นับหนึ่ง ถึง สิบบรรยากาศบนรถวันนี้ย่ำแย่มากกว่าทุกที ไม่มีดนตรีเปิดคลอ และไม่มีบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น วันเสาร์หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดขนาดกว้างของห้างสรรพสินค้า ที่เคยมาซื้อเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ให้เขา คนตัวใหญ่ดับเครื่องยนต์ เดินนำหน้าไปทางประตูกระจกใส ปล่อยให้เขาวิ่งตามต้อยๆ
“เรามาที่นี่กันทำไมเหรอครับ”
ดวงตาสีเข้มปรายมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมเปิดปาก “ก็มาซื้อของที่นายทำแตกไปไง”
ของที่เขาทำแตก…หมายถึงคริสตัลรูปแมวบนโต๊ะพี่ศุกร์อะเหรอ
“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
ศีรษะทุยก้มงุด ไม่ทันสังเกตว่าวันเสาร์กำลังทำหน้าแบบไหน ยังโกรธไหม หรือเกลียดแล้ว เพราะเขาเผลอไปแตะต้องสิ่งสำคัญหนึ่งเดียวของอีกฝ่าย สำคัญมากขนาดที่ว่า คนต่ำต้อยอย่างเขาไม่มีวันเทียบแทนได้เลย
ไม่มีคำตอบกลับ นอกจากฝีเท้าหนักๆ ตรงไปทางร้านเครื่องประดับชื่อดัง พนักงานสาวในชุดสูทเรียบร้อยก้มหัวต้อนรับพวกเรา พลางผายมือไปยังเคาน์เตอร์ละลานตา
อัญมณีนับสิบหรือร้อยชนิดเปล่งประกายล่อแสงแข่งกันจนทั่วทั้งร้าน นับหนึ่งกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกขนาดยาว วันเสาร์ทักทายผู้จัดการร้านอย่างคุ้นเคย ถาดกำมะหยี่ถูกยกออกมา พร้อมคริสตัลรูปสัตว์หลายตัววางเรียงอยู่บนนั้น
กระต่ายน้อยตาสีดำ หมาบีเกิลนั่งชูหาง ไปจนถึงหมีแพนด้าแม่ลูก และแน่นอนว่ามีเจ้าแมวน้อยตัวเดิมที่วันศุกร์เคยมีด้วยเช่นกัน
“เอาแมวตัวนี้แหละครับ”
“ตัวเดียวเหรอคะ ไม่ดูอะไรให้รุ่นน้องด้วยเหรอ”
รอยยิ้มน่ารักของคนในชุดสูทหันมาทางเขาซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งตัวเกร็ง วันเสาร์เหล่ตามองเพียงแวบเดียว ก็หันกลับไปปฏิเสธเสียงเรียบ
“ไม่ล่ะครับ นี่แค่คนใช้”
“ตายจริง” หญิงสาวสะดุ้ง รีบก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่ เธอจัดแจงนำสินค้าลงกล่อง ใส่ถุงกระดาษเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม สกรีนโลโก้ยี่ห้อสีเงินสวยเด่น
นับหนึ่งก้าวเท้าเข้าไปรับถุงนั้นมาถือไว้อย่างรู้งาน เมื่อวันเสาร์ชำระเงินเรียบร้อยแล้วเดินตัวลอยออกไปจากร้าน ทางด้านผู้จัดการยังคงมองตามลูกค้าทั้งสองจนเกือบลับสายตา เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กนั่นจะเป็นคนรับใช้ของวุฒิเวคินทร์ เพราะผิวพรรณดูเรียบเนียน ขาวเหมือนกระดาษ ยิ่งกับใบหน้าหวานๆ ที่ถ้าหากว่าไว้ผมยาว แล้วสวมชุดกระโปรงมาล่ะก็ เมื่อกี้เธอคงรีบทักว่าเป็นแฟนของวันเสาร์แน่ๆ
“พี่เสาร์ รอด้วยครับ” คนตัวเล็กวิ่งตามจนขึ้นมาขนาบข้างได้สำเร็จ เขาถือถุงในมืออย่างระวังขณะเดินผ่านกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังยืนออรอคิวร้านอาหารเต็มทางเดิน
“ถ้าคราวนี้ทำแตกอีก จะไม่ใช่แค่โดนตบแล้วนะ”
เขายู่ปาก แหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างนึกเคือง “ทำไมครับ จะต่อยผมเหรอ”
“อยากลองไหมล่ะ”
นับหนึ่งสะบัดหน้าใส่ ตั้งท่าจะถอยเว้นระยะห่าง แต่กลับถูกมือหนากระชากร่างกลับมาใกล้กันยิ่งกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ ตามด้วยคำก่นด่าแว่วมาจากผู้ชายที่เพิ่งเดินเฉียดไปเมื่อครู่
“เดินดีๆ เป็นไหม” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์เสียชัดเจน วันเสาร์ดุเขาผ่านสายตา ก่อนจะเลื่อนมือจากต้นแขนลงไปถึงข้อมือบาง ฉุดให้ก้าวขาตามไวขึ้น อุณหภูมิจากร่างกายอีกฝ่ายเกี่ยวพันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพวกเราหลุดออกจากฝูงชน ถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
ร่างสูงโปร่งเสมองไปทางร้านรวงระหว่างทาง กระแอมอยู่ในลำคออย่างวางท่า อดจะเผลอยิ้มตามให้กับภาพนั้นไม่ได้ เพราะถึงจะโหดร้ายยังไง วันเสาร์ก็มักจะหลุดทำตัวให้รู้สึกประทับใจหรือใจอ่อนอีกจนได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังสับสนและเกลียดผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ไม่ได้สักที
ลูกโป่งสีแดงสดลอยเด่นสะดุดตา นับหนึ่งลดความเร็ว จับจ้องไปยังร้านไอศกรีมชื่อดังถัดจากบันไดเลื่อนซึ่งกำลังจะนำพวกเขากลับสู่ลานจอดรถ เรียวแขนเล็กเอื้อมออกไปดึงรั้งชายเสื้อคนตัวสูงไว้ ก่อนจะทันได้คิด
“อะไร”
“อ…เอ่อ”
“มีอะไร” เสียงต่ำกดย้ำทำเอาเขายิ่งเลิ่กลั่ก น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอก่อนจะกลั้นใจชี้นิ้วไปทางร้านของหวานใกล้ๆ
“อยากกินไอติม…กินได้ไหมครับ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว จ้องหน้าเขาสลับกับหน้าร้านอยู่หลายครั้ง
“นี่นายเป็นเด็กเหรอ?”
คำถามไม่รื้นหูแถมฟังดูโง่จะตาย ถามมาได้ว่าเป็นเด็กเหรอ เออ ก็เป็นเด็กไง เพิ่งจบมัธยมเองนะ แล้วถึงจะไม่เด็กแล้วอยากกินไอศกรีมไม่ได้เหรอ งง ชีวิตวันเสาร์วันๆ คงเอาแต่ดื่มเหล้าล่ะสิ น่าสงสาร น้ำแข็งใส บิงซูอะเคยกินเปล่า
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ กลับกันเถอะ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ เจ้าของใบหน้าถมึงทึงคว้ามือเขาลากตรงไปหาพนักงานในชุดสีดำตัดแดงซึ่งกำลังส่งยิ้มหวานมาแต่ไกล พวกเราถูกพาเข้ามานั่งบนโต๊ะกลมขนาดเล็กริมหน้าต่าง โดยไม่มีใครปริปาก สายตาหลายคู่แอบมองด้วยอาการสงสัยไปต่างๆ นาๆ เพราะมันก็คงดูแปลกพิลึกอยู่เหมือนกันกับการที่ผู้ชายจะมานั่งกินไอศกรีมสองต่อสอง ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาที่แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงของคุณชายวันเสาร์แล้ว ก็ยิ่งดึงความสนใจจากคนอื่นได้ไม่ยาก
“รับอะไรดีคะ”
“เอ่อ พี่เสาร์เอาอะไรครับ” เขาเอ่ยถามท่าทีเกร็งๆ แน่นอนว่าโดนสายตาเย็นเยียบจ้องกลับมา จนต้องรีบกลืนคำอื่นลงคอ
“ฉันไม่กิน นายจะกินก็รีบสั่ง”
“อืม…งั้นเอาช็อกโกแลต วานิลลา แล้วก็สตรอเบอรี่ อย่างละลูกครับ”
พนักงานสาวจิ้มออเดอร์ใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ เมื่อเธอเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ คำถามเสียงเข้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“สั่งอะไรเยอะแยะ กินหมดหรือไง”
“ก็แบ่งกันกินไงครับ”
คนตัวสูงย่นคิ้ว “บอกแล้วไงว่าฉันไม่กิน” ดูเหมือนคงอยากจะต่อว่าที่เขาไม่ฟัง แต่ช่างปะไร เพราะเขาไม่สน จะกินหรือไม่กิน ยังไงไอศกรีมแค่ 3 สกู๊ป ก็ไม่คณาลำไส้เขาอยู่แล้ว
“แล้วไอติมสตรอเบอรี่ที่ผมเคยซื้อมาฝาก ได้กินหรือเปล่าครับ”
“เมื่อไร”
“ก็วันที่พี่นาวามาหาที่บ้านไง”
“อ๋อ…”
“ว่าไงครับ ได้กินไหม”
วันเสาร์ไม่ตอบ แถมยังจงใจเบือนหน้าหนี พวกเขาผลัดกันยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบอยู่หลายครั้งกว่าที่พนักงานคนเดิมจะเดินเอาถ้วยไอศกรีมมาเสิร์ฟ ท่าทางใบหน้าหล่อเหลาจะทำพิษใส่คนแถวนี้อีกแล้ว ทางร้านถึงได้โปะวิปครีมก้อนใหญ่แถมมาให้เราด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นผลพลอยได้ที่เขาไม่คิดปฏิเสธ
นับหนึ่งเลื่อนช้อนคันหนึ่งไปด้านหน้า ก่อนจะเริ่มตักเนื้อไอศกรีมแน่นๆ เข้าปาก ความหวานและความเย็นหลอมรวมอยู่บนลิ้น ทำเอาเขาเผลอฉีกยิ้มจนคนตรงข้ามต้องขมวดคิ้วเป็นรอบที่ล้าน
ไอศกรีมทั้งสามรสชาติค่อยๆ ละลายปนกันบนก้นถ้วย ในขณะที่วันเสาร์ยังคงไม่แตะต้องช้อนสเตนเลสที่เขาพยายามส่งให้ ทำเพียงแค่นั่งมองเขากินอย่างกับจะกดดันให้รีบยัดทุกอย่างลงท้องเพื่อจะได้รีบกลับบ้าน
มือใหญ่ยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก แววตาสีดำเข้มยากเกินคาดเดาจับจ้องมาเพียงไม่ห่าง เสียงหึเบาๆ ดังลอดจากลำคอหนา กว่าจะทันได้ตั้งคำถาม ปลายนิ้วเรียวก็ยื่นเข้ามาปาดเอาคราบครีมหวานขึ้นตาติดขอบริมฝีปากออกไปเสียก่อน คนโตกว่าเช็ดมือตัวเองกับทิชชู่ พลางเลิกคิ้วสูง
“สรุปว่าฉันรับนายเข้ามาเป็นลูกใช่ไหมเนี่ย”
เป็นอีกครั้งที่เขายู่ปากใส่เจ้านาย “ไม่ได้อยากเป็นลูกพี่เสาร์สักหน่อย” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านกับประโยคสวนถัดมา
“แล้วอยากเป็นอะไร เมียฉันหรือไง?”
“มะ ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!”
ใบหน้าหวานมุ่ยแดงฉ่า รีบตีเนียนตักไอศกรีมเข้าปากคำใหญ่จนแทบกลืนไม่ลง ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งมองนิ่งๆ หากแววตาคมคู่นั้น บัดนี้กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์สนุกต่างจากทุกที มันก็น่าประทับใจอยู่หรอกที่วันเสาร์ไม่ได้มีเพียงสายตาว่างเปล่าให้กับเขาเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กำลังทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในอกชอบกล
ไม่เห็นจะชอบเลย…
-----------------------------------------------
“ซู่ดดด”
เสียงดูดหลอดเสียงดังชวนให้คนที่กำลังจดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะทำงานนึกรำคาญ เขาวางปากกาลง เงยหน้ามองเด็กที่เอาแต่นั่งแกว่งขาไปมาอยู่บนขอบเตียง มือเล็กๆ สองข้างกุมแก้วน้ำหวานเอาไว้มั่น ปากอิ่มแดงเจ่อ ขณะนี้ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
มันน่า…บีบ ไม่ก็กัดให้ช้ำซะเลย
“ดูดน้ำเสียงดัง ไม่มีมารยาท” เขาเอ็ด
ตามด้วยเสียงซู่ดดังๆ อย่างจงใจอีกรอบ ก่อนที่แก้วในมือจะเหลือเพียงน้ำแข็งเปล่า นับหนึ่งส่งยิ้มไม่สะทกสะท้าน แถมยังเดินหันหลังออกจากห้องไปหน้าตาเฉย ผ่านไปไม่กี่นาที ก็กลับขึ้นมาพร้อมแก้วใบเดิมที่บรรจุน้ำแดงเต็มขอบ อดจะเตือนไม่ได้
“อย่าดื่มน้ำหวานให้มันมากนัก”
“ทำไมอะครับ”
“มันไม่ดีต่อสุขภาพ นายจะอ้วน แล้วก็ฟันผุด้วย”
คนตัวเล็กย่นคิ้ว สีหน้ารั้นๆ เหมือนเด็กเอาแต่ใจทำเอาเขาอยากลุกไปดึงพวงแก้มอูมๆ ที่กำลังอมน้ำแข็งเล่น ไม่คิดจะฟังกันเลย
“พี่เสาร์เป็นพ่อผมเหรอครับ”
เขาหรี่ตามองเด็กตรงหน้าที่คงจะไม่รู้เลยว่าไม่ควรพูดคำนั้นออกมา เพราะมันจะทำให้ความอดทนที่จะใจเย็นของเขาขาดผึ่ง ช่างต่อล้อต่อเถียงนัก น่าลงโทษให้รู้สำนึกซะบ้าง
“ไม่ใช่พ่อหรอก” เสียงทุ้มฟังดูเย็นเยียบ ขายาวลุกออกจากเก้าอี้ทำงาน ย่างเข้าไปใกล้คนบนเตียงที่ไม่ทันแม้แต่จะเขยิบตัวหนี ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างยันฟูก พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนน่ากลัวว่าจะมีใครหยุดหายใจไปก่อนหรือเปล่า
ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับสันกรามเจ้าของร่างสั่นระริก เสียงน้ำแข็งในแก้วไหวคลอนไปมาไม่ได้ทำให้เขานึกอยากจะหยุด
“นายก็รู้นี่” เขากระซิบ ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นทาบลงกับซอกคอหอมอ่อนๆ
มือใหญ่คว้าเอาแก้วน้ำในมืออีกฝ่ายมา เอื้อมวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟหัวเตียง น้ำหวานสีสดกระฉอกเปื้อนไปตามซอกนิ้ว ทำให้เขาต้องผละออกจากผิวเนื้อเนียนละเอียด เพื่อเลียคราบเลอะบนมือตัวเองออก หากว่าแววตาคู่คมยังคงจับจ้องไปที่เด็กดื้อตรงหน้าซึ่งบัดนี้เอาแต่เม้มปาก หลับตาปี๋ ไม่เห็นจะพูดมากเหมือนเดิม
วันเสาร์คว้าหมับเข้ากับท้ายทอยชื้นเหงื่อ เรียวลิ้นหนาแลบเลียริมฝีปากน้อยๆ อย่างกับว่าห้ามตัวเองไม่อยู่ คนตัวเล็กพยายามถดหนี แต่ยิ่งขยับถอยหลัง ก็ยิ่งถูกรุกไล่เข้ามาใกล้มากเท่านั้น สายตาดุจอสรพิษที่แฝงตัวมาในคราบของชนชั้นผู้ดีทำเอานับหนึ่งไหวหวั่น
ดวงตาสีนิลเข้มเลื่อนมองริมฝีปากแดงฉ่ำจากน้ำหวานเมื่อครู่ เขาชั่งใจอยู่นานพอตัวกว่าที่จะละสายตาออกไปสนใจเรียวขาขาวๆ ที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นตัวบาง
“พะ…พี่เสาร์” เสียงสั่นร้องห้ามยามที่มือซุกซนเริ่มชอนไชผ่านเข้าไปด้านในสาบเสื้อ “อย่าครับ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็ไม่เต็มใจให้ทำไอ้เรื่องอย่างว่าอยู่ดีนั่นแหละ!
“แล้วไง”
จบคำพูดนั้น เขาก็ถูกผลักให้นอนราบ เสื้อบนตัวเลิกขึ้นสูง ติ่งไตสีหวานถูกครอบครองด้วยโพรงปากอุ่น สองมือยกขึ้นปิดปากสะกดกลั้นเสียงครางฮือในลำคอ ใบหน้าเนียนแดงซ่านดั่งลูกมะเขือเทศสุกง่อมพร้อมเก็บเกี่ยว ขอบตาปรือ หยดน้ำใสเอ่อคลอเบ้าด้วยความอายหรือกลัวก็ไม่ทราบ
แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างเป็นทิวทัศน์ที่ถูกใจคุณชายวันเสาร์ไม่น้อย ถึงขนาดว่าทำให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นลูกไฟกองยักษ์ เตรียมพวยพุ่งเข้าไปหยอกล้อกับเจ้าลูกเจี๊ยบตัวลีบที่ตอนนี้กลับปิดปากแน่นสนิท สลัดคราบเด็กดื้อไปจนเกือบหมดสิ้น
“อ..อืออ”
ปลายลิ้นแตะประโลมสลับกับฟันหน้าซี่คมที่ขบเบาๆ ไปตามแผงอก ค่อยๆ ตีหัวแล้วลูบหลังอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนร่างด้านใต้เริ่มบิดเร่าโต้ตอบ น้ำเสียงกระเส่าหลุดรอดออกจากปากเยลลี่อิ่มน้ำที่ไม่ว่าจะเหลือบมองเมื่อไร ก็นึกอยากตรงเข้าไปกัดเมื่อนั้น หากว่าอะไรบางอย่างในส่วนลึกของใจเขา ยังไม่เปิดออกมากพอที่จะฝากร่องรอยแสนลึกซึ้งไว้ให้กับอีกคนตรงหน้า
“อ๊ะ พี่เสาร์ ย..อย่ากัดครับ”
คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าการยิ่งห้าม มันก็เท่ากับการยิ่งยุ เขาตัดสินใจดึงเสื้อยืดเกะกะขวางทาง เขวี้ยงออกไปนอนเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่บนพื้น ตรงเข้างับหัวไหล่มนเป็นอันดับแรก ตามด้วยเสียงกุกกักแปลกๆ ที่แทรกผ่านเข้ามากับเสียงร้องปนสะอื้น
แกร๊ก
ลูกบิดประตูทำงาน พร้อมกับแขกไม่ได้รับเชิญถึงสองชีวิตที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในห้องนอนอย่างเสียมารยาท
“เฮ้ย!” เจนภพสะดุ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะหยอกล้อ “โหย เข้ามาขัดจังหวะ โทษทีว่ะ”
นับหนึ่งรีบก้มหน้างุด พรวดพราดลงจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อขึ้นสวมกลับด้วยความรวดเร็ว ได้ยินวันเสาร์สบถใส่เพื่อนตัวเอง ก่อนจะลุกจัดคอเชิ้ต ตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มาทำเหี้ยไร”
“หูยๆ ๆ เกรี้ยวกราด”
“ไอ้เจ” เจ้าของบ้านกดเสียงต่ำเป็นคำเตือน เหลือบมองเพื่อนสนิทอีกคนซึ่งดูท่าทางเป็นห่วงเด็กในปกครองของเขาซะออกนอกหน้า
“ก็มาคุยเรื่องร้านไง มึงลืมเหรอ”
วันเสาร์ไม่ตอบ แล้วเดินผ่านหน้าทุกคนลงไปยังบันได เจนภพยักคิ้วให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้หนีไปนั่งจุมปุกอยู่บนเก้าอี้ทำงาน แล้วหันหลังตามผู้ร่วมหุ้นลงไปด้านล่าง ขณะที่นาวากลับก้าวขาเข้ามาใกล้ ความห่วงใยเจือปนชัดเจนในน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“หนึ่ง โดนไอ้เสาร์แกล้งรึเปล่า”
ฝ่ายถูกถามรีบส่ายหน้า ทั้งที่พวงแก้มยังคงขึ้นสีระเรื่อ “ป..เปล่าครับ”
“ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้นะ”
เขาพยักหน้า พร้อมกับคลี่ยิ้ม นาวาแตะมือลงบนศีรษะเขาน้อยๆ ก่อนก้าวขาออกไปจากห้อง ยังคงทิ้งคำถามเดิมไว้ในหัว ว่าพี่ชายใจดีแสนอบอุ่นคนนี้มาเป็นเพื่อนซี้กับคนไร้หัวใจคนนั้นได้ยังไงกันแน่
เมื่อแน่ใจแล้วว่าทางปลอดโปร่ง เขาถึงเดินไปหยิบแก้วน้ำหวานกลับขึ้นมาดื่มต่อจนหมด ก่อนจะปล่อยตัวเองลงนอนแผ่อยู่บนเตียง รอเวลาที่วันเสาร์จะขึ้นตามจิกหัวใช้ให้ไปชงกาแฟ ไม่ก็กวาดสวนเป็นเพื่อนลุงชัย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกปีบที่เขาเก็บมาประดับไว้บนโต๊ะทำงานเจ้าของห้อง ทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย จวนเจียนจะหลับ หากก็ต้องสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ๆ ประตูไม้ก็ถูกกระชากออกอย่างรุนแรง
พร้อมกับสีหน้าหงุดหงิดของคนในความคิด ซึ่งเขานับว่าเป็นหนึ่งในลางร้าย
“ลงไปข้างล่าง”
“ไปทำไมครับ”
“ไอ้วาบอกว่าอยากเจอนาย”
“พี่นาวาเหรอครับ”
คนตัวเล็กลุกออกจากเตียงทันทีที่ได้ยิน และก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดอีก วันเสาร์ถึงยิ่งตีหน้าเป็นยักษ์ขมูขีกว่าเดิม เราสองคนเดินลงมาด้านล่าง ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไปข้างนอก
รถยนต์สีน้ำเงินคันเดิมจอดขวางประตูอัลลอยด์ พร้อมผู้ชายร่างสูงสวมแว่นกรอบบางที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากเบาะหลัง เสียงฝีเท้าของเขาคงทำให้นาวารู้สึกตัว ถึงได้รีบโผล่ศีรษะออกมาส่งยิ้มให้เป็นการทักทายอีกครั้งของวัน ในมือมีกล่องพลาสติกใสขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองทะลุถึงก้อนกลมๆ สีทองอร่ามไปทั่วทั้งถาด
“พี่ซื้อมาฝาก” กล่องปริศนาถูกยัดใส่มือเขาอย่างจงใจ มันคือช็อคโกแลตยี่ห้อดังที่เขาเคยเห็นวางขายตามห้างฯ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้กิน ถึงแม้ว่าจะเกรงใจมากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสุขเหมือนกัน
และดวงตาเป็นประกายของเขาก็คงซ่อนความรู้สึกไม่มิดเอาเสียเลย อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มกว้างท่าทางเอ็นดูขนาดนั้น “ขอบคุณมากนะครับ แต่จริงๆ ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ผมก็ได้”
“ไม่เป็นไร พี่เต็มใจ”
เขาก้มหัวลงซ้ำสอง ยืนโบกมือลาจนรถยนต์คันสวยขับออกไปพ้นซอย ขาเรียวก้าวกลับไปยังประตูบ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามีรูปปั้นซาตานยืนกอดอกรอหาเรื่องอยู่แล้ว
“นั่นอะไร” เดาไม่เคยผิดว่าต้องถาม
“ช็อกโกแลตครับ พี่วาซื้อมาให้”
วันเสาร์แย่งกล่องขนมในมือไปหน้าตาเฉย หัวคิ้วหนาขมวดยุ่งจนเขาชักกลัวว่ามันจะผูกเป็นโบเลยหรือเปล่า เสียงแว่วทุ้มต่ำดังลอดลำคอทวนคำว่า ‘พี่วา’ ที่เขาเพิ่งพูดไปอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก พอเขายื่นมือออกไปจะขอของฝากตัวเองคืนเท่านั้นแหละ วันเสาร์ถึงกับจิ๊ปาก ก่อนจะปากล่องพลาสติกลงพื้นไม่ใยดีเลยสักนิด
เสียงตกกระทบดังลั่นจนพี่ละไมที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งเข้ามาดู เธอยังไม่ทันถาม ก็เป็นเขาเองที่ขึ้นเสียงใส่คนเป็นนายซะก่อน
“พี่เสาร์! ทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันไม่อนุญาตให้นายรับของจากคนอื่น”
“ห้ะ?” นับหนึ่งส่ายหัวเร็วๆ พยายามจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่พี่วาเป็นเพื่อนพี่เสาร์นะครับ”
“เพื่อนฉัน ก็เป็นคนอื่นสำหรับนาย”
คำพูดนั้นมันทำให้เขาหน้าชา ได้ยินเสียงพี่ละไมคอยปรามแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะความโกรธที่กำลังแล่นขึ้นสมอง สองมือกำหมัดแน่นเมื่อคิดว่าวันเสาร์กำลังดูถูกดูแคลนเขามากแค่ไหน นาวาก็เป็นคนอื่นสำหรับเขา งั้นพี่ละไม พี่ละเมียด ลุงชัย ทุกคนก็คงเป็นคนอื่นสำหรับเขา เพราะในชีวิตนี้นอกจากตัวเอง เขาก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว
ไม่มีเลย ใครสักคนที่จะไม่ใช่คนอื่นสำหรับเขา…
“งั้นพี่เสาร์ก็เป็นคนอื่นสำหรับผมเหมือนกัน” โทรศัพท์มือถือราคาแพงถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ยัดใส่มือคนที่เคยซื้อมันให้ เขารีบเงยหน้ากลั้นน้ำตาพลางสาวเท้าไวๆ ไปทางบันได
เสียงฝีเท้าหนักๆ ไล่ตามหลัง พร้อมพี่ละไมที่พยายามจะห้ามแต่ก็ไร้ผล “คุณเสาร์ อย่าทำอะไรคุณหนึ่งเลยนะคะ คุณเสาร์!”
เขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่กล้าทำอะไรลงไป และในวินาทีที่คิดว่าหนีพ้น กลับมีมือใหญ่แทรกช่องว่างของประตูเข้ามาทันแบบฉิวเฉียด วันเสาร์กดสายตาจ้องเขาด้วยความโกรธ และดูเหมือนจะโกรธมากกว่าทุกครั้งที่เคยพบเจอมาซะด้วย
บานประตูหนักอึ้งเพราะแรงดันจากอีกฟากฝั่ง ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกจนคนตัวสูงขยับเข้ามาด้านในได้สำเร็จ วันเสาร์เอี้ยวตัวกดล็อกกลอน ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาผลักเขาล้มลงบนเตียงตามสูตร แค่นี้ก็พอจะเดาอนาคตตัวเองออกได้ไม่ยาก
“พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลอะ” หมัดลุ่นๆ หากว่าอ่อนแรงปะทะกับบ่าแกร่งตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้สนใจคำตัดพ้อต่อว่ามากเท่ากับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวเขา
ฟันซี่คมขบลงกับหัวไหล่ ไล้ลงมาถึงแผ่นอกบางชื้นเหงื่อ ร่องรอยแดงช้ำถูกฝากไว้แทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน ห่างไกลจากคำว่ากระตุ้นอารมณ์ กลับเต็มไปด้วยความรุนแรงและหยาบโลน แม้ว่าหยดน้ำตาของเขาจะทำให้คนด้านบนสะดุด แต่มันก็แค่เสี้ยววินาที ก่อนที่บทลงโทษไม่หอมหวานจะเริ่มต้นขึ้น
จมูกแดงรั้นสูดน้ำมูกแรงๆ น้ำเสียงเครือครางดังแผ่ว “พี่วาใจดี ไม่เหมือนพี่เสาร์เลย”
ฝ่ามือหยาบกระด้าง แต่อาจจะน้อยกว่าอวัยวะส่วนหัวใจอยู่สักหน่อย ดันข้อพับขาเขาขึ้นสูง ลมจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องลอดผ่านช่องทางด้านหลัง ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน คำพูดแสนเย็นชาเสียดแทงดังอยู่เพียงข้างใบหู
“ใช่ ฉันไม่ได้ใจดี นายก็รู้หนิ”
ความคับแน่นใหญ่โตพรวดพราดเข้ามาในกายโดยไร้ซึ่งคำเตือน กลิ่นคาวจางๆ คลุ้งออกมาจนเขาถึงกับเบิกตากว้าง มือจิกกำผ้าปูที่นอนจนยับย่นไม่มีชิ้นดี รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ไม่เคยอ่อนโยน แต่การดึงดันเข้ามาทั้งที่ยังไม่เหลือเวลาให้เขาเตรียมตัว หรืออย่างน้อยก็เตรียมใจ มันแทบจะเรียกว่า อำมหิต
แรงกระแทกฝืดเคืองนำพาเพียงความเจ็บปวด เขาเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ เสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงสะอื้นดังไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาหลายชั่วโมง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหนื่อยจนสลบไปอยู่หลายคราว แต่ก็จะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมารับฝันร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นอย่างนั้นสลับไปมาจนแทบไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ
ไม่อยากจะเชื่อ…ว่าเมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่า วันเสาร์ใจร้าย มันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังใจร้ายได้มากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าบอกว่าพี่เสาร์ใจร้ายที่สุด นั่นคือคำพูดที่ผิด เพราะความจริงมันยังไม่ใช่ที่สุด
วันเสาร์ยังใจร้ายได้มากกว่านี้ ใจร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาชักสงสัยว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน
หรือก็จะใจร้ายไปตลอดกาลเลย…?
--------------------------------------------------------------------------------
โอ้โหหหห ไบโพล่าชั่ยมั่ยชั่ย?? เริ่มสงสัยแล้วว่ากรุงเทพอากาศหนาว กับพี่เสาร์เลิกใจร้าย อะไรจะเกิดก่อนกันคะ 555555 เอเวง ลุงแลงกะน้องหรออิพี่มึง //กำมีดแน่น
กราบขอบคุณทุกกำลังใจจากมิตรรักนักอ่านทุกท่านนะคะ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ ทุกวิว ทุกคอมเม้น ทุกแชร์ ทุกทวิต เราตามส่องตามอ่านหมด มันเป็นพลังที่ทำให้เรายังแต่งต่อไปได้ T^T ยังไงก็ขอฝากให้เอ็นดูน้องหนึ่งอีกเยอะๆ แล้วอย่าลืมล่อลวงเพื่อนๆ เข้ามาอ่านกันด้วยนะคะ 5555555555
ชาวทวิตภพติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ เพื่อโอ๋น้องและด่าทออิพี่ได้ตามสะดวก ข่อมข่าาา