✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22  (อ่าน 15902 ครั้ง)

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

' จากเด็กเล้า กลายมาเป็นเด็กเขาเฉยเลย '


                       

     

               
 



ชีวิตคนหนึ่งคนจะโชคร้ายได้มากแค่ไหน?

เขาโชคร้ายที่ญาติคนสุดท้ายเสียไป แถมทิ้งหนี้ไว้ให้ชดใช้ จนต้องมากลายเป็นเด็กในเล้า

โชคร้ายกว่า คือการถูกขายให้กับผู้ชายไม่มีหัวใจ

 

และโชคร้ายที่สุด คือการไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น.....

.

.

นับหนึ่ง ถึง เสาร์

-----------------------------------------------------------



-----------------------------------------------------------

✖ หมายเหตุ : อัพเดือนละ 2-3 ครั้ง ✖

เรื่องราวต่อจากคู่ กันต์-วันศุกร์ นะคะ
วันศุกร์สีฟ้า ☁

-----------------------------------------------------------

บ่นหอยปูปลา :
https://www.facebook.com/aonair13/
https://twitter.com/aonair13

-----------------------------------------------------------

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2020 23:22:29 โดย aonair13 »

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
**
ก่อนจะอ่าน "นับหนึ่งถึงเสาร์" เราอยากให้ไปตามอ่าน "วันศุกร์สีฟ้า" ก่อนนะคะ แล้วจะเข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้นค่าา


#วันศุกร์สีฟ้า ☁️
RAW: https://www.readawrite.com/a/d62654cfdf70447dd166d9408292a763
FTL: https://fictionlog.co/b/5bb1e6b833e1740028b7d1f7
DD: https://writer.dek-d.com/airairair13/writer/view.php?id=1490777
TBL: https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54561.0


---------------------------------------------------------------------


นับหนึ่ง ถึง ศูนย์



รถตู้สีดำสนิทเคลื่อนตัวผ่านตรอกซอยภายในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ คฤหาสน์มหึมาของพวกเหล่ามหาเศรษฐีไม่ได้เร้าอารมณ์ให้คนบนเบาะรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด กลับกัน ภายในสมองของเขาว่างเปล่า สายตาเรียบเฉยก้มมองเชือกเส้นหนารอบข้อมือทั้งสองของตัวเอง ได้แต่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะถูกมือของผู้หญิงวัยกลางคนกระชากเข้าหา

“ทำหน้าตาให้มันดี ๆ หน่อย”

“แล้วผมหน้าตาไม่ดีตรงไหนครับ” เขายอกย้อนทันควัน ตามด้วยแรงฟาดกลางหลังไม่แรงนัก

“รู้แล้วจ้าว่าหน้าตาดี คงถูกใจลูกค้าวันนี้พอดูเลย”

ลูกค้าวันนี้… อา นั่นสิ มันใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสินะ งานแรกของเขาในฐานะของเด็กขาย

ใช่ เขามาขายตัว

มันไม่ใช่อาชีพที่เต็มใจเดินแบกหน้ามาหา แต่ถูกบังคับให้ทำ เพราะป้าของเขาติดหนี้ก้อนโตจากเจ๊เจ้าของตลาดกลางเมือง ตามพล็อตละครไทยทั่วไป ทันทีที่เขาจบการศึกษาชั้นม.6 ป้าก็มาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วยังไงต่อเหรอ แน่นอนว่าเจ้าหนี้ก็ต้องตามมาทวงหนี้น่ะสิ พอเขาไม่มีให้ มันก็จัดการเผาบ้านโทรม ๆ ของเขาจนวอดทั้งหลัง ฉุดลากให้มาทำงานด้านมืดเพื่อชดใช้ แม้ว่าจะพยายามขัดขืนหรือหนียังไง ก็หนีไม่พ้น…

โชคชะตาอันแสนโหดร้ายของผู้ชายชื่อ นับหนึ่ง คนนี้ มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“เจ๊หมวย แล้วลูกค้าวันนี้เป็นใคร?” ชายร่างเขื่องด้านหน้าถามขึ้น

“ชื่อวันเสาร์ เพื่อนน้องเจ”

“อ๋อ เด็กพวกนั้นเองเหรอ ก็ถือว่าโชคดีนะ”

“โชคดี?” นับหนึ่งทวนเสียงสูง ไม่อยากจะเชื่อหูว่าคำคำนี้จะหลุดออกจากปากของคนที่กำลังพาเขาไปทำงานผิดกฎหมาย วงการนี้ไม่ควรมีคำว่าโชคดี มันจะโชคดีได้ยังไงในเมื่อจะต้องไปนอนอ้าขาให้คนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้

โชคดีกับผีล่ะสิไม่ว่า

“เออ โชคดี” เจ๊หมวยบีบต้นแขนเขาไว้ “เด็กพวกนี้ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาฐานะก็ดี แกมีโอกาสได้นอนกับเขาก็นับว่าเป็นบุญหัวแกแล้วไอ้หนึ่ง”

“ผมว่าตรรกะเจ๊ป่วย”

คราวนี้ฝ่ามือเหี่ยวย่นกระแทกลงกลางศีรษะอย่างไม่ออมแรง ตามด้วยเสียงสบถหยาบคาย และเสียงหัวเราะจากคนอื่น ๆ ในรถ

“รอเจอก่อนเถอะ ขี้คร้านจะรีบวิ่งเข้าไปเสนอตัวให้เขา”

เจ้าของดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเบือนหนีไปอีกทาง เขาอยากปิดหูไม่รับรู้คำพูดคำจาน่ารังเกียจที่ดีแต่จะดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถ้าจะให้อธิบายนิยามต่อเจ๊หมวยกับพรรคพวก มันก็คือคำว่าเกลียด หรือหากมีคำไหนที่ยิ่งกว่าเกลียด ก็คงจะเป็นคำนั้น

ไม่นานนัก วงล้อรถก็หยุดตัวลงหน้าบ้านเดี่ยวหลังโต การตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทำให้สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าไม่ได้ดูโอ่อ่าน่ากลัวมากเท่ากับหลังอื่น ๆ ก่อนนี้

คนในชุดคล้ายบอดี้การ์ดเป็นคนคุมตัวเขาลงมาจากรถ เจ๊หมวยวิ่งโร่ไปกดกริ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขัดกับบรรยากาศอึมครึมของคืน มีแม่บ้านท่าทางเจื่อน ๆ เดินออกมาเชิญให้พวกเราทั้งหมดเข้าไปด้านใน แสงไฟสีขาวสลับส้มมันทำให้เขาแสบตา

“เจ๊หมวย หวัดดีครับ”

“ว่าไงน้องเจ” ชายหนุ่มอายุไม่น่าเกิน 25 ปี ก้าวเข้ามาทักทายเป็นอันดับแรก ปฏิเสธไม่ลงว่าหน้าตาดีอย่างว่าจริง ๆ ดีจนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าจะมาคอยหาเศษหาเลยจากธุรกิจลับหลังของเจ๊หมวย ทั้งที่ดูท่าน่าจะมีเด็ก ๆ มากมายพร้อมเรียงหน้าเข้ามาให้เลือกโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท

แต่ว่าคนนี้ไม่ใช่แขกของเขา

“คนนี้เหรอครับ นับหนึ่ง” สายตาเรียวก้มมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พลางยกยิ้ม

“ใช่ เป็นไง สด ๆ ซิง ๆ เลยนะ”

“น่ารักครับ แบบนี้ไอ้เสาร์ชอบแน่”

“แล้วไหนล่ะวันเสาร์?”

พูดไม่ทันขาดคำ ผู้ชายอีกคนก็เดินออกมาจากห้องด้านใน บรรยากาศรอบ ๆ ตัวคนนี้ ดูเย็นชา น่ากลัว แต่ถ้าให้พูดถึงความหล่อเหลาก็คงตัดสินได้ยาก เพราะสูสีกันแทบจะทุกส่วน ยิ่งชวนสงสัยหนักกว่าเดิมว่าคนที่ครบเครื่องขนาดนั้น จะมาหาซื้อเด็กผู้ชายอย่างเขาไปทำไม…แต่!

แต่!! เดี๋ยวก่อนนะ…

ดวงตากลมเบิกกว้างแทบถลน เมื่อมองให้ดีโลกนี้ประหลาด ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสอะไรแน่ แต่เป็นนรกแกล้งกันมากกว่า เพราะเจ้าของชื่อ วันเสาร์ ลูกค้าของเขา ก็คือไอ้คนไร้จิตสำนึกที่เขาเคยขอร้องให้ช่วยพาหนีจากพวกเจ๊หมวย แต่นอกจากจะไม่แยแสแล้วยังจงใจปล่อยเขาทิ้งไว้เกาะกลางถนน จนชะตาที่ควรจะพลิกผันมันกลับไม่พลิกโผ ต้องมาทำงานขายร่างกายตัวเองอยู่แบบนี้ไง!

“วันเสาร์…” เขาเผลอก้าวถอยหนี แววตาโกรธเคืองจับจ้องไปยังใบหน้าไม่สบอารมณ์ซึ่งกำลังมองมาเช่นกัน “เจ๊ ผมจะกลับ”

“พูดบ้าอะไรของแก?”

“ไม่เอาคนนี้”

นับหนึ่งวิ่งไปหลบอยู่หลังบอดี้การ์ดตัวใหญ่กว่าสักสองเท่า แต่ก็ถูกเจ๊หมวยดึงกลับมาได้อยู่ดี น้ำเสียงดุต่ำดังลอดไรฟันแค่พอให้เขาได้ยินชัดเจน

“แกไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น”

เจนภพ หรือ เจ แขกประจำของเด็กในคลังเจ๊หมวยออกอาการงุนงงเมื่อเห็นทีท่าของคนตัวเล็ก เพราะปกติ แทบจะทุกคนที่พวกเขาเคยเจอ ต่างก็ชื่นชอบและหมายปองเดือนเด่นอย่างคุณชายวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ กันทั้งนั้น นี่อาจเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นคนตั้งท่ารังเกียจเพื่อนตัวเอง

และก็ยิ่งฉงนขึ้นสักร้อยเท่าพันเท่า เมื่อใบหน้าของคนข้าง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีพอใจกับสินค้าที่เขาอุตส่าห์สั่งคัดมาอย่างดีเท่าไรนัก ทั้งที่ไม่ว่าจะมองมุมซ้าย ขวา บน ล่าง เด็กตรงหน้าก็ล้วนแต่ตรงตามสเป็คอย่างที่วันเสาร์โปรดปรานไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดว่านับหนึ่งมีส่วนคล้ายกับใครสักคนอยู่มากทีเดียว…



วันศุกร์…

รักแรกและรักเดียวของผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์คนนี้



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2020 23:24:45 โดย aonair13 »

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง หนึ่ง



เมื่อวาน

“ห้าแสน!” เจ้าของบ้านเก่าซอมซ่อแผดเสียงดังลั่นจนแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามคนล้วนยกมือขึ้นปิดหูอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“ใช่ ป้าแกติดหนี้ฉันอยู่ห้าแสนบาท”

“เยอะขนาดนั้น ผมไม่มีเงินมาใช้เจ๊หรอก”

“ไม่มีไม่ได้!”

“ก็ไม่มีอะ ไม่มีแล้วจะให้ทำยังไง” เด็กน้อยโวยวายขณะตั้งการ์ดเพื่อป้องกันตัวเองจากเจ้าหนี้รายใหญ่

นี่คงเป็นหนึ่งในข่าวร้ายที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา นอกเหนือจากพ่อกับแม่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็ก คราวนี้ถึงตาคุณป้า ญาติคนเดียวที่มีก็ดันมาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจ แถมยังไม่ไปเปล่า ทิ้งหนี้กองโตไว้ให้เด็กอายุ 17 ย่าง 18 ได้ยังไงกัน โลกมันจะโหดเหี้ยมมากเกินไปแล้ว!

และก็คงไม่แย่เท่าไร หากว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่ เจ๊หมวย เจ้าของตลาดใหญ่ซึ่งใครต่อใครต่างรู้ดีว่าแกมีธุรกิจลับเป็นแม่เล้าส่งเด็กทั้งหญิงชายให้พวกเศรษฐีเอาไปใช้ระบายอารมณ์

“ถ้าไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องทำงานชดใช้”

“งานอะไร กวาดตลาดหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เอา”

“กวาดตลาดบ้านแก” หญิงวัยกลางคนตรงเข้ามาจิกหัวเขาอย่างกับเวลาคว้าไก่เตรียมเชือด “อย่ามาทำเป็นไขสือไอ้หนึ่ง แกก็รู้ว่างานอะไร”

“งานชั่วๆ”

“เออ! งานชั่วที่แกจะต้องทำ”

“ผมไม่ทำ!” นับหนึ่งยืนกรานแม้ว่าตอนนี้แค่จะยืนตรงๆ ยังทำได้ยาก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กผู้ชายวัยขบเผาะอย่างเขา ยังเรี่ยวแรงสู้หญิงหม้ายวัยสี่สิบกว่าไม่ได้

“ไอ้อ๊อด”

เจ๊หมวยกวักมือเรียกผู้ชายตัวใหญ่ด้านหลังเข้ามาสานต่อ ฝ่ามือกว้างรวบรั้งข้อมือทั้งสองของเขาไว้ ง่ายดายยิ่งกว่ายกหมูขึ้นเขียง เขาถูกบังคับให้นั่งสงบปากสงบคำอยู่แทบพื้น ขณะที่ลูกน้องอีกคนเริ่มสาดของเหลวบางอย่างในถังไร้ฉลากไปทางนั้นที ทางนี้ที

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากที่ไฟแช็กในมือหล่นลงกระทบคราบน้ำมัน เพลิงสีแดงสดก็โหมท่วมไปแทบทุกอณูของบ้านโทรมๆ เปลวไฟแผดเผาลุกลามอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา นับหนึ่งได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหิน อ้าปากค้าง สองมือกำหมัดแน่น ภายในใจของเขากรีดร้องอย่างสาหัสเมื่อคิดว่าแหล่งพักพิงหนึ่งเดียวกำลังจะหายลับไป ความทรงจำเลือนรางถูกย้อมด้วยสีแสดน่าเกรงกลัว กว่าจะทันรู้ตัว ก็ถูกมือหนากระชากออกไปขึ้นรถตู้ซึ่งจอดรออยู่นานแล้ว

กลิ่นไหม้กับไอร้อนพัดพาไปถึงบริเวณรอบข้าง เพื่อนบ้านที่ไม่เคยคุยกันหลายคนวิ่งโร่ออกมาดูสถานการณ์จ้าละหวั่น แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้อยู่รับรู้ว่าสุดท้ายแล้ว บ้านของเขา มันยังหลงเหลืออะไรบ้างไหม

นับหนึ่งถูกพาตัวมายังบ้านลับของเจ๊หมวย ถ้ามองจากภายนอกก็ดูเหมือนทาวน์โฮมปกติทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคือนรก มีเด็กมากมายหลายคนถูกกักขังไว้ที่นี่ในฐานะ สินค้า หรืออีกชื่อก็คือ เหยื่อกาม ของพวกลูกค้าเงินหนา เขารีบกลืนก้อนอะไรบางอย่างลงคอเมื่อเดินผ่านสายตาว่างเปล่าหลายสิบคู่ไปยังชั้นบนสุด แขนข้างหนึ่งถูกล่ามโซ่ล็อกติดกับเสา ไม่มีอะไรนอกจากพัดลมตัวสองตัวกับข้าวกล่องเย็นชืดให้พอประทังชีวิต

“คืนนี้แกจะต้องเริ่มทำงาน เข้าใจไหม?” เจ๊หมวยเดินมาหยุดลงตรงหน้า สายตาเหยียดหยามก้มมองเขาไม่ต่างกับหมูกับหมา

เขาเลือกที่จะไม่ตอบและอีกฝ่ายก็ไม่อยู่ถามต่อให้เสียเวลา เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้น สุดท้าย…ชะตาชีวิตของเขา ก็ต้องมาจบลงในเล้าเน่าเฟะแบบนี้น่ะเหรอ

ทำไม…ทำไมถึงได้โหดร้ายนัก



-----------------------------------------------



“เสี่ยทศพลใจดี แกไม่ต้องกลัว”

เจ้าหนี้ฝีปากจัดหันมาจัดแจงเสื้อผ้าของเขาให้ดูเข้าที่ ก่อนจะตบหลังเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาคงจะเชื่อว่าลูกค้าคนนี้ใจดี ก็ต่อเมื่อยอมปล่อยเขาไปเท่านั้นแหละ

“ลงมาได้แล้ว”

ลูกน้องในชุดสีดำสนิทชื่ออ๊อด ดึงแขนเขาลงจากรถ ก่อนจะลากเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์ขนาดกว้างขวางเกินกว่าจะบรรยายได้หมด ห้องโถงโอ่อ่าดูโล่งตา มีเพียงชุดโต๊ะเก้าอี้ลวดลายมังกรทองตั้งอยู่กลางห้อง

“เสี่ย สวัสดีค่า”

“สวัสดี มา นั่งก่อน” ผู้ชายร่างท้วม สีหน้าใจดี หากแววตากลับกรุ้มกริ่ม กวักมือเรียกพวกเขาเข้าไปใกล้

“นี่นับหนึ่งค่ะเสี่ย”

“อืม หน้าตาน่ารัก”

“น้องทำงานวันแรกนะคะ อาจจะยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ฝากเสี่ยเอ็นดูด้วย”

โห น้อง… เมื่อกี้ยังจิกหัวเรียกไอ้หนึ่ง อีหนึ่ง อยู่เลยอะคนเรา

เสี่ยทศพลหัวเราะร่วน คุยอะไรกับเจ๊หมวยต่ออีกแค่สองสามคำก็ถึงคราวล่ำลา อ๊อดฉุดเขาลุกจากพื้นหินอ่อน ก้มลงมากระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองคน

“อย่าดื้อกับเสี่ยล่ะ ไม่งั้นแกเดือดร้อนแน่”

“อ่าว ไหนบอกใจดี”

“ไอ้หนึ่ง” เสียงทุ้มกดต่ำพร้อมแรงบีบหนักๆ รอบต้นแขนทำเอาใบหน้าหวานเหยเก เจ๊หมวยเอื้อมมือมาลากตัวเขากลับไปยืนเก้กังอยู่ข้างเจ้าของบ้าน

“ปรนนิบัติเสี่ยดีๆ นะ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะมารับ” เธอยกมือไหว้ลูกค้าประจำ “ไปก่อนนะคะเสี่ย”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า แล้วหันมาโอบไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ รอยยิ้มน่ารังเกียจ กับสายตาแทะโลม มันทำให้เขาพะอืดพะอม ทุกๆ ย่างก้าวบนขั้นบันไดลาดยาวไปสู่ชั้นสองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก กลายเป็นห้องนอนหรูหราอย่างที่ในชีวิตนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้พานพบ

“หนึ่งนี่น่ารักมากจริงๆ เลยนะ” หลังมือกร้านตกแต่งด้วยแหวนทองคำกับเพชรพลอยไม่รู้กี่กะรัต ลูบไปตามโครงหน้าเรียว “ผิวก็ดี”

“หอมอีกต่างหาก”

ขอบตาร้อนผ่าวยามที่ปลายจมูกคนของรุ่นพ่อแตะฝังลงบนลาดไหล่ ขนอ่อนลุกชัน พอๆ กับหัวใจที่กำลังถูกบีบรัดจากความขยะแขยง สายตาพรั่นพรึงกลอกมองไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะไม้ขายาว อะไรบางอย่างส่งให้ปากของเขาขยับ

“เอ่อ…เสี่ยครับ”

“หืม?”

“คือผม…ผมหิวน้ำ ขอดื่มน้ำได้ไหมครับ” เสี่ยทศพลมองตามปลายนิ้วไปทางชุดน้ำชาเซรามิค ก่อนจะพยักหน้า

ร่างเล็กเม้มปากแน่น ค่อยๆ เอื้อมมือไปทางแจกันลายครามใกล้หัวเตียง แววตาสั่นไหวจับจ้องไปยังแผ่นหลังเจ้าเนื้อ ทันทีที่รวบแจกันมาไว้ในมือได้ นับหนึ่งก็รีบลุกขึ้น ทว่าเงียบเชียบที่สุด ขาเรียวก้าวยาวๆ ไปยังภาพเบื้องหน้า สองมือกอบกุมภาชนะราคาแพง เงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนจะ…

ลมหายใจหยุดลงเพียงชั่ววินาทีหนึ่ง เขาได้ยินเสียงดังปั่ก ตามด้วยเสียงเพล้ง และตอนนี้มันก็กำลังกลายเป็นเสียงฝีเท้าหนักๆ แทน

“ไอ้เด็กเวร!”

เสี่ยทศพลคำราม มือกุมศีรษะอาบเลือด พยายามวิ่งตามไอ้ตัวดีที่สับเท้าวิ่งแจ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเจ็บปลาบขึ้นสมองก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเขามีจำกัด มือป้อมคว้าเอามือถือ กดเบอร์โทรออกหาคู่ค้าเจ้าของตลาด

“เจ๊หมวย!” เขากระชากเสียงด้วยความเดือดดาล

“มีอะไรคะเสี่ย?”

“ไอ้นับหนึ่ง”

“ทะ ทำไมคะ?”

“มันหนีไปแล้ว!”

“ห้ะ!” คนปลายสายหวีดร้อง รีบหันไปสั่งลูกน้องกลับรถทันที

ในขณะเดียวกัน คนหลบหนีที่ว่าก็เอาแต่วิ่งไม่คิดชีวิตจนออกมาถึงหน้าถนนใหญ่ อาการหอบเหนื่อยไม่ได้ทำให้เขาพร้อมจะหยุด ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าจะปลอดภัย แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าตามแนวฟุตบาทพอจะช่วยให้ทัศนวิสัยชัดเจนขึ้นบ้าง

ตึ๊ง ตึ่ง

ดวงตากลมสั่นระริกหันไปมองตามเสียงประตูของร้านสะดวกซื้อ สองจิตสองใจว่าควรจะเข้าไปหลบในนั้น ตามคำกล่าว ที่ที่อันตรายที่สุด ก็คือ ที่ที่ปลอดภัยที่สุด ดีไหม

“หนึ่ง…”

คนตัวเล็กหันขวับไปตามเสียงของผู้หญิงแปลกหน้า เลือดในกายสูบฉีดรัวแรง พอๆ กับหัวใจที่กำลังเต้นถี่รัวจนแทบกระดอนออกมานอกอก ถ้าถูกจับได้เขาจะต้องตาย ต้องตายแน่ๆ

“หนึ่งร้อยได้ไหม”

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าเธอเพียงแค่ต่อรองราคามะม่วงอยู่กับพ่อค้าข้างทางเท่านั้น นับหนึ่งกลอกตาไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อให้แน่ใจว่ายังไม่มีใครตามมา เขาเผลอยกนิ้วโปงขึ้นกัดเล็บระบายความเครียด ในหัวเต็มไปด้วยเสียงเรียกหลอกหลอนจนขนในกายลุกชัน สองเท้าย่ำไปมากับทีไม่เป็นสุข

ปัง

อีกเสียงที่ดังลอดเข้ามาในโสตประสาทก็คือเสียงปิดประตู รถยนต์สีเทาขัดมันท่าทางมีราคาจอดตัวลงหน้า 7-11 ผู้ชายร่างสูงโปร่งเดินถือกระเป๋าเงินกับกุญแจผ่านหน้าเขาไป

ไม่ได้กดล็อกประตู…



-----------------------------------------------



“นี่สรุปว่าศุกร์จะไปอยู่บ้านมันถาวรเลยใช่ไหม” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียวหล่อเหลา ผิวขาวอมเหลืองเปล่งปลั่งอย่างผู้ดี หากแววตาสีนิลนั้นกลับไร้สิ้นซึ่งความสดใส มือข้างหนึ่งยึดโทรศัพท์เครื่องบางแนบหู อีกข้างเปิดขวดน้ำขึ้นดื่ม

“โธ่ พี่เสาร์ อย่างอนศุกร์เลยนะ เดี๋ยวศุกร์ก็กลับไปเยี่ยมบ่อยๆ”

“เดือนละครั้งนี่บ่อยเหรอศุกร์”

“แต่เราก็คุยโทรศัพท์กันทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ”

“พี่อยากเจอหน้าศุกร์มากกว่า” น้ำเสียงราบเรียบแอบแฝงความน้อยใจเต็มเปี่ยม คนปลายสายอึกอัก ก่อนจะพยายามเนียนเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วนี่พี่เสาร์กลับถึงบ้านรึยังครับ”

“ใกล้จะถึงแล้ว งั้นพี่ขับรถก่อนนะศุกร์ ค่ำๆ จะโทรไปอีกรอบ”

“โอเคครับ ขับรถดีๆ นะพี่เสาร์”

“ครับ”

เขากดวางสาย ทิ้งมือถือไว้บนเบาะข้างคนขับโล่งเปล่า รถยนต์คันสวยเคลื่อนสู่ถนนใหญ่ มุ่งกลับบ้านในค่ำคืนที่แสนเงียบเหงาอีกคืน…มันผ่านมาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ที่น้องชายของเขาหนีไปมีคนรัก นับแต่วันนั้น สถานะของเขามันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นแค่คนอื่นอย่างห้ามไม่ได้

และแม้ว่าจะทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจให้ตายยังไง ก็รู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าเป็นแค่ พี่ชายเท่านั้น…

เอี๊ยดด

พื้นรองเท้าหนังเหยียบเบรกสุดขาเมื่อมัวแต่ใจลอยจนเกือบไม่ทันเห็นไฟจราจรที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดง โชคดีไม่มีรถตามหลังในระยะประชิด แต่โชคร้าย…เขากลับได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่ควรได้ยินเข้าซะนี่

“โอ้ย”

ใช่…เสียงร้องโอ้ย ในวินาทีที่รถหยุดตัวลงกะทันหัน เขาฟังไม่ถนัดนักว่ามันผู้ชายหรือว่าผู้หญิง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่ควรได้ยิน โดยเฉพาะในเวลาฟ้ามืดแบบนี้ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าตัวเองค่อนข้างจิตแข็งและไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หากก็ไม่ถึงกับลบหลู่

ดวงตาเรียวกลอกไปทางกระจกซ้าย ย้ายมากระจกขวา ก่อนจะค่อยๆ เหลือบขึ้นจ้องกระจกมองหลังให้ดี มีเงาแปลกๆ ราวกับจะเคลื่อนตัวเพียงไหวๆ อยู่บริเวณพื้นรถด้านหลัง วันเสาร์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ตัดสินใจหันกลับมาตั้งสติอยู่กับถนนเบื้องหน้าเมื่อไฟดวงโตกลายเป็นสีเขียว

วงล้อรถยังคงเคลื่อนตัวตามปกติ คนหลังพวงมาลัยได้แต่คิดในใจว่าเขาอาจเพียงแค่หูแว่วตาฟาดไปเท่านั้น และก็คงคิดแบบนั้นไปจนตลอดทางกลับถึงบ้าน หากไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงอื่นดังขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าเก่า

“ฮัดชิ่ว!”

ผีเป็นหวัด?

วันเสาร์เหยียบเบรกอีกครั้งหลังจากเลี้ยวเข้ามาในซอยย่อยใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน แถวนี้พอมืดแล้วก็เริ่มไม่มีรถราผ่านไปมาเท่าไรนัก ทำให้เขากล้าจอดรถเอากลางถนนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครตามมาด่าพ่อ สายตาดุคมเงยมองกระจกบานเดิม เงาประหลาดที่ว่ายังคงอยู่

ในที่สุดเขาก็พรวดพราดลงจากรถ กระชากประตูหลังออกอย่างแรงเพื่อพบกับแววตาสั่นระริกที่กำลังจ้องกลับมาอย่างตื่นกลัว มือใหญ่คว้าดึงข้อมือบางให้ออกมาเผชิญหน้ากันบนถนน

ไม่ใช่ผี แต่ว่าเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ท่าทางปอนๆ เนื้อตัวมอมแมมชื้นเหงื่อ

“นายเป็นใคร? มาอยู่บนรถฉันได้ยังไง?”

“ผะ ผมขอโทษ แต่ผมกำลังหนี”

“หนี?” วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว

“มีคนกำลังตามล่าผม พี่ช่วยผมด้วย ช่วยผมหน่อยนะ” เด็กแปลกหน้าพยายามเข้ามาจับแขนเขาไว้ แต่ก็ถูกสะบัดออก พร้อมสายตาดูแคลน

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

“พี่ต้องช่วยผมนะ ถ้าพวกมันหาผมเจอ ผมต้องตายแน่”

คนตัวสูงใช้นิ้วกดนวดขมับสองสามที ไม่รู้ว่าที่กำลังเจออยู่นี่มันวุ่นวายน่ารำคาญมากกว่าผีอีกหรือเปล่า แต่แค่คำพูดจากเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ใครเขาจะเชื่อลง ยิ่งมาหลบในรถคนอื่นได้ยังไงไม่รู้แบบนี้ ถ้าเกิดเป็นโจรหรือแก๊งต้มตุ๋นจะไม่แย่เหรอ

“จะไปเล่นที่ไหนก็ไป ไป” วันเสาร์โบกมือไล่ หันหลังกลับไปทางรถยนต์ แต่ยังไม่ทันได้เอื้อมถึงประตูก็ถูกวงแขนบางตรงเข้าสวมกอดซะก่อน

“นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่ต้องช่วยผมจริงๆ”

“บอกให้ออกไปไง”

“พาผมหนีที”

“ออกไป!” เส้นความอดทนขาดผึ่ง เขาแกะตัวเองออกจากการเกาะกุม แล้วออกแรงผลักร่างสั่นไหวจนเซเกือบล้ม แววตาน่ากลัวคงมีอำนาจมากพอจะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าขยับตัวเข้าหาอีกเป็นครั้งที่สอง

เขาปัดเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขาขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่เพียงอารมณ์ขุ่นมัวในใจ กระจกมองข้างสะท้อนเงาของคนตัวเล็กทรุดลงแทบพื้น แม้จะไกลขนาดนี้แต่ก็พอเดาออกว่าคงกำลังร้องไห้แน่ๆ

คำถามมากมายรกสมองถูกสะบัดไล่ออกไป หลังจากเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้าน เมื่อกี้ มันก็แค่…เรื่องบ้าๆ ของวันเท่านั้นแหละ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2018 08:57:18 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
อยากอ่านต่อ  :hao6:
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สอง



เพียะ!

ใบหน้าซีกซ้ายชาเป็นแถบ แรงตบหนักๆ ทำเอาศีรษะโคลงแทบจะล้มลงไปกองบนพื้น หลังจากที่นับหนึ่งถูกเจ้าของรถแปลกหน้าทอดทิ้งไว้บนเกาะกลางถนนเพียงลำพัง ผ่านไปได้เพียงไม่กี่นาที รถตู้สีดำคันที่เขาไม่อยากเจอที่สุดก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าอีกครั้ง

ลูกน้องในชุดบอดี้การ์ดหิ้วปีกเขาไว้ไม่ให้หนี เจ๊หมวยกรีดร้อง ก่นด่ามากมายจนฟังไม่รู้เรื่อง ตามด้วยแรงกระทำชำเราต่างๆ นาๆ จนเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแดงจากการถูกทั้งตบ ทั้งทุบ ทั้งถีบ สารพัด

“พอเถอะเจ๊ เดี๋ยวตัวมันเป็นรอยขึ้นมาจะเสียราคา” อ๊อดเป็นคนเข้ามารั้งเจ้านายไว้ และเขาก็คงต้องขอบพระคุณ เพราะแก้มเริ่มช้ำแล้วเหมือนกัน

หญิงจิตใจโหดเหี้ยมกระชากผมเขา ก้มตัวลงมาพ่นน้ำลายใส่หน้าดังๆ

“มะรืนนี้ แกต้องไปขอขมาเสี่ยทศพลกับฉัน”

“มะรืน” เขาเผลอทวนคำ

“เออ จริงๆ ฉันอยากลากแกไปตอนนี้เลย แต่เสี่ยไปทำแผลอยู่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ก็ไม่ว่าง” เจ๊หมวยยืนขึ้นเต็มความสูง กอดอก “แต่ก็ดี ให้เสี่ยได้สงบสติอารมณ์ก่อน ไม่งั้นกลับไปแกจะได้โดนเขาฆ่าตาย ไอ้หนึ่ง”

“อยู่แบบนี้ก็เหมือนตาย”

สายตากราดเกรี้ยวตวัดมองคนตัวเล็กที่ยังปากดีไม่เลิก เธอสั่งอ๊อดให้เข้ามาพาตัวเขาไปล่ามขังไว้ในห้องชั้นบนสุดของทาวน์โฮม ค่ำคืนอันแสนตื่นตระหนกจบลงแล้ว พร้อมกับความหวังของเขาด้วย…



-----------------------------------------------



“วันเปิดร้าน กูว่าจะจ้างนักร้องมาร้องเพลง มึงว่าไง?” เจนภพรินไวน์ใส่แก้วทรงสูง ยกมือขึ้นถามเพื่อนสนิท

“อืม”

“อืม คือดีหรือไม่ดี”

“ก็แล้วแต่มึง”

“แล้วแต่กูทุกอย่าง งั้นตอนแบ่งเงินก็แล้วแต่กูใช่ปะ” เขาแกล้งพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วย ยิ่งทำเอาบรรยากาศดูหม่นหมองลงอีกสักสิบเท่า รสชาติของไวน์ชั้นเลิศไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มเท่าไร ในเมื่อเพื่อนคนเก่งยังคงตีหน้าบอกบุญไม่รับ

“ไอ้เสาร์ นี่มึงยังรับเรื่องน้องศุกร์ไม่ได้อีกเหรอวะ”

ร่างสูงทอดถอนหายใจยาวเหยียด “กูขอเวลาอีกหน่อย”

“อีกหน่อยนี่นานแค่ไหน มึงทำตัวเหมือนคนอมขี้แบบนี้มาหลายเดือนแล้วนะเว้ย”

“กูก็พยายามอยู่ นี่กูก็ยอมรับไอ้เหี้ยกันต์แล้วไง”

เจกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ หมดปัญญาจะพูดกับคนหัวรั้น ถึงปากจะบอกว่ายอมรับว่าที่น้องเขยได้แล้ว แต่ก็ยังไม่วายเรียกเขาว่าเหี้ยเต็มปากเต็มคำ สาบานเลยว่าถ้าวันศุกร์นั่งอยู่ด้วย ก็คงไม่กล้าพูดหรอก ยิ่งไปกว่านั้น หากภายในใจของวันเสาร์ ยังคิดกับวันศุกร์เป็นแค่น้องไม่ได้ ทุกอย่างมันก็ยังไม่เปลี่ยน…ไม่มีวันเปลี่ยน

“มึง คนเรามันต้องมูฟออนนะเว้ย มึงจะมายึดติดกับศุกร์ตลอดไปไม่ได้”

“กูรู้ กูถึงบอกว่าขอเวลาอยู่นี่ไง!” วันเสาร์เผลอขึ้นเสียงแต่ก็รีบปรับสีหน้ากลับมาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนเคย เจส่ายหัวก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของใครบางคน

“มึงเหมือนคนเก็บกดอะตอนนี้ ได้ระบายบ้างปะวะ”

เป็นอีกครั้งที่เจพยายามจะพูดจาคลายบรรยากาศ และคิดว่าวันเสาร์ก็คงเข้าใจคำว่า ระบาย ของเขาดี แต่คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่ขำต่อไม่ออก รอยยิ้มตลกๆ หุบลง เมื่อสังเกตเห็นสายตาแทบจะไร้แววของเพื่อนสนิท ถ้าบอกว่าน่าเป็นห่วงก็คงดูน้อยเกินไป

“อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้นอนกับใครเลยช่วงนี้”

“กูไม่ใช่มึงหนิจะได้นอนกับใครไปทั่วทุกคืน”

“ไอ้ห่า กูก็ไม่ได้ขนาดนั้น” เจยืดตัวขึ้นหลังจากเลื่อนหาเบอร์ที่ต้องการจนเจอ รีบหันไปสะกิดขาคนด้านข้าง “กูจัดเด็กให้มึงคนนึง ดีมะ”

วันเสาร์ส่ายหน้าระอา แต่ก็ไม่ได้ถึงกับพูดจาปฏิเสธ เป็นอันรู้กันว่าคงตกลง เขาเลยรีบกดโทรออกหาคนคุ้นเคยสำหรับสถานการณ์อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นแม่เล้าก็ดูหยาบคายไปนิด ให้คิดว่าเป็นผู้ปกครองเด็กๆ ในสังกัดก็แล้วกัน

“ฮัลโหล เจ๊หมวย”

“ว่าไงน้องเจ”

“พาเด็กมาให้คนนึงสิครับ”

“ได้เลย เอาใครล่ะ แต่คืนนี้น้องน้ำตาลคนโปรดน้องเจไม่ว่างนะ เจ๊รับงานอื่นไปแล้ว”

“มีเด็กผู้ชายน่ารักๆ บ้างปะครับ”

เสียงปลายสายดูตกใจกับคำถามของเขา แน่สิ ร้อยวันพันปีเขาเคยรีเควสเด็กผู้ชายมานอนด้วยซะที่ไหน และเจ๊หมวยก็รู้รสนิยมเขาดีด้วยเลยยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่

“ให้เพื่อนอะครับ”

“อ๋อ เพื่อนคนไหน นาวาเหรอ หรือว่า”

“วันเสาร์ครับ”

เจ๊หมวยหัวเราะคิกคัก ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของเจนภพจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อลูกค้าของเธอมาก่อน แต่ก็เคยเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้าง เพราะเวลาพาเด็กไปส่งให้เจ ก็มักจะเจอว่าอยู่กับเพื่อนอีกสองคนเสมอ และนี่คงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ขยายธุรกิจ เพิ่มฐานลูกค้าได้อีกสักคนก็ไม่เลวเลย

“ชอบแบบไหนล่ะ”

“ขาว เด็ก ตัวเล็ก…” สเป็ควันเสาร์ เขาท่องได้ขึ้นใจทีเดียว

“บังเอิญจัง มีเด็กใหม่เข้าข่ายพอดี”

“จริงปะครับ ดีเลย งั้นพามาคืนนี้เลยนะครับ”

“โอเค เดี๋ยวน้องเจส่งโลเคชั่นมานะ”

“ครับ” หลังจากกดวางสายก็หันไปยักคิ้วให้กับเจ้าของใบหน้านิ่งเฉย วันเสาร์ยกแก้วบรรจุของเหลวสีแดงก่ำขึ้นจรดริมฝีปากอีกหลายครั้ง ท่าทางไม่ยี่หระ

พวกเขาเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตั้งใจร่วมหุ้นกันดำเนินการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปิดเล่มวิทยานิพนธ์ใหม่ๆ จนตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลายอย่าง เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในไม่ช้านี้ จะว่าไปแล้วพวกเขาเรียนการตลาดมา แต่ก็มาจบลงที่ร้านอาหารกันหมด เพราะนาวาเองก็มีร้านอาหารอิตาเลียนของครอบครัวที่จะต้องกลับไปช่วยบริหารอยู่แล้วเช่นกัน

เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงยานพาหนะไม่คุ้นหูจอดลงหน้าบ้าน เจเป็นฝ่ายลุกออกไปต้อนรับแขกของค่ำคืนนี้ด้วยตัวเอง ขณะที่คุณชายเจ้าของบ้านยังมัวแต่วางท่ายืดยาดอยู่ได้

วันเสาร์ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเป็นหยดสุดท้าย ก่อนจะเดินตามออกไปเพื่อทักทายแม่เล้าเจ้าของตลาดใหญ่กลางเมือง คนสนิทของเพื่อนเขาเอง เจ๊หมวยยังคงคอนเซ็ปในการแต่งตัวสีฉูดฉาดล่อแสงไฟในห้อง พ่วงด้วยบอดี้การ์ดตัวใหญ่ชื่ออ๊อดตามปกติ จะแปลกออกไปก็แค่เด็กที่ถูกลากตัวมาวันนี้ นอกจากใบหน้ารั้นๆ กับแววตาเหมือนลูกนกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็ยังรู้สึกคุ้นอย่างน่าประหลาด…

“เจ๊ ผมจะกลับ”

“พูดบ้าอะไรของแก” หญิงวัยกลางคนรีบตวัดสายตาดุๆ ไปทางเจ้าของคำพูดนั้น แต่คนตัวเล็กกลับวิ่งหนีไปหลบหลังนายอ๊อด พลางจ้องมองเขาเหมือนเคียดแค้นกันมาสักสามสี่ชาติ

“ไม่เอาคนนี้”

เรียวแขนเหี่ยวย่นคว้าคอเด็กใหม่เอาแต่ใจให้กลับมายืนประจันหน้า น้ำเสียงกดต่ำฟังไม่ถนัดนักแต่ก็พอจับความรู้เรื่อง “แกไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น”

เจ๊หมวยผลักนับหนึ่งมาทางด้านหน้า โชคดีที่เจเข้าไปประคองตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มคะมำลงจูบพื้น ทั้งสองฝ่ายล่ำลากันอย่างยากลำบากเมื่อคนที่ควรจะอยู่ในโอวาทกลับขัดขืนโวยวายลูกเดียว ไม่รู้ว่าอ๊อดเดินเข้าไปกระซิบอะไรถึงยอมสงบลงได้ กลายเป็นยืนนิ่งตัวสั่นงันงกแทน

บรรยากาศในบ้านเงียบเชียบจนน่าขนลุก คำถามแรกผุดขึ้นมาเร็วกว่าความคิด

“เอ่อ นี่ทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?”

“ก็เหมือนจะเคย” วันเสาร์ตอบกลับแค่นั้น ขณะที่ร่างเล็กเอาแต่ตีหน้างอง้ำไม่รู้ด้วยโกรธเคืองอะไรนักหนา

“เอ้า ก็ดีสิ คนเคยๆ”

“มะ…ไม่ใช่นะครับ” นับหนึ่งรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ แต่ดูเหมือนเจจะไม่สนใจอยู่รอแก้ความเข้าใจผิด ถึงได้เดินมาตบไหล่ไล่หลังทั้งคู่ไปทางบันไดบ้าน แถมกำชับเสียงสดใส

“เชิญตามสบาย เดี๋ยวกูกลับละ”

“เออ เรียกพี่ละไมมาปิดบ้านด้วย”

“ครับ คุณเสาร์” เขาแกล้งหยอกเป็นดอกสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับไปทางหลังบ้าน

นับหนึ่งที่ยังคงยืนเก้ๆ กังๆ ถูกวันเสาร์กวักมือเรียกให้ตามขึ้นไปถึงห้องชั้นสอง เตียงไม้สักหลังใหญ่รับกับชุดเครื่องนอนสีกรมท่า การตกแต่งน้อยชิ้น หากแต่เป็นระเบียบและดูเรียบหรูในตัวเอง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูแปลกตาน่าหวาดหวั่นมากเท่ากับคฤหาสน์เจ้าสัวอย่างเสี่ยทศพลสักเท่าไร

แต่การต้องมาทำเรื่องอย่างว่า…มันก็น่ากลัวอยู่ดี

“อาบน้ำรึยัง?”

“ห้ะ?” คนเด็กกว่าเงยหน้าฉงน จนเจ้าของคำถามย่นคิ้ว

“ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ถามว่าอาบน้ำรึยัง”

“อาบแล้ว”

“พูดเพราะๆ” วันเสาร์กดเสียงต่ำ พยักพเยิดหน้าเหมือนต้องการให้เขาตอบคำถามใหม่อีกครั้ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าถูกส่งมาขายบริการ หรือมาเรียนมารยาทกันแน่

“อาบแล้วครับ”

“งั้นก็ถอดเสื้อ”

เชี่ย เริ่มแล้วเหรอ ยังทำใจไม่ได้!

“เอ่อ…”

“หรือว่าต้องให้ฉันถอดให้?”

“เอ่อ…”

วันเสาร์ยิ่งมุ่นหัวคิ้วหนักๆ ขยับตัวเข้ามาประชิดพลางโน้มหน้าลงในระดับเดียวกัน สายตาเกือบจะว่างเปล่าดูดุดันและเย็นยะเยือก ทำเอาเขาต้องรีบกลืนก้อนบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามขมับยามที่ถูกรังสีน่ากลัวกดดัน ริมฝีปากแดงระเรื่อเม้มปิดสนิท ย่นคอหนียามที่ลมหายใจอุ่นเป่ารด แต่เพียงแค่เผลอก้าวถอยหลัง ก็ถูกมือใหญ่ตรงเข้ารั้งต้นแขนเอาไว้ทั้งสองด้าน

สัมผัสนุ่มหยุ่นน่ารังเกียจจรดลงบนลำคอระหง เขาเลือกที่จะหลับตาลง พลางกัดปากตัวเองแรงๆ อย่างน้อยความเจ็บปวดนี้อาจจะช่วยพอให้หลงลืมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้าง

ร่างสูงโปร่งผลักเขาลงนอนราบกับเตียง เสื้อยืดบนกายถูกเลิกขึ้นสูงจนเห็นถึงไหนต่อไหน ลิ้นร้อนลากโลมเลียไปทั่วทั้งแผงอกบาง วินาทีนั้น น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าก็พาลไหลทะลักอาบแก้มอย่างหยุดไม่ได้ เสียงสะอื้นของเขาทำเอาคนด้านบนชะงักอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายวันเสาร์ก็ไม่ได้หยุด

ภายใต้ค่ำคืนแสนรวดร้าว…นับหนึ่งได้กลายเป็นของผู้ชายแปลกหน้าไร้หัวใจไปแล้ว



-----------------------------------------------



“ฮึก…ฮือ…” เสียงร้องไห้ปลุกให้คนตัวใหญ่ตื่น เรียวตาคมเหลือบมองร่างบางสั่นเทิ้มบนเตียงหลังเดียวกัน นับหนึ่งขดตัวเป็นกุ้ง เอาแต่กอดตัวเองพลางสะอึกสะอื้นไม่หยุด ความจริงเขาแทบไม่ได้นอนเพราะเด็กนี่เอาแต่ร้องไห้ตลอดทั้งคืน

ร้อง…เอาแต่ร้องจนเขารู้สึกไม่ดี ประสบการณ์ครั้งแรกของอีกฝ่ายเมื่อคืน ก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามนัก เพราะเอาแต่ร้องไห้ลูกเดียว ร้องจนเขายังแอบกลัวว่าจะขาดใจตายก่อนหรือเปล่า

“จะร้องอะไรนักหนา”

“ฮือ…”

“ตัวเองเลือกทำงานนี้เอง”

คนข้างๆ พลิกตัวกลับมาจ้องหน้าเขาเขม็ง ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไม่น่าดู ปลายจมูกและขอบตาแดงเรื่อจนแม้แต่คนอย่างเขายังอดใจหายไม่ได้ น้ำเสียงเครือครางเจือไว้เพียงความทรมานแผ่ออกมาให้เขารู้สึก

“ใจร้าย…ฮึก รู้อยู่แล้วว่าผม ไม่เต็มใจ…ฮืออ”

หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน คงไม่เถียง เพราะพอเดาออกว่าโดนบังคับให้มาทำงาน พอย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์บนรถวันนั้นก็ยิ่งเชื่อมต่อกันได้พอดี นับหนึ่งพยายามหนีจากเจ๊หมวย แต่สุดท้ายก็มาจบลงที่นี่ และเขาก็คงไม่ต่างอะไรจากซาตานผู้ทำลายความหวังของเด็กตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่แม้แต่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ แถมยังฉีกกระชากทำลายสิ่งที่เฝ้าปกป้องรักษาลงอย่างง่ายดาย ถ้าถูกเกลียดเข้ากระดูก ก็คงไม่แปลกใจเลย

แต่ก็ไม่ใช่กงการอะไรที่เขาต้องแคร์

“ก็ฉันจ่ายเงิน” คำพูดแสนเย็นชายิ่งทำให้น้ำตารื้นเล็ด

วันเสาร์ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวมกลับ สายตาเรียบนิ่งยังคงจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสั่นไหว สัมผัสลื่นมือ ผิวกายนุ่ม เนียนละเอียด แล้วยังกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับแป้งเด็ก สีหน้าเจ็บปวดทรมาน เสียงใสก้องกังวานครวญครางไม่เป็นภาษา ลมหายใจอุ่นร้อนหอบกระทบกาย ทุกอย่างยังคงชัดเจนอยู่ในโสตประสาท น่ากลัวว่าจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขามึนเมาไปได้มากขนาดนี้ หากแต่ทั้งหมดนั่นคงอยู่ได้แค่ในความคิดของเขาเท่านั้น

คำที่เขาเลือกจะพูดมันไม่ได้ฟังดูใจดี “ต่อไปนายก็ต้องเจอมากกว่านี้ เผลอๆ จะต้องรับแขกคืนละเป็นสิบคน หรือไม่ก็โชคร้ายติดโรคมาก็ได้ หัดทำใจไว้เถอะ”

แน่นอนว่านอกจากไม่ทำให้อีกฝ่ายหยุดร้องแล้ว ยังรังแต่จะปล่อยโฮหนักกว่าเก่า และเขาก็เริ่มรำคาญขึ้นมาจริงๆ แล้วด้วยสิ

ตึ๊ง ตึ่ง

เสียงกดกริ่งดังไปทั่วบ้าน ถ้าให้เดา คงเป็นเจ๊หมวยที่มารับสินค้ากลับ นับหนึ่งเองก็คงรู้ถึงได้เอาแต่มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนที่เขาเผลอมองคนบนเตียงจนไม่ยอมขยับ ภาพในหัวตัดสลับไปมาราวกับม้วนฟิล์มขาดๆ ที่ถูกเอามาปะติดปะต่อกันจนไม่รู้เรื่อง

.

“พี่ต้องช่วยผมนะ ถ้าพวกมันหาผมเจอ ผมต้องตายแน่”

“อ..อื๊ออ เจ็บ…”

“นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่ต้องช่วยผมจริงๆ”

“พอ..ฮึก พอแล้ว…อ้ะ อ๊าา”

“พาผมหนีที”

.

พาผมหนีที

น้ำเสียงอ้อนวอน บวกกับแววตาสั่นเครือ ค่ำคืนนั้นมันช่างเป็นภาพที่เลือนราง หากว่าตอนนี้กลับฉายชัดอยู่ในหัว วันเสาร์กะพริบตาหนักๆ สองสามครั้ง ตัดสินใจเดินไปกระชากผ้าห่มออก รวบรั้งข้อมือบางไร้เรี่ยวแรงเข้ามาใกล้ตัว ร่างโอนเอนถูกดึงขึ้นจากเตียงง่ายดายยิ่งกว่าเด็ดดอกไม้จากสวน ความทุกข์ทนและความโกรธเคืองหลอมรวมอยู่ภายในดวงตากลมคู่หมอง

คำถามแปลกๆ ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจเลย ดังขึ้นภายในห้องนอนขนาดกว้าง

“นายจะนอนกับใครต่อใคร หรือจะยอมนอนกับผู้ชายแค่คนเดียว?”

นับหนึ่งตีหน้างุนงง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เสียงเคาะประตูก็ดังขัดขึ้นก่อน

“คุณเสาร์ คนที่ชื่อหมวยมาหาค่ะ”

เจ้าของบ้านจัดการใส่เสื้อผ้าให้กับเด็กที่ยังเอาแต่นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม้เชิด เขาลากอีกฝ่ายลงมาถึงโถงด้านล่าง ซึ่งมีแขกจากเมื่อคืนยืนรอพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่แล้ว

“เป็นไงบ้างคะน้องเสาร์?”

คนถูกถามเหวี่ยงลูกชายในคลังคนใหม่ของเจ๊หมวยลงกับพื้น “แย่มากครับ”

“อ่าว”

“เด็กของเจ๊เอาแต่ร้องไห้เสียงดังน่ารำคาญ”

“อะ เอ่อ…”

“แต่ผมมีเรื่องจะขอ”

“อะไรเหรอ?”

“ผมขอซื้อขาดตัวเด็กคนนี้ได้ไหมครับ”

“ห้ะ?” ทั้งเจ๊หมวยและผู้ติดตามต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เธอฝืนยิ้มแล้วพยายามอธิบายกับเสาร์ด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด “ซื้อขาดคงไม่ไหวมั้งคะน้องเสาร์ นับหนึ่งมันติดหนี้เจ๊อยู่ตั้งหลายแสน”

“เขาเป็นหนี้เจ๊เท่าไร?”

“ห้าแสนค่ะ”

“งั้นผมขอซื้อตัวเขาในราคาหนึ่งล้านบาท จะขายไหมครับ?”

ไม่ใช่แค่เจ๊หมวยที่ตาโตเป็นไข่ห่าน แม้แต่เจ้าตัวที่ดูเหมือนจะกลายเป็นสินค้าไปแล้วจริงๆ ก็รีบเงยหน้าขึ้นจ้องวันเสาร์ด้วยท่าทีตื่นๆ จำนวนเงินนั้นมันดูมากมายมหาศาลสำหรับคนอย่างเขา และวันเสาร์ก็ไม่ได้ดูพิศวาสอะไรเขามากพอที่จะยอมจ่ายมันด้วยซ้ำ

“ข…ขาย! ขายก็ได้ค่ะถ้าน้องเสาร์ต้องการ”

“โอเคครับ” วันเสาร์ยกยิ้ม เดินกลับไปหยิบอะไรบางอย่างในห้องทำงาน ก่อนจะออกมาพร้อมกับเช็คเงินสดมูลค่า 1,000,000 บาทตามที่ว่า

ฝั่งเจ๊หมวยดูจะตื่นอกตื่นใจกับจำนวนเลขศูนย์บนแผ่นกระดาษ จนลืมแม้แต่จะก้มลงสนใจเด็กที่อุตส่าห์ไปลากคอมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครา พวกคนที่ตีค่าเขาราวกับเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งล่ำลากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นว่าทั้งบ้านกลับมาเงียบสนิท

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนเขาเองตั้งรับไม่ทัน แม้อยากจะเถียงก็พูดไม่ออก อยากจะขัดขืนก็ทำไม่ได้ พูดกันตามจริง ตอนนี้แค่จะลุก เขายังไม่มีแรงเลย

“น…นี่มันอะไรกันครับ?”

“นายเป็นสมบัติของฉันแล้ว”

“สมบัติ…นี่ผมเป็นคนนะ”

“นายก็ไม่ต้องไปปรนเปรอรับใช้ลูกค้าของเจ๊หมวยอีก แต่…ต้องนอนกับฉัน มาคอยรองรับอารมณ์ให้ฉัน”

“ว่าไงนะ? นี่ผมยังไม่ทันตกลงสักหน่อย!” นับหนึ่งพยายามยันตัวเองขึ้นจากพื้นกระเบื้องเย็นวาบ แต่ก็ยังช้ากว่าลำแขนแกร่ง ที่แค่ออกแรงหน่อยเดียวก็รวบทั้งตัวเขามาไว้ในอ้อมกอดได้อย่างง่ายดาย

“หรืออยากโดนเจ๊หมวยลากไปให้ใครต่อใครเขาเอาล่ะ?”

คำถามหยาบโลนทำเอาเขาสะอึก แววตากลมวูบไหวยามจ้องสบนัยน์ตาสีนิลสุดหยั่งถึง วันเสาร์กระชับวงแขนขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่ได้ฟังดูอ่อนโยนเลยสักนิดเดียว

“ต่อไปนี้ ชีวิตนายก็เป็นของฉัน”

ชะตากรรมเปลี่ยนไปแล้ว นับหนึ่ง…



------------------------------------------------------------------------------
มาแย้ววว นึกว่าจะไม่มีคนหลงเข้ามาอ่านซะแล้วค่ะ 5555
ถ้าไม่มีไรผิดพลาด เราแพลนไว้ว่าจะอัพในเล้า เดือนละ 3 ตอนน้า
มาเฉพาะวันเสาร์แหละ แต่ส่วนใหญ่จะเว้นเสาร์สุดท้ายของเดือน
เพราะทุกสิ้นเดือนต้องไปทำงานต่างจังหวัด เลยไม่สะดวกง่ะ

ยังไงก็ฝากติดตามเอาใจช่วยน้องหนึ่งให้ถึงเสาร์ไวๆ ด้วยนะคะ

 :z1: :กอด1:

#นับหนึ่งถึงเสาร์

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สาม



“ไปอาบน้ำ” คำสั่งแรกของวันเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากเจ๊หมวยกลับไป วันเสาร์ก็กระชากเขากลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้ง ถ้าแขนหลุดจากไหล่ก็คงไม่แปลกใจเลย แต่ดูเหมือนขาจะหลุดจากสะโพกซะก่อน เพราะมันสั่นงกๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายร้าวระบมอย่างกับว่าเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจจากสนามรบก็ไม่ปาน

กิริยาวันเสาร์ไม่อ่อนโยนยังไง บทรักก็ไม่อ่อนโยนอย่างนั้นแหละ

อ่า…แต่การใช้คำว่า บทรัก สำหรับกิจกรรมบนเตียงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคงไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าไม่ได้รัก งั้นขอเรียกว่าบทโหด เพราะเขาถือว่าเป็นการทารุณกรรมเด็กชัดๆ เลย

“ยังนั่งนิ่งอยู่อีก” คนตัวสูงย้ำ สายตาไล่มองเสื้อผ้าในตู้บานเลื่อนไปเรื่อย ก่อนจะหันกลับมาทำตาเขียวใส่ “หรือต้องให้อาบให้?”

นับหนึ่งส่ายหน้ารัวแรง เขาเบะปาก พยายามฝืนลุกทั้งที่จวนเจียนจะล้มเอาง่ายๆ มือเล็กควานหาที่ยึดตามทางไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ ด้านในมีผ้าเช็ดตัวเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และเขาก็เดาเอาเองว่าคงอนุญาตให้ใช้

เสื้อผ้าบนตัวถูกปลดออก ร่องรอยตามร่างกายฉายชัดผ่านกระจกเงาบานใหญ่ น้ำตาที่เคยแห้งเหือดไปแล้วกลับเอ่อล้นจนพรั่งพรูออกมาอย่างสุดจะห้าม ทรุดตัวลงแนบพื้นหินอ่อน ไม่หลงเหลือแล้ว เรี่ยวแรงที่จะไปต่อสู้กับโชคชะตา เช่นเดียวกับความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีที่เขาเคยนึกภูมิใจ

ไม่เหลือแล้วจริงๆ …

เขาไม่อาจล่วงรู้ว่าการมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นทาสอารมณ์ให้กับผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์ กับการถูกเจ๊หมวยลากไปตะลอนขายคนนู้นทีคนนี้ที แบบไหนมันจะเจ็บปวดทรมานกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะทางไหน มันก็ไม่ใช่ความสุขทั้งสิ้น และเขาก็คงอ้อนวอนขอความสุขนับจากนี้ไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน

“ทำไม…” ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลย…

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดึงเขาให้หลุดออกจากห้วงความคิด

“เร็วๆ”

ก้อนสะอึกถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เขาฝืนดันตัวเองขึ้นอีกครั้ง และเริ่มจัดการชำระล้างตราบาปน่าขยะแขยงจากเมื่อคืน แค่คิดว่าวันเสาร์จะฝากสัมผัสใดไว้บนตัวเขาอีกเมื่อไรก็ได้ แค่นั้น เขาก็อยากกัดลิ้นตัวเองตายแล้ว

กลิ่นสบู่ลอยฟุ้งออกมาจากร่างบางท่าทางห่อเหี่ยว วันเสาร์สลับเข้าไปอาบน้ำ เพียงไม่กี่นาทีก็กลับออกมาพร้อมกลิ่นจางๆ อย่างเดียวกัน นับหนึ่งถูกลากลงมาในห้องนั่งเล่น คนรับใช้สามคนเดินเรียงหน้าเข้ามาหา

“นี่พี่ละเมียด กับพี่ละไม เป็นแม่บ้านประจำของบ้านนี้” เด็กน้อยรีบก้มหัวยกมือไหว้ทั้งคู่ ตามด้วยผู้ชายอีกคน

“ส่วนนี่ลุงชัย คนขับรถ”

สองพี่น้อง ละเมียดกับละไม หันมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะพวกเธอเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเจ๊หมวยพาเด็กตรงหน้ามาส่ง จวบจนถึงเมื่อเช้าที่วันเสาร์ประกาศลั่นว่าจะขอซื้อตัวเด็กคนนี้มาไว้ในครอบครอง ทั้งที่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ล้วนไม่ใช่วิสัยปกติของคุณชายที่เธอรู้จักดีเลย

“นี่นับหนึ่งครับ” คนตัวใหญ่หยุดไปนิด ปรายตามองเด็กข้างกาย “ตั้งแต่นี้จะมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของผม”

คนรับใช้ส่วนตัว…โห ตำแหน่งอะไรอะ เกิดมาไม่เคยได้ยิน

“เอ่อ…แล้วจะให้พี่เรียกว่า…”

พี่ละเมียดเป็นคนแรกที่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงเธอค่อนข้างสับสนและตั้งรับไม่ทัน อีกทั้งยังทำตัวไม่ถูก เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น เอาแค่ว่าเห็นวันเสาร์ลากตัวนับหนึ่งเข้าห้อง ก็น่าประหลาดใจมากพอแล้ว เพียงแค่ข้ามคืน กลับยอมจ่ายเงินถึงหนึ่งล้านบาทเพื่อไถ่ตัวเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ก็ยิ่งแปลก

มันแปลกจนเธอไม่แน่ใจ ว่าสถานะของนับหนึ่งคืออะไรกันแน่ และในฐานะแม่บ้าน เธอควรปฏิบัติตัวกับเขายังไง

“ก็แล้วแต่พี่ๆ จะเรียก”

“งั้นพี่ขอเรียกคุณหนึ่งแล้วกันค่ะ”

“มะ…ไม่ต้องสุภาพกับผมขนาดนั้นหรอกครับ” เจ้าของชื่อรีบโบกไม้โบกมือห้าม แต่ดูเหมือนอีกฝั่งก็ยังดึงดันจะขอเรียกอย่างนั้นให้ได้ จนต้องยอมในที่สุด

หลังจากแนะนำตัวกับคนในบ้านเรียบร้อยแล้ว วันเสาร์จึงหันมาเอาความต่อ

“นายชงกาแฟเป็นไหม?”

“เอ่อ ก็พอได้ครับ”

“งั้นลองไปชงกาแฟกับพี่ละไม”

นับหนึ่งพยักหน้ารับ พี่ละไมกวักมือเรียกให้เขาเดินตามออกไปยังห้องครัว ขณะที่คนอื่นแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเอง วันเสาร์ปิดประตูและเริ่มหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นอ่าน

แม่บ้านเก่าแก่อีกรายค่อยๆ ปลีกตัวหลบออกมาด้านหลังบ้าน เธอกดโทรศัพท์หาใครบางคน พยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ในหัว ไม่นานนัก คนปลายสายก็กดรับ

“ครับ”

“คุณศุกร์”

“พี่ละเมียดมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คือว่า คุณเสาร์…”

“พี่เสาร์ทำไมครับ เป็นอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงตกอกตกใจทำให้เธอต้องรีบอธิบายต่อเพื่อคลายความกังวลของคุณชายคนเล็ก

“เปล่าค่ะ คุณเสาร์ไม่ได้เป็นอะไร”

“อ่าว แล้วมีอะไรอะครับ?”

“คือ…พี่ว่าคุณเสาร์แปลกๆ ไปนะคะ”

“แปลกยังไงครับ?”

เธอหันซ้ายหันขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีใครผ่านมาถึงเริ่มพูดต่อ

“เมื่อคืนคุณเสาร์พาเด็กมานอนด้วยค่ะ”

วันศุกร์หลุดหัวเราะ “นั่นแปลกเหรอครับ ศุกร์ว่าก็ไม่แปลกนะ พี่เสาร์อายุเท่าไรแล้วก็ต้องมีบ้างแหละ”

“พี่รู้ค่ะว่ามี แต่ปกติคุณเสาร์จะพาออกไปข้างนอก ไม่เคยพาเข้าห้องนอนนะคะ”

“พี่เสาร์ขี้เกียจออกไปข้างนอกมั้งครับ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ตอนนี้คุณเสาร์ซื้อตัวเด็กคนนั้นมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวที่บ้านด้วยค่ะ”

“หืม?” ฟังมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงขำขันของวันศุกร์จึงเริ่มฟังดูเปลี่ยนไป จะว่าแปลก มันก็ชักจะแปลกขึ้นมาแล้วล่ะ “ซื้อมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวเนี่ยนะ”

“ใช่ค่ะ ไถ่ตัวเด็กคนนั้นมาตั้งหนึ่งล้านบาท”

“หนึ่งล้าน!!” ละเมียดดึงโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน เธอมั่นใจว่าวันศุกร์ก็คงเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าพี่ชายตัวเองน่ะแปลกไปจริงๆ จากน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้มันกลับเริ่มร้อนลน ความประหลาดใจ รวมทั้งความตื่นเต้นเจือปนอยู่ในคำถาม

“แล้วเด็กคนนั้นชื่ออะไร ท่าทางเป็นยังไงครับ?”

“ชื่อนับหนึ่งค่ะ ก็…หน้าตาน่ารักนะคะ ตัวเล็กๆ คล้ายคุณศุกร์อยู่เหมือนกันค่ะ”

คล้ายกับเขา…

วันศุกร์เผลอมุ่นหัวคิ้ว เขาฝากความคิดถึงไปยังคนใช้ที่บ้านเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะกดวางสาย และรีบเลื่อนหาเบอร์พี่ชายตัวเองแทน ดูท่าคงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้ ต้องขยายให้ถึงที่สุดว่าอะไรกัน ดลบันดาลให้จอมเย็นชาอย่างวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ นึกสนใจเด็กเล้าแบบนั้นได้

“ว่าไงศุกร์” วันเสาร์ยังคงรับสายโทรเข้าจากเขารวดเร็วเหมือนเดิม

“พี่เสาร์ วันนี้เป็นไงบ้างครับ”

“หืม? ก็ไม่เป็นไงนี่ ศุกร์นั่นแหละเป็นยังไง จะหนีเที่ยวอีกแล้ว”

“โธ่ ไม่ได้หนีสักหน่อย” เสียงใสกระเง้ากระงอด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคงโดนดุเรื่องที่กำลังเดินทางไปพักผ่อนแถวชลบุรีกับกันติกรณ์สองต่อสอง

“จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ มีอะไรก็รีบโทรหาพี่นะ”

“ครับ” คนตัวเล็กลากเสียงยาว ก่อนจะเว้นช่วง แล้วจงใจเข้าเรื่องสำคัญเอากลางปล้อง “ว่าแต่พี่เสาร์…นับหนึ่งนี่ใครกันครับ?”

ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าคงไม่พ้นขี้ปากแม่บ้านหนึ่งในสองแถวนี้ วันเสาร์ลอบถอนหายใจเบาๆ เริ่มต้นอธิบายจริงบ้างไม่จริงบ้าง

“พี่ก็แค่สงสาร เลยรับมาทำงานที่บ้านเท่านั้นเอง”

“ทำงานที่บ้าน แต่ก็เป็นคนรับใช้ ส่วนตัว ของพี่เสาร์” วันศุกร์เน้นคำว่า ส่วนตัว ชัดถ้อยชัดคำ ตามด้วยเสียงคิกคักหยอกล้อเล็ดลอด

“ก็พี่ยังไม่ไว้ใจ เลยให้อยู่ใกล้ๆ งานบ้านปกติก็มีพี่ละเมียด พี่ละไมจัดการอยู่แล้ว”

“อ๋อ ครับๆ”

วันเสาร์ส่ายหน้าเพราะฟังออกว่าน้องชายของเขาคงกำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่แน่ เขาไม่ได้นึกพิศวาสอะไรเด็กคนนั้น แต่จะว่าเพราะสงสารก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด มันก็แค่…

ประตูบานเลื่อนเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคนในบทสนทนา นับหนึ่งก้าวขาเชื่องช้า เนื่องจากยังระบมไม่หาย สองมือสั่นไหวยึดถาดพลาสติกรองแก้วกาแฟเอาไว้แน่น

“แต่ก็ดีเหมือนกัน มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน พี่เสาร์จะได้ไม่เหงา”

“ถ้าไม่มีเรา พี่ก็เหงาอยู่ดี”

ดวงตากลมเหลือบมองคนบนโซฟา ไม่รู้หรอกว่ากำลังคุยกับใคร แต่ลักษณะการพูดคุ้นๆ คล้ายกับในรถคืนนั้น และพอนึกว่าธาตุแท้วันเสาร์เป็นคนเย็นชาอำมหิตเพียงใด การใช้น้ำเสียงโอนอ่อนแบบนั้นมันกลับทำเอาเขาขนลุก

ถาดสีขาวแต้มลายดอกไม้เมืองหนาววางลงบนโต๊ะกระจก ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนพรม เพราะถ้ายังขืนยืนต่ออีกแค่วินาทีเดียวก็คงไม่แคล้วล้มหน้าทิ่มพอดี สะโพกของเขาร้าว ขาทั้งสองข้างปวดแปลบ แต่ก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับช่องทางด้านหลังซึ่งคล้ายว่าจะฉีกขาด

“โอ้ย!” ปลายนิ้วเผลอแตะเข้ากับแก้วเซรามิค ความร้อนส่งให้เขาเผลอปล่อยของในมือลงจนกาแฟด้านในหกเลอะออกมา เปื้อนเปรอะไปทั้งถาด

“แค่นี้ก่อนนะศุกร์” วันเสาร์กดวางสาย น้ำเสียงดุๆ ดังขึ้น “ทำอะไรของนาย?”

“เอ่อ…ขอโทษครับ”

“เก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วยกแก้วใหม่ขึ้นไปให้ฉันบนห้อง”

พูดแค่นั้นก่อนจะลุกออกไป ทิ้งให้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่นั่งหน้ามุ่ย มองแก้วกาแฟนอนคว่ำ แต่ก็ยังโชคดีที่มันไม่แตกให้ต้องโดนดุมากไปกว่านี้ เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง เป็นพี่ละไมที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เดี๋ยวพี่เก็บเองค่ะ คุณหนึ่งไปดูแลคุณเสาร์เถอะ”

“เรามาสลับหน้าที่กันดีไหมครับ”

ละไมยิ้มขำ แล้วโบกมือไล่ให้เขากลับไปชงกาแฟแก้วใหม่ นอกจากเป็นเด็กของแม่เล้าแล้ว เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่านับหนึ่งเป็นใครกันแน่ แต่จากสัญชาตญาณ เด็กคนนี้ก็ดูไม่มีพิษสงอะไร แถมยังน่ารักน่าเอ็นดู อีกอย่าง ถ้าคนอย่างวันเสาร์ถูกชะตาขนาดพาตัวเข้าบ้าน พวกเธอก็คงยอมรับได้ไม่ยาก

ประตูไม้เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่กำลังขะมักเขม้นตรวจเอกสารบางอย่าง นับหนึ่งรีบกลั้นใจพาถาดกาแฟในมือไปวางไว้บนโต๊ะทำงานก่อนที่ขาทั้งสองข้างของเขาจะเดินต่อไม่ไหว

เรียวตาคมเหล่มองคนที่เพิ่งทรุดตัวลงพับเพียบบนพื้น ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ วันเสาร์ตีหน้าเรียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่ามันรสชาติดีหรือยัง แต่การไม่ถูกกาแฟราดใส่หัวก็คงนับว่ามันถูกปากอยู่บ้างล่ะมั้ง

“หวานไป”

อ่าว…

“ไม่หวานก็ไม่อร่อยสิครับ” เขาเถียง หากต้องรีบรูดซิปปากทันทีเมื่อคนบนเก้าอี้ชูแก้วขึ้นเหนือหัว ทำท่าเหมือนอยากจะราดลงมาจริงๆ

“พรุ่งนี้ให้ชงมาใหม่”

“ต้องชงให้ทุกวันเลยปะครับ”

“ใช่” วันเสาร์เอียงศีรษะนิด เหมือนอยากจะถามว่าเขามีปัญหาอะไร แต่ใครล่ะจะกล้ามี

“ครับ เอ่อ…”

“เอ่อ อะไร”

“ให้ผมเรียกว่าอะไรครับ” พอย้อนนึกดูแล้ว ตั้งแต่เจอกันเมื่อคืน เขาก็ยังไม่ได้หลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายเลยสักคำเดียว แต่ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น คืนที่เขาพยายามหนีจากเสี่ยทศพล เขาเรียกผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ว่า…พี่ แต่ดูท่าสถานะของเขาตอนนี้จะไม่เหมาะเท่าไร

“เรียก คุณเสาร์ รึเปล่าครับ?”

เจ้าของชื่อหันกลับไปพลิกหน้ากระดาษในมือ คำพูดแสนสั้นราบเรียบเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ก็เข้าใจดีว่านั่นคือคำสั่ง

“พี่”

“ครับ พี่…เสาร์”

เขาอ้าปากจะถามอะไรต่อ แต่กลับถูกสายตาคมจ้องกดจนต้องหุบปากลงในที่สุด วันเสาร์กลับไปทำงานของตัวเอง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง นับหนึ่งได้แต่นั่งนิ่งอยู่เกือบสิบนาที ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวพิงกำแพงจนกระทั่งผล็อยหลับไป

ภายในหัวสมองเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันที่ป้าเสียไป เขาไม่ใช่คนโชคดี แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะโชคร้ายได้ขนาดนี้ ในความฝัน น้ำตามันไหลไม่หยุด และในความเป็นจริง หัวใจก็เจ็บรวดร้าว…

นานแค่ไหนไม่รู้ตั้งแต่เขาลอยละล่องไปเฝ้าพระอินทร์ กว่าจะรู้สึกตัว ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดเกือบสนิทแล้ว ดวงตากลมกะพริบถี่ สู้แสงจากหลอดไฟบนเพดาน หัวคิ้วย่นเมื่อคิดว่าตัวเองมานอนสบายเฉิบอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไร และมาได้ยังไง

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งพบแต่ความเป็นไปไม่ได้…สงสัยเขาคงละเมอเดินขึ้นมาเอง อืม ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

ก๊อกๆ

ใครบางคนเคาะประตู ก่อนจะแง้มมันออก เป็นพี่ละไมนั่นเองที่ชะโงกหน้าเข้ามา เธอกวักมือเรียกเมื่อเห็นว่าเขาตื่นนอนพอดี

“คุณหนึ่ง ลงไปทานข้าวเย็นได้แล้วค่ะ”

“ครับ” เขาก้มหัวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถาม “เอ่อ พี่ละไม”

“คะ?”

“คือ…ตอนแรกผมนั่งหลับอยู่บนพื้น พี่รู้ไหมครับว่าผมขึ้นไปนอนบนเตียงได้ยังไง?”

เธอเลิกคิ้ว ก่อนจะกลายเป็นอมยิ้มให้กับคำถามที่ฟังดูโง่เง่าพอตัว

“ไม่รู้สิคะ พี่ไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ถ้าให้เดา…คุณเสาร์คงพาคุณหนึ่งไปที่เตียง”

“พาไปที่เตียง?”

“ค่ะ ก็อุ้มไปไงคะ”

มาถึงตรงนี้เขาก็ไม่กล้าถามต่อ พยายามข่มความคิดบ้าๆ ในหัว อย่างเช่นว่า เจ้าของบ้านคนนั้นอาจจะใจดี ไม่ได้เย็นชาอย่างตาเห็นก็ได้ แต่…เขาไม่มีวันเชื่อตราบใดที่สะโพกเขายังปวดไม่เลิก! คนใจร้ายก็คือคนใจร้าย ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความโอบอ้อมอารี ไม่มีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสักนิดนอกจากหน้าหล่อๆ เท่านั้น เหอะ!

เรื่องเมื่อครู่เขาจะสรุปเอาเองว่าคงมีลมพายุพัดหอบตัวเขาขึ้นไปวางบนเตียงแน่ๆ จบ

วันเสาร์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางกระดิกเท้าสองสามที บรรยากาศดูหดหู่ลงทุกทีที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายบนหัวโต๊ะ และคำทักทายแรกก็ไม่วายจงใจกัดกัน

“นึกว่าจะหลับไม่ตื่น”

“ก็อยากหลับไม่ตื่นเหมือนกันครับ”

สายตาคาดโทษจ้องเขานิ่ง ก่อนจะเลื่อนไปทางเก้าอี้ว่างใกล้ตัว พี่ละไมเดินนำเขาไปนั่งประจำที่ สลับด้วยพี่ละเมียดที่ก้าวเข้ามาพร้อมโถข้าวหอมมะลิหุงร้อนๆ บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารหน้าตาน่าทาน อย่างที่ปกติเขาคงไม่มีวาสนาจะได้ลิ้มกิน

ต้มยำกุ้งที่ไม่ได้มีแต่เห็ด ข่า กับตะไคร้ ใบมะกรูด แต่ว่ามีกุ้งแม่น้ำตัวโตลอยอยู่จริงๆ ไข่เจียวปูฟูนุ่มแผ่กว้างจนเต็มจาน ขาหมูทอดส่งกลิ่นหอมนำหน้าใครยิ่งทำเอากระเพาะเขาปั่นป่วน น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปแตะช้อนส้อม จนใครอีกคนต้องเอ่ยขึ้นก่อน

“กินสิ หรือว่าต้องตักให้ด้วย?”

“เอ่อ พี่เสาร์ตักก่อนเลยครับ”

กุ้งสีสดย้ายจากถ้วยใบใหญ่มาอยู่บนจานข้าวเขา ตามด้วยไข่เจียว แล้วก็หมูชิ้นโต

“กินเข้าไปเยอะๆ ฉันไม่อยากนอนกับก้างปลา”

ก้างปลา? พูดอะไรโอเวอร์ ถ้าเขาเป็นก้างปลา ตัวเองก็เป็นฉลามวาฬแล้วสิ เออเนี่ย ต้องใช่แน่ๆ เลย เป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนกันด้วย

นับหนึ่งบ่นอุบอิบอยู่ในใจ แต่ก็ยอมตักอาหารเข้าปากโดยดี นี่อาจเป็นเรื่องที่ไม่เลวร้ายนักตั้งแต่ชะตากรรมของเขาต้องมาผจญกับมารร้ายต่างๆ นาๆ กับข้าวมื้อนี้อร่อยที่สุด เท่าที่ในชีวิตนี้เคยกิน

“พี่ละเมียดกับพี่ละไมเป็นคนทำอาหารเหรอครับ?”

“ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ?” ละเมียดรีบขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าตื่นตกใจแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ

“อร่อยมากเลยครับ ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”

“ขอบคุณค่ะ งั้นคุณหนึ่งก็ทานเยอะๆ เลยนะคะ”

“ครับ”

“พรุ่งนี้” วันเสาร์เปรยขึ้น เรียกความสนใจของเขากลับมา “จะพาไปซื้อของ”

“ซื้อของ?”

“พวกเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้ของนาย”

“พี่เสาร์จ่ายเงินให้หมดเลยเหรอครับ?”

“อืม”

โห เลี้ยงดีว่ะ

เขาพยักหน้าตอบรับ แล้วหันมาสนใจจานข้าวดังเดิม เป็นอันว่าจบบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ และเขาก็ไม่กล้าพูดขัดให้โดนดุว่าเสียมารยาทด้วย

วันเสาร์…คนที่พรากทั้งชีวิตและความหวังไปจากเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนผู้มอบชีวิตและความหวังใหม่มาให้เช่นกัน แต่ชีวิตและความหวังนั้นมันก็ถูกขีดเส้นอยู่แค่ภายใต้ปีกของอีกฝ่าย เป็นแค่ชีวิตใหม่ในฐานะ สมบัติ ของคนอื่นเท่านั้น มันจึงยากที่จะบอกว่า คนคนนี้…ดีหรือร้าย

แต่บางที…คนที่ดูเหมือนใจร้าย อาจจะใจดี ก็ได้มั้ง…



------------------------------------------------------------------------------
นักอ่านหายไปแล้ว แต่นักเขียนยังอยู่ 5555 :katai4:
#นับหนึ่งถึงเสาร์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2018 09:05:35 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เอาใจช่วยนับหนึ่งให้ถึงเสาร์นะค๊ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สี่



“เอ่อ…” ช้อนส้อมรวบวางอยู่กลางจานข้าวว่างเปล่า “แล้วคืนนี้ จะให้ผมนอนที่ไหนครับ?”

เจ้าของบ้านนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะเงยหน้าตั้งคำถามกับคนรับใช้ทั้งสอง พี่ละไมยกถ้วยชามอาหารกลับไปเก็บในครัวหลังบ้าน พี่ละเมียดหยุดมือที่กำลังจะเช็ดโต๊ะ

“ห้องรับรองยังไม่ได้จัดเลยค่ะ แอร์ฯ เสียอยู่ด้วย”

วันเสาร์พยักหน้า เขาก็พอจำได้ว่าครอบครัวนี้ไม่มีแขกมาขอพักอาศัยนานแรมปี ห้องนอนสำรองที่สร้างเผื่อไว้จึงถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย แถมป่านนี้ฝุ่นคงเกรอะกรังไปหมด ส่วนจะให้ไปนอนห้องของพ่อกับแม่ยิ่งไม่เหมาะไปใหญ่

“ผมเห็นห้องตรงข้ามห้องพี่เสาร์เหมือนจะว่าง อันนั้นห้องใครเหรอครับ?” นับหนึ่งเอ่ยถาม แต่กลับถูกสายตาดุดันตวัดกลับมา รวมทั้งบรรยากาศมาคุประหลาด

“ห้ามไปยุ่งกับห้องนั้นเด็ดขาด”

“ค...ครับ”

“ช่วงนี้นายก็นอนกับฉันไปก่อน” เขาตัดสินใจ แล้วโบกมือไล่ให้คนตัวเล็กขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า ชุดนอนผ้าฝ้ายคอปกของวันเสาร์ถูกวางเตรียมไว้ให้เปลี่ยนชั่วคราว

แต่ก็อย่างว่า คนสูง 160 เซนติเมตร จะเอาอะไรไปเทียบกับพวกยักษ์วัดแจ้ง เสื้อแขนสั้นตกลงมาถึงกลางข้อศอก ชายระอยู่กับต้นขา กางเกงไม่ต้องพูดถึง หลวมโพรกใส่ไม่ได้ถึงขนาดต้องหาหนังยางมาผูกเป็นปม พับอยู่หลายทบกว่าปลายกางเกงจะพ้นตาตุ่ม ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายกับเด็กประถมขโมยเสื้อผ้าคุณพ่อมาสวมเล่นยังไงยังงั้น

“ฉันจะลงไปอ่านหนังสือข้างล่าง นายก็นอนซะ”

เจ้าของห้องพูดแกมบังคับ หลังจากกลับออกมาจากห้องน้ำ สบู่กลิ่นเดียวกันมันทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้พิกล นับหนึ่งก้มหัวตอบรับอย่างว่าง่าย จนเมื่อสิ้นเสียงบานประตูไม้ เขาจึงลอบถอนหายใจยาวเหยียด มันคือระยะเวลาเพียงแค่ 1 คืน กับอีก 1 วัน เท่านั้น ที่เขาถูกลากตัวมาอยู่ใต้ชายคาวุฒิเวคินทร์ แต่มันกลับเหนื่อยราวกับผ่านพ้นมาแล้ว 1 ปี

เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะอ่อนแอได้มากแค่ไหน จวบจนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายของเขายังคงปวดร้าวไปเสียแทบทุกส่วน อาการเพลียส่งให้เปลือกตาหนักขึ้นถนัด เผลอจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราไปโดยไม่ทันรู้ตัว

ในขณะเดียวกัน วันเสาร์ที่บอกว่าจะลงมาอ่านหนังสือ ก็ดูเหมือนจะตั้งสมาธิกับตัวอักษรตรงหน้าได้ไม่ดีเท่าไรนัก หนึ่งใจ เขาเป็นห่วงน้องชายที่กำลังเดินทางไปต่างจังหวัด อีกหนึ่งความคิดเอาแต่วกวนอยู่กับการรับตัวนับหนึ่งเข้ามาไว้ในอุปการะ คนอย่างเขา หากมองเผินๆ ก็คงคิดว่าเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็ง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงเปลวไฟสีน้ำเงินหุนหัน และการตัดสินใจในครั้งนี้ ส่วนตัวเขาเอง ยังแอบคิดว่าใจร้อนยิ่งกว่าครั้งไหน

แต่หากให้ย้อนเวลากลับไป ดวงหน้าหวานใสเปรอะเปื้อนร่องรอยความเศร้า สายตาแข็งกร้าวกล่าวโทษ กับน้ำเสียงเจ็บปวดสุดแสน ทั้งหมดนั้น ก็คงจะทำให้เขาเลือกอย่างเดิมอยู่ดี

พูดตรงๆ เด็กผู้ชายชื่อนับหนึ่งคนนั้น กำลังทำให้เขาสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง…ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว…

หนังสือในมือวางลงบนโต๊ะกระจก หยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นแทนที่ เขากดเบอร์ของวันศุกร์ลงไปอย่างแม่นยำ ไม่นานนัก เสียงปลายสายก็ตอบรับ แต่กลับทำให้เขาขมวดคิ้วแทบเป็นโบ

“ครับ พี่เสาร์” เป็นกันติกรณ์ที่กำลังคุยกับเขา

“ศุกร์ล่ะ?”

“ศุกร์อาบน้ำครับ”

“ถ้าเสร็จแล้ว ให้ศุกร์โทรกลับหาฉันด้วย”

“พี่เสาร์มีอะไรหรือเปล่าครับ ถามผมก็ได้ ศุกร์เหนื่อย ผมอยากให้พักผ่อนไวๆ”

ฝ่ามือกระชับเครื่องสื่อสารแน่น ใบหน้าเรียวตึงขึ้นทันที ถ้าอยู่ต่อหน้า เขาอาจจะเผลอต่อยนายกันติกรณ์ล้มคว้ำไปแล้วก็ได้

“ทำไมถึงเหนื่อย พาน้องฉันไปทำอะไรที่ไหนมา”

“ศุกร์เล่นทะเล แล้วก็ไปเดินตลาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย จะไปไหว้พระกันครับ”

น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเล็ดรอดออกจากลำคอ แม้ว่าจะพยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่สุด

“งั้นพรุ่งนี้เช้าก็ให้ศุกร์โทรหาฉันด้วย”

“โอเคครับ”

วันเสาร์ตัดสาย โยนมือถือทิ้งบนโซฟา แล้วตะโกนเรียกแม่บ้านให้หยิบขวดเหล้าออกมา ทั้งที่คืนนี้เขาไม่ได้กะจะดื่ม แต่ดูเหมือนต้องเปลี่ยนแผน เพราะเลือดในกายมันกำลังสูบฉีดหลังจากวางสายกันติกรณ์ไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้กระทั่งตอนนี้ ลึกๆ ในใจเขาก็ยังไม่อยากจะยอมรับผู้ชายคนนั้น หรือคนไหน ให้มาอยู่เคียงข้างน้องชายสุดรักสุดหวง ยิ่งไอ้คำพูดคำจาวางท่าเหนือกว่าแบบนั้น มันยิ่งทำให้เขาชังขี้หน้านัก

น้ำสีอำพันถูกรินลงท้องแก้วแล้วแก้วเล่า ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท คล้ายกับจิตใจเขาที่นับวันยิ่งมืดมน นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาห้าทุ่มกว่า เขาทิ้งทุกอย่างไว้ระเกะระกะ ค่อยๆ พาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องนอน

เสียงประตูกับแสงไฟที่ลอดผ่านเข้ามา ทำให้ร่างบนเตียงขยับ นับหนึ่งขยี้ตาสองสามทีแล้วหันไปจัดที่นอนให้เข้าทาง ไม่ลืมย้ายหมอนข้างมาวางกั้นกลางตามแผน แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไร เมื่อคนตัวสูงโถมเข้าหาทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูก

“พะ พี่เสาร์”

ไม่มีเสียงขานรับนอกจากแรงรั้งคอเสื้อจนมันเปิดกว้าง ฟันซี่คมขบลงบนบ่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกัดแรงๆ

“โอ้ย พี่เสาร์จะทำอะไรครับ”

ถึงจะไม่ตอบแต่ก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่มาชวนไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ร่างกายอ่อนล้าถูกผลักนิดเดียวก็ล้มลงนอนแผ่ คนที่ดูท่าว่าเมาแน่ๆ เคลื่อนตัวขึ้นคร่อมทับเขาไว้ ริมฝีปากร้อนบดขยี้ลงกับลำคอ ไล่ระดับลงเรื่อยๆ พร้อมกับมือซุกซนที่เริ่มดึงกางเกงเขาออก

“พี่เสาร์ อย่าครับ” น้ำเสียงหวาดกลัวแกมร้องขอไม่ได้ช่วยทำให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่อย่างใด “ผม…ยังเจ็บอยู่เลย”

นับหนึ่งพยายามดันแผงอกกว้างด้านบนออกห่าง แต่จากสรีระและกำลัง เขากลับทำได้แค่วางมือแหมะไว้เฉยๆ ปล่อยให้คนตัวใหญ่ซุกไซ้รุกล้ำใกล้ชิดไม่ต่างจากฝันร้ายในค่ำคืนแรก เรียวขาสั่นระริกถูกยกพาดลาดไหล่กว้าง ส่วนแข็งขืนกำยำสอดแทรกผ่านช่องทางบวมแดงไม่หาย

น้ำตาหลั่งรินพร้อมกับแรงกัดริมฝีปากหนักๆ เพื่อสะกดกลั้นทุกความเจ็บปวด เตียงหลังใหญ่ไหวคลอนไปตามจังหวะการกระแทกหยาบโลน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้า ความร้อนพวยพุ่งสุมอยู่ในอก เสียงกรีดร้องสลับอาการหอบเหนื่อยดังก้องทั่วทั้งห้อง ใบหน้าทรมานแดงซ่านด้วยความอับอายอีกทั้งสุดฝืนทน

สัมผัสนุ่มหยุ่นกดไปตามลำตัวเขาแทบจะทุกส่วน เสียงครางต่ำบางคำที่เขาได้ยินไม่ถนัด และไม่ค่อยเข้าใจดังขึ้นแว่วๆ

“ศุกร์…ฮั่ก…พี่รัก ศุกร์”

เปลือกตาหนักอึ้งปิดตัวลง สองมือจิกกำผ้าปูที่นอนจนมันแทบหลุดออกมาทั้งผืน น้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้ง พร้อมกับของเหลวอุ่นร้อนภายในร่างกาย วันเสาร์ทิ้งตัวลงกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

หากแต่อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ มันช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน…



-----------------------------------------------



เมื่อเช้าตรู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้ร่างเล็กรู้สึกตัวตื่น เขายังคงร้องไห้ไม่หยุดทุกครั้งที่ลืมตา ร้องจนเหนื่อยแล้วก็หลับไป เป็นแบบนั้นอยู่สักสองรอบ ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาสายโด่ง วันเสาร์เดินกลับเข้ามาในห้องเมื่อไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญหูแล้ว

เจ้าของขอบตาแดงช้ำรีบถดตัวหนีตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกสายตาเรียบนิ่งจ้องกลับมา ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไร

“ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”

นับหนึ่งพยักหน้าน้อยๆ หากยังคงนั่งเฉย จนคนมองขมวดคิ้ว เดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานก่อนจะเอ่ยซ้ำเสียงต่ำ

“ยังไม่ไปอีก”

“เอ่อ…พี่เสาร์จะทำอะไรผมอีกรึเปล่าครับ” จะได้เตรียมใจตายแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าโดนอีกตอนนี้ก็คงต้องตายแน่นอน

“ไม่ทำ ไม่มีอารมณ์”

อีกฝ่ายตอบกลับเสียงห้วน เอกสารบางเล่มถูกหยิบออกมาจากลิ้นชัก เมื่อวางใจได้แล้วว่าคนตรงหน้าคงไม่ใจร้ายหรือบ้าขนาดจับเขากดเอากลางวันแสกๆ ถึงเริ่มขยับตัว หากก็ยากเย็น ในเมื่อกล้ามเนื้อยังปวดระบม แถมเรี่ยวแรงก็แทบจะถูกสูบไปหมดสิ้น

เรียวขาบางแตะลงบนพื้นไม้ ทันทีที่ยกตัวพ้นจากฟูก ร่างทั้งร่างก็พลันทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างกับเศษผ้าเปียก แน่นอนว่าคนบนเก้าอี้เพียงแค่เหลือบตามองแวบเดียว ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามให้เสียน้ำลาย

เขาแทบจะคลานเข้าไปถึงห้องน้ำ เสื้อผ้าตัวเดิมของตัวเองถูกซักแขวนไว้ให้เสร็จสรรพ ถ้าอยู่แบบนี้นานๆ เขาว่าเขาคงได้กลายเป็นผักเน่าเพราะช้ำในตาย นอกจากรอยดูด ก็ยังมีรอยบีบแดงเป็นจ้ำๆ ไปทั่วทั้งรอบข้อมือ ต้นแขน ต้นขา แม้แต่ข้อเท้าก็ไม่เว้น

โหดเหี้ยม ซาดิสม์ ใจร้าย ไม่อ่อนโยน!

โชคดีที่พออาบน้ำเสร็จแล้ว บังเอิญพี่ละเมียดยกของว่างมาประเคนให้คุณชายพอดี แกก็ใจบุญ ช่วยประคองเขาลงไปกินข้าวด้านล่าง แถมยังจัดการหายาแก้ปวดให้อีก

“ขอบคุณมากนะครับ” เขารับแผงยามาเขินๆ แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนมาจากทางบันได

“กินข้าวเสร็จรึยัง?”

“เสร็จแล้วครับ”

“แล้วนั่นอะไร?” วันเสาร์หรี่ตามองสิ่งแปลกปลอมในมือเขา

“เอ่อ…ยาแก้ปวดครับ”

สายตาเรียบนิ่งไม่สื่อความรู้สึกใดๆ เก้าอี้ตรงข้ามถูกเลื่อนออก ร่างสูงโปร่งน่าอิจฉานั่งเฝ้าเขากลืนยาลงท้อง ก่อนจะไม่พ้นกัดคำโต

“สำออยเหมือนกันเนอะ”

ดวงตากลมเบิกกว้าง เผลอกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะแรงๆ อย่างไม่กลัวจะโดนว่า “ลองมาโดนบ้างไหมล่ะครับ เจ็บก็เจ็บ ปวดก็ปวด บอกให้หยุดก็ไม่ยอมฟังกันเลย”

“ห้ามบ่น เพราะนั่นมันหน้าที่ของนาย”

เขาเบะปาก พรวดพราดลุกขึ้น แต่ก็ต้องรีบคว้าเอาขอบโต๊ะไว้เพื่อไม่ให้หงายหลังลงไปก่อน วันเสาร์พ่นลมหายใจหนักๆ ออกทางจมูกเหมือนจะรำคาญ แล้วเข้ามาคว้าต้นแขนเขาลากออกไปถึงประตูหน้าบ้าน ไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักคำ

“จะ…จะไปไหนครับ?”

“ซื้อของไง”

นับหนึ่งได้แต่ร้องอ๋อในใจ ปล่อยให้วันเสาร์รั้งตัวเองเข้าไปถึงเบาะข้างคนขับบนรถคันคุ้นเคย…ก็คันเดิมกับเมื่อคืนนั้นนั่นแหละ

คนโตกว่าจัดการรัดเข็มขัดนิรภัยให้ ก่อนจะเริ่มเดินหน้าเครื่องยนต์ ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงห้างสรรพสินค้าตั้งตระหง่านติดริมถนน ร้านเสื้อผ้าราคาแพงเป็นด่านแรกที่เขาถูกลากเข้าไป พนักงานหนุ่มออกสาวคอยบริการอย่างใกล้ชิดจนอดเกรงใจไม่ได้

“เลือกมาหลายๆ ชุด เลย”

“ครับ” เขาตอบรับว่าง่าย เพราะไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

ดี จะเหมาทั้งห้างไปเลย!

“เชิญทางนี้ครับ”

นับหนึ่งเดินตามไปทางราวเสื้อผ้าละลานตา อีกทั้งสารพัดรองเท้าบนชั้น พนักงานช่วยแนะนำเขาเป็นอย่างดี คอยจับนู่น หยิบนี่ ใส่ตะกร้าให้ตลอด สุดท้ายก็จบลงที่ถุงกระดาษกองโต ขนาดว่าต้องใช้บริการร้านให้หิ้วไปเก็บถึงในรถ ของทั้งหมดดูสิ้นเปลืองและเกินกำลังเขาไปไกลลิบตา หากว่าคงไม่กระเทือนขนหน้าแข้งคุณชายวันเสาร์เท่าไร

พวกเขาเดินมาถึงส่วนของซุปเปอร์มาเก็ต บรรดาสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ยี่ห้อประจำที่เขาเคยใช้ต่างวางสุมกันอยู่บนรถเข็น ขณะที่คนจ่ายเงินเดินหายไปทางตู้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลองๆ กวาดตามอง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะครบสมบูรณ์แล้วสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายใต้ชายคาแปลกหน้า ยกเว้นก็แต่…

ล้อหมุนวงเล็กหันเลี้ยวไปทางชั้นวางขนมคบเคี้ยวและของกินเล่น ดวงตากลมเบิกกว้างเป็นประกายอย่างกับเด็กเล็กๆ นับหนึ่งยืดตัวขึ้น ปลายนิ้วเขี่ยเอามันฝรั่งทอดกรอบห่อบิ๊กไซส์ แต่ยังไม่ทันคว้าได้ ก็ถูกมือปริศนาของใครบางคนด้านหลังแย่งไปซะก่อน

สายตาสงสัยสลดลงเมื่อพบว่าเป็นใคร

“หยิบแต่ขนม” วันเสาร์เอ็ด เหลือบมองกล่องป๊อกกี้กับซองช็อกโกแลตที่เขาหยิบมาก่อนแล้ว

“ก็ผมอยากกินนี่”

คนตัวสูงส่ายหน้า แต่ก็ยังยอมโยนถุงขนมในมือใส่รถเข็น หันไปหยิบเพิ่มสองสามอย่าง ก่อนจะพาไปจ่ายเงิน เขาสังเกตว่าพนักงานแคชเชียร์แอบมองวันเสาร์อยู่เรื่อย แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะปฏิเสธไม่ออกว่าไม่หล่อ พวกผู้หญิงทั่วไปก็คงโดนหลอกล่อให้หลงได้ไม่ยาก

“น้องชายน่ารักนะคะ” เธอพักมือที่ถือเครื่องแสกนบาร์โค้ด ส่งยิ้มพิมพ์ใจไปทางลูกค้าร่างสูงโปร่ง ทำทีเป็นเอ่ยชมเขาหน้าตาเฉย ทั้งที่ยังไม่เห็นว่าเธอจะหันมามองหน้าเขาตอนไหน รู้ได้ไงว่าน่ารัก ถึงจะจริงก็เหอะ

“ไม่ใช่น้องครับ”

ไม่ใช่แค่คนหลังเคาน์เตอร์ที่ชะงักกับคำตอบนั้น เขาเองก็ด้วย อย่าบอกนะว่าจะบอกว่าไม่ใช่น้อง แต่เป็นเมี…

“คนใช้”

อืม!!

“อ…อ๋อ ขอโทษทีค่ะ” พนักงานก้มหัว รีบหันกลับไปตั้งใจทำงานต่อ

ข้าวของในถุงถูกวางกลับลงในรถเข็นคันเดิม วันเสาร์เดินตัวลอยนำหน้าเขาไปยังทางออกสู่ลานจอดรถ ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้วรวดเร็วเกินกว่าที่คิด เราออกจากบ้านมาช่วง 4 โมง เผลอแป๊บเดียวจะค่ำแล้วเหรอเนี่ย

“พี่เสาร์ ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ” เขารีบถามก่อนจะเดินพ้นประตูห้าง อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ปล่อยให้เขาวิ่งดุกดิกไปทำธุระส่วนตัว ไม่ได้มีท่าทีกังวลว่าเขาจะหัวหมอหาทางหนีไปสักนิด

ซึ่งก็นับว่าคิดถูก เพราะเขาเลิกคิดหนีไปแล้ว วันเสาร์น่ะแตกต่างจากเจ๊หมวย ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วเขาถูกช่วยไว้ ถ้ายังอยู่กับเจ๊หมวย เขาก็เป็นได้แค่สินค้ารอวันหมดอายุและเน่าเปื่อยตายไปเท่านั้น แต่กับวันเสาร์ หากตัดเรื่องบนเตียงกับอัธยาศัยห่วยแตกออกไป เขาก็ยังได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง ยิ่งกับโชคชะตาที่ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก เขาคิดว่าทางนี้ พระเจ้าก็คงปราณีที่สุดแล้ว

นับหนึ่งกวักน้ำจากก๊อกเพื่อล้างหน้าล้างตา ก่อนจะก้าวไวๆ กลับออกไปด้านนอกเพื่อไม่ให้คนรออารมณ์เสีย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินผู้ชายอย่างวันเสาร์ไว้สูงเกินไปหน่อย…คนแบบนั้นมีเหรอ จะมารอคนแบบเขา

“พี่เสาร์” ปากบางเผลอเรียกชื่ออีกฝ่าย ขณะกวาดตามองไปรอบๆ

วันเสาร์หายไปแล้ว…



------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2018 17:18:55 โดย mooaiir »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง ห้า



“ไม่สบาย!”

“เอ่อ…แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อยครับ”

“พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”


นั่นคือบทสนทนาผ่านสายโทรศัพท์เมื่อครู่ ระหว่างรอนับหนึ่งเข้าห้องน้ำ เขาก็ได้โอกาสโทรถามไถ่น้องชาย ซึ่งตามแพลน จะต้องกลับจากต่างจังหวัดวันนี้ และนี่ก็ควรถึงกรุงเทพฯ ได้แล้ว แต่เรื่องไม่คาดคิดมันก็เกิด เมื่อวันศุกร์แบกไข้กลับมาบ้านด้วย ในฐานะของพี่เขาคงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้

แค่ได้ยินว่าศุกร์ป่วย ใจเขามันก็ร้อนรนจนคุมไม่อยู่ ขายาวสาวไวๆ ไปทางรถยนต์ รีบขับไปทางถนนมุ่งสู่คฤหาสน์ตระกูลเดชะภักดีของนายกันติกรณ์ทันที เขาไม่สนใจว่าวันศุกร์จะห้าม หรือว่าจะปกป้องคนรักตัวเองยังไง เขาต้องไปให้เห็นกับตาว่าน้องเขาไม่เป็นอะไร และแน่นอนว่าต้องไปเอาเรื่องไอ้คนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลศุกร์อย่างดี แต่ก็ไม่เคยทำได้ด้วย

เขาเพิ่มแรงเหยียบคันเร่งหลังพ้นแยกไฟแดง แม้ว่าจุดหมายไม่ได้อยู่ใกล้เท่าไร แต่ก็สามารถไปถึงได้ในเวลาไม่นาน เหล่าแม่บ้านต่างพากันออกมาต้อนรับจ้าละหวั่น ทั้งสีหน้าตื่นตระหนกกันหมด

“ศุกร์อยู่ไหน?”

“บะ…บนห้องนอนคุณกันต์ค่ะ”

เกศราไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ดี เพราะเกศไม่อยู่ เขาถึงยิ่งไม่ไว้ใจให้น้องชายคนนั้นของเธอมาคอยดูแลน้องชายของเขาในเวลาป่วยไข้ตามลำพัง แต่ก็เพราะเกศไม่อยู่ เขาถึงได้กล้าเดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดบ้านคนอื่น โดยไม่ต้องเกรงใจคนเป็นเพื่อน

“ศุกร์” เสียงทุ้มเรียกความสนใจจากสองชีวิตภายในห้องกว้างขวาง กันติกรณ์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก้มหัวทักทายผู้มาเยือนตามมารยาท

ร่างบางบนเตียงขยับลุกนั่ง “พี่เสาร์ ศุกร์บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องมา”

“ได้ยังไง ศุกร์ไม่สบายแบบนี้พี่เป็นห่วง”

“ศุกร์ไม่ได้เป็นอะไรมากเลยนะครับ”

“แค่นิดเดียวพี่ก็เป็นห่วง แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยัง?”

“กินแล้วสิครับ” วันศุกร์รีบตอบ ตากลมเหลือบมองนาฬิกาฉายตัวเลขเกือบสามทุ่ม ถ้าเวลานี้คนป่วยยังไม่มีอะไรลงท้อง คงไม่ใช่เขาที่จะเดือดร้อน แต่พี่กันต์นั่นแหละจะตายและเขาคงไม่ยอมด้วย

“แล้วยาล่ะ?”

“ยาก็กินแล้วครับ”

“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ป่วย ปกติศุกร์ไม่ใช่คนป่วยง่าย”

“เอ่อ…” เขาหันมองหน้าคนรักเลิ่กลั่ก จะบอกได้ยังไงว่าพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะโดนกวนใจตลอดทั้งคืน “ตอนเช้าก็ร้อน ตอนกลางคืนก็หนาว ศุกร์ปรับตัวไม่ทันเลยป่วยอะครับ”

“ครับ สงสัยโดนลมทะเลด้วย”

กันต์ช่วยเสริม แต่กลับถูกสายตาแข็งกร้าวของคนเป็นพี่เขยตวัดใส่ หุบปากแทบจะไม่ทัน

“ไม่ได้ถามนาย”

“พี่เสาร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ไข้นิดหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว”

ร่างสูงชั่งใจอยู่นานพอตัวกว่าจะยอมพยักหน้าอย่างจำนน วันเสาร์ขยับเข้าใกล้ ฝากจุมพิตบางเบาไว้กับขมับ ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมกายให้ เขาใช้เวลาพูดคุยกับน้องชายต่ออีกไม่กี่นาที ก่อนจะถูกไล่กลับบ้าน

“ขับรถดีๆ นะครับ ถึงบ้านแล้วบอกศุกร์ด้วยนะ”

“อืม เราก็พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ”

วันศุกร์พยักหน้า บีบมือหนาทิ้งท้ายเหมือนอยากจะสื่อสารบางคำออกไป ซึ่งเขาก็เข้าใจดี ว่าไม่ต้องการให้เขาต่อว่าอะไรกันติกรณ์ ทั้งที่จริงเขาอยากจะต่อยหน้ามันเลยด้วยซ้ำ

“ดูแลศุกร์ให้ดี ถ้าเป็นอะไรอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่” วันเสาร์ชี้นิ้วบอกเจ้าของบ้าน ซึ่งยังปั้นหน้ากวนประสาททุกครั้งที่เจอกัน

เขาพาตัวเองขึ้นรถ ตรงกลับบ้านในเวลาค่ำ บรรยากาศตลอดสองข้างทางแลดูมืดหม่น ความเงียบและแสงไฟริมถนนจุดความเหงาในใจเขา เป็นอีกครั้งที่รู้สึกหงุดหงิด…ตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่อยากหลุดพ้นจากความรู้สึกอึดอัดน่ารำคาญนี้ แต่เขายังไม่สามารถปล่อยวางจากอดีต

วันศุกร์…เด็กคนนั้น สำหรับเขา ก็ยังคงเป็นที่รักหนึ่งเดียว ซึ่งไม่อาจตัดขาดได้…

พี่ละเมียดวิ่งออกมาเปิดประตูบ้าน พร้อมกับพี่ละไมที่ตามมาชะเง้อชะแง้คอมองหาอะไรบางอย่าง ใบหน้าฉงนสงสัยทันทีที่เขาก้าวขาลงจากรถ ทำให้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คุณเสาร์ แล้วคุณหนึ่งล่ะคะ?”

อ่า…หมอนั่น ลืมไปซะสนิทเลย

“ยังไม่กลับมาอีกเหรอครับ?” เขาแกล้งถามกลับ เด็กอย่างนับหนึ่งถึงจะดูโง่เง่าไปบ้างบางที แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ฉลาด คงไม่บ้าถึงขนาดนั่งรออยู่ที่เดิมนานเป็นชั่วโมงๆ หรอกมั้ง และเขาก็มั่นใจว่าคงไม่คิดตื้นพอที่จะหนีไปด้วยเช่นกัน

“ยังเลยค่ะ แล้วไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอคะ?”

“พอดีศุกร์โทรมาบอกว่าไม่สบาย ผมเลยรีบขับรถไปหา”

ทั้งสองคนรับฟังนิ่งๆ เพราะทราบเรื่องที่วันศุกร์ไม่สบายแล้ว แต่ก็ไม่น่าต้องห่วงมากเพราะยังไงก็มีกันติกรณ์คอยดูแลใกล้ชิด ต่างกับสมาชิกใหม่อีกคน “อย่าบอกนะคะว่าคุณเสาร์ทิ้งคุณหนึ่งไว้ที่ห้าง”

กำลังจะบอกเลยต่างหาก…

“เอ่อ…ผมก็นึกว่าเขาจะกลับมาเองแล้ว”

แม่บ้านเก่าแก่ ใช้ชีวิตเลี้ยงดูคุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์มากว่า 10 ปี จึงกล้าพูดได้ว่าเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว ละเมียดส่ายหน้าให้กับความคิดของเจ้านายตัวเอง พลางอธิบายเสียงแข็ง

“คุณหนึ่งจะกลับมาได้ยังไงคะ เงินติดตัวก็ไม่มี เส้นทางแถวนี้ก็ไม่รู้ ป่านนี้ไม่นั่งรอจนเมื่อยแล้วเหรอคะ”

“ห้างก็น่าจะปิดแล้วด้วย คุณเสาร์รีบกลับไปรับคุณหนึ่งเถอะค่ะ”

พี่ละไมถือวิสาสะเข้ามาดันหลังเขาให้กลับขึ้นรถ เธอผายมือไปทางประตูบ้านซึ่งยังเปิดอ้ากว้างอยู่ และเขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟังแต่โดยดี เพราะเมื่อฉุกคิดตามคำพูดของทั้งคู่แล้วก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้เขาทำผิดจริง ดีไม่ดี เด็กนั่นอาจจะนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วก็ได้

เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเคลื่อนตัวสู่เลข 10 พอดีเป๊ะ อยู่ดีๆ เสียงสะอื้นคุ้นหูก็กลับย้อนเข้ามาหลอกหลอนอยู่ภายในหัว รวมทั้งความรู้สึกแปลกๆ เพียงวูบหนึ่ง

ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กนั่น ก็คงดี…



-----------------------------------------------



ล้อรถเข็นหยุดตัวลงบริเวณมุมหนึ่งของลานจอดรถชั้นดาดฟ้า ซึ่งขณะนี้เกือบโล่งเปล่า ลูกค้าห้างสรรพสินค้าเริ่มทยอยเดินออกจากตัวอาคาร เตรียมตัวกลับบ้าน ยกเว้นแต่เขาที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง เพราะถูกใครบางคนทอดทิ้งหน้าตาเฉย แถมไร้ซึ่งหนทางติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ของวันเสาร์หรือที่บ้านเขาก็ไม่รู้ เส้นทางแถวนี้เขาก็ไม่คุ้น เอาจริงๆ ชื่อหมู่บ้านอะไรเขาเองยังจำไม่ได้ ซ้ำร้ายไม่มีเงินติดตัวแม้สักแดงเดียว ก็คงไม่กล้าขยับไปไหนหรอก

ข้าวของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตยังคงกองเต็มรถเข็น และเขาก็จนปัญญา นอกจากอดทนนั่งรออยู่เฉยๆ และภาวนาว่าคนใจร้ายคนนั้นจะย้อนกลับมารับ

ความคิดตื้นเขินอย่างเช่นว่าวันเสาร์อาจเป็นคนดี ถูกลบออกจากเซลล์สมองแทบจะทันที คงจะไม่มีคนดีที่ไหนปล่อยเด็กตาดำๆ ทิ้งไว้ให้เผชิญห่ายุงกับละอองน้ำค้างเพียงลำพังแบบนี้

พี่เสาร์นิสัยไม่ดี…ค่าตัวเขาตั้งล้านนึงนะ มาทิ้งๆ ขว้างๆ ได้ยังไง

“ไอ้หนู มานั่งทำอะไร?” เสียงเรียกจากลุงรปภ. ดึงสติเขากลับมา

“เอ่อ ผมรอคนมารับครับ”

“แต่ห้างปิดแล้วนะ”

“ผม…ผมขอนั่งรอตรงนี้อีกแป๊บนึงได้ไหมครับ” เขาหันมองไปรอบๆ ยังคงมีรถคันอื่นจอดทิ้งไว้ไม่กี่คัน โรงหนังกับลานจอดรถก็ยังไม่ปิด คงพอยื้อเวลาได้อีกสักพัก

“นี่หลงทางกับพ่อแม่หรือเปล่า ไปนั่งกับลุงก่อนดีกว่า”

คนในเครื่องแบบดึงข้อมือเขาให้ยืนขึ้นเต็มความสูง แรงกระชากทำเอานิ่วหน้า ท้องฟ้าเหนือหัวยิ่งมืดลงทุกขณะ ไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้สักคน เขาก้มหัวเล็กน้อย เลี่ยงปฏิเสธเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักไม่น่าไว้ใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอนั่งรอตรง…อึ่ก!”

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้ากับหน้าท้องแบนราบ เรียวขาอ่อนแรงทรุดลงกับพื้น ดวงตากลมสั่นไหวยามถูกดึงกลับไปในวงแขนไม่คุ้นเคยน่ารังเกียจ เสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายทำให้เขานึกขยะแขยง ฝ่ามือกร้านตรงเข้าปิดปากเขาขณะตั้งท่าส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แม้จะพยายามขัดขืนหากก็ยากลำบากจากอาการจุกเมื่อครู่

น้ำตาเอ่อคลอเบ้ายามคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากไม่สามารถหลบหนีไปได้ ชะตากรรมที่เปลี่ยนไปแล้วของเขา มันกำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่ต้องการ

พี่เสาร์…

ปี๊นนนนนน!

เสียงแตรลากยาวดังรบกวนได้ถูกจังหวะ รปภ.ยอมผละออกจากเขา แสงไฟหน้ารถสาดกระทบจนต้องรีบหรี่ตาปิด ไม่ทันได้เห็นว่าคนขับหุนหันออกมาลากตัวยามคนนั้นไปต่อยหน้าไม่รู้กี่ครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงตุบตับกับเสียงร้องโอดโอยน่ากลัว แทบไม่กล้านึกภาพตาม

คนโดนกระทืบลนลานยกมือขอโทษขอโพย รีบคลานหนีออกไปจนไกลสุดลูกตา ฝีเท้าหนักหน่วงดังใกล้ พร้อมแรงรั้งให้เขาลุกขึ้น ใบหน้าถมึงทึงกับนัยน์ตาคมดุไม่ได้ทำให้เขานึกกลัว หากเป็นฝ่ายสมควรโกรธเคืองเสียด้วยซ้ำ

“ปล่อย” นับหนึ่งสะบัดหนีจากการเกาะกุม พยายามประคองตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม มือข้างหนึ่งยังคงกอบกุมท้องน้อยเอาไว้หวังบรรเทาความเจ็บ

“ขึ้นรถ”

คำสั่งเผด็จการไร้การตอบโต้ คนตัวเล็กเม้มปากแน่นสนิท แต่ก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายยังคงเอาแต่ทำเสียงแข็งใส่เขาไม่เลิก

“ฉันบอกให้ขึ้นรถ”

“พี่เสาร์ใจร้าย” ฝ่ามือสั่นเทาตรงเข้าผลักแผงอกกว้าง จมูกแดงรั้นสูดกลั้นอารมณ์สะอื้น “ทำไมถึงทิ้งผมไว้แบบนี้!”

คนตัวสูงย่นคิ้ว เขาว่าอีกฝ่ายคงลืมไปว่าตัวเองมาอยู่กับเขาในฐานะอะไร นับหนึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดพ้อหรือแม้กระทั่งขึ้นเสียง และทั้งๆ ที่เขามีเรื่องปวดหัวให้คิดจนรกสมอง แต่ยังยอมยืนฟังคำต่อว่าปาวๆ ก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว

“ถ้าจะทิ้งๆ ขว้างๆ กันแบบนี้ จะซื้อตัวผมมาจากเจ๊หมวยทำไม”

“หุบปาก แล้วกลับบ้าน” เขากดเสียงต่ำเพื่อส่งสัญญาณเตือน แต่ดูเหมือนเด็กตรงหน้าจะปีกกล้าขาแข็งเกินคาด เพราะนอกจากจะถอยห่างแล้วยังจ้องเขากลับเขม็ง

“ไม่กลับแล้ว!”

“นับหนึ่ง” นิ้วเรียวชี้หน้าคาดโทษ ดูเหมือนว่าเส้นความอดทนของเขาจวนเจียนขาดผึ่งเต็มที “ถ้าขยับอีกก้าวเดียว ฉันจะฆ่านายแน่”

คำขู่นั้นทำเอาคนตัวเล็กชะงัก เขาสูดน้ำมูก ก่อนจะใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ เป็นอีกครั้งที่เขานึกเกลียดตัวเองชะมัด เพราะความเข้มแข็งที่เคยมีมันถูกดูดกลืนหายไปหมดเพราะผู้ชายคนนี้อยู่เรื่อย มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น ตัดสินใจขยับขาออกอีกก้าว…

ตามด้วยเสียงคำรามอย่างที่เขาไม่ชอบเลย และก่อนจะทันตั้งตัวก็ถูกร่างหนาตรงเข้าประชิด บังคับฉุดข้อมือเขากลับขึ้นรถ มือใหญ่คว้าหมับเข้ากับคางมน แรงบีบเหลืออดทำให้เขาตื่นกลัวจนขนลุกชัน แค่จะขยับนิ้วก็ดันไม่กล้า

“อยู่เฉยๆ เข้าใจไหม”

วันเสาร์จัดการย้ายของใช้กับขนมที่ซื้อมาใส่กระโปรงหลัง ตามขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับ บรรยากาศตลอดทางเต็มไปด้วยความอึดอัดและน่าเกรงกลัว คนบนเบาะด้านข้างเอาแต่ก้มหน้างุดพลางส่งเสียงสะอื้นอีกครั้ง นับหนึ่งถูกลากเข้าห้องนอนทันที ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ได้ทักทายแม่บ้านทั้งสองซึ่งดูจะเป็นห่วงเขายิ่งกว่าเจ้าของชีวิตเขาซะอีก

ร่างบางถูกจับโยนลงบนเตียง ถูกคร่อมทับตามเดิมราวกับม้วนฟิล์มฉายซ้ำ น้ำตารื้นหยดแหมะพร้อมเสียงกรีดร้องในลำคอ วินาทีที่ฟันซี่คมกัดลงบนลาดไหล่ขาวชื้นเหงื่อ

“ออกไป…”

“ฉันจะลงโทษนาย” คำถามนับร้อยพันผุดขึ้นเต็มสมอง เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าการมาอยู่ภายใต้อาณัติของวันเสาร์มันจะดีกว่าการเป็นเด็กเล้าไร้ทางเลือกตรงไหน

“ลงโทษเรื่องอะไรครับ”

“โทษฐานที่นายทำให้ฉันหงุดหงิด”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น กำปั้นเล็กๆ ทุบตีลงกับต้นแขนแกร่งอย่างไม่คิดออมมือ เสียงตะคอกแหบพร่าพร้อมน้ำตาร่วงหล่นทำเอาคนมองนิ่งไป

“ผมผิดอะไรอะ! ความจริงผมควรเป็นฝ่ายโมโหมากกว่า อยู่ดีๆ พี่ก็ทิ้งผมไว้”

“นายไม่…”

ใบหน้าเนียนบูดเบี้ยว แดงซ่านด้วยความโกรธ ยังคงพ่นคำพูดระบายความในใจ ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเถียงกลับได้ทัน “ผมอยากกลับบ้านก็ไม่มีที่ให้กลับ ผมรออยู่คนเดียวตั้งนาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่จะกลับมาไหม แล้วผมจะไปไหนต่อ แล้วตอนนั้น ถ้าพี่มาช่วยผมไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะถูกทำอะไรบ้าง”

แรงสะอึกทำเอาอกบางกระเพื่อมรุนแรงจนตัวโยน วันเสาร์ขมวดคิ้ว จับจ้องไปยังนัยน์คู่สวยซึ่งบัดนี้กลับถูกบดบังด้วยม่านน้ำตา อะไรบางอย่างภายในจิตใจของเขาถูกสะกิดด้วยสุ้มเสียงสุดท้าย ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบลง หลงเหลือไว้เพียงเสียงร้องไห้เบาๆ

“ผมกลัว…”

คำพูดแค่สองพยางค์เท่านั้น ที่เป็นตัวหยุดเขา

ร่างสูงลอบถอนหายใจหนักหน่วง ยอมผละออกมานั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่บนปลายเตียง ปล่อยให้เด็กอีกคนในห้องนอนสงบสติอารมณ์อยู่แบบนั้นนานหลายนาที

เขาไล่นับหนึ่งไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินลงไปด้านล่าง เห็นว่าไฟในห้องครัวยังคงสว่างโร่

“คุณเสาร์ คุณหนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” พี่ละไมตรงเข้ามาถาม เขาไม่ตอบนอกจากส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่ละไม ช่วยชงโกโก้ให้ผมหน่อย”

“หือ คุณเสาร์จะดื่มโกโก้เหรอคะ?” เธอเลิกคิ้วสูงอย่างไม่มั่นใจนัก

“เปล่าครับ”

“อ่า” ละไมพยักหน้ากับตัวเอง เหมือนว่าจะพอเดาออก และนั่นก็ทำเอาเธอกลั้นยิ้มไม่อยู่ “ให้คุณหนึ่งสินะคะ”

“พี่รีบไปทำเถอะครับ”

“ค่าๆ”

วันเสาร์ส่ายหน้าอีกครั้ง แต่ด้วยความระอา เขาพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว สายตาเรียบนิ่งเหลือบมองไปยังเพดานสู่ชั้นสอง

ไอ้เด็กนับหนึ่ง…น่ารำคาญสิ้นดี และยิ่งน่ารำคาญที่สุดเวลาร้องไห้ เลวร้ายกว่านั้นก็คือ หมอนั่นร้องไห้บ่อยพอๆ กับกะพริบตา ร้องซะจนทำให้คนอย่างเขาเผลอรู้สึกผิด ทั้งที่ปกติเขาไม่จำเป็นต้องสนใจใครด้วยซ้ำ

“คุณเสาร์” ละไมตะโกนเรียก “คุณหนึ่งชอบดื่มแบบหวานหรือเข้มคะ?”

สงสัยคงลืมไปหมดแล้วมั้งว่านับหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ยังไม่ถึง 3 วันเต็ม แต่ดันถามอย่างกับว่าเขารู้จักหมอนั่นดี เอาจริง นอกจากชื่อนับหนึ่ง เด็กในเล้าเจ๊หมวย นิสัยขี้แย กับรอยปานจางๆ บริเวณสะโพกหลัง เขาก็ไม่คิดว่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายนั้นอีก



“หวานไป”

“ไม่หวานก็ไม่อร่อยสิครับ”

“พรุ่งนี้ให้ชงมาใหม่”



บทสนทนาไร้สาระซึ่งไม่ควรถูกบรรจุอยู่ในส่วนใดของสมอง มันกลับย้อนเข้ามาให้นึกถึงซะอย่างนั้น ถ้าคำว่าหวานสำหรับเด็กนั่นเท่ากับอร่อย งั้นก็คง…

“หวานครับ”

ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านประจำก็ยกแก้วเซรามิคสีขาวล้วน วางบนถาดรองเข้าชุดกันออกมา เธอตั้งท่าจะเดินไปทางบันได แต่กลับต้องสะดุดเมื่อเจ้าของร่างสูงเดินมาขวางหน้า แล้วชิงเอาเครื่องดื่มในมือไปถือไว้แทน

“เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปเองครับ พี่ละไมไปนอนได้แล้ว”

“เอางั้นเหรอคะ”

“ครับ” วันเสาร์กดเสียงต่ำ พยักเพยิดหน้าอย่างกับว่าจะไล่

เขากลับขึ้นไปบนห้อง ดูเหมือนนับหนึ่งเพิ่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี คนตัวเล็กหันมองเขาด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ เรียวขาขาวขยับหนีทุกครั้งที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายถดถอยจนชนกำแพงหมดทางหนีเสียเอง

โง่

“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า” แก้วอุ่นร้อนในมือถูกยื่นไปตรงหน้า “ดื่มซะ”

ดวงตากลมหรี่มองของเหลวสีน้ำตาลนมด้านใน นับหนึ่งย่นคอ มุ่นหัวคิ้ว ทำเอาเขาอยากลองราดโกโก้ใส่หัวสักทีดูเหมือนกัน ไม่รู้จะกระแดะสงสัยบ้าบออะไรปานนั้น

“โกโก้ พี่ละไมชงมาให้”

เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงคว่ำปากเล็กน้อย ยอมรับแก้วมากุมไว้ทั้งสองมือ จมูกโด่งรั้นจรดใกล้ขอบแก้ว ทำท่าฟุดฟิด สูดดมเอากลิ่นหอมยั่วน้ำลายเข้าปอด ถ้าพี่ละไมชงมาเขาก็ค่อยวางใจ แต่ถ้าบอกว่าวันเสาร์ชงให้ เขาจะรีบเอาไปเททิ้ง เพราะมันต้องใส่ยาพิษเอาไว้แน่ๆ

เรียวลิ้นเล็กหลอมรวมเป็นหนึ่งกับรสชาติหวานละมุนของผงช็อกโกแลตยี่ห้อดัง ส่วนผสมลงตัวทำให้โกโก้แก้วนี้ออกมาน่าประทับใจถูกปากเขาเป็นที่สุด

“หวาน…”

“แล้ว?”

เขาเผลออมยิ้มทั้งที่ควรจะโกรธ น้ำเสียงแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนเป็นสดใสในชั่ววินาทีอย่างกับเสกสรร

“อร่อยครับ”

และก็น่าตลกที่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้วเหมือนกัน วันเสาร์ยังคงตีหน้านิ่งเหมือนเคย หากแต่แววตาดุดันนั้นกลับอ่อนลงจนเห็นได้ชัด คนตัวสูงโน้มลงมาอยู่ในระดับไล่เลี่ยกับเขา ปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดคราบโกโก้บนมุมปากออกให้…ไม่ได้เบามือสักเท่าไรนัก

“กินเลอะเทอะ” เสียงทุ้มเอ็ดขึ้น ย้ายตัวเองขึ้นไปบนเตียง หยิบเอาหนังสือเล่มเดิมเปิดอ่าน

นับหนึ่งยู่หน้า แล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีกหลายอึกจนหมด เขาคลานตามขึ้นไปบนที่นอน แต่ก็เว้นระยะห่างพอสมควร ความง่วงตรงเข้าจู่โจมแทบจะทันทีที่ศีรษะสัมผัสลงกับหมอนใยไหมใบนุ่ม สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนราง ก่อนจะจางหายลับไป…

ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว วันเสาร์คั่นหน้ากระดาษ ปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะหัวเตียง เขาลุกไปดับสวิตช์ไฟกลางห้อง กลับมานั่งจ้องร่างสงบนิ่งข้างกาย เสียงลมหายใจผะแผ่วไม่ได้น่าฟัง และพวงแก้มใสเสี้ยวหนึ่งนั้นก็ไม่ได้น่ามองแต่อย่างใด

หากกว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปร่วม 10 นาที กับการเฝ้ามองอีกคนนอนแน่นิ่ง คำพูดเบาๆ ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรา

และมันก็คงเป็นคำพูดที่ไม่มีใครในนี้ได้ยิน…

“ฉันขอโทษ”



------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 09:52:45 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง หก



แสงแดดยามสายโด่งลอดผ่านหน้าต่างแยงตา นับหนึ่งขยับแขนบิดขี้เกียจ พลิกตัวสองสามรอบแล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ภายในห้องนอนกว้างขวางยิ่งดูกว้างกว่าเดิมเมื่อเหลือเพียงเขาคนเดียว นับหนึ่งลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาไปทางซ้ายที ขวาที สังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟหัวเตียง

กล่องกระดาษหนักพอดู แปะโพสอิทไว้แผ่นหนึ่ง ลายมือของวันเสาร์อ่านยาก แต่ก็พอแกะความได้

‘เอาไว้ใช้ แล้วเลิกโวยวายสักที’

เขาเบะปาก นึกน้ำเสียงรำคาญของอีกฝ่ายออกเลยแฮะ กระดาษสีเหลืองถูกแกะออก เผยให้เห็นลวดลายบนกล่องปริศนา ถึงจะไม่เคยแตะมาก่อนแต่ก็ฉลาดพอจะรู้ว่ามันคืออะไร นับหนึ่งเบิกตาเป็นประกายยามเปิดฝากล่องออก มือถือเครื่องบางราคาแพงหูฉี่ เปิดเครื่องพร้อมตั้งค่าต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพลิกมันไปมาเพื่อชื่นชม ก่อนจะทดลองจิ้มลงไปบนหน้าจอสว่างวาบ

โห ไม่ต้องรอชาติหน้าถึงจะมีบุญได้จับแล้วอะ ปกติเคยเห็นแต่ในโฆษณา รู้ตัวหรอกว่าไม่มีปัญญาแม้จะสัมผัสด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้เขากำลังจะมีมือถือยี่ห้อดังเป็นของตัวเอง

วันเสาร์สายเปย์นี่หว่า…

‘ฉันขอโทษ’

คำพูดที่ฟังแล้วเหมือนฝันไป ดังย้อนกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ถ้าเขาไม่ได้หูแว่ว ก็คงเป็นไปได้ว่าคุณชายจอมเย็นชาอาจจะนึกอยากขอโทษเขากับเหตุการณ์เมื่อวานอยู่เหมือนกัน รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นับหนึ่งกระโดดลงจากเตียง จัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้ววิ่งปรี่ลงไปชั้นล่าง เสียงฝีเท้าตึงตังคงทำเอาแม่บ้านขวัญกระเจิงพอตัว พี่ละเมียดรีบยกมือขึ้นห้ามเขาใหญ่

“คุณหนึ่งอย่าวิ่งค่ะ ระวังตกบันได”

“พี่ละเมียด พี่เสาร์อยู่ไหนครับ?”

“คุณเสาร์อยู่ห้องนั่งเล่นค่ะ แต่ว่…” เขาพยักหน้าแล้วเลี้ยวเท้าไปยังจุดหมาย ไม่ทันได้ฟังเสียงห้าม

“พี่เสาร์” ประตูบานเลื่อนสีขุ่นเปิดออก น้ำเสียงสดใสกับใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีต้องถูกกลืนหายลงไปในท้องเมื่อพบว่าบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาวไม่ได้มีแค่คนที่เขากำลังตามหา “เอ่อ…”

แขกของวันเสาร์หันจ้องหน้าเขาอย่างตกตะลึง และก็ไม่ใช่ใครอื่น นี่คือเจนภพ คนที่ทำให้เจ๊หมวยพาเขามาที่นี่ ท่าทางฉงนแบบนั้น น่ากลัวว่าคงยังไม่รู้เรื่องสถานะของเขาเป็นแน่

“ส…สวัสดีครับ”

“นาย…นับหนึ่ง เด็กเจ๊หมวยใช่ไหม?”

“ครับ” คนถูกถามพยักหน้า เลียบๆ เคียงๆ ไปหลบใกล้กับเจ้าของบ้าน ซึ่งยังคงตีหน้าเรียบเฉยไม่เดือดร้อน ในขณะที่อีกคนกำลังจะกลายเป็นไก่ตาแตกอยู่รอมร่อ

“ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่? หรือว่ามึงเรียกมาอีกรอบ?”

เจถามเขา ก่อนจะหันไปเอาความกับเพื่อน แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งเพิ่มความสงสัยขึ้นอีกสักร้อยเท่า

“กูซื้อนับหนึ่งมาจากเจ๊หมวยแล้ว”

“ซื้อ? หมายความว่าไง”

“ก็ซื้อ เอามาเป็นคนรับใช้ที่บ้าน” วันเสาร์ปรายตามองเขาซึ่งกำลังยืนอมแก้มป่อง ไม่เปิดโอกาสให้เจได้พูดอะไรต่อ ก็ชิงตั้งคำถามขึ้นก่อน

“แล้วนี่เรียกฉันทำไม”

“อ่าว เรียกไม่ได้เหรอครับ”

“นับหนึ่ง” ร่างสูงกดเสียงต่ำเหมือนคำเตือน เขาเลยต้องเลิกกวนแล้วเปลี่ยนเป็นก้มหัวอย่างนอบน้อม

“ผมจะมาขอบคุณเรื่องมือถือ”

“อืม”

บทสนทนาจบลงรวดเร็ว เจยังคงเอาแต่มองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา ในใจนึกสนุก สุดท้ายก็ไม่พ้นอย่างที่เขาคิดไว้ ว่าเด็กนับหนึ่งน่ะตรงตามสเป็คคุณชายวันเสาร์แทบทุกกระเบียดนิ้ว แถมดูเหมือนจะยิ่งพออกพอใจเกินคาด ถึงขนาดรับมาไว้ใกล้ตัวขนาดนี้ เผลอๆ จะเอามาแทนที่คนในใจซะด้วยซ้ำ

จะเป็นไปได้หรือเปล่านะ…?

“แต่นับหนึ่งมาอยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน มึงจะได้เลิกอมทุกข์”

วันเสาร์ไม่ตอบอะไร เขาเลยหันไปคุยกับอีกคนแทน

“นายก็หัดอ้อนไอ้เสาร์ไว้นะ เห็นดุๆ แบบนี้ จริงๆ มันขี้ใจอ่อน โดยเฉพาะกับเด็กหน้าตาน่ารักแบบเนี้ย”

“พูดอะไรไร้สาระ” แววตาคมติดจะรำคาญตวัดมองเพื่อนข้างกาย ก่อนจะหันไปปัดมือไล่เด็กที่ยังเอาแต่ยืนยิ้มฝืดๆ “ไปชงกาแฟ”

นับหนึ่งก้มหัวเดินผ่านหน้าทั้งสองหนุ่มออกไปจากห้อง สายตาหลอกล้อของเจนภพยังคงมองตามหลังไม่ห่าง เพื่อนมัธยมพ่วงด้วยตำแหน่งหุ้นส่วนธุรกิจจ้องหน้าวันเสาร์อย่างต้องการเค้นเอาคำตอบ

“ติดใจอะไรวะ?” คำถามสั้นๆ ฟังดูเหมือนง่าย หากตอบยากเหลือเกิน เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ยอมซื้อตัวเด็กคนนั้น มันเป็นความรู้สึกคาบเกี่ยวระหว่าง ปล่อยไปไม่ได้ กับ ไม่อยากปล่อยไป แต่ไม่ว่าจะทางไหน ก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทั้งสิ้น

เขาตัดสินใจเงียบ เพราะสิ่งที่เจนภพอยากรู้ ก็เป็นคำถามติดค้างในใจเขามาตั้งแต่วันแรกที่รับนับหนึ่งเข้าบ้านเช่นกัน เป็นคำถาม ที่เขาเองยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้



-----------------------------------------------



“ลุงชัย ทำอะไรครับ” สมาชิกใหม่ของบ้านส่งเสียงทักทายขณะก้าวเท้าผ่านกระเบื้องหิน ปูทางไปสู่สนามหญ้า

“รดน้ำต้นไม้ครับคุณหนึ่ง”

ลุงชัย คนขับรถ ผละจากสายยางในมือ แล้วเงยหน้าส่งยิ้มใจดีมาให้ เขายิ้มตอบแล้วถือวิสาสะเดินชมไปรอบๆ

หลังจากนำกาแฟไปประเคนให้คุณชายวันเสาร์แล้วก็ว่างงาน พี่ละเมียดกับพี่ละไมหายเข้าไปในครัว คงกำลังเตรียมอาหารกลางวัน เหลือแค่เขาคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำถึงขนาดต้องพาตัวเองออกมาชมนกชมไม้ไปเรื่อย แต่ก็ไม่แย่นัก เพราะสวนของบ้านวุฒิเวคินทร์ร่มรื่น ท่ามกลางหมู่บ้านจัดสรรแลดูแออัด แต่พื้นที่ภายในรั้วที่โอบล้อมอาคารโมเดิร์นหลังสวยไว้กว้างใหญ่ มีพันธุ์ไม้หลากหลายเติมแต่งพื้นสีเขียวจนไม่ว่ามองไปทางไหนก็ล้วนสบายตา

ไม้ยืนต้นขนาดสูงลิ่ว ต้องเงยหน้าขึ้นมองเกือบจรดดวงอาทิตย์กลางศีรษะ หากแผ่กิ่งก้านร่มเย็น อีกทั้งส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

“นี่ต้นอะไรครับ?” เขาเอ่ยถาม ย่อตัวลงมองดอกไม้สีขาวดุจนุ่น บ้างอมเหลืองนวล ร่วงกระจายแทรกตัวไปตามยอดหญ้าชุ่มชื่น

“ต้นปีบครับ”

เขาพยักหน้ากับตัวเอง ทวนคำเสียงเบา “ดอกปีบ”

“คุณหนึ่งชอบเหรอครับ?”

“ครับ สวยดี หอมด้วย”

“ต้นปีบนี้ คุณนายก็ชอบมากเหมือนกันครับ”

นับหนึ่งเอี้ยวหันหลัง เลิกคิ้วให้กับลุงชัยที่กำลังเงยศีรษะมองดอกปีบผลัดออกจากต้น เอ่ยถามโง่ๆ ทำเอาอีกคนหลุดขำ

“คุณนาย? ใครครับ เมียพี่เสาร์เหรอ”

“ไม่ใช่ครับๆ แม่คุณเสาร์ครับ”

อ๋อ…อ้าว

“พี่เสาร์มีแม่ด้วยเหรอครับ?”

คนมีอายุกลั้นหัวเราะให้กับความพาซื่อของเด็กใหม่ในบ้าน เขายกมือขึ้นจุ๊ปากพลางเหลือบสายตามองไปยังหน้าต่าง เตือนให้รู้ว่าถ้าไปพูดแบบนี้ให้วันเสาร์ได้ยินล่ะก็ มีหวังคงถูกจับไปเชือดบนเขียงแทนหมูแน่ๆ และนับหนึ่งก็คงรู้ตัวว่าถามอะไรไม่สมควรออกไป ถึงรีบแก้คำใหญ่

“เอ่อ คือผมไม่รู้ว่าพ่อแม่พี่เสาร์อยู่ที่นี่ด้วย”

“อยู่ครับ แต่ท่านต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ นานๆ ทีถึงจะกลับ”

“อ๋อ แล้วพ่อแม่พี่เสาร์เป็นคนยังไงครับ?”

ลุงชัยยิ้มกว้าง เขาคิดว่ามีแค่คำเดียวที่สามารถอธิบายตัวตนของเจ้านายทั้งคู่ได้อย่างดี “ทั้งสองท่านใจดีมากครับ”

“ใจดี…” นับหนึ่งทวนคำ “แล้วทำไมลูกชายเป็นงั้นได้อะครับ”

ทั้งคนพูด คนฟัง ต่างพ่นเสียงหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน ลุงชัยส่ายหัวเตือนอีกครั้ง หากก็คิดว่าเด็กตรงหน้าช่างน่าเอ็นดูอยู่มากทีเดียว นับหนึ่งแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดปาก แม้ว่าหัวไหล่บางสั่นไหวไปตามแรงขัน

พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกหน่อย ก่อนจะเลิกรบกวน แล้วหันไปเก็บดอกไม้บนพื้นมาไว้ในกำมือ ลากเท้าเตาะแตะกลับเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนเจนภพจะยังคุยธุระกับวันเสาร์ไม่เสร็จ เผลอๆ คงอีกยาว

“พี่ละไม พี่ละเมียด” เด็กน้อยเรียกหาพี่แม่บ้าน ขณะเดินเลี้ยวเข้าไปยังส่วนของห้องครัว

ภาพที่เห็นคือคนหนึ่งง่วนอยู่กับครก เหมือนกำลังจะทำน้ำจิ้มหรือน้ำพริกสักอย่าง ในขณะที่อีกคนก็คุมหม้อต้มซุป สลับกับล้างผัก เนื้อหมูแช่แข็ง วางละลายน้ำอยู่ในซิงค์ ดูยุ่งเหยิงพอตัว

“คะคุณหนึ่ง”

“คือผมอยากหาอะไรไว้ใส่ดอกไม้อะครับ”

เขาชูมือขึ้น ละไมวางสากลง แล้วเดินหายไปทางชั้นวางจาน กลับมาพร้อมภาชนะใส ไร้หูจับ

“ใช้อันนี้ได้ไหมคะ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ” นับหนึ่งก้มหัว รับแก้วใบนั้นเอาไปเติมน้ำสักเล็กน้อย ก่อนจะใส่ดอกปีบกำหนึ่งลงไป เขารีบเอาไปวางประดับไว้กลางโต๊ะอาหาร เสริมให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ลืมแวะเวียนกลับมาหาแม่บ้านทั้งสองอีกครั้ง

“แล้วนี่กำลังทำอะไรกันครับ ให้ผมช่วยไหม?”

“น้ำพริกกะปิ กับแกงจืดหมูสับค่ะ”

คนตัวเล็กตาลุกวาว ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอะไรก่อน แต่ที่นำโด่งมาเลยก็คงเป็นความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าครอบครัวระดับนี้จะมีเมนูอาหารบ้านๆ กับเขาด้วย ตั้งแต่อยู่มาก็เห็นว่าไข่เจียวปูดูจะเบสิกที่สุดแล้ว

“กินน้ำพริกกะปิกันด้วยเหรอครับ”

พี่ละไมขำออกเสียง “คุณเจอยากลองทานค่ะ”

“คุณเจนภพเหรอครับ”

“ค่ะ แกชอบทานอาหารแปลกๆ ที่ปกติไม่ค่อยได้ทานน่ะค่ะ”

“อ๋อ แล้วพี่เสาร์ล่ะครับ ชอบกินอะไร”

“คุณหนึ่งก็ลองถามคุณเสาร์เองสิคะ” พี่ละเมียดปรับระดับแก๊ส แล้วหันมาส่งยิ้มหยอกล้อ

“งั้นผมไม่อยากรู้ก็ได้ครับ”

ทั้งสามส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่องเดิม ไม่งั้นคงจะยิ่งได้ชวนคุยกันจนออกทะเล กับข้าวกับปลาเสร็จไม่ทันเวลาพอดี

“แล้วสรุปมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหนึ่ง”

“แต่ผมว่างอ่า”

“งั้นช่วยเดินไปบอกลุงชัยให้ออกไปซื้อน้ำปลามาให้หน่อยได้ไหมคะ” พี่ละไมยกขวดน้ำปลาเหลือเพียงติดก้นไม่กี่หยด

“น้ำปลาเหรอครับ ซื้อที่ไหนอะ”

“หน้าหมู่บ้านมีเซเว่นค่ะ อยู่ในปั๊มน้ำมัน”

“อ๋อ งั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อให้เองครับ ลุงชัยรดน้ำต้นไม้อยู่”

ละเมียด ละไม หันมองกันสีหน้าลำบากใจ พวกเธอไม่ได้กลัวว่านับหนึ่งจะหนีไป เพราะคงไม่กล้าทรยศคนที่ช่วยชีวิตมาจากแม่เล้าขนาดนั้น อีกอย่าง ถ้าหากจะคิดหนีจริง ก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่จนตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าสถานะของนับหนึ่งคืออะไรกันแน่ ที่แน่ๆ ไม่ใช่แค่ คนรับใช้ อย่างที่วันเสาร์เคยบอก พวกเธอจึงไม่กล้าวานอะไร แถมยังเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ เพราะเด็กซื่อๆ อย่างนี้ แค่พ้นออกไปนอกรั้วบ้านก็น่ากลัวแล้ว

“ให้ผมไปนะครับ ผมอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอะ”

“เอ่อ…”

“ผมขี่จักรยานไปแป๊บเดียวเอง น้า”

ละไมถอนหายใจ ก่อนจะยอมพยักหน้าให้กับลูกอ้อน “ก็ได้ค่ะ แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะคะ”

“โอเคครับ”

นับหนึ่งฉีกยิ้ม ยืนรอเงินค่าน้ำปลาจากละเมียด แล้วตรงดิ่งออกไปถึงส่วนของโรงจอดรถ เขาจำได้ว่าเห็นจักรยานแม่บ้านวางทิ้งไว้ ก็คงเป็นของพวกพี่ๆ เวลาออกไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อหรือตลาดนั่นแหละ

อากาศในช่วงกลางวันค่อนข้างร้อนแต่ก็ยังพอมีลมพัด ต้นไม้ตลอดทางของหมู่บ้านช่วยให้แดดลอดผ่านลงมาไม่แรงนัก เขาก้มหัวให้ยามสองคนตรงป้อม หักล้อไปทาง 7-11 หน้าปากทางเข้า น้ำปลาขวดเล็กอยู่ในมือ แต่ก็ขอเดินแวะตู้ไอศกรีมสักหน่อย

พี่ละเมียดให้เงินมาเกินตั้งหลายบาท เงินนี่ก็เงินพี่เสาร์ ถ้าเขาจะขออนุญาตเอามาซื้อของกินเล่นนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรมั้ง ของแพงกว่านี้เป็นหมื่นยังซื้อให้เขามาแล้วเลย

คิดได้แบบนั้น เลยคว้าเอาของในตู้ขึ้นมา 6 ชิ้น แน่นอนว่าไอศกรีมนมผสมช็อกโกแลตลายหมีแพนด้าอันนี้เป็นของเขาเอง ส่วนเผือกกับถั่วดำอันนั้นของพี่ละเมียด พี่ละไม รวมมิตรของลุงชัย โคนวานิลลาดูกลางๆ เขาจะเอาไปฝากเจนภพ ตบท้ายด้วยสตรอเบอรี่ถ้วยสำหรับคุณชายวันเสาร์

ใช่ เขาจงใจเลือกรสนี้โดยเฉพาะเลย

นับหนึ่งนำสินค้าทั้งหมดไปจ่ายเงิน เขาจัดวางของในถุงพลาสติกลงตะกร้าหน้ารถ วาดขาขึ้นคร่อมอานจักรยานแล้วปั่นท้าลมแดดกลับเข้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรหรูหรา มีรูปปั้นปลาโลมาฝูงหนึ่งประดับอยู่ตรงน้ำพุ แข่งกันกับฝูงม้าวิ่งของหมู่บ้านข้างๆ

แกร็ก แกร็ก…

“เหวออ” คนตัวเล็กเซเสียหลักตั้งแต่ยังไม่พ้นฐานรูปปั้นโลมา เขารีบใช้เท้ายันพื้นแล้วพาตัวเองลงจากจักรยาน เพื่อพบกับความซวยเล็กๆ น้อยๆ ของวัน

โซ่หลุด…

เขาเกาหัวตัวเองสองสามที ตัดสินใจเข็นจักรยานไปหลบมุม ย่อตัวลงนั่งยอง พยายามสอยเอาโซ่กระดำกระด่างกลับลงรางทีละข้อๆ

ปี๊น

เสียงแตรดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาคนกำลังจดจ่อสะดุ้งโหยง วินาทีแรก คิดว่าคงโดนต่อว่าที่มานั่งขวางถนน แต่กลับไม่ใช่ ชายหนุ่มเจ้าของรถเปิดประตูลงมา แถมยังเอ่ยปากถามเขาด้วยน้ำเสียงใจดีผิดคาด

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ใบหน้าเรียวเข้ารูป ดวงตาคู่สวยจ้องหน้าเขาด้วยความเป็นห่วง

“เอ่อ…ไม่เป็นไรครับ แค่โซ่หลุด”

“ไหน พี่ช่วยไหม”

คนแปลกหน้าย่อเข่าลงระนาบเดียวกัน สรรพนามเปลี่ยนไปบ้างหลังจากเห็นหน้าเขาชัดๆ แล้วคงพอเดาได้ว่ายังเด็กกว่าตนอยู่ไม่มากก็น้อย

“มะ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ย…”

เขาพูดได้ไม่ทันจบประโยค เจ้าของร่างสูงโปร่งก็หันมาส่ายหน้า ส่งยิ้มหวานให้ชนิดที่แค่มองก็แทบหลอมละลายไปกับแสงแดดประเทศไทย สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงนั่งเงียบ มองดูอีกฝ่ายไล่แก้สายโซ่ทีละนิด ทั้งที่แต่งตัวดูภูมิฐาน หน้าตามีชาติตระกูล รถยนต์นั่นก็คงราคาแพงไม่ใช่เล่น แต่ยังอุตส่าห์ลดตัวลงมาช่วยเด็กที่ไหนไม่รู้ซ่อมจักรยานเลอะเทอะแบบนี้ คงต้องเรียกว่า เทวดา แน่ๆ

ผิดกับซาตานที่บ้านเขาลิบลับเลย

“อะ เสร็จแล้ว ลองดู”

“ขอบคุณมากครับ” นับหนึ่งก้มหัวอยู่หลายทีจนคนมองหลุดหัวเราะ มือหนาผายออกให้เขากลับขึ้นคร่อมอานพาหนะ ได้ยินเสียงกุกกักเล็กน้อยก่อนที่วงล้อจักรยานจะกลับมาแล่นฉิวเหมือนปกติ

ขาเรียวเบรกตัวเองไว้ ไม่ลืมหันกลับไปขอบคุณผู้ช่วยเหลืออีกครั้ง

“ขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไร ขับดีๆ ล่ะ”

ต่างฝ่ายต่างล่ำลากันทางสายตา ก่อนที่ผู้ชายใจดีคนนั้นจะหายกลับเข้าไปในรถคันหรู ขับผ่านหน้าเขาไป สงสัยความเชื่ออย่างว่าพวกคนรวยมักหยิ่งทะนงคงไม่จริง เพราะคนเมื่อครู่เพิ่งพลิกจากวันซวยๆ ของเขา ให้กลายเป็นวันดีๆ ได้ในชั่วพริบตา

สองเท้าออกแรงปั่นไวๆ เพื่อหลบเลี่ยงแสงอาทิตย์ซึ่งทำท่าว่าจะแรงขึ้น ไม่กี่นาทีก็ถึงหน้าบ้าน…

“เฮ้ย” เขาเผลออุทานกับตัวเอง หันมองอาคารด้านในรั้วให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ขี่เข้ามาผิดซอย สลับมองรถยนต์คันสีน้ำเงินเข้มเคลือบมุก คันเดียวกันกับที่เพิ่งเจอไปยังไม่พ้นห้านาทีด้วยซ้ำ

บ้าแล้ว โลกกลมพรหมลิขิตอะไรอะ??

น้ำลายอึกใหญ่กลืนลงคอ รีบเข็นจักรยานไปเก็บจุดเดิม เปิดก๊อกล้างมือแล้วปรี่เข้าครัวทันที

“พี่ๆ”

“คุณหนึ่งมาแล้ว” พี่ละไมรับเอาถุงพลาสติกในมือไป หยิบขวดน้ำปลาส่งต่อให้พี่ละเมียด “ซื้อไอศกรีมมาซะเยอะเลยค่ะ”

เธอก้มมองซองหลากสีสัน อาสานำไปแช่ช่องแข็งให้โดยไม่ได้ว่าอะไร พอหันหลังกลับมาก็เจอกับคำถามหน้าตาตื่น

“พี่ละไม รถสีน้ำเงินที่จอดอยู่หน้าบ้านของใครครับ?”

“อ๋อ ของคุณนาวาค่ะ เพื่อนคุณเสาร์”

นับหนึ่งเอียงคอ ทวนคำเสียงแผ่ว “นาวา…”

เพื่อนพี่เสาร์!

โหหหหห ไม่อยากจะเชื่อ นิสัยแตกต่างกันสุดขอบฟ้ากับปลายก้นเหวขนาดนั้นแต่เป็นเพื่อนกันได้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก

“คุณหนึ่งไปรอบนห้องก่อนก็ได้ค่ะ อาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ไปเรียก”

“พี่ละเมียดจะไปไหนครับ” เขาไม่ได้สนใจฟังพี่ละไมเท่าไร เพราะมัวแต่สนใจอีกคนที่กำลังยกแก้วน้ำ ทำท่าจะเลี้ยวออกไปทางห้องนั่งเล่น

“เอาน้ำไปให้คุณวาค่ะ”

“เดี๋ยวผมเอาไปให้เองครับ พี่ทั้งสองคนอยู่ทำอาหารให้พี่เสาร์เถอะ”

เธอเลิกคิ้วไม่มั่นใจ แต่เขาไม่รอคำอนุญาตก็เสียมารยาทดึงถาดรองแก้วมาไว้กับมือ แล้วพยักพเยิดหน้าให้ทั้งคู่กลับไปทำงานตามเดิม นับหนึ่งสับขาไปยังประตูสีขุ่น เสียงล้อเลื่อนเรียกความสนใจจากสามหนุ่มในห้อง โดยเฉพาะผู้มาใหม่ซึ่งเอาแต่จ้องหน้าเขาอ้าปากค้าง

“นาย?”

วันเสาร์กับเจนภพตวัดสายตากลับมาทางเพื่อนตัวเอง วันเสาร์สลับมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนที่เจจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

“ไอ้วา นี่มึงรู้จักนับหนึ่งด้วยเหรอ?”

“ชื่อนับหนึ่งเหรอ” นาวาพูดลอยๆ แล้วยิ้มขำ ไม่รู้ว่าจะตลกในโชคชะตาหรือยังไง “พอดีเมื่อกี้โซ่จักรยานน้องเขาหลุดอยู่หน้าหมู่บ้าน กูเลยไปช่วยซ่อมให้ ไม่ยักรู้ว่าอยู่บ้านนี้”

ประโยคสุดท้ายนั้นจงใจหันไปถามเจ้าของบ้าน ตามด้วยอีกคำถามจี้จุด “ใครวะ?”

เจนภพหันมองใบหน้านิ่งขรึมแทน แม้แต่นับหนึ่งก็ยังอดเหลือบจ้องดวงตาไร้แววคู่นั้นไม่ได้ เขาค่อยๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกระจก บรรยากาศในห้องเงียบสนิทชวนอึดอัด แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร เขาก็พอเดาออกอยู่แล้วว่าคงไม่ใช่ตำแหน่งวิเศษวิโสนัก ในเมื่อรู้แก่ใจดีว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร

คนรับใช้ สมบัติ ไม่ก็ตุ๊กตายางเท่านั้น

“เด็กกู”

ใบหน้าหวานชาวาบ สงสัยต้องเพิ่มคำเรียกตัวเองไปอีกอย่าง เพราะล่าสุดได้กลายเป็น… เด็กของวันเสาร์ ไปเสียแล้ว



----------------------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
น้องนับหนึ่งต้องเข้มแข็งกว่านี้นะแงงง อย่ายอมเขาไปทุกอย่าง

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
วันนี้เป็นเด็กของพี่ไปก่อนเนอะ สู้ ๆ นับหนึ่ง

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบบบบ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง เจ็ด



“เด็กมึง?” นาวาทวนถาม หากไม่ทันได้รับคำตอบ วันเสาร์ก็เลี่ยงไปคุยกับเด็กตรงหน้าแทน

“เมื่อกี้ออกไปข้างนอก?”

“ครับ ออกไปซื้อน้ำปลาให้พี่ละไมที่ 7-11”

“ฉันอนุญาตแล้วเหรอ?”

อ่าว…

“ต้องขออนุญาตด้วยเหรอครับ?” เขาถามซื่อๆ ไม่มีเจตนากวนประสาท แต่แค่ไม่รู้ว่าแม้แต่เดินออกจากรั้วบ้านก็ต้องมาขอด้วย แบบนั้นคงยิ่งกว่าสมบัติ แต่เป็นทาสเลยน่ะสิ

เจนภพหัวเราะตบขาตัวเองอย่างชอบใจ แถมยังยกนิ้วให้เขาอีกต่างหาก

“ต้อง จะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องมาขออนุญาตฉัน”

“แล้ว…หายใจ นี่ต้องขออนุญาตไหมครับ”

“นับหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำ กับรังสีอำมหิตทำเอาเขารีบรูดซิปปาก ก้มหัวขอโทษ เพราะรอบนี้ยอมรับว่าตั้งใจกวนโมโหจริง

“ผมไปดีกว่า”

เขางึมงำแล้วลุกอ้อมหลังทุกคนบนชุดโซฟาออกไปนอกห้อง ทิ้งไว้ก็แต่ความสงสัยที่ยังไม่จางหายไปจากเพื่อนทั้งสอง โดยเฉพาะแขกคนล่าสุดที่ไม่ยอมลดละ พาวกกลับเข้าประเด็นเดิมอีกจนได้

“ว่าไงไอ้เสาร์ ที่บอกว่านับหนึ่งเป็นเด็กของมึงนี่มันยังไง”

“ก็เด็ก…รับใช้”

“หืม?”

“เอามาเป็นที่รองรับอารมณ์เฉยๆ” วันเสาร์ขยายความ ตามด้วยท่าทางล้อเลียนของเจนภพซึ่งไม่ได้ทำให้บทสนทนาดูสนุกขึ้นเลย

“หรือเอามาเป็นตัวแทนใครไม่ทราบ”

คนถูกถามพ่นลมหายใจออกจากปาก ไม่ยอมตอบแล้วดึงอีกสองคนกลับเข้าธุระ วันนี้เขาตั้งใจเรียกมาคุยเกี่ยวกับงานร้านอาหารของเขากับเจนภพ โดยมีนาวาคอยเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้มาซักไซ้เรื่องไม่เป็นเรื่อง

เงาบางเบื้องหลังประตูบานเลื่อนสีขุ่นขยับหลบไปทางเสาบ้าน นับหนึ่งเหม่อลอยมองพื้นขัดจนเงา มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบไปตามลำคอขาวอย่างไม่รู้ตัว ร่องรอยจากสัมผัสที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่ารักเลยของผู้ชายชื่อวันเสาร์ยังคงฝังแน่นในความรู้สึก และทั้งๆ ที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามาอาศัยที่นี่ในฐานะอะไร และรู้ด้วยว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็บุญหัวนักหนาแค่ไหนแล้ว แต่ทำไมมันถึงยัง…

เจ็บ…



-----------------------------------------------



คุณชายทั้งสามร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันหลังจากคุยงานจบในเวลาเกือบบ่าย ไร้วี่แววของเด็กที่เพิ่งขี่จักรยานออกไปซื้อน้ำปลามาให้เมื่อครู่ และวันเสาร์เองก็ใจดำมากพอที่จะไม่ถามหาให้เสียเวลา หรือเสียอารมณ์ เพราะรู้แน่ว่าถ้าเอ่ยชื่อเด็กนั่นตอนนี้ก็รังแต่จะทำให้เพื่อนทั้งสองคนได้ใจ หยอกแซวไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งมันน่ารำคาญสิ้นดี

“ถ้ากูสรุปเรื่องนักร้องรับเชิญได้แล้วจะมารายงานอีกที” เจนภพทิ้งท้ายเกี่ยวกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย ก่อนจะเป็นคนแรกที่ขอตัวกลับ ตามด้วยนาวาที่เตรียมสตาร์ทรถรออยู่แล้ว

“มีอะไรก็ปรึกษากูได้นะ”

“อืม ขอบใจมาก” วันเสาร์ตบแขนคนเป็นเพื่อนเบาๆ พยักหน้าให้แทนคำขอบคุณ แต่ดูเหมือนแขกเจ้าปัญหาจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ

“ทั้งเรื่องงาน แล้วก็เรื่องหัวใจด้วย”

“หัวใจพ่อมึง”

นาวาหัวเราะร่วน “ก็น้องนับหนึ่ง เด็กมึงไง”

“มึงอย่าไร้สาระตามไอ้เจได้ไหม กูบอกแล้วไงว่าแค่เอามาเป็นที่ระบายอารมณ์”

“ที่ระบายอารมณ์มึงแพงน่าดูเลยว่ะ”

“ไอ้วา” วันเสาร์กดเสียงต่ำ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนอีกฝ่ายต้องรีบถอยหนี แต่ก็ยังเอาแต่กลั้นขำไม่กลัวตายสักนิด

“เลิกแกล้งก็ได้” เขาโบกไม้โบกมือ เดินไปเปิดประตูด้านคนขับ “แต่น้องเขาน่ารักดีนะ กูชอบ”

นั่นคือประโยคสุดท้าย ก่อนที่รถยนต์สีน้ำเงินเข้มจะขับออกไปจนลับสายตา ร่างสูงโปร่งจับจ้องไปยังพื้นถนนโล่งเปล่า โสตสมองสะท้อนคำพูดเมื่อครู่ซ้ำไปมา อย่างกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในถ้ำ

‘แต่น้องเขาน่ารักดีนะ กูชอบ’

‘กูชอบ’

อะไรวะ…

เขารีบสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาดน่าคลื่นไส้ แล้วสาวเท้ายาวๆ กลับเข้าบ้าน ตรงไปยังส่วนของครัวเพื่อตามหาแม่บ้านสักคน แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นละเมียดกำลังตักข้าวให้อีกหนึ่งชีวิตบนโต๊ะอาหาร

“ไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมากินข้าว” วันเสาร์ถามเสียงเรียบ พาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม

“เอ่อ…ไปนั่งเล่นที่สวนครับ”

“แล้วทำไมไม่มากินข้าว”

“ก็เห็นพี่เสาร์อยู่กับเพื่อน ผมเป็นแค่คนรับใช้ ให้ไปร่วมโต๊ะด้วยคงไม่เหมาะ”

คนฟังนั่งนิ่ง เถียงไม่ออก เลยได้แต่พยักพเยิดหน้าปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการกับข้าวบนโต๊ะที่เหลือ และเป็นอันจบบทสนทนา เสียงช้อนส้อมกระทบจานชามไม่ได้ทำให้เขานึกหงุดหงิดมากเท่ากับรอยแดงรอบดวงตากลมโตนั่น เพราะมันแสดงให้เห็นว่านับหนึ่งคงแอบไปร้องไห้ที่ไหนอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าจะร้องอะไรมากมาย ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังนี้ เผลอๆ จะเสียน้ำตาไปมากกว่า 10 ลิตร เห็นจะได้ ทั้งที่เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้แตะต้องตัวอีกฝ่าย แถมเมื่อเช้าก็ดูอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ต้องร้องไห้อีก หรือว่าการอยู่ใต้ชายคานี้มันสุดแสนทรมานนัก

เขายังคงนั่งมองใบหน้าหวานเคี้ยวงุบงับ ใช้ความคิดไปเรื่อย กว่าจะทันรู้สึกตัว แขนของเขาก็เอื้อมออกไปจนเกือบจะถึงหางตาคู่สวย วันเสาร์ชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรบ้าๆ รีบเปลี่ยนเป็นการหยิกพวงแก้มแดงไปทีจนนับหนึ่งถึงกับปล่อยช้อนในมือลง ส่งเสียงโวยวายตามเคย

“โอ้ยพี่เสาร์ เจ็บนะ”

“เมื่อกี้ไปเจอไอ้วาได้ยังไง” เขาแกล้งยกเรื่องอื่นมาถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้อยากหยิกให้ผิวเนื้อขาวๆ กลายเป็นช้ำเขียวไปซะเลย

“เอ้า พี่เขาก็บอกแล้วไงครับว่าโซ่จักรยานผมหลุด ก็เลยลงมาช่วย ได้ฟังบ้างเปล่าเนี่ย”

“อย่าไปยุ่งกับมันมาก ไอ้เจก็ด้วย”

“ทำไมอะครับ”

“เพราะฉันไม่อนุญาต” วันเสาร์ตั้งใจจะตัดบท แต่มีหรือที่เด็กตรงหน้าเขาจะว่านอนสอนง่าย…ไม่อยู่แล้ว

“ไม่เห็นมีเหตุผลเลย เพื่อนพี่เสาร์ดูใจดี น่าคบกว่าพี่เสาร์ตั้งเยอะ”

“งั้นอยากไปอยู่กับพวกมันแทนไหมล่ะ”

นับหนึ่งก้มหน้าหลบ แสร้งบ่นอุบอิบเสียงกระซิบ “ถ้าไปได้ก็ดีสิ”

“ว่าไงนะ?” ฝ่ามือหนาเงื้อขึ้นเหนือหัว ทำท่าเหมือนจะฟาดลงมาซะให้ได้ ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ หากแววตาปะปนไปด้วยความหงุดหงิดอีกทั้งคงเอือมระอาในความดื้อรั้นของเขาเต็มกลืน แต่ด้วยอะไรไม่ทราบถึงทำให้เขายิ่งท้าทาย แทนที่จะกลัว

“จะตีผมเหรอ”

แก้มป่องเงยขึ้นจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง มือข้างนั้นค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ร่างหนาหยุดชั่งใจไปเพียงวินาทีหนึ่ง ก่อนจะประทับลงบนหน้าผากมนไม่แรงนัก

คนตัวเล็กบุ้ยปาก ลูบหัวตัวเองป้อย

“ถึงอยากไป ก็ไปไม่ได้” น้ำเสียงเย็นเยียบบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของชีวิตทำเอาเขาหมดอารมณ์กินข้าวเสียดื้อๆ จานอาหารถูกยกไปเก็บในครัว ก่อนจะถูกพี่ละเมียดไล่กลับมานั่งเฉยๆ และปล่อยให้พี่แกเป็นคนจัดการเก็บกวาดทุกอย่างเอง

เขาคว้าแก้วบรรจุช่อดอกปีบมาไว้ในมือ ตามมาด้วยคำถามของคนที่ยังปั้นหน้าตึงอยู่บนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว

“นั่นอะไร”

“เอ่อ…ดอกไม้ครับ” ตาใสกะพริบถี่ รีบขยายความเมื่อเห็นว่าวันเสาร์ลุกขึ้นแล้ว คราวนี้คงได้เดินมาหักคอเขาให้ตายคามือเป็นแน่ “ดอกปีบ ผมไปเก็บมาจากสวนครับ เห็นมันสวยดีเลยเอามาใส่แก้วไว้”

ร่างสูงโปร่งพยักหน้า “อืม แม่ฉันก็ชอบดอกปีบ”

“รู้แล้วครับ ลุงชัยบอก แต่พ่อแม่พี่เสาร์ไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ไหมครับ”

“อืม”

“แสดงว่าตรงข้ามห้องพระ คือห้องนอนพ่อกับแม่พี่เสาร์สินะครับ” เขาเริ่มคิดภาพตาม ชั้นสองของบ้านแยกออกเป็นห้อง 5 ห้อง คือห้องรับรองซึ่งขณะนี้เป็นห้องเก็บของ ห้องพระ ห้องนอนใหญ่ ห้องนอนพี่เสาร์ แล้วก็ห้องปริศนา ที่เคยถูกสั่งว่าห้ามเข้าไปยุ่งเด็ดขาด…

“แล้วห้องตรงข้ามห้องพี่เสาร์…อ่าว”

ไม่อยู่รอตอบคำถามหรือฟังเขาซักไซ้อะไรต่อ ก็จรลีหนีขึ้นไปทางบันไดซะก่อน ทิ้งปริศนาให้ยังเป็นเพียงปริศนาต่อไป บางทีมันอาจจะเป็นห้องแห่งความลับ ที่กันไม่ให้เขาย่างกรายเข้าใกล้ก็เพราะกลัวว่าบาสิลิกซ์จะหลุดออกมา เอ๊ะ หรือว่าบ้านนี้เลี้ยงหมาสามหัว ระ…หรือว่า มังกร!?

เดี๋ยวนะ เป็นบ้าเหรอ จะไปใช่ได้ยังไง

แต่ไม่ว่าห้องนั้นจะเป็นห้องอะไร มันก็เป็นเครื่องตอกย้ำอย่างดีให้เขารู้ตัวว่าเป็นเพียงคนนอก ที่ไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องในบ้านหลังนี้ และก็คงจะเป็นได้แค่คนนอกตลอดไป…



-----------------------------------------------



“อือ…” ร่างเล็กปรือตาขึ้นในเช้าถัดมา แดดอ่อนๆ กับอ้อมกอดอุ่นๆ ทำให้เขาตื่น ขยับหัวไหล่ยืดตัวขึ้นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ หากก็ดูจะติดขัดยากเย็น…

เอ๊ะ?

“พ...พี่เสาร์” หางตาเหลือบมองร่างสูงที่กำลังแนบประกบแผ่นหลังเขาอยู่

นับหนึ่งพยายามแกะวงแขนแกร่งออกจากเอวตัวเอง แต่กลับทำให้คนด้านหลังยิ่งกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม ปลายจมูกโด่งรั้นฝังลงกับท้ายทอยขาว สูดเอากลิ่นหอมจางๆ จากสบู่กลิ่นลาเวนเดอร์ ผสมแป้งเด็ก คนตัวเล็กย่นคอ ขนกายลุกชัน ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นก็จะยิ่งแย่ยังไงชอบกล

“พี่เสาร์ ปล่อยครับ”

เรียวขาบางถีบไม่รู้ทิศหวังช่วยให้หลุดออกจากการเกาะกุม หากก็ไร้ผล นอกจากไม่ฟังแล้วยังเพิ่มระดับการคลอเคลีย จนอีกไม่ช้าคงถึงขั้นลวนลาม เมื่อฝ่ามือหนาเริ่มซุกซนชอนไชผ่านชายเสื้อนอนเข้าไปหยอกล้อกับหน้าท้องแบนราบ ฟันซี่คมขบเบาๆ ไปยังใบหูแดงเรื่อ พร้อมพ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่ จนเขาชักใจไม่ดี อวัยวะภายในอกซ้ายเต้นระส่ำ ไม่รู้ด้วยตื่นกลัวหรือว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเขายังไม่พร้อมถูกล่วงละเมิดตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้!

ก็รู้หรอกว่าภายใต้หน้ากากเจ้าชายเย็นชานั้นมันเป็นตาลุงหื่นกามไร้จิตสำนึกมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้เวล่ำเวลาสักหน่อย ไม่ใช่สักแต่จะเอาเมื่อไรก็ได้ ไอ้บ้าเอ๊ย!

“ม…ไม่เอานะครับ พี่เสาร์ มะ…” ร่างทั้งร่างบิดเร่า ยามที่ไอร้อนจากมือใหญ่ละลาบละล้วงลงมาถึงแก่นกายที่ยังไม่พร้อมทำงานใดๆ ทั้งนั้น วันเสาร์ยังคงไล่กัดฝากร่องรอยไปตามหัวไหล่และบ่าลาด ด้านล่างก็เริ่มขยับไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว

“อะ อื๊ออ”

นับหนึ่งกัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางห้ามไม่อยู่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูสนุกสนานกับการได้แกล้งเขาเหลือเกิน ถึงยิ่งเพิ่มแรงรั้ง อีกทั้งถี่รัวจนเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ขัดขืน ไม่นานนัก ของเหลวสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมาเปรอะเปื้อนฝ่ามือกับกางเกงผ้าฝ้าย ซึมออกมาจนถึงด้านนอก

และทันทีที่เขาตั้งใจจะลุกหนีออกจากเตียง ก็ถูกร่างสูงโปร่งพาดทับ บังคับกดลงแนบผืนฟูกดังเดิม ไม่ยอมให้หนีไปไหน แววตาหวาดหวั่นสั่นระริกช้อนขึ้นมองคนเบื้องบนอย่างอ้อนวอน หากว่าเสียงหอบหนักๆ กับใบหน้าหวานเยิ้มแดงซ่าน คงไม่อาจหยุดยั้งสัญชาตญาณดิบเถื่อนของวันเสาร์ได้มากเท่าไร

“ฮ…ฮั่ก พี่เสาร์ พอ..เถอะครับ” เขาส่งเสียงห้ามพร้อมใช้สองมือดันอกแกร่งที่กำลังเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ออกห่าง ปลายจมูกลากผ่านแนวลำคอระหง

นับหนึ่งหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสยุกยิกแถวกระดุมเสื้อตัวเอง คำพูดของเขาก็คงไร้ค่ามากเกินกว่าที่จะห้ามปรามใครได้ โดยเฉพาะคนตรงหน้า ที่ว่ากันว่าไม่มีหัวใจเป็นที่สุด

ก๊อกๆ ๆ

“คุณเสาร์ คุณเจโทรมาค่ะ” พี่ละไมตะโกนเข้ามา ช่วยชีวิตเขาได้ทันเวลาพอดี

ได้ยินเสียงจิ๊ในลำคอ ก่อนที่วันเสาร์จะยอมผละตัวออกไป ยีหัวตัวเองไล่อารมณ์ฟุ้งซ่านก่อนจะเปิดประตูรับโทรศัพท์บ้านไร้สายมาไว้แนบหู เดินกลับมาเปิดเครื่องมือถือที่นอนตายตลอดทั้งคืนบนโต๊ะทำงาน ไม่ได้สนใจว่าเด็กอีกคนจะวิ่งหนีไปนั่งจุมปุกอยู่ตรงมุมห้องเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว

“ไอ้สัส ปิดเครื่องทำไมวะ” คำทักทายแรกจากเจนภพเดาออกไม่ยากเท่าไรนัก

“โทษที มีไร”

“วันนี้นัดทดสอบงานพ่อครัว มึงจะมากี่โมง”

“ไม่น่าเกินเที่ยง”

ขายาวก้าวไปทางตู้เสื้อผ้า คว้าเอาเชิ้ตทางการสีเข้มโยนทิ้งไว้บนปลายเตียง นัดแนะคุยงานกันอีกเพียงเล็กน้อย คนปลายสายจึงออกปากไล่ให้เขาไปจัดการตัวเอง วันเสาร์หายเข้าไปในห้องน้ำ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่เด็กมุมห้องรู้สึกปลอดภัย

นับหนึ่งนั่งเล่นพรมบนพื้นไปเรื่อยจนประตูห้องน้ำเปิดออกอีกครั้ง ปรากฏร่างเปลือยท่อนบนของคนที่ตอนนี้เขาคงกล้าพูดว่าเริ่มคุ้นเคย แผงอกหนา บ่ากว้าง กับมัดกล้ามแลดูกำยำแข็งแรง แต่ก็ไม่ถึงกับดุดันจนน่ากลัวอย่างพวกนักกีฬาอาชีพ ผิวเนื้อไม่หยาบไม่เนียน ขาวผ่องพอๆ กัน หยดน้ำเกาะไปตามปลายเส้นผมสีดำขลับ ดวงตาเรียวคมเย็นเยียบ จมูกโด่งเป็นสัน จวบจนถึงริมฝีปากสีส้มธรรมชาติ ไม่ว่าจะนิสัยแย่แค่ไหน ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพตรงหน้าช่างงดงาม แทบจะเกินเอื้อมถึง หากความจริงกลับจับพลัดจับผลูได้มาอยู่เคียงใกล้ถึงขนาดนี้

ก็คงจะเป็นโชคชะตาจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันดูจะเป็นการกลั่นแกล้ง มากกว่าคำว่าโชคดีลิบลับ

“เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก นายอยู่บ้านก็ช่วยพี่ละเมียด พี่ละไม ทำงานด้วย” สองมือกลัดกระดุม สองตาจับจ้องออกคำสั่งเหมือนเคย และเขาก็เพียงแค่พยักหน้า

“ครับ”

“ห้ามออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน”

“ครับ”

“ถ้าโทรมาก็ต้องรับ”

“ครับ”

เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้ว ย่างเท้าเข้ามาใกล้จนเขาเผลอถดตัวหนี แผ่นหลังบางชนติดผนังห้องพอให้สะดุ้ง วันเสาร์ย่อตัวลงนั่งยอง สายตาอยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน ฝ่ามือคว้าหมับเข้ากับคางมน ออกแรงบีบแก้มทั้งสองด้านจนริมฝีปากอิ่มยิ่งดูคล้ายลูกหมู

“พูดเป็นคำเดียวหรือไง”

เอ้า! ตอบดีๆ ก็ผิด งง

เขาพยายามเถียงเสียงอู้อี้ ทว่าฟังไม่ได้ศัพท์ สายตาคมดั่งใบมีดไล่ตั้งแต่แก้มป่องจนถึงซอกคอขาวโผล่พ้นคอเสื้อ นับหนึ่งยกมือขึ้นห้ามเมื่อคนตรงหน้าเคลื่อนตัวเข้าหา อีหรอบนี้สงสัยคงถูกกัด ไม่ก็โดนดูดจนเนื้อช้ำห้อเลือดอีกแน่ และเขาก็ไม่ชอบเอาซะเลย

สัมผัสนุ่มหยุ่นอุ่นร้อนทาบทับลงกับเส้นชีพจร ดวงตากลมหลับสนิทอย่างจำนน…

ครืด ครืด

สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ เสียงครืดคราดบางอย่างดังขัดขึ้นก่อน เป็นอีกครั้งที่เขารอดชีวิตได้ทันท่วงที

วันเสาร์พ่นลมหายใจหนักหน่วงออกทางปาก ท่าทางไม่สบอารมณ์ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปคว้าเอามือถือที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่แค่เพียงเห็นชื่อบนหน้าจอ จากใบหน้าถมึงทึงก็กลับโอนอ่อนลงฉับพลันจนน่าตกใจ นิ้วเรียวกดรับสายขณะเดินออกไปจากห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่ตัวเองกำลังแกล้งจนเกือบได้ที่เมื่อครู่

“ว่าไงศุกร์”

ศุกร์…

ชื่อนี้อีกแล้ว…


------------------------------------------------------------------------------------

เป็นตอนสั้นๆ เพราะแต่งได้แค่นี้ 55555 เส้า ขอกำลังใจให้น้องหนึ่งถึงพี่เสาร์ ด้วยคอมเม้นจากเพื่อนๆ ที่หลงเข้ามากันสักนิดนะคะ ฮรุก ช่วงนี้ผจญกับงานออฟฟิซหนักมาก หมดแลงงงง TT

ติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์เพื่อคุยกันได้นะตะเงง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 14:43:59 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เกลียดมาก คนแบบเสาร์ ชอบเอาใครมาเป็นตัวแทน สักวันจะเสียใจ  ถ้าวันหนึ่งน้องมีที่ไปได้และไม่หันกลับมา จะสมน้ำหน้า  เกลียดคนแบบนี้
 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ชอบเรื่องนี้นะ แต่เกลียดพระเอกมากจริง 55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-11-2018 19:08:33 »





ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
หมั่่นไส้พระเอก เสียนับหนึงไปตะรู้สึก

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
ก่อนไปอ่านตอนนี้ เราแอบมาย้ำนิดนึง ว่าอยากให้ลองอ่านเรื่อง "วันศุกร์สีฟ้า" กันก่อนนะคะ จะได้เข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้นเยอะเลยยย โดยเฉพาะตัวพี่เสาร์ แล้วก็จะได้รู้จักน้องศุกร์มากขึ้นด้วยน้า


#วันศุกร์สีฟ้า ☁️

RAW: https://www.readawrite.com/a/d62654cfdf70447dd166d9408292a763
FTL: https://fictionlog.co/b/5bb1e6b833e1740028b7d1f7
DD: https://writer.dek-d.com/airairair13/writer/view.php?id=1490777
TBL: https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54561.0



----------------------------------------------------------------------------------------------------------



นับหนึ่ง ถึง แปด

 

“คุณหนึ่ง ทานขนมไหมคะ” พี่ละไมยกจานขนมเปียกปูนสีเขียวสดเข้ามาวางบนโต๊ะกระจกต่อหน้าเขา

“ขอบคุณครับ”

“คิดอะไรอยู่เหรอคะ”

จานขนาดเล็กเลื่อนไปใกล้คนบนโซฟา ส้อมสเตนเลสหันออก ยื่นให้เด็กน้อยรับเอาไว้ เธอจ้องสบดวงตาคู่สวยอย่างห่วงใยเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายเอาแต่เหม่อลอยมาตั้งแต่ตอนเดินลงมาส่งวันเสาร์ออกจากบ้านไปทำงาน

“เอ่อ…” นับหนึ่งลังเลครู่หนึ่ง หากก็ลองเอ่ยถามความคิดในใจ “พี่ละไมครับ”

“คะ?”

“คนชื่อ ศุกร์ เนี่ย…ใครเหรอครับ?”

คนเป็นแม่บ้านเบิกตากว้าง ก่อนจะหลุดขำพรืดจนเขายิ่งฉงนไปใหญ่ ละไมก้มหัวขอโทษที่เสียมารยาท เธอฉีกยิ้มบาง เบือนหน้าไปทางกรอบรูปตั้งโต๊ะ หนึ่งในสิ่งตกแต่งภายในห้องรับแขก

“คุณหนึ่งเดาไม่ออกจริงๆ เหรอคะ”

เขาหันมองตามไปทิศทางนั้น ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มขยายออก ปากเป็นกระจับอ้าค้าง ไม่รู้ด้วยตื่นตะลึงในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของเจ้าของชื่อ ศุกร์ หรือว่าตกใจในความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองกันแน่ ใช่สิ ศุกร์กับเสาร์ มันก็คล้องกันจนแม้แต่เด็กอนุบาลก็ต้องรู้สึกได้อยู่แล้ว แต่เขากลับคิดไม่ถึงมาตลอด…

โง่หรือบ้า ซื่อหรือบื้อนะนับหนึ่ง

“หรือว่าจะเป็นน้องพี่เสาร์ครับ”

“ใช่ค่ะ คุณศุกร์เป็นน้องชายคุณเสาร์”

“ตะ แต่ว่า…”

แต่ว่า…คนเราจะเพ้อถึงน้องชายตัวเอง ตอนกำลังมีเซ็กได้ด้วยเหรอ?

“พี่เสาร์ดูรักน้องมากเลยนะครับ… รัก จนนึกว่าไม่ใช่พี่น้องกันเลย”

บรรยากาศภายในห้องเงียบลง พี่ละไมหน้าซีด หลุบตาต่ำ ขณะที่เขาก็เอาแต่เพ่งพิจารณารูปภาพสองพี่น้องยืนเคียงกันแนบชิด รอยยิ้มจางๆ แลดูอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้เห็นจากผู้ชายชื่อวันเสาร์ และไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นด้วย

“ความจริง…คุณเสาร์กับคุณศุกร์ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันค่ะ” ในที่สุดเธอก็ยอมเปิดปาก แม้ว่าจะลำบากใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยสมาชิกใหม่อย่างนับหนึ่งก็สมควรรับรู้ “คุณนายรับคุณศุกร์มาเลี้ยงตั้งแต่ทารก”

“อย่างนี้นี่เอง”

“คุณเสาร์รักคุณศุกร์มากนะคะ มากจนไม่เปิดรับใครคนอื่นเลย”

หัวคิ้วขมวดเป็นปม ใบหน้าหนักใจปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยตามวัย แม้เขาจะเป็นเพียงคนนอกที่ก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรักและผูกพันที่คนรับใช้ในบ้านมีต่อเจ้านายของพวกเขา ถ้าพ่อกับแม่ของสองพี่น้องต้องไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ เขาว่าพี่ละเมียด พี่ละไม หรือแม้แต่ลุงชัย ก็คงคอยดูแลทั้งคู่ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวเดียวกัน และการที่คุณชายคนโตกลายเป็นคนเย็นชา อัธยาศัยย่ำแย่ปานนั้นก็คงน่าเป็นห่วงไม่น้อย

“แต่พี่ดีใจนะที่คุณเสาร์รับคุณหนึ่งมาอยู่ด้วย ปกติไม่มีหรอกค่ะ อย่าว่าแต่นอนบนเตียงคุณเสาร์เลย แค่เหยียบขึ้นชั้นสองก็ไม่เคยเห็น”

“ระ…เหรอครับ”

“ค่ะ พี่ว่าคุณหนึ่งพิเศษกว่าทุกคนเลย”

เขาเผยรอยยิ้ม คำพูดติดตลกต่อมากลับทำเอาบรรยากาศมาคุ “แต่คงไม่พิเศษไปกว่าคุณศุกร์หรอกใช่ไหมครับ”

ละไมไม่ตอบอะไร เพียงปั้นหน้าแห้งๆ แล้วขอตัวกลับไปทำงานบ้าน แต่เขาก็นับว่านั่นเท่ากับคำตอบแล้ว…คำตอบที่ว่า ใช่ ไม่มีทางที่เขาหรือใครจะมาพิเศษไปกว่าคนชื่อศุกร์ ที่วันเสาร์เอาแต่พร่ำเพ้อตลอดเวลาได้ทั้งนั้น

ขนมเปียกปูนถูกตักชิม ความหวานหอมในโพรงปากคงพอชโลมจิตใจขุ่นมัวไม่รู้สาเหตุของเขาในตอนนี้ได้บ้าง นับหนึ่งละเลียดทานขนมบนจานจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องนอน

ตั้งแต่ถูกพามาที่นี่ ก็ผ่านมา 5 วันแล้ว มันอาจจะดูแสนสั้น แต่ภายใน 5 วันนี้ กลับมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งกับร่างกาย รวมถึงจิตใจของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เขาดีใจที่สามารถสนิทกับทุกคนได้รวดเร็ว แต่บางครั้งก็เผลอคิดว่า ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังขับเคลื่อนนำหน้าเกินกว่าที่เขาจะตามอารมณ์ตัวเองทัน และมันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรด้วย

ดวงตาคู่สวยกวาดไปรอบห้อง เขาไม่เคยมีโอกาสหยุดพิจารณาห้องนอนกว้างขวางนี้เลยสักครั้ง เพราะแค่กระดิกนิ้ว ก็จะถูกวันเสาร์เพ่งเล็งทุกที หนังสือละลานตาวางเรียงรายไปตามชั้น ตู้เสื้อผ้า เตียง รวมทั้งโต๊ะทำงาน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแทบจะเข้าชุดกันไปเสียหมด แถมยังจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยตามนิสัยเคร่งคัดของผู้อาศัยเป๊ะ

และเขาก็เหมือนคนโง่น่าดูที่ไม่เคยสังเกตเลยว่า กรอบรูปสีขาวสะอาดบนโต๊ะที่วันเสาร์คอยนั่งเช็คเอกสาร จิบกาแฟฝีมือเขาเอง บรรจุภาพถ่ายของสองพี่น้องในชุดนักศึกษาเต็มยศ ต่างสถาบัน แต่ก็โด่งดังและมีมาตรฐานสูสี คำถามที่คอยเฝ้าหลอกหลอนมาหลายวัน กลับมีคำตอบอยู่ใกล้แค่เอื้อม แทบทิ่มตาแตก นึกเคืองตัวเองว่าสมงสมองน่ะคงไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว หรือว่าควรไปตัดแว่นสายตาเลยดี เพราะดูท่าจะมืดบอดเกินเยียวยา

เอื้อมคว้ารูปนั้นมามองใกล้ๆ วันเสาร์ฉีกยิ้มบางเป็นภาพที่แปลกตา ในขณะที่วันศุกร์ดูร่าเริงสดใส ไม่มีคำนิยามไหนจะดีเกินกว่าคำว่า น่ารัก อีกแล้ว จึงไม่ประหลาดใจเลยถ้าหากคนเป็นพี่จะเผลอไผลตกหลุมรักน้องชายตัวเอง

นับหนึ่งถือวิสาสะสำรวจลิ้นชักต่างๆ เขาพบจดหมายลายมือไม่คุ้น กระดาษห่อของขวัญ การ์ดอวยพร ไปจนถึงอัลบั้มภาพ ทุกอย่างที่วันเสาร์เก็บเอาไว้อย่างดีในห้องของตัวเอง ล้วนเกี่ยวข้องกับวันศุกร์ทั้งนั้น กล่องบางอย่างถูกหยิบออกมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่า หลงเหลือแค่เพียงหมอนกำมะหยี่ให้พอเดาได้ว่าคงเป็นบรรจุภัณฑ์ของพวกกำไลหรือไม่ก็นาฬิกา

นาฬิกางั้นเหรอ…สงสัยว่านาฬิกาสายหนังเรือนบนข้อมือของวันเสาร์ในทุกๆ วัน ก็คงจะเป็นของขวัญจากวันศุกร์ล่ะมั้ง

อา…ยิ่งรู้แบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะของเขาให้ยิ่งจมดินไปใหญ่เลยน่ะสิ เป็นนางบำเรอสมบูรณ์แบบเลยแหะเรา ไม่มีทางได้รับแม้เศษเสี้ยวความรักจากผู้ชายคนนั้นแน่นอน…

แต่ก็ ไม่ได้อยากได้อยู่แล้วนี่น่า…

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ น่าขนลุก เก็บทุกอย่างกลับเข้าที่ ยกเว้นอัลบั้มหนาปึก ค่อยๆ เปิดดูทีละหน้า ได้เห็นการเจริญเติบโตของวันเสาร์ตั้งแต่แบเบาะ จวบจนถึงช่วงอุดมศึกษา เป็นเดือนมหาวิทยาลัยด้วยนี่ หล่อไม่เปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนโต ยิ่งยืนเคียงคู่กับน้องชายน่ารักๆ ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาเหลือเกิน

เวลาผ่านไปนานกว่าที่เขาจะไล่ดูรูปถ่ายทั้งหมดจนครบ ไม่ทันรู้สึกตัวก็ผล็อยหลับไปบนเตียง ทั้งที่อัลบั้มเล่มหนายังคามือ แม้แต่ในเวลาบ่ายแก่ๆ เกือบโพล้เพล้ ความฝันที่ตามมาหลอกหลอนเขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือภาพของพ่อแม่กับป้า บ้านทรุดโทรมลุกท่วมด้วยเปลวไฟแผดร้อนจนเหลือแค่ตอตะโก ชะตาชีวิตที่ถูกลากไปลากมา กระทั่งจบลงที่บ้านตระกูลวุฒิเวคินทร์ ใบหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กลีบปากลากเป็นเส้นตรง หัวคิ้วสองข้างขมวดยุ่งอยู่เรื่อย ภาพของวันเสาร์ที่เขาคุ้นชิน ไม่เคยใกล้เคียงกับคำว่าใจดีเลยสักนิดเดียว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูปลุกให้เขาสะดุ้งออกจากฝันร้าย ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงเล็กน้อย

“คุณหนึ่งคะ อีกครึ่งชั่วโมงลงมาทานข้าวได้แล้วนะคะ”

“ครับ” เขาขานตอบพี่ละเมียด รีบเก็บของที่รื้อออกมากลับลงลิ้นชักให้เรียบร้อย

ลากสังขารตัวเองออกมาจากห้อง สายตาเหลือบมองประตูอีกบานตรงข้ามกัน ขาเจ้ากรรมก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าลูกบิดสีทองเหลืองก่อนจะทันรู้ตัวซะอีก พี่เสาร์คงยังไม่กลับมา และพี่ละเมียด กับพี่ละไม ก็กำลังจัดสำรับ…

ฝ่ามือบางเปื้อนเหงื่อค่อยๆ หมุนลูกบิดเปิดออก อวัยวะในอกเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประตูบานหนาแง้มออก ก่อนที่ร่างเล็กจะถือวิสาสะแทรกตัวเข้าไปสำรวจภายใน

เป็นอย่างที่คิด ห้องของวันศุกร์นั่นเอง

เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ถูกจัดวางเป็นระเบียบไม่ต่างจากพี่ชายสักเท่าไร เพียงแต่ละอองฝุ่นบางเบาทำให้พอเดาได้ว่า ไม่มีคนเข้ามาใช้ห้องนี้เป็นเวลานานพอตัวแล้ว เขากวาดตามองไปรอบๆ บนโต๊ะเขียนหนังสือ มีที่หนีบกระดาษดินปั้นรูปหมูสามตัว คลิปสีเงินยึดรูปถ่ายโพราลอยด์ใบหนึ่งเอาไว้ มันเป็นภาพของวันศุกร์ เคียงคู่ใกล้ชิดกับผู้ชายหน้าตาดีอีกคนซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างๆ กันนั้นเป็นโมเดลรูปแมว วัสดุเกลี้ยงใส อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเชยชมใกล้ๆ

คริสตัลสวยล่อแสงชวนให้เขาหลงใหล เผลอจมอยู่กับมันนานสองนาน และก็มากพอที่จะทำให้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า หรือเสียงบานประตูเปิดออกด้วยซ้ำ

“นั่นจะทำอะไร?” แรงตะคอกจากด้านหลังทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง ของตกแต่งราคาแพงหลุดออกจากมือ ร่วงหล่นลงบนพื้นเสียงดังลั่นห้อง

“พะ…พี่เสาร์”

สายตากราดเกรี้ยวจับจ้องไปยังกองคริสตัลที่แตกหักออกจากกัน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาประชิด ความกลัวทำให้นับหนึ่งรีบก้าวถอยหนีจนสะดุดล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น ฝ่ามือหนาตรงเข้ามาบีบคางเขาไว้แน่น น้ำเสียงโกรธจัดพ่นคำพูดแสนโหดร้าย

“รู้ไหมว่าของชิ้นนี้มันมีค่ามากกว่าตัวนายซะอีก!”

เพียะ!

วันเสาร์ตบเขาจนหน้าหัน หยาดน้ำตาคลอหน่วย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคนเป็นนายซึ่งยังคงมีท่าทีเดือดดาล สุดท้ายจึงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงประสานมือไหว้ ก้มหัวลงอยู่หลายครั้ง เสียงสั่นเครือขาดห้วง เลือดในกายสูบฉีดรัวแรงด้วยความตื่นกลัว

“ผม…ขอโทษครับ ขอโท…”

“ขอโทษแล้วมันหายไหม!” มือใหญ่ง้างขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง สัญชาตญาณส่งให้เขารีบหลับตาปี๋ เตรียมรับแรงตบซ้ำสอง

“พี่เสาร์อย่าครับ”

น้ำเสียงตกใจไม่คุ้นหูดังแทรกขึ้นก่อน เขาค่อยๆ หรี่ตาเหลือบมอง เห็นว่าเป็นเจ้าของใบหน้าเรียวหวาน แบบเดียวกันกับในภาพถ่ายคู่ภายในห้องนั่งเล่น รวมทั้งในลิ้นชักห้องของวันเสาร์ด้วย

ดวงตากลมคู่สวยเบิกกว้างมองคนโตกว่าเขม็ง แขนบางทั้งสองข้างรวบรั้งคนเลือดร้อนออกห่าง “ใจเย็นๆ ครับ อย่าทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้สิ”

“แต่ว่ามั…”

“พี่เสาร์ ไปสงบสติอารมณ์ข้างนอกก่อนเถอะครับ”

“ศุกร์” วันเสาร์จ้องกลับหน้าตึง แต่สุดท้ายก็เถียงอะไรไม่ออก ก่อนจะโดนฝ่ามือเล็กผลักไล่ออกมาจากห้อง วันศุกร์ถอนหายใจ กดล็อกประตูแล้วรีบหันกลับมาประคองร่างเด็กอีกคนให้ลุกขึ้น

“นับหนึ่งใช่ไหม?”

“ค..ครับ” เด็กน้อยปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ ตั้งใจจะกลับลงไปนั่งเข่าตามเดิม แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงขึ้นมาอีกครั้ง วันศุกร์ไม่ได้แค่พูดจาดีกับเขา แต่ถึงขนาดเอื้อมมือมาลูบหลังปลอบ สัมผัสอบอุ่น ความรู้สึกราวกับพี่ชายทำให้เขาหยุดสะอื้น

“พี่ชื่อวันศุกร์นะ เป็นน้องพี่เสาร์”

เขาพยักหน้า ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญออก สายตาทอดมองไปยังกองคริสตัลบนพื้น อดไม่ได้ที่จะเบะปากเตรียมร้องไห้อีกรอบ

“คุณศุกร์ ผม..ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรๆ”

“แต่ว่า..ผม เข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต…”

“ช่างเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก ว่าแต่เราน่ะ เจ็บไหม”

ถึงเจ็บก็คงไม่กล้าบอกตรงๆ แม้ว่าในใจอยากฟ้องแทบตายว่าพี่ชายคนนั้นน่ะเลือดเย็นแถมป่าเถื่อนสิ้นดี แต่กลับทำได้แค่ส่ายหัว

“คุณศุกร์ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ”

คนตรงหน้าขมวดคิ้ว “เรียกว่าพี่ดีกว่านะ”

“เอ่อ…ครับ พี่ศุกร์”

“ทำไมพี่เสาร์ใจร้ายขนาดนี้” คนเป็นน้องบ่นพึมพำในลำคอ ฝ่ามือนิ่มทาบลงกับพวงแก้มซ้ายแดงเรื่อที่เพิ่งจะโดนทำร้ายมาเมื่อครู่ แววตาหวาดหวั่นทำเอาเขาใจหายวาบ ใช่ว่าจะเดาไม่ออก ว่าเด็กคนนี้ต้องเดือดร้อนกับการรองรับอารมณ์วันเสาร์มากแค่ไหน

นับหนึ่งกะพริบตาถี่ ก่อนจะปิดลงเนิบช้า เขาเผลอปล่อยตัวนั่งนิ่งซึมซับเอาความอบอุ่นจากมืออีกฝ่ายอยู่นาน คำถามของวันศุกร์เมื่อครู่ คงเป็นคำถามเดียวกันกับที่เขาคอยเฝ้าถามลมถามฟ้ามาตลอด

ว่าทำไม พี่เสาร์ถึงได้ใจร้ายมากขนาดนี้…

 

-----------------------------------------------


 
“ห้ามไม่ให้กินข้าวเย็น แล้วคืนนี้ก็ไปนอนโซฟา” นิ้วเรียวชี้ไปทางทิศห้องนั่งเล่น ตามด้วยแรงตบโต๊ะเบาๆ จากน้องชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านในรอบหลายอาทิตย์

“เกินไปไหมครับพี่เสาร์”

“นับหนึ่งขัดคำสั่งพี่ แถมยังทำข้าวของเสียหาย พี่ต้องลงโทษ จะได้จำ”

“แต่ศุกร์ว่าไม่เห็นต้องทำขนาดนี้”

“นี่ยังน้อยด้วยซ้ำ” วันเสาร์กระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้แม่บ้านเริ่มตักข้าว ละเมียดกับละไมต่างหันมองหน้ากันด้วยท่าทีเป็นห่วง จนกระทั่งถูกสายตาคมจ้องกลับอีกครั้งถึงยอมขยับตัว คว้าทัพพีตักข้าวหอมมะลิหอมกรุ่นลงบนจาน ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเถียง เพราะถ้าแม้แต่วันศุกร์คนโปรดยังทำอะไรไม่ได้ พวกเธอก็คงไม่ต่างจากอากาศธาตุเท่านั้น

“ศุกร์ว่าพี่เส…”

“ตอนนี้พ่อแม่ไม่อยู่ พี่เป็นคนดูแลบ้านนี้ และพี่เป็นคนออกคำสั่ง!”

เสียงเข้มทำเอาบรรยากาศที่แย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ วันศุกร์เม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าอย่างจำนน พี่ละไมทอดสายตามองนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนเงียบผ่านโต๊ะอาหารตัวยาว ตั้งท่าจะก้มตัวเข้าไปหา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“ห้ามใครไปโอ๋เด็กนั่นเด็ดขาด”

คำพูดราวประกาศิต ทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบโต้ ละไมกลืนน้ำลายลงคือ ค่อยๆ ขยับกลับไปยืนประสานมือนิ่งๆ นับหนึ่งฝืนส่งยิ้มให้กับแม่บ้านทั้งสอง รวมถึงวันศุกร์ ก่อนจะเป็นฝ่ายพาตัวเองเข้าไปขังไว้ในห้องรับแขกเอง อย่างน้อยสายตาห่วงใยจากสามคนบนโต๊ะเมื่อครู่ก็ยังทำให้เขาอุ่นใจว่ามีคนอยู่เคียงข้าง

ไม่เห็นจำเป็นจะต้องสนใจดวงตาคู่เดียวที่ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเลย

 

-----------------------------------------------



“พี่เสาร์” วันศุกร์ถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนคนเป็นพี่เข้ามา พบว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งตีสีหน้าคร่ำเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน กองเอกสารมากมายเหมือนจะถูกยกออกมาตั้งเป็นฉาก แต่กลับไม่ถูกแตะต้อง

“ศุกร์”

“ยังโมโหหนึ่งอยู่อีกเหรอครับ”

เจ้าของห้องหลุบตา ทำทีเป็นเปิดแฟ้มอะไรบางอย่างออกมาสำรวจผ่านๆ แล้วเริ่มควานหยิบปากกามั่วซั่ว ทำเอาคนมองได้แต่ส่ายหน้า

“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปไม่ได้เหรอครับ พี่เสาร์อย่าไปถือโทษอะไรเลย”

“พี่จะไปหาซื้อมาให้ใหม่” เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจฟังเขาแก้ต่างแทนเด็กใหม่ในบ้านสักเท่าไร และแม้ว่าวันเสาร์จะแคร์เขามากขนาดไหน ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่รู้ว่าพี่เสาร์ตั้งใจซื้อให้ผมก็ดีใจแล้ว”

“แต่ว่ามันแตก…”

“โธ่พี่เสาร์” มือเล็กเอื้อมดึงเก้าอี้ล้อเลื่อน บังคับให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากัน “อย่านึกถึงแต่สิ่งของสิครับ สิ่งที่มีค่ากับผมไม่ใช่คริสตัลอันนั้น แต่เป็นความรู้สึกตอนที่ได้รับมันจากพี่ต่างหาก”

ทั้งห้องเงียบกริบ ขนาดได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน และวันเสาร์ก็ยังคงเอาแต่เบือนสายตาหนี เพราะคงรู้แน่ว่าถ้าเป็นคำพูดจากปากน้องชายคนนี้ อีกไม่นานเท่าไร เขาก็คงต้องยอมศิโรราบจนได้

“อีกอย่าง นับหนึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจทำมันพังสักหน่อย พี่เสาร์ไม่น่าไปต่อว่าหรือลงโทษเขาขนาดนั้นเลย”

วันศุกร์โน้มตัวลง วางมือแนบกับมือใหญ่บนที่วางแขน น้ำเสียงจริงจังพยายามอธิบายให้คนที่กำลังโกรธจนหัวใจมืดบอดได้ตาสว่าง ไม่ใช่โมเดลแมวอันนั้นที่วันเสาร์จะมาอาลัยอาวรณ์ แล้วก็ไม่ใช่ตัวเขาที่วันเสาร์จะต้องมาห่วงใยด้วย

“ของที่แตกไปแล้วพี่เสาร์อาจจะไปหามาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกของหนึ่งที่เสียไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนะ” เขาตัดสินใจทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น และลุกออกจากห้องไปเงียบๆ ภาวนาให้คำพูดของตัวเองยังพอมีผลกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี

เข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนเดินหน้า กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วที่วันเสาร์เอาแต่นั่งนิ่ง คิดอะไรต่างๆ วนไปเวียนมาจนลืมการนอนไปเสียสนิท เขาจัดการเก็บกวาดของบนโต๊ะกลับเข้าที่เข้าทาง เดินไปปิดไฟในห้อง พาตัวเองขึ้นเตียงเตรียมพักผ่อนอย่างเช่นทุกที…

แววตาไม่สื่ออารมณ์เผลอทอดมองพื้นที่ว่างเปล่าบนเตียงหลังใหญ่ที่ขนาดเท่าเดิมของมัน แต่คืนนี้กลับรู้สึกว่าช่างกว้างขวางผิดปกติ

ผิดปกติ จนเขาหลับตาไม่ลง…

พยายามข่มตาปิดพร้อมสะบัดความคิดไร้สาระในสมองทิ้ง แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ร่างสูงพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งนวดขมับตัวเองอย่างหัวเสีย สุดท้ายก็ห้ามขาทั้งสองข้างไม่ให้ก้าวออกไปจากห้องไม่ได้

ภายใต้ความมืดและความเงียบยามค่ำคืน เขากำลังเดินย่องลงบันไดราวกับว่าตัวเองเป็นโจร ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อหยุดลงตรงหน้าประตูห้องรับแขก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ลอดออกมาถึงด้านนอก สองมือกำหมัด ชั่งใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมแขนออกไป ค่อยๆ เลื่อนประตูไร้กลอนเปิดออก อากาศในห้องกระทบผิวกาย ดวงตาคู่คมกะพริบถี่เพื่อปรับสภาพ

หัวคิ้วขมวดชนกันเมื่อเพ่งมองไปยังโซฟาตัวยาว ผ้านวมผืนหนากองรวมกันอยู่แถวปลายเท้า แต่บนหมอนใบนั้นกลับไม่พบบุคคลที่ควรจะอยู่ตรงนี้

สวิตช์ไฟบนผนังถูกกดเปิดเร็วยิ่งกว่าความคิด แสงสีขาวแยงตาสว่างไปทั่วทั้งห้องโล่งๆ ก่อนที่ขายาวจะรีบก้าวออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่านับหนึ่งไม่ได้นอนอยู่บนโซฟาอย่างที่ควรเป็น จุดแรกที่เขาไปถึงก็คือประตูใหญ่หน้าบ้าน มือหนาเขย่าเช็คกลอน แต่ก็พบว่ามันยังล็อกอยู่อย่างดีตามเดิม แปลว่าเด็กนั่นไม่ได้หนี…

แล้วหายไปไหน?

ลมหายใจหอบบางเบาพ่นออกจากปากขณะหุนหันตรงไปทางหลังบ้าน แสงไฟสลัวลอดผ่านออกมาจากบริเวณห้องครัว พาลเอาเขายิ่งร้อนใจ

ดวงตาเรียวเบิกกว้าง จับจ้องไปยังร่างเล็กที่กำลังมองเขากลับมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ท่าทีแสดงอาการโล่งอกถูกเก็บซ่อนอยู่ภายใน ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาปั้นขรึมในเสี้ยววินาที นับหนึ่งส่งเสียงตะกุกตะกักขณะวางห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือลงบนเคาน์เตอร์

“พะ...พี่เสาร์”

“ทำอะไร”

 “ผ..ผม ผมขอโทษครับ” เด็กน้อยก้มหัวลงหลายที เรียวขาสั่นริกค่อยๆ ก้าวหลบ “จ..จะรีบ กลับไปนอน…โอ้ย!”

วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว ไล่สายตามองคนที่เพิ่งสะดุดอากาศพาตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น พวงแก้มขาวแทบจะแนบผิวกระเบื้องด้านใต้ และนับว่าโชคดีที่แขนอย่างกับโปลิโอนั่นยังค้ำร่างเอาไว้ได้ทันก่อนที่ศีรษะจะพุ่งหลาวให้กะโหลกร้าวเล่นๆ

นับหนึ่งกระเสือกกระสนยันตัวเองขึ้น แต่ก็ขาพับลงไปนั่งจุมปุกอีกรอบ จนเขาทนไม่ได้ต้องยื่นแขนออกไปหวังจะช่วย หากปฏิกิริยาตอบโต้ที่ได้รับกลับทำเอาเขานิ่งค้าง แววตากลมมีหยดน้ำคลอหน่วยช้อนมองด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจระคนหวาดกลัว เสียงพึมพำว่าขอโทษครับซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าเด็กนี่ประสาทไปแล้วแน่

เจ้าของร่างบางหลุบตาลงเพียงแค่เขาเผยอปากออกเล็กน้อย คำพูดทั้งหมดถูกกลืนลงคอ ไม่มีสุ้มเสียงใดเล็ดรอด นอกจากคำพูดของน้องชายตัวเองที่ถูกกรอซ้ำอยู่ภายในหัวสมอง

‘แต่ความรู้สึกของหนึ่งที่เสียไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนะ’

น่ากลัวว่ามันจะจริง…

 
------------------------------------------------------------------------------------
 
น้งงงงงงงงงงงง หนีไปเถอะ อย่าไปอยู่กับคนแบบนี้เลย TTT
ใครต้องการเข้าร่วม #ทีมเงาแค้นพี่เสาร์ เชิญลงชื่อด้านนี้เลยนะคะ //ผายมือ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นเลยน้า คือปกติจะมีแค่ 2-3 คอมเม้นเอง เห็นมันเพิ่มขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจมากแล้ว มีกำลังใจที่จะแต่งต่อ ฮือออ รักคุณนักอ่านทุกคน แม้ว่าจะแค่หลงเข้ามานะคะ ❤❤

ป.ล. เผื่อบางคนยังไม่รู้ ตอนนี้เราจะอัพนิยายทุกวันเสาร์ ยกเว้น เสาร์สุดท้ายของเดือนนะคะ เพราะทุกสิ้นเดือนเราต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลยไม่สะดวกงับ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อ อย่าเพิ่งหายไปไหนน่ออ ถ้าทุกคนไม่หนี เราก็ไม่หนี !


 :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2018 10:05:24 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
พี่เสาร์นี่คงเกินเยียวยาแล้ว
นับหนึ่งคงต้องถามตัวเองต่อให้ในอนาคตจะค่อยๆ ได้เศษเสี้ยวความรักจากพี่หนึ่งมาบ้าง แต่จะเอาหัวใจไปฝากไว้กับคนที่พื้นฐานจิตใจแบบนี้จริงๆ เหรอ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
พี่เสาร์กินน้ำแข็งเป็นอาหารรึเย็นชาเกิ้นนับหนึ่งน่ารักขนาดนี้ยังใจร้ายใส่อีกยึดติดกับวันศุกร์มากเกินไป+1

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง เก้า

 

“หวะ…!?” นับหนึ่งโวยวายเมื่อจู่ๆ ก็ถูกมือหนาตรงเข้าฉุดตัวเองลุกขึ้น วันเสาร์ไม่ปริปาก ไม่ไล่ แถมยังกระชากเขากลับไปทางเคาน์เตอร์ขัดมัน ห่อบะหมี่ที่ยังไม่ทันได้แกะยังคงนอนแหมะอยู่บนนั้น และตอนนี้ก็เข้าไปอยู่ในอุ้งมือคนโตกว่าเรียบร้อยแล้ว

“เอ่อ พี่เสาร์”

รวบรวมความกล้าส่งเสียงเรียกออกไปแผ่วๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมพูดอะไรให้เขาเข้าใจสถานการณ์แปลกประหลาดในขณะนี้ วันเสาร์กดสายตาเป็นสัญญาณให้เขาหุบปากนิ่งเฉย ก่อนจะหันไปหยิบชามออกมาจากชั้น จัดการแกะเส้นสีเหลืองไข่ในซองใส่ลงไป พร้อมเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเสร็จสรรพ

สรุปคือ…จะมาแย่งเขากินมาม่าเหรอ หรือยังไง

เกือบ 5 นาทีหลังจากนั้น เขาก็ถูกลากไปนั่งกะพริบตาทำหน้าหมางงอยู่บนโต๊ะกินข้าว ชามเซรามิกเลื่อนมาจ่อหน้า พร้อมน้ำเสียงราบเรียบที่เดาอารมณ์ไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้อุ่นใจว่าเจ้านายตัวเองไม่ได้เป็นใบ้ไปแล้ว

“กินซะสิ”

“กิน…ได้เหรอครับ”

วินาทีหนึ่ง เขารู้สึกขนลุกราวกับมีรังสีอำมหิตส่งผ่านสายตาดุคม รีบยกมือโบกไปมาพัลวันแล้วแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่ก่อนจะมีใครเดินมาคว่ำชามบะหมี่ลงบนหัวซะก่อน

“มะ หมายถึงว่า ผมกินได้เหรอครับ ก็พี่เสาร์ลงโทษผมอยู่นี่น่า…” ประโยคแผ่วปลายทำเอาอีกฝ่ายย่นคิ้ว เสียงท้องร้องดังแทรกความเงียบจนเจ้าตัวตีหน้าเลิ่กลั่ก

“บอกให้กินก็กิน”

“แต่ว่…”

“จะกินหรือไม่กิน!”

“กิน! ก..กินครับ” เขาเผลอขานตอบประหนึ่งอยู่ในค่ายทหาร หยิบส้อมตักเส้นเข้าปากไม่หยุด

ภายใต้ความมืดยามค่ำคืน มีเพียงแสงไฟเหนือโต๊ะกินข้าว กับผู้ชายสองคนที่ยังคงตาสว่าง วันเสาร์ลุกไปรินน้ำมานั่งดื่มเงียบๆ ขณะที่นับหนึ่งยังคงตั้งอกตั้งใจกินมาม่าอย่างกับคนอดอยากมานานแรมปี ชามใบใหญ่ถูกยกขึ้นซดน้ำซุปจนหยดสุดท้าย อาหารมื้อเย็นผนวกค่ำหมดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ แม้แต่คนไม่มีหัวใจก็ยังอดมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสารไม่ได้

“ฮ้า” ชามเปล่าวางลงบนโต๊ะ คนตัวเล็กเอนหลังพิงเก้าอี้พลางพ่นลมหายใจหนักๆ ออกทางปาก

“อิ่มรึยัง”

เขาพยักหน้าตอบหงึกหงัก ชั่งใจว่าควรขอบคุณดีไหม ในเมื่อวันเสาร์เป็นต้นเหตุให้เขาไม่ได้กินข้าวเย็นเอง “งั้นผมกลับ…”

“ถ้าอิ่มแล้วก็ขึ้นห้อง”

ดวงตากลมกะพริบถี่สองสามครั้ง มีคำว่า หืม? ตัวโตแปะอยู่กลางหน้าผาก วันเสาร์ไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับลุกขึ้นมาอ้อมหลัง กระชากคอเสื้อเขาให้ลุกตาม แล้วบังคับถูลู่ถูกังขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ประตูห้องนอนอันคุ้นเคยเปิดออก คนโตกว่าแทบจะเขวี้ยงร่างเขาลงบนพื้น ทำอย่างกับเพิ่งโยนถุงเท้าลงตะกร้า

ออกคำสั่งเรียบนิ่งหากแฝงไว้ด้วยอารมณ์หงุดหงิดรำคาญเหมือนทุกที “รีบไปแปรงฟันแล้วมานอน”

“เอ่อ…”

“ไปแปรงฟัน” วันเสาร์ย้ำชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาเขารีบหุบปากแล้วกลืนทุกข้อสงสัยลงคอ จรลีเข้าไปในห้องน้ำด้วยความไวแสง

วันเสาร์คงเป็นบ้า ไม่ก็ไบโพลาร์แน่ๆ เมื่อเย็นยังตบหน้าไล่เขาไปขังไว้ในห้องรับแขก แต่ตอนนี้กลับถึงขนาดต้มมาม่าให้กิน ฉุดลากขึ้นมานอนบนห้องเหมือนเดิมอีกต่างหาก จิตไม่ปกติหรือว่าสมองเพี้ยนไปแล้วกันแน่นะ

รสมินต์จากยาสีฟันคู่ใจกระจายตัวไปทั่วทั้งโพรงปาก กวาดกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์จากผงชูรสเมื่อสักครู่ เงาสะท้อนในกระจกตอกย้ำให้เขาเห็นถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง ขอบตาแดงก่ำเป็นเครื่องพิสูจน์ความอ่อนแอ แถมยังอ่อนไหว เรื่องที่เศร้าที่สุดคงเป็นการที่เขาคิดว่าตัวเองหลุดออกจากบ่วงแห่งความเศร้าแล้ว ในวินาทีที่หนีออกจากโซ่ตรวนของเจ๊หมวยมาได้ แต่ความจริงกลับไม่ได้หลุดออกไปไหน ซ้ำยิ่งจมดิ่งลงสู่ทะเลสีเทาลึกสุดลึก

ทะเลสีเทาที่มีชื่อเรียกว่า วันเสาร์ นั่นแหละ…

ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเอาหยาดน้ำบนใบหน้าออก เขาค่อยๆ ก้าวขากลับมาเผชิญเจ้าของห้องซึ่งกำลังส่งสายตาเย็นชามาให้จากบนที่นอน มือใหญ่ตบฟูกปุๆ เป็นสัญญาณให้เข้าไปหา ทำอย่างกะเรียกหมางั้นแหละ

“เจ็บไหม” วันเสาร์ถาม ขณะเอื้อมมือแตะพวงแก้มซีกซ้ายของเขาผะแผ่ว เมื่อเขาผงกศีรษะลง ปลายนิ้วเย็บเฉียบจึงเปลี่ยนมาลูบเกลี่ยไปตามกรอบหน้าซีดเผือด มันคงเป็นภาพที่ดูอ่อนโยนพิลึก ถ้าไม่ใช่ว่าคำพูดต่อมาก็ยังคงใจร้ายไม่เคยเปลี่ยน

“เจ็บแล้วก็จะได้จำ ว่าวันหลังต้องทำตัวยังไง ถ้าฉันบอกว่าห้ามไปยุ่งกับน้องฉันก็คือห้ามยุ่ง ครั้งนี้ฉันยังใจดีนะ แต่ถ้ามีอีก…ฉันจะไม่ใช่แค่ตบนาย จำไว้ด้วย”

น้ำลายเหนียวข้นถูกกลืนลงคอด้วยความยากลำบาก แววตากลมสั่นระริกเพียงวูบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงอีกครั้ง แล้วรีบล้มตัวลงนอน นับหนึ่งพลิกตัวหันหลังให้คนบนหมอนอีกใบ ไม่กี่วินาทีต่อมา ไฟในห้องก็ดับลง

ไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดไร้เยื่อใยของวันเสาร์ กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าแรงตบเมื่อตอนเย็นเสียอีก...



-----------------------------------------------



ก๊อกๆๆ

“คุณเสาร์คะ!”

ก๊อกๆๆ

“คุณเสาร์ แย่แล้วค่ะ”

เสียงเอะอะโวยวายจากแม่บ้านด้านนอกทำเอาสองร่างบนเตียงสะลืมสะลือตื่นขึ้นในเช้าตรู่ของวันหยุด นับหนึ่งบิดหัวไหล่ไล่ความเมื่อยล้า ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นเพื่อพบกับวงแขนหนักอึ้ง พันโอบรอบเอวตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่นี่คงจะเป็นสาเหตุของการฝันร้ายว่าถูกผีอำอยู่หลายค่ำหลายคืน

“คุณเสาร์! คุณหนึ่งหายตัวไปค่ะ”

ก๊อกๆๆๆ

“พี่เสาร์” เขาพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนคนด้านหลังจะยิ่งแกล้งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ทั้งที่รู้สึกตัวตื่นสักพักใหญ่แล้ว

“ปล่อยครับ ผมจะออกไปหาพี่ละไม”

ไอความร้อนจากลมหายใจเป่ารดอยู่หลังใบหู แรงขบหนักๆ บนลาดไหล่ทำเอาเขาสะดุ้ง ขนอ่อนในกายตั้งชันพอดีกับที่อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดกระทบผิว

“พ..พี่เส…” คำพูดแหบพร่าขาดห้วงยามเรียวลิ้นหนาตวัดแลบเลียไปตามรอยกัดเมื่อครู่

ก๊อกๆ

“คุณเสาร์!”

ปากหยักกดจูบลงบนหัวไหล่สั่นระริก ก่อนจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ ขายาวก้าวตรงไปทางประตูห้อง ทันทีที่เปิดออก พี่ละไมก็รีบส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งจนคนเป็นนายถึงกับยกนิ้วขึ้นอุดหู

“คุณเสาร์คะ คุณหนึ่งหายไปค่ะ ไม่อยู่ที่…อ่าว” หญิงวัยสามสิบกว่าอ้าปากค้าง เมื่อชะโงกหน้าเข้ามาเห็นว่าคนที่เธอตามหาตั้งแต่เช้า กำลังนอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง

แถมไม่ใช่เตียงธรรมดา แต่เป็นเตียงของผู้ชายที่ไล่ให้เด็กคนนั้นลงไปนอนโซฟาอีกต่างหาก เรื่องนี้ใครไม่งงไม่รู้ รู้แต่เธองง!

เธอส่ายศีรษะเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โธ่เอ๊ย สุดท้ายคุณเสาร์ก็ยอมให้คุณหนึ่งขึ้นมานอนด้วยนี่เอง”

“พี่ละไมมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ” คนตัวสูงถามเสียงเรียบ พร้อมใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หากว่าแววตาคมกริบก็พอจะทำให้เธอรู้ตัวว่าควรเงียบปากแล้วทำเป็นปิดหูปิดตาซะ

“เอ่อ อีกสักครู่ลงไปทานอาหารเช้าได้แล้วนะคะ”

“ครับ”

ประตูไม้ปิดตัวลง น่าจะก่อนที่เธอพูดจบประโยคเสียอีก ละไมกลั้นยิ้มขณะก้าวขากลับลงไปชั้นล่าง เธอรีบโบกมือพัลวันในอากาศทันทีที่เห็นคุณชายคนเล็กของบ้านกำลังทำท่าชะเง้อชะแง้คออยู่แถวหัวกระได สีหน้าห่วงใยคลายออกเมื่อละไมปรี่เข้ามารายงานข้างๆ หู วันศุกร์ยิ้มหย่อง หัวเราะคิกคักอยู่ในลำคอ ดูเหมือนว่าวันนี้ถ้าไม่ได้แซวพี่ชายตัวเอง เขาคงนอนไม่หลับ

ก็คงจะคิดไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ…วันเสาร์เปลี่ยนไปแล้ว



-----------------------------------------------



ทุกคนนั่งพร้อมหน้ากันรอบโต๊ะอาหาร ข้าวต้มทะเลในหม้อใหญ่ตักแบ่งใส่ชามให้เจ้าของบ้านทั้งสอง กับอีกหนึ่งหวานใจคุณชายคนโต เอ๊ย ขวัญใจคุณชายคนเล็ก นับหนึ่งคอยจิบน้ำในแก้วไม่พูดไม่จา เช่นเดียวกับวันเสาร์ที่เอาแต่ปิดปากเงียบ แถมแสร้งตีหน้าตายทั้งที่ตัวเองเพิ่งพลิกลิ้นไปแล้วไม่รู้กี่ตลบ

ถ้วยกระเทียมเจียวส่งกลิ่นเตะจมูก หอมพอๆ กันกับตะกร้าขนมปังปิ้งที่เพิ่งถูกยกออกมาเสิร์ฟ วันศุกร์ช่วยสมาชิกใหม่ปรุงรสอาหารเช้า รอยยิ้มแสนใจดีนั้นคงเป็นอะไรที่วันเสาร์ไม่มีวันเทียบเคียงได้เลยสักกะผีกเดียว

“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง”

นับหนึ่งสะดุ้งนิด กลอกตาลอกแลก ท่าทีน่าขำทำเอาคนถามหลุดหัวเราะ ก่อนจะหันไปแกล้งพี่ชายตัวเองแทน

“พี่เสาร์บอกว่าห้ามใครไปโอ๋หนึ่งเด็ดขาด แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายไปโอ๋ซะเอง แบบนี้มันกลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ เลยนี่ครับ”

“ใครว่าโอ๋” เจ้าของร่างสูงพับหนังสือพิมพ์ในมือส่งต่อให้แม่บ้านนำไปเก็บ

“พี่ก็แค่…”

“ก็แค่?”

“สงสาร”

แววตาใสเป็นประกายเมื่อได้รับคำตอบ วันศุกร์อมยิ้มไม่ปิดบัง หันไปพยักเพยิดหน้ากับละเมียดละไมอย่างกับพวกแก๊งนักเรียนหญิงจับกลุ่มนินทาผู้ชายในชั้น คำว่าสงสารอาจไม่ได้ฟังดูน่าประทับใจเท่าไรนัก แต่เขารู้ดีว่าสำหรับคนอย่างวันเสาร์ แค่มีความรู้สึกสงสารให้ คนคนนั้นก็นับว่าพิเศษกว่าคนอื่นขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว แถมนับหนึ่งเองก็ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่พิเศษกว่าคนอื่นหน่อยเดียวซะด้วยสิ

“พี่เสาร์เปลี่ยนไปนะครับ” เขาจับจ้องเสี้ยวหน้าเรียวด้วยสายตาหยอกล้อ “ใจดีขึ้น”

คนถูกชมส่ายหัวเอื่อย หันไปจัดการชามข้าวตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก นับหนึ่งเองก็แอบส่ายหน้าอยู่ในใจเช่นกัน เพราะตั้งแต่รู้จักผู้ชายบนหัวโต๊ะ ก็ยังไม่เห็นว่าจะเข้าใกล้คำว่า ใจดี ตรงไหน ถ้าจะมีใครในที่นี้ใจดี เขาก็จะตอบว่าคือวันศุกร์นั่นแหละ

ส่วนวันเสาร์น่ะ ต้องเรียกว่าใจร้ายถึงจะถูก ก็แค่ใจร้ายมาก ใจร้ายน้อย เป็นบางเวลาเท่านั้น

“พี่ละไม แยมหมดแล้วเหรอครับ”

“แยมสตรอเบอรี่เหรอคะคุณศุกร์”

“ครับ”

“เหลือแค่นั้นเองค่ะ เดี๋ยวไว้พี่ไปซื้อเพิ่มให้ ตอนนี้เอาอย่างอื่นแทนก่อนได้ไหมคะ” เสียงตะโกนถามจากในครัว เว้นช่วงรอคำตอบ เปิดตู้เย็นควานหาภาชนะแก้วบรรจุแยมสีส้ม กับอีกใบเป็นสีม่วงก่ำจากบลูเบอรี่

ศุกร์ชั่งใจ ลังเลระหว่างแยมผลไม้รสชาติอื่น หรือจะเปลี่ยนเป็นช็อกโกแลตไม่ก็เนยถั่วดี ขณะที่เด็กตรงข้ามกำลังนั่งเกร็ง ในมือถือขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่ก้นกระปุกซึ่งเพียงพอสำหรับที่สุดท้าย ดวงตากลมก้มมองของในมือตาละห้อย หากก็ตัดสินใจเสียสละยื่นออกไปให้

“พี่ศุกร์กินชิ้นนี้ก็ได้ครับ”

“เอ้ย ไม่เป็นไร หนึ่งกินเลย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ศุกร์กินเถอะ ผมทาเนยอย่างเดียวก็พอ”

“ไม่ๆ หนึ่งกินเถอะ พี่แค่ถามเฉยๆ”

“แต่ว่…”

เสียงกระแอมไอขัดจังหวะการถกเถียงไม่จบสิ้นของพวกเขาทั้งคู่ วันเสาร์เป็นฝ่ายเอื้อมมือเข้ามาชิงขนมปังชิ้นดังกล่าว แล้วยัดมันเข้าไปในปากของเด็กร่วมเตียงเมื่อคืน นับหนึ่งเบิกตากว้าง จ้องหน้าคนป้อน (?) เขม็ง

“อุ่ก”

“กินๆ เข้าไป รำคาญ”

เขารีบปัดมือหนาออก ก่อนที่จะสำลักอาหารตายซะก่อน รสชาติหวานอมเปรี้ยวของแยมสีสด ตัดกับขนมปังโฮลวีทปิ้งกรอบเคลือบอยู่ในลำคอ เรียวลิ้นแลบทำความสะอาดรอยเลอะตามมุมปาก บ่นอุบอิบเสียงแผ่ว เพราะไม่ใช่แค่วันเสาร์ที่เอาแต่แกล้งเขา ขนาดวันศุกร์กับแม่บ้านทั้งสองก็ยังดูชอบใจถึงได้ยิ้มร่ากันใหญ่

และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีความสุข ในเมื่อวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ คนที่ใครต่อใครต่างพากันตราหน้าว่าแสนเย็นชานักหนา วันนี้กลับดูสนอกสนใจเด็กแปลกหน้าซะเหลือเกิน ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกินคาด

“จริงๆ หนึ่งชอบแยมสตรอเบอรี่ใช่ไหม” วันศุกร์ถาม คนตัวเล็กชะงักไปนิด แต่แล้วก็พยักหน้ายอมรับ

“ปกติผมไม่เคยกินอะไรแบบนี้หรอกครับ แต่ลองแล้วมันก็อร่อยดี”

“วันหลังถ้าชอบอะไรก็บอกตรงๆ เลย เดี๋ยวพี่เสาร์ก็รีบหามาให้เองแหละ”

คนถูกพาดพิงเอียงคอมองน้องชายด้วยท่าทีหน่ายใจ อย่างกับว่าเขาจะดูไม่ออกว่าคนบ้านนี้ โดยเฉพาะเจ้าตัวแสบตรงหน้ากำลังพยายามจับคู่ไม่เข้าเรื่อง

แววตาเรียบนิ่ง บรรจุความรู้สึกนับพันล้าน จับจ้องไปยังโครงหน้าหวานคุ้นเคยที่คอยเฝ้ามองมาตลอด 19 ปี เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มกว้างน่าเอ็นดู เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มที่เคยซบลงอยู่กับบ่าเขาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่เดือน เจ้าของชื่อวันศุกร์ก็ยังคงเป็นเหตุผลเดียวสำหรับความสุขของเขาอยู่ดี

ลมหายใจบางเบาลอบพ่นออกจากปาก ก่อนจะหันกลับมาจัดการอาหารเช้าต่อ ปล่อยให้เด็กสองคนพูดคุยกันอย่างออกรส ผ่านไปเพียงไม่นาน ข้าวต้มในชามก็เริ่มร่อยหรอ

เขาหันไปหานับหนึ่งที่ดูจะสดใสขึ้นหลายขุมเพียงเพราะมีวันศุกร์มาอยู่ด้วย “เดี๋ยวขึ้นไปแต่งตัว จะพาออกไปข้างนอก”

“ไปไหนครับ?”

“ไม่ต้องถาม”

“อ่าว จะไปไหนก็ต้องถามสิ ถ้าพี่เสาร์พาผมไปทิ้งล่ะ” เอาไปทิ้งจริงๆ เลยดีไหม ปากเก่งขนาดนี้ สงสัยลืมไปแล้วว่าเขาเป็นเจ้าชีวิต ถึงได้ชอบเถียงคำไม่ตกฟากนัก

“ถ้ายังถามมาก จะพาไปทิ้งจริงๆ”

คนตัวเล็กบุ้ยปาก แล้วหันหลังลุกขึ้นบันไดตามคำบัญชา

สองพี่น้องย้ายไปนั่งพักอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่น เรียวขาขาวเหยียดไล่อาการเมื่อยล้า เนื่องจากแฟนหนุ่มรุ่นพี่เพิ่งชักจูงให้เขาเริ่มออกกำลังกายมากขึ้น วันศุกร์นวดคอตัวเองเบาๆ ไล่สายตาพิจารณาใบหน้าเรียวหล่อเหลาของพี่ชายตัวเองซึ่งเอาแต่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์เครื่องบาง

วันเสาร์ไม่ได้เป็นพวกยิ้มแย้ม ร่าเริง หรือว่าสนุกสนาน และคงไม่มีวันเป็นอย่างนั้น เพราะมันไม่ใช่วิสัย ถึงได้เป็นเรื่องยากที่จะเดาออกว่าอารมณ์ของคนคนนี้กำลังเป็นแบบไหน แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาดูออก

ถึงจะไม่ชัดเจน แต่วันเสาร์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลาอย่างเก่า และก็กำลังถูกความสดใสของใครบางคนแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ ทีละเล็กทีละน้อย โดยที่อาจจะไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด

ถึงจะไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เศร้าแล้วนี่น่า

“พี่เสาร์”

“หืม?”

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ลดมือถือลง “หมายถึงอะไรเหรอ”

“ก็ที่มีนับหนึ่งเข้ามาอยู่ด้วยเนี่ย เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็…ไม่เป็นไงหนิ”

“เหรอ แต่ศุกร์ว่าพี่เสาร์ดูไม่ค่อยซึมเหมือนแต่ก่อนนะ แบบว่า…ดูมีความสุขขึ้น นิดนึง”

“พี่จะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อน้องชายหนีออกจากบ้าน” เขาเลือกที่จะเลี่ยงบทสนทนาไม่น่าสนใจเมื่อครู่ ย้อนกลับไปจี้จุดคนถามเสียแทน ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวแสบน้อยๆ ของเขาถึงกับออกอาการหน้าแห้งเผือดทันควัน

“พี่เสาร์ก็ ศุกร์ไม่ได้หนีออกจากบ้านสักหน่อย แค่ไปอยู่บ้านพี่กันต์เอง”

“ก็นั่นแหละ” ร่างสูงใหญ่แสร้งถอนหายใจหนัก “พี่เหงานะ รู้ไหม”

“แหม เหงาอะไรกัน ก็มีหนึ่งอยู่ด้วยแล้วนี่ไง”

“เกี่ยวอะไรกับเด็กนั่นล่ะ”

“อ่าว ไม่เกี่ยวเหรอครับ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มหยอกกระเซ้าก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก แต่เขาชักจะไม่สนุกด้วยเพราะดูเหมือนนับวันจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าศุกร์คิดอะไร แต่พี่จะบอกให้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับนับหนึ่ง พี่ก็แค่สงสารเลยรับเข้ามาอยู่ด้วยเท่านั้นเอง”

คนตัวเล็กค่อยๆ หุบยิ้ม ขยับไปนั่งลงเคียงข้างเจ้าของใบหน้าคร่ำเคร่งที่ยังเอาแต่จ้องเขานิ่งๆ ในแววตาสีดำสนิทไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอื่นใดนอกจากหลุมลึกสุดหยั่งถึง เขาคิดว่าวันเสาร์กำลังก่อร่างสร้างกำแพงร้อยชั้น ปิดบังอะไรบางอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับ

พยายามซ่อนเก็บมันไว้ให้ลึก แล้วฉาบทับด้วยข้ออ้างอย่างอื่น

“แล้วพี่เสาร์รับนับหนึ่งเข้ามาในฐานะอะไรล่ะครับ”

ความเงียบชวนอึดอัดโปรยตัวลงปกคลุมทั่วพื้นที่ภายในห้องรับแขก เสียงเครื่องปรับอากาศแทบจะดังแทรกลมหายใจของเราทั้งคู่ สองสายตาสบประสานเนิ่นนานราวกับว่ากำลังเล่นเกมจิตวิทยา และน่ากลัวว่าคราวนี้เขาจะยังไม่ใช่ฝ่ายที่ชนะ

“จะให้พี่พูดตรงๆ ไหม”

“ครับ?”

“สำหรับพี่ นับหนึ่งก็เป็นแค่ตัวแทนของศุกร์นั่นแหละ”

วันเสาร์…โกหกไม่เก่ง

แต่ว่าใจร้ายเก่งชะมัด…

“พี่เสาร์ อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะครับ ถ้าหนึ่งมาได้ยินเข้าจะเสียใจมาก”

สายตาคมหม่นหมองหลบหน้าเขา ก่อนจะลุกขึ้นมองนาฬิกาข้อมือเรือนประจำ ขายาวก้าวไปยังประตูบานเลื่อนซึ่งมีเงาของใครบางคนฉายผ่านเข้ามา ยิ่งทำเอาคนที่เดินตามมาติดๆ สังหรณ์ใจไม่ดี

ภาพแรกที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาก็คือพวงแก้มขาวซีดคล้ายเยื่อกระดาษ ขอบตากลมโตเปื้อนรอยแดงระเรื่อ ริมฝีปากเป็นกระจับปิดแน่นสนิท คนที่เขาภาวนาไม่ให้มายืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ที่สุด กำลังเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดร้ายกาจเมื่อครู่แน่นิ่ง หากเพียงแค่วินาทีต่อมา นับหนึ่งก็กลับมาปั้นหน้ามึน กลอกตาวอกแวกเหมือนปกติ

“เอ่อ ผมแต่งตัวเสร็จแล้วครับ สรุปพี่เสาร์จะพาผมไปไหนเหรอ แล้วพี่ศุกร์ไปด้วยไหม”

เด็กน้อยยืนรอคำตอบแต่กลับได้รับเพียงความว่างเปล่า วันศุกร์เหลือบมองร่างสูงโปร่งด้านข้างซึ่งบัดนี้กลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้ว แวบเดียวเท่านั้นที่เขาสังเกตเห็นอาการวูบไหวภายในแววตาคู่ตรงหน้า ก่อนที่วันเสาร์จะเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ สมกับฉายาเจ้าชายเย็นชาที่เขาเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่จริง

“ไปขึ้นรถ” พูดแค่สั้นๆ แล้วเดินตัดหน้าออกไปทางประตูบ้าน ทิ้งให้อีกสองชีวิตยืนทำตัวไม่ถูก

วันศุกร์รีบคว้าข้อมือเล็กของอีกคนเอาไว้ สายตาปลอบโยนแลดูอบอุ่น ต่างกับคนพี่ราวฟ้ากับก้นเหว

“หนึ่ง…พี่เสาร์ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นหรอกนะ”

“เหรอครับ”

รอยยิ้มฝืนๆ ยิ่งทำให้ใจคนมองบางเท่าทิชชู่ เขาดึงนับหนึ่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ฝ่ามือลูบประโลมกลุ่มผมนิ่ม แม้จะยืนอยู่บนพื้นดวงจันทร์ ก็คงยังมองเห็นว่าหัวใจของเด็กคนนี้กำลังจะถูกช่วงชิงไปโดยผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีหัวใจคนนั้น

ทำไมถึงได้น่าสงสารเหลือเกิน…

 

------------------------------------------------------------------------------

อิพี่เสาาาาาาาร์ ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยย สงสารน้อง น้องรักแล้ว แต่พี่เสาร์ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย TTT

ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจมากๆ เลยนะคะ ถ้าใครเล่นทวิตเตอร์ ก็อยากให้ช่วยกันติดแท็กในทวิตเตอร์ด้วย จะได้ล่อลวงคนอื่นเข้ามาอ่านเยอะๆ ทุกวันนี้หวีดคนเดียว เหนื่อยมาก 555555555555 เรามีทวิตไว้บ่นเรื่องนิยายและอื่นๆ ที่ @aonair13 น้าา ไปเม้ามอยกันได้

ป.ล. ขอโทษที่มาช้านะคะ วันนี้ไปดู FB มา กรี๊ด GGAD กะ Scamanderbros มาก 555555 บ้าไปแร้ววว //กุมใจ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
วันเสาร์ใจร้ายมากสงสารนับหนึ่งหนีเถอะให้วันเสาร์ปวดใจอีกครั้ง

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบ



บรรยากาศบนรถวันนี้ย่ำแย่มากกว่าทุกที ไม่มีดนตรีเปิดคลอ และไม่มีบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น วันเสาร์หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดขนาดกว้างของห้างสรรพสินค้า ที่เคยมาซื้อเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ให้เขา คนตัวใหญ่ดับเครื่องยนต์ เดินนำหน้าไปทางประตูกระจกใส ปล่อยให้เขาวิ่งตามต้อยๆ

“เรามาที่นี่กันทำไมเหรอครับ”

ดวงตาสีเข้มปรายมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมเปิดปาก “ก็มาซื้อของที่นายทำแตกไปไง”

ของที่เขาทำแตก…หมายถึงคริสตัลรูปแมวบนโต๊ะพี่ศุกร์อะเหรอ

“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

ศีรษะทุยก้มงุด ไม่ทันสังเกตว่าวันเสาร์กำลังทำหน้าแบบไหน ยังโกรธไหม หรือเกลียดแล้ว เพราะเขาเผลอไปแตะต้องสิ่งสำคัญหนึ่งเดียวของอีกฝ่าย สำคัญมากขนาดที่ว่า คนต่ำต้อยอย่างเขาไม่มีวันเทียบแทนได้เลย

ไม่มีคำตอบกลับ นอกจากฝีเท้าหนักๆ ตรงไปทางร้านเครื่องประดับชื่อดัง พนักงานสาวในชุดสูทเรียบร้อยก้มหัวต้อนรับพวกเรา พลางผายมือไปยังเคาน์เตอร์ละลานตา

อัญมณีนับสิบหรือร้อยชนิดเปล่งประกายล่อแสงแข่งกันจนทั่วทั้งร้าน นับหนึ่งกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกขนาดยาว วันเสาร์ทักทายผู้จัดการร้านอย่างคุ้นเคย ถาดกำมะหยี่ถูกยกออกมา พร้อมคริสตัลรูปสัตว์หลายตัววางเรียงอยู่บนนั้น

กระต่ายน้อยตาสีดำ หมาบีเกิลนั่งชูหาง ไปจนถึงหมีแพนด้าแม่ลูก และแน่นอนว่ามีเจ้าแมวน้อยตัวเดิมที่วันศุกร์เคยมีด้วยเช่นกัน

“เอาแมวตัวนี้แหละครับ”

“ตัวเดียวเหรอคะ ไม่ดูอะไรให้รุ่นน้องด้วยเหรอ”

รอยยิ้มน่ารักของคนในชุดสูทหันมาทางเขาซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งตัวเกร็ง วันเสาร์เหล่ตามองเพียงแวบเดียว ก็หันกลับไปปฏิเสธเสียงเรียบ

“ไม่ล่ะครับ นี่แค่คนใช้”

“ตายจริง” หญิงสาวสะดุ้ง รีบก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่ เธอจัดแจงนำสินค้าลงกล่อง ใส่ถุงกระดาษเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม สกรีนโลโก้ยี่ห้อสีเงินสวยเด่น

นับหนึ่งก้าวเท้าเข้าไปรับถุงนั้นมาถือไว้อย่างรู้งาน เมื่อวันเสาร์ชำระเงินเรียบร้อยแล้วเดินตัวลอยออกไปจากร้าน ทางด้านผู้จัดการยังคงมองตามลูกค้าทั้งสองจนเกือบลับสายตา เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กนั่นจะเป็นคนรับใช้ของวุฒิเวคินทร์ เพราะผิวพรรณดูเรียบเนียน ขาวเหมือนกระดาษ ยิ่งกับใบหน้าหวานๆ ที่ถ้าหากว่าไว้ผมยาว แล้วสวมชุดกระโปรงมาล่ะก็ เมื่อกี้เธอคงรีบทักว่าเป็นแฟนของวันเสาร์แน่ๆ

“พี่เสาร์ รอด้วยครับ” คนตัวเล็กวิ่งตามจนขึ้นมาขนาบข้างได้สำเร็จ เขาถือถุงในมืออย่างระวังขณะเดินผ่านกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังยืนออรอคิวร้านอาหารเต็มทางเดิน

“ถ้าคราวนี้ทำแตกอีก จะไม่ใช่แค่โดนตบแล้วนะ”

เขายู่ปาก แหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างนึกเคือง “ทำไมครับ จะต่อยผมเหรอ”

“อยากลองไหมล่ะ”

นับหนึ่งสะบัดหน้าใส่ ตั้งท่าจะถอยเว้นระยะห่าง แต่กลับถูกมือหนากระชากร่างกลับมาใกล้กันยิ่งกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ ตามด้วยคำก่นด่าแว่วมาจากผู้ชายที่เพิ่งเดินเฉียดไปเมื่อครู่

“เดินดีๆ เป็นไหม” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์เสียชัดเจน วันเสาร์ดุเขาผ่านสายตา ก่อนจะเลื่อนมือจากต้นแขนลงไปถึงข้อมือบาง ฉุดให้ก้าวขาตามไวขึ้น อุณหภูมิจากร่างกายอีกฝ่ายเกี่ยวพันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพวกเราหลุดออกจากฝูงชน ถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

ร่างสูงโปร่งเสมองไปทางร้านรวงระหว่างทาง กระแอมอยู่ในลำคออย่างวางท่า อดจะเผลอยิ้มตามให้กับภาพนั้นไม่ได้ เพราะถึงจะโหดร้ายยังไง วันเสาร์ก็มักจะหลุดทำตัวให้รู้สึกประทับใจหรือใจอ่อนอีกจนได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังสับสนและเกลียดผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ไม่ได้สักที

ลูกโป่งสีแดงสดลอยเด่นสะดุดตา นับหนึ่งลดความเร็ว จับจ้องไปยังร้านไอศกรีมชื่อดังถัดจากบันไดเลื่อนซึ่งกำลังจะนำพวกเขากลับสู่ลานจอดรถ เรียวแขนเล็กเอื้อมออกไปดึงรั้งชายเสื้อคนตัวสูงไว้ ก่อนจะทันได้คิด

“อะไร”

“อ…เอ่อ”

“มีอะไร” เสียงต่ำกดย้ำทำเอาเขายิ่งเลิ่กลั่ก น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอก่อนจะกลั้นใจชี้นิ้วไปทางร้านของหวานใกล้ๆ

“อยากกินไอติม…กินได้ไหมครับ”

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว จ้องหน้าเขาสลับกับหน้าร้านอยู่หลายครั้ง

“นี่นายเป็นเด็กเหรอ?”

คำถามไม่รื้นหูแถมฟังดูโง่จะตาย ถามมาได้ว่าเป็นเด็กเหรอ เออ ก็เป็นเด็กไง เพิ่งจบมัธยมเองนะ แล้วถึงจะไม่เด็กแล้วอยากกินไอศกรีมไม่ได้เหรอ งง ชีวิตวันเสาร์วันๆ คงเอาแต่ดื่มเหล้าล่ะสิ น่าสงสาร น้ำแข็งใส บิงซูอะเคยกินเปล่า

“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ กลับกันเถอะ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ เจ้าของใบหน้าถมึงทึงคว้ามือเขาลากตรงไปหาพนักงานในชุดสีดำตัดแดงซึ่งกำลังส่งยิ้มหวานมาแต่ไกล พวกเราถูกพาเข้ามานั่งบนโต๊ะกลมขนาดเล็กริมหน้าต่าง โดยไม่มีใครปริปาก สายตาหลายคู่แอบมองด้วยอาการสงสัยไปต่างๆ นาๆ เพราะมันก็คงดูแปลกพิลึกอยู่เหมือนกันกับการที่ผู้ชายจะมานั่งกินไอศกรีมสองต่อสอง ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาที่แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงของคุณชายวันเสาร์แล้ว ก็ยิ่งดึงความสนใจจากคนอื่นได้ไม่ยาก

“รับอะไรดีคะ”

“เอ่อ พี่เสาร์เอาอะไรครับ” เขาเอ่ยถามท่าทีเกร็งๆ แน่นอนว่าโดนสายตาเย็นเยียบจ้องกลับมา จนต้องรีบกลืนคำอื่นลงคอ

“ฉันไม่กิน นายจะกินก็รีบสั่ง”

“อืม…งั้นเอาช็อกโกแลต วานิลลา แล้วก็สตรอเบอรี่ อย่างละลูกครับ”

พนักงานสาวจิ้มออเดอร์ใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ เมื่อเธอเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ คำถามเสียงเข้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“สั่งอะไรเยอะแยะ กินหมดหรือไง”

“ก็แบ่งกันกินไงครับ”

คนตัวสูงย่นคิ้ว “บอกแล้วไงว่าฉันไม่กิน” ดูเหมือนคงอยากจะต่อว่าที่เขาไม่ฟัง แต่ช่างปะไร เพราะเขาไม่สน จะกินหรือไม่กิน ยังไงไอศกรีมแค่ 3 สกู๊ป ก็ไม่คณาลำไส้เขาอยู่แล้ว

“แล้วไอติมสตรอเบอรี่ที่ผมเคยซื้อมาฝาก ได้กินหรือเปล่าครับ”

“เมื่อไร”

“ก็วันที่พี่นาวามาหาที่บ้านไง”

“อ๋อ…”

“ว่าไงครับ ได้กินไหม”

วันเสาร์ไม่ตอบ แถมยังจงใจเบือนหน้าหนี พวกเขาผลัดกันยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบอยู่หลายครั้งกว่าที่พนักงานคนเดิมจะเดินเอาถ้วยไอศกรีมมาเสิร์ฟ ท่าทางใบหน้าหล่อเหลาจะทำพิษใส่คนแถวนี้อีกแล้ว ทางร้านถึงได้โปะวิปครีมก้อนใหญ่แถมมาให้เราด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นผลพลอยได้ที่เขาไม่คิดปฏิเสธ

นับหนึ่งเลื่อนช้อนคันหนึ่งไปด้านหน้า ก่อนจะเริ่มตักเนื้อไอศกรีมแน่นๆ เข้าปาก ความหวานและความเย็นหลอมรวมอยู่บนลิ้น ทำเอาเขาเผลอฉีกยิ้มจนคนตรงข้ามต้องขมวดคิ้วเป็นรอบที่ล้าน

ไอศกรีมทั้งสามรสชาติค่อยๆ ละลายปนกันบนก้นถ้วย ในขณะที่วันเสาร์ยังคงไม่แตะต้องช้อนสเตนเลสที่เขาพยายามส่งให้ ทำเพียงแค่นั่งมองเขากินอย่างกับจะกดดันให้รีบยัดทุกอย่างลงท้องเพื่อจะได้รีบกลับบ้าน

มือใหญ่ยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก แววตาสีดำเข้มยากเกินคาดเดาจับจ้องมาเพียงไม่ห่าง เสียงหึเบาๆ ดังลอดจากลำคอหนา กว่าจะทันได้ตั้งคำถาม ปลายนิ้วเรียวก็ยื่นเข้ามาปาดเอาคราบครีมหวานขึ้นตาติดขอบริมฝีปากออกไปเสียก่อน คนโตกว่าเช็ดมือตัวเองกับทิชชู่ พลางเลิกคิ้วสูง

“สรุปว่าฉันรับนายเข้ามาเป็นลูกใช่ไหมเนี่ย”

เป็นอีกครั้งที่เขายู่ปากใส่เจ้านาย “ไม่ได้อยากเป็นลูกพี่เสาร์สักหน่อย” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านกับประโยคสวนถัดมา

“แล้วอยากเป็นอะไร เมียฉันหรือไง?”

“มะ ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!”

ใบหน้าหวานมุ่ยแดงฉ่า รีบตีเนียนตักไอศกรีมเข้าปากคำใหญ่จนแทบกลืนไม่ลง ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งมองนิ่งๆ หากแววตาคมคู่นั้น บัดนี้กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์สนุกต่างจากทุกที มันก็น่าประทับใจอยู่หรอกที่วันเสาร์ไม่ได้มีเพียงสายตาว่างเปล่าให้กับเขาเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กำลังทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในอกชอบกล

ไม่เห็นจะชอบเลย…



-----------------------------------------------



“ซู่ดดด”

เสียงดูดหลอดเสียงดังชวนให้คนที่กำลังจดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะทำงานนึกรำคาญ เขาวางปากกาลง เงยหน้ามองเด็กที่เอาแต่นั่งแกว่งขาไปมาอยู่บนขอบเตียง มือเล็กๆ สองข้างกุมแก้วน้ำหวานเอาไว้มั่น ปากอิ่มแดงเจ่อ ขณะนี้ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

มันน่า…บีบ ไม่ก็กัดให้ช้ำซะเลย

“ดูดน้ำเสียงดัง ไม่มีมารยาท” เขาเอ็ด

ตามด้วยเสียงซู่ดดังๆ อย่างจงใจอีกรอบ ก่อนที่แก้วในมือจะเหลือเพียงน้ำแข็งเปล่า นับหนึ่งส่งยิ้มไม่สะทกสะท้าน แถมยังเดินหันหลังออกจากห้องไปหน้าตาเฉย ผ่านไปไม่กี่นาที ก็กลับขึ้นมาพร้อมแก้วใบเดิมที่บรรจุน้ำแดงเต็มขอบ อดจะเตือนไม่ได้

“อย่าดื่มน้ำหวานให้มันมากนัก”

“ทำไมอะครับ”

“มันไม่ดีต่อสุขภาพ นายจะอ้วน แล้วก็ฟันผุด้วย”

คนตัวเล็กย่นคิ้ว สีหน้ารั้นๆ เหมือนเด็กเอาแต่ใจทำเอาเขาอยากลุกไปดึงพวงแก้มอูมๆ ที่กำลังอมน้ำแข็งเล่น ไม่คิดจะฟังกันเลย

“พี่เสาร์เป็นพ่อผมเหรอครับ”

เขาหรี่ตามองเด็กตรงหน้าที่คงจะไม่รู้เลยว่าไม่ควรพูดคำนั้นออกมา เพราะมันจะทำให้ความอดทนที่จะใจเย็นของเขาขาดผึ่ง ช่างต่อล้อต่อเถียงนัก น่าลงโทษให้รู้สำนึกซะบ้าง

“ไม่ใช่พ่อหรอก” เสียงทุ้มฟังดูเย็นเยียบ ขายาวลุกออกจากเก้าอี้ทำงาน ย่างเข้าไปใกล้คนบนเตียงที่ไม่ทันแม้แต่จะเขยิบตัวหนี ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างยันฟูก พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนน่ากลัวว่าจะมีใครหยุดหายใจไปก่อนหรือเปล่า

ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับสันกรามเจ้าของร่างสั่นระริก เสียงน้ำแข็งในแก้วไหวคลอนไปมาไม่ได้ทำให้เขานึกอยากจะหยุด

“นายก็รู้นี่” เขากระซิบ ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นทาบลงกับซอกคอหอมอ่อนๆ

มือใหญ่คว้าเอาแก้วน้ำในมืออีกฝ่ายมา เอื้อมวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟหัวเตียง น้ำหวานสีสดกระฉอกเปื้อนไปตามซอกนิ้ว ทำให้เขาต้องผละออกจากผิวเนื้อเนียนละเอียด เพื่อเลียคราบเลอะบนมือตัวเองออก หากว่าแววตาคู่คมยังคงจับจ้องไปที่เด็กดื้อตรงหน้าซึ่งบัดนี้เอาแต่เม้มปาก หลับตาปี๋ ไม่เห็นจะพูดมากเหมือนเดิม

วันเสาร์คว้าหมับเข้ากับท้ายทอยชื้นเหงื่อ เรียวลิ้นหนาแลบเลียริมฝีปากน้อยๆ อย่างกับว่าห้ามตัวเองไม่อยู่ คนตัวเล็กพยายามถดหนี แต่ยิ่งขยับถอยหลัง ก็ยิ่งถูกรุกไล่เข้ามาใกล้มากเท่านั้น สายตาดุจอสรพิษที่แฝงตัวมาในคราบของชนชั้นผู้ดีทำเอานับหนึ่งไหวหวั่น

ดวงตาสีนิลเข้มเลื่อนมองริมฝีปากแดงฉ่ำจากน้ำหวานเมื่อครู่ เขาชั่งใจอยู่นานพอตัวกว่าที่จะละสายตาออกไปสนใจเรียวขาขาวๆ ที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นตัวบาง

“พะ…พี่เสาร์” เสียงสั่นร้องห้ามยามที่มือซุกซนเริ่มชอนไชผ่านเข้าไปด้านในสาบเสื้อ “อย่าครับ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็ไม่เต็มใจให้ทำไอ้เรื่องอย่างว่าอยู่ดีนั่นแหละ!

“แล้วไง”

จบคำพูดนั้น เขาก็ถูกผลักให้นอนราบ เสื้อบนตัวเลิกขึ้นสูง ติ่งไตสีหวานถูกครอบครองด้วยโพรงปากอุ่น สองมือยกขึ้นปิดปากสะกดกลั้นเสียงครางฮือในลำคอ ใบหน้าเนียนแดงซ่านดั่งลูกมะเขือเทศสุกง่อมพร้อมเก็บเกี่ยว ขอบตาปรือ หยดน้ำใสเอ่อคลอเบ้าด้วยความอายหรือกลัวก็ไม่ทราบ

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างเป็นทิวทัศน์ที่ถูกใจคุณชายวันเสาร์ไม่น้อย ถึงขนาดว่าทำให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นลูกไฟกองยักษ์ เตรียมพวยพุ่งเข้าไปหยอกล้อกับเจ้าลูกเจี๊ยบตัวลีบที่ตอนนี้กลับปิดปากแน่นสนิท สลัดคราบเด็กดื้อไปจนเกือบหมดสิ้น

“อ..อืออ”

ปลายลิ้นแตะประโลมสลับกับฟันหน้าซี่คมที่ขบเบาๆ ไปตามแผงอก ค่อยๆ ตีหัวแล้วลูบหลังอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนร่างด้านใต้เริ่มบิดเร่าโต้ตอบ น้ำเสียงกระเส่าหลุดรอดออกจากปากเยลลี่อิ่มน้ำที่ไม่ว่าจะเหลือบมองเมื่อไร ก็นึกอยากตรงเข้าไปกัดเมื่อนั้น หากว่าอะไรบางอย่างในส่วนลึกของใจเขา ยังไม่เปิดออกมากพอที่จะฝากร่องรอยแสนลึกซึ้งไว้ให้กับอีกคนตรงหน้า

“อ๊ะ พี่เสาร์ ย..อย่ากัดครับ”

คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าการยิ่งห้าม มันก็เท่ากับการยิ่งยุ เขาตัดสินใจดึงเสื้อยืดเกะกะขวางทาง เขวี้ยงออกไปนอนเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่บนพื้น ตรงเข้างับหัวไหล่มนเป็นอันดับแรก ตามด้วยเสียงกุกกักแปลกๆ ที่แทรกผ่านเข้ามากับเสียงร้องปนสะอื้น

แกร๊ก

ลูกบิดประตูทำงาน พร้อมกับแขกไม่ได้รับเชิญถึงสองชีวิตที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในห้องนอนอย่างเสียมารยาท

“เฮ้ย!” เจนภพสะดุ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะหยอกล้อ “โหย เข้ามาขัดจังหวะ โทษทีว่ะ”

นับหนึ่งรีบก้มหน้างุด พรวดพราดลงจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อขึ้นสวมกลับด้วยความรวดเร็ว ได้ยินวันเสาร์สบถใส่เพื่อนตัวเอง ก่อนจะลุกจัดคอเชิ้ต ตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มาทำเหี้ยไร”

“หูยๆ ๆ เกรี้ยวกราด”

“ไอ้เจ” เจ้าของบ้านกดเสียงต่ำเป็นคำเตือน เหลือบมองเพื่อนสนิทอีกคนซึ่งดูท่าทางเป็นห่วงเด็กในปกครองของเขาซะออกนอกหน้า

“ก็มาคุยเรื่องร้านไง มึงลืมเหรอ”

วันเสาร์ไม่ตอบ แล้วเดินผ่านหน้าทุกคนลงไปยังบันได เจนภพยักคิ้วให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้หนีไปนั่งจุมปุกอยู่บนเก้าอี้ทำงาน แล้วหันหลังตามผู้ร่วมหุ้นลงไปด้านล่าง ขณะที่นาวากลับก้าวขาเข้ามาใกล้ ความห่วงใยเจือปนชัดเจนในน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

“หนึ่ง โดนไอ้เสาร์แกล้งรึเปล่า”

ฝ่ายถูกถามรีบส่ายหน้า ทั้งที่พวงแก้มยังคงขึ้นสีระเรื่อ “ป..เปล่าครับ”

“ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้นะ”

เขาพยักหน้า พร้อมกับคลี่ยิ้ม นาวาแตะมือลงบนศีรษะเขาน้อยๆ ก่อนก้าวขาออกไปจากห้อง ยังคงทิ้งคำถามเดิมไว้ในหัว ว่าพี่ชายใจดีแสนอบอุ่นคนนี้มาเป็นเพื่อนซี้กับคนไร้หัวใจคนนั้นได้ยังไงกันแน่

เมื่อแน่ใจแล้วว่าทางปลอดโปร่ง เขาถึงเดินไปหยิบแก้วน้ำหวานกลับขึ้นมาดื่มต่อจนหมด ก่อนจะปล่อยตัวเองลงนอนแผ่อยู่บนเตียง รอเวลาที่วันเสาร์จะขึ้นตามจิกหัวใช้ให้ไปชงกาแฟ ไม่ก็กวาดสวนเป็นเพื่อนลุงชัย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกปีบที่เขาเก็บมาประดับไว้บนโต๊ะทำงานเจ้าของห้อง ทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย จวนเจียนจะหลับ หากก็ต้องสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ๆ ประตูไม้ก็ถูกกระชากออกอย่างรุนแรง

พร้อมกับสีหน้าหงุดหงิดของคนในความคิด ซึ่งเขานับว่าเป็นหนึ่งในลางร้าย

“ลงไปข้างล่าง”

“ไปทำไมครับ”

“ไอ้วาบอกว่าอยากเจอนาย”

“พี่นาวาเหรอครับ”

คนตัวเล็กลุกออกจากเตียงทันทีที่ได้ยิน และก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดอีก วันเสาร์ถึงยิ่งตีหน้าเป็นยักษ์ขมูขีกว่าเดิม เราสองคนเดินลงมาด้านล่าง ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไปข้างนอก

รถยนต์สีน้ำเงินคันเดิมจอดขวางประตูอัลลอยด์ พร้อมผู้ชายร่างสูงสวมแว่นกรอบบางที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากเบาะหลัง เสียงฝีเท้าของเขาคงทำให้นาวารู้สึกตัว ถึงได้รีบโผล่ศีรษะออกมาส่งยิ้มให้เป็นการทักทายอีกครั้งของวัน ในมือมีกล่องพลาสติกใสขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองทะลุถึงก้อนกลมๆ สีทองอร่ามไปทั่วทั้งถาด

“พี่ซื้อมาฝาก” กล่องปริศนาถูกยัดใส่มือเขาอย่างจงใจ มันคือช็อคโกแลตยี่ห้อดังที่เขาเคยเห็นวางขายตามห้างฯ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้กิน ถึงแม้ว่าจะเกรงใจมากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสุขเหมือนกัน

และดวงตาเป็นประกายของเขาก็คงซ่อนความรู้สึกไม่มิดเอาเสียเลย อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มกว้างท่าทางเอ็นดูขนาดนั้น “ขอบคุณมากนะครับ แต่จริงๆ ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ผมก็ได้”

“ไม่เป็นไร พี่เต็มใจ”

เขาก้มหัวลงซ้ำสอง ยืนโบกมือลาจนรถยนต์คันสวยขับออกไปพ้นซอย ขาเรียวก้าวกลับไปยังประตูบ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามีรูปปั้นซาตานยืนกอดอกรอหาเรื่องอยู่แล้ว

“นั่นอะไร” เดาไม่เคยผิดว่าต้องถาม

“ช็อกโกแลตครับ พี่วาซื้อมาให้”

วันเสาร์แย่งกล่องขนมในมือไปหน้าตาเฉย หัวคิ้วหนาขมวดยุ่งจนเขาชักกลัวว่ามันจะผูกเป็นโบเลยหรือเปล่า เสียงแว่วทุ้มต่ำดังลอดลำคอทวนคำว่า ‘พี่วา’ ที่เขาเพิ่งพูดไปอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก พอเขายื่นมือออกไปจะขอของฝากตัวเองคืนเท่านั้นแหละ วันเสาร์ถึงกับจิ๊ปาก ก่อนจะปากล่องพลาสติกลงพื้นไม่ใยดีเลยสักนิด

เสียงตกกระทบดังลั่นจนพี่ละไมที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งเข้ามาดู เธอยังไม่ทันถาม ก็เป็นเขาเองที่ขึ้นเสียงใส่คนเป็นนายซะก่อน

“พี่เสาร์! ทำแบบนี้ทำไม”

“ฉันไม่อนุญาตให้นายรับของจากคนอื่น”

“ห้ะ?” นับหนึ่งส่ายหัวเร็วๆ พยายามจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่พี่วาเป็นเพื่อนพี่เสาร์นะครับ”

“เพื่อนฉัน ก็เป็นคนอื่นสำหรับนาย”

คำพูดนั้นมันทำให้เขาหน้าชา ได้ยินเสียงพี่ละไมคอยปรามแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะความโกรธที่กำลังแล่นขึ้นสมอง สองมือกำหมัดแน่นเมื่อคิดว่าวันเสาร์กำลังดูถูกดูแคลนเขามากแค่ไหน นาวาก็เป็นคนอื่นสำหรับเขา งั้นพี่ละไม พี่ละเมียด ลุงชัย ทุกคนก็คงเป็นคนอื่นสำหรับเขา เพราะในชีวิตนี้นอกจากตัวเอง เขาก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว

ไม่มีเลย ใครสักคนที่จะไม่ใช่คนอื่นสำหรับเขา…

“งั้นพี่เสาร์ก็เป็นคนอื่นสำหรับผมเหมือนกัน” โทรศัพท์มือถือราคาแพงถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ยัดใส่มือคนที่เคยซื้อมันให้ เขารีบเงยหน้ากลั้นน้ำตาพลางสาวเท้าไวๆ ไปทางบันได

เสียงฝีเท้าหนักๆ ไล่ตามหลัง พร้อมพี่ละไมที่พยายามจะห้ามแต่ก็ไร้ผล “คุณเสาร์ อย่าทำอะไรคุณหนึ่งเลยนะคะ คุณเสาร์!”

เขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่กล้าทำอะไรลงไป และในวินาทีที่คิดว่าหนีพ้น กลับมีมือใหญ่แทรกช่องว่างของประตูเข้ามาทันแบบฉิวเฉียด วันเสาร์กดสายตาจ้องเขาด้วยความโกรธ และดูเหมือนจะโกรธมากกว่าทุกครั้งที่เคยพบเจอมาซะด้วย

บานประตูหนักอึ้งเพราะแรงดันจากอีกฟากฝั่ง ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกจนคนตัวสูงขยับเข้ามาด้านในได้สำเร็จ วันเสาร์เอี้ยวตัวกดล็อกกลอน ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาผลักเขาล้มลงบนเตียงตามสูตร แค่นี้ก็พอจะเดาอนาคตตัวเองออกได้ไม่ยาก

“พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลอะ” หมัดลุ่นๆ หากว่าอ่อนแรงปะทะกับบ่าแกร่งตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้สนใจคำตัดพ้อต่อว่ามากเท่ากับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวเขา

ฟันซี่คมขบลงกับหัวไหล่ ไล้ลงมาถึงแผ่นอกบางชื้นเหงื่อ ร่องรอยแดงช้ำถูกฝากไว้แทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน ห่างไกลจากคำว่ากระตุ้นอารมณ์ กลับเต็มไปด้วยความรุนแรงและหยาบโลน แม้ว่าหยดน้ำตาของเขาจะทำให้คนด้านบนสะดุด แต่มันก็แค่เสี้ยววินาที ก่อนที่บทลงโทษไม่หอมหวานจะเริ่มต้นขึ้น

จมูกแดงรั้นสูดน้ำมูกแรงๆ น้ำเสียงเครือครางดังแผ่ว “พี่วาใจดี ไม่เหมือนพี่เสาร์เลย”

ฝ่ามือหยาบกระด้าง แต่อาจจะน้อยกว่าอวัยวะส่วนหัวใจอยู่สักหน่อย ดันข้อพับขาเขาขึ้นสูง ลมจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องลอดผ่านช่องทางด้านหลัง ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน คำพูดแสนเย็นชาเสียดแทงดังอยู่เพียงข้างใบหู

“ใช่ ฉันไม่ได้ใจดี นายก็รู้หนิ”

ความคับแน่นใหญ่โตพรวดพราดเข้ามาในกายโดยไร้ซึ่งคำเตือน กลิ่นคาวจางๆ คลุ้งออกมาจนเขาถึงกับเบิกตากว้าง มือจิกกำผ้าปูที่นอนจนยับย่นไม่มีชิ้นดี รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ไม่เคยอ่อนโยน แต่การดึงดันเข้ามาทั้งที่ยังไม่เหลือเวลาให้เขาเตรียมตัว หรืออย่างน้อยก็เตรียมใจ มันแทบจะเรียกว่า อำมหิต

แรงกระแทกฝืดเคืองนำพาเพียงความเจ็บปวด เขาเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ เสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงสะอื้นดังไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาหลายชั่วโมง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหนื่อยจนสลบไปอยู่หลายคราว แต่ก็จะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมารับฝันร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นอย่างนั้นสลับไปมาจนแทบไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ

ไม่อยากจะเชื่อ…ว่าเมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่า วันเสาร์ใจร้าย มันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังใจร้ายได้มากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าบอกว่าพี่เสาร์ใจร้ายที่สุด นั่นคือคำพูดที่ผิด เพราะความจริงมันยังไม่ใช่ที่สุด

วันเสาร์ยังใจร้ายได้มากกว่านี้ ใจร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาชักสงสัยว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน

หรือก็จะใจร้ายไปตลอดกาลเลย…?


--------------------------------------------------------------------------------

โอ้โหหหห ไบโพล่าชั่ยมั่ยชั่ย?? เริ่มสงสัยแล้วว่ากรุงเทพอากาศหนาว กับพี่เสาร์เลิกใจร้าย อะไรจะเกิดก่อนกันคะ 555555 เอเวง ลุงแลงกะน้องหรออิพี่มึง //กำมีดแน่น

กราบขอบคุณทุกกำลังใจจากมิตรรักนักอ่านทุกท่านนะคะ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ ทุกวิว ทุกคอมเม้น ทุกแชร์ ทุกทวิต เราตามส่องตามอ่านหมด มันเป็นพลังที่ทำให้เรายังแต่งต่อไปได้ T^T ยังไงก็ขอฝากให้เอ็นดูน้องหนึ่งอีกเยอะๆ แล้วอย่าลืมล่อลวงเพื่อนๆ เข้ามาอ่านกันด้วยนะคะ 5555555555

ชาวทวิตภพติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ เพื่อโอ๋น้องและด่าทออิพี่ได้ตามสะดวก ข่อมข่าาา


 :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
พี่เสาร์ใจร้ายถ้านับหนึ่งหนีหายไปจากชีวิตจะรู้สึก :pig4:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบเอ็ด



“โอ้ย” แสงแดดยามเช้าแยงตา รู้สึกเจ็บปวดจนแทบขยับตัวไม่ไหวจากกิจกรรมบนเตียงเมื่อวาน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมาโวยวายกลับเป็นแรงกระแทกเหมือนห่าฝนอะไรสักอย่าง

นับหนึ่งขยี้ตามองขนมกองโตที่ถูกเทลงมาเกลื่อนกลาดเต็มตัว เหลือบจ้องเจ้าของบ้านที่เอาแต่ตีหน้าตายไร้ความรู้สึก

“นี่มันอะไรครับ?”

“ก็นายอยากกินมากไม่ใช่เหรอ ฉันก็ซื้อมาให้แล้วนี่ไง”

เขาหยิบช็อกโกแลตห่อสีทอง ยี่ห้อเดียวกันกับที่นาวาซื้อมาฝากและถูกใครบางคนแถวนี้ขว้างทิ้งไม่เหลือ ริมฝีปากอิ่มขมุบขมิบด้วยพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจ ประชดกลับคำโตอย่างลืมกลัว

“ผมไม่รับของจากคนอื่นครับ เอาคืนไปเถอะ”

แน่นอนว่าเขาถูกดีดหน้าผากดังเปรี๊ยะ ตามด้วยความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่เลื่อนลงมาประคองพวงแก้ม ใบหน้าเรียวคมคายยื่นเข้ามาใกล้

“ฉันไม่ใช่คนอื่น”

คำพูดดั่งประกาศิตดึงให้เขาตกลงสู่หลุมแห่งภวังค์ไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาตั้งสติได้ตอนที่คำถามสำคัญแวบผ่านเข้ามาในสมอง

ถ้าไม่ใช่คนอื่น แล้วเป็นอะไรล่ะ?

และดูเหมือนจะไม่ต้องปล่อยให้รอนานกว่าจะได้รู้คำตอบ…

“ฉันเป็นเจ้าของชีวิตนาย ลืมไปแล้วเหรอ”

ใช่ วันเสาร์เป็นเจ้าของชีวิตเขา…ก็แค่นั้น

นับหนึ่งส่ายหัวไล่อารมณ์ดิ่งเพียงเสี้ยววินาที ทำทีเป็นแกะซองช็อกโกแลตเข้าปาก ทำให้วันเสาร์ยอมผละตัวออกห่าง ไม่พูดอะไรต่อ

พี่ละเมียดเคาะประตูเบาๆ แทบจะกระซิบเรียกชื่อคนด้านใน จนวันเสาร์ขานกลับ เธอจึงค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกอย่างระวัง ค่อยเบาใจเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของคุณชายตื่นจากนิทราเรียบร้อยแล้ว

“คุณเสาร์คะ วันนี้ช่างจะมาซ่อมแอร์ฯ ที่ห้องรับรองให้แล้วนะคะ”

คนตัวสูงชะงักไปนิด ก่อนพยักหน้า ปัดมือเป็นสัญญาณให้แม่บ้านออกไปคุยต่อด้านนอก ทิ้งไว้เพียงสมาชิกใหม่ที่เอาแต่นอนนิ่งบนเตียง ความเงียบโปรยตัวลงพร้อมมวลความอึดอัดประหลาดเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะต้องย้ายไปนอนห้องอื่น

ทั้งที่นับว่าเป็นโชคดีที่จะได้หลุดพ้นจากมือมารชื่อวันเสาร์ เตียงหลังใหญ่กับชั้นวางของทั้งหมดจะเป็นของเขาคนเดียว แต่ว่า…ในใจมันกลับโหวงเหวงชอบกล

ความหวานจากช็อกโกแลต ตัดกับเนื้อสัมผัสกรุบกรอบของฮาเซลนัท ละลายเคลือบอยู่ตามโพรงปาก สติของเขาเลื่อนลอยออกไปแสนไกลจนลืมแม้แต่การกลืนเสียสนิท จนกระทั่ง…

ครืดด…ครืดด…

โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปเมื่อครู่สั่นกระเทือนส่งเสียงน่ารำคาญดึงความสนใจของเขาให้กลับมายังโลกแห่งความจริง เขาหันซ้ายหันขวาอย่างชั่งใจ ก่อนจะลุกไปหยิบอุปกรณ์สื่อสารนั้นขึ้นมา ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวปรากฎอยู่บนหน้าจอ ทำให้เขาวางใจถ้าจะกดรับมัน

“สะ สวัสดีครับ”

“ไอ้…อ่าว” คนปลายสายดูจะงุนงงกับเสียงรับโทรศัพท์ที่แปลกออกไป หากก็ยังพอเดาออก

“นับหนึ่งเหรอ?”

“ครับพี่เจ”

“ไอ้เสาร์ล่ะ”

“พี่เสาร์ทิ้งมือถือไว้ในห้องนอนแล้วลงไปข้างล่างอะครับ เดี๋ยวผมเอาลง—”

“ไม่เป็นไรๆ ขอคุยกับนายก่อน” นับหนึ่งเลิกคิ้ว หยุดเท้าตัวเองที่เตรียมตั้งท่าวิ่งไปทางประตู ค่อยๆ เดินกลับมาพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรดของคนเป็นนาย

“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“ก็เรื่องวันเกิดไอ้เสาร์ไง นายเตรียมอะไรไว้รึยัง”

“ห้ะ? วันเกิดพี่เสาร์?”

“อ่าว นี่ไม่รู้เหรอ”

ถ้ารู้สิแปลก ถามจริงว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายชื่อวันเสาร์บ้าง นอกจากรู้ว่าเป็นโรคจิตนิสัยไม่ดีที่แอบรักน้องชายตัวเองอะ

“ไม่รู้เลยครับ เมื่อไรเหรอ”

“5 กรกฎา” เขาคว้าปฏิทินบนโต๊ะมาพลิกหน้าถัดไป วันที่ 5 กรกฎาคม ก็เท่ากับว่าเหลือเวลาอีกประมาณเกือบ 3 อาทิตย์เท่านั้น

เจนภพยังคงสาธยายถึงเรื่องจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อนสนิท ก่อนจะวกกลับมาแซวเขาอีกจนได้ “ฉันว่านายคงต้องให้ตัวเองเป็นของขวัญแล้วแหละ ไอ้เสาร์น่าจะชอบนะ”

“พูดอะไรอย่างนั้นครับ”

“ฮั่นแหน่ เขินเหรอ”

“ปะ…เปล่า”

“แล้วนี่อยู่กับมันมาสักพักแล้ว เป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ ก็ไม่เป็นไงหนิครับ” แค่โดนกระทำชำเราวันเว้นวันเท่านั้นเอง เหอะๆ พูดแล้วอยากจะขำให้เหงือกแห้ง

“ฉันว่าเดี๋ยวนี้ไอ้เสาร์มันดูแคร์คนอื่นมากขึ้น ต้องเป็นเพราะนายแน่ๆ เลย”

“ไม่มั้งครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไร...”

“นายนี่เก่งนะ ทำลายกำแพงพันชั้นของวันเสาร์ได้ด้วย” ดูเหมือนเจจะไม่ได้สนใจเปิดโอกาสให้เขาพูดโต้กลับเท่าไร แถมยังเอาแต่หัวเราะคิกคัก น้ำเสียงหยอกล้อนั้นชักทำให้เขาเริ่มอารมณ์เสียนิดหน่อย

และก่อนที่เขาจะทันได้ตัดบท ปลายสายก็แทรกขึ้นอีกครั้ง

“แล้วจูบของไอ้เสาร์เป็นยังไง ตายไปเลยปะ”

คำถามนี้ทำเขาชะงัก ถึงจะไม่เคยพูด ไม่เคยคิด แต่ในส่วนลึกก็แอบนึกอยู่เสมอว่ามันแปลก เพราะตลอดเวลาที่มาอยู่ใต้ปีกวุฒิเวคินทร์ ทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน วันเสาร์…ไม่เคยจูบ

ผิวเนื้อของเขากลายเป็นสีแดงช้ำไปแทบทุกส่วน ยกเว้นแค่ริมฝีปากที่ไม่เคยถูกแตะต้อง ลิ้นของเขาแห้งผากจากการส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด หากไม่เคยถูกสัมผัสเลย และนั่นมันยิ่งตอกย้ำให้เขาเข้าใจสถานะว่าเป็นแค่เพียงตุ๊กตายางสำหรับระบายอารมณ์ วันเสาร์ก็แค่ต้องการยัดเยียดตัวเองเข้ามาในตัวเขา พอถึงจุดหนึ่งก็จบ ลาจากกันไปชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้น

ปราศจากซึ่งความรัก ความลึกซึ้ง และความผูกพัน ในขณะที่ร่างกายของเราเชื่อมต่อกัน หัวใจของผู้ชายคนนั้นก็ดูยิ่งห่างไกล และมันทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าการถูกบังคับขืนใจเสียอีก

“ไม่รู้สิครับ พี่เสาร์…ไม่เคยจูบผมเลย”

เสียงขำเมื่อครู่เบาลงจนกลายเป็นความเงียบ เจนภพนิ่งอึ้งเมื่อได้รับคำตอบต่ำกว่าคาด ทั้งที่เขาคิดว่าเพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว การมาของนับหนึ่งอาจทำให้เจ้าชายน้ำแข็งกลายเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แต่มันกลับยังไม่ใช่อย่างที่คิดไว้

วันเสาร์เปลี่ยนคู่นอนมาตั้งไม่รู้กี่คน แต่ก็ได้ยินมาว่ากิจกรรมบนเตียงของหมอนั่นมันห่างไกลจากคำว่าสรวงสวรรค์ ไม่ใช่ว่าเทคนิคไม่ดีหรืออะไรหรอกนะ แต่เพราะว่าไม่เคยมองอีกฝ่ายมากไปกว่าของแก้เหงาทางอารมณ์ มันจึงเป็นบทรักที่ไม่มีคำว่ารักเจือปนอยู่เลย มันว่างเปล่า และไร้ความรู้สึก

มีใครบางคนเคยบอกกับเขาว่าลีลาของวันเสาร์น่ะทำให้พวกนั้นแทบคลั่ง แต่ขณะเดียวกัน มันกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา ถึงขนาดว่าร่างกายที่กำลังแผดเผา ยังรู้สึกหนาวขึ้นมาได้

‘เขาไม่จูบผมเลยด้วยซ้ำ’

ใครบางคนนั้นพูดไว้ และเขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ก็ริมฝีปากที่ได้สัมผัสความรักแสนบริสุทธ์จากน้องชายสุดหวงแหนเพียงคนเดียว จะมาปล่อยให้แปดเปื้อนด้วยสัมผัสจากคนอื่นได้ยังไงล่ะ

นอกจากวันศุกร์ในวัย 7 ปี หมอนั่นก็ไม่จูบใครอีก จะว่าบ้าก็ไม่แปลก หรือจะว่าโรคจิตก็คงใช่เลยแหละ

“แหม แต่ก็ทำอะไรต่อมิอะไรมากกว่าจูบอยู่แล้วนี่” เขาเลือกที่จะแกล้งแซว เพื่อไม่ให้นับหนึ่งต้องคิดมาก

“พะ พี่เจ พูด..พูดอะไร ครับ”

ใบหน้าหวานเห่อร้อนแทบจะทันที คนตัวเล็กได้แต่สวนกลับตะกุกตะกักเรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้อีกครั้ง เจยังคงไม่หยุดล้อ ขณะที่คนถูกหยอกตอนนี้ได้กลายเป็นหิน เมื่อจู่ๆ ประตูไม้ก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงโปร่งซึ่งเดินขมวดคิ้วยุ่งมาแต่ไกล

วันเสาร์ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร นอกจากเอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์ไปจากเขาหน้าตาเฉย หางตาเหลือบมองชื่อบนหน้าจอแวบหนึ่ง ก่อนจะกรอกเสียงดุดันใส่เพื่อนตัวเอง

“โทรมามีไร”

“อ้าวคุณชาย มาขัดจังหวะซะได้”

“อะไรของมึง”

“ก็กูคุยกับหนึ่งอยู่ กำลังสนุกเลยเนี่ย”

“คุยเหี้ยไรกัน” มือหนาปัดไล่เด็กหน้าเป็นที่เอาแต่กระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวประจำของเขา นับหนึ่งยู่หน้า กระโดดขึ้นไปนอนกลิ้งบนเตียงแทน

“ทำไมมึงต้องหยาบคาย”

“กูถามว่าคุยอะไรกัน” น้ำเสียงกดต่ำย้ำชัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจนภพนึกเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับยิ่งหัวเราะร่วน

“ไม่บอกเว้ย เป็นความลับของกูกับหนึ่งสองคน”

“ไอ้—”

“มึงๆ” เจนภพยิ้มกริ่มเมื่อนึกแผนการแกล้งปั่นหัวเจ้าชายเย็นชาออก “มึงซื้อนับหนึ่งมาเป็นที่ระบายอารมณ์ใช่มะ งั้นถ้ากูจะขอยืมบ้างก็ได้อะดิ”

“ไอ้สัด มึงพูดเหี้ยไร”

วันเสาร์พรวดพราดลุกขึ้นทั้งที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งได้ไม่ทันไร มือข้างหนึ่งเผลอตบโต๊ะฉาดใหญ่โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และดูเหมือนเลือดในกายจะยิ่งสูบฉีดรุนแรงขึ้นเมื่อไอ้เพื่อนเวรยังคงเอาแต่ขำไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ก็หนึ่งน่ารักอะ กูอยากลอง…บ้าง”

“ไอ้เจ มึงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม” เขาถามกลับเสียงเข้ม จนอีกฝ่ายยอมเลิกรา

“โหย กูล้อเล่น มึงนี่ขี้หวงจริงๆ ว่ะ”

“ไปเล่นกับพ่อมึง”

วันเสาร์ทิ้งท้าย ก่อนกดตัดสายไปเสียดื้อๆ เจนภพยกยิ้มขณะนั่งฟังเสียงสัญญาณขาดหาย รู้ดีว่าแผนของเขามันสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่ม ถึงแม้วันนี้นับหนึ่งจะยังไม่ได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย แต่อีกไม่นานน้ำแข็งคงละลายแล้ว จูบนั้นคงเป็นของเด็กนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่สิ เผลอๆ จะไม่ใช่แค่จูบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์ กำลังจะกลายเป็นของคนแปลกหน้าชื่อนับหนึ่งในไม่ช้านี้แน่ๆ

น่าสนุกดี…



-----------------------------------------------



“เผ็ดแล้วยังจะกิน” เจ้าของร่างสูงเอ็ด เงยหน้ามองคนตรงข้ามด้วยสายตากึ่งรำคาญกึ่งเวทนา เพราะเด็กโง่แถวนี้เอาแต่ดึงดันจะกินปลาดุกผัดเผ็ดฝีมือพี่ละเมียด ทั้งที่ปกติกินอาหารรสจัดไม่ค่อยจะได้ แต่ก็ยังฝืนอยู่นั่นเพียงเพราะว่า…

“ก็มันอร่อยอะ”

“เหอะ อร่อยจนน้ำตาไหลเลยสินะ” เขาใช้นิ้วโป้งปาดหยดน้ำที่ทำท่าจะไหลออกจากหัวตาให้คนตัวเล็ก จมูกแดงรั้นสูดน้ำมูกฟืดใหญ่ แล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากคำโต ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะกินอาหารจานนี้ให้ได้

“เอ้อ พี่เสาร์” นับหนึ่งพักมือ จ้องหน้าเขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ผมอยากหางานทำอะครับ”

ประโยคบอกเล่าแกมขอร้องทำเขาเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย็นๆ ตอบกลับราบเรียบเช่นเคย

“ไม่จำเป็น”

“แต่ว่าผมอยากมีเงินไว้ใช้บ้างนี่”

วันเสาร์รวบช้อนส้อม “อยากได้อะไรก็บอก ปกติฉันก็จ่ายให้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

“เฮ้อ” นับหนึ่งถอนหายใจ จ้องหน้าคนโตกว่าอย่างเอาเรื่อง “อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อนะครับ ผมอยากหาอะไรทำบ้าง”

“ทำไม อยู่กับฉันมันน่าเบื่อนักหรือไง”

บรรยากาศมาคุโปรยตัวลงปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ อาหารจานอร่อยแทบจะกลายเป็นเลี่ยน หมดอารมณ์จะรับประทานเสียดื้อๆ นับหนึ่งวางช้อนส้อมในมือ ไม่อยากจะตอบหรอกว่า ใช่ อยู่กับพี่เสาร์น่ะน่าเบื่อจะตายชัก วันๆ ไม่เห็นจะปล่อยเขาทำอะไร นอกจากนอนเป็นผักปลา กับคอยชงกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่าเท่านั้น

“ไม่รู้แหละ ผมจะไปหางานทำ” เขาตัดบท ในหัวคิดไปถึงป้ายประกาศหาพนักงานที่แปะอยู่หน้าร้านกาแฟเล็กๆ ในห้างฯ ที่พวกเขาไปซื้อของใช้กันเป็นประจำ

แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนหงุดหงิด ถึงได้ไม่ยอมจบ

“งั้นต่อไปเวลาเรานอนด้วยกัน ฉันจะจ่ายเงินให้นาย ดีไหม?” ข้อเสนอชวนคลื่นไส้จนเขาถึงกับต้องย่นคอหนี แอบได้ยินพี่ละเมียดสำลักน้ำดังออกมาจากครัว สงสัยว่าคงได้ยินคำถามบ้าๆ เมื่อกี้แน่

“ไม่เอาหรอกครับ”

ตกลงให้โง่ เพราะนั่นแปลว่าวันเสาร์จะยิ่งมีเหตุผลในการข่มเหงเขามากขึ้นน่ะสิ

“แน่ใจนะ?”

เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่ออีกฝ่ายถามย้ำ ในที่สุดก็เสี่ยงถามออกไปด้วยความใคร่รู้ แต่คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ดีไปกว่าคาด แถมจะเพิ่มความหงุดหงิดให้เขาอีกสักสิบเท่า

“จ..จะให้เท่าไรล่ะครับ”

“อย่างนาย ฉันให้ครั้งละห้าร้อยก็เยอะละ”

คนโดนสมประมาทยู่หน้าไม่พอใจ ขณะที่คุณชายเจ้าของบ้านกำลังกลั้นยิ้มแทบตาย ฮึ่ย ตายไปเลยไปพี่เสาร์! ตอบแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงห้ะ แปลว่านอนกับเขามันไม่ดี ไม่ถูกใจ หรือไม่ถึงใจ! ก็แน่ล่ะสิ เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างว่าสักหน่อย แถมทุกครั้งก็…ถูกบังคับตลอด

แค่จะเรียกว่า บทรัก ยังทำไม่ได้ ก็อย่าคาดหวังว่ามันจะวิเศษวิโสนักเลย

“งั้นผมขอไปหางานทำนะครับ” เขาวกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คนที่เกือบจะยิ้มแล้วเชียว กลับมาตีหน้ายักษ์ได้เหมือนเดิมในเสี้ยววินาที

“ไม่อนุญาต”

“ไม่เอาาา” วันเสาร์ย่นคิ้วให้กับน้ำเสียงยานคาง เอาแต่ใจเป็นเด็กๆ ยิ่งไอ้สีหน้าบูดบึ้งนั่นก็ยิ่งน่ามันเขี้ยวจนอยากเอื้อมไปหยิกพวงแก้มขาวแรงๆ สักที

นับหนึ่งทำปากยื่น ยืนยันเสียงแข็ง “ผมอยากทำงานอะ”

คราวนี้เป็นเขาเองที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ก็ได้…แต่ให้ออกไปหางานแค่วันเดียว ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ”

“โอเคครับ” เด็กดื้อฉีกยิ้มกว้างเหมือนลูกหมาเพิ่งได้ของขวัญเป็นลูกบอลลูกใหม่ และถ้าเป็นลูกหมาจริง ป่านนี้หางคงกระดิกไม่หยุดแล้ว

ขณะที่บทสนทนาเริ่มจะราบรื่น เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังแว่วๆ มาจากทางบันไดบ้าน พี่ละไมตะโกนขึ้นก่อนปรากฏตัว “คุณหนึ่ง”

“ครับ”

“พี่จัดห้องรับรองให้เรียบร้อยแล้วนะคะ คืนนี้ย้ายไปนอนห้องนั้นได้เลยค่ะ”

“อ๋อ…ขอบคุณมากครับ” เขาพยักหน้ารับรู้ ขานรับเสียงอ่อย เบือนสายตากลับมาทางใบหน้าเฉยเมยของคนที่เพิ่งเซ็นจ่ายค่าซ่อมแอร์ฯ ไปเมื่อเช้า

วันเสาร์ไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งทอดสายตาไปด้านในครัว พยักหน้าเรียกให้พี่ละเมียดเดินมาเก็บจานข้าว แล้วยกผลไม้ออกมาเสิร์ฟ วันนี้มีแอปเปิ้ลแดง ฝรั่ง กับชมพู่ ปอกเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงเป็นวงรอบจานใบใหญ่ ตรงกลางมีถ้วยพริกเกลือประดับตามธรรมเนียม

เรานั่งกินผลไม้ด้วยความเงียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงเคี้ยวชัดเจน ไอ้อาการดีอกดีใจเมื่อครู่แทบจะมลายหายไปเป็นฝุ่น ถูกแทนที่ด้วยความอึดอัดแน่นเต็มอก พี่ละไมเดินกลับมากำชับว่าเธอได้จัดการย้ายข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว รวมทั้งเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาไปไว้ที่ห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว และนั่นก็หมายความว่า เขาหมดซึ่งข้ออ้างที่จะกลับเข้าไปเหยียบห้องนอนเจ้านายตัวเองอีก

ไม่มั่นใจนัก ว่าตอนนี้เขาควรรู้สึกอย่างไร ต้องดีใจไหมที่ได้หลุดพ้นจากอ้อมกอดชวนอึดอัดของวันเสาร์สักที หรือต้องเสียใจ...

“อะ” เขาเผลอส่งเสียง เมื่อส้อมในมือของเราทั้งสองคน พร้อมใจจิ้มลงบนแอปเปิ้ลซีกเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนตรงข้ามเองก็กำลังเหม่อลอย ด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจเดาได้

เราสบตากันเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างผละส้อมออกจากผลไม้ชิ้นตรงหน้า แอปเปิ้ลเนื้อฉ่ำกลายเป็นรอยบุ๋ม ทว่ารอดตายเพราะไม่ถูกกิน วันเสาร์ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกตามหลายอึก ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารเป็นคนแรก

ระดับฝีเท้าที่เขาคุ้นเคยห่างไกลออกไปทางบันไดสู่ชั้นสอง พี่ละเมียดกับพี่ละไมกำลังช่วยกันล้างจาน ทำความสะอาดอยู่ในครัว การถูกทิ้งให้นั่งอยู่ลำพัง ยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าสถานที่นี้มันแสนกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว

ก็เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่า…บ้านวุฒิเวคินทร์ที่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของบ้านคนนั้น มันช่างเงียบเหงาอ้างว้างมากแค่ไหน



-------------------------------------------------------------------------------------

บอกแล้วค่ะว่าอย่าเชื่อสปอย 55555 พี่เสาร์ไม่ได้ดีขนาดนั้น xD ตอนนี้สั้นมากๆ เลย ขอทบไปไว้ตอนอื่นแทนละกันนะ จริงๆ ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปมันจะเริ่มยาวขึ้นนิดนุง อุๆ ๆ ตอนนี้ไม่ค่อยมีไรให้ด่า ส่วนตอนหน้า....เกียมเปลี่ยนพระเอก! ถถถ

เจ๊าะแจ๊ะกันได้ที่แท็ก >> #นับหนึ่งถึงเสาร์ เด้ออ้าย

ป.ล. ใครดูเทรลเลอร์ Endgame แล้วมากอดกันตรงนี้หน่อยค่ะ หัวใจชั้งรับไม่ไหวแน้ว T^T

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด