเป็นแค่บ่าวไพร่ของซักตระกูล แม้เครื่องแต่งกายไม่ได้หรูหราทว่าก็ดูดีเกินกว่าผู้รับใช้ ชายหนุ่มคนดังกล่าวขยับถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นไขความกระจ่าง

“เบียร์”

เพราะเคยคุ้นหน้าคุ้นตากับลูกน้องของ พิศาล ภัควัฒน์โยธิน ถึงจะไม่มีกวินทร์รวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่บอดี้การ์ดสองชีวิตที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังพอจะทำให้รู้ว่าเป็นคนของตระกูลไหน อัศวอัครวรกุลกับภัควัฒน์โยธินไม่เชิงเป็นศัตรูแต่ก็ไม่ได้เป็นพันธมิตร ถ้าเกี่ยวข้องดองกันไม่ทางใดทางหนึ่ง อาจจะเป็นผลดีในวันข้างหน้า

“มาด้วยเหรอ ทำไมไม่บอกเราเลย”

บทสนทนากับการเรียกแทนตัวเองอย่างสนิทสนม พาผู้คนในเหตุการณ์ต่างให้ความสนใจ ไม่เว้นนายใหญ่แห่งอัศวอัครวรกุล สงครามทอดมองกลีบปากรูปหัวใจที่กำลังวาดยิ้มกว้าง น่าอิจฉาเสียจนชั่ววูบหนึ่งนึกอยากได้มันสักครั้ง ความงดงามตรึงจิตจากการระบายยิ้มไปถึงดวงตา ราวกับเจ้าตัวดีใจนักหนาที่ได้พบกับอีกฝ่าย

รองเท้าหนังขยับก้าวเข้าหา นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้มาใหม่ส่องประกายอ่อนลง ใบหน้าหล่อจัดเผยรอยยิ้มเล็กตอบกลับคุณหนูคนโต...ผู้เป็นดั่งดวงใจ

“ผมมากะทันหัน นายท่านติดธุระนิดหน่อยครับ”

เอ่ยตอบพลางก้มศีรษะทำความเคารพเจ้าของลำแขนที่โอบกอดร่างทายาทภัควัฒน์โยธิน ทั้งยังไม่มีท่าทีคิดปล่อยให้เป็นอิสระ

“เบียร์อ่า...”

สุ้มเสียงหวานเรียกหา มือนิ่มคว้าจับฝ่ามือหนา พยายามโผออกจากอ้อมแขนแกร่งที่รัดตรึงร่างอย่างลืมตัว แต่ก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ บดินทร์ทอดมองใบหน้าน่ารักของเทวดาตัวน้อย เก็บสิ่งสวยงามที่ส่งผ่านม่านตากลมโตเพื่อคลายความคะนึงหา เขาบังอาจเหลือเกินที่คิดถึง และแม้ปรารถนาใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้ ทว่าดวงตาสีดำขลับของนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ที่จับจ้องมา ทำให้ชายหนุ่มจำต้องหยุดเพ้อฝันในสิ่งที่เกินตัว

“กลับกันได้แล้วครับ”
“ถ้าหากนายหัวจะกรุณา อย่าให้คุณหนูต้องตกเป็นเป้าเช่นนั้นอีก”

ค้อมตัวลงต่ำเพราะรู้ว่ากำลังเสียมารยาท เขาจะอยู่นิ่งและไม่เคลื่อนไหว จะแอบมองอย่างเงียบๆ หากคุณหนูไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ท่ามกลางวิถีกระสุนที่พร้อมเหนี่ยวไกส่งวิญญาณได้ทุกเวลา

“ฉันรู้ว่าฉันควรทำอะไร”
“ขออภัยด้วยครับ”

เพราะความเป็นห่วงทำบดินทร์ไม่สามารถนิ่งนอนใจ ด้วยรู้ทั้งรู้ว่าคนของอัคคเดชภูดินันท์ล้อมงานไว้ทั้งหมด ข้างกายคุณหนูพลัฏฐ์ไม่ได้มีเฉพาะมือขวาของนายหัวรังสิมันตุ์ รอบข้างอารักขาแน่นหนาเสียจนไม่อาจมองเป็นอื่นนอกจากบุคคลสำคัญ

ช่วงเอวคอดถูกดันให้เดินไปอีกทาง มือนุ่มที่กอบกุมกระชับจับยังแนบแน่นหากแต่ค่อยๆคลายออกจนกระทั่งปลายนิ้วหลุดจากกัน แววเคลือบใสส่งผ่านความห่วงหาอาวรณ์เช่นนั้นไม่อาจทำให้ละสายตา ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากยืนมอง กลืนความขมไหม้ลงคอแล้วฝืนระบายยิ้มยามเสียงแว่วหวานทิ้งประโยคน่ารักๆเอาไว้ ใจเขาแทบขาดยามเห็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์พยายามเอากายบอบบางไปบังร่างสูงใหญ่ เพื่อหวังให้พ้นอันตราย โดยไม่คิดสนใจชีวิตตัวเอง

“อย่าลืมแวะมาหาเรานะเบียร์ สัญญานะ”


ได้โปรดให้อภัยที่ บดินทร์ ภัควัฒน์โยธิน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เพื่อขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มสวยเปื้อนบนใบหน้าขาวสะอาดก่อนจากลา


“สัญญาครับคุณหนู”




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:23:47 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๙.



น้ำหนักที่โถมทับปลุกเจ้าของกายผอมตื่นนอนไวกว่าปกติ เปลือกตาสีน้ำนมกะพริบปรับโฟกัส ครางฮือเบาๆในลำคออย่างงัวเงียเนื่องจากติดนิสัยเอาแต่ใจ พอมีสิ่งรบกวนให้หลับไม่เต็มอิ่มจึงงอแง ภัควัฒน์โยธินคนเล็กใช้เวลานานสักหน่อยเพื่อตั้งสติ ม่านกลมมนกลอกกลิ้งยามไล่สายตามาเจอเข้ากับท่อนแขนสีน้ำผึ้ง ซึ่งวาดผ่านช่วงไหล่แทบกลืนร่างกายจมมิดแผงอกเปลือยเปล่า แถมตัวเองยังไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายสักชิ้น ผ้านวมผืนหนาคลุมหมิ่นเหม่อยู่ตรงช่วงเอว ลำบากต้องเอื้อมมือไปดึงขึ้นมาห่มมิดช่วงอก ค่อยๆพลิกกายไปทางตัวต้นเหตุ กะโวยวายใส่ที่มานอนทับจนหายใจไม่ออก ทว่าทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏบนนัยน์ตาคู่หวาน กลับเป็นก้อนเนื้อเท่ากำปั้นของตนที่สั่นสะท้านรุนแรงเสียเอง

หากวัดระยะห่างคงจะมีหน่วยเป็นเพียงเศษเสี้ยวอากาศ องศาช้อนเงยมองเห็นสันกรามสวยได้รูป ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับสนิท เด็กหนุ่มเผลอยู่กลีบปากใส่ ตั้งใจจะพลิกกลับทว่าลำแขนแกร่งดันตวัดกระชับกอดทั้งที่หลับตา สร้างปัญหาให้เด็กน้อยต้องรีบขืนตัวแทบไม่ทัน

“หมอนตัวเองก็มีทำไมต้องมาแย่ง”

เอ่ยติงพลางใช้มือดันแผงอกกว้าง แม้ไม่มีข้าวของชิ้นใดในบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็หวงหมอนใบโตที่นอนหนุนประจำอย่างกับเป็นเด็กเล็กๆ

“นายป้อเลี้ยงตื่นนะ เราบอกให้ตื่น...”

ผิวแก้มขาวร้อนฉ่าเมื่อระลึกได้ว่าอะไรเป็นเหตุผลให้ต้องมานอนเกยกันอยู่แบบนี้ สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่แวบเข้ามา ตั้งท่าเอะอะกลบเกลื่อนไว้ก่อน แม้ตนจะไม่ยินยอมแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน และเมื่อคืนมันก็ค่อนข้างต่างจากคราวนั้น

“ถ้าไม่ตื่นเราจะชก เราจะชกให้แก้มนายป้อเลี้ยงช้ำเลย ง่ะ~ นายป้อเลี้ยง! ฮื่อ...อืม..”

กลีบเนื้อสีแดงสดถูกประกบปิดเพราะทนความรำคาญไม่ไหว กายสูงใหญ่ขยับขึ้นมาคร่อมทับ กดร่างผอมบางแทบจมเตียง เบียดเรียวปากอิ่มบดริมฝีปากนุ่มนิ่มที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วแต่เช้าตรู่ มือหนาสอดประสานมือเล็กเลื่อนอีกข้างขึ้นมาบีบปลายคางปรับองศาให้รับจูบวาบหวาม เนิ่นนานนับนาที

งับกลีบปากล่างก่อนจะตัดสินใจผละห่าง แววคมสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเด็กหนุ่มที่นอนหอบอยู่ใต้ร่าง กระทั่งดวงตาคู่หวานเบนหลบ ไม่กล้าสบตอบถึงละขึ้นมาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา หกโมงสิบห้านาที ถ้าเป็นวันปกติที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ขุนคงตื่นและออกไปไร่แล้ว

“เมื่อคืนยังเหนื่อยไม่พอหรือไง”

พูดจาสองแง่สองง่าม โครงหน้าหล่อจัดโน้มตามฝ่ายที่กำลังหันหนี

“หนักอ่ะ ลุกไปเลยนะ”
“ทับมาทั้งคืน จะมาบ่นอะไรป่านนี้”
“ก็...ก็เราหลับ เราไม่รู้เรื่อง เราบอกให้ลุกออกไปไง!”

เพราะไฮท์ยังไม่ค่อยเก่งภาษาไทย แค่ฟังออกและพูดได้ เวลาตอบคำถามจึงตรงไปตรงมา ไม่เข้าใจว่าฝ่ายที่กำลังสนทนาด้วยซ่อนความนัยอะไรไว้ในประโยค

เกิดสงครามขนาดย่อมบนตั่งเตียงนอนในเรือนท้ายไร่ แม้คุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินคล้ายจะเศร้าซึมลงไป และเหตุก็มาจากพ่อเลี้ยงของไร่ตะวัน หากแต่ก็เป็นคนคนเดียวกันที่สามารถทำให้สุ้มเสียงหวานดังลั่นเฉกเช่นปกติ แววเคลือบใสที่มีประกายหม่นหมองมักสั่นไหวโยกคลอนยามสบจ้องดวงตาคู่คม


สายน้ำเย็นจากฝักบัวทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง รีบโผเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นอย่างไม่ตั้งใจ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าปอยๆ พยายามเบี่ยงกายไปทางอื่นทว่าสายน้ำก็ถูกคนป่าปรับทิศทางให้สาดเข้าหาตน แชมพูกลิ่นหอมอ่อนๆถูกชโลมลงบนกลุ่มเส้นผม มันไม่ได้อ่อนโยนเสียเท่าไหร่แต่ก็ไม่หยาบกระด้างเกินไปอย่างที่ควรจะเป็น

“เราอาบเองได้!”

แต่เหมือนถ้อยคำดังกล่าวจะไม่ไหลเข้าหูคนตัวสูง เมื่อข้อแขนเล็กถูกรั้งขึ้นมาวางบนศีรษะเป็นเชิงบอกให้รีบสระผม เรียกสีหน้ายุ่งเหยิงสมฉายาแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าผิวเนียนบริสุทธิ์กลับต้องสั่นระริกยามฝ่ามือหนาแตะลูบไล้ไปทั้งเนื้อทั้งตัว ฟองสบู่หอมกรุ่นวาดผ่านเลื่อนต่ำตามสะโพกมน แต่แล้วก็ไล่เรื่อยขึ้นมาบนแผ่นหลังราวกับจะแกล้งให้หายใจหายคอไม่ทัน เรียวขาเพรียวถูกจับพาดช่วงเอวสอบ เวลานั้นถึงรู้ตัวว่ากำลังโดนหลอกล่อ แต่พอจะส่งเสียงปรามกลับถูกป้อนจุมพิตหวานละมุนละไม หยอกล้อ กวาดต้อนพร่ำสอนอย่างใจดี

จังหวะเนิบนาบเริ่มเร่าร้อนขึ้นตามลำดับ มือหนาเลื่อนปาดแชมพูที่ไหลลงตามดวงหน้าขาวจัดราวกับกลัวว่ามันจะเข้าตา ราวกับห่วงเด็กน้อยจะร้องไห้จ้าเหมือนเวลากลัวจิ้งจก ทอดสายตามองแผ่นอกบางที่มีทั้งรอยผื่นจางๆและร่องรอยสีกุหลาบประปราย อาจเพราะถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน ไม่เคยแพ้เกสรข้าวโพดมาก่อนจึงหายช้า เสียงหวานครางกระเซ่ายามสะโพกแกร่งหมุนควงอัดกระแทกถี่รัวยิ่งขึ้น ม่านตากลมมนปรือยั่วเย้าเสียจนต้องโน้มตัวลงไปหา กลืนกินความบวมช้ำ ดูดปลายลิ้นเล็กๆที่พยายามต่อต้านทั้งที่ไม่มีทางสู้

เกมจบลงพร้อมๆกับเสียงหวีดร้องเมื่อถูกพามาแตะขอบสวรรค์ คุณหนูตัวยุ่งปล่อยให้อีกฝ่ายจับอาบน้ำเพราะอยู่ในสภาวะหมดแรงชั่วขณะ แชมพูบนกลุ่มผมถูกสายน้ำชำระล้างจนสะอาด ความเคลื่อนไหวที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ดึงสายตาทั้งสองคู่มาสบมองกันอีกครั้ง


ทว่า...

“ป้อเลี้ยง ผมเอาอาหารเช้ามาแล้วนะครับ”

ภาคภูมิทำหน้าที่มาส่งเสบียงตามเวลาปกติมองหาเจ้านายและเด็กหนุ่มแต่ต้องแปลกใจ ทว่าพอสังเกตเห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่จึงคิดเองเออเองว่าเป็นฝ่ายคุณหนูที่อยู่ในนั้น เพราะมีแต่พ่อเลี้ยงที่สามารถออกจากเรือนไปที่อื่นได้ จึงขยับเท้าเดินเข้าไปเคาะประตูสองสามครั้ง ก่อนจะตะโกนบอกคนอีกฟากด้วยเสียงดังพอประมาณ

“คุณหนูยุ่ง ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว ออกมาทานข้าวนะครับ วันนี้ผมซื้อขนมกับชาเขียวมาด้วย ไว้ค่อยแอบกินตอนป้อเลี้ยงไม่อยู่”

ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเจ้านายได้ยินเต็มสองหูเรียบร้อย ก้องเกียรติซึ่งติดสอยห้อยตามกันมาชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างซึ่งเชื่อมกับชานระเบียงเพื่อดูสถานการณ์ เมื่อไม่เห็นใครในบ้านจึงเอ่ยถามจากเพื่อนสนิท

“อ้าว! ป้อเลี้ยงไปไหน?”
“ฮาบ่าฮู้ ฮาก่อมาพร้อมคิง บ่าก้อง”
“คุณหนูยุ่ง?”

ภาคภูมิชี้นิ้วบอกว่าอยู่ข้างใน ก้องเกียรติจึงตะโกนเสริมทัพ อวดโปรแกรมที่จะพาคุณหนูผู้น่ารักไปเที่ยวเล่นในไร่วันนี้ทันที
 
“คุณหนูยุ่งครับ วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวที่ไร่ฝั่งนู้นแก้เบื่อ ไว้ป้อเลี้ยงออกไปข้างนอกก่อนนะครับ”

อะไรที่พอจะทำให้เด็กน้อยกลับมาร่าเริง พวกตนก็พร้อมจะทำ วีนๆเหวี่ยงๆเอาแต่ใจแบบตอนแรกยังจะดีกว่ามานั่งร้องเพลงทั้งที่น้ำตาไหลพราก พ่อเลี้ยงใจแกร่งขนาดไหนถึงไม่สะทกสะท้าน ขนาดฟากฟ้าตัวโตอย่างกะยักษ์มันยังทนมองไม่ได้


เสียงที่ดังลอดผ่านมาเรียกเรียวคิ้วเข้มขมวดฉับเล็กน้อย แต่สีหน้าก็ไม่เผยให้เห็นถึงความโกรธเคืองใดๆ ลำแขนแข็งแรงยังไม่ยอมมอบอิสรภาพแก่บุคคลที่มีอิทธิพลให้บ่าวไพร่อัคคเดชภูดินันท์ก่อกบฏ แอบซื้อขนมมาให้กินยังไม่เท่าไหร่ นี่เริ่มริอาจจะพาไปเที่ยว อีกหน่อยไม่พาไปส่งถึงหน้าประตูบ้านภัควัฒน์โยธินเลยหรือ

“ปล่อยเรา เราจะออกไปหานายภาค”

พูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำกว่าเดิม แต่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก มือบางทั้งผลักทั้งดันแผงอกกว้างกำยำ ที่ไม่รู้ทำไมดวงหน้าถึงร้อนผ่าวไปหมดเวลาเผลอมอง ลำบากต้องคอยเฉหลบสายตา

“เอาสิ ภาคมันจะได้รู้ว่าเข้ามาทำอะไรกันในนี้”

เจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่ามุมปากอิ่มที่กระตุกขึ้นคล้ายเหยียดยิ้มนั่นทำให้คุณหนูตัวยุ่งหน้าบูดหน้าบึ้ง ผิวแก้มขาวแต้มเลือดฝาด ไม่รู้เพราะโกรธหรืออายกับสถานการณ์ล่อแหลมตอนนี้

“เราไม่ได้ทำอะไร นายป้อเลี้ยงนั่นแหละทำ คนบ้า!”
“ตะโกนดังอีกนิด ภาคมันจะได้ยินละ”

มือนุ่มนิ่มฟาดลงลาดไหล่กว้างทันทีที่สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยพูดเช่นนั้น กลีบปากสีแดงอ่อนบวมเป่งเนื่องจากถูกบดเบียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเบะออก แก้มพองด้วยมวลอากาศ เรียวคิ้วสวยบนโครงหน้าอ่อนเยาว์ขมวดแทบพันกัน แต่พอเบนสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองอยู่ในระยะประชิดก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงด้วยการซบลงกับช่วงบ่าแกร่ง หัวใจดวงน้อยเต้นแรงเสียจนกลัวว่าคนใจร้ายจะสัมผัสถึง



   
“เข้าไปทำอะไรกันข้างในเหรอครับ? อาบน้ำ?”
“นายภาค!”
“คือผมแค่สงสัยครับ ผมอยากรู้ว่าทำอะไรกัน แบบ...ป้อเลี้ยงอาบน้ำให้เฉยๆ หรือช่วยกันอาบน้ำ หรือว่า...”
“เราโกรธนายภาคแล้วนะ! เราจะไม่คุยกับนายภาคแล้ว!”
“โถ...คุณหนูยุ่ง ผมขอโทษครับ อย่าโกรธผมเลย”

ทว่าสีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ภาคภูมิกลั้นยิ้มพลางช่วยสวมถุงเท้าให้คุณหนูตัวผอม แม้คนเป็นนายจะสั่งห้ามช่วยเหลือ ทั้งบังคับให้เจ้าตัวทำเองก็ตาม เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นไซส์พอดีตัว พ่อเลี้ยงคงหาซื้อมาตอนกลับไปสะสางงานที่รีสอร์ท ไม่รู้ออกคำสั่งให้ลูกน้องจัดหามาหรือว่าออกไปซื้อด้วยตัวเอง เพราะมันอดคิดไม่ได้จริงๆ ซื้อมาขนาดพอเหมาะพอดี ทั้งกางเกงยีนส์ เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต ชุดชั้นใน...

ปรางใสถูกแต้มทับเป็นวงๆด้วยคาลาไมน์เรื่อยไปถึงลำคอขาว ผื่นคันจางลงแต่ก็ยังไม่หายสนิท มองแบบนี้ทายาทภัควัฒน์โยธินเหมือนเด็กอนุบาลที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน ส่วนพ่อเลี้ยงแต่งตัวเสร็จก็ออกไปนั่งจิบกาแฟอยู่ด้านนอกแล้ว

ใครบ้างจะไม่ตกใจ จู่ๆโผล่ออกมาจากในห้องน้ำทั้งคู่ และสภาพคุณหนูแม้จะถูกหุ้มด้วยผ้าเช็ดตัว แต่หัวไหล่เนียนแต้มรอยห้อเลือดรอยใหม่ เพราะเขาทำหน้าที่ดูแลจึงต้องคอยสังเกตอาการเพื่อรายงานคุณหมอชนวีร์ เมื่อวานเย็นยังไม่มีเลย อยู่ๆก็เพิ่มขึ้นมา แถมวันนี้เด็กหนุ่มไม่ยอมให้ช่วยทายา เอ่ยปากบอกว่าจะทาเอง

“ไปทานข้าวเช้ากันเถอะครับ ป้อเลี้ยงรออยู่ข้างนอก”
“เราไม่หิว”

ภาคภูมิหลุดขำนิดๆ อ่า...ใครกันบอกว่าจะไม่คุยด้วย

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูยุ่งต้องไปบอกป้อเลี้ยงเองครับ”
“นายภาคไปบอกเลย เราไม่หิว”
“ผมออกไปก่อนนะครับ ถ้าคุณหนูไม่รีบตามมา ป้อเลี้ยงอาจจะ...”
“เราเบื่อนายภาค เราเบื่อนายป้อเลี้ยง!”

ภาคภูมิไม่รู้จะขอบคุณใครดีที่ทำให้คุณหนูกลับมาช่างพูดช่างเจรจา ร่างบอบบางดันตัวขึ้นยืนก่อนจะเดินหน้ามุ่ยออกไปที่ชานระเบียง กับข้าวสองสามอย่างถูกจัดเตรียมบนโต๊ะเล็กๆ โดยมีก้องเกียรติยืนยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่เยื้องด้านหลังผู้เป็นนาย






ฟากฟ้าคลี่ยิ้มจางยามเหลือบมองดวงหน้าขาวจัดของคนที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงาน หัวคิ้วสวยขมวดแทบจะพันกันเป็นโบว์อยู่แล้ว กลีบปากสีแดงอ่อนคอยขยับขมุบขมิบไม่รู้กำลังนับเลขหรือสาปแช่งพ่อเลี้ยงขุน แปลกเสียหน่อยที่วันนี้เจ้านายพาคุณหนูยุ่งมาออฟฟิศ แถมปาสมุดบัญชีของไร่ตะวันใส่เด็กหนุ่ม ออกคำสั่งว่าต้องสรุปรายรับรายจ่ายของอาทิตย์ก่อนให้เสร็จภายในวันนี้ ภาคภูมิถึงกับร้องหือในลำคอแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากแย้งอะไร เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นของตัวเอง ทั้งยังทำเสร็จและส่งให้พ่อเลี้ยงเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงสาย ซึ่งมันก็วางอยู่บนกองเอกสารข้างๆนั่นแหละ

ก้องเกียรติเปรยๆให้ฟังก่อนออกไปตรวจสอบของในโกดังตามหน้าที่ว่าตอนเช้ามีเรื่องดีๆเกิดขึ้น บังเอิญเขามีงานอื่นต้องรับผิดชอบจึงไม่ได้ไปเรือนท้ายไร่ เห็นบอกว่าคุณหนูโดนบังคับให้กินตัวรถด่วนอาหารโปรดของเจ้านาย ที่จริงมันคือหนอนไม้ไผ่ที่รสชาติค่อนข้างดี สุ้มเสียงใสกล่าวหาว่า ‘นายป้อเลี้ยงกินหนอน’ เลยถูกจับยัดปากแน่นอนว่าไม่พ้นร้องไห้สะอึกสะอื้นให้ภาคภูมิต้องคอยปลอบคอยโอ๋เช่นทุกที ฟากฟ้านับถือพ่อเลี้ยงจริงๆว่าทนได้ยังไง เวลาคุณหนูยุ่งเจื้อยแจ้วคุยไม่หยุดนี่โคตรน่ารัก แต่จะว่าไปตอนเบะปากใกล้ร้องไห้ก็น่ารักอยู่เหมือนกัน

เอ๊ะ? หรือเพราะน่ารักถึงแหย่ให้ร้องไห้?

จากที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่พักใหญ่ก็เริ่มได้ยินเสียงฮัมเพลง ฟากฟ้ารู้ว่ามันแตกต่าง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคราวที่แล้ว เพราะศีรษะทุยสวยขยับโคลงเคลงไปมาน่าเอ็นดู ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องอาจทำให้คุณหนูภัควัฒน์โยธินอารมณ์ดี เขาขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่เป็นทั้งเหตุและผลให้เด็กหนุ่มเผยมุมน่ามองเช่นนี้ออกมา นึกอยากให้เพื่อนสนิททั้งสองคนมาเห็นด้วยกัน คงได้มีหัวข้อสนทนายามนั่งจิบเหล้าดื่มเบียร์เพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

“นายฟาก ไม่เข้าใจอ่ะ”
“ครับ? ไม่เข้าใจตรงไหน?”

ช่วงเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง จู่ๆใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ช้อนเงยขึ้นมาถามคำถาม ฟากฟ้าสาวเท้าเข้าไปหาพลางโน้มตัวลงดูหน้ากระดาษที่เปิดอยู่ ทว่าต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะบัญชีรายรับรายจ่ายของไร่กลายเป็นสมุดวาดการ์ตูนของเด็กน้อยไปแล้ว

“คุณหนูยุ่งวาดไม่ได้นะครับ เดี๋ยวป้อเลี้ยงจะดุเอา”

เอ่ยห้ามปรามทั้งที่รู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ แต่อย่างน้อยขอให้อีกฝ่ายหยุดและวางอุปกรณ์ขีดเขียนลงก็ยังดี

“เราไม่ได้วาดตรงตัวเลขเสียหน่อย นี่เราวาดตรงกรอบข้างๆ ตรงที่ว่างๆ เวลานายป้อเลี้ยงบวกเลขจะได้ไม่เครียดมากไง อะไรก็ไม่รู้ ยากอ่ะ”

ไฮท์คิดว่าถ้าเป็นพี่เดย์คงทำได้แบบสบายๆ เพราะพี่ชายเรียนเก่งมาก จบปริญญาโทด้านบริหาร เขาเคยนั่งข้างๆตอนพี่ชายอ่านหนังสือ สัญลักษณ์ ตัวเลข ทฤษฎีเยอะแยะเต็มไปหมด ดีที่ตนชอบและสนใจด้านแฟชั่นดีไซน์ ไม่อย่างนั้นคงปวดหัววันละหลายๆรอบตอนเข้าเรียน

“แต่วาดไม่ได้ครับ ไม่ได้จริงๆ”

ฟากฟ้าถึงขั้นกุมขมับ รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ลบไม่ออกแน่นอนเพราะถูกเขียนด้วยปากกา คุณหนูตัวยุ่งวาดรูปสวยก็จริงแต่นี่มันสมุดบัญชีของพ่อเลี้ยงขุน แม้ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคือเอกสารสำคัญทางธุรกิจ

“เราจะวาด! จะวาดอีกเยอะๆ!”

ทำหน้าตาท้าทายได้น่าหมั่นเขี้ยวสุดๆ แถมยังก้มลงไปเติมรูปดอกไม้

“อย่าครับคุณหนู”

กลับมาเอาแต่ใจมันก็ดีอยู่หรอก แต่นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย คอหลุดออกจากบ่าคนแรกไม่พ้นเป็นไอ้ฟากฟ้านี่แหละ

“นี่ๆ เราวาดนายฟาก นายก้องและนายภาคไว้ตรงนี้ ส่วนคนป่าชอบทำหน้ายักษ์เราใส่เขี้ยวให้ด้วย แฮ่!”

ฟากฟ้าจะบ้าตาย พยายามดึงสมุดออกจากท่อนแขนเล็กที่โถมน้ำหนักทั้งตัวทับไว้ ทั้งยังบรรยายประกอบภาพให้ฟังปนรอยยิ้มทะเล้น ฉีกยิ้มกว้างเสียจนดวงตาหยีโค้งเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ โชว์ฟันซี่เล็กน่ารักด้านข้าง เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณหนูยิ้มร่าเริงแบบนี้

น่ารัก โคตรน่ารัก!

ทว่าเสียงประตูเปิดทำให้บ่าวอัคคเดชภูดินันท์ที่กำลังถูกคุณหนูภัควัฒน์โยธินกลั่นแกล้งอยู่หันไปมอง แล้วจำต้องโค้งตัวทำความเคารพแทบไม่ทัน เด็กหนุ่มตัวผอมแม้จะยังงงๆแต่ก็โค้งตัวตาม ถึงจะเอาแต่ใจแค่ไหนทว่าก็โตพอจะมีมารยาทกับผู้ใหญ่ แต่เพราะเป็นคนไม่คุ้นเคยดวงตาคู่สวยจึงละกลับมาสนใจสมุดวาดภาพต่อ

เจ้าขุนล่ะ? ไม่อยู่เหรอ?”

กระแสเสียงนุ่มหวานปนรอยยิ้มใจดีเช่นเคยเรียกให้ฟากฟ้าเผลอเหลือบมองเจ้าของกายขาว ไม่รู้ว่าถึงคราวซวยของตนเองหรือเปล่า เพราะจู่ๆแขกไม่ได้รับเชิญก็โผล่มา ทั้งยังโผล่มาในจังหวะที่เขาทำหน้าที่เฝ้าเชลย

“เอ่อ...ป้อเลี้ยง”

ผู้มาใหม่ขยับเท้าเข้ามาด้านในออฟฟิศทว่ายังยืนติดบานประตู ฟากฟ้าทำท่าจะรุดเข้าไปช่วยถือกระเป๋าที่คล้องลำแขนอีกฝ่ายอยู่ แต่กลับถูกปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรลูก แล้วนี่ทานข้าวกันหรือยัง?”

แย้มยิ้มจางเสริมด้วยประโยคสั้นๆ ทั้งยังถามไถ่ด้วยความห่วงใยเฉกเช่นทุกที เพราะอย่างนี้พวกบ่าวไพร่ถึงได้จงรักภักดีและไม่กล้าพูดปด ขอแค่อย่าเอ่ยถามเป็นพอว่าคุณหนูที่อยู่ในห้องเป็นลูกเต้าเหล่าใคร

“หนูชื่ออะไรจ๊ะ? เป็นนักศึกษามหา’ลัยมาทำวิจัยในไร่เหรอลูก”

ดูเหมือนคำอ้อนวอนของฟากฟ้าจะไม่เป็นผลเมื่อมีการเริ่มต้นบทสนทนา เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากสมุดมองคนสนิทสลับกับเจ้าของคำถามไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ก่อนน้ำเสียงทุ้มใสจะเอ่ยตอบ ถ้าอยู่กับพวกพ้องฟากฟ้าสาบานว่าต้องหลุดขำ ทว่านาทีนี้สถานการณ์มันค่อนข้างตึงเครียด อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่สุด

“ผมชื่อไฮท์ครับ ไฮท์ที่แปลว่ายุ่ง”
“หือ?”
แม่เลี้ยงอัมพรครับ”

ราวกับสวรรค์ส่งพระเอกลงมาช่วยไว้ทันเวลา ก้องเกียรติโผล่หน้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี แวบหนึ่งที่สบตากันก็คล้ายจะรู้ความเป็นไป อาจเพราะเป็นเพื่อนสนิทและทำงานรับใช้พ่อเลี้ยงขุนด้วยกันมานาน

“อ้าวก้อง เป็นยังไงบ้างลูก”
“แม่เลี้ยงมาหาป้อเลี้ยงใช่ไหมครับ อยู่ที่คอกม้านู่นครับ กำลังโดนนักศึกษาน่ารักๆรุมเต๊าะอยู่เลย”

ก้องเกียรติช่วยประคองนายหญิงของไร่พลางพาเดินออกจากออฟฟิศไปอย่างเนียนๆ ทั้งฟากฟ้า ภาคภูมิและก้องเกียรติได้รับความเอ็นดูจากแม่เลี้ยงอัมพรราวกับเป็นลูกชายแท้ๆอีกสามคน ซึ่งพวกตนซาบซึ้งบุญคุณนี้มาก ไม่รู้จะทดแทนตอบแทนอย่างไรนอกเสียจากคอยรับใช้อย่างซื่อสัตย์ภักดี แต่กรณีคุณหนูตัวยุ่งเป็นคำสั่งของนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ และคงสามารถทำได้แค่พาเลี่ยงสถานการณ์หรือตัดโอกาสเผชิญหน้าไป

“อ่า...เจ้าขุนมันสนใจก็ดีน่ะสิ แม่จะได้เห็นมันเป็นฝั่งเป็นฝา”
“แม่เลี้ยงไม่รู้อะไร ป้อเลี้ยงฮอตจะตายครับแต่น้อยกว่าผมนิดนึง”
“จ้าๆ แต่เหมือนสมัยเรียนภาคมีสาวๆมาจีบเยอะที่สุดไม่ใช่เหรอ หืม?”
“ไอ้ภาคมันขี้โม้ครับแม่เลี้ยง”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กคนนี้นี่”

เสียงหยอกล้อพูดคุยค่อยๆห่างออกไปและสิ้นสุดลงเมื่อกรอบประตูปิดสนิท ฟากฟ้าลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคยังพอเข้าข้าง ไม่ถูกประหารในวันนี้ ชายหนุ่มเบนสายตากลับมาที่คุณหนูตัวขาว แต่แล้วเสียงเจื้อยแจ้วก็โพล่งดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“นายฟาก เป็นฝั่งเป็นฝาแปลว่าอะไร?”
“แปลว่าแต่งงานมีครอบครัวครับคุณหนูยุ่ง”
“เหรอ...นายป้อเลี้ยงจะเป็นฝั่งเป็นฝาเหรอ”


ไม่ใช่ประโยคคำถาม ทว่ามันคือการพึมพำกับตัวเอง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:30:59 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรือนท้ายไร่มีพื้นที่ใช้สอยไม่มากนัก เปิดประตูจากด้านนอกเข้ามาจะเห็นเตียงนอนไซส์ห้าฟุตอยู่ด้านขวา ถัดมาทางซ้ายมือมีตู้เสื้อผ้าขนาดพอเหมาะตั้งติดกับประตูห้องน้ำ มีทางเชื่อมต่อไปยังห้องครัวเล็กๆ โต๊ะทำงาน ตู้เอกสารและชั้นหนังสือจัดวางอยู่เยื้องปลายเตียง ที่จริงไม่เชิงออกแบบมาเพื่อสำหรับพักอาศัย จุดประสงค์แค่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนบางครั้งคราวหากเจ้าของไร่ต้องการความสงบ

!เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องจากนอกหน้าต่างเรียกกายผอมสะดุ้งตื่นกลางดึก สิ่งที่คุณหนูตัวยุ่งนึกทำเป็นอันดับแรกคือเอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์โคมไฟบนหัวเตียง แสงสว่างสีส้มวาบขึ้นภายในห้องช่วยเรื่องการมองเห็นหากแต่ไม่สามารถลดทอนความตระหนกให้น้อยลงเท่าไหร่นัก ดวงตากลมกราดมองไปข้างๆ ยิ่งไม่พบร่างสูงของคนที่เข้านอนพร้อมกันแม้แต่เงายิ่งสร้างความหวาดผวามากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

“นาย..ป...”

!เปรี้ยง!

กลีบปากทรงกระจับกำลังจะส่งเสียงเรียกหา ทว่าสายฟ้าแลบที่ฟาดลงมาตามด้วยเสียงร้องคำรามของปรากฏการณ์ธรรมชาติทำให้เด็กน้อยตกใจ แสงจากโคมไฟดับลงไม่แคล้วหม้อแปลงถูกฝนห่าใหญ่สาดใส่จนการทำงานขัดข้อง พลิศดันตัวลุกขึ้นจากที่นอนวิ่งฝ่าความมืดไปกดเปิดหลอดไฟกลางห้องทันที โดยไม่รู้ว่าไฟฟ้าทุกดวงในเรือนหลังนี้ใช้การไม่ได้เพราะมาจากเครื่องปั่นไฟเดียวกัน

“นายป้อเลี้ยง!”

ตะโกนออกไปสุดเสียงยามตบสวิทซ์เท่าไหร่แสงไฟก็เหมือนไม่มีท่าทีสว่าง เดินฝ่าความมืดสลัวคลำทางไปผลักประตูห้องน้ำก็พบกับความผิดหวัง หันกลับมาเปิดหน้าต่างบานที่เชื่อมต่อชานระเบียงบ้านแต่จำต้องรีบขยับถอย สัมผัสเย็นเยือกจากละอองฝนที่พากันกระหน่ำตกอย่างรุนแรงทั้งสาดเข้ามาถึงด้านในทำให้เจ้าของกายขาวที่สวมใส่เฉพาะเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มหนาวสั่น แสงวาบซึ่งเกิดจากฟ้าแลบเรียกหยาดน้ำใสรื้นคลอเต็มหน่วยเพราะความกลัว

ถ้าเป็นปกติเด็กหนุ่มคงจะไม่อกสั่นขวัญหาย ปกติที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่เช่นนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้สูงกับภูเขา สุดลูกหูลูกตามีเพียงความมืดมิดกับเค้าฝนเม็ดใหญ่ บดบังทัศนวิสัยให้ทางเดินออกสู่ถนนลูกรังที่เป็นทางเข้าไร่ช่างแสนเลือนราง ซึ่งตนรู้ดีว่าถูกห้ามไม่ให้ออกไป มือผอมเลื่อนเกาะขอบหน้าต่างก่อนจะลองส่งเสียงเรียกอีกครั้ง เพื่อหวังให้ ใครซักคนมาหา จะเป็นภาคภูมิ ฟากฟ้าหรือก้องเกียรติก็ยังดี

“นายภาค! นายฟาก! นายก้อง! อยู่ไหน!”

!เปรี้ยง!

กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ทรุดนั่งกอดเข่ากับพื้นเมื่อฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กตัวขาว ภัควัฒน์โยธินคนเล็กกำลังหวาดกลัวจนสติแตก กายผอมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบสวมรองเท้าก่อนจะก้าวขาลงบันได วิ่งไปตามถนนออกสู่ไร่ตะวัน



ฟากฟ้ากับก้องเกียรติกระโดดลงท้ายกระบะหลังยานพาหนะจอดสนิท พอเห็นผู้เป็นนายลงจากที่นั่งข้างคนขับแล้วเดินตรงไปยังเรือนหลังเล็กทันทีจึงรีบขยับเท้าตาม เผื่อพ่อเลี้ยงจะมีคำสั่งอะไรเพิ่มเติมสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้

“ฟาก เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปนอนเฝ้าคอกม้ากับพวกนักศึกษาสัตวแพทย์แล้วกัน มีอะไรสำคัญก็มาเรียกฉันที่นี่ ส่วนก้องพรุ่งนี้ไปตรวจงานที่โกดัง จัดการส่งของให้พวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ส่วนภาคทำหน้าที่เดิม”
“ครับ!”

บ่าวรับใช้รับคำพร้อมกัน พยากรณ์อากาศบอกจะมีพายุแต่ไม่คิดว่าจะตกหนัก ภาคภูมิถอดเสื้อกันฝนออกจากตัวพลางสะบัดหยาดน้ำที่เกาะอยู่ เพราะรีบจึงใส่มันขับรถกลับมาส่งพ่อเลี้ยงที่เรือนท้ายไร่ หลังจากมารับออกไปตอนตีสองเนื่องจากม้าที่คอกตกลูก

“ป้อเลี้ยงครับ”

เสียงทุ้มต่ำขานเรียกเจ้านาย เป็นฟากฟ้าที่สังเกตเห็นความผิดปกติ มือหนาผลักบานประตูหน้าที่แง้มเปิดเพราะปิดไม่สนิท ก่อนจะส่องไฟฉายที่ถืออยู่เข้าไปด้านใน

“ป้อเลี้ยงครับ คุณหนูยุ่ง!”

เพราะไม่พบร่างผอมบางของเด็กหนุ่มที่ควรนอนหลับอยู่บนเตียงจึงเอ่ยเรียกผู้เป็นนายอีกครั้ง พ่อเลี้ยงขุนสืบเท้าตามเข้ามาข้างในบ้าน กราดดวงตาคู่คมสำรวจหาด้วยสีหน้าที่ยังนิ่งสนิท กายสูงสมบุรุษเพศภายใต้เสื้อหนังสีน้ำตาลเปลี่ยนเส้นทางไปที่ห้องน้ำในลำดับต่อมา ทว่าก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีคุณหนูตัวขาวจากภัควัฒน์โยธิน...

“เดี๋ยวผมออกไปดูรอบๆบ้านครับ”

ก้องเกียรติอาสาอย่างรู้งาน ลูกน้องคนสนิทต่างเริ่มร้อนใจ ยิ่งเห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆยิ่งรู้ว่าชะตากำลังขาด ตัวเล็กๆแค่นั้นไม่น่าจะไปที่ไหนไกล ยิ่งฝนตกฟ้าร้องยิ่งเป็นอุปสรรคในการมองเห็น คนไม่ชำนาญเส้นทางแถบนี้ค่อนข้างสัญจรลำบาก

หรือจะมีคนมาช่วย? ไม่หรอก...ไม่น่าจะเป็นไปได้

“เหมือนหม้อแปลงจะระเบิดครับ”

ภาคภูมิลองเปิดสวิทซ์ไฟดูจึงรู้ถึงสาเหตุของปัญหา โค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะรีบผละไปด้านหลังเรือนเพื่อตรวจสอบเครื่องปั่นไฟ ฟากฟ้าเองก็รีบผละไปช่วยก้องเกียรติตามหาคุณหนูภัควัฒน์โยธินเช่นกัน

ขุนยกฝ่ามือขึ้นเสยกลุ่มผมเปียกชื้นบนศีรษะ แลบปลายลิ้นเลียริมฝีปาก ประกายแข็งกร้าวปรากฏชัดบนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ก่อนเก้าอี้ข้างโต๊ะทำงานจะล้มกระแทกพื้นดังแข่งเสียงฟ้าร้องภายนอก เนื่องจากถูกเจ้าของถีบเข้าอย่างจัง

เพราะสถานการณ์มันบ่งบอกในทำนองว่าอีกฝ่ายหนีไป…

“คิดจะลองดีเหรอ”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำลอดผ่านเรียวปากหยักได้รูป คาดโทษเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรูที่ริอาจคิดหลบหนี เพราะเหมือนใจดีด้วยก็ยิ่งได้ ใจ เคยสั่งห้ามว่าไม่ให้ไปไหน ห้ามแม้แต่จะคิดเดินออกไปหากไม่ได้รับอนุญาต ทว่าก็คล้ายจะเป็นเพียงลมปาก เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เลือดชั่วๆของไอ้พิพัฒน์มันคงจะแรงมากสิท่า ไหนว่าจะอยู่ชดใช้ให้? กลับกลอก ตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน หลอกลวง พวกภัควัฒน์โยธินยังไงก็เป็นพวกภัควัฒน์โยธินอยู่วันยันค่ำ!

“ไม่เจอคุณหนูยุ่งเลยครับ”

ก้องเกียรติวิ่งมารายงาน แล้วจำต้องรีบก้มตัวลงต่ำเมื่อพายุอารมณ์พัดลงกับตู้เก็บเอกสารข้างๆกาย ข้าวของที่วางอยู่ด้านบนตกหล่นกระจัดกระจายบนพื้นห้อง ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าออกไปด้านนอกโดยไร้การตอบรับ ไม่มีใครกล้าสู้หน้า บ่าวไพร่แต่ละคนรู้ดีว่าตอนไม่มีคำสั่งใดๆลอดผ่านมาให้ได้ยิน นั่นคือเวลาที่พ่อเลี้ยงน่ากลัวที่สุด



   
เนื้อตัวเปียกโชกหนาวสั่น กลีบปากสีแดงธรรมชาติเริ่มซีดเซียวหากแต่ก็ยังพยายามขยับร้องหาความช่วยเหลือ แม้จะสะดุดล้มอย่างไรแต่ก็ยังฝืนยันตัวขึ้นยืนแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทิวทัศน์เริ่มแปลกตา นั่นยิ่งสร้างความตื่นกลัวให้พอกพูนทวีคูณ

ไฮท์ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ลองกึ่งเดินกึ่งวิ่งย้อนกลับเส้นทางเดิมทว่าบรรยากาศรอบกายดันไม่เหมือนกับที่ตนเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ก่อน สะอื้นไห้จนร่างสั่นโยน ตะโกนเรียกหาภาคภูมิ ก้องเกียรติและฟากฟ้าไม่หยุดหย่อน ประโยคข่มขวัญลอยเข้ามาในหูราวกับมีพรายกระซิบอยู่ใกล้ๆ ‘เสือกับหมีออกหากินทั้งกลางคืนและกลางวัน’ เรียกหยาดน้ำไร้สีไหลทะลัก สะอึกสะอื้นเพราะหวาดกลัวแทบขาดใจ

บาดแผลจากการหกล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดนน้ำฝนสาดชำระรอยเลือดหลงเหลือเพียงความแสบจี๊ดๆทว่ายังพอทน เด็กหนุ่มกรีดร้องเสียจนเสียงแหบแห้งไปหมด วิ่งวนโดยไม่รู้ว่าช่วงเวลาผ่านพ้นมานานกี่นาที เรี่ยวแรงที่มีเริ่มอ่อนกำลังและสุดท้ายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

กายผอมทรุดนั่งกับพื้นโคลนแสนสกปรก ทายาทจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ไม่เคยพิสมัยนึกอยากแตะต้องมาก่อนในชีวิต มือน้อยๆยกค้างกลางอากาศนิ่ง ทั้งรู้สึกขยะแขยงทั้งรังเกียจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากร้องไห้  ร้องไห้ โฮอย่างน่าสงสาร

“ฮือ...นายป้อเลี้ยง ฮึก...นายป้อเลี้ยงอยู่ไหน..ฮืออ”

ทิฐิสูญสลายจางหายจนหมดสิ้น คุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินเริ่มร้องเรียกหาคนใจร้ายที่ไม่ควรคิดเอ่ยขอความช่วยเหลือใดๆ และควรจะเป็นรายชื่อสุดท้ายในห้วงความคิดด้วยซ้ำ ผิวกายสั่นเทาจากอุณหภูมิเยียบเย็นของอากาศบวกความกลัวที่มีมากล้น ความมืดสนิทรายล้อมเอาไว้เสียทุกทิศทาง เสียงกิ่งไม้ ใบหญ้าไหวเอนตามแรงลมทำให้ต้องผวาตื่นตระหนกแทบทุกวินาที

“นายป้อเลี้ยง! ฮึก...นายป้อเลี้ยงเราอยู่ที่นี่ มาหาเราเดี๋ยวนี้! เราบอกให้มาหาเราเดี๋ยวนี้! ฮือ...ฮึก!”

เสียงความเคลื่อนไหวจากบริเวณไหนสักแห่งทำให้เด็กน้อยสะดุ้งโหยง ทุกโสตประสาทตื่นตัวไปหมด เพราะมันมืดและหนาว แม้ดวงตาจะปรับสภาพการมองเห็นได้บ้าง ทว่าสายฝนที่ยังคงสาดเทลงมากับการเอาแต่ร้องไห้ลดความสามารถดังกล่าวให้ติดลบ

“นายป้อเลี้ยง...”

เงาสูงใหญ่แสนคุ้นตาปรากฏให้เห็นรางเลือน ไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือความฝัน กายสูงโปร่งนั่นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขอให้เป็น...เด็กน้อยภาวนาอยู่ในใจ ว่าขอให้เป็นคนที่หวังให้มาอยู่ตรงนี้


ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มคิด
ตั้งแต่เมื่อไหร่...
   

!!

พละกำลังมหาศาลกระชากกายผอมลอยลิ่วขึ้นจากพื้น ทั้งลากทั้งดึง ไม่สนว่าช่วงขาของอีกฝ่ายจะไถลครูดไปกับดินโคลนหรือเศษหิน ผลักเด็กหนุ่มอัดกระแทกต้นไม้ ใหญ่บริเวณนั้น รุนแรง ป่าเถื่อน ไร้ความปรานีเสียจนได้ยินเสียงดัง อั่ก! ก่อนจะเบียดร่างกายกำยำประกบแนบชิดอย่างมีน้ำโห
 
ปลายคางเรียวสวยถูกฝ่ามือแกร่งคว้าบีบเสียจนผิวแก้มยุบลงตามแรงโทสะ นัยน์ตาคมกริบเกรี้ยวกราดดุดัน ริมฝีปากอิ่มเตรียมขยับปล่อยถ้อยคำมาดร้ายข่มขู่ หวังอยากให้คุณหนูภัควัฒน์โยธินเจ็บช้ำเจ็บปวด แล้วจะลากกลับไปทำระยำย่ำยี เอาให้หลาบจำว่าอย่าคิดหนีไปอีกเป็นครั้งที่สอง แม้แต่ความตายถ้าไม่เอ่ยปากให้หลุดพ้นก็ไม่มีสิทธิ์ ทว่าม่านกลมแดงก่ำที่ช้อนขึ้นสบพร้อมสุ้มเสียงสั่นหวานที่พร่ำพูดอย่างเลื่อนลอยสับสน ส่งผลให้ทุกอย่างชะงักงัน

“ฝนตก ฮึก...ฟ้าร้องดังมากแล้วไฟก็ดับ ฮืออ...นายป้อเลี้ยงไม่อยู่ เราตามหาก็ไม่เจอ เราวิ่งมาแล้วก็ล้ม เจ็บ...ฮือ...เราเจ็บ...”

สำเนียงภาษาไทยแปร่งหูเพราะอยู่ในสภาวะตื่นกลัวและตกใจ ยื่นฝ่ามือที่มีบาดแผลให้ดูราวกับเป็นเด็ก ที่ออกไปวิ่งเล่นจนหกล้มแล้วได้แผลกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อารมณ์คู่สนทนาพุ่งสูงเสียจนคิดจะฆ่าจะแกงหากทำได้ แรงบีบจากฝ่ามือค่อยๆผ่อนคลาย ม่านคมสีน้ำตาลเข้มจ้องดวงหน้าขาวจัดคล้ายพยายามอ่านทุกอย่างผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งก็พบเจอแต่เพียงความใสซื่อบริสุทธิ์

“นายภาคก็ไม่อยู่ นายก้องก็ไม่อยู่ ฮึก...นายฟากก็ไม่อยู่ ไม่อยู่ซักคนเลย ทิ้งเราอยู่คนเดียว ฝนก็ตก เราเรียกก็ไม่ตอบ ใจร้าย...”

เอ่ยฟ้องแกมตัดพ้อต่อว่า กลีบเนื้อนุ่มเบะออกทำท่าจะปล่อยโฮอีกระรอก ขุนขยับถอยห่างหนึ่งก้าวพลางยกมือขึ้นเสยกลุ่มผมอย่างลวกๆพยายามปรับอารมณ์เข้าสู่โหมดปกติ เบนสายมองเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยืนตัวสั่นเพราะคงหนาว มือขาวยังยกค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นไม่คิดขยับเขยื้อน ก่อนเรียวปากซีดเซียวจะขยับพูดปนสะอื้นให้ได้ยินอีกครั้ง

“เจ็บ...เราหนาว..นายป้อเลี้ยง...ฮึก...ก็ไปไหนไม่รู้...มะ..”
“ยุ่งจริงๆ”

ลำแขนแกร่งวาดโอบร่างบอบบาง ความอบอุ่นแผ่ซ่านลุกลามไปถึงขั้วหัวใจ พลิศ ภัควัฒน์โยธิน ไม่อาจตอบคำถามตัวเองได้ ซุกกายเบียดเข้าหาแผงอกกว้าง ตวัดอ้อมแขนกลมกลึงกอดรัดแน่นหนา ปล่อยหยาดน้ำตาไหลผ่านผิวแก้มอย่างไม่นึกอาย


รอบที่เท่าไหร่?
รอบที่เท่าไหร่ที่เขาพ่าย

คล้ายหมากบนกระดานนี้อัคคเดชภูดินันท์จะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:33:45 โดย pangll »

ออฟไลน์ leefever

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai1: :katai2-1:ชอบๆๆ มาต่อไวๆน้าา สิบตอนอ่านจุใจมากกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
10 ตอนจุใจมาก  o13  แต่บรรดาตัวพระทั้งหลายนี่ชวนถวายบาทาให้ทั้งนั้นเลย  :fire:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เขียนบรรยายและเขียนบทได้ดีมากนะครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าอินมาก แต่ข้อเสียคืออ่านแล้วปวดตา และโทนเรื่องมันไม่สม่ำเสมอครับ คาดว่าเกิดมาจากการที่ไม่ค่อยเว้นวรรคและเว้นช่วง บางทีควรเคาะระยะห่างในประโยคบ้างด้วยครับเพื่อการเว้นระยะในการอ่าน มีข้อแนะนำบางส่วนให้นะครับ

1. เว้นบรรทัดประมาณ 1-2 บรรทัดครับ ไม่งั้นมันติดกันเป็นพรืด อ่านแล้วปวดตาพอสมควรครับ เรื่องนี้เขียนบทได้ดี แต่ละตอนยาวและอ่านได้จุใจมาก แต่ถ้าไม่เว้นบรรทัดเลย มันจะทำให้คนอ่านเมื่อยตา และทำให้ไม่น่าประทับใจครับ

2. เว้นช่วงแบ่งส่วนของรังสิมันต์ กับขุนให้ดีครับ ใช้ตัวขีดคั่นหรืออะไรก็ได้ บางทีมันติดๆกันจนผมอ่านแล้วชะงัก งงๆว่ามันพาร์ทไหนของใคร และมันทำให้โทนเรื่องไม่สม่ำเสมอ ไม่ไหลลื่นครับ

ตัวละครนางงดงามมาก ไฮท์กับเดย์มีคุณสมบัติน่าสนใจมากและมีมิติที่ดี เด็ดเดี่ยวได้มากกว่าตัวละครพระเสียอีก ทั้งคู่แสดงถึง 'นิยาม' ความเป็นเพศชายในสังคมอุดมคติได้ดีทีเดียวครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2016 23:33:40 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะสิบตอนจุใจมาก แต่มีบางครั้งที่อ่านต้นตอนแล้วงงว่าพาร์ทของใคร
รอตอนต่อไป :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มาติดตามๆ แนวละครไทยก็ชอบนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดีค่ะ อ่านกันยาวๆเลย

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
เริ่ดดดด เราชอบบบแบบนี้แหละเอาอีกๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2016 18:43:59 โดย ดาวโจร500 »

ออฟไลน์ BossZa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
อ่านแบบจุใจ น่าติดตามมากจร้า มาต่อเร็วๆนะ
เป็นกำลังใจนักเขียนค่ะ

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องการเว้นวรรคนะคะ เดี๋ยวจะพยายามแก้ไขให้อ่านง่ายขึ้นค่า ;___;

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๑๐.



“ไม่ได้เรื่อง!”

เสียงทุ้มตะคอกดังทันทีที่ปลายสายรายงานความคืบหน้า มือหนากำเครื่องมือสื่อสารแน่นเมื่องานที่มอบหมายให้ลูกน้องคนสนิทจัดการนั้นช่างล่าช้าและไม่เป็นดั่งใจ ท่าทางขึงขังเคร่งเครียดทำให้เหล่าบริวารนึกหวั่นแทนฝ่ายที่กำลังต่อบทสนทนา ต่างพากันก้มศีรษะลงด้วยไม่กล้าสู้หน้าผู้เป็นนาย

คุณหนูพลิศหนีออกจากบ้านไปร่วมสามสัปดาห์ นั่นคือความเข้าใจของนายท่านพิศาล โดยคิดว่าทายาทคบหามิตรสหาย ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แม้รูปการจะบ่งชี้ในทำนองนั้น หากแต่เลขาฯกวินทร์และคุณบดินทร์ยังไม่เชื่อสนิทใจ เพราะเงินในบัญชีไม่ถูกเบิกใช้เลยสักแดงเดียว

‘เพื่อนๆคุณหนูเล็กบอกว่าไม่เจอ...’
“ช่วยเหลือกันปิดบังน่ะสิไม่ว่า! กลับมาได้แล้วกวินทร์ ถ้าเบื่อเจ้าเด็กเอาแต่ใจนั่นคงโผล่หัวมาเอง อายุยี่สิบแล้วยังทำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉันคงเลี้ยงดูมันดีเกินไป”

มั่นอกมั่นใจว่าไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตา เพราะเกิดและโตที่อังกฤษทั้งยังปิดข่าวเงียบ คู่ค้ารวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจบางรายไม่ทราบด้วยซ้ำ ว่ารัมภาให้กำเนิดทายาทตัวน้อยๆที่ต่างประเทศ

‘แต่ท่านครับ’
“อย่าทำให้ฉันหงุดหงิด นี่คือคำสั่ง กลับมา!”

พิศาลหลับตาลงข่มอารมณ์คุกรุ่น ลูกชายดื้อด้านแค่ไหนคนเป็นพ่อรู้ดี แต่นี่ไม่ใช่เวลามาต่อต้าน อยากได้อะไร ต้องการสิ่งไหน แทบไม่เคยขัด ทำไมถึงทำตัวไม่สมกับเป็นภัควัฒน์โยธิน คอยแต่ทำให้ตนรู้สึกผิดต่อต้นตระกูล

กดตัดสายพลางโยนโทรศัพท์ให้ผู้ติดตาม เลื่อนมือขึ้นมาบีบนวดขมับ มีงานรอให้สะสางมากมายทว่าต้องมาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เพราะเลือดเนื้อเชื้อไขไม่รักดี เกิดมาแทนที่จะพึ่งพาได้ อย่างน้อยก็ขอให้อยู่ในกรอบในลู่ทาง ไม่ใช่เอาแต่สร้างปัญหาอยู่ร่ำไป เรียนไม่เก่ง ขี้งอแง ขี้วีนขี้เหวี่ยง สารพัด พิศาลปวดหัวเหลือเกินกับทายาทในไส้ของตนเอง

“นที ตอนนี้เจ้าเบียร์ถึงเชียงใหม่หรือยัง?”

กระแทกลมหายใจก่อนหันไปเอ่ยถามบ่าวรับใช้ ซึ่งยืนเยื้องอยู่ไม่ไกลนัก แม้นทีจะไม่รู้ ใจเสียทุกอย่างดั่งเช่นกวินทร์ แต่ก็พอแทนไม้แทนมือยามคนสนิทติดงานอื่น อายุยังน้อย คงต้องใช้เวลาฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์สักพักถึงจะเข้าขา

“คุณบดินทร์ออกจากภัควัฒน์โยธินแต่เช้าตรู่ครับนายท่าน น่าจะถึงตั้งแต่ช่วงสาย”

จะมีแต่คนโปรดที่พอทำให้พิศาลรู้สึกอุ่นใจ ไม่เสียแรงส่งไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนา ถึงสไตล์การบริหารงานจะขัดใจอยู่สักหน่อย แต่เพราะรู้ว่าเป็นคนหัวทันสมัยและตนต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหา ประเมินผลงานจากภาพรวมแล้วค่อนข้างไปได้สวย เบียร์สามารถดูแลกิจการบางส่วน ไม่สิ ต้องเรียกว่าพัฒนาและทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ

กลับมาช่วยงานไม่นานเท่าไหร่ ก็เหมือนได้ ใจพวกข้ารับใช้บริวาร เรื่องแบบนี้ใช่จะทำให้ยอมรับนับถือกันง่ายๆ แม้มีศักดิ์เป็นนายแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจยามออกคำสั่งต้องเด็ดขาด ชัดเจนและมีอิทธิพลพอให้ลูกน้องปฏิบัติตามโดยไร้ข้อกังขา เจ้าเบียร์เป็นคนประเภทเก่งแต่ว่าถ่อมตัว ชอบคิดว่าตนเป็นบ่าวไพร่เฉกเช่นคนอื่นๆ พวกบอดี้การ์ดถึงได้เคารพชื่นชอบชื่นชมไม่ขาดปาก

เพราะนิสัยเจียมเนื้อเจียมตัวพี่พิพัฒน์กับพี่เพียงดาวถึงได้เอ็นดูเสียมากมาย รักและเลี้ยงดูให้เหมือนเป็นลูกชายคนโต คิดส่งมอบภัควัฒน์โยธินให้สานต่อทั้งที่เลือดซักหยดไม่มีความข้องเกี่ยว พิศาลเข้าใจพี่ชายดี ซึ่งเรื่องนี้ตนเห็นชอบตรงกัน เดย์กับไฮท์นั้นไม่อาจเป็นผู้นำตระกูล หากมีเบียร์อยู่ด้วย ทายาทที่แท้จริงทั้งสองก็จะสุขสบาย ไม่ตกระกำลำบาก

“นายรออยู่ด้านในแล้วครับท่านพิศาล ทั้งฝากกระผมขออภัยที่ไม่ได้ออกมารับด้วยตัวเอง”

ความสนใจถูกเบนมาที่ชายหนุ่มร่างสูง ทำความเคารพตามประสาผู้น้อยก่อนจะกล่าวต้อนรับแขกผู้มาเยือนถึงโกดังสินค้าจังหวัดสมุทรปราการ ประมุขภัควัฒน์โยธินพยักหน้าเบาๆอย่างไม่ติดใจ เนื่องจากตนมาไม่ได้นัดหมายเอาไว้ก่อน และไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเพราะต่างก็ทำธุรกิจ

!!ปัง!!

ทว่าก้าวขายังไม่พ้นบานประตูเหล็กเลื่อน เสียงปืนกลับดังสนั่นกระตุ้นให้ทุกฝ่ายตื่นตัวตามสัญชาตญาณ นทีโผเข้ามาบังร่างผู้เป็นนาย หากแต่ลูกตะกั่วที่ไม่ระบุฝ่ายไหนกราดรัวใส่จากรอบทิศทาง การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก ต่างก็รีบสอดสายตามองหากำบังหลบภัย

มวลอากาศแหวกด้วยอัตราเร็วจนนึกหวั่นว่ามันจะทะลวงทะลุร่างกายหากเสียท่า ไม่อาจรู้ความคาดหวังของไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติราวๆสามกระบอก จู่โจมแบบหมายเอาชีวิตหรือข่มขวัญ? ทว่าดูเกมแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า มีฝีมือในระดับที่สามารถเล็งยิงได้แต่ไม่ทำ หากแต่คิดเช่นนั้นไม่นานก็จำต้องทบทวนใหม่ เมื่อเป้าหมายเริ่มชัดเจนขึ้นในเวลาต่อมา

“ท่านครับ! คุ้มกันนายท่าน! นายท่านถูกยิง!”

เสียงทุ้มตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อสำรวจพบรอยถากบริเวณแขนซ้าย หากไม่น่าตกใจเท่าบาดแผลที่ช่วงท้อง นทีชักปืนพกประจำกายขึ้นมาเหนี่ยวไกตอบโต้หลังพาผู้นำตระกูลหลบพ้นวิถีกระสุน ที่เริ่มสาดใส่ราวกับต้องการเก็บทุกลมหายใจในบริเวณนี้ เพราะมากันแบบเงียบๆจึงมีผู้ติดตามเพียงจำนวนหนึ่ง นึกโทษตัวเองที่ทำงานบกพร่องเสียจนปล่อยให้เจ้านายได้รับบาดเจ็บ

พิศาลนิ่วหน้า ฝ่ามือหนากุมสีข้าง เหงื่อกาฬผุดซึมตามหน้าผากด้วยพิษบาดแผล นัยน์ตาคมแก่ประสบการณ์ทอดมองบ่าวไพร่ที่แสนจงรักภักดีล้มลงทีละคนสองคน แม้แต่นทีก็มีลิ่มเลือดไหลอาบช่วงหัวไหล่ น่าจะพลาดท่าเสียทีตอนโผเอาตัวมาบังร่างตนไว้เมื่อครู่ ทางฝั่งอัศวอัครวรกุลเองคงไม่นึกว่าจะมีศัตรูมาหยามถึงถิ่น ทั้งบังเอิญภัควัฒน์โยธินดันมาเยือนในเวลาเหมาะเจาะ

นานนับห้านาทีกว่าสถานการณ์จะสงบลง ฝ่ายผู้มาดร้ายหยุดกราดพายุลูกตะกั่วด้วยไรเฟิล หลงเหลือเพียงรอยกระสุนนับร้อยไว้ดูต่างหน้า ทว่าร่างกายนั้นสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม ยามเลื่อนสบกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผ่านกระจกรถยนต์คันหรู ใบหน้าแสนคุ้นเคยเรียกประกายไฟในดวงตาโชติช่วง


นั่น...ปฐพี
ลูกน้องไอ้นายหัวรังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์!






รอยยิ้มกว้างค่อยๆจืดจางลงยามได้ยินเสียงสั่นปนสะอื้นของนมพริ้มผ่านสายโทรศัพท์ รู้สึกเหมือนแข้งขากำลังอ่อนแรง เดย์เซถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ทว่าคว้าจับพนักเก้าอี้ใกล้ๆไว้ได้ทัน โดยมีมะปรางกับแสงเดือนรีบรุดเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไป”

มือบอบบางสั่นเทากดวางสาย แม้เริ่มเข้าใจและเข้าถึงกิจการของครอบครัว แต่ไม่เคยประจักษ์แจ้งมาก่อนเลยว่ามันดำเนินอยู่บนความเสี่ยงและอันตรายมากขนาดนี้ คุณอาพิศาลได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง กลิ่นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เมื่อสิบสามปีก่อน ตีตื้นขึ้นมาสร้างความหวาดหวั่น สั่นคลอนกำลังใจ

ได้โปรด...อย่าเกิดขึ้นอีก

เคยสงบนิ่งแค่ไหน เย็นเป็นสายน้ำชุ่มฉ่ำเพียงไร หากเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คุณหนูคนโตมักร้อนรนเสียจนเผยให้เห็นทางสีหน้า

“นายน้องคะ”
“ผมไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับบ้าน”

เอ่ยพูดกับสาวใช้พลางฝืนระบายยิ้มบางให้บ่าวทั้งสอง แม้ทุกข์ร้อนแต่ก็ไม่อยากให้ผู้อื่นทุกข์ตาม เรียวขาเพรียวก้าวออกจากห้องครัว ตรงไปยังเรือนขวาเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ ไตร่ตรองแล้วเห็นว่าควรมีเงินติดตัวบางส่วนเผื่อใช้จ่ายฉุกเฉินในการเดินทาง ไม่คิดรบกวนอัคคเดชภูดินันท์ให้ไปรับไปส่ง
   

“นั่นน้องจะไปไหนเหรอครับ?”

ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจจังหวะเดินผ่านหน้าเรือนใหญ่ เจ้าของกายสูงที่แทบไม่ได้พูดคุยหลังจากคืนงานประมูลเครื่องประดับ ผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาโค้งตัวทำความเคารพตามมารยาท เพราะถึงแม้อยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน แต่ดูเหมือนฝั่งสามีงานจะรัดตัว

“ผมขอกลับภัควัฒน์โยธิน”

สุ้มเสียงแว่วหวานเอื้อนเอ่ย สีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความกังวล จิตใจล่องลอยนึกห่วงญาติผู้ ใหญ่เพียงคนเดียว กายบอบบางโค้งศีรษะลงอีกครั้งหวังจบบทสนทนา ทว่ากระแสเสียงทุ้มหูที่ลั่นวาจาผ่านริมฝีปากหยัก กลับชะงักความเคลื่อนไหว

“พี่ไม่อนุญาตให้น้องกลับ ปฐพี เก็บโทรศัพท์นายน้อง”

ดวงตากลมโตช้อนมองนัยน์ตาสีดำขลับอย่างไม่เข้าใจ กายสูงใหญ่สืบเท้าเข้ามาหา ก่อนลำแขนแกร่งจะตวัดอ้อมไปดึงเครื่องมือสื่อสารจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง พร้อมส่งมันให้กับลูกน้องคนสนิท

“ทำไมครับ?”

เอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ละสายตา จดจ้องราวกับว่าจะไม่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายจนกว่าจะได้คำตอบ

“น้องก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าทำไม”

คล้ายจะรู้ความหมายของประโยคที่รับฟัง ลูกแก้วคู่หวานกลอกกลิ้งไหวระริก ภายในอกวูบโหวง ขอบตาร้อนผ่าว ฟันขาวขบริมฝีปากสีแดงอ่อนที่เริ่มสั่น มองใบหน้าหล่อเหลาอย่างพยายามอ่านใจ

“นายหัวเป็นคนสั่งเหรอครับ?”

น้ำเสียงตะกุกตะกัก ยากเหลือเกินแม้เป็นเพียงคำถามสั้นๆ พวกเราสองตระกูลแค้นเคืองเกลียดชังนั้นเขารู้ดี แต่ต้องทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ? จะต้องเสียเลือดเนื้อ จะต้องเข่นฆ่ากันให้ตาย

“ใช่ พี่สั่งคนไปถล่มรังไอ้สงคราม แต่น้องคิดว่าพี่เจออะไร? อ่า...คุณอาพิศาลของน้องไง ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ? อ่อ! คงถามเอาจากน้องไม่ได้สินะครับ น้องอาจจะไม่รู้หรือน้องเองก็อาจจะสมรู้ร่วมคิด”

ท้ายประโยคถูกเน้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น สีหน้าเรียบนิ่งแปรเปลี่ยนเปิดเผยให้เห็นถึงความนัย พอรับสายจากปฐพีถึงรู้ว่าภัควัฒน์โยธินกำลังเล่นแง่ ที่มีเรื่องกันในงานคืนนั้นจะให้คิดเป็นอื่นว่าไม่รู้เห็นกันได้อย่างไร!

ทั้งเจ้าของใบหน้านวลผ่องตรงหน้านี้ ประกายตาสั่นระริกที่ช้อนมองมานั่นจริงหรือหลอกลวง? อาจเสแสร้งแกล้งทำเหมือนว่าสูงส่งปานนางฟ้า แต่ทำไมถึงกล้าลดตัวไปคบหาพวกสวะอย่างอัศวอัครวรกุล

หากจะด่าว่าชั่ว ก็คงชั่วช้ากันทั้งหมดนี่แหละ!

การแสดงหรอกหรือ? เอาตัวเข้ามาบังราวกับว่าเป็นห่วงกันนักหนานั่นก็แสร้งทำ? ทว่ามันช่างสมจริงสมจังเสียเหลือเกิน เก่งกาจจนอยากมอบรางวัลที่ตบตาได้อย่างแนบเนียน ทั้งที่เหมือนจะอ่านง่าย แต่ไม่เลย ไม่เลยสักนิดเดียว

“เพราะอะไรเหรอครับ? เพราะอะไรนายหัวถึงสั่งจัดการคุณสงคราม”

ยังไม่อาจควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ แค่หยามเกียรติกันหรือสาเหตุต้นตอมากจากไหน ตนมีสิทธิ์ที่จะรับทราบเรื่องราวหรือไม่ อย่างน้อยคนที่ได้รับผลกระทบก็เป็นภัควัฒน์โยธิน เดย์ไม่รู้เลยสักนิดว่าทำไมคุณอาถึงไปอยู่ที่นั่น ทว่าสุ้มเสียงหวานยิ่งทำให้เรียวคิ้วเข้มขมวดฉับ ตีความหมายผิดเพี้ยนอย่างสิ้นเชิงด้วยความหึงหวงไม่รู้ตัว

“น้องเป็นห่วงมันเหรอ?”

รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ไม่เคยสักครั้งที่จะสนใจเรื่องยิบย่อยหยุมหยิม นางแบบนักแสดงหญิงเป็นสิบเป็นร้อยต่อคิวเข้ามาสานสัมพันธ์ กฎเหล็กคืออย่ายุ่มย่ามชีวิตส่วนตัว มีหน้าที่แค่ปรนนิบัติรับใช้บนตั่งเตียงหรือเป็นเพื่อนคลายเหงาชั่วครั้งชั่วคราว เขาไม่สนใจเรื่องความรู้สึก ดูแลคู่ขาคู่ควงเหมือนธุรกิจหนึ่งในครอบครอง ได้มาสนองไป จะเป็นเงินทอง ข้าวของหรืออะไรก็ได้ที่พวกหล่อนต้องการ หากแต่เจ้าของดวงหน้าอ่อนหวานกำลังทำระบบบริหารของเขารวน

“นายหัวครับ ผมคิดว่าเราแข่งกันแค่ในเกมธุรกิจ แต่นี่มัน...เล่นสกปรก”

ใจหนึ่งคัดค้าน หากแต่สิ่งที่เห็นกลับตรงข้ามศรัทธา แม้ภาพลักษณ์ภายนอกดูเหมือนเป็นบุคคลอันตราย ทว่าอีกฝ่ายมีมุมโอบอ้อมอารี บ่าวไพร่ข้ารับใช้ต่างชื่นชมให้ได้ยินไม่ขาดปาก ถึงจะแข็งกระด้าง เข้าถึงยาก แต่นายหัวเที่ยงตรงยุติธรรม ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ปกครองคนมากมายให้อยู่ในโอวาทและถวายตัวจงรักภักดี ความเคารพนับถือมันซื้อหาด้วยเงินตราไม่ได้ ทว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อความสับสนวุ่นวาย ภายในหัวตีรวนไปหมด

“พี่สั่งห้ามน้องออกจากรั้วอัคคเดชภูดินันท์ จะออกไปได้ก็ต่อเมื่อพี่อนุญาตเท่านั้น”

ไม่แก้ต่างเอาดีเข้าตัว เมื่อนายหัวของตระกูลตัดบทหันหลังเดินเข้าเรือนหน้า ด้วยเกรงว่าโทสะจะพอกพูนเพียงแค่ภรรยาดูห่วงใยชายชู้เกินเหตุ ส่วนปฐพีได้แต่รีบก้าวเท้าติดตามผู้เป็นนาย ไม่อาจอธิบายความคลุมเครือให้กระจ่างเพราะมีคำสั่ง





!!!

ฝ่ามือเรียวฟาดผ่านผิวแก้มขาวเรียกมะปรางกับแสงเดือนรีบเอาตัวเข้ามากั้นระหว่างคู่ขาคนใหม่กับเด็กหนุ่มผู้เป็นที่รัก กิริยามารยาทต่ำทราม แค่ทำลายข้าวของในห้องก็ถือว่ามากพอแล้ว ทว่าตอนนี้หล่อนกำลังพยายามทำร้ายร่างกาย

“อย่าทำนายน้องนะคะ”
“ฉันจะทำ เป็นแค่คนใช้ก็อยู่ส่วนคนใช้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่พวกแกออกทุกคน!”

เจ้าหล่อนคือหญิงสาวในชุดราตรีสีสดคืนนั้น ที่นายหัวโอบไปร่วมงานให้นักข่าวชักภาพลงหนังสือพิมพ์วันถัดมาแทบทุกฉบับ ครหานินทาไปค่อนประเทศว่าเตียงหักทั้งที่ดองกันไม่ถึงสองสัปดาห์ คุณหญิงไลลาอาละวาดบ้านแทบพัง กว่าจะเย็นลงก็ตอนที่ลูกสะใภ้คนโปรดชวนเปลี่ยนเรื่องคุยราวกับไม่ติดใจอะไร

นายน้องก็ยังเป็นนายน้องที่นิ่งได้สมฐานะ บ่าวรับใช้สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มมีเรื่องในใจ ถึงได้พยายามเลี่ยงการปะทะ ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมให้ความร่วมมือ คู่ขาคนอื่นๆแม้จะไม่เข้ามาร่วมสร้างปัญหาแต่ก็ยืนมองอยู่ห่างๆด้วยความสะใจ แสงเดือนรีบวิ่งออกไปตามนมช้อยโดยมีมะปรางคอยยืนบัง นึกโมโหนายน้องที่ไม่คิดจะโต้ตอบ เอาแต่พยายามเก็บเข้าของที่ถูกฝ่ายนั้นรื้อค้นกระจัดกระจาย แม้แต่กรอบรูปครอบครัวที่เพิ่งไปเปลี่ยนมาใหม่ก็ไม่ละเว้น

“นายน้องเจ็บไหมคะ เดี๋ยวมะปรางจะหายาทาให้”

รอยช้ำจากฝ่ามือปรากฏเด่นชัดกว่าครั้งก่อน สาวใช้ตัวผอมเริ่มน้ำหูน้ำตาคลอ รู้สึกเจ็บแทนเจ้าของกายบอบบาง แม้แต่รอยยิ้มจางบนดวงหน้าอ่อนหวานก็ไม่ช่วยอะไร ถึงหล่อนจะชอบมองอีกฝ่ายตอนระบายยิ้มก็ตามที

“ผมไม่เป็นไรครับ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”

เหมือนใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะห่วงผู้เป็นอาเสียจนไม่นึกถึงเรื่องใด ทั้งไม่มีเครื่องมือติดต่อสื่อสาร จะถามไถ่อาการยังทำไม่ได้ แค่อยากรู้ว่าญาติผู้ ใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ทราบความเป็นไปสักนิดก็ยังดี ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย

“นายน้อง...”

มองสำรวจความเสียหาย รอยเล็บครูดยาวบริเวณต้นคอ ทั้งที่นายน้องเอ่ยปากบอกว่าหากต้องการอยู่ห้องนี้ตนจะย้ายออกไปอยู่ห้องอื่นแท้ๆ แต่แม่นางแบบก็ยังไม่ยอมจบ

“ได้แต่งงานกับนายหัวแล้วยังไง? เขาสนใจหรือเปล่าล่ะ”

หล่อนทำท่าจะเข้ามากระชากอีกครั้งแต่มะปรางปัดป้องสุดกำลัง ภัควัฒน์โยธินคนโตรู้สึกหดหู่กับสถานการณ์เช่นนี้เต็มที เพราะไม่อาจรับมือหรือจัดการ เหนื่อยเหลือเกิน แม้พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทว่าตนกลับเป็นฝ่ายลากคนอื่นๆมาเจ็บตัวแทนอยู่เสมอ

“พี่มะปราง พอแล้วครับ”


“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

กระแสเสียงทุ้มต่ำโพลงดังหยุดชะงักทุกอย่างได้ทันที แสงเดือนที่วิ่งตามหานมช้อยยังไม่ถึงไหนก็เจอนายหัวกับปฐพีเสียก่อน บ่าวไพร่ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดจะไม่เอ่ยฟ้องเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผู้เป็นนายเด็ดขาด ทว่าคราวนี้แสงเดือนยอมเสี่ยงรายงานนายหัวโชต จะโดนไล่ออกก็ยอม ด้วยไม่อาจทนเห็นนายน้องถูกรังแก

เนื่องจากเป็นประมุขของบ้าน ผู้ติดตามจึงเดินเพ่นพ่านคุ้มกันทั่วเรือน เพราะในยามปกตินายหัวจะมาเรือนฝั่งขวาเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น จุดโฟกัสของแววคมสีดำขลับคือกายเล็กที่ยืนนิ่งไม่ยอมสบตา ผิวเนื้อนวลเนียนปรากฏรอยช้ำดั่งเช่นคราวที่คุณหญิงไลลาเป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งตวาดทั้งตะคอกสั่งให้จัดการ แววเคลือบใสเบนไปด้านข้าง เพิกเฉย สงบนิ่ง ไร้ความสนใจ คงจะโกรธที่ถูกห้ามไม่ให้กลับภัควัฒน์โยธิน

“เจ็บจังเลยค่ะ โดนผลักล้มตั้งหลายที ฉันป้องกันตัวนะคะ”

ฝ่ายก่อเรื่องรีบกระโจนเข้าไปเกาะแขน ริมฝีปากเอิบอิ่มทาลิปสติกสีแดงเริ่มเล่าความเท็จด้วยสีหน้าน่าสงสาร มือเรียวจับประคองสะโพกราวกับเจ็บเสียเต็มประดา ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างออดอ้อนอยู่ในที

“ฉันนอนอยู่ดีๆ จู่ๆเขาก็มาวางอำนาจใส่ มาสั่งให้ออกไปจากห้องทั้งที่ไม่ใช่เจ้าของ”

หน้าอกอวบอิ่มเบียดเข้าหากายสูงใหญ่ ซบใบหน้าสวยเฉี่ยวเคลือบเครื่องสำอางแนบกล้ามเนื้อแกร่งภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว ทว่าแววตาสะท้อนส่องประกายความร้ายกาจ เพราะมันพ้นรัศมีการมองเห็นของเจ้าบ้านอัคคเดชภูดินันท์ ส่วนมะปรางกับแสงเดือนทำได้เพียงแต่กัดฟันอดทน ไม่อาจกล่าวแย้งว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ใกล้เคียงความจริงเลยสักนิด

“ฉันชอบห้องนี้มากเลยค่ะนายหัว ดูสิคะ เห็นสระว่ายน้ำวิวสวยกว่าห้องอื่น”
“ถ้าชอบก็อยู่ที่นี่”

สุ้มเสียงทุ้มเอ่ยพูดกับนางแบบผมสั้นเรียกรอยยิ้มหวานจากหล่อนได้ทันที ก่อนคำสั่งถัดมาจะทำให้บ่าวไพร่ที่ยืนอออยู่ในห้องนี้พากันแตกตื่นตกใจ เบนสายตามองเจ้าของกายบอบบางด้วยนึกสงสารและเป็นห่วง

“ปฐพีพานายน้องย้ายไปอยู่เรือนหลัง”
“แต่นายหัวครับ ที่นั่น...”


“เดี๋ยวนี้”



“นี่รู้หรือยังว่านายน้องถูกสั่งย้ายไปอยู่เรือนหลัง”
“หา? นายน้องน่ะเหรอ?”
“เขาลือกันว่าเรือนหลังนั้นเป็นเรือนร้าง เห็นมีแต่คุณนมช้อยที่กล้าเข้าไป ฉันสงสารนายน้องจริงๆ ทั้งที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องไปอยู่เรือนเก่าๆให้พวกคู่ขาเรือนฝั่งขวาดูถูกดูแคลนแบบนั้น”
“นายหัวทำไมใจร้ายกับนายน้องขนาดนี้ ตัวก็เล็กๆ หน้าตาน่ารักแถมยังใจดีมากแท้ๆ ทำไมนายหัวดูไม่ปลื้มเธอเอาเสียเลย”
“อย่าเสียงดังสิ ระวังจะโดนสั่งเก็บไม่รู้ตัว ก็รู้ๆกันอยู่ว่านายน้องเป็นคนตระกูลภัควัฒน์โยธิน”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:37:29 โดย pangll »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด