วันศุกร์ที่ 24 (จบ)เสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบทุกครั้งที่เขาเหยียบย่ำผ่านมันไปยังบริเวณสวนหลังบ้าน สายลมเย็นๆ ช่วงบ่ายพัดกระทบผิวกายพอให้รู้สึกสดชื่น ท้องฟ้าดูปลอดโปร่งยิ่งกว่าทุกวัน นานแค่ไหนแล้วที่วันศุกร์ไม่ได้มีเวลาพักผ่อน ออกมาชมนกชมไม้แบบนี้ แผลทางกาย รวมทั้งทางใจ จวนเจียนจะหาย และเขาก็คงพร้อมกลับไปเรียนอีกครั้ง
นับตั้งแต่เช้าที่เขาตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาล ก็ปาไป 5 วันเต็มแล้ว ที่กันติกรณ์ไม่ได้ติดต่อมาหาเลย แม้ว่าเขาจะพยายามส่งข้อความหรือโทรไป แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ สิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้คือการไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน และกอบโกยช่วงเวลาครอบครัวให้มากที่สุด
แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ก็ต้องบินกลับไปทำงานแล้ว และเขาก็เริ่มคิดถึงอ้อมกอดของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักมากขึ้นทุกที
อยากเจอจัง...
กร็อบ
เสียงเศษใบไม้ดังขึ้นทั้งที่เขายังไม่ทันได้ขยับตัว ร่างเล็กหันหลังกลับไปเพื่อพบว่าผู้ชายในห้วงความคิด กลับมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าราวกับความฝันดั่งใจนึก กันติกรณ์คลี่ยิ้มอบอุ่นที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น อากาศหนาวทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหว และตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้าอย่างไม่รู้สาเหตุ
"มาได้ไง?"
"ขับรถมาสิ จะให้พี่เดินมาหรือไง"
"กวนเหรอ"
"คิดถึงจัง" วงแขนกว้างตรงเข้าโอบรั้งตัวเขาไว้ในทันที ดวงหน้าหวานขึ้นสีซบลงบนอกแกร่งอย่างเช่นทุกครั้ง กลิ่นกายคุ้นเคยพาลให้น้ำตาสุดจะกลั้นไหลลงช้าๆ
"ร้องไห้เหรอ? ร้องไห้ทำไม?" ฝ่ามืออุ่นตบปุๆ บนแผ่นหลังสั่นเทา
"นึกว่าพี่กันต์จะหายไปแล้ว"
คนตัวใหญ่หลุดขำ แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น "จะหายไปไหนได้ล่ะ"
"ก็ไม่มาหาเลย โทรไปก็ไม่รับ"
"ขอโทษ"
นั่นไม่ใช่คำตอบของคำถาม แต่อย่างน้อยก็พอจะทำให้เขาคลายใจลงได้บ้าง อย่างน้อยความกลัวที่จะถูกทอดทิ้งก็ไม่เป็นจริง กันต์ไม่ได้ไปไหนและกำลังกอดเขาอยู่ตอนนี้
"ความจริงแล้ว พี่กลัวมากเลย..."
"กลัว?"
"อือ" มือใหญ่ลูบศีรษะทุยป้อย "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น ทำให้พี่คิดว่าตัวเองดูแลศุกร์ได้ไม่ดีพอหรือเปล่า พี่โกรธตัวเองที่ปกป้องอะไรศุกร์ไม่ได้"
"ทำไมคิดงั้น"
เขาไม่ตอบอะไรและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องที่วันเสาร์จับวันศุกร์ขังไว้ในบ้าน จนกระทั่งมาถึงจุดที่วันศุกร์ต้องมาเจ็บตัวเพราะปกป้องเขา มันทำให้เขาสับสนมาก เขารู้สึกไม่มีค่าพอที่จะอยู่เคียงข้างเด็กคนนี้ มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเลย
เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องและเฝ้าทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แทบไม่ได้ออกไปพบหน้าใครหรือเสวนากับใครเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองน่ะขี้ขลาดมากเกินว่าที่จะปล่อยมือจากวันศุกร์ และก็ต้องยอมรับว่าเขาช่างเห็นแก่ตัวมากกว่าใคร ถึงแม้จะปกป้องไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะดีไม่พอ แต่ก็ไม่อยากจากไปอยู่ดี
ยังไงก็อยากอยู่กับนาย... เขาคิดได้แค่นี้เอง
"พี่ขอโทษนะ...พี่เป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม"
"พี่กันต์" คนเด็กกว่าผละตัวออกเล็กน้อย เอาแต่ส่ายหน้าและจ้องสบเข้าไปยังนัยตาคู่สวย "อย่าพูดอย่างนั้น"
"พี่กันต์ดูแลศุกร์ดีจะตาย ศุกร์มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่กันต์นะ"
ดวงตากลมกระพริบถี่ยามที่รอยแผลจางๆ บริเวณต้นแขนถูกปลายนิ้วอีกฝ่ายสัมผัส
"เจ็บอยู่ไหม?"
"ไม่แล้ว"
"วันนี้พี่ยังดูแลศุกร์ได้ไม่ดี แต่พี่ก็อยากเห็นแก่ตัวด้วยการขออยู่ข้างๆ ศุกร์แบบนี้ ได้ไหม?"
"ไม่เห็นต้องถามเลย ต้องได้อยู่แล้ว" เขาย่นคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ กันติกรณ์คนปากหมา หัวใจสีขุ่นคนนั้น อย่างกับว่าไม่เคยมีอยู่จริง ตอนนี้เขาเห็นแค่กันติกรณ์คนที่หวาดกลัวและคิดมาก ทั้งๆ ที่คอยปกป้องเขาอยู่ตลอด แต่ก็ยังกลัวเนี่ยนะ...บ้าชะมัด
"ศุกร์อยากให้พี่กันต์อยู่ข้างศุกร์แบบนี้ไปเรื่อยๆ แค่พี่กันต์คนเดียว" ปลายเท้ายกสูง ยืดตัวขึ้นฝากรอยจูบบางเบาไว้กับปลายคางของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่ดูเขินอายกับใบหน้าแดงระเรื่อทำให้หัวใจที่เต้นเนิบนาบกลับสูบฉีดอย่างบ้าระห่ำ
ถ้าให้นิยามคำว่า น่ารัก ก็ต้องบอกว่ามันคือ วันศุกร์ นี่แหละถึงจะถูก
"ทำไมน่ารักขนาดนี้ฮึ?" พวกเขาสวมกอดกันอีกครั้ง ปลายจมูกโด่งฝังลงกับกลุ่มผมนุ่มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ "พี่เหมือนคนบ้าเลยที่เอาแต่คิดอะไรเยอะแยะ"
"ใช่ บ้ามากด้วย"
"ขอโทษนะ...ทั้งๆ ที่ศุกร์รักพี่ แล้วพี่ก็รักศุกร์มากขนาดนี้"
"อือ อย่าคิดจะหายไปไหนเชียวนะ"
เขาหัวเราะน้อยๆ แล้วชิงหอมแก้มใสไปฟอดใหญ่ รู้สึกเหมือนเพิ่งยกภูเขาออกจากอกหมาดๆ ตลอดหลายวันหลายคืนที่ผ่านมา เขาเอาแต่โทษตัวเองและคิดวิตกไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง คำตอบสุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม คือเขาทิ้งวันศุกร์ไปไม่ได้ ถ้าวันนี้รู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องได้ ก็ยิ่งต้องอยู่เคียงข้าง เพื่อที่จะทำให้ดีกว่าเดิมในวันข้างหน้า
และเพราะคิดได้แบบนั้นแล้ว ก็เลย.....
"ศุกร์..." กันต์ทรุดตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบในสวน มีเพียงเสียงของต้นไม้กระทบสายลมเท่านั้น
"ท…ทำอะไรเนี่ย"
"ให้พี่อยู่ข้างๆ เราตลอดไปได้ไหม?"
อะไรบางอย่างถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง กันต์ใช้ชายเสื้อตัวเองเช็ดถูมันเล็กน้อย ก่อนจะยื่นออกมาให้ วันศุกร์ยืนนิ่งคล้ายว่ากลายเป็นหินเมื่อเห็นชัดๆ ว่าของสิ่งนั้นมันคืออะไร
แหวนทองคำขาวสลักตัวอักษร FRI เรียบง่ายหากก็ดูมีราคา กำลังล้อแสงแดดอ่อนๆ ของวัน รอยยิ้มกว้างชวนให้ยิ้มตามเผยเด่นอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา น้ำตาที่เหือดแห้งไปไม่ทันไรกลับเอ่อล้นออกมาอีกระลอก จนคนมองขมวดคิ้ว รีบลุกขึ้นมาเกลี่ยนิ้วปาดหยาดน้ำใสออกให้อย่างเบามือ
"ร้องไห้อีกแล้ว ไม่ดีใจเหรอ"
"ดี...ใจ อะไรเล่า"
"พี่กำลังจะจองตัวเรานะ"
"ฮึก...พี่กันต์...บ้าหรือไง"
"อ่าว โดนด่าซะงั้น" คนตัวสูงกลั้นยิ้ม ค่อยๆ ประคองใบหน้าใสที่เอาแต่เบะเป็นเด็ก "ไว้เรียนจบแล้ว แต่งงานกับพี่นะครับ?"
นั่นไม่ใช่การปลอบประโลมสักหน่อย กลับยิ่งทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีก แหวนอะไรกัน แต่งงานอะไรกัน ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องมาทำให้เขาดีใจจนห้ามน้ำตาไม่ได้ด้วย บ้าไปแล้วแน่เลย
"จะไม่ตอบเหรอ" น้ำเสียงอ่อยๆ ทำให้เขารีบพยักหน้าแล้วดึงชายเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างลืมอาย
กันติกรณ์ยิ้มรับกับคำตอบนั้น ถือวิสาสะสวมแหวนที่เขาบรรจงสั่งทำมาเข้ากับนิ้วนางด้านซ้ายของคนรัก แล้วโอบกอดเด็กขี้แยไว้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับ ความอบอุ่นอ่อนโยนถูกส่งผ่านไปให้เป็นเวลานาน สัมผัสเย็นวาบรอบข้อนิ้วมันยิ่งทำให้หัวใจพองโตจนแทบจะปะทุ
เขาเป็นแค่เด็กที่ยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ แต่กลับรู้สึกว่าได้ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งสุขทั้งเศร้า ก็อยากให้มีคนคนนี้อยู่ น่าตลกจริงๆ...ผู้ชายที่นึกเกลียดขี้หน้าในวันนั้น กลับกลายมาเป็นคนที่ได้หัวใจเขาไปครอบครองทั้งหมด
จะบอกว่าโชคชะตาคอยเล่นตลกหรือยังไงก็ตาม เขาคงต้องขอบคุณที่มาปั่นป่วนชีวิตเขาจนได้พบกับกันติกรณ์ และได้มารักกันอย่างในวันนี้
จุมพิตหวานละมุนถูกมอบให้แก่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงแขนเรียวโอบรอบคอหนา ดึงรั้งอีกฝ่ายลงมารับสัมผัสนุ่มนวลหากวาบหวามในอก แววตาที่เต็มไปด้วยความสุขไม่อาจละออกไปจากกันได้เลยแม้ชั่ววินาทีเดียว
แปะๆๆ
วันศุกร์สะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากที่ใกล้ๆ ทั้งสองหันกลับไปมองกลุ่มคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่พากันมาบุกบ้านเขาแบบไม่บอกกล่าว และทั้งที่เขากำลังตีหน้าเหวอ คนข้างกายกลับยิ้มกว้างระรื่น
“ทุกคน...มาได้ยังไงเนี่ย”
“ยินดีด้วยนะ”
“ในที่สุดเรื่องวุ่นๆ ก็จบสักที”
นั่นคือเพื่อนสนิทประจำคณะของเขาเอง กั้งกับนัท ตามด้วยหาญกล้าที่เหมือนจะกล้าสมชื่อ เพราะเล่นกระโจนเข้ามากอดคอเขาต่อหน้าต่อตากันติกรณ์ที่เริ่มทำท่าไม่พอใจ แน่นอนว่ารุ่นพี่อย่างบัณฑิตและตรีวิทย์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
“รู้ไหมหลังจากพาศุกร์เข้าโรงพยาบาลคืนนั้น ไอ้กันต์โทรมาร้องไห้กับพวกพี่ใหญ่เลย”
“จริงเหรอ?” รีบตวัดสายตามองคนรักตัวเองซึ่งบัดนี้หน้าขึ้นสี
“ร้องอะไรเล่า”
“มันอะฟูมฟายใหญ่ เอาแต่โทษตัวเองบ้าบอ” บัณฑิตยังคงไม่ลดละ พลางชี้นิ้วแซวเพื่อนสนิท มีตรีวิทย์คอยส่งเสียงหัวเราะสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ก่อนที่สาวสวยเจ้าของเส้นผมสีดำขลับจะแหวกกลุ่มคนเข้ามาตบหน้าผากน้องชายไปทีอย่างนึกหมั่นไส้
“บอกแล้วใช่ไหมว่าแกมันปัญญาอ่อน”
“โอ้ย ผมเจ็บนะ” กันต์ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อย
“ศุกร์ว่ามันบ้าไหม เอาแต่คิดมากไม่เข้าเรื่อง ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แถมโยนมือถือทิ้งไว้นอกห้องไม่ยอมออกไปไหน อีกนิดพี่จะคิดว่ามันตายไปแล้วนะ”
คนได้ยินหลุดหัวเราะ แววตาหยอกล้อส่งไปให้คนรักที่ยังเอาแต่ขมวดคิ้วยุ่ง ป่านนี้คงนึกรู้สึกผิดที่พาเหล่าเพื่อนๆ พี่ๆ ผู้หวังดีมากันพร้อมหน้า แทนที่จะช่วยกันเซอร์ไพรส์วันศุกร์ ดูเหมือนจะตั้งใจมาทับถมเขาเองซะมากกว่า
“แล้วนี่ทุกคนมาหาผมเหรอครับ?”
“อือ มาฉลองที่มึงหายดี แล้วก็ฉลองที่มึงจะได้เป็นเมียพี่กันต์อย่างเป็นทางการด้วยไง” นัทพูดติดตลก ก่อนจะโดนเพื่อนตัวเล็กวิ่งไล่เตะไปรอบต้นปีบต้นใหญ่ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ
พวกเขาพูดคุยอะไรต่ออีกเพียงเล็กน้อย ก็พากันยกโขยงเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นมากยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก รีบจัดแจงขนมเครื่องดื่มมาบริการให้จนเต็มโต๊ะไปหมด แน่นอนว่าวันเสาร์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย แต่อย่างน้อยก็ยังเห็นแก่น้องชายมากพอที่จะยอมลงมาร่วมวงรับประทานอาหารด้วย
เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังแข่งกับเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ วันเวลาแสนเหงาหงอยดูจะผ่านไปไวเหลือเกินเมื่อมีทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันตรงนี้ เขามีความสุขที่มีทั้งครอบครัวที่ฟ้าประทานให้ รวมทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ดีที่สุดอยู่รายล้อม มากกว่านั้นคือคนรักหนึ่งเดียวซึ่งอยู่เคียงข้างกันมาตลอด
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว แขกแต่ละรายค่อยๆ ทยอยกลับบ้าน จนเคหะสถานหลังใหญ่กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม
“คุณพ่อ คุณแม่ วันนี้ผมขออนุญาตค้างที่นี่ได้ไหมครับ” กันติกรณ์ขยับตัวเข้าไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยกริยาสุภาพผิดวิสัย ทั้งที่เกศราชิงขับรถกลับไปแล้ว แต่ตัวเองก็ยังจะหน้าด้านอยู่ต่อตามประสาเขาแหละ
“ได้สิ”
“เดี๋ยวแม่ให้ละเมียดจัดห้องให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนกับศุกร์ก็ได้”
เจ้าของห้องยังไม่ทันได้อนุญาต ก็โดนแขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาผลักไล่หลัง แถมมีพ่อกับแม่ของเขาคอยหนุนหน้าชื่นตาบานอีกต่างหาก
“เดี๋ยวนะพี่กันต์”
“อะไรเหรอ?”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อเลย อยู่ดีๆ จะมานอนด้วย ไม่บอกก่อน”
“ทำไมอะ ศุกร์จะเตรียมตัวต้อนรับพี่เหรอครับ” รอยยิ้มกวนประสาทกับแววตาเจ้าเล่ห์พาลให้เขานึกโมโห ดวงตากลมโตไม่ได้ดูน่ากลัวเลย แต่กลับยิ่งน่ารักน่าชังในสายตาของอีกคน
“น่าๆ พี่อยากใช้เวลาอยู่กับศุกร์นี่”
ประตูห้องปิดตัวลง เพิ่งทันสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่า กันติกรณ์เตรียมตัวมาดีขนาดไหน ในมือหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดพอเหมาะ โยนมันไว้บนเตียงเขาหน้าตาเฉย นี่ถ้าไม่ใช่แฟนกันก็คงอยากไล่ด่าถึงบรรพบุรุษว่าไร้มารยาทอะไรขนาดนี้หรอก
“ไปๆ อาบน้ำกัน”
“พี่อาบก่อนเลย” เขากวักมือไล่ แต่กลับถูกมือหนาคว้าตัวไว้ก่อน เสียงกระซิบข้างหูทำเอาพวงแก้มแดงเห่อร้อน “อาบด้วยกันสิ”
“บ...บ้าเหรอ พี่ก็อาบไปก่อนสิ”
“ไม่เอาอะ อยากให้ศุกร์อาบให้”
“ทะลึ่ง!”
รอยยิ้มทะเล้นหากสายตาที่จ้องมากลับดูจริงจัง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น วงแขนแกร่งโอบรอบเอวบางไว้ พลางโน้มลงมาขบใบหูเล็กอย่างหยอกเย้า ถ้าเป็นปกติเขาก็คงนึกอยากจะผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายออกไปนอนนอกห้องซะเลย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองได้ว่า กำลังคิดถึงเจ้าของอ้อมกอดนี้มากมายขนาดไหน
“นะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามย้ำ ไม่มีเสียงขานรับใดๆ ยกเว้นฝ่าเท้าที่ยอมขยับตรงไปทางประตูอีกบานในห้อง
หวังว่าคืนนี้จะไม่มีใครบังเอิญเดินผ่านมาทางนี้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีหน้าจะไปอธิบายอะไร โดยเฉพาะกับพ่อและแม่ ว่าไอ้สุ้มเสียงน่าอายที่กำลังดังลอดออกมาจากห้องน้ำก้องๆ นั้นมันคืออะไร
และนี่คงเป็นวันที่เขาใช้เวลาในการอาบน้ำนานที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลย…
“ไม่ให้ทำแล้วนะ” นั่นคือคำพูดแรกหลังจากที่พวกเขาเสร็จกิจไปร่วม 3 รอบ อย่างกับไปตายอดตายอยากมาจากไหน
“โห อย่าพูดงี้สิ ไม่ให้ทำพี่ก็ตายพอดี”
คนตัวเล็กสะบัดหน้าหนีทั้งที่ยังเกาะคออีกฝ่ายไว้แน่น กันติกรณ์อุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงออกมาวางบนเตียงนุ่มอย่างเบามือ ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจรดอยู่บนขมับสวย ผิวกายเนียนละเอียดส่งกลิ่นหอมของสบู่แครนเบอร์รี่น่าหลงใหล เขาย้ายตัวเองขึ้นมานอนพิงหมอนอยู่ข้างๆ กัน มือยาวพาดโอบคนรักไว้ไม่ห่าง
“หอมจัง”
“อือ...”
ปลายจมูกโด่งรั้นฝังอยู่บนกลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะเคลื่อนลงมาคลอเคลียไปตามโครงหน้าหวาน กันติกรณ์ชักจะทำตัวเหมือนสุนัขตัวใหญ่ขี้อ้อน แต่เพียงไม่ทันไร บรรยากาศสีชมพูก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียด เหมือนกับว่าเพิ่งนึกเรื่องสำคัญบางอย่างออก
“เออศุกร์”
“หืม?”
“แล้วพี่เสาร์…เขาโอเคแล้วจริงๆ เหรอ?”
ริมฝีปากสีสดเม้มเข้าหากันทันทีที่ได้ยินชื่อพี่ชายตัวเอง แววตาสั่นไหวดูไม่มั่นใจในคำตอบ น้ำเสียงแผ่วปลายฟังแล้วเจ็บปวดอยู่ข้างในลึกๆ
“ไม่รู้สิ…ศุกร์ว่า พี่เสาร์คงต้องการเวลาอีกสักพักน่ะ”
“อืม พี่เสาร์ก็น่าสงสารเหมือนกันเนอะ”
“อือ…”
“หวังว่าพี่เสาร์จะยอมรับพี่ไวๆ นะ”
“แล้วถ้ามันนานมาก จะรอได้หรือเปล่าล่ะ” เขาแกล้งถาม แน่นอนว่าอีกฝ่ายรีบพยักหน้า พลางรั้งตัวเขาเข้าหา
“รอได้ นานแค่ไหนก็รอได้”
วันศุกร์แอบอมยิ้ม สองสายตาสบประสานราวกับนัดหมายไว้ ความสุขเอ่อล้นเคลื่อนตัวอยู่ภายในดวงตาคู่สวย ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดพวงแก้มใสจนมันเริ่มปล่อยไอร้อน ริมฝีปากหยักขยับแนบชิดกันอีกครั้ง พร้อมสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าทุกที เรียวลิ้นหนาตักตวงความหวานจากโพรงปากเล็กอย่างไม่รู้จักพอ อ้อมกอดคุ้นเคยกลายเป็นสิ่งเสพติดที่เขาชักจะขาดมันไปไม่ได้
เช่นเดียวกันกับคนตรงหน้า…
กันติกรณ์ในตอนนี้ช่างอบอุ่น มากเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับเมื่อหลายเดือนก่อน เขายังจำภาพวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย รุ่นพี่จอมหาเรื่องคนนี้ดูไร้สมองและไม่น่าคบเอาสักนิด แต่ดูตอนนี้สิ…ปากหนอปาก มันกลับพลิกผันไปหมด
“ศุกร์” เจ้าของน้ำเสียงนุ่มทุ้มดึงเขาไปกอดชิดอก เสียงเต้นของหัวใจดังพอให้ได้ยิน “พี่ขอโทษนะ”
“ขอโทษอะไรอีก”
“ขอโทษทุกอย่าง…ขอโทษที่เคยแกล้ง เคยพูดจาไม่ดีใส่ ขอโทษที่ดูแลไม่ดี ขอโทษที่ให้ศุกร์มาเจ็บตัวแทนแบบนี้”
“บอกว่าให้เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วไง”
กันต์พยักหน้า รู้อยู่แล้วว่าถ้าพูดขึ้นมาจะทำให้ไม่สบายใจ แต่ยังไงก็อยากจะพูด อย่างน้อยก็ครั้งสุดท้าย และต่อไปนี้ เขาสาบานว่าจะไม่ทำให้วันศุกร์ต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว
“พี่กันต์คิดมาก”
“ก็เพราะเรา เลยต้องคิด”
“ไม่ต้องคิด อดีตผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิ ทุกวันนี้ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่นะ”
ริมฝีปากบางยกยิ้ม ความอบอุ่นแผ่ขยายกลบอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง อวัยวะในอกซ้ายดังเป็นจังหวะสอดคล้องกัน
มีความสุข…
คำนี้ควรเป็นเขาที่พูดมากกว่า เพราะว่ามีความสุขเหลือเกิน แค่ได้เห็นใบหน้าของเด็กในอ้อมแขนนี้ แม้ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือความสุขของเขาแล้ว และมันไม่ได้เพิ่งเกิด แต่มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกเขาพบกัน…คนบ้าอะไร ทำไมถึงได้หวานนัก หวานจนนึกว่าจานขนม
และเขาก็คงเป็นคนโชคดีที่ได้ลิ้มลองขนมชิ้นพิเศษนี้
“พี่ก็มีความสุข…” จุมพิตบางเบาประทับลงบนหน้าผากมน “เพราะมีศุกร์ พี่ถึงมีความสุขเหมือนกัน”
“อือ…”
คนตัวเล็กส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะพากันจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ค่ำคืนแสนอบอุ่นเคล้ากลิ่นหอมหวานของความรู้สึกรักซึ่งกำลังเอ่อล้นใจ
หากพูดถึง วันศุกร์ ก็คงนึกถึง สีฟ้า แต่เขาก็เคยสงสัยว่ามันคือสีฟ้าแบบไหน? สีฟ้าที่แปลว่าความเศร้าใช่ไหม หรือว่าสีฟ้าของท้องฟ้าที่โอบล้อมโลกนี้ไว้…?
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเป็นทั้งหมดนั้น ชีวิตคนเราทุกคนก็คงเหมือนสีที่มีหลากหลายโทนแตกต่างกันไป มันอาจมีวันที่สีนั้นซีดจาง แต่ก็ต้องมีวันที่สดใสเช่นกัน
และเพราะว่ามีกันติกรณ์อยู่ข้างๆ เขาจึงมั่นใจว่า ต่อจากนี้ไป…สีฟ้าของวันศุกร์ มันคงจะไม่หม่นหมองสักเท่าไรนัก
THE END
------------------------------------------------------------------------
อ่าวเฮ้ย จบ! 555555555
ตัดจบไม่เก่งเลยค่ะ แปลกๆ นิดหน่อย แต่ก็ตั้งใจจะจบตรงนี้จริงๆ นะ ;;
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านมากๆ เลยนะคะ
เรื่องนี้ใช้เวลาแต่งนานที่สุดในชีวิตคือ 2 ปี เพราะหนีไปทำนู่นทำนี่สารพัดสิ่งมาก
แต่ก็เข็นจนจบจนได้ น้ำตาจะไหล ฮรุก
หลังจากอ่าน "วันศุกร์สีฟ้า" จบแล้ว เราอยากให้ตามไปอ่าน "นับหนึ่งถึงเสาร์" ต่อด้วยนะคะ ไปเป็นกำลังใจให้พี่เสาร์ของเราพบรักแท้สักทีน้าา
#นับหนึ่งถึงเสาร์ RAW:
https://www.readawrite.com/a/8ebcecc0e94acc025c7841b52f3c971eFTL:
https://fictionlog.co/b/5bda69a63e11f500283e3408DD:
https://writer.dek-d.com/airairair13/story/view.php?id=1797473TBL:
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68284.0