'พ่าย' อัคคเดชภูดินันท์ vs ภัควัฒน์โยธิน (ตอนที่ ๑๒) ๑๑/๐๗/๒๕๕๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'พ่าย' อัคคเดชภูดินันท์ vs ภัควัฒน์โยธิน (ตอนที่ ๑๒) ๑๑/๐๗/๒๕๕๙  (อ่าน 15282 ครั้ง)

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
“นายหัวครับ ผมขออธิบายเรื่องนั้นกับนายน้อง”

เดินอ้อมมาเปิดประตูห้องโดยสารให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตด้วยรู้ทั้งรู้ว่าคงขัดหูเจ้าของใบหน้าหล่อปนหวานไม่น้อย ปฐพีครุ่นคิดมาตลอดช่วงบ่าย หากแต่จำต้องก้มศีรษะลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกเชิงตำหนิ

“ปฐพี”
“ผมขออภัยครับ แต่ผมไม่อยากให้นายน้องเข้าใจนายหัวผิด”

เข้าใจผิดแน่ๆ เพราะแม้แต่หน้าก็แทบไม่เหลียวมองด้วยซ้ำ ถึงจะคงความนิ่งสงบ ทว่าดูหมางเมินและอาจเกินเลยไปถึงขั้นหมดศรัทธา ด้วยคิดว่านายหัวเล่นตุกติก ลอบกัดภัควัฒน์โยธิน ไม่สู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งๆหน้า

“ทางเราเองก็ไม่นึกว่าจะเจอท่านพิศาลที่นั่นนี่ครับ และฝ่ายนั้นเล่นสกปรกกับเราก่อน”

ทำร้ายไม่เว้นแม้กระทั่งชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพราะเป็นแค่โรงงานผลิตรังนกเล็กๆในจังหวัดสงขลา การคุ้มกันจึงไม่แน่นหนาเท่าฟาร์มที่กระบี่ และลูกจ้างเกือบทั้งหมดเป็นคนในพื้นที่ ครั้งนี้อัคคเดชภูดินันท์แค่ตักเตือน ไม่เช่นนั้นอัศวอัครวรกุลจะฮึกเหิมลำพองใจ

นายหัวรังสิมันตุ์สั่งเพียงแค่ขู่ ไม่ได้หมายปองชีวิต หากตกอยู่ในภาวะคับขันให้มากที่สุดแค่หยุดการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม นั่นคือการทำให้บาดเจ็บ เล็งถากห้ามฝังหัวกระสุน และที่เปลี่ยนเป้าไปฝั่งภัควัฒน์โยธินก็เพื่อให้หลุดพ้นวิถีไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ปฐพีรู้หัวอกเจ้านายดี คงอยากให้ดับลมพิศาลใจแทบขาด หากแต่ก็ไม่ทำ ไม่รู้เพราะเสี้ยวหนึ่งคิดถึงภรรยาตัวเล็กหรืออย่างไร

“เข้าใจถูกหรือผิด ก็เหมือนกัน”

กายสูงสง่าหัวเราะหึในลำคอ เพราะถ้าพูดกันตามจริงก็เล่นสกปรกตั้งแต่ร้องขอให้ ขุนลงมือ ถ้าทำสำเร็จนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้ทายาทศัตรูจะเป็นอย่างไร อาจถูกฆ่าตายหรือไม่ก็ถูกทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่งในไร่ตะวัน

“เห็นดวงตาเศร้าโศกคู่นั้นไหม? คงห่วงไอ้พิศาลจนไม่เป็นอันทำอะไร”

เปลวเพลิงสีน้ำเงินจากไฟแช็คจ่อจุดมวนบุหรี่ นายหัวรังสิมันตุ์อัดนิโคตินรสฝาดเข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นออกมา ไม่ได้ถึงขั้นติด แค่สูบบ้าง คลายเครียดยามโหมงานหนักเกินไป

“คิดว่ายังไง คิดว่าโกหกเก่งไหม หน้าตาแบบนั้น”

เหมือนทุกครั้งที่ชอบถามความเห็นยามต้องการสอนลูกน้องให้เรียนรู้งาน ทว่าครั้งนี้แตกต่าง คล้ายจะไม่ต้องการคำตอบ แค่ปล่อยให้มันล่องลอยกระทั่งจางหาย เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มควันสีหม่นที่พ่นผ่านริมฝีปากอิ่ม ทว่าบ่าวคนสนิทที่รับใช้มานานกลับสัมผัสถึงความรวนเร ไร้ความหนักแน่น มั่งคง


ไม่อาจหาญพอจะอ่านใจนายหัวแห่งอัคคเดชภูดินันท์
มีแต่ภาวนาให้เมตตาปรานีบ้าง สักนิดก็ยังดี






เรียวขายาวก้าวฝ่าความมืดเข้ามาภายในเรือนอย่างคุ้นชิน หลอดไฟทุกดวงดับสนิทไม่ถูกเปิดใช้ราวกับไม่มีผู้อยู่อาศัย ทว่าเจ้าของกายสูงใหญ่รู้ทั้งรู้ว่ามีหนึ่งชีวิต มุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นเนื่องจากห้องดังกล่าวอยู่ติดประตูหน้า อาจเพราะทางเข้าเรือนเต็มไปด้วยต้นไม้ทึบและไม้ดัดหลากสายพันธุ์ ดูรกหูรกตาสักหน่อย แต่เขาชอบแบบนี้ อีกเหตุผลเพราะแม่อัมพรเจ้ากี้เจ้าการให้ขนมาด้วยทุกครั้งที่ขึ้นไปเชียงราย

เอื้อมมือไปกดสวิทซ์โคมไฟสำหรับอ่านหนังสือ แสงสีส้มอ่อนสว่างวาบสะท้อนให้เห็นร่างบอบบางบนโซฟาตัวยาว ม่านกลมโตสุกสกาวหลบภายใต้เปลือกตาสีน้ำนม เป็นครั้งแรกที่เห็นน้องยามหลับใหล กายเล็กนอนตะแคงข้าง เรียวคิ้วสวยยังขมวดพันกัน สาเหตุไม่พ้นคิดมากจนเคลิ้มหลับไป

ทรุดกายนั่งยองๆข้างโซฟา ขยับฝ่ามือหนาแตะประคองแก้มขาว เลื่อนก้านนิ้วไล้เล่นแผ่วเบาบนรอยช้ำ นึกสงสัยว่าตัวแค่นี้จะสามารถแบกรับได้อีกนานแค่ไหน โน้มใบหน้าลงไปใกล้ กระทั่งริมฝีปากประทับแนบมุมกลีบเนื้อรูปหัวใจคล้ายคนละเมอ

นั่นไม่ใช่ ‘คนที่หลับ’
แต่ ‘คนที่ตื่น’ กลับเป็นฝ่ายเผลอ...ลืมตัว

ไม่รู้เพราะถูกรบกวนหรือว่าอย่างไรนัยน์ตาคู่สวยถึงได้เปิดปรือขึ้น เรียกเจ้าของกายสูงผงะถอยเล็กน้อยหากแต่ก็ไม่ไปไหนไกล นายหัวรังสิมันตุ์สุขุมฉันใด นายน้องก็คล้ายจะเย็นเป็นน้ำฉันนั้น ม่านคมเข้มสบจ้องตอบฝ่ายที่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นนั่ง ไร้เสียง มีเพียงการเคลื่อนไหว เนิ่นนานเสียจนเข็มวินาทีวนกลับมาที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเป็นฝ่ามืออุ่นที่ขยับประคองดวงหน้าอ่อนเยาว์ไว้อีกครั้ง เกลี่ยเล่นข้างแก้มใสอย่างอ่อนโยน...

“น้องเจ็บไหม”

กระแสเสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยถาม แต่คำตอบคือการส่ายหน้า แววตาสั่นคลอนไหวระริก มือเล็กเอื้อมไปรั้งเอาบางสิ่งบางอย่างจากด้านในสูทสีดำแบบทางการ ซึ่งเจ้าของใบหน้าหล่อจัดสวมทับบนเสื้อเชิ้ตสีอ่อน เพราะมีนัดคุยธุระกับคู่ค้าและเพิ่งกลับมาถึงจึงยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย

“ถ้าอย่างนั้นเอามาลงที่ผม”

ราวกับเป็นถ้อยคำร้องขออ้อนวอนจากผู้แพ้พ่าย ทว่าไม่ใช่ ไม่เลยสักนิด ใจความนั่นช่างแสนแตกต่าง เพราะมันเปี่ยมล้นด้วยความรับผิดชอบ แสนสง่าผ่าเผย ไม่อาจเปรียบเปรยว่าฝ่ายตนนั้นได้รับชัยชนะ

“ความแค้นของอัคคเดชภูดินันท์ที่มีต่อภัควัฒน์โยธินผมจะรับเอาไว้เอง ฆ่าผมเถอะครับและขอให้เรื่องราวบาดหมางทุกอย่างจบสิ้นหลังจากผมหมดลมหายใจ แต่ได้ โปรด...ได้ โปรดอย่าทำร้ายคนอื่น”

มือเล็กจับข้อแขนใหญ่บังคับให้หันปลายกระบอกปืนมาจ่อแนบจมแผ่นอกบาง ม่านกลมโตงดงามฉายความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ แม้ประกายตาหวานจะสั่นสะท้านอยู่ไม่น้อย หากแต่การกระทำนั้นเรียกเรียวปากหยักสวยเหยียดยิ้มเยาะ ไม่รู้ตลกขบขันเรื่องอะไรนักหนา

“นายหัวครับ ฆ่าผมแทนได้ ไหม”
“เอามาลงที่น้องหรือ?”

โครงหน้าหล่อเหลาโน้มลงมา คล้ายกับเห็นเพลิงแค้นลุกโชนภายในดวงตาคมกริบคู่นั้น มันอ่านยากและเกินกว่าจะหยั่งถึง เดย์รู้สึกว่ามันใกล้ ใกล้กันถึงเพียงนี้ ใกล้กันเพียงแค่ม่านอากาศกั้น แต่ความจริงระยะห่างเราสองนั้นช่างไกลแสนไกล

“แค่น้องคนเดียวคิดว่าจะลบล้างได้หมดหรือไงครับ หืม?”

ก็แค่หมากตัวเล็กๆตัวเดียว จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด โชตพร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอ

“พี่จะบอกสิ่งที่น้องต้องทำต่อจากนี้ให้ฟัง”

นิ้วหัวแม่มือแตะไล้กลีบเนื้อสีแดงธรรมชาติด้านล่าง เลื่อนสัมผัสอย่างย่ามใจยิ่งเห็นว่ามันสั่นเทาแค่ไหนยิ่งหยอกเล่นไม่หยุด

“น้องมีหน้าที่ทุกข์ทรมาน ทรมานปานใจจะขาด ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะไม่ฆ่าน้อง แต่มันต้องสาสม สาสมกับที่ทำให้พ่อของพี่ตาย…”

เหมือนจะรับรู้ความเจ็บปวดผ่านกระแสเสียงราบเรียบนั้น แต่เขาจะยอมแลกชีวิต ยอม...อย่างน้อยก็ขอให้ภัควัฒน์โยธินรอดพ้นอันตราย เขาไม่อยากสูญเสียใคร หากจะสูญเสียอีกครั้งก็ขอให้เป็นตัวเขาเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้โปรดทรมานผม ทรมานผมให้สาแก่ใจนายหัว เวลาโกรธ เวลาไม่พอใจ ก็ให้มาลงที่ผม สาสมแล้วค่อยฆ่า ฆ่าผมให้ตาย”
“คิดว่าพี่ไม่กล้าฆ่าน้องหรือ?”
“นายหัวครับ”
“คิดว่าพี่จะไม่กล้าทำอะไรน้องใช่ไหม?”

คว้าจับท่อนแขนแกร่ง อ้อนวอนขอแลกความแค้นด้วยลมหายใจ ดวงตากลมมนทอดมองม่านคมสีดำขลับที่ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ มันสวยงามทว่าก็แฝงอันตราย ยิ่งจ้องก็เหมือนยิ่งจมดิ่งลงไป

หวั่นไหว...


พวกเขาไม่อาจควบคุมความหวั่นไหวที่มีต่อกัน...

ยามริมฝีปากอิ่มต้องสัมผัสกลีบปากรูปหัวใจ แตะเบาๆคล้ายปลอบประโลมให้คลายกังวล ไล่เรื่อยจูบผิวเนื้อนวลเนียนอย่างทะนุถนอม จากสันจมูกโด่งรั้น ระหว่างคิ้ว กลางหน้าผากมน ราวกับต้องการปัดเป่าความหมองเศร้าทั้งหมดให้จางหาย อาวุธสังหารที่คนตัวเล็กจับกระชับไว้หลุดร่วงเมื่อเรียวปากหยักวกกลับมาพรากอิสรภาพ กดย้ำหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายสั่นสะท้านรุนแรง


พวกเขาไม่ควรหลับตา...

นั่นไม่ได้หมายความว่าใครปิดการมองเห็นก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้พ่าย ม่านคมเข้มทอดมองดวงหน้าน่ารักในระยะประชิด แม้เป็นฝ่ายรุกรานเรียกร้อง ทว่าเพียงแค่ขนตางอนยาวทาบผิวแก้มขาวกลับมีอิทธิพลให้ลมหายใจสะดุดทุกขณะ มือบอบบางสั่นน้อยๆคว้ายึดช่วงบ่ากว้าง ในจังหวะนั้นนัยน์ตาสีนิลก็ปิดการรับรู้ลง ใช้สัมผัสทางกายตอบสนองต่อกันและกัน


พวกเขาไม่ควรจูบ...

ไม่ควรจูบกันด้วยความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ เพราะเป็นการป้อนจุมพิตแรกที่สุดแสนละมุนละไม อ่อนโยนเสียจนแทบหลอมละลายกลายเป็นน้ำตาลเหลว มันไม่ใช่จูบเพื่อปลดปล่อยห้วงอารมณ์หรือจูบเพื่อปลุกเร้าความต้องการเหมือนที่ฝ่ายสามีเคยผ่านมาอย่างโชกโชน แต่กลับต้องมาสยบเพียงเพราะ...การตอบรับอย่างไม่ประสีประสา ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะวางฝ่ามือเล็กไว้ตรงไหน


“อือ...”

ที่ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้เอาแต่ใจ ยอมให้ ไล่ล่า เพราะห่วงต้นตระกูลหรือเพราะว่ากำลังเผลอไผล?


พวกเขาไม่ควรสานต่อ...

ควรหยุด หยุดทุกอย่างลงตอนนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้ ไม่ใช่เอาแต่ตระกองกอดกันราวกับกลัวฝ่ายตรงข้ามจะหายไป ลำแขนแข็งแรงตวัดเอวคอดมาแนบชิดร่างกายกำยำ รั้งเรียวขาเพรียวพลางยกกายบอบบางขึ้นแม้จะยังเก็บเกี่ยวน้ำเชื่อมในโพรงปาก กระทั่งแผ่นหลังแคบแนบผนังเยียบเย็นอีกด้านของห้อง ริมฝีปากอิ่มละห่างเพียงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มเบียดกลีบเนื้อนุ่มนิ่มอีกครั้ง แทรกความอุ่นชื้นไล่ต้อนปลายลิ้นหวานฉ่ำ ให้ฝ่ายภรรยาต้องส่งเสียงครางประท้วงอย่างน่าเอ็นดู


พวกเขาไม่ควรเกิดมาเป็นศัตรู...

เพราะพวกเขาเกิดมาเพื่อเคียงคู่กันและกัน หากแต่สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมความชิงชังเป็นกำแพงสูงใหญ่ ต้นเหตุความแค้นเคืองจากรุ่นแรกสู่รุ่นหลัง แม้แต่ภาพติดตาที่ฝ่ายอัคคเดชภูดินันท์ต้องสูญเสียยังตามหลอกหลอนทุกค่ำคืน ไม่อาจให้อภัยลูกตะกั่วที่เจาะทะลุ พรากบิดาไปต่อหน้าต่อตา แต่ทว่าเสียงลมหายใจหอบกระชั้น คล้ายกำลังย้อมสีดำด้วยสีขาว



และพวกเขาไม่เคยรู้ตัว...
ไม่เคยรู้ตัวว่าพร้อมจะพังกำแพงสูงเสียดฟ้าที่ว่านั่น เพื่อจะได้โคจรมาอยู่ใกล้ๆกัน ใกล้กันเพียงหนึ่งลมหายใจ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:39:53 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๑๑.



เรือนหลังขนาดกะทัดรัด เนื้อที่ประมาณหนึ่งในหกของเรือนขวา ปกคลุมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ขึ้นรกเสียจนบังมิดตัวบ้านสองชั้นครึ่ง ซึ่งมีเพียงสองห้องนอนใหญ่แยกหันระเบียงไปทางทิศเหนือและทิศใต้ตามลำดับ ไร้ผู้อยู่อาศัยจึงถูกปิดไว้ เปิดอาทิตย์ละครั้งให้นมช้อยทำความสะอาด กลายเป็นเรือนร้างโดยสมบูรณ์แบบ พวกบ่าวรับใช้แทบไม่กล้าเฉียดกายเข้ามาใกล้บริเวณนี้ จะมีก็แต่พวกบอดี้การ์ดเดินวนรักษาความปลอดภัยตามหน้าที่เท่านั้น


ทั้งหมดนั่นคือความเข้าใจของเหล่าบริวาร
แต่ก็แค่เพียงบางส่วน…


ภายในห้องนอนกว้างขวางโอ่อ่าทางฝั่งทิศใต้ แสงไฟนวลตาบนหัวเตียงทำให้ภาพสวยงามตรงหน้าชัดเจนขึ้น ไม่กล้าผละห่างพอๆกับไม่อาจหักห้ามให้หยุดแค่ยลด้วยสายตา แผ่นอกบางเปล่าเปลือยไร้เครื่องนุ่งห่ม ผิวเนื้อเนียนขาวผ่องขับใบหน้าอ่อนหวานให้น่ามองเป็นเท่าทวีคูณ ดวงตากลมโตเปิดปรือ แม้รู้ว่าเจ้าของไม่ได้ตั้งใจยั่วยวนเพียงสักนิด หากแต่ฝ่ายสามีกลับไม่คิดปล่อยผ่าน ก้มลงมอบจุมพิตเร่าร้อนวาบหวาม ยิ่งได้ยินเสียงหอบสั่นเพราะหายใจไม่ทันยิ่งย่ามใจ เฝ้าคอยแกล้งผู้เป็นภรรยาโดยนิตินัยและพฤตินัยอย่างนึกเอ็นดู

“น้องไม่ควรมองพี่ด้วยสายตาแบบนี้”

สุ้มเสียงทุ้มแหบกระซิบแนบผิวแก้มใส กล่าวเตือนเด็กหนุ่มใต้ร่างด้วยเกินกว่าจะต้านทานประกายไหวระริกที่กำลังช้อนสบตอบ มันงดงามเสียจนสร้างความพร่าเลือนในดวงตา สถานการณ์ฝั่งภัควัฒน์โยธินเหมือนว่าจะตกเป็นรอง ตกอยู่ในวังวนเกมรักบนตั่งเตียงของอัคคเดชภูดินันท์ ทว่าไม่อาจคิดเช่นนั้นได้อย่างสนิทใจ เพราะนายหัวผู้ยิ่งใหญ่คล้ายจะแพ้พ่ายเสียทุกทียามได้ยินเสียงครวญครางระรื่นหู แถมทั้งเนื้อทั้งตัวบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ไม่รู้ว่าน้องถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน แต่ทุกท่วงท่าที่ขยับเคลื่อนไหวมันเพลินตาน่าจับจ้องไปหมด ราวกับต้องมนต์สะกด โลกทั้งใบหยุดหมุนฉับพลัน

เสี้ยวหนึ่งที่คิดว่าเป็นกลลวง เพราะมันน่าหลงใหลเกินพอดี เผยเสน่ห์เย้ายวนที่หลอกล่อให้กระโจนเข้าใส่ เพียงแค่นอนนิ่งให้ทาบทับผิวกายยังนึกหวั่น แม้ ใจคิดอยากทำลายทำให้ด่างพร้อยแปดเปื้อน ทว่าช่วงจังหวะที่หลอมรวม พายุร้ายที่กำลังก่อตัวเตรียมกระหน่ำพัดกลับสลายจางหายราวกับไม่เคยมี หลงเหลือเพียงความนุ่มนวล เฝ้าทะนุถนอม คอยรังแกน้องให้ขยับกลีบเนื้ออ่อนส่งเสียงห้ามปรามแทบไม่ทัน

“อ๊ะ…”
“และน้องไม่ควรหลบสายตาพี่…”

รูปประโยคต่อมาย้อนแย้งอย่างเอาแต่ใจเมื่อม่านตาคู่สวยเฉหลบมองไปด้านข้าง ละข้อความที่ต้องการเอื้อนเอ่ยไว้ด้วยการไล่จูบตามขมับ ก่อนจะใช้ฝ่ามือประคองดวงหน้านวลผ่องแต้มริ้วเลือดฝาดให้หันมา ฟังถ้อยคำที่ส่งผลให้ผิวเนื้อร้อนฉ่ายิ่งกว่าเดิม

“เพราะมันจะทำให้น้องไม่ได้พัก ทั้งคืน

สิ้นเสียงทุ้ม ริมฝีปากอิ่มโน้มลงฉกฉวยความนุ่มละมุนตรงหน้าอีกครั้ง ฝ่ามือสอดประสานยึดกายบอบบางที่เริ่มสั่นโยกตามจังหวะการควบคุม นัยน์ตาคู่คมเก็บรายละเอียดบนใบหน้าเนียนใส ยิ่งยามเผลอสบตาคล้ายอ้อนวอนให้เบาแรงยิ่งอยากสวนกายกระแทกกลับ น่ารักแม้กระทั่งเผยอกลีบปากหอบหายใจ ส่งเสียงครางหวานเมื่อร่างกายถูกรุกล้ำลึกซึ้ง สะโพกสอบขยับเข้าออกหนักหน่วงเมื่อเห็นสีหน้าบิดเบ้ด้วยม่านอารมณ์ของผู้เป็นภรรยา พะเน้าพะนอซับเหงื่อที่ผุดตามไรผมบนหน้าผากมน ป้อนจุมพิตเล้าโลมไม่หยุดหย่อน


พวกเขาไม่ควรครอบครองกันและกัน...

เพราะมันจะยิ่งทำให้ผูกพัน ยิ่งทำให้ความรู้สึกชอบพอเด่นชัด หากอัคคเดชภูดินันท์คิดเพียงแค่ฝากฝังความเกลียดชังคงไม่เป็นไร หากภัควัฒน์โยธินอยากรับความแค้นเคืองทั้งหมดไว้เพียงเท่านั้น หากพวกเขาไม่นึกรัก ไม่นึกห่วง ไม่นึกหึงหวง ไม่นึกสงสาร ไม่นึกเห็นใจ


ตั้งแต่เมื่อไหร่…
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาพ่าย
   

แววคมเข้มคู่งาม โครงหน้าหล่อปนหวาน ลมหายใจผะผ่าว สุ้มเสียงครางต่ำ ร้อนระอุพร้อมลุกลามแผดเผาให้มอดไหม้ ไม่กล้าหลบสายตาพอๆกับไม่อาจสบจ้อง หากแต่คอยถูกบังคับให้หันมอง คอยจดจำเสียงหอบ คอยรับรู้สัมผัส สีหน้าที่แสดงออกถึงความต้องการเรียกเลือดลมไหลพล่านทั่วสรรพางค์ วูบวาบ หวั่นไหว ผวาถอยห่างด้วยความเจ็บจุกทว่าถูกลวงหลอกให้คล้อยตาม ปั่นป่วนทุกส่วนประสาทของร่างกาย

มือเล็กค่อยๆเอื้อมแตะประคองแก้มสากอย่างไม่รู้ตัว ไรหนวดจางๆรอบริมฝีปากหนาเสริมความเป็นบุรุษเพศ กลิ่นกายเอกลักษณ์เร่งเร้าความเสน่หาให้รุนแรงไม่อาจต้าน มือใหญ่ทาบทับพลางเบี่ยงจูบฝ่ามือนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นข้อแขน ท้องแขน เผื่อลงมาถึงกลีบเนื้อหวานฉ่ำสีแดงอ่อน กวาดต้อน ดูดกลืน ไล่ตามติดให้จนมุมไร้หนทางหลบหนี


บนหน้าผาสูงชันเช่นนี้
หากจะเดินหน้ามีทางเดียวคือต้องทิ้งตัวลงไป
   
ลงไปสู่หุบเหว...
รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์






แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบประตูกระจกตรงระเบียงห้อง คุณหนูคนโตแห่งภัควัฒน์โยธินกลอกสายตามองรอบๆก่อนจะพยุงตัวขึ้นนั่ง สัมผัสร้าวระบมช่วงสะโพกส่งผลให้ต้องชะงักการเคลื่อนไหว หากแต่พอนึกถึงสาเหตุ…ผิวแก้มนวลเนียนเหมือนมีเปลวไฟมาลนจ่อเสียอย่างนั้น ก้มลงสำรวจสภาพตัวเองภายใต้ผ้านวมผืนหนาพลางพรั่งพรูลมหายใจ อย่างน้อยยังมีเสื้อคลุมอาบน้ำสวมไว้ ทว่าจู่ๆอัตราการเต้นของหัวใจกลับเร่งรัวขึ้น

กะพริบตาปริบๆ หยุดนิ่งอยู่นาน ก่อนจะรีบสะบัดดวงหน้าอ่อนหวาน พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว ภาพความทรงจำไหลเข้ามาย้ำเตือนเป็นฉากๆ นัยน์ตาสีดำขลับที่คอยจับจ้อง เรียวปากหยักสวยที่คอยออกคำสั่ง คล้ายจะบังคับกลั่นแกล้งกันอยู่ตลอดทั้งคืน โชคดีเหลือเกินที่ยามตื่นไม่เจอตัว นายหัวคงออกไปทำงานตามปกติ

“ตื่นแล้วเหรอคะนายน้อง ลุกไหวไหม? เดี๋ยวดิฉันช่วยค่ะ”

ม่านตากลมโตเบนตามเสียงเรียก นมช้อยรีบวางถาดอาหารมื้อแรกของเด็กหนุ่มลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะรีบรุดเข้ามาถามไถ่ปนรอยยิ้มจาง แต่เดย์สัมผัสได้ว่ามันค่อนข้างฝืนทำ

“ผมไม่เป็นไรครับ”

ตอบรับให้ผู้อาวุโสสบายใจ ลูกแก้วกลมใสกราดสำรวจทั่วห้อง เพราะเมื่อวานเอาแต่ห่วงคุณอาพิศาลจนไม่ได้สังเกตสิ่งรอบกาย ห้องนอนกว้างถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ตามสมัยนิยม เน้นไปทางโทนสีเข้ม ลงตัวไม่สมกับชื่อเรือนร้างเลยสักนิด ชั้นหนังสือสูงชิดเพดานติดผนังด้านหนึ่ง ถัดไปอีกหน่อยมีโซฟายาวกับเก้าอี้นวมตั้ง เป็นมุมอ่านหนังสือที่สามารถมองออกไปนอกระเบียง ซึ่งตนก็ยังไม่รู้ว่าจะมองเห็นอะไร

“เช็ดเนื้อเช็ดตัวอีกรอบแล้วค่อยทานข้าวนะคะ”
“คุณนมช้อยไม่น่าลำบากยกขึ้นมาเลย ผมลงไปทานในครัวข้างล่างก็ได้ครับ”

วาดยิ้มพลางลองขยับเขยื้อนกาย ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่สบายทว่าตนไม่ชอบนอนซมอยู่กับที่ อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศเย็นกำลังดี อาจเพราะนอนตื่นสายจึงทำให้รู้สึกมึนศีรษะแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

“ผมขอไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะรีบมาทานนะครับ”
“แต่นายน้องมีไข้ อย่าดื้อกับคนแก่เลย”

หญิงชราร้องขอ สายตาอ้อนวอนปนห่วงใย ถึงหล่อนจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แล้วตอนช่วงสายทว่าตัวยังรุมๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมทานก่อนแล้วกันครับ”

ด้วยไม่อยากให้ผู้ ใหญ่ต้องลำบากใจ มือบอบบางจึงเอื้อมไปรับชามข้าวต้มอย่างว่าง่าย ค่อยๆตักเข้าปากทีละคำจนพร่องไปเกือบหมด นมช้อยนั่งมองอยู่เงียบๆด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย ส่งแก้วน้ำเปล่าพร้อมยาแก้อักเสบกับยาลดไข้ ซึ่งเจ้าตัวก็รับไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นทุกที

แม้ยินดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดีใจเสียจนอยากวิ่งไปรายงานคุณหญิงไลลาเดี๋ยวนั้น ยามเปิดประตูห้องนอนเรือนหลังเข้ามาเจอลำแขนแกร่งโอบร่างเล็กๆไว้แน่นหนา ดวงตาทั้งสองคู่หลับพริ้ม เครื่องแต่งกายถอดทิ้งตั้งแต่ห้องนั่งเล่น บันได หน้าประตู กระทั่งสิ้นสุดตรงปลายเตียง

ไม่บ่อยที่นายหัวจะนอนกกคู่ขาคู่ควงจนถึงรุ่งสาง สายโด่งเกือบเที่ยงวันแล้วยังคลอเคลียกอดรัดไม่ห่างกาย ซุกจมูกโด่งทั่วผิวเนื้อขาวสะอาดแต้มรอยสีกุหลาบประปราย ไม่คิดอายบ่าวไพร่อายุปูนนี้ที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปทำงาน

“อะไรเหรอครับ?”

สุ้มเสียงทุ้มหวานเอ่ยถาม หญิงรับใช้มือสั่นอย่างไม่อาจควบคุม นึกตัดพ้อนายน้อยโชต คนที่เคยอ้อนเคยหยอดเวลาหล่อนทำอาหารถูกปากไม่มีอีกแล้ว มีเพียงนายหัวอัคคเดชภูดินันท์ที่แสนหยาบกระด้าง เฉยชา กระแสเสียงทุ้มทรงอำนาจที่ทิ้งไว้ก่อนออกไปพบคู่ค้ายังลอยวนสร้างความอึดอัดใจ

เฉหลบนัยน์ตาคู่สวย ยามมือเล็กคว้าจับท่อนแขนแสดงออกถึงความเป็นห่วงยิ่งทำให้นมช้อยรู้สึกผิด คุณหนูภัควัฒน์โยธินยังคงสง่างามสูงส่งทุกการเคลื่อนไหว แม้ยามหลับใหลในห้วงนิทรา ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าถูกสามีช่วงชิงความหอมจากผิวแก้มนุ่มหลายครั้งหลายครากว่าจะยอมผละห่างยังน่าเอ็นดู ต่อหน้าต่อตาหล่อน ทั้งจูบทั้งฟัดผู้เป็นภรรยา ทว่าคำสั่งที่ลอดผ่านริมฝีปากหนาช่างร้ายกาจเหนือคำบรรยาย

“มาครับ ผมไม่ใช่คนกินยายาก แต่ถ้าเป็นเจ้าตัวดื้อ อ่า...ผมหมายถึงน้องชายของผมน่ะ รายนั้นคงเบะปากส่ายหัวลูกเดียว”

แม้ ไม่ค่อยเข้าใจนัก เนื่องจากก่อนหน้าตนก็ทานไปแล้วสองเม็ด แถมเม็ดในมือของนมช้อยยังเล็กกว่าตั้งเยอะ

“นายน้องคะ...”

น้ำเสียงบ่าวรับใช้แผ่วเบาราวกลั้นสะอื้น ก่อนสัมผัสหน่วงจะเข้ามาครอบคลุมแผ่ขยายทั่วช่วงอก ยามอีกฝ่ายยอมเอ่ยพูดพร้อมส่งของในมือมาให้

“ยาคุมกำเนิด นายหัว...”

เดย์ชะงักนิ่งไป ไม่อาจควบคุมความสั่นไหวในดวงตา เด็กหนุ่มจ้องใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยของหญิงชราก่อนจะเบนโฟกัสมาที่ฝ่ามือตนเอง


‘พี่จะบอกสิ่งที่น้องต้องทำต่อจากนี้ให้ฟัง’
‘น้องมีหน้าที่ทุกข์ทรมาน ทรมานปานใจจะขาด ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะไม่ฆ่าน้อง แต่มันต้องสาสม สาสมกับที่ทำให้พ่อของพี่ตาย…’



“ดิฉันขอโทษ ดิฉัน...”
“ไม่เอาครับ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมรีบทานยาแล้วนอนพักดีกว่า เผื่อคุณนมช้อยจะใจดีอนุญาตให้ผมอาบน้ำ”

เจ้าของกายบอบบางพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติ ฝืนระบายยิ้มกว้างเสียจนดวงตากลมโตหยีลง กลืนยาเม็ดผ่านลำคออย่างรวดเร็ว ดื่มน้ำตามจนหมดแก้วก่อนส่งคืนคู่สนทนา ไม่ยืดเยื้อพะว้าพะวงต่อสิ่งใด เสมอต้นเสมอปลาย เป็นอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้น ไม่อาจทนเห็นคนอื่นทุกข์เนื่องจากตนเป็นสาเหตุ

ดีที่สุดแล้วสำหรับทุกฝ่าย เพราะเราสองยากเกินก้าวข้ามกำแพงนี้ไป หนึ่งต้องการแก้แค้น อีกหนึ่งต้องการชดใช้ ไม่ควรผูกกันไว้ด้วยอะไรทั้งนั้น คงจะเป็นวิธีจัดการความวุ่นวายของนายหัวรังสิมันตุ์ พวกคู่ขาคู่นอนในเรือนขวาอาจคิดเหนี่ยวรั้งด้วยการตั้งท้อง หากให้คุมกำเนิดเสียก็จบปัญหา


ทว่าทำไมถึงปวดปร่าไปทั้งหน้าอกซ้าย

สุ้มเสียงทุ้มหู นัยน์ตาคมอ่อนแสง อ้อมแขนแข็งแรง ฝ่ามือใหญ่ สัมผัสวาบร้อนยังตราตรึงทุกส่วนของร่างกาย รู้ดีว่าไม่ควรพลั้งเผลอลุ่มหลงในเสน่ห์เหลือร้าย เพราะมันไม่ได้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:41:52 โดย pangll »

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นมช้อยมองตามแผ่นหลังเล็กก่อนจะหันมาจัดการความเรียบร้อยตรงหน้า แม้ตอนแรกนายน้องพยายามช่วยเหลือแต่หล่อนเอ่ยปากดุไม่ยอมให้ทำ ตั้งนานสองนานกว่าเจ้าตัวจะยอมแพ้แล้วเดินตรงไปทางนั้น ไม่รู้นึกทำสิ่งใด

นายหัวรังสิมันตุ์กลับมาที่นี่เมื่อเย็นวาน น่าจับตีให้แขนลายเสียเหลือเกิน ไม่ชวนภรรยาพูดคุยสักคำก็รีบออกไปกับปฐพี คงจะมีงานที่ต่างจังหวัดเนื่องจากเห็นพวกบ่าวขนสัมภาระขึ้นรถบางส่วน ในรั้วอัคคเดชภูดินันท์ คนสนิทไม่กี่คนที่รู้ว่าทำไมเรือนหลังถูกปิดไร้ผู้อยู่อาศัย แต่จู่ๆดันมีคำสั่งให้นายน้องย้ายเข้ามา แน่นอนทุกคนต่างตกใจ แม้แต่คุณหญิงยังถามย้ำซ้ำๆไม่คิดว่าลูกชายจะเป็นคนสั่งการ

พอทานอาหารเช้าเสร็จริมฝีปากสีเรื่อก็ขยับถามเรื่องสวนดอกไม้ข้างเรือนทันที ยิ่งหล่อนพยักหน้าตอบรับว่าสามารถเก็บได้นายน้องยิ่งวาดรอยยิ้มสดใส งดงามน่ามองเสียจนบ่าวรับใช้คลี่ยิ้มตาม มีใจรักเอ็นดูนั่นก็เพราะอีกฝ่ายวางตัวเหมาะสมเสมอ ทว่า…
นมช้อยรู้สึกเหมือนมือไม้อ่อนแรงชั่วขณะ หญิงชราเผลอปล่อยถุงขยะให้ร่วงหล่น หยาดน้ำตารื้นคลอสุดฝืนกลั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วเห็นคุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินคุกเข่าตรงหน้ารูปถ่าย

นายหัวตะวัน อัคคเดชภูดินันท์

มือบอบบางวางมาลัยดอกพุดที่ร้อยด้วยตัวเองพร้อมก้มลงกราบแนบพื้น ภายในห้องทำงานถัดจากห้องนั่งเล่น ตามผนังประดับรูปถ่ายครอบครัวต้นตระกูลผู้ดีเก่าจำนวนมาก เด่นที่สุดคือรูปขนาดเท่าตัวจริงของนายท่านคนก่อน ซึ่งนายหัวรังสิมันตุ์สั่งทำมาแขวนไว้หลังจากเสียท่านไปไม่นาน

ดวงตาคู่หวานช้อนมองภาพถ่าย จับจ้องรอยยิ้มแสนอ่อนโยน ใจดี อาจเพราะคนถ่ายภาพนี้เป็นที่รักหรืออย่างไร แม้อยู่ในอิริยาบถผ่อนคลายแต่ยังคงความสง่าน่านับถือ ใบหน้าหล่อคร้ามตามวัย นายหัวคงได้โครงหน้าส่วนหนึ่งจากบิดา เพราะนัยน์ตาสีดำขลับถอดแบบคุณหญิงไลลาไม่ผิดเพี้ยน

“ผมขอโทษครับ”

ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเริ่มก่อน แม้คำบอกเล่าบ่งชี้ว่าบุคคลในภาพตรงหน้าพรากบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตนไป เป็นเบื้องหลังบงการให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น จนกระทั่งถูกลอบยิงเสียชีวิตในหนึ่งเดือนถัดมา ทว่าเดย์อยากขอโทษและภาวนาร้องขอให้ทุกสิ่งจบลง

จบลงที่…ตัวเขา

“ถ้าจะโกรธแค้น ท่านช่วยดลใจให้นายหัวโกรธแต่ผม แค้นเคืองแต่ผมแค่คนเดียวได้ไหมครับ”

หรือภัควัฒน์โยธินจะเป็นเจ้าของลูกกระสุนที่เจาะทะลุปลิดลมหายใจ เขาไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง เพราะความกรุ่นโกรธของภัควัฒน์โยธินใช่จะน้อยกว่าฝั่งอัคคเดชภูดินันท์ ถ้านายหัวสั่งให้ยิงได้ คุณอาพิศาลก็น่าจะทำได้เช่นกัน
แม้ปลายสายจะย้ำบอกว่าไม่เป็นไรมากแต่เขาไม่อาจคลายกังวล เมื่อเย็นวานปฐพีเข้ามาที่เรือนพร้อมแจ้งว่านายหัวอนุญาตให้ ใช้โทรศัพท์ เดย์รีบต่อสายหาคุณอาด้วยความร้อนใจทันที ถึงทราบว่าญาติผู้ ใหญ่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล แค่โดนยิงถากๆไม่ถูกจุดสำคัญ ทว่าคุณหมอชัชวาลไม่ยอมให้ท่านกลับภัควัฒน์โยธิน ต้องการให้นอนพักรักษาตัวจนกว่าบาดแผลจะหายสนิทเสียก่อน


‘มันเป็นคนสั่งยิงอา หลานต้องระวังตัวและหาทางทำลายพวกอัคคเดชภูดินันท์’

กระแสเสียงทุ้มแฝงด้วยความเคียดแค้นชิงชังลอยผ่านมาให้ได้ยิน เดย์ยืนนิ่งไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธ

‘ฟังอาให้ดี หลานอย่าใจอ่อน พวกมันเป็นคนเลว พวกมันฆ่าพ่อแม่ของหลานและตอนนี้มันกำลังคิดจะเก็บอาอีกคน’

ขอบตาร้อนผ่าว มือขาวเริ่มสั่นเทา ทว่ายังไม่ทันได้ถามความชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาของ ‘คนเลว’ ในบทสนทนาก็ปรากฏขึ้นบนกรอบสายตา สืบเท้าเข้ามาหากดดันให้ รีบวางสาย แต่ก็แค่สบมองกันชั่วครู่ก่อนแยกตัวขึ้นไปบนชั้นสอง ทิ้งความรู้สึกอึดอัดมากมายไว้ ให้เผชิญ โดยไม่คิดเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ

“โถ...คนดีของนม”

โอบจับฝ่ามือนุ่มนิ่มพลางลูบเบาๆ หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้วนมช้อยจึงเข้ามานั่งเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม บ่าวไพร่ในรั้วอัคคเดชภูดินันท์มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกเรือนนี้ นานๆทีคุณหญิงท่านจะมาสักครั้ง มาดูแลความเรียบร้อยตามประสานายหญิงของตระกูล

“นายหัวตะวัน ท่านใจดีไหมครับ”

กลีบปากอิ่มแย้มรอยยิ้มจาง หากแต่ประกายตาหวานเศร้าโศกเนื่องจากมีเรื่องในใจ ไหล่เล็กๆเพียงแค่นี้ไม่รู้แบกอะไรเอาไว้บ้าง

“ใจดีมากๆเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยแสดงออกเหมือนนายหัวโชต กับคุณหญิงไลลาเองเธอก็มักน้อยอกน้อยใจสามีอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ต้องมาคอยงอนลูกชายอีกคน”
“นายหัวโชตเหรอครับที่ใจดี”

หลุดขำกับคำตอบของหญิงชรา เจ้าของกายสูงสง่าคงจะใจดีเฉพาะกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ที่ไม่ใช่ศัตรู

“นายน้อง…”
“ว่าแต่รูปนี้คงถ่ายไว้นานแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ นายหัวโชต ไม่สิ ตอนนั้นยังเรียกนายน้อยโชตกันอยู่เลย เธอเป็นคนกดถ่ายเองกับมือ”

บทสนทนาถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น สุ้มเสียงทุ้มหวานคอยถามชื่อเสียงเรียงนามแต่ละบุคคลในภาพถ่ายบนผนัง สถานที่ ช่วงเวลา กิจกรรม อะไรก็ตามที่จะไม่สร้างปัญหาหนักอกหนักใจ กระทั่งม่านตากลมโตสะดุดเข้ากับรูปถ่ายรูปหนึ่ง

“แล้วรูปด้านขวาถ่ายที่ไหนเหรอครับคุณนมช้อย”
“อ๋อ ที่เชียงรายค่ะนายน้อง เด็กตัวโตกว่าคนอื่นนั่นฟากฟ้า ถัดมาด้านซ้ายคือภาคภูมิ ส่วนจอมซนจอมแสบปีนป่ายอยู่บนรั้วชื่อก้องเกียรติ เมื่อก่อนปฐพีตัวเล็กกว่าน้องๆ แต่ตอนนี้สูงโปร่งกว่าใครเพื่อน ส่วนคนที่ยืนข้างๆนายหัวโชตคือคุณขุนค่ะ”






สีหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นนายเสริมบรรยากาศรอบกายให้ยิ่งน่าขวัญผวา เหล่าบริวารไม่กล้าแม้แต่จะขยับเคลื่อนไหวให้เกิดเสียง หวาดกลัวหากขัดหูขัดตานายเพียงสักนิด อาจถูกสั่งเก็บได้ทุกเวลา

นายหัวรังสิมันตุ์ยามปกติน่าเกรงขามจนเป็นที่ยำเกรง ภายใต้ความสุขุมนุ่มลึกแฝงความเมตตาเอ็นดูบ่าวไพร่ ทว่ายามเงียบขรึมนั้นอ่านได้ยากยิ่ง แววตาสีนิลประกายกร้าวขัดใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบสนิท ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงสแล็คพอดีตัว อีกข้างถือมวนบุหรี่ยี่ห้อโปรดจ่อริมฝีปาก

“ปฐพี”
“เดี๋ยวผมไปตรวจสอบให้ครับนายหัว”

ขานรับราวกับรู้ ใจ ชายหนุ่มโค้งศีรษะลงพลางผละออกไปทำหน้าที่สืบข่าว รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ผู้เก่งกาจรอบด้าน ไม่มีธุรกิจไหนที่จับแล้วไม่เป็นเงินเป็นทอง เจ้าของกายสูงไม่ได้ร่ำรวยเพราะกินบุญเก่า แม้มีมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นแต่สิ่งที่นายหัวอัคคเดชภูดินันท์ทุกคนต้องพิสูจน์ว่าคู่ควรกับตำแหน่ง นั่นคือการสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยน้ำพักน้ำแรงและความสามารถ ซึ่งที่ผ่านมาโชตทำได้ยอดเยี่ยมเสียจนเป็นที่สรรเสริญเยินยอกันทั่วในสังคมธุรกิจแนวหน้า

อะไรที่เป็นเจ้าของอยู่แล้วต้องเก็บรักษาให้ดี แต่ที่ต้องทำเพิ่มเติมคือมองหาสิ่งใหม่ๆ ดูแลเลี้ยงดูบุคลากรผู้รับใช้ ให้อยู่สุขสบาย หมายรวมไปถึงครอบครัวบ่าวไพร่ทั้งหมด มันคือภาระหน้าที่ หน้าที่ของนายหัว หน้าที่ประมุขของตระกูล
ทว่าครานี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีหลังที่เขาพลาด พลาดงานสัมปทานเหมืองแร่ทองคำในประเทศลาว ทั้งที่เขามั่นใจว่าไม่มีอะไรน่าห่วง บินตรงมาร่วมสรุปงานถึงที่ เจรจาต่อรองราบรื่นด้วยดีมาตลอด นายทหารชั้นผู้ ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็รู้จักมักจี่ แต่เมื่อสักครู่กลับได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่าอัคคเดชภูดินันท์ชวดสัมปทาน

สักหุ้นเดียวก็ไม่ได้มากำในมือ!

แม้บวกลบคูณหาร คำนวณคร่าวๆแล้วกำไรจะไม่เทียบเท่ากิจการโรงงานผ้าไหมที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ก็ถือว่ากอบโกยอำนาจในแวดวงธุรกิจนี้ระดับหนึ่ง เพราะแข่งขันโดยใช้เม็ดเงินและอิทธิพลเป็นตัววัด โชตจึงค่อนข้างหงุดหงิดที่ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ดับมวนบุหรี่ลงกับที่เขี่ยใกล้ๆ ในจังหวะนั้นดวงตาคมกริบเบนสบร่างสูงใหญ่ของประมุขอัศวอัครวรกุล ซึ่งเพิ่งส่งปฐพีไปสั่งสอนว่าอย่าคิดเล่นสกปรกเมื่อไม่กี่วันก่อน สงครามยืนท่ามกลางบรรดาลูกน้องบริเวณล็อบบี้ สภาพครบสามสิบสองไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ตัวแทนของตระกูลอื่นค่อยๆตีวงออกไปด้วยหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ชักปืนยิงสวนกันในโรงแรมห้าดาวกลางกรุงเวียงจันทน์ เพราะต่างทราบข่าวเรื่องงานประมูลเครื่องประดับคราวนั้นดี

เลือดร้อนเช่นสงครามมาปะทะเลือดเย็นอย่าง รังสิมันตุ์ อัคคเดชภูดินันท์ ต้องนองเลือดกันอีกสักกี่ครั้งกี่หน ก็เกินกว่าจะเคาเดาอะไร

คล้ายอ่านเกมกันและกันผ่านสายตา ประเมินแล้วว่าไม่ใช่คู่แข่งที่สูสี สงคราม อัศวอัครวรกุล มีเส้นสายเรื่องธุรกิจป่าไม้ ทั้งยังเพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากบิดาไม่ถึงสามปี ดังนั้นเกมนี้นายหัวรังสิมันตุ์จึงทิ้งห่าง

“นายหัวครับ”

เป็นปฐพีที่ดึงนัยน์ตาสีดำขลับกลับมา เหล่าบอดี้การ์ดคุ้มกันแน่นหนาด้วยห่วงว่าฝ่ายนั้นจะเล่นตุกติก ยิ่งอยู่นอกประเทศเช่นนี้ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ ถึงกฎหมายบ้านเมืองต่างจากประเทศไทยไม่มาก แต่ยังพอมีช่องโหว่ให้เล่นงานศัตรู

“ได้เรื่องว่ายังไง”

เอ่ยถามอย่างใจเย็น ตรงข้ามกับในอกที่ร้อนแทบลุกเป็นไฟ ยังไม่อยากยอมรับความผิดพลาดเพราะตนไม่ใช่คนที่ทำงานเหลาะแหละหละหลวม เคยละเอียดรอบคอบ อ่านเกมขาดมาตลอด หากรู้ว่าต้องเสียดุลจะไม่ลงทุนให้เสียแรงเปล่า

“ภัควัฒน์โยธินครับ”

ทว่าสิ่งที่ลูกน้องคนสนิทรายงานเรียกคิ้วเข้มขมวดฉับ พิศาล ภัควัฒน์โยธิน แม้จะมากประสบการณ์แต่ไม่ถนัดงานแนวๆนี้ ทั้งยังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาลจะมีปัญญามาตามเรื่องสัมปทานได้อย่างไร

“กวินทร์?”
“ไม่ใช่ครับนายหัว”

ปฐพีรีบปฏิเสธ

“บดินทร์ ภัควัฒน์โยธิน”
   

“สวัสดีครับนายหัวรังสิมันตุ์”

เสียงทักทายจากด้านหลังเบนความสนใจทันทีที่ปฐพีขยับปากพูดจบ เจ้าของใบหน้าขาวจัดยกมือไหว้แสดงความเคารพผู้แก่บารมีกว่า ดวงตารีเล็กล้อมม่านคมสีน้ำตาลถูกบังด้วยกรอบแว่นสายตา กายสูงสมส่วนสวมชุดสูทแบบทางการ รอบข้างมีบ่าวไพร่อารักขาไม่น้อยไปกว่าทายาทตระกูลไหน

รู้สึกไม่ถูกชะตา...

สัญชาตญาณร้องบอกเช่นนั้น อาจเพราะนัยน์ตากลมโตที่มักทอดมองอย่างอาลัยอาวรณ์ กลีบปากรูปหัวใจที่วาดรอยยิ้มกว้างอยู่เสมอยามได้พบหน้า น้ำเสียงแว่วหวานที่เรียกหาหรือพูดคุยด้วยสรรพนามเฉพาะ ทุกอย่างที่ พลัฏฐ์ อัคคเดชภูดินันท์ กระทำต่ออีกฝ่ายนั่นน่าโมโหทั้งหมด

แต่ก็…

“ถือว่าไม่เบา”

สุ้มเสียงทุ้มโทนต่ำลั่นผ่านเรียวปากหยัก ในเชิงกล่าวชมกึ่งยอมรับความสามารถ เพราะคนที่ไม่มีรายชื่ออยู่ในสารระบบธุรกิจกลับเป็นฝ่ายได้สัมปทานเหมืองแร่ทองคำนี้ แถมยังถือหุ้นรายใหญ่ที่มีคู่แข่งมากมาย คล้ายประกาศศักดาว่ายังไม่หมดยุคของภัควัฒน์โยธิน

“ผมยังอ่อนประสบการณ์ หวังว่านายหัวจะช่วยแนะนำในคราวต่อๆไป”

โค้งศีรษะลงอย่างถ่อมตน มองตามการเคลื่อนไหวของเรียวขายาวที่กำลังขยับก้าวไปอีกทางราวกับไม่อยากร่วมสนทนา
   
“นายหัวครับ”

เอ่ยปากรั้งทั้งที่รู้ว่าเสียมารยาท เป็นเพียงบ่าวไพร่แต่บังอาจล่วงเกินประมุขจากตระกูลผู้ดีเก่า หากแต่เขามีเรื่องสำคัญอยากบอกอีกฝ่าย

“ช่วยดูแลคุณหนูให้ดีด้วยครับ อย่าทำให้คุณหนูต้องทุกข์ใจ”

ช้อนสายตาขึ้นเผชิญหน้ากับนายหัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งอัคคเดชภูดินันท์ แม้กายสูงสง่าจะแผ่อำนาจเสียจนนึกหวั่นว่าอาจถูกสั่งดับลมหายใจ แต่เบียร์ไม่ได้รักตัวกลัวตาย ทั้งชีวิตที่แสนต้อยต่ำไร้ค่านี้เขามอบแด่เทวดาผู้เป็นดั่งดวงใจเพียงผู้เดียว

“ครั้งนี้ผมจะถือว่าเป็นคำขอร้อง”
“มีสิทธิ์อะไร?”

กระแสเสียงเยียบเย็นเสียจนผู้คนรอบข้างสะดุ้งโหยง ลูกแก้วสีนิลตวัดจ้องโครงหน้าที่ยังนิ่งสนิททั้งคงความสุภาพนอบน้อม นายหัวรังสิมันตุ์ประเมิน บดินทร์ ภัควัฒน์โยธิน ต่ำไป ใบปริญญาจากหลายสถาบันในต่างประเทศไม่ใช่ตัววัดความสามารถที่แท้จริง นั่นเพราะอีกฝ่ายวางแต่ละก้าวของชีวิตโดยใช้ภัควัฒน์โยธินคนโตเป็นผู้นำพา

“ผมไม่มีสิทธิ์อะไรเลยครับ”

ริมฝีปากบางเฉียบวาดยิ้มเมื่อระลึกได้ว่ามันคือความจริง เขาไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งคิดเพ้อฝัน ตัวคุณหนูนั้นอยู่สูงเสียจนไม่กล้าอาจเอื้อม

“แต่ผมทำแน่ๆ”

มันไม่ใช่คำขู่ แต่มันคือคำมั่นสัญญา กล้าสาบานต่อหน้าศัตรูซึ่งเบียร์นึกหวั่นเหลือเกินว่าจะได้หัวใจดวงน้อยของคุณหนูคนพี่ไป หากเป็นเพียงร่างกายเขาไม่เคยคิดหวั่นกลัว และถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงในวันข้างหน้า เขาคงทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดและภาวนาให้อีกฝ่ายหลงลืมเรื่องราวบาดหมางที่มีต่อกัน ยุติหนี้แค้นระหว่างอัคคเดชภูดินันท์กับภัควัฒน์โยธิน


“ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณหนู”


เพราะเขารักคุณหนู รักคุณหนูพลัฏฐ์สุดหัวใจ....
แม้ไม่คู่ควร




“เสน่ห์แรงเหลือเกิน ให้ตายเถอะ”

สบถกับตัวเองพลางส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอ สูทตัวนอกถูกถอดโยนพาดบนหลังคารถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรู คนเป็นนายหัวจุดบุหรี่ขึ้นสูบมวนที่สองของวัน แผ่นหลังกว้างเอนพิงบานประตูห้องโดยสาร ยกฝ่ามือขึ้นเสยกลุ่มผมบนศีรษะอย่างลวกๆ พยายามระงับอารมณ์หึงหวงภรรยา แต่เจ้าตัวเข้าใจว่ากรุ่นโกรธเพราะถูกหยามที่ปล่อยให้คนตระกูลอื่นมายืนขู่ต่อหน้าบ่าวรับใช้

เหมือนจะไม่ธรรมดา สืบประวัติมาคร่าวๆแม้เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของไอ้พิพัฒน์ ทว่าเขาไม่ชอบสายตาคู่นั้น น้ำเสียงแบบนั้น ที่แสดงออกว่าพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทายาทภัควัฒน์โยธิน หากเอ่ยปากร้องขอให้ช่วยเหลือสักนิดก็จะรีบมาหา

น่าโมโห!

“กลับไปพี่จะทำโทษน้อง”

ยืนนิ่งลดระดับความคุกรุ่นอยู่นานก่อนริมฝีปากอิ่มจะเหยียดยิ้ม เมื่อจู่ๆดวงหน้าอ่อนหวานกลับลอยเข้ามาในหัว สงบความขุ่นมัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตัวเล็กๆแค่นั้น สามารถสยบชายชาตรีให้ทรุดแทบฝ่าเท้า ไม่รู้เอาความสง่างามน่ามองนั่นมาจากไหน

“นายน้องยังมีไข้นิดหน่อย นมช้อยให้ทานยาแล้วเพิ่งเคลิ้มหลับไปครับ”

ปฐพีรีบกล่าวรายงานหลังจากวางสายโทรศัพท์ ไม่ใช่คำสั่งของผู้เป็นนาย แต่เหมือนลูกน้องจะทำงานดีมิขาดตกบกพร่องเสียจนน่าหงุดหงิด

“กลับกรุงเทพฯเลยไหมครับ ผมจะได้จัดการเลื่อนเที่ยวบิน”
“อืม”

ตอบรับพร้อมดับมวนบุหรี่ในมือ เพราะชวดงานนี้จึงไม่มีธุระอื่นต่อ กายสูงใหญ่คว้าเสื้อสูทมาถือไว้ก่อนจะเบี่ยงตัวเข้าไปนั่งภายในห้องโดยสาร ซึ่งมีบอดี้การ์ดมาเปิดประตูให้ตามหน้าที่ หากแต่ยานพาหนะเคลื่อนตัวพ้นทางเข้าโรงแรมได้ ไม่ไกลนัก สุ้มเสียงทุ้มทรงอำนาจก็ออกคำสั่งกับบริวารคนสนิท

“ปฐพี”
“ครับ”
“ติดต่อเจ้าขุน”


อัคคเดชภูดินันท์ต้องเปลี่ยนแผนเดินเบี้ยบนกระดาน
เพราะภัควัฒน์โยธินโยนหมากตัวใหม่เข้ามาในเกม




โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 20:44:55 โดย pangll »

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ชอบจังที่นายหัวแทนตัวเองว่าพี่ เรียกน้องยังงั้นน้องยังงี้ น่ารัก :hao5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

เรื่องนี้สนุกม๊ากกก

อ่าน 11 ตอนรวด ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ.. อยากอ่านต่ออีก!

Oh I luv it!

ออฟไลน์ Chifuu

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กำลังทยอยอ่านค่ะ
มาทีเดียว 11 ตอนรวด แม่เจ้า! สะใจมากก555

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
สงสัยว่าให้กินยาคุมกำเนิดแล้วจะท้องได้ยังไง    สงสารเดย์มาก รู้สึกเกลียดนายหัวคนปากไม่ตรงกับใจ   คิดว่านมไม่โง่น่าจะสลับยามากกว่า คู่รองน่ารักจัง เชียร์ทั้งขุนทั้งตัวยุ่ง   พ่อแง่แม่งอนได้น่าหยิก  เถียงกันไปมา  ตีกันทุกวัน โบราณว่าลุูกดก ชอบมากกว่าคู่หลักเยอะเลย  รู้สึกว่า พระเอกกับอาน้องเดย์บ้า ไม่สืบหาการตายที่แท้จริง กลับเล่นแง่กันเอง  ดูไม่ฉลาดไม่คู่ควรเป็นนักธุรกิจที่ข้อมูลคือกุญแจแห่งความสำเร็จ

แปลกใจตัวเอง  ตอนอ่านเรื่องนี้ความรู้สึกเหมือนตอนดูหลงเงาจันทร์ที่ติดมาก ยิ่งอ่านยิ่งขัดใจหลายจุด ยิ่งไม่สมจริงไม่สมเหตุผล น้ำเน่ามาก แทนที่จะหยุดอ่านกลับยิ่งติด  เพราะรู้สึกว่า จับทางไม่ถูก  ขออย่าหายไปนะคะ  ขอให้แต่งเรื่องนี้ให้จบ ไม่งั้นคนอ่านอย่างเราค้างคาแน่ๆ  รีบๆมาต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2016 03:00:31 โดย natsikijang »

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Pithchayoot

  • พิชญ์ชยุตม์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ kawoat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มันเด็ดดวงมากกกก นายน้องดูมีเสน่ห์มากๆ ชอบๆๆ รอติดตามตอนต่อไปจ้า  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
สนุกดีค่ะ ชอบมากเวลาแทนตัวเองว่าพี่แล้วเรียกเดย์ว่าน้อง
อร๊ายยยมันกร๊าววววใจจจจจ :hao7:

ออฟไลน์ huoan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นอีกเรื่อง ที่ให้ความรู้สึกถึงคำว่า อ่านแล้ววางไม่ลง

"ชอบมากครับ" ทั้งภาษา เนื้อเรื่อง และตัวละคร
โดยเฉพาะ คำผิด ที่เห็นได้น้อยมาก

ส่วนเรื่อง ไทม์ไลน์ ผมว่าผู้แต่งคงได้อ่านคอมเม้นต์ ของหลายๆคนแล้ว
น่าจะทำให้ตอนต่อๆไป อ่านแล้วดูลื่นไหลกว่านี้

ติดตามครับ

 o13

ออฟไลน์ LapiN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมากก บอกตรงๆ ละเลียดอ่านมากก กลัวจบตอน 55
เพิ่งมาอ่าน ไม่รู้พลาดได้ยังไง รอติดตามนะคะ สนุกมากก

ออฟไลน์ noksamsee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ท้องขึ้นมาจะให้ พาลูกหนีไปอยู่กับเบียร์
เกียจพระเอกว่ะ

ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
สนุกมาก.. ชอบๆ รอติดตาม!

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบคุณฮะ...
ต้องบอกว่าสนุกนะฮะ เนื้อเรื่องถึงจะเรื่อยๆ และคาดเดาได้อย่างที่ผู้แต่งได้บอกไว้แล้ว แต่ก็มีความน่าติดตามและคงจะสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไป...
เชื่อว่าคงตั้งใจมากๆ นะฮะ เพราะแทบหรือไม่เจอคำผิดเลยซึ่งมันทำให้การอ่านนั้นไหลลื่นไม่สะดุดได้อารมณ์ต่อเนื่อง แต่ต้องขอสารภาพว่าเน้นอ่านแค่ของคู่หลักและข้ามคู่รองไป...
เข้าใจเอาเองว่าผู้แต่งคงจะเป็นผู้หญิงเพราะมีความละเอียดอ่อนและมีความละมุนมาก ซึ่งมันสะท้อนออกมาผ่านบุคลิกของตัวละครน่ะฮะ ที่บางอย่างมันดูไม่ใช่ผู้ชายเลยและโดยเฉพาะกับคนที่เติบโตจากสังคมเมืองนอกที่ค่อนข้างต้องมีความกล้าแสดงออก และกล้าเสนอความคิดเห็นต่างๆ สังคมมันจะเป็นตัวหล่อหลอมให้มีความแกร่งน่ะฮะ เลยทำให้บางจุด บางการแสดงออกมันกลายเป็นผู้หญิงไปแทน หรือบางทีมันดูอ่อนไหวยิ่งกว่าผู้หญิงเสียออก ถ้าจะได้แสดงออกถึงความเข้มแข็งและความเป็นเพศชายอยู่บ้างก็น่าจะดีน่ะฮะ...
อีกเรื่องคือการลงท้ายด้วยคำว่า อ่า น่ะฮะ เราว่ามันยังไงไม่รู้สิ ดูเป็นแนวการ์ตูนน่ะ 555+
...ทั้งหมดเป็น คหสต นะฮะ หวังว่าคงจะไม่โกรธเพราะไม่มีเจตนาจะล่วงเกินอะไร แต่ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงเราต้องขอโทษด้วยนะฮะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mass

  • "Smile! It increases your face value." -Steel Magnolias (1989)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกกกกกกก รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ mpp

  • malynn
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ตามมากรีดร้องงงงงงงงงงงง

เพิ่งได้ข่าวว่ามาลงเล้าเป็ดแล้ว! ดีใจมากๆเลยค่ะ
ส่วนตัวคิดว่าเล้าเป็ดเป็นตลาดวายที่นักอ่านส่วนมากมีกำลังซื้อมากกว่าเด็กดีนะคะ
ถ้าบุกตลาดเล้าฯได้ ความหวังในการรวมเล่มเรื่องนี้ก็มีมากขึ้น ดีใจจจจจ~ >๐<

ติดตามต่อนะคะ อ่านในเด็กดีมาแล้ว หลงรักคุณหนูทั้งสองไปแล้ว
ตามมาให้กำลังใจในนี้ต่อ ว่างๆจะมาคอมเมนต์จัดเต็มอีกที
อย่าลืมพิจารณาเรื่องรวมเล่มน้า~ ♥

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :pig4: โห้ยยยยยยยยยย เป็นนิยายที่เขียนดีมาก อ่านเพลินเลย 11 ตอนรวด ทำให้รู้ว่าคนเขียนมีความตั้งใจและทักษะการใช้คำใช้ภาษาที่ดีมากๆ ส่วนเนื้อเรื่องสงสารทั้งพี่ทั้งน้องเลย โดยเฉพาะคนพี่ อินายหัวก็ชั่วร้ายมาก พีค ๆ สุดสำหรับคนอ่านต้องบอกเลยคือ ฉากที่ฝากให้แม่นมเอายาคุมให้นายเอกกิน คือ อึ้ง ช็อคมาก ความรู้สึกของนายเอกนี้คือแบบคงจะ Fail และเสียความรู้สึกแบบสุดๆ

ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
๑๒.



พายุฝนด้านนอกเริ่มอ่อนกำลังลงทว่ายังคงตกอยู่อย่างต่อเนื่อง นาฬิกาดิจิตอลบนฝาผนังด้านหนึ่งบอกเวลาตีห้าครึ่งใกล้รุ่งสางเต็มที ภัควัฒน์โยธินคนเล็กสวมเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งห้อยขาบนฟูกนอน แสงเทียนบนโต๊ะข้างหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้เห็นความบึ้งตึงชัดเจน กลีบปากทรงกระจับเม้มแน่นเนื่องจากข่มความแสบของแอลกอฮอล์

“เจ็บเหรอครับ? โถ…คุณหนูยุ่ง…พูดกับผมหน่อย”

ภาคภูมิซึ่งทำหน้าที่ล้างแผลช้อนสายตามองเมื่อร่างผอมกระตุก อีหรอบนี้โดนงอนกันทั้งหมู่คณะโดยไม่ต้องสงสัย แม้จะโล่งไปหมดยามเห็นพ่อเลี้ยงขุนอุ้มเด็กหนุ่มกลับมาที่เรือน กายขาวถูกคลุมด้วยเสื้อหนังตัวนอกของเจ้านาย มีอาการหนาวสั่นปนสะอื้นฮัก ผิวเนื้อเนียนปรากฏรอยถลอกและรอยช้ำไม่พ้นหกล้มหัวคะมำมาแน่นอน

ไฟฟ้ายังใช้การไม่ได้เนื่องจากเข้าไปซ่อมแซมค่อนข้างลำบาก ต้องรอฝนหยุดตกและฟ้าสว่างเสียก่อน เทียนไขจึงเป็นทางเลือกเดียว ดีที่ยังเหลือติดบ้านหลังนี้สองสามเล่ม ไม่เช่นนั้นคุณหนูตัวขาวคงไม่ยอมอาบน้ำ แค่จิ้งจกก็ทำเอาผวาเป็นพักๆ ยิ่งห้องน้ำมืดสนิทยิ่งเป็นอุปสรรคเข้าไปใหญ่

“ผมขอโทษครับคุณหนูยุ่ง ผมผิดไปแล้ว”

ก้องเกียรติส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ สภาพเปียกโชกทั้งตัวจึงไม่สามารถเข้าใกล้เด็กน้อยมากกว่านี้ อีกทั้งห่วงเศษดินเศษโคลนบนตัวจะเปื้อนพื้นห้องที่เพิ่งช่วยกันทำความสะอาด ได้แต่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูกับฟากฟ้า จับจ้องเจ้าของดวงหน้าขาวใสที่ตอนนี้แก้มป่องไปด้วยมวลอากาศ ทำปากยื่นปากอูมน่ารักเหลือเกินแต่ไม่ใช่เวลามาชื่นชม เนื่องจากพวกตนกำลังถูกคุณหนูตัวยุ่งทำโทษด้วยการไม่ยอมสนทนา

ภาคภูมิหันหน้ามองฟากฟ้าซึ่งยืนเงียบราวกับเป็นใบ้ ส่งสายตาเชิงบอกว่าให้ช่วยๆกันง้อ ด้วยเพราะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ต่างกัน คว้าหยิบยาใส่แผลขึ้นมาเปิดฝา ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับร่างบอบบางบนเตียง

“ทายาตัวนี้มันจะแสบนิดหน่อยนะครับ”
   
ริมฝีปากสีแดงอ่อนเบะออกทันทีที่แตะสำลีลงรอบบาดแผล หยาดน้ำตาคลอหน่วย มือขาวกำผ้านวมแน่น ทว่าก็ช่างแสนงอน ไม่ปล่อยเสียงหวานหลุดรอดออกมาให้ได้ยิน เผยเพียงสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ เสริมความรู้สึกอยากโอ๋อยากปลอบโยนแก่บ่าวไพร่ผู้พบเห็นเต็มกำลัง
   
“คุณหนูยุ่ง เพราะม้ามันตกลูกพอดีครับ เลยต้องรีบไปดู”
   
ไม่รู้เลยสักนิดว่าผนวกความน้อยใจเข้าไปอีกเท่าทวีคูณ คุณหนูภัควัฒน์โยธินน้ำตาร่วงเผาะ กายผอมค่อยๆสั่นโยนด้วยแรงสะอื้น คิดว่าถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวทั้งฟ้าร้องฝนตกไฟดับเพราะม้าสำคัญกว่า ส่งผลให้ภาคภูมิกับก้องเกียรติตวัดสายตาจ้องเจ้าของประโยคดังกล่าวพร้อมเพรียงกัน ตามด้วยคำกล่าวชมมากมายในลำดับต่อมา
   
“บ่าฟากคิงหยังมาง่าวแต้ว่า”
“งัวเอ้ย! โรเบิร์ตมันยังหลวกกว่าคิงสิบเต้า”
“ไปเลย คิงไปไกล๋ๆฮาเลย”
“ไปอยู่ปู้นคนเดียวคิงเลย”
   
แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เข้าหูฟากฟ้าเลยสักนิด ชายหนุ่มใจหล่นฮวบตั้งแต่เห็นหยาดน้ำไร้สีไหลอาบแก้มขาว ตัวน้อยๆสะอึกสะอื้น ยิ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆยิ่งทำให้รู้สึกผิด
   
“ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกครับ ยกโทษให้ผมด้วย”
   
ส่งสายตาเว้าวอนร้องขอให้อภัย ทว่ากลับได้ปฏิกิริยาเมินเฉยเบือนหน้าหนี พวกตนไม่ตั้งใจทิ้งคุณหนูไว้ที่นี่เพียงลำพัง ที่จริงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้ววิ่งออกไปแบบนั้น โชคดีที่เดินหลงอยู่ไม่ไกลจากเรือน ไม่ถูกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษกัดจนได้รับบาดเจ็บกลับมา
   
“ฟากถ้าตื่นแล้วก็แวะไปดูคอกม้าด้วย”
   
เสียงทุ้มเอกลักษณ์ดังแทรกขึ้นกลางสถานการณ์หว่านล้อมตะล่อมเด็ก กายสูงโปร่งสวมเฉพาะกางเกงผ้าฝ้ายยืนนิ่งตรงประตูห้องน้ำ กลุ่มผมบนศีรษะเปียกชุ่มเนื่องจากการสระ มือหนาถือผ้าขนหนูซับอย่างลวกๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบนสบเจ้าของกายผอมเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
   
“ก้องเดี๋ยวเข้าไปเคลียร์ของในโกดังส่งพ่อค้าแม่ค้า ไม่ต้องอยู่ทำเอง สั่งพวกคนงานให้จัดการแล้วกลับไปพักผ่อน ส่วนภาคสายๆค่อยเข้ามา”
“ครับป้อเลี้ยง”
   
บ่าวคนสนิทขานรับพลางเหลือบมองคุณหนูผู้น่ารักที่ก้มหน้าคางชิดอก ไม่ยอมลดหย่อนโทษ ไม่ยอมหายโกรธ ไม่ยอมสนทนา แล้วจึงพากันแยกย้าย

“หายาให้กินด้วย”
   
ภาคภูมิเข้าใจในทันทีว่าหมายถึงใคร ชายหนุ่มรีบเก็บอุปกรณ์ทำแผลแล้วลุกออกไปหาหยูกยาตามคำสั่ง กลับมาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำเปล่าในมือ ยาลดไข้หนึ่งเม็ดถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการทาน และถึงแม้คุณหนูตัวยุ่งจะยังทำหน้าบูดเช่นเคยแต่ก็ยอมส่งมันเข้าปาก เหมือนรู้ว่าไม่ควรดื้อแพ่งต่อหน้าพ่อเลี้ยงขุน


ความหนาวเย็นจากอุณหภูมิภายนอกลดฮวบยามบานประตูหน้าปิดลงด้วยฝีมือคนป่า เสียงยานพาหนะเคลื่อนตัวห่างออกไปตามถนนลูกรังจนกระทั่งไม่ได้ยิน พลิศตัดสินใจเอนกายนอนตรงที่ประจำ รั้งผ้านวมมาคลุมมิดถึงช่วงคอ ทว่าจำต้องพลิกตะแคงข้างเมื่อสัมผัสร้าวรานพุ่งตามแผ่นหลัง ยิ่งยามระลึกได้ว่าสาเหตุเกิดตอนถูกผลักอัดต้นไม้ หยาดน้ำตาก็รื้นคลออีกครั้งอย่างคนอ่อนแอ

เพราะเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งทรุดตัวลงบนเตียงเปลือกตาสีน้ำนมจึงรีบปิด ลืมเสียสนิทว่าพลิกมาผิดด้าน ดันหันมาทางคนใจร้ายที่ตอนนี้กำลังแย่งผ้าห่มไปแล้วครึ่งหนึ่ง

“โกรธภาคแล้วจะกินอะไร โกรธก้องแล้วใครจะมาจับจิ้งจก โกรธฟากเวลาหกล้มจะขี่หลังใคร”
“ฮึก…ยุ่ง”
   
ทั้งที่หลับตากลีบเนื้อนุ่มก็ยังตั้งท่าขยับเถียง แม้รู้ทั้งรู้ว่าภาคภูมิ ก้องเกียรติและฟากฟ้าไม่มีความผิด แต่เพราะเรียกหาแล้วไม่มีใครมาสักคน
   
“ใครกันแน่ที่ยุ่ง”
   
ม่านตาสีน้ำตาลเข้มทอดจ้องใบหน้าอ่อนหวานพลางเอนหลังพิงหัวเตียง โฟกัสเลื่อนลงตำแหน่งเรียวปากสีแดงโดดเด่น ซึ่งเจ้าของเม้มแน่นด้วยพยายามกลั้นสะอื้น หมดฤทธิ์ชั่วคราวเนื่องจากโกรธเคืองพวกบ่าวรับใช้ ไม่ยอมเอ่ยปากพูดจากับใคร คำสุดท้ายที่เอื้อนเอ่ยก่อนเข้าไปอาบน้ำคือการแจ้งข้อหา ร้องไห้ไปด้วยกล่าวโทษไปด้วย แทบไม่หลงเหลือคราบคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง
   
พ่อเลี้ยงขุนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะหอบผ้าห่มอีกผืนออกมาโยนใส่ทายาทศัตรู เรียกให้ฝ่ายที่แกล้งหลับอยู่สะดุ้งตกใจ ช้อนแววเคลือบใสขึ้นมองคนที่กำลังเอนกายลงบนฟูกอีกครั้ง สบจ้องนัยน์ตาคมกริบกับใบหน้าเรียบนิ่งที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆ อาจเพราะไฮท์เป็นเด็กที่อ่านคนไม่ออก บางทีก็ใจดี บางทีก็ใจร้าย บางทีก็รุนแรงป่าเถื่อนราวกับอยากให้ตนหักสลาย แต่บางทีก็อบอุ่นคล้ายจะชโลมร่างกายนี้ให้อยู่รอด
   
อ้อมแขนแข็งแรงที่ตระกองกอดท่ามกลางฟ้าฝนห่าใหญ่ แม้ ไม่ควรคิด ไม่ควรรู้สึกสักนิด ทว่าเขากลับรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ห้วงความคิดถูกครอบงำอย่างสิ้นเชิง หากแต่มันก็เจ็บปวดเหลือเกิน แม้ ไม่รู้ว่ามันเจ็บตรงไหนอีกนอกจากบาดแผลที่หกล้ม ความร้าวระบมที่ถูกผลักด้วยแรงมหาศาล และเขาไม่รู้ว่าเจ็บเพราะอะไร ความเฉยชาไม่เท่าน้ำเสียงทุ้มต่ำที่คอยกล่าวหาว่าร้ายต้นตระกูลของตนเอง

“นายป้อเลี้ยงเกลียดเรามากเลยเหรอ?”

ลูกแก้วกลมมนไหวระริก กลีบเนื้อนุ่มนิ่มเบะเตรียมปล่อยโฮอีกระรอก รู้อยู่เต็มอกว่าต้องเกลียด เกลียดมากๆ ถ้าไม่เกลียดกันคงจะไม่จับเขามาทรมานเช่นนี้ แม้จะจับผิดคนก็ตาม
   
“ก็รู้อยู่แก่ใจ”
   
“....”
   
“ท่องจำเอาไว้ด้วยแล้วกัน”
   
สิ้นเสียงทุ้ม กายผอมกลับโดนยกขึ้นไปนอนเกยแผงอกกว้างกำยำอย่างง่ายดาย เด็กน้อยเบิกตาโพลงดิ้นขลุกขลักขัดขืนหากแต่ทำได้ลำบาก ท่วงท่าล่อแหลมเกินงาม มือบอบบางฟาดลงลาดไหล่แกร่งและแทนที่จะได้รับอิสระมือหนากลับรั้งผ้านวมขึ้นมาคลุมทั้งร่างของตน สอดอ้อมแขนล็อกช่วงเอวคอดแนบผิวเนื้อสีน้ำผึ้งไร้อาภรณ์

“ปล่อยเรานะนายป้อเลี้ยง เราจะนอน”
“ก็นอนไปสิ ปวดหลังไม่ใช่หรือไง นอนหงายไม่ได้ก็นอนคว่ำ”
“แต่นอนแบบนี้เราเมื่อย”
“พูดให้ชัดๆ”

เพราะรีบเถียงไปหน่อยคำสุดท้ายจึงออกเสียงค่อนข้างเพี้ยน เรียกเรียวปากหยักเหยียดขึ้นคล้ายยิ้มล้อเลียนสำเนียงภาษา ดวงหน้าขาวจัดแต้มริ้วเลือดฝาดทว่าหัวคิ้วยังขมวดยุ่งสมฉายา ยุ่ง ตัวยุ่ง ยุ่งมันทุกอย่างนั่นแหละ
   
“เราพูดชัดแล้ว นายป้อเลี้ยงหูไม่ดีเองต่างหาก”
“พูดมาก นอนได้แล้ว”
“นอนแบบนี้มันเมื่อย”

พูดอีกรอบก็ยังไม่ชัดอยู่ดี คุณหนูแห่งภัควัฒน์โยธินคงอยู่เมืองนอกนานไป ไม่สิ คงอยู่มาตั้งแต่เกิดเพราะคำบางคำถ้าใช้พลิกแพลงหน่อยก็ไม่เข้าใจความนัย รู้แต่ความหมายตรงตัว

“อย่าดิ้น เดี๋ยวตื่น”
“ก็ต้องตื่นสิเพราะไม่ได้นอน”

ขยับริมฝีปากเจื้อยแจ้วใส่ หยาดน้ำใสยังชุ่มกระบอกตาสวยทว่าอารมณ์ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ไฮท์ขยับขืนกายด้วยเรี่ยวแรงที่มี หวังให้ตัวเองหลุดพ้นพันธนาการที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า หากแต่พอดิ้นไปมาไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องชะงักกึก ยามรับรู้คำว่า ‘ตื่น’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึง…ด้านล่าง

ผิวแก้มนวลผ่องร้อนวูบวาบทันใดนั้น เฉหลบม่านคมสีน้ำตาลเข้มที่ลอยห่างอยู่ไม่ไกล ซบใบหน้าเนียนใสแนบช่วงไหล่ด้วยหัวใจที่เต้นถี่รวน หมัดน้อยๆตีมั่วไม่รู้เพราะโกรธหรืออายมากกว่ากัน ยิ่งสะโพกสอบดันขึ้นมายิ่งสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างชัดเจน

“อือ~”

ถูกมือหนาบังคับช้อนดวงหน้าให้หันมาสบมอง ริมฝีปากอุ่นเบียดกลีบเนื้อสีแดงอ่อนรุกรานล่วงล้ำ พายุฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกกำลังค่อยๆซาลง หากแต่ความเร่าร้อนในเรือนท้ายไร่กำลังเริ่มต้น…


วิธีเดินหมากบนกระดานนี้ถูกเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงโดยไม่มีใครรู้ตัว






“เราจะกิน Fried egg ไม่ใช่ Omelette”
“เหมือนๆกันนั่นแหละ”
“ไม่เหมือนกันสักหน่อย!~”
“ก็กินได้เหมือนๆกัน”

บ่าวคนสนิทผวาทันทีที่พ่อเลี้ยงแห่งไร่ตะวันวางจานเมนูไข่อะไรซักอย่างที่ค่อนไปทางไข่คั่วมากกว่าไข่เจียวลงบนโต๊ะ และมันไม่เข้าข่ายไข่ดาวเฉกเช่นที่คุณหนูตัวยุ่งร้องขอ เหตุเพราะบังคับเด็กน้อยให้เทกับข้าวลงจาน ซึ่งภาคภูมิเตรียมมาให้ตอนช่วงสายแต่ออกไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศเนื่องจากไม่เห็นใครตื่นสักคน นอนกอดกันกลมอยู่บนเตียง แถมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตนเลือกให้ทายาทภัควัฒน์โยธินเมื่อคืนถูกถอดกองอยู่ปลายเท้า

นั่นแหละ...

ไม่รู้เทอีท่าไหนปิ่นโตถึงลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้นครัว อาหารหกเลอะไปหมด กลีบปากสีแดงอ่อนบวมเจ่ออีกต่างหาก จนเจ้านายต้องโชว์ฝีมือทำอาหารด้วยตัวเอง

เรื่องหุงข้าวเขารู้ดีว่าพ่อเลี้ยงทำได้สบาย แต่นอกเหนือจากนี้ค่อนข้างไม่เชี่ยวชาญ อย่าทำเลยนั่นแหละดีที่สุด ภาคภูมิกลับมาเรือนท้ายไร่อีกรอบตอนเกือบบ่ายสอง มาทันเห็นคุณหนูตัวยุ่งงอแงไม่ยอมทานข้าวเนื่องจากไข่ดาวกลายเป็นไข่คั่ว และเรื่องแปลกมากกว่าอะไรทั้งหมดคือ พ่อเลี้ยงขุนไม่ไปทำงาน
   
เป็นเรื่องแปลกที่เป็นเรื่องดี เพราะโดยปกติคนเป็นนายจะไม่ค่อยพักผ่อน ส่วนหนึ่งอาจเพราะต้องดูแลไร่กับรีสอร์ทไปพร้อมๆกัน แม้จะมีพวกตนช่วยแบ่งเบาภาระแต่ก็ยังโหมทำทุกวันตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น แม่เลี้ยงอัมพรก็บ่นๆว่าเอาแต่สนใจไร่ไม่คิดหาลูกสะใภ้ ไม่นึกมีหลานให้อุ้มบ้าง ที่จริงพ่อเลี้ยงหน้าตาดี จัดว่าหล่อมาก หากแต่มักแสดงออกอย่างเฉยชาเสียจนผู้หญิงที่พยายามเข้ามาสานสัมพันธ์ทำตัวไม่ถูก ตอนเป็นหนุ่มก็ยังกินยังดื่มยังเที่ยวด้วยกัน แต่พอโตขึ้นมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อะไรพวกนั้นจึงเพลาๆลง
   
“เรารอกินของนายภาคดีกว่า”
   
สุ้มเสียงทุ้มหวานลอดผ่านกลีบปากทรงกระจับน่ารัก กายผอมในเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปอวดเรียวขาเพรียวเช่นเดียวกับเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เสื้อตัวนอกถูกพับแขนเรียบร้อยไม่รู้ทำเองหรือพ่อเลี้ยงขุนช่วยเหลือ ดวงตาคู่สวยเบนหลบนัยน์ตาคู่คมพลางยกน้ำเปล่าขึ้นจิบ ทว่าทำเอาภาคภูมิระบายยิ้มกว้าง ลืมหวั่นกลัวสายตาพิฆาตจากเจ้านายชั่วขณะ
   
“คุณหนูยุ่งหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ รอแป๊บเดียว เดี๋ยวผมไปทำมาให้”
   
ดีอกดีใจ เอี้ยวตัวไปหยิบจานเมนูไข่ประหลาดมาถือ ก้มศีรษะลงเชิงขออนุญาตผู้เป็นนายก่อนจะออกเท้าเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร ทว่าต้องหันตัวกลับมายามได้ยินเสียงใสเอ่ยย้ำความต้องการของตนเองอย่างน่าเอ็นดู
   
"I want a fried egg, not an omelette."
“Yes, baby. Please wait here a moment. Won't be long”
   
สำเนียงอังกฤษน่าหมั่นไส้เสียจนเจ้าของกายสูงใหญ่กลอกตา ภาคภูมิเรียนเก่งชนิดที่ว่าได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เรื่องภาษาจึงไม่หนักหนาเสียเท่าไหร่ จะมีแต่ก้องเกียรติที่เรียนอยู่ในระดับปานกลาง ทว่าบ่าวแต่ละคนก็มีความสามารถแตกต่างกันไป พวกงานบัญชี งานบริหาร แนวทางพัฒนาไร่ภาคภูมิกับฟากฟ้าจะช่วยได้มาก ส่วนงานเจรจาต่อรอง งานประชาสัมพันธ์ ก้องเกียรติจะทำได้ดีกว่าคนสองที่เหลือ


   
“ไข่ดาวของคุณหนูยุ่งครับ”
   
ใช้เวลาเพียงไม่นานเช่นคำโฆษณา ไข่ดาวเหยาะซอสหอมฉุยโปะบนข้าวสวยร้อนๆก็มาวางตรงหน้า เป็นเมนูสุดแสนธรรมดาที่เด็กหนุ่มเริ่มเคยชิน พลิศลงมือตักเข้าปากทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาที่คอยจับจ้องไม่หยุดหย่อน เหตุการณ์ในห้องครัวเมื่อครู่ยังทำผิวแก้มร้อนฉ่าไม่หาย กว่าจะลุกจากเตียง กว่าจะอาบน้ำเสร็จ กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า กว่าจะมาสั่งให้เขาเทกับข้าวลงจาน แต่ตัวเองกลับบังคับจูบปากแทบลืมหายใจ แถมดุอีกว่าทำไมไม่ถือให้ดีๆ
บ้าสิ มือไม้อ่อนไปหมดใครจะถือไหวกันเล่า…

“ของป้อเลี้ยงครับ”

เมนูต่างจากเจ้าของกายผอมบางเพราะเป็นไข่เจียว แม้พ่อเลี้ยงจะไม่เรื่องมากกับอาหารการกิน แต่ฝ่ายลูกน้องอยากให้เจ้านายทานอะไรดีๆ มีรสชาติบ้าง ไม่ใช่ไข่พิสดารที่ทำประทังชีวิต

“ภาคเดี๋ยวกลับไปเอารถที่รีสอร์ท ฉันจะเข้าเมืองไปทำธุระนิดหน่อย”
“ครับ เอ่อ...แล้วคุณหนูยุ่ง...”
“ฉันจะพาไปด้วย”



ออฟไลน์ pangll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
“เอาไปสิ ผมให้ยืมใช้”

ม่านกลมมนกลอกมองสิ่งของที่เลื่อนมาตรงหน้าพลางช้อนสายตาขึ้นสบคู่สนทนาซึ่งยังเผยรอยยิ้มใจดี ภัควัฒน์โยธินคนน้องเผลอบีบมือที่สอดประสานกันบนตักอย่างไม่รู้ตัว กัดริมฝีปากล่างเหมือนทำอะไรไม่ถูก ความสับสนตีรวนยุ่งเหยิงเสียจนแสดงออกทางสีหน้า

พอทานมื้อแรกของวันฝีมือภาคภูมิเสร็จ ไฮท์ก็นั่งรถกระบะคันใหญ่สภาพใหม่กว่าที่เคยเห็นในไร่ตะวันมากับเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เด็กหนุ่มไม่กล้าเอ่ยปากถามว่ากำลังเดินทางไปที่ไหน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทัศนียภาพแปลกตาข้างถนนสายยาว ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาเขียวขจี ครั้งแรกที่ออกมาไกลเรือนท้ายไร่เช่นนี้ ตั้งแต่โดนจับมาอยู่ที่นี่สามย่างเข้าอาทิตย์ที่สี่โดยไม่ได้ติดต่อใคร

ภายในรถยนต์โดยสารเงียบกริบ อาจเพราะฤทธิ์ยาลดไข้ทำให้เคลิ้มหลับหลังจากยานพาหนะเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลักไม่นาน ตื่นอีกทีก็อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยหากแต่ป้ายขนาดพอเหมาะกำกับอยู่ตรงประตูทางเข้า บอกเขาว่าคือคลินิกรักษาโรคทั่วไป

“เผื่อคุณหนูอยากติดต่อไปที่ภัควัฒน์โยธิน”

กายสูงในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จำได้ดีว่าก้องเกียรติเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหมอชนวีร์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคนป่าที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แวะเวียนไปดูอาการตนบ่อยๆช่วงนั้น และเมื่อครู่ก็เพิ่งสั่งพยาบาลประจำคลินิกทายาแก้ฟกช้ำตามร่างกาย ตรวจผื่นแพ้เกสรข้าวโพด ตรวจวัดไข้ แม้จะใจร้ายฉีดยาให้ตั้งสองเข็มก็ตาม

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ขยับหันไปทางประตูห้อง ในอกซ้ายวูบโหวงยากเกินบรรยาย มือนิ่มเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะเบนกลับมาสบใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่มอีกครั้ง ยามสุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยแนะนำและพยายามให้ความช่วยเหลือ

“ถ้าจะโทรก็รีบโทรตอนนี้”

ชนวีร์เว้นช่วงจังหวะเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยา

“และหากจะไปก็ไปตอนนี้ ตอนที่ไอ้ขุนมันออกไปทำธุระข้างนอก มันบอกผมว่าเดี๋ยวจะกลับมารับ ถ้าคุณหนูต้องการกลับภัควัฒน์โยธินผมจะให้คนไปส่ง แต่ต้องตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น”
   
ประโยคเหยียดยาวที่คู่สนทนากำลังเอื้อนเอ่ยนั่นคือโอกาส โอกาสที่จะได้กลับบ้าน โอกาสที่จะได้เจอพี่ชาย โอกาสที่จะได้เจอบิดา โอกาสที่จะหนีไปจากที่นี่ โอกาสที่เขาจะหนีไปจากนายป้อเลี้ยงคนป่า...
   
“ไม่มีเวลาแล้วครับ”
   
เสียงเร่งจากบุคคลฝั่งตรงข้ามทำให้ไฮท์ไม่อาจควบคุมความสั่นเทาของร่างกาย แววเคลือบใสคู่หวานกลอกกลิ้งไปมา ขอบตาร้อนผ่าว หากแต่มือขาวค่อยๆขยับเอื้อมไปที่โทรศัพท์ของหมอหนุ่ม ก่อนที่จะ...




‘ช่วยผมด้วยครับ คุณพ่อครับช่วยผมด้วย’
   



ร่างสูงโปร่งภายใต้สีหน้าเฉยชาทว่ายังคงเป็นจุดรวมสายตาของผู้คน อาจเพราะรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ไม่เหมือนคนภาคเหนือโดยกำเนิด โครงหน้าหล่อจัดพ่วงตำแหน่งพ่อเลี้ยงไร่ตะวัน ไร่ของตระกูลผู้ดีเก่านามสกุลโด่งดัง ‘อัคคเดชภูดินันท์’ คนในจังหวัดเชียงรายส่วนมากรู้จักหน้าค่าตา เนื่องจากเห็นอยู่บ่อยๆเมื่อเจ้าตัวมักแวะมาทักทายพ่อค้าแม่ค้าสองสัปดาห์ครั้ง บางคราวก็นำพวกพืชผักผลไม้มาส่งกับคนงานในไร่
   
นัยน์ตาคมเหลือบมองเครื่องดื่มในมืออย่างหงุดหงิดใจ ไอเย็นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะตามข้างแก้วมีผลให้ต้องรีบเหยียบคันเร่งกลับมายังคลินิก ยกฝ่ามืออีกข้างขึ้นเสยกลุ่มผมพลางแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปาก ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องตรวจสักพักก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป ที่ไม่ค่อยมีคนไข้อาจเพราะยังไม่ถึงช่วงเวลาเลิกงาน
   
“ไม่เสร็จอีกเหรอวะ?”
   
สุ้มเสียงทุ้มเอกลักษณ์เอ่ยถามยามไม่พบทายาทภัควัฒน์โยธินที่ควรรออยู่ในนี้ ชนวีร์ยังคงสนใจแฟ้มเวชระเบียนบนโต๊ะสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขุนจึงปล่อยความเงียบคืบคลานบรรยากาศรอบกายช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมา
   
“ผื่นแพ้เกสรข้าวโพดไม่น่าห่วง ตัวรุมๆแต่ฉีดยาลดไข้และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้แล้ว ผลข้างเคียงวันสองวันนี้อาจทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่สบาย ร่างกายมีรอยฟกช้ำและรอยถลอกจากการหกล้ม ทายาบ่อยๆคงช่วยบรรเทาได้บ้าง แต่แผ่นหลังขึ้นมาถึงหัวไหล่ระบมหนักเพราะถูกกระแทกอย่างแรง”
   
ชนวีร์อธิบายลักษณะอาการและวิธีรักษาตามหน้าที่ น้ำเสียงราบเรียบปกติแต่คนฟังอ่านความนิ่งสงบนั้นว่ามันผิดแผกไป และดูเหมือนสัญชาตญาณของตนเองจะยังใช้การได้ดีเยี่ยมอยู่เสมอ
   
“อุบัติเหตุหรือว่าจงใจวะ?”
“ไอ้ชนมึงคิดจะทำอะไร?”
   
มือหนาบีบแก้วพลาสติกซึ่งบรรจุเครื่องดื่มแสนหวานไว้จนมันบุบตามแรง ม่านตาสีน้ำตาลเข้มมองสบคู่สนทนา จับจ้องราวกับว่าจะอ่านใจ อ่านทุกความคิดให้ทะลุปุโปร่ง
   
“มึงทำได้ยังไงวะตัวเล็กๆแค่นั้น ใจมึงด้านชาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้ขุน”
“ไอ้ชน”
“ช้ำไปหมด ยับเยินไปหมดทั้งตัว กับรอยที่มึงทำไว้อีก”
“ลูกไอ้พิพัฒน์อยู่ไหน?”
   
!!
   
ชาเขียวนมลอยกระทบพื้นกระเบื้องด้วยแรงโทสะ พ่อเลี้ยงหนุ่มสืบเท้าเข้าไปหาเพื่อนร่วมรุ่น จับกระชากสาบเสื้อกาวน์จนร่างชนวีร์ลอยขึ้นจากเก้าอี้นวมที่นั่ง แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกปล่อยคำพูดแทงใจดำอีกฝ่าย
   
“มีวิธีที่มึงจะแก้แค้นคนตระกูลภัควัฒน์โยธินมากมาย แข่งกันในสนาม ตามกฎกติกา ทำไมมึงถึงเลือกวิธีต่ำๆ เขาไม่มีทางสู้แรงมึงได้เลย มึงเคยสนใจรอยช้ำรอยแผลบนตัวเขาบ้างไหม? หรือมึงเอาแต่เสพสมร่างกายจนพอใจแค่นั้น มึงมันเลว”
   
เกินกว่าคำว่าน่าสงสารไปมากโข มันน่าเวทนา หดหู่ เมื่อทอดมองร่องรอยต่างๆบนผิวเนื้อขาวจัด ประกายตาหวานสั่นระริก กลีบปากสีแดงอ่อนเม้มแน่นอย่างอดทนยามพยาบาลช่วยทายา แม้ประเมินจากการแสดงออกของฟากฟ้า ก้องเกียรติและภาคภูมิก็น่าจะเอ็นดูห่วงใยคุณหนูตัวผอมไม่น้อย แต่พอพบเจอกันอีกคราสภาพก็ยังเหมือนเดิม เหมือนกับคราวก่อนที่เจอในเรือนท้ายไร่ ต่างแค่คราวนี้ไอ้ขุนพามาเยียวยาบาดแผลด้วยตัวเอง
   
“ไอ้ชน กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย ลูกไอ้พิพัฒน์อยู่ไหน”

กระแสเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นเสียจนน่าขนลุก แววตาคมแข็งกร้าววาวแสง รู้ว่าเลวและตนไม่ต้องการให้มาย้ำ เพราะถ้าจะต่ำก็ต่ำกันทั้งสองตระกูล แข่งกันในสนามอย่างนั้นหรือ? ควรไปบอกฝั่งนู้นดีกว่าไหม? ประมุขอัคคเดชภูดินันท์ถูกลอบยิงตายไม่เห็นได้รับความยุติธรรม
   
“มึงน่าจะรู้จักกูดีนะ กูมันโคตรแพ้ของน่ารัก เห็นอะไรน่ารักๆพังไม่ได้เป็นต้องอยากซ่อมอยากรักษา”
   
!!
   
กำปั้นหนักๆอัดเต็มปลายคาง แรงเสียจนร่างนายแพทย์หนุ่มเซถอยหลัง ชนวีร์สะบัดใบหน้าไปมาด้วยความมึน ยกหลังมือขึ้นแตะมุมปากที่มีเลือดไหลซิบพลางส่งเสียงหัวเราะขำ ม่านตาคมมองเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาหา คงหวังจะซัดซ้ำอีกรอบหากแต่ตนไวกว่า ปล่อยหมัดสวนกลับจนอีกฝ่ายเซถลาไปอีกทาง
   
“กูเอาโทรศัพท์ให้เขายืม มึงคิดว่ายังไง? ฉลาดๆแบบมึงคงรู้ว่าเขาจะทำอะไร นอกจากหนีคนแบบมึงไปไกลๆ”
“คุณหมอมีอะไรกันเหรอคะ ว๊าย!”
   
เป็นนางพยาบาลที่เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะการทะเลาะวิวาท ด้วยเพราะพวกหล่อนได้ยินเสียงดังโครมจากด้านใน ตู้เก็บเอกสารใกล้ๆถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อเลี้ยงรูปหล่อ ทำเอาหญิงสาวร่างเล็กสองชีวิตสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน ดวงตาคมกริบเบนจ้องสีหน้าระรื่นของเพื่อนสนิทอย่างโกรธเคืองอีกครั้งก่อนจะหุนหันออกจากห้องไป แม้ชนวีร์รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนโมโหร้ายแต่ก็ยังคิดแหย่หนวดเสือ
   
!!
   
ฝ่าเท้าเตะอัดโซฟาหนังสีดำสำหรับนั่งรอคิวเข้าพบหมอ เจ้าของกายสูงค่อนข้างเลือดร้อน ผกผันอย่างสิ้นเชิงกับสีหน้าเย็นชา ในหัวคิดวิธีตามหาทายาทศัตรูหากแต่ในอกร้อนรุ่มดั่งไฟ การเดินทางจากเชียงรายเข้าสู่เมืองหลวงมีอยู่ไม่กี่ทางเลือก รถโดยสารตัดออกตัวเลือกแรกเพราะคนอย่างชนวีร์รอบคอบพอจะไม่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้น แถมที่นั่นมีคนของอัคคเดชภูดินันท์กระจายตัวอยู่รอบๆ เร็วที่สุดจะส่งเชลยกลับภัควัฒน์โยธินคือทางเครื่องบิน
   
ขุนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาเส้นสายในพื้นที่ การพามารักษากับชนวีร์แม้รู้ว่ามันอยู่ข้างคุณธรรม แต่ก็ไว้เนื้อเชื่อใจกันมากพอสมควร เขาประมาท ประมาทที่คิดว่าเพื่อนจะทำหูหนวกตาบอด ไม่รู้ไม่เห็นอะไร
   
“นายป้อเลี้ยง!”
   
เสียงเรียกตะโกนดังจากอีกด้านหนึ่งชะงักทุกอย่างได้ทันท่วงที เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวผ่านชั้นหนังสือสำหรับวางคู่มือต่างๆเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ กายผอมบางกระโจนลงจากเก้าอี้ที่ไม่รู้ขึ้นไปเหยียบบนนั้นทำไม ก้มตัวสวมรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เอี่ยมเพราะคู่เก่าเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา มือขาวกำถุงยา ริมฝีปากเล็กขยับถามพลางชี้ก้านนิ้วไปยังสิ่งที่เจ้าตัวสงสัย
   
“มันคืออะไรอ่ะ เหมือนบอลลูนเลย”
   
ความสนใจลอยไปอยู่ภายนอกหน้าต่างบานกว้างด้านทิศตะวันตก ขุนหันหน้ากลับไปทางประตูห้องตรวจที่เพิ่งผละออกมาก็พบเข้ากับรอยยิ้มมุมปากของมิตรสหาย นายแพทย์หนุ่มล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์หยิบเอาเครื่องมือสื่อสารพร้อมยกมันขึ้นโบกไปมาในอากาศ สีหน้ากวนประสาทเสียจนคนเลือดร้อนกระแทกลมหายใจ ไม่ได้ดูเลยว่านางพยาบาลประจำคลินิกใจหายใจคว่ำกอดกันกลมอยู่ข้างๆ
   
“กวนตีนนะมึง”
“กูจะถือว่าเป็นคำชม”
   
คุณหมอตัวสูงตอบรับด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เลื่อนสายตาไปที่คุณหนูตัวขาวพร้อมระบายยิ้มจาง ภาพทายาทภัควัฒน์โยธินพูดพึมพำกับโทรศัพท์ทั้งที่ไม่ต่อสายยังติดอยู่ในหัว ชนวีร์ยอมรับการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม โดยไม่ถามไถ่เหตุผลใดๆอีกหลังจากได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วนั่นแก้ต่างแทนว่าวิ่งแล้วหกล้มเอง แต่ไม่ยอมบอกสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่แผ่นหลัง
   
เพราะเข้ามาถามหาเป้าหมายถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นคุณหนูตัวขาวนั่งรอข้างนอก ประจวบเหมาะมีของเรียกความสนใจ จึงไม่ทันสังเกตว่า ‘นายป้อเลี้ยง’ กลับมารับ แถมยังถือของฝากติดไม้ติดมือมาและแน่นอนว่าไม่ใช่ชาเขียวนมของมันเอง ทำเรื่องมหัศจรรย์เสียจนนึกอยากจับปรอทวัดไข้ยัดปาก หรืออาจต้องทำถึงขั้นเช็กว่าสมองส่วนไหนทำงานผิดปกติหรือเปล่า
   
“มึงทำห้องกูเลอะ”
“สมควร”
   
แม้นึกหวั่นว่าพ่อเลี้ยงของไร่ตะวันจะทำรุนแรงกับเด็กตัวผอม หากแต่การกระทำบางอย่างเผยสัญญาณที่ดี อย่างน้อยยังรู้จักปลอบโยนคนที่ตัวเองทำร้ายร่างกาย ถึงการปลอบโยนจะแข็งกระด้างไปสักหน่อยก็ตาม

“ทำไมไม่หนี?”

ละสายตาจากเพื่อนร่วมรุ่นหันกลับมาคว้าปลายคางเรียวสวย มือหนาบีบแก้มนุ่มเสียจนมันยุบลงตามแรง ดันกลีบปากสีแดงยู่ยื่นน่าเอ็นดู อารมณ์กรุ่นโกรธค้างเติ่งมาจากด้านใน ถ้าจะหนีก็หนีได้ คนอย่างชนวีร์ถ้าคิดช่วยเหลือคงส่งถึงรั้วภัควัฒน์โยธินอย่างปลอดภัยภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

“มีคนช่วยทำไมไม่ไป?”
   
ม่านตากลมกลอกมองใบหน้าหล่อเหลา นึกทวนคำถามของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมไม่หนี มีโอกาสแท้ๆทำไมถึงไม่ไป หากแต่ใช้เวลาไม่นานนักคำตอบก็ผุดขึ้นมา

“เราจำหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านไม่ได้”

โกหก เขาโกหก...
   
น้ำเสียงที่เอื้อยเอ่ยช่างบางเบาแทบไม่ได้ยิน ทำไมจะจำไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมเพราะจำได้ขึ้นใจ เฝ้ารอให้มันโชว์หราบนหน้าจอตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนเด็กๆก็มักจะคอยเงี่ยหูฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลดังอยู่ร่ำไป เพียงแต่...
   
ถ้าต่อสาย เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรกับบิดา ไฮท์ห่วงพี่ชายและกลัวการถูกต่อว่าด่าทอ นอกจากจะไม่ทำประโยชน์แก่ภัควัฒน์โยธินแล้ว ยังคอยแต่สร้างปัญหา อาจจะดีกว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ พ่ออาจมองเขาในแง่ดี หากอยู่ชดใช้หนี้แทนคุณลุงพิพัฒน์ ทว่าความคิดที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดนั้นเรียกเสียงเย้ยหยันจากเจ้าของกายสูง
   
“หึ! เป็นต่างด้าวแล้วยังโง่อีก ถ้าจำได้คงจะไปแล้วสิท่า”
“ใช่! ถ้าเราจำได้ เราโทรไปแล้ว เรากลับกรุงเทพฯไปแล้ว ไม่อยู่กับนายป้อเลี้ยงหรอก!”
   
กลีบเนื้ออ่อนเบะออกเตรียมร้องไห้เฉกเช่นทุกที ผู้กล่าวหาจับจ้องแววตาสั่นคลอนที่รื้นคลอด้วยหยาดน้ำไร้สีพลางปล่อยมือจากปลายคาง พ่อเลี้ยงหนุ่มปิดการมองเห็นลงชั่วครู่หนึ่งเพื่อปรับอารมณ์ เพียงไม่กี่วินาทีนัยน์ตาคมก็ลืมขึ้นพร้อมตอบคำถามเจ้าของดวงหน้าอ่อนเยาว์
   
“โคมลอย”
“ฮึก...”
“ก็บอกว่ามันคือโคมลอยไง จะร้องทำไม”
   



ลำแขนแกร่งช้อนอุ้มกายผอมขึ้นไปนั่งบนเบาะเนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่ากว่าจะปีนสำเร็จคงใช้เวลานาน และไม่ทันอกทันใจ อีกเหตุผลเพราะรถกระบะรุ่นนี้สูงกว่าที่ใช้งานในไร่ประจำ ผิวแก้มใสเปื้อนคราบน้ำตาอีกรอบของวัน มือเล็กยกปาดมันออกจากใบหน้าป้อยๆทั้งที่ริมฝีปากทรงกระจับยู่ยับ เจ้าของโครงหน้าหล่อจัดยังไม่ทีท่าผละห่างจากบานประตู เอาแต่จ้องมองอาการสะอื้นฮักของเด็กน้อยที่ไม่รู้จะสงบลงเมื่อไหร่
   
“ร้องให้ตายไปเลย”
   
คำพูดคำจาร้ายกาจสวนทางกับการกระทำ อาจเพราะเป็นคนดิบๆ ห่ามๆ ปลอบใครไม่เป็น ฝ่ามือหนาดันหน้าผากมนจนเจ้าของเอนพิงเบาะโดยสาร ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงตาม ใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นเป่ารดผิวแก้มนวลเนียน
   
“ระ...เรารู้แล้วว่า ฮึก...นายป้อเลี้ยงเกลียดเรา”
   
ไม่รู้คิดอะไรอยู่ จู่ๆเด็กตัวขาวก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดสบลูกแก้วคู่หวานในระยะประชิด ดึงถุงยาที่มือบอบบางกำไว้แน่นโยนไปยังเบาะหลัง ก่อนจะขยับปากเอ่ยสำทับประโยคของอีกฝ่าย
   
“รู้ก็ดี”
“นายภาค...ฮึก..นายฟากและนายก้องไม่เกลียดเรา”
“รู้ได้ไง?”
“มีแต่นายป้อเลี้ยงที่เกลียด..ล..อือ...”

ถ้อยคำตัดพ้อปนสะอื้นถูกกลืนด้วยเรียวปากหยัก จุมพิตละมุนละไมนุ่มนวลเสียจนนึกห่วงก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในอกซ้าย ความอุ่นชื้นสอดแทรกผ่านกลีบเนื้อนุ่มนิ่มอย่างง่ายดายเพราะแก่ประสบการณ์กว่า กวาดต้อนไล่ล่าปลายลิ้นเล็กๆไปทั่วโพรงปาก หอมหวาน เชื่องช้า ราวกับว่าปลอบประโลม โอ๋เด็กน้อยที่ร้องไห้โยเยให้หายเสียขวัญ เนิ่นนานจนกระทั่งเกิดการประท้วงร้องขอลมหายใจ ทว่ายังตามหยอกล้อคลอเคลีย กดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ ริ้วเลือดฝาดเฉดขึ้นปรางขาวน่าเอ็นดู


ความอ่อนโยนที่ไม่ควรได้รับ

และความอ่อนโยนที่ไม่ควรแสดงออก


   ระบบสั่นของเครื่องมือสื่อสารหยุดการเคลื่อนไหวเจ้าของกายสูงใหญ่ชั่วขณะ ขุนผละห่างริมฝีปากหวานล้ำอย่างนึกเสียดาย โน้มจูบขมับแผ่วเบาพลางเกลี่ยก้านนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาให้กายผอมบาง มืออีกข้างล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ม่านตาคู่คมทอดนิ่งมองรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ


สายเรียกเข้าจากนายหัวรังสิมันตุ์...


หากอัคคเดชภูดินันท์รุกฆาตฉันใด ภัควัฒน์โยธินก็คล้ายจะรุกฆาตฉันนั้น
คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ



เพราะคนที่พลั้งเผลอก่อน คือคนที่พ่าย



โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ติชมนะคะ
พลิศค่อนข้างจะเป็นอุเคะจ๋ามากๆ ต้องขออภัยหากคาแรกเตอร์ดูขัดๆ
 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2016 19:39:51 โดย pangll »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Chifuu

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แหมมมม ป้อเลี้ยง มีซื้อชาเขียวมาให้กินด้วยยยย
ตอนนี้ป้อเลี้ยงแสดงออกอย่างรุนแรง55

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
มาอัพแล้ว ดีใจค่ะ       ชอบคู่รอง น่ารักดี ไฮท์ปากไม่ตรงกับใจ ยุ่งๆ แต่น่าเอ็นดู  ส่วนขุนก็ร้ายปนรัก ชอบคู่นี้จัง

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด