<@@ แผนการรัก ดักข้างบ้าน @@> อัพเดท ตอน 29 @14-11-59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <@@ แผนการรัก ดักข้างบ้าน @@> อัพเดท ตอน 29 @14-11-59  (อ่าน 37362 ครั้ง)

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
คู่นี้คู่กันจริงๆด้วยสินะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
เพทายไตรทศคู่นี้เหมาะกันสุดๆๆ :katai3:

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
พี่ทศน้องทาย น่าจะรักกันแบบฮาร์ดคอร์ 5555

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
เรื่องนี้สนุก แต่นิสัยน้ากันต์ไม่ค่อยน่ารักสำหรับเราเลย พูดจาไม่ค่อยเกรงใจผู้ใหญ่อย่างพระเอก  :hao5:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอน 26 มีความซวย (ทศ xทาย)

หลังจากที่ผมโดนชายหนุ่มลูกน้องของไอ้ภูผลักจนเกือบกระเด็นออกมาจึงทำให้อีกคนรีบเดินกึ่งวิ่งหนีผม ไปทางด้านหน้าผับก็ไม่ได้ทำให้ผมรีบเดินตามไปหรอกนะครับ แล้วอย่าถามว่าทำไมผมถึงได้ลากอีกคนให้ออกมาด้วยกัน ตอนแรกมันไม่ได้คิดอะไรหรอก จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ตอนที่ผมกำลังกอดคลุกวงในกับหญิงสาวที่เดินตามผมมา จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากซอกคอ จึงได้สบตากับชายหนุ่มคนนึงที่คาดว่าคงจะมองผมอยู่นานแล้ว ขนาดผมจ้องกลับก็ยังไม่ละสายตาไป

จ้องกันได้ไม่นานอีกฝ่ายก็หันหน้าหนีเดินเลยไปเข้าห้องน้ำ ใบหน้าของชายหนุ่มดูจะคุ้นอยู่ไม่น้อยจึงนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งเจอกันเมื่อตอนกลางวันนี่เอง ตอนที่อยู่บริษัทไอ้ภูผมสังเกตเห็นนะว่าชายหนุ่มดูจะสนิทสนมกับกันตพิชย์เป็นพิเศษ เพราะผมมองดูตลอดเวลา คงเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงสิท่า น่าจะแอบชอบรุ่นน้องของตัวเองแต่ไม่กล้าสารภาพแน่นอนจึงได้แต่แอบทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีแบบนี้

เห็นอย่างนั้นผมเลยคิดว่าคงต้องหาทางช่วยเพื่อนผมให้ลงเอยกับเลขาหน้าใสก่อนอีกคนดีกว่า เพราะดูท่าว่าเพื่อนผมคงจะชอบเลขาตัวเองไม่น้อย ดูได้จากการที่ผมหยอดกันตพิชย์ ซึ่งก็ทำให้หน้าหล่อเหล่าของเพื่อนผมบึ้งตึงขึ้นมาทันที ไอ้ผมก็แอบแหย่ไปเรื่อยเพราะอยากแกล้งมันเล่นเท่านั้นแหละ

แต่กับคนเมื่อกี้ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างแหล่ะ ได้แต่บอกให้หญิงสาวที่ผมกอดไปรอที่โต๊ะเดี๋ยวผมตามไปจากนั้นเลยเดินตามร่างสูงของอีกคนเข้าห้องน้ำไปทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายเข้าห้องไหนจึงไปยืนรอที่ข้างหน้าประตู พอประตูเปิดออกมาร่างสูงก็ผงะแล้วขอให้ผมหลีกทาง มีหรือผมจะเชื่อ เราเถียงกันจนผมรำคาญจึงลากเอาอีกคนตามมาด้านหลังผับ แต่อีกคนก็ไม่ยอมทำตามผมสักอย่างแถมยังหลุดออกไปได้ ทำเอาผมออกจะหงุดหงิดกลับมาถึงโต๊ะเลยมองหาว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ที่ตรงไหน เมื่อพบจึงมองไปทางนั้นความสนใจทั้งหมดของผมกลับอยู่ที่ร่างสูงที่นั่งหน้าเรียบเฉยท่ามกลางเพื่อนที่ดูเฮฮา

ดูเหมือนว่าสายตาทั้งโต๊ะนั้นจะหันมามองทางนี้ แต่ผมก็ยังไม่เลิกมอง เพียงสักพักคนทั้งหมดก็หันไปคุยกันเหมือนเดิมมีเพียงชายหนุ่มนั่งเงียบคนเดียว ตลอดเวลาที่ยังอยู่ในผับผมเห็นว่ามีหญิงสาวหลายคนพยายามแวะเวียนมาชนแก้วหรือชวนชายหนุ่มคุย แต่ก็ไม่เห็นว่าตอบรับใครเป็นพิเศษนอกจากจะชนแก้วกันแล้วหญิงสาวแต่ละคนก็เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง

ผมลอบสังเกตหน้าตาของอีกฝ่ายถึงแม้จะไกลแต่ก็จดจำได้ว่าเป็นคนที่รูปร่างสูง น่าจะสูงประมาณ 180  เซ็นติเมตร หน้าตาดีค่อนข้างไปทางพิมพ์นิยมเลยล่ะ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบ  ผิวที่ไม่ได้ขาวออกจะสีแทนด้วยซ้ำคงเนื่องจากเป็นวิศวกรซึ่งต้องออกแดดเลยทำให้ผิวค่อนข้างคล้ำกว่าผม

ตลอดเวลาที่อยู่ในผับสายตาผมก็แวะเวียนไปที่โต๊ะนั้นเสมอ จนหญิงสาวที่ตามมานั่งที่โต๊ะด้วยคงอารมณ์เสียเลยเดินทิ้งผมไว้ ซึ่งผมก็ไม่ได้แคร์อยากไปก็ไป ของแบบนี้ผมหาเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างสนใจคนอีกโต๊ะมากกว่า

จนเมื่อได้เวลาที่ผับปิดบรรดาชายหนุ่มอีกฝั่งของร้านกำลังลุกขึ้นต่างคนต่างก็ช่วยกันพยุ่งร่างของคนที่เมา คนที่มีผู้หญิงก็คงจะไปต่อแต่คนที่กลับมือเปล่าก็มีอยู่ อย่างเช่นร่างสูงของเพทายนั่นก็คาดว่าจะกลับคนเดียว

มองภาพคนกลุ่มใหญ่เดินออกไปจากสายตารอจนคนบางตาผมกับกลุ่มเพื่อนจึงจะออกจากร้านเพราะไม่อยากแย่งกันออกช่วงนี้รถคงออกกันเยอะแล้วช้า ผมไม่ชอบมันน่ารำคาญ ออกหลังนิดหน่อยให้กลับกันไปให้หมดแล้วยิ่งดี

“ไอ้ทศ จะกลับเลยหรือเปล่าแต่น่าแปลกว่ะที่วันนี้มึงไม่หิ้วสาวกลับไปด้วย” เสียงใครสักคนดังขึ้นมาจากกลุ่มเพื่อนของผมมันคงแปลกใจน่าดู

“ไม่มีอารมณ์”

“ขนาดมีสาวมาให้ถึงที่มึงก็ไม่สนใจเขาจนเขาต้องไปหาคนใหม่  แต่กูเห็นนะว่าสายตามึงมองไปทางไหน” มันมองผมพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดหรือว่าผมจะหลุดให้พวกมันจับได้ไม่มีเสียหรอกครับ

“ก็แค่มองไปเรื่อย ๆ วันนี้เบื่อไม่อยากได้” บอกปัดมันไปแล้วเดินไปที่รถโบกมือลาเพื่อน ๆ ตอนนี้รถในลานจอดเริ่มน้อยลงแล้ว เดี๋ยวรออีกแป๊บค่อยออกไปดีกว่าจึงนั่งฟังเพลงไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน รอเพียงไม่นานก็ตัดสินใจขับรถออกจากร้านเพื่อกลับคอนโดที่ไม่ไกลจากที่นี่นัก

RRRR!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำเอาสะดุ้งสุดตัว ใครมันโทรมาตอนนี้วะ รู้ไหมว่ามันดึกขนาดไหนแล้ว เอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่เบาะด้านข้างกำลังจะกดรับสาย กลายเป็นว่าไอ้เครื่องมือสื่อสารดันลื่นหลุดหล่นไปอยู่ที่วางเท้าด้านล่าง ทำให้ผมมองมันอย่างชั่งใจอยู่ว่าจะรับดีไหม แต่สายนี้คงต้องรับเพราะโทรทางไกลมาจากอิตาลี เสียงโทรศัพท์ก็ยังดังต่อเนื่อง

ตามองถนนรถคันที่ขับอยู่ข้างหน้าก็เห็นว่าอยู่ห่างพอสมควร ถอนหายใจพร้อมกับก้มลงไปควานหาตำแหน่งที่หล่น ส่ายมือเปะปะไปมาก็เจอโทรศัพท์ตัวต้นเหตุแต่ว่าพอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะ ไฟท้ายรถคันหน้าทำไมมันประชิดติดหน้ารถผมขนาดนี้ แต่ผมกดเบรคไปสุดตัว  เฮ้ย !!! เมื่อกี้มันอยู่ไกลกว่านี้นี่หว่า มันขับหรือมันจอดไว้วะเนี่ย

เอี๊ยด!!!!!...โครม เอ่อรู้สึกว่าจะไม่ทันแล้วครับ โดนไปเต็ม ๆ รถคันหน้าไถลไปตามแรงกระแทก ผมว่าก็ไม่ได้ขับเร็วนะครับแต่ว่าไม่รู้ว่ามีรถคันข้างหน้าอยู่ตั้งแต่เมื่อไร รถคันหน้าจอดสนิทแล้วประตูด้านคนขับเปิดออกมาตามด้วยร่างสูงของเจ้าของรถเดินลงมาหน้าตาบึ้งตึง เดินมามองท้ายรถตัวเองที่โดนชนพลางเสยผมอย่างหงุดหงิด

ผมเปิดประตูรถลงเดินไปหาร่างสูงที่ยังก้ม ๆ เงย ๆ ดูผลงานของผมอยู่ ผมหันมามองหน้ารถตัวเองสลับกับรถคู่กรณี ยับเยินไม่แพ้กันแต่ดูท่าว่าท้ายรถของอีกคนจะหนักกว่า เพราะรถผมค่อนข้างเชื่อถือได้ว่าแข็งแกร่งพอตัว แต่รถญี่ปุ่นคันข้างหน้ายุบไปเยอะ

“นี่คุณขับรถประสาอะไร เพิ่งขับรถเป็นหรือไง ดูสิรถผมเยินไปหมดแล้ว” ร่างสูงดูจะหงุดหงิดมากที่รถตัวเองโดนชน

“ขอโทษที่ชนแต่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมว่าคุณนั่นแหล่ะผิดอยู่ดี ๆ จอดรถทำไมผมเลยเบรคไม่ทันมันก็ชนเอาสิ” ผมเอ่ยขอโทษออกไปแต่ดูว่าอีกฝ่ายจะไม่รับคำขอโทษง่าย ๆ เลยทำท่าฟึดฟัดอยู่

“คุณ!!! นี่คุณเองเหรอ บ้าชะมัดทำไมซวยอย่างนี้วะ ตั้งแต่ผมเจอคุณนี่อะไร ๆ ก็มีแต่เรื่องที่ซวยเกี่ยวกับคุณ ตัวซวยจริง ๆ เลย แล้วคุจะให้ผมขับรถเหยียบหมาตายรึไง ก็เห็นอยู่ว่ามีหมาเดินข้ามถนน ผมก็ชะลอรถสิ คุณนั่นแหล่ะไม่มีตาดูไฟเบรค มัวแต่ทำอะไรช่วยตัวเองอยู่รึไง ชิส์” ร่างสูงคงเพิ่งเห็นหน้าผม แถมยกมือมาชี้หน้าผมอีกต่างหาก คงอยากจะด่าผมอีกแต่กลับหยุดตัวเองไว้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกประกัน ผมก็เลยนึกได้ว่าต้องโทรเรียกมั่ง

ระหว่างที่รอประกันฝ่ายนั้นก็ได้แต่กัดฟันจ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนไม่อยากคุยกับผม

“นี่นี่ ผมบอกไปแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวประกันผมมาจะเคลียร์ให้ทุกอย่างไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

“ก็มันแน่อยู่แล้วว่าคุณต้องรับผิดชอบเพราะคุณมันขับรถห่วยแตก อยู่ดี ๆ มาชนรถชาวบ้านคนอื่นแบบนี้ใบขับขี่นี่ซื้อมาหรือยังไงไม่ทราบ”

“อ้าว ๆ อย่างผมเนี่ยสอบเองไม่ได้ใช้เงินซื้อหรอกนะ ฝีมือก็มี” อีกฝ่ายหันมายิ้มเยาะสบช่องให้ได้ด่าผมก็ทำทันที

“เหอะ ขับรถแบบนี้ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนทีหลังอย่าขับดีกว่า เมาแล้วทีหลังอย่าขับกลับแท็กซี่”

“ผมไม่ได้เมาครับแค่มันมีสาเหตุนิดหน่อยเลยทำให้รถชน”ผมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ๆ จะเอาอะไรอีก เนี่ยก็รอประกันจะได้เคลียร์ให้เรียบร้อย

รอประกันเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะมา อย่างว่าแหล่ะมันดึกแล้วอีกฝ่ายก็ได้แต่ยืนกอดอกพิงประตูรถหน้าบึ้ง เกือบลืมเลยว่าเมื่อกี้ยังไม่ได้รับสายของอีกซีกโลก

“ฮัลโหล อืม เกิดเรื่องนิดหน่อยไม่ได้รับ ไม่มีอะไรแล้ว แล้วโทรมาทำไม รู้แล้ว ๆ จะพยายามให้ทัน แค่เดือนเดียวจะบ้ารึไง ใครมันจะไปเคลียร์ทันวะ  ขอสองเดือน แล้วแกจะไปไหนก็ไปฉันจะไปดูให้เอง แต่ว่าไปช่วยได้แค่เดือนเดียวนะ งานฉันก็เยอะ แค่นั้นมิคาเอลแกอย่าเยอะ อืม แค่นี้นะ” วางสายจากน้องชายที่อยู่คนละทวีป มันโทรมาทวงเพราะมันจะขอพักร้อนไปฮันนีมูนกับคนของมัน ทำให้ผมต้องเข้าไปช่วยมันดูงานแทนให้

“ขอโทษที่มาช้าครับคุณทศ” ประกันมาพร้อมกับคำขอโทษซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรมากมายเข้าใจครับว่ามันดึกมากแล้วใครก็พักผ่อนกันทั้งนั้นเป็นผมเสียอีกที่หางานให้อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ แล้วพนักงานประกันก็เดินไปจัดการกับเอกสารพร้อมถ่ายรูปรถทั้งสองคัน ประกันของอีกฝ่ายก็มาแล้วและกำลังเจรจากันอยู่

“เดี๋ยวผมให้อู่มาลากรถไปซ่อมเลยนะครับเพราะว่าคุณเขาต้องการใช้รถเร็ว ๆ ทางผมอาจจะต้องหารถมาให้คุณเขาใช้แทนเวลาที่รถเข้าอู่ ถ้าเร่งให้คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 2 อาทิตย์ครับ”

“อืม เร่งให้หน่อยแล้วกันเพราะดูท่าอีกฝ่ายจะโกรธน่าดู แล้วพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปเอารถที่คอนโด วันนี้ผมจะขับคันนี้ไปก่อนไม่อยากนั่งแท็กซี่” บอกพนักงานเสร็จ ผมหันไปมองเพทายที่ยังยืนหน้าบึ้งดูสภาพรถตัวเอง เลยเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างรถเจ้าตัว

“คุณไปเก็บของในรถให้หมด เอาไปใส่รถผมเดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน” ผมบอกเพทายให้อีกฝ่ายรับรู้

“ไม่ต้องผมกลับแท็กซี่เองได้” พูดจบก็หันหลังไปเปิดประตู ร่างสูงของเพทายก้มลงไปเก็บของใส่กระเป๋าตัวเอง มีทั้งแฟ้มงานเอกสาร หนังสือหลายเล่ม

“ตอนนี้มันไม่มีแท็กซี่ผ่านมาคุณจะรอไปอีกเท่าไรถึงจะได้กลับบ้าน ผมแค่ไปส่งเพราะต้องรับผิดชอบที่ทำให้รถคุณโดนชน”

ร่างสูงของเพทายหันมองถนนที่ตอนนี้เริ่มว่าง ปกติมันก็มีรถวิ่งอยู่ประปรายแหล่ะ แต่วันนี้ทำไมรถมันน้อยแล้วแท็กซี่ก็ยังไม่ผ่านมาสักคันเลยด้วย คิ้วของเพทายขมวดย่นเข้ามาชิดกัน ริมฝีปากบางเม้มแน่น แล้วในอ้อมแขนยังเต็มไปด้วยสัมภาระมากมายพร้อมกระเป๋าใบโต นี่อะไรมากมายขนาดนี้ของเขากันนะ

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างสูง

“เปิดประตูรถคุณได้แล้ว ผมหนัก” น้ำเสียงสั้นห้วน ติดจะหงุดหงิดดังออกมาจากปากของเพทาย  ผมเลยเดินไปเปิดประตูหลังเพื่อให้อีกฝ่ายวางเอกสารไว้ จากนั้นมือใหญ่จึงเอื้อมมาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งพร้อมปิดประตูรถดังปัง เอาเลยครับให้มันหลุดเลยถ้าจะปิดดังขนาดนี้

ผมสั่งให้พนักงานประกันรอรถที่จะมาลากรถอีกคันไปอู่ ให้จัดการให้เรียบร้อยแล้วผมก็เดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมออกรถเพื่อที่จะไปส่งอีกคนที่บ้าน

“บ้านคุณอยู่ไหน” หันไปถามอีกคนที่ยังนั่งกอดอกไม่พูดไม่จา

“รัชดาซอย19 รู้จักไหม” บอกแค่นั้นก็เงียบแล้วมองตรงไปข้างหน้า ทำให้ผมต้องขับรถไปตามเส้นทางใกล็ถึงแล้วค่อยถามอีกทีแล้วกัน

ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม ทำให้เห็นว่าใบหน้าเรียวนั้นมีสันจมูกที่โด่งรับกับดวงตาเรียวรี ริมฝีปากที่ได้รูปส่งผลให้คนข้าง ๆ เป็นชายหนุ่มที่หล่อมากคนหนึ่ง และด้วยส่วนสูงที่มากกว่าชายทั่วไปซึ่งส่งผลให้ร่างสูงนี้ดูดีขึ้นไปอีก

คิดแล้วก็เสียดายประชากรชายอีกหนึ่งคนเพราะว่าผมแอบมองก็รู้ว่าคนข้าง ๆ แอบมีใจให้หนุ่มรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่กล้าที่จะสารภาพออกไปจึงได้แต่แอบมองอย่างนั้น  แล้วกันตพิชย์ก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะเป็นเกย์เลยแค่เป็นผู้ชายที่ดูไม่โผงผาง แต่ท่าทางก็ยังเป็นผู้ชายเต็มตัว แล้วไอ้ภูเพื่อนผมมันจะจีบกันตพิชย์สำเร็จหรือเปล่า มันคงต้องพยายามอย่างมากแหล่ะ เพราะว่ามันก็ไม่เคยจีบผู้ชายมาก่อน มีแฟนก็มีแต่ผู้หญิงตลอด

ผมเลี้ยวเข้ามาในซอยขับไปเรื่อย ๆ โดยที่เพทายก็บอกทางไปจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง

“จอดหน้าบ้านรั้วสีขาวหลังนี้แหล่ะ”  พูดจบก็ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูลงไปเพื่อไปหยิบของที่เบาะหลัง เมื่อได้ของครบแล้วอีกฝ่ายก็เดินหนีไปทันทีไม่หันมาพูดอะไรกับผมสักคำ ผมเลยได้แต่นั่งมองดูร่างสูงเดินเข้าไปในบ้านอย่างมึน ๆ

 

*********************************************************************************************


 

นี่ผมตื่นเช้าเพื่อมาทำอะไรหน้าบ้านหลังเมื่อคืนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวะเนี่ย ได้แต่นั่งหาวตาปรอยครึ่งหลับครึ่งตื่นแต่ตาก็ยังมองไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิทอยู่เรื่อย ๆ รออยู่ไม่นานก็เห็นประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับร่างสูงเดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่ออกมา

เพทายมองมาที่รถยนต์ผมนิดนึงคงสงสัยว่าทำไมมีรถมาจอดหน้าบ้านตัวเอง แต่ก็ไม่ได้สนใจจนร่างสูงก็เดินเลยผ่านรถผมไป จนผมต้องรีบเปิดประตูรถลงไปเรียก

“ผมมารับคุณไปส่งที่ทำงาน” เสียงเรียกทำให้ร่างสูงหันมามองหน้าผมนิดนึง

“มาทำไม ผมไปทำงานเองได้เดี๋ยววันนี้ก็ได้รถที่อู่จะส่งมาให้ใช้แล้วไม่รบกวน ลาล่ะ” สิ้นเยื่อใยอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ผมรีบเดินไปดึงแขนของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้เดินไปเรียกแท็กซี่

“เดี๋ยวก่อน ผมบอกยกเลิกไม่ให้อู่ส่งรถมาให้คุณใช้แล้ว แต่ต่อไปผมจะมารับมาส่งคุณเอง” เพทายคิ้วขมวดเหมือนไม่แน่ใจว่าที่ผมพูดออกไปนั่นคือเรื่องอะไร

“นี่คุณจะบ้าเหรอ ทำไมต้องบอกยกเลิกแล้วผมจะใช้รถที่ไหน บ้านคุณรวยมีรถหลายคันแต่ผมไม่ใช่นะ” เถียงกลับมาเสียงขุ่น สีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ก็ผมเพิ่งบอกคุณไปไงว่าผมจะมารับคุณไปทำงานเองแล้วขากลับก็จะแวะมาส่งที่บ้านให้ด้วย”

“ไม่เอา ถ้ายังงั้นผมไปทำงานเองได้ ไม่ต้องให้คุณมารับ เห็นหน้าคุณแล้วมันอารมณ์เสีย ซวยจริง ๆ แล้วปล่อยด้วยทำไมชอบจับนักหนา” ด่าจบก็สะบัดหน้าหนีเดินไปทันที แต่ผมก็รีบคว้าแขนไว้อีกรอบ

“อย่าดื้อ บอกอะไรให้ฟังกันบ้าง ผมบอกว่าจะมารับก็มารับ แล้วผมก็ไม่ได้มีเวลามากนักนะ ไปขึ้นรถเร็ว ๆ เลย อย่าให้ต้องใช้กำลัง” แต่ว่าลากเลยละกัน เปิดประตูด้านข้างคนขับก็ดันร่างสูงเข้าไปแล้วปิดประตู จึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งจากนั้นจึงออกรถทันที หันไปมองอีกคนที่นั่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา

“ทำไมผมมารับมันจะเป็นอะไรไป ยังไงผมก็สั่งไม่ให้เอารถมาให้คุณใช้แล้ว หรือว่าไม่กล้าไปกับผม” ไอ้คำว่าไม่กล้าเนี่ยท้าใครคนคนนั้นไม่รอดหรอก อวดเก่งกันทั้งนั้นแหล่ะ

“แล้วมันมีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องมานั่งรถไปทำงานกับคุณ แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับความกล้าหรือไม่กล้าทั้งนั้น”

“ผมแค่อยากรับผิดชอบไงที่เมื่อวานขับรถไม่ดีทำให้คุณไม่มีรถใช้ แล้วใคร ๆ  ก็อยากให้ผมไปรับไปส่งทั้งนั้น    แหล่ะมีแต่คุณเนี่ยขนาดมารับยังต้องบังคับกันเลย”

“ก็ไปรับคนที่อยากนั่งสิ ผมไม่ได้อยากนั่งรถคุณสักนิด เกรงว่าจะทำให้คุณเสียเวลา” น้ำเสียงประชดกระแทกแดกดันดังออกมาจากริมฝีปากเรียบ ปากร้ายจริงนะ

“ไม่นานหรอกน่าแค่รถคุณซ่อมเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องนั่งรถไปทำงานกับผมแล้ว”

“ตามใจถ้าอยากทำก็ทำแต่ถ้าวันไหนคุณขาดแม้แต่รับหรือส่งสักวันผมจะถือว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบ แล้วคนอย่างคุณคงไม่อยากให้คนอื่นรับรู้หรอกนะว่าทำอะไรหยิบโย่ง แค่ความรับผิดชอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำไม่ได้” ตอบงี้แสดงว่ายอมให้ผมมารับแล้วสินะ เสียแต่ปากนี่สิ ปากดีจริง ๆ

“ก็แค่นั้น มันจะไปยากอะไรแค่นั่งรถมากับผมดี ๆ” ใบหน้าของเพทายยิ้มเยาะที่มุมปากบาง ๆ

อีกคนที่นั่งเงียบตามองไปข้างหน้า ผมเลยไม่อยากเซ้าซี้เดี๋ยวจะไปกระตุ้นต่อมโมโหให้ทำงานแต่เช้า ตอนเจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรแต่ไม่นึกว่าร่างสูงจะแอบชอบรุ่นน้องของตัวเองดูท่าทางก็เป็นผู้ชายเต็มร้อยทั้งสองคน ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะเป็นเกย์ แต่จากที่สังเกตดูสายตาที่มองกันตพิชย์บางครั้งมันมีแววห่วงใยปนอยู่ แล้วจะให้ผมคิดยังไงได้นอกเสียจากแอบชอบกันตพิชย์

จากบ้านของเพทายไปถึงตึกสำนักงานไม่ได้ไกลมากแต่ว่าการจราจรที่คับคั่งในตอนเช้าก็ทำเอาผมเบื่อได้เหมือนกัน ก็บ้านผมมันไม่ได้อยู่ทางนี้นี่ครับ ยังด่าตัวเองอยู่เลยเนี่ยว่าอยู่ ๆ ก็หาเรื่องให้ตัวเองลำบาก ทำไมไม่ให้อู่เอารถมาให้ร่างสูงใช้ระหว่างซ่อมก็ไม่รู้

ดันออกตัวไปแล้วด้วยว่าจะมารับส่งจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ นี่ถ้าไม่เห็นว่าจะกันร่างสูงออกจากกันตพิชย์เพื่อไอ้ภูแล้ว ผมไม่ทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้หรอก เสียเวลาตาย ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรด้วย

รถขับมาจอดหน้าตึกสูงย่านธุรกิจกลางเมืองหลวง เพทายปลดเข็มขัดนิรภัยหันมามองหน้าผมนิดนึงก่อนละลงผมเลยรีบคว้าเอาแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

“วันนี้เลิกงานกี่โมง”

“ปกติ 5 โมงเย็น แต่ว่าช่วงนี้คงเลิกดึก เพราะต้องทำโครงการใหม่ของคุณภูไม่รู้ว่าจะเลิกกี่โมง”

“งั้นเอาเบอร์โทรคุณมา เลิกงานแล้วโทรบอกเดี๋ยวผมมารับ” ผมยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้กับอีกคนเพื่อให้เมมเบอร์เอาไว้ มือเรียวยื่นมารับแล้วกดเบอร์ตัวเองไว้ เสร็จแล้วยื่นโทรศัพท์ส่งคืนมาให้ผม ผมมองดูแล้วพบเบอร์เพทายก็พอใจที่ว่าง่ายกว่าเมื่อกี้เยอะ

“ผมทำงานก็น่าจะดึกเหมือนกันแต่ถ้าวันไหนมารับไม่ได้จะโทรมาบอกก่อน”

“งั้นผมไปล่ะ” พูดจบก็เปิดประตูเดินลงรถเข้าไปในตึกโดยที่ไม่ได้หันมามองผมอีกเลย ช่วงที่ผมกำลังจะออกรถก็มีรถคันนึงมาจอดเทียบพร้อมลดกระจกลง แค่มาจอดข้าง ๆ กันก็รู้แล้วว่าเป็นรถใคร  อีกฝ่ายทำหน้าตางง ๆ คงไม่คิดว่าจะเจอผมตั้งแต่เช้า

“แกมาทำอะไรแต่เช้า มาหาฉันเหรอ” ภูดิสเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เปล่า ฉันมาส่งคน” ยิ่งได้ฟังคำตอบเพื่อนผมมันยิ่งทำหน้างงไปกันใหญ่

“ส่งใครแกรู้จักใครนอกจากฉันในตึกนี้ด้วยเหรอวะ”

“เออน่า แค่คนเพิ่งรู้จักมีความจำเป็นนิดหน่อย เดี๋ยววันหลังเล่าให้ฟัง ฉันไปทำงานก่อนดีกว่า บายไอ้ภู” รีบหนีมันก่อนดีกว่ายังไม่อยากบอกมันตอนนี้ ผมเลยเหยียบคันเร่งขับหนีมันไปเกรงว่ามันจะเดินลงมาสอบสวนเอาความจริงที่ผมก็ยังไม่มีคำตอบให้มันตอนนี้หรอกว่าทำไมต้องทำอย่างนี้



*******************************************************************


คุณทศจะมาเป็นตัวกันพี่ทาย แล้วมันจะไปรอดเรอะ

ดูท่าพี่ทายก็ไม่สนใจคุณทศเหมือนกัน

คู่นี้มีซัมซิงแน่นอน ตามที่หลายคนคิดไว้เลย

บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เน้นดราม่า เพราะซีนอารมณ์มันยากสำหรับเรา 555


ยังไงก็รบกวนฝากเพจด้วยนะคะ @มารน้อยเจ้าสำนัก

https://www.facebook.com/YAOI.rak/?fref=ts


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2016 11:48:48 โดย มารน้อย เจ้าสำนัก »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แหม.. โทรศัพท์เป็นใจให้ทำความรู้จัก แต่.. ขอตินิดหนึ่งนะ ความเห็นส่วนตัว
เพทาย
 - หลังจากที่อ่านมา รู้สึกว่าแมนมากๆ แต่ทำไม ตอนนี้บรรยายออกสาว
มีงอน มีชิส์  มีสะบัดสบิ้ง ด้วย อยากให้บททายแมนๆ หน่อยนะ ไม่ต้องถึงกับโหด
เพราะตอนที่คุยกับกันต์นั้น เป็นบทพระเอกเต็มตัว
ทศ
- ที่ตามติดก็พอเข้าใจ แต่บทพูดแทนตัวว่า ฉัน นี่ออกจะมุ้งมิ้งไปหน่อยนะ
เพราะคนที่ไม่รู้จักกันดี ยังไงเขาก็แทนตัวเองว่าผมนะ อ่านไปบ่นไป อิอิอิ       

อยากได้แมนชนแมน ส่วนใครจะเป็นพระเอกนายเอกนั้น อยู่ที่ใครได้เปรียบก่อน
คนอ่านไม่เกี่ยงจ๊ะ
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
คู่นี้สนุกแน่ ทศพาย อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แหม.. โทรศัพท์เป็นใจให้ทำความรู้จัก แต่.. ขอตินิดหนึ่งนะ ความเห็นส่วนตัว
เพทาย
 - หลังจากที่อ่านมา รู้สึกว่าแมนมากๆ แต่ทำไม ตอนนี้บรรยายออกสาว
มีงอน มีชิส์  มีสะบัดสบิ้ง ด้วย อยากให้บททายแมนๆ หน่อยนะ ไม่ต้องถึงกับโหด
เพราะตอนที่คุยกับกันต์นั้น เป็นบทพระเอกเต็มตัว
ทศ
- ที่ตามติดก็พอเข้าใจ แต่บทพูดแทนตัวว่า ฉัน นี่ออกจะมุ้งมิ้งไปหน่อยนะ
เพราะคนที่ไม่รู้จักกันดี ยังไงเขาก็แทนตัวเองว่าผมนะ อ่านไปบ่นไป อิอิอิ       

อยากได้แมนชนแมน ส่วนใครจะเป็นพระเอกนายเอกนั้น อยู่ที่ใครได้เปรียบก่อน
คนอ่านไม่เกี่ยงจ๊ะ
 :hao6: :hao6:

คือที่เราเลือกใช้ฉันเพราะว่ารู้สึกว่าทศอายุมากกว่า แต่พอมานึกดูแล้วก้อเห็นด้วยนะคะ

เดี๋ยวเราแก้ไขให้เนอะ

แล้วอาการของพี่ทาย มันแค่หงุดหงิด แบบระอา ๆ มั้ง เราก็ไม่แน่ใจว่าอาการที่ผู้ชายเบื่อเซ็งคนบางคนเป็นยังไง

แต่จะพยายามเขียนให้แมนกว่านี้คร้บบบ

ขอบคุณนะคะที่ติเรา จะปรับปรุงเพื่อคนอ่านที่รักมากทุกคน ^_^

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอน 27  เขินไปสิ

จากวันที่คุณภูกับน้องฟ้าไปทานข้าวเที่ยงด้วยวันนั้นกลับกลายเป็นว่าบ้านของเราสองคนสลับกันไปทานข้าวด้วยกันบ่อยมากขึ้น ท่าทีของคุณภูก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เมื่อก่อนไม่ว่ายังไงก็ดูดุ เคร่งขรึม แต่ช่วงนี้เวลาที่อยู่กันตามลำพังหรืออยู่กับเด็ก ๆ ร่างสูงก็แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็นมากกว่าแต่ก่อน ซึ่งมันทำให้ผมไม่ค่อยชินเท่าไร อย่างวันนั้นที่ยืนให้คุณภูจูบ มันทำให้หัวใจผมเต้นโครมครามเหมือนว่ามันจะหลุดทะลุออกมาจากอก

ไม่เคยมีใครที่เข้าใกล้แล้วทำให้ผมใจสั่นได้เท่านี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ผมไม่เคยมีแฟนเพราะเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน มีเพื่อนสนิทไม่กี่คน แต่มาวันนี้คนที่ทำให้ผมจิตใจไม่ปกติกลับเป็นผู้ชายเสียได้

ผมนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวเองว่านั่งจับปากกานิ่ง ๆ แต่สายตาผมกลับไปจ้องอยู่ที่ร่างสูงที่นั่งทำงานอยู่ข้างหน้าผม เวลาทำงานคุณภูก็ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม  มองดูจมูกโด่งเป็นสันแล้วหน้าตัวเองชักจะร้อนขึ้นมา

“จ้องอะไร” เสียงทักทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว ถึงนึกขึ้นได้ว่านั่งเหม่อมองร่างสูงจนเจ้าตัวรู้สึก จะตอบว่าไงดีวะหาคำตอบไม่ทันซะด้วย

“เปล่าจ้องครับ แต่มองผ่าน ๆ”

“ก็ฉันเห็นว่านายจ้องอยู่ ยังจะมาปฏิเสธอีก”

“มองคุณภูนั่นแหล่ะ กำลังคิดว่าทำไมช่วงนี้คุณภูดูอารมณ์ดีกว่าปกติครับ” ผมถามในสิ่งที่สงสัยมาหลายวัน

“อ้าว นี่ฉันอารมณ์ดีเหรอ ไม่ยักรู้แฮะ” ร่างสูงวางปากกาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมยกมือขึ้นกอดอก

“อ้อ วันนี้เดี๋ยวให้คนขับรถไปรับเด็ก ๆ มาที่ออฟฟิศนะ นายไม่ได้ไปรับหลาน ตอนเย็นจะพาไปทานข้าว”

“ทำไมไม่ทานข้าวที่บ้านกันล่ะครับ”

“อยากพาน้องฟ้ากับพวกนายไปเปลี่ยนบรรยากาศมั่ง ทานที่บ้านมาหลายวันแล้ว แล้วน้องฟ้าก็อยากไปทานข้าวริมแม่น้ำกับนาย” คุณภูตอบกลับมาไม่ให้ผมค้านได้เลยเล่นเอาน้องฟ้ามาอ้างด้วย

“ก็ได้ครับในเมื่อคุณตุลย์ตัดสินใจไปแล้วผมก็ไม่ได้ว่าอะไร”

จากนั้นจึงเลิกสนใจร่างสูงของอีกคน นั่งทำงานต่อไปเรื่อย ๆ ร่างสูงของคุณภูก็ไม่ได้คุยอะไรอีกต่างคนต่างทำงานของตัวเอง
ที่ผมต้องเข้ามานั่งทำงานตรงข้ามร่างสูงก็เพราะว่าคุณภูสั่งให้ผมเอาเอกสารที่เกี่ยวกับโครงการที่น่านมานั่งอ่านพร้อมทั้งสรุปอย่างย่อ ๆ โดยที่บอกว่าให้มานั่งทำตรงนี้มีอะไรไม่เข้าใจจะได้ถามได้ไม่เสียเวลา ไอ้ผมก็เลยต้องทำตามคำสั่งท่านประธานอย่างขัดไม่ได้ หอบเอาแฟ้มราคาวัสดุ ปริมาณวัสดุ มานั่งทำลิสต์รายชื่อและรวบรวมให้ง่ายเพื่อที่คุณภูอ่านเอกสารอีกรอบจะได้ไวขึ้น

ก้มมองดูนาฬิกาตัวเองพบว่าได้เวลาที่เด็ก ๆ เลิกเรียนแล้วตอนนี้น่าจะใกล้ถึงที่ออฟฟิศ นึกยังไม่ทันขาดคำดี ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดเข้ามาโดยนริศรา จากนั้นร่างเล็ก ๆ ของน้องฟ้าก็วิ่งปร๋อมาที่เก้าอี้ของคุณภูทันที  ส่วนตุลย์ก็วิ่งพาร่างอวบอั๋นมาตามหลังน้องฟ้าแต่มาหยุดอยู่ที่ข้างเก้าอี้ผม พร้อมยกมือไหว้ผมก่อนหันไปไหว้คุณภู

“คุณพ่อ” เสียงน้องฟ้าเรียกพ่อพร้อมยกมือไหว้ร่างสูง คุณภูวางปากกาลงแล้วเอื้อมมือแกร่งไปยกตัวน้องฟ้าขึ้นมานั่งตักพร้อมก้มลงหอมแก้มยุ้ยขาว ๆ นั้นฟอดใหญ่ทั้งสองข้าง

“หื้มมมม แก้มฟ้าช้ำแล้วครับคุณพ่ออย่าหอมแรง แล้วเจ็บด้วยหนวดตำแก้มฟ้าอ่ะ” น้องฟ้าเอามือดันหน้าคุณภูให้ออกห่าง พร้อมทำหน้ายู่ ทำเอาผมอมยิ้มกับท่าทางนั้น

“พ่อกำลังรออยู่เลยครับ น้องฟ้าหิวหรือยัง”

“หิวแล้วครับ ฟ้าอยากทานเค้กร้านข้างล่าง”

“งั้นเข้าไปล้างหน้าล้างมือกันทั้งสองคนเลย เดี๋ยวพ่อกับน้ากันต์พาลงไปทานเค้กกัน”

“ป่ะ น้ากันต์พาไปห้องน้ำดีกว่าครับ” ผมลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะพาเด็กไปห้องน้ำ

“เข้าห้องน้ำในห้องนี้แหล่ะ นั่นประตู” ร่างสูงยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูบานหนึ่ง

น้องฟ้ากับตุลย์ปลดกระเป๋าเป้ของตัวเองลง แล้วกลับกลายเป็นน้องฟ้าเดินจูงมือตุลย์ไปที่ประตูบานนั้นก่อนผม และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมก็พบเตียงนอนเล็ก ๆ อยู่ด้านในมีประตูบานเลื่อนอีกสองบาน ซึ่งผมเดาว่าคงเป็นประตูตู้เสื้อผ้ากับประตูห้องน้ำ

ผมเคยสงสัยว่ามันคือห้องอะไรวันนี้ได้คำตอบแล้ว มันคงเป็นห้องที่คุณภูเอาไว้พักผ่อนเวลาอยู่ออฟฟิศนั่นเอง รอเด็ก ๆ ล้างมือกันเรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมานอกห้องก่อนออกมาผมมองไปที่เตียงเล็ก ๆ นั้นแล้วรู้สึกว่าแก้มมันร้อนนิด ๆ เมื่อนึกถึงวันที่ไปนอนค้างที่บ้านคุณภูแล้วยังตื่นมาในอ้อมกอดของร่างสูงอีกด้วย

“เสร็จแล้วเราไปกันเลยนะครับคุณพ่อ” น้องฟ้าเรียกคุณภูก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืนเดินอ้อมมาหาน้องฟ้าที่ยืนรออยู่คุณภูยื่นมือไปจับมือเล็ก ๆ ของน้องฟ้าแล้วเดินนำไปที่ประตูห้อง

ส่วนผมปล่อยให้ตุลย์เดินข้างน้องฟ้าไปแต่ผมก็เดินตามไปไม่ห่าง นริศรายกยิ้มเมื่อเราเดินผ่านโต๊ะทำงาน

“จะไปไหนกันหรือคุณภู”

“พาน้องฟ้าไปทานเค้กข้างล่าง”

“ทานให้อร่อยนะคะน้องฟ้า ทานเผื่อน้านริศด้วยนะ” พี่นริศโบกมือให้ร่างน้อย ๆ ที่ยิ้มตอบมาเช่นกัน

“ครับ เดี๋ยวฟ้าซื้อเค้กขึ้นมาฝากนะครับ”

ลิฟท์มาจอดพร้อมประตูที่เปิดออกเราเดินเข้าไปลิฟท์กดลงชั้นล่างที่มีร้านเค้กตั้งอยู่ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกคุณภูกับน้องฟ้าเดินออกไปเป็นคู่แรกผมก้าวเท้าตามพร้อมกับตุลย์

“น้องฟ้าจะทานอะไรครับ แต่ตุลย์เลือกได้แค่อย่างเดียวนะ น้าให้กินแค่นั้น” ผมบอกน้องฟ้าแล้วจึงบอกกับตุลย์ ไอ้อ้วนทำหน้าตาเสียดาย ปากยื่นออกมาจนผมต้องเอามือไปบีบปากยื่นเป็นเป็ดนั้นไว้เบา ๆ แล้วหัวเราะ

“อื้อออออ อ้าอันอ่อยอุนอ่อน อุนเอ็บ” พยายามจะพูดแต่พูดไม่ได้ จึงได้แต่ส่งเสียงออกมา

“พูดอะไรตุลย์น้าฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าฮ่าฮ่า” แกล้งหลานนี่มันก็สนุกดีนะ แต่ก็ปล่อยมือออกจากปากตุลย์

“น้ากันต์อ่ะ งอนแล้ว” ใบหน้ากลมบูดเชียว  งอนหรออ้วนงอนหรอ

“ไม่ง้อนะอ้วน งอนเองหายเอง ถ้างอแงก็อดกิน” จบประโยคเท่านั้นแหล่ะ ใบหน้ากลมกลิ๊กหันมายิ้มแป้นเชียว เปลี่ยนสีไวมากอ้วน
“ใครงอน ไม่มี๊ ไม่มี ตุลย์ล้อเล่นเฉย ๆ หรอกน่า”

“ฟ้าเอาชิ้นนี้ครับคุณพ่อ” น้องฟ้าชี้ไปที่เจแปนนิสชีสเค้ก นุ่มฟูดูน่ากิน

“งั้นตุลย์เอาเค้กช็อคเหมือนเดิมครับ”

“โอเค คุณภูจะทานอะไรครับผมสั่งให้ แล้วคุณภูพาเด็ก ๆ ไปนั่งที่โต๊ะก่อนนะครับ” คุณภูสั่งกาแฟพร้อมเค้กที่ตัวเองจะทาน แล้วเดินจูงเด็ก ๆ ไปที่โต๊ะว่าง ผมจึงหันไปสั่งพนักงานแล้วจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มและเค้ก พนักงานบอกว่าเดี๋ยวจะนำไปส่งที่โต๊ะ ผมเลยเดินไปหาทุกคนที่นั่งเรียบร้อยแล้ว

น้องฟ้านั่งติดกับคุณภู ผมจึงเดินไปนั่งข้างตุลย์  รอกันไม่นานเครื่องดื่มและขนมก็มาเสริฟ เด็ก ๆ ยิ้มหน้าบายดีใจกันใหญ่ที่จะได้ทานขนม ส่วนคุณภูก็นั่งนิ่ง ๆ เหมือนเดิมแต่มีรอยยิ้มที่มุมปากนิด ๆ

เมื่อเด็ก ๆ ได้ขนมก็ตักทานกันอย่างอร่อย เผลอแป๊บเดียวขนมที่สั่งมาก็หายวับไปกับตา ปากน้องฟ้าเปื้อนขนมเค้กซึ่งมือแกร่งของคุณภูก็ยื่นทิชชู่มาเช็ดที่ริมฝีปากน้องฟ้าที่เลอะขนม น้องฟ้าเงยหน้ายิ้มตาเป็นสระอิให้กับคุณภู

ผมมองไปที่ตุลย์ก็พบว่ากินหมดแล้วเหมือนกันและกำลังยกแก้วโกโก้ขึ้นดื่ม  ส่วนผมก็ตักขนมเข้าปากเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนค่อย ๆ ละเลียดกินขนม อืมม ..อร่อยดีแฮะ กินกี่ทีก็ไม่เบื่อ

“ทานยังไงเลอะปากไปหมดแล้ว เด็กจริง ๆ เลยนายนี่” ผมได้ยินเสียงคุณภูเลยเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูง จากนั้นก็พบว่ามือใหญ่ของคุณภูยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับเลื่อนนิ้วโป้งไปตามริมฝีปากล่างของผมตั้งแต่มุมซ้ายลากไล้ไปตามมุมขวา ผมได้แต่นั่งตัวแข็งสบตากับตาคมเข้ม รู้สึกได้เลยว่าแก้มตัวเองร้อนขึ้น การที่คุณภูทำแบบนี้เรียกเลือดขึ้นสู่ผิวหน้าได้อย่างดี จากที่สบตาจึงเสมองไปทางอื่นก่อนจะหันมามองหน้าคุณภูอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าคุณภูดึงมือตัวเองกลับไป

ผมนึกว่าคุณภูจะใช้ทิชชู่เช็ดคราบครีมที่เลอะนิ้วโป้งแต่ผิดคลาดคุณภูกลับยกนิ้วขึ้นดูดเลียแล้วมองสบตาผมพร้อมรอยยิ้มกับประกายตาที่วิบวับ ทำเอาผมนั่งเขินทีเดียว จะยิ้มใส่ตาผมทำไมครับรู้ไหมว่ามันทำให้ผมเขิน หน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นไปอีก แต่อีกคนก็ยังไม่วายส่งยิ้มมาใส่ตาผม

“คะ ... คุณภู ทีหลังยื่นทิชชู่มาให้ผมก็พอนะครับ” ผมส่งเสียงออกไปอย่างตะกุกตะกัก

“มันช้าไม่ทันใจ เช็ดให้แหล่ะดีแล้วว่าอย่างนั้นไหม”

“มันจะไปดีได้ยังไงครับ เด็ก ๆ อยู่ แถมคนอื่นก็เยอะ อายคนอื่นเขามั่งนะครับ” ผมยังพยายามบอกให้ร่างสูงรับรู้ว่าผมอายแค่ไหนกับการกระทำแบบนั้นของตน

“อายทำไม ฉันอยากทำฉันก็จะทำ ไม่เห็นต้องสนใจใครเลย ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่เห็นหรอก มัวแต่ทานอยู่” คุณภูยังยืนยันคำเดิม

“ครับ ๆ ตามใจคุณภูเลย อยากทำอะไรผมจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ”

“ตามใจฉันจริงเหรอ พูดแล้วไม่คืนคำนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”

“หือออ ตามใจบางเรื่องก็พอครับ” เกือบตกหลุมคุณภูอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ยิ่งดูเหมือนจะเจ้าเล่ห์ขึ้นมากทีเดียว แล้วอีกอย่างช่วงนี้ร่างสูงถึงเนื้อถึงตัวผมตลอด  ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งสับสนว่าตัวเองทำไมต้องยอมให้ร่างสูงทำอะไรแบบนั้นด้วย ไม่ว่าจะกอด จะหอม แล้วยิ่งไม่นึกรังเกลียดการกระทำเหล่านั้นอีกด้วย

น้องฟ้านั่งมองมาทางผมแล้วยิ้มแก้มป่อง

“น้ากันต์ครับคุณพ่อบอกว่าตอนเย็นจะพาไปทานข้าวที่ร้านอาหาร  วันนี้ไม่ต้องรอไปทานที่บ้านแล้ว น้ากันต์กับตุลย์ไปทานข้าวกับฟ้าแล้วก็คุณพ่อนะครับ”

ตุลย์หันมามองหน้าผมแบบอ้อน ๆ ตาโต ๆ จ้องอย่างมีความหวัง พร้อมกับเกาะแขนผมไปด้วย

“น้ากันต์ไปนะครับ ตุลย์อยากไปกินข้าวกับน้องฟ้า” พูดจบก็หันไปมองหน้าน้องฟ้าสลับกับคุณภู น้องฟ้านะยิ้มเสมอนั่นแหล่ะครับ แต่คุณภูคราวนี้ก็ยิ้มด้วยเหมือนกันพร้อมพยักหน้าให้ตุลย์

“ไปก็ได้ครับ” ผมตัดสินใจบอกออกไปพร้อมได้ยินเสียงเฮของเด็ก ๆ พร้อมกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของคุณภูที่ครั้งนี้ยิ้มกว้างออกมา

“น้องฟ้าทานแค่นี้พอนะครับเดี๋ยวตอนเย็นจะทานข้าวได้น้อยเนอะ” ผมหันไปบอกกับร่างเล็กของน้องฟ้า ร่างเล็กก็รับปาก

“น้ากันต์ครับฟ้าอยากนั่งกับตุลย์ น้ากันต์มานั่งข้างคุณพ่อได้ไหมครับ ฟ้าจะให้ตุลย์ดูอะไรในไอแพดด้วยครับ” น้องฟ้าขอร้องให้ผมย้ายที่นั่งสลับกับเจ้าตัว

“จะเล่นอะไรกันครับเด็ก ๆ”

“อ้อ มีเว็ปที่อาจารย์ให้มาดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิทานภาษาอังกฤษเป็นการบ้านครับน้ากันต์” เสียงตอบกลับเป็นเสียงของหลานชายผมแทน ผมกำลังจะย้ายไปนั่งแทนที่น้องฟ้าแต่ร่างสูงของคุณภูกลับลุกขึ้นมาก่อน

“ตุลย์ลุกมานั่งแทนลุงแล้วกัน น้ากันต์จะได้ไม่ต้องลุกให้ลำบาก” เสียงคุณภูบอกให้ตุลย์ทำตามร่างอ้วนของตุลย์เลยลุกแล้วรีบวิ่งไปนั่งแทนที่ด้วยความรวดเร็ว

หึหึ ยังไวเหมือนเดิมนะเรื่องแบบนี้ ตุลย์จะพยายามอยู่ใกล้ชิดกับน้องฟ้าเสมอที่มีโอกาส ซึ่งน้องฟ้าเองผมก็คิด่าดีใจที่มีตุลย์อยู่ข้าง ๆ เหมือนกัน

คุณภูนั่งลงที่เก้าอี้แทนที่ตุลย์ที่ลุกไปแล้ว กลับลากเก้าอี้เข้ามาจนชิดกับเก้าอี้ของผม พร้อมใบหน้าคมเข้มหล่อเหลานั้นหันมามองหน้าผม

“ยิ้มอีกแล้วพักหลังนี่ชักยิ้มบ่อยไปแล้วนะครับ”

“หืม.. ยิ้มให้ก็ไม่ได้หรอ แล้วฉันยิ้มบ่อยขึ้นจริงๆ หรอ ไม่ยักรู้แฮะ” ร่างสูงที่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปก้มลงมากระซิบข้าง ๆ หูผม

“คุณภูครับ ใกล้เกินไปแล้ว” ผมบอกเสียงอ่อย ๆ เพราะว่าไม่อยากให้ร่างสูงเข้ามาใกล้กว่านี้เนื่องด้วยกลัวว่าอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวแข่งกันจนไม่รู้ว่าจังหวะที่เต้นจะทำให้หัวใจผมผิดปกติไปหรือเปล่า วันนี้หลายรอบแล้วนะครับ เกรงว่าสักวันคงหัวใจวายกันพอดี

“พูดเสียงดังเดี๋ยวจะรบกวนน้องฟ้า เห็นไหมว่ากำลังสนใจการบ้านอยู่” ยังครับยังไม่ยอมถอยห่างจากใบหน้าผม

“แล้วอีกอย่างฉันอยากเห็นนายหน้าแดงแบบนี้บ่อย ๆ น่ารักดี”

ยิ่งได้ยินคำพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมร้อนไปทั่วทั้งหน้าคาดว่าคงหน้าแดงกล่ำแล้วล่ะตอนนี้ พอสบตากับสายตาคมเข้มยิ่งทำให้ผมเขินไปกันใหญ่ได้แต่หลบสายตาเป็นพัลวัน เสมองไปทางเด็กทั้งสองคนก็พบว่ากำลังสนใจอแพดที่อยุ่ในมือกันอย่างตั้งใจ

“ไม่แกล้งแล้วแต่ที่อยากเห็นนายหน้าแดงนะพูดจริง ๆ นะ”

“คุณภู....” เสียงเรียกร่างสูงดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับผมที่เงยหน้ามองร่างสูงของคุณภูอีกครั้ง ยังคงพบว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้จางหายไปไหนเลย

 *****************************************************************************************

“ไปรถฉันนะ ทิ้งรถไว้นี่แหล่ะพรุ่งนี้ฉันจะไปรับที่บ้าน” คุณภูเอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาเลิกงานตอนเย็นและเราจะไปทานอาหารที่ร้านโปรดริมแม่น้ำของน้องฟ้ากัน

ร่างสูงของคุณภูขับรถเช่นเคยโดยที่ผมนั่งข้งคนขับส่วนด้านหลังเป็นที่นั่งของน้องฟ้ากับตุลย์ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้เค้กที่ทานกันจะย่อยกันหมดแล้ว ระหว่างทางที่ขับรถสายตาของคุณภูมักจะหันมามองหน้าผมเสมอ ไม่ใช่ไม่รู้นะครับรู้ดีทีเดียวก็ใครบ้างจะไม่รับรู้ว่ามีคนอื่นจ้องหน้าตัวเองบ่อย ๆ

“ตั้งใจขับรถสิครับ อย่าหันมามองบ่อยนักสิครับ”

“รู้ได้ยังไงว่าฉันมองนาย”

“ต้องรู้สิครับในเมื่อผมมองทีไรก็เห็นคุณภูมองผมทุกครั้ง” ผมบอกออกไปเพราะไม่ว่าผมจะหันไปมองคุณภูตอนไหนก็จะเจอสายตามองกลับมาด้วยเหมือนกัน

“หึหึ แสดงว่านายก็แอบมองฉันเหมือนกันล่ะสิ” เย้ยยย หลุดปากแล้วไอ้กันต์

“เปล่าสักหน่อยครับ แค่บังเอิญหรอก”

“โอเค บังเอิญก็บังเอิญ แล้วก็บังเอิญว่าฉันชอบมองหน้านายด้วยก็เท่านั้นเอง” เสียงตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยรถไปด้วย

ทำผมเขินไปไม่เป็นอีกแล้วนะคุณภู ไม่ตอบแล้วเดี๋ยวเข้าตัว เมื่อผมเงียบร่างสูงก็ตั้งใจขับรถไปเรื่อย ๆ เราใช้เวลาไม่นานจนถึงร้านอาหาร จอดรถเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็เดินมาอุ้มน้องฟ้าแล้วใช้อีกมือจับข้อมือผมให้เดินตามไปผมเลยต้องจูงมือตุลย์แล้วเดินตามร่างสูงเข้าไปในร้านอาหาร

พนักงานออกมาต้อนรับแล้วพาเดินไปทางโต๊ะที่คุณภูจองไว้ล่วงหน้า มีบางโต๊ะที่เวลาเราเดินผ่านก็มองตามแล้วยิ้ม ๆ ผมที่หันไปเห็นรอยยิ้มถึงกับเขินกับการที่ต้องถูกผู้ชายตัวสูงใยหน้าหล่อ เดินจับจูงแขนมาอย่างนี้

มาถึงโต๊ะพนักงานก็ถอยห่างอย่างรู้หน้าที่ รอจนเรานั่งกันครบทุกคนแล้วพนักงานจึงยื่นเมนูอาหารมาให้หลังจากสั่งอาหารไปหมดแล้ว  คุณภูก็มองหน้าผมแล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย

“เป็นอะไรหน้าแดง ๆ มีไข้หรือเปล่า” พร้อมยื่นมือมาวัดไข้ที่หน้าผากของผม

“เปล่าครับไม่ได้เป็นไข้ แค่ เอ่อ..แค่”พูดไม่ออกครับไม่กล้าพูดออกไปว่ามีคนมองแล้วยิ้มให้แบบแปลก ๆ

“อ้าว ไม่เป็นไข้แล้วเป็นอะไรหน้าแดง ไหนบอกมาสิครับ  หืมมมมม” อื้ออออ..สิครับ.. ทำไมคำลงท้ายมันออดอ้อนแบบนี้แล้วผมจะทนไหวหรอครับ

“คือว่า ..เอ่อ..เมื่อกี้ตอนเดินผ่านโต๊ะข้างหน้ามีคนยิ้มให้ด้วยครับ”  พอจบประโยคที่บอกว่ามีคนยิ้มให้เท่านั้น   แหล่ะครับ ใบหน้าคุณภูกลับเหมือนมีเมฆหมอกคล้ำลอยมาปกคลุมทีเดียว

“ไหนโต๊ะไหน แล้วหันไปมองเขาทำไม ทีหลังเดินไม่ต้องมองคนอื่นนะ” น้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนจะขัดใจส่งออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบที่เม้มแน่น พร้อมหันไปมองโต๊ะด้านหน้าที่เราเดินผ่านกันมา

“คือไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณภู”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหน” คุณภูยังคงไม่หายหงุดหงิดเพราะใบหน้ายังคงเรียบตึง

“คือว่าเขายิ้มออกมาประมาณว่ายิ้มแบบล้อเลียนหรือเหมือนแซว ๆ อ่ะครับ” ผมจึงได้แต่ต้องอาศัยความกล้าพูดออกไปก่อนที่คุณภูจะอารมณ์เสียมากกว่านี้

“ว่ายังไงนะ ล้อแบบไหน อย่าบอกนะว่ายิ้มที่เห็นฉันจูงมือนายเข้ามาในร้าน”

“น่าจะประมาณนั้นครับ” ผมว่าแล้วก้มมองโต๊ะไม่กล้าสบตาคมเข้มคู่นั้นที่พอได้ยินว่าผมอธิบายออกไปว่าลูกค้าโต๊ะนั้นยิ้มแบบไหนออกมาก็ทำให้คุณภูต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างที่ผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป นึกว่าจะมีคนยิ้มให้นายเพราะจะเข้ามาจีบเสียอีก”

“พูดอะไรแบบนั้นครับ ใครจะมาจีบผม แล้วผมก็เป็นผู้ชายนะ โต๊ะนั้นเขาก็เป็นผู้ชายทั้งสองคนด้วย” ผมเถียงออกไปเมื่อได้ยินว่าคุณภูพูดอะไร

“ทำไมจะจีบไม่ได้ ทีฉันยังจีบนายเลย”

“อะไรนะครับ คุณภูว่าอะไรนะ ใครจีบใครนะ” ผมหันไปถามคุณภูทันที แต่ว่าเด็ก ๆ ครับนั่งมองกันตาปริบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างของแต่ละคน ทำเอาผมต้องหน้าร้อนขึ้นอีกรอบ

“ก็ฉันไงนี่กำลังจีบนายอยู่ นายไม่รู้ตัวเลยหรือยังไง”

“พูดอะไรครับเด็ก ๆ นั่งฟังอยู่ด้วยเห็นไหม เลิกพูดเรื่องนี้ตอนนี้เลยนะครับ”

“ฟ้าไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รู้เลยว่าคุณพ่อกำลังจีบน้ากันต์ด้วย เนอะตุลย์เนอะ” น้องฟ้าปิดปาดพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะคิดคักดังออกมาจากปากเล็ก ๆ น่ารัก ๆ นั่น ส่วนตุลย์นั่นเหรอ นั่งยิ้ม

“ตุลย์ก็ไม่เห็นหรอกครับ จีบกันได้ตามสบายไม่ต้องเกรงใจตุลย์กับน้องฟ้านะ เพราะตุลย์ก็จะจีบน้องฟ้าเหมือนกันกับคุณลุงครับ”

ใบหน้าของคุณภูหันไปมองหน้าตุลย์เลยทีเดียวครับ อาการแบบนี้หายไปนานจนนึกว่าคุณภูจะไม่หวงลูกชายเสียแล้วสิ ผมจึงได้แต่มองกิริยานั้นแล้วยิ้มออกมา

“คุณภูอย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งสิครับตุลย์แค่ล้อเล่นเอง” ผมกลั้นยิ้ม แต่ร่างสูงของคุณภูหันกลับมาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ที่ฉันพูดไปฉันพูดจริงนะ แล้วจากนี้ไปก็อย่าหันไปมองคนอื่นอีกนะ ถึงจะแค่จีบแต่ฉันก็หวงรอยยิ้มของนาย ไม่อยากให้นายไปยิ้มให้ใครพร่ำเพรื่อ” คุณภูที่หันกลับมาแล้วบอกออกมา

“คุณภูทำผมไปไม่เป็นเลยนะครับ ไม่เคยมีใครมาพูดแบบนี้กับผมหรอกนะ เข้ามาจีบก็ไม่เคยมีด้วยครับ”

“แล้วนายเพทายอะไรนั่นล่ะ ไม่เคยจีบนายรึไง” เสียงทุ้มที่พอเอ่ยถึงเพทายกลับมามีอารมณ์อีกครั้ง

“พี่ทายเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยครับ ไม่เคยจีบผมสักหน่อย แล้วพี่ทายก็มีแฟนแล้วด้วยถึงจะเพิ่งเลิกกับแฟนก็เหอะนะ”

“นั่นไง คบหญิงบังหน้าหรือเปล่า แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยนายให้คนอื่นหรอกนะ”

“คิดอะไรอย่างนั้นครับ พี่ทายแกชอบผู้หญิงจริง ๆ ครับไม่ใช่ผมหรอก”

“ถ้านายบอกแบบนั้นฉันก็จะเชื่อ แต่ยังไงก็ยังไม่วางใจหรอกนะ” น้ำเสียงร่างสูงเริ่มดีขึ้นหลังจากได้ฟังผมบอกออกไป

“แล้วนายล่ะจะยอมให้ฉันจีบหรือเปล่า” ยังครับยังไม่หยุด นี่ไม่เห็นว่ามีเด็กตั้งสองคนแอบฟังอยู่รึไงเนี่ย

“ค่อยคุยกันทีหลังนะครับ เด็ก ๆ อยู่ด้วย” พอคุณภูได้ยินก็ถอนใจออกมา

“ก็ได้ หลังจากนี้นะถ้าเด็ก ๆ ไม่อยู่แล้วอย่าหวังว่าฉันจะปล่อยนายไปล่ะ” น้ำเสียงมาดมั่นทำให้ผมชักจะหวั่น ๆ แล้วสิว่าที่ผลัดไปก่อนนะมันดีไหม แต่คงจะดีแหล่ะให้ผมได้มีเวลาหายใจหายคอก่อนสักนิด

จากนั้นอาหารทั้งหมดที่สั่งก็มาเสริฟ เราใช้เวลาในการทานอาหารกันไปคุยกันไป เด็ก ๆ คุยกันถึงเรื่องงานลอยกระทงในสัปดาห์หน้าที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น คงจะตื่นเต้นกันน่าดู

“คุณภูดิส” เสียงเรียกชื่อคุณภูดังออกมาจากร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินมายังโต๊ะที่เรานั่งทานอาหารกันอยู่ทำให้ทุกคนต้องหันไปตามเสียงเรียกนั้น  ร่างระหงเดินมาด้วยท่วงท่างดงาม พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างยินดีที่ได้พบกับคุณภู

“อ้าว รรินทร์ มาทานข้าวเหรอครับ” เสียงคุณภูเอ่ยทักหญิงสาวออกไปพร้อมลุกขึ้นยืนเมื่อร่างบางนั้นเดินมาถึงตำแหน่งที่คุณภูนั่งอยู่
“ค่ะ นัดเพื่อนไว้แต่เพื่อนยกเลิกนัดไปแล้วเพราะมีธุระด่วน รินทร์เลยกะว่าต้องทานข้าวคนเดียวเสียแล้ว ดีนะที่มองมาเห็นภูอยู่พอดี” หญิงสาวพูดยาวเหยียดออกมา

“น่าเสียดายจังแต่เราทานกันเสร็จแล้วครับรินทร์” พอหญิงสาวได้ยินใบหน้าสวยนั้นก็เหวอไปนิดนึง

“อ้าวอิ่มกันแล้วเหรอ นึกว่ายังเพิ่งเริ่มทานกันเสียอีกนะคะ นั่นน้องฟ้าหรือเปล่าคุณภูไม่เจอกันนานโตขนาดนี้แล้วเหรอคะ” หญิงสาวหันมาทางน้องฟ้าแล้วยิ้มให้ร่างน้อย ๆ นั่น

“ครับ น้องฟ้าครับจำน้ารินทร์ได้ไหม เพื่อนคุณแม่ครับ”

“ฟ้าจำไม่ได้ครับ” น้องฟ้ายกมือไหว้ก่อนจะบอกออกไปทั้งที่ยังทำท่าเหมือนกำลังนึกว่าหญิงสาวคนนี้เคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า
“จำไม่ได้ไม่แปลกหรอกค่ะ ก็น้ารินทร์เจอน้องฟ้าตั้งแต่ตัวน้องฟ้า 2 ขวบกว่า ๆมั้งก่อนที่น้ารินทร์จะไปต่างประเทศเพิ่งกลับมาไม่นานนี่เอง” รรินทร์ยิ้มให้พร้อมยกมือรับไว้น้องฟ้า

หญิงสาวมองมาทางผมแล้วกันไปมองคุภณภู ได้ยินเสียงคุณภูถอนหายใจพร้อมกับน้ำเสียงเนือย ๆ ในการแนะนำ

“นี่รริทร์เพื่อนฉันเอง เป็นเพื่อนสนิทของแม่น้องฟ้าด้วย ส่วนกันตพิชย์เป็นเลขา แล้วนั่นตุลย์หลานชายกันตพิชย์” แนะนำหมดทำให้ตุลย์กับผมต้องยกมือไหว้หญิงสาว เธอก็ยิ้มพร้อมยกมือรับไหว้ด้วย

“เดี๋ยวนี้มีเลขาเป็นผู้ชายด้วยเหรอนึกไม่ถึงเลยนะคะคุณภู” รอยยิ้มงดงามส่งให้ร่างสูงของคุณภูที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างปิดไม่มิด แล้วรอยยิ้มนั่นก็ส่งเลยมายังผมด้วย

“อิ่มแล้วเดี๋ยวจะกลับบ้านกันแล้วครับ” คุณภูยังพูดต่อเหมือนจะบอกปัดไม่ให้หญิงสาวร่วมโต๊ะด้วย ทำเอาผมขมวดคิ้วสงสัยกันเลยทีเดียว

“คุณรินทร์นั่งก่อนดีกว่าไหมครับ สั่งอะไรมาทานก็ได้เรานั่งเป็นเพื่อนได้ครับ” ผมเชิญให้ร่างบางนั่งลงด้วยเพราะไม่เห็นคุณภูจะมีท่าทีชวนให้หญิงสาวนั่งเลยสักนิด

“ไม่ล่ะคะ ขอบคุณนะคะเดี๋ยวรินกลับไปทานที่บ้านดีกว่า ถ้านั่งทานคนเดียวแล้วคนอื่นนั่งมองมันจะดูไม่ดีเนอะ แต่ขอคุยด้วยนิดเดียวก็จะกลับค่ะ” รรินทร์ปฏิเสธคำชวนของผม

แต่ร่างบางของรรินทร์ที่นั่งลงพร้อมคุยกับร่างสูงของคุณภูอย่างสนิทสนมทำเอารอยยิ้มที่ผมมีมาทั้งวันหายไปจากใบหน้า เพียงเพราะทั้งสองคนยิ้มหัวเราะให้กัน อาจจะเพราะไม่ได้เจอกันมานานถึงได้มีเรื่องคุยกันมากมาย หรือเพราะว่ารรินทร์เป็นสาวสวยคนนึงผมก็ไม่รู้ ที่รับรู้ก็มีเพียงหัวใจที่มันเหมือนจะวูบโหวงไป กับอาการที่ใจหวิว ๆ มันมาพร้อมกับอีกอาการนึงคือมันเจ็บจี๊ด ๆที่หัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กว่าที่รรินทร์กับคุณภูจะคุยกันเสร็จก็ประมาณ 10 นาที เป็น 10 นาทีที่ผมไม่อยากมองไปทางคนทั้งสองเลยเพราะมันทำให้ผมรู้ว่าคำว่าคู่ควรมันเป็นยังไง

ก่อนกลับหญิงสาวยังก้มลงกระซิบข้าง ๆ หูของคุณภูซึ่งคุณภูก็ยิ้มทั้งตาทั้งปากอย่างที่ไม่ค่อยจะมีใครได้เห็นเท่าไรนัก แต่ทำไมพอหญิงสาวคนนี้พูดกลับทำให้ร่างสูงมีรอยยิ้มเกือบตลอดเวลา และรอยยิ้มนั้นทำให้ผมกลับต้องกระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้แต่เสมองไปทางอื่นเท่านั้น

หลังจากรรินทร์กลับไปแล้วเราทั้งหมดก็ออกจากร้านอาหารเพื่อกลับบ้าน แต่ระหว่างทางผมที่นั่งเงียบไม่ยอมมองหน้าคุณภูเลยทำให้ร่างสูงต้องถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบนั้น

“นายเป็นอะไร ปวดท้อง หรือไม่สบายตรงไหนทำไมหน้าซีด”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่ทานข้าวแล้วปวดท้องนิดหน่อย” ผมตอบคำถามโดยที่ไม่หันไปมองคนถาม

“งั้นพักก่อนก็ได้ถึงแล้วจะปลุก”

“กันต์ กันต์ ถึงบ้านแล้ว” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมแรงเขย่าตัวผมเบา ๆ ทำให้ผมลืมตาขึ้นมามองก็พบว่ารถยนต์ได้มาจอดที่หน้าบ้านตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณครับสำหรับอาหารเย็นแล้วก็ที่มาส่ง” ผมหันไปยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับเรียกตุลย์ซึ่งตุลย์ก็ทำแบบเดียวกับผม

“เดี๋ยวกันต์ อย่าลืมกินยาด้วยนะหน้านายซีดมาก ฉันเป็นห่วง” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยดังออกมาจากปากร่างสูงทำเอาผมกลืนน้ำลายอยากลำบาก

“ครับ คุณภูไม่ต้องห่วงผมหรอกครับผมดูแลตัวเองได้ ฝันดีครับคุณภู ฝันดีนะครับน้องฟ้า” ผมไม่ลืมที่จะบอกลาพร้อมยิ้มให้น้องฟ้าอย่างยากเย็นกว่าที่เคย

หันหลังเดินเข้าบ้านเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองหน้าชายหนุ่มในรถที่ทำหน้านิ่ว แววตาสงสัยของร่างสูง ระหว่างเดินเข้าบ้านภาพที่ทั้งสอง

คนในร้านอาหารยังติดตาผมไม่หายไปไหน

ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกแบบนี้

ทำไมผมถึงได้ปวดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทำไมผมถึงไม่อยากให้คุณภูยิ้มให้ใครที่ไหนนอกจากตัวเอง

ทำไมผมถึงได้หวงรอยยิ้มของคุณภู

ทำไมผมถึงอยากเป็นคนที่ทำให้คุณภูยิ้ม

หลายคำถามที่เกิดขึ้นผมยังตอบตัวเองไม่ได้รู้เพียงแค่ว่าผมหวงคุณภูนั่นมันจะเหมือนกับที่คุณภูบอกว่าหวงรอยยิ้มของผมได้หรือเปล่านะ ถ้าครั้งหน้าคุณภูถาม ผมจะบอกไปแบบนี้ได้หรือเปล่า



**********************************************************************

วันนี้ลงให้สองตอนกันไปเลย ฉลองเสาร์หรรษา ทำงานถึง 20.30



ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
น้ากันต์หวงไม่รู้ตัวซะแล้ว อิอิ

ออฟไลน์ nuttzier

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เย้ๆ  ลงอีกๆ  หนุกดี

ออฟไลน์ RELAXED

  • ทำไงได้ก็ Y มันเรียกร้อง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ต่อๆๆๆๆๆๆๆ :katai1:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
รักเค้าไปไม่รู้ตัวเลยน้ากันต์
ใจนี่ให้เค้าไปหมดแล้วแน่ๆ อาการขนาดนี้
แต่เพื่อนคนนี้แปลกๆนะ รู้สึกได้เลยอะ
รอค่าา บทของนางคงไม่จบแค่นี้รุป่าวอะ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
กันต์อารมณ์งอนก็มานะ หึงเขาแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
น้ากันต์รักคุณภูเข้าแล้วสินะ :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอน 28 แขนเป็นฟอ


ร้านอาหารที่มาทานกันเป็นร้านอาหารริมน้ำร้านโปรดของน้องฟ้าผมจองโต๊ะเอาไว้แล้ว ระหว่างทางก็แกล้งมองหน้ากันตพิชย์ให้ร่างโปร่งได้เขินใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง แต่แกล้งไปมากก็ไม่ดีเดี๋ยวจะพาลโกรธกลับมาผมจะแย่เอาได้ ส่วนเด็ก ๆ นั้นนั่งเล่นกันอยู่ข้างหลัง

เรื่องที่จะพามาทานอาหารวันนี้ผมได้คุยกับน้องฟ้าเอาไว้แล้วเมื่อเช้าว่าให้น้องฟ้าชวนน้ากันต์มาทานข้าวเย็นกับเรา น้องฟ้ารับปากแล้วจัดเต็มด้วยการออดอ้อน จนอีกฝ่ายใจอ่อน ผมรู้ว่าเขาใจอ่อนกับน้องฟ้าแล้วก็หลานชายตัวอ้วนเท่านั้นแหล่ะ กับผมไม่ค่อยใจอ่อนให้หรอก ต้องหาโอกาสฉวยเอาเองตอนที่กันตพิชย์เผลอตัว

วันนี้ผมได้เห็นว่ากันตพิชย์หน้าแดงหลายครั้งมันทำให้ผมเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าอาการเขินหน้าแดงนั้นเกิดจากการกระทำต่าง ๆ ของผม ยิ่งคิดก็ยิ่งทำเอาผมอมยิ้มกับตัวเอง

ตอนอยู่ที่ร้านอาหารกันตพิชย์บอกว่ามีคนยิ้มให้ซึ่งพอผมได้ยินก็ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาแต่เมื่อร่างโปร่งอธิบายมาแบบอึกอัก ก็ทำให้ผมยิ้มให้กันตพิชย์ ยิ่งเมื่อผมบอกว่าที่ทำอยู่นี่ก็กำลังจีบเจ้าตัวทำอยู่ ทำเอากันตพิชย์หน้าซับสีเลือดขึ้นมาทันทีแต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงไม่อยากให้คุยกันต่อหน้าเด็ก ๆ ซึ่งเด็ก ๆ รับรู้แล้วว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไร

มีช่วงนึงที่ตุลย์เผลอหลุดออกมาว่ายังจะจีบน้องฟ้า ทำเอาผมต้องหันไปมองหลานชายของกันตพิชย์แต่หูยังได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะกีดกันหรอกนะ แต่ว่าลูกใครใครก็หวงไหมครับ ยิ่งลูกชายผมน่ารักแบบนี้ ต่อให้ยังไงก็ยังหวงอยู่ดี เฮ้อ ไอ้ที่จะให้ตุลย์ช่วยผมคิดเหลือเกินว่า ข้อแลกเปลี่ยนอาจจะเป็นน้องฟ้าก็ได้

ลูกชายก็หวง น้าชายก็อยากได้

เรานั่งทานอาหารกันไปเรื่อย ๆ จนผมได้ยินเสียงทักดังมาหันไปมองก็พบกับรรินทร์เพื่อนสนิทของภรรยาเก่าของผม ใจจริงผมไม่ค่อยอยากแนะนำรรินทร์ให้รู้จักกับกันตพิชย์เท่าไร เพราะรอยยิ้มแถมมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์นั่นแหล่ะ ทำให้ผมอยากไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปเร็ว ๆ แต่กันตพิชย์ก็ยังชวนหญิงสาวนั่ง ผมเลยได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่าย

ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนาน เวลานี้ผมก็ไม่อยากคุยกับเธอหรอกนะ แต่ว่าเมื่อรรินทร์นั่งลงแล้วเธอก็คุยมาหลายเรื่องทำให้ผมต้องนั่งฟังนั่งตอบคำถามเธอไป ก่อนไปรรินทร์ก้มลงมากระซิบข้างหู ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมา

หลังจากออกมาจากร้านอาหารผมสังเกตได้ว่ากันตพิชย์เงียบไป เมื่อถามก็ได้คำตอบที่ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไรสำหรับผมแต่ก็ยอมให้อีกคนพัก

“กันต์ กันต์ ถึงบ้านแล้ว” ผมเรียกอีกคนที่นั่งหลับตา พออีกฝ่ายรู้สึกตัวก็หันมาทางผมใบหน้ากันตพิชย์ดูซีดเซียวหรือว่าจะปวดท้องจริง ๆ ผมชักเป็นห่วงแล้วสิแล้วอยู่กันแค่สองคนน้าหลานด้วยเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง

“ขอบคุณครับสำหรับอาหารเย็นแล้วก็ที่มาส่งครับ” กันตพิชย์ยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับบอกลา

“เดี๋ยวกันต์ อย่าลืมกินยาด้วยนะหน้านายซีดมาก ฉันเป็นห่วง”
 
ร่างโปร่งรับคำแล้วเดินลงจากรถไปพร้อมกับตุลย์ ทำให้ผมมองตามอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อีกฝ่ายแค่บอกความต้องการของตัวเองไปแล้วก็ได้แต่หวังว่าร่างโปร่งจะไม่เป็นอะไรมาก

“กลับบ้านเรากันนะครับลูก” ผมหันไปยิ้มให้น้องฟ้าที่นั่งอยู่เบาะหลัง

คืนนั้นผมนอนหลับไม่สนิทได้แต่คิดถึงกันตพิชย์ เพราะปกติร่างโปร่งจะไม่ค่อยนิ่งเฉยเท่าไรนักซึ่งอาการแบบนั้นมันทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันผิดปกติไปจากเดิม เฮ้อ..ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็พยายามข่มตาให้หลับ พรุ่งนี้คงต้องไปหาอีกคนที่บ้านหลังติดกันซะแล้ว

เห็นหน้าซีดอย่างนั้นได้แต่เป็นห่วง แล้วยังดวงตาที่ส่งมาให้มันสั่นระริก มีแววความเศร้าปะปนมาด้วย ไม่ทันได้นึกอะไรแต่ก็ยังอยากหาสาเหตุนั้นอยู่ดี เพราะว่ามันสำคัญถึงได้คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น

ตื่นเช้ามาด้วยอาการเพลียนิดหน่อย แต่ปกติผมก็เป็นคนนอนดึกเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อคืนมีเรื่องที่ยังติดใจก็ยิ่งทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน ตั้งใจไว้ว่าสาย ๆ จะไปบ้านโน้น

เดินไปเปิดประตูห้องน้องฟ้า พบว่าร่างเล็กของลูกชายนอนหลับตาพริ้มอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ยื่นมือไปปัดปอยผมให้ออกจากหน้าผากเนียนของลูก แล้วก้มลงหอมที่หน้าผากเบาๆ แพรขนตากระพริบปริบ ๆ ก่อนที่น้องฟ้าจะลืมตากลมขึ้นมามองพร้อมกับรอยยิ้มแรกของวัน

“อรุณสวัสดิ์ครับลูก” ผมยิ้มให้น้องฟ้าพลางยื่นมือไปลูบแก้มลูกชายเบา ๆ

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณพ่อ ตื่นเช้าจังเลย ฟ้ายังง่วงอยู่เลยครับยังไม่อยากตื่น”

น้องฟ้ายื่นสองแขนเข้ามาหาผมเหมือนะให้ผมอุ้มตัวเองขึ้นมา ผมเห็นจึงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ก้มลงไปอุ้มหรอกนะครับ กลับกันผมกลับล้มตัวลงนอนข้าง ๆน้องฟ้า พลางตวัดผ้าห่มคลุมร่างตัวเองให้วาดแขนไปกอดน้องฟ้าให้เข้ามาซุกอยูในอ้อมอก

“งั้นนอนต่อนะครับ พ่อนอนกับฟ้าดีไหมครับ”

“ดีครับ” เสียงน้องฟ้าพูดพลางซุกตัวเข้าหาอกผม พร้อมยกแขนอ้อมไปกอดตัวผม แต่แขนเล็ก ๆ นั้นโอบไม่รอบตัวผมหรอกครับ  กดจมูกลงไปกับหน้าผากเนียนอีกรอบก่อนจะหลับตาลงไปพร้อมร่างน้อย ๆ ของลูกชายสุดที่รักอีกรอบ

ผมตื่นอีกครั้งประมาณ 8 โมงกว่า ๆ ขยับตัวลุกออกจากเตียงอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้น้องฟ้ารู้สึกตัวจากนั้นจึงเดินเข้าห้องตัวเองไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะลงมาข้างล่าง

“คุณภูจะรับอาหารเช้าเลยหรือเปล่าคะ” เสียงแม่บ้านถามขึ้นเมื่อพบว่าผมเดินมานั่งที่ห้องรับแขก

“ยังครับ เดี๋ยวรอน้องฟ้าตื่นก่อน ค่อยทานพร้อมกัน”

หยิบรีโมททีวีเปิดดูข่าวทั้งไทยทั้งต่างประเทศได้ประมาณครึ่งชั่วโมง น้องฟ้าก็เดินลงบันไดมาผมหันไปยิ้มรับ

“ตื่นแล้วเหรอครับ นอนพอไหมเนี่ย” น้อง้ฟาเดินมาข้างหน้าผม ผมเลยจัดการยกตัวลูกชายขึ้นมานั่งตักแล้วก้มลงไปหอมแก้มขาวสองข้าง

“ตื่นแล้วครับ นอนพอด้วย ทำไมคุณพ่อไม่ปลุกฟ้าละครับฟ้าจะได้ลงมาพร้อมกับคุณพ่อ” ใบหน้าเล็กของน้องฟ้าเงยหน้ามาถามผม ทำเอาผมหมั่นเขี้ยวอดที่จะหอมแก้มยุ้ย ๆ นั่นอีกรอบไม่ได้

“ก็พ่ออยากให้น้องฟ้าพักผ่อนเยอะ ๆ นี่ครับจะได้โตไว ๆ ไง ว่าแต่น้องฟ้าหิวหรือยังครับ นี่สายแล้วนะ”

“หิวแล้วครับ วันนี้มีอะไรทานครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ งั้นไปทานเข้ากันดีกว่าเนอะ”

ผมอุ้มน้องฟ้าเดินมาทางห้องอาหารแขนเรียวเล็กก็โอบรอคอผม มาถึงผมก็วางน้องฟ้าที่เก้าอี้ประจำตัวของน้อง ส่วนตัวผมก็นั่งที่ประจำ แล้วแม่บ้านก็เดินมาเสริฟอาหารเช้า วันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งของโปรดน้องฟ้า  พร้อมนมสดอุ่นที่น้องฟ้าชอบให้ใส่เฮลบลูบอยสีแดงให้มีกลิ่นหอมนิดหน่อย

    
“คุณพ่อครับ วันจันทร์มีงานลอยกระทงที่โรงเรียนครับ แล้วคุณครูให้ทำกระทงด้วยครับ”

น้องฟ้าทานข้าวต้มหมดถ้วยก็หันมาทางผมแล้วบอกถึงเรื่องกิจกรรมที่โรงเรียน

“แล้วต้องให้ผู้ปกครองไปด้วยหรือเปล่าครับ” ผมถามน้องฟ้า

“คุณครูบอกว่าถ้าผู้ปกครองว่างก็ไปช่วยทำกระทงด้วยจะดีมากครับ ตอนเย็นจะมีงานด้วยเหมือนกันครับ เราจะลอยกันที่สระน้ำของโรงเรียน”

“ได้ครับงั้นวันนั้นพ่อจะไปทำกระทงกับน้องฟ้านะครับ” ผมรับปากแล้วยิ้มให้น้องฟ้าซึ่งน้องฟ้าก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างยินดี

“ขอบคุณครับคุณพ่อ ฟ้าดีใจจังที่คุณพ่อจะไปช่วยฟ้าทำกระทง”

“ต้องไปสิครับ ลูกพ่อชวนทั้งทีนี่นาเนอะ”

ปกติวันหยุดแบบนี้ปกติถ้าผมไม่มีงานด่วนหรือมีนัดกับลูกค้า ผมจะพยายามอยู่กับน้องฟ้า เราจะหากิจกรรมมาทำไม่ว่าจะเป็นดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย จะผลัดกันไปในทุก ๆ วันหยุด

วันนี้ก็เช่นกัน น้องฟ้าชวนผมให้นั่งเล่นเกมส์ต่อคำภาษาอังกฤษ เรานั่งอยู่บนพื้นพรมหน้าทีวี  พอช่วงบ่ายหลังอาหารกลางวัน ผมก็คิดว่าจะไปบ้านโน้นเพื่อไปหากันตพิชย์ ที่ไม่อยากไปช่วงเช้าเพราะเกรงว่าชายหนุ่มอาจจะต้องทำงานบ้านก่อน

“น้องฟ้าครับ เราไปบ้านน้ากันต์กันดีไหมครับ” น้องฟ้าเลยหน้าจากเกมส์มองหน้าผมยิ้ม ๆ

“ไปครับ ฟ้าอยากไปเล่นกับตุลย์ ฟ้าเอาเกมส์ไปด้วยได้ไหมครับ”

“ได้ครับ มาเดี๋ยวพ่อถือให้” ผมตอบรับน้องฟ้า มือเล็กเลยเก็บรวบเกมส์ทั้งหมดใส่กล่องแล้วยื่นให้ผมช่วยถือก่อนที่เราสองคนจะออกมานอกบ้าน ผมกับน้องฟ้าขี่จักรยานออกมาเพราะมันใกล้เดินกว่าจะเอารถออก แต่ถ้าเดินตอนนี้ก็ร้อนเกินไปอีกด้วย

ถึงหน้าบ้านหลังติดกัน ผมจอดจักรยานแล้วมองเข้าไปข้างในบ้านเห็นประตูบ้านเปิดอยู่จึงกดออดเรียก จากนั้นไม่นานจึงเห็นร่างโปร่งชะโงกหน้ามามอง พร้อมกับเดินออกมา

“สวัสดีครับคุณภู มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” กันตพิชย์เปิดประตูออกมาถามผมที่ยืนอยู่หน้าบ้าน พร้อมมองมาทางน้องฟ้าส่งยิ้มให้บาง ๆ
“พาน้องฟ้ามาเล่นกันตุลย์น่ะ ขอเข้าไปได้ไหม”

ประตูถูกเปิดจนกว้างพอที่ผมและน้องฟ้าจะจูงจักรยานเข้าไปข้างในบ้านได้ ร่างโปร่งจึงปิดประตูแล้วเดินตามผมเข้ามาจนเมื่อจอดจักรยานแล้วนั่นแหล่ะ จึงหันไปมองคนด้านหลัง

“สวัสดีครับน้ากันต์ ฟ้ามาชวนตุลย์เล่นเกมส์ครับ ฟ้าขอเข้าไปหาตุลย์นะครับ” น้องฟ้ายกมือไหว้ร่างโปร่ง ซึ่งร่างโปร่งก็ยกมือขึ้นรับไหว้ตอบเช่นกัน

   
“ครับผม ตุลย์อยู่ข้างในครับน้องฟ้าเข้าไปได้เลย” ผมจึงยื่นกล่องเกมส์ที่ถือมาด้วยให้น้องฟ้าไป ร่างเล็กของน้องฟ้าวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

ลับร่างน้องฟ้าผมก็มองหน้าใสของกันตพิชย์เห็นเพียงแต่ใบหน้าเรียบเฉย ออกจะซีดเซียวด้วยซ้ำ เหมือนใต้ตาจะคล้ำลงแบบคนอดนอนมาอย่างนั้นแหล่ะ

“ปวดท้องหายหรือยัง ทานยาหรือเปล่า หน้ายังดูซีดนะ” ผมถามกันตพิชย์ที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างหน้า

“หายแล้วครับ ไม่เป็นอะไรแล้วที่หน้าซีดคงเพราะเพิ่งหาย”

“แล้วทำไมตอบคำถามไม่มองหน้าฉัน ไหนเงยหน้ามาแล้วบอกมาสิว่าเป็นอะไรไป”

ผมยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วเชยคางมนชึ้นมาเพื่อให้ดวงตาเรียวมองสบตาผม เมื่อผมจ้องเข้าไปในดวงตาก็พบว่าดวงตาของร่างโปร่งสั่นระริก

“เป็นอะไรไปครับ ไหนบอกมาสิหืมม... อย่าเงียบแบบนี้ฉันใจคอไม่ดี ไหนว่าไม่ปวดท้องแล้วไง นี่ทำหน้ายังกับจะร้องไห้แล้วนะเนี่ย” ผมยื่นมืออีกข้างที่ว่างไปจับมือเรียวมากุมไว้พร้อมทั้งลูบที่ฝ่ามือเบาๆ

“เปล่าครับแต่เวลาที่ไม่ค่อยสบาย ผมก็เป็นแบบนี้ประจำ” เสียงที่เอ่ยออกมามันเบาหวิวแต่ผมก็ยังได้ยิน

“ไหนมาคุยกันก่อน” ผมเดินจูงมือร่างโปร่งให้ไปข้างในบ้านมองเห็นเด็ก ๆ นั่งเล่นเกมส์กันอยู่ก็เดินตรงเข้าไปที่ห้องครัวทันที

ผมดันร่างโปร่งให้นั่งลงไปบนเก้าอี้ส่วนตัวผมนั่งคุกเข่าลงข้างหน้า ทำให้ใบหน้าผมอยู่สูงกว่าใบหน้าของร่างโปร่งแค่นิดเดียวเท่านั้น  กันตพิชย์พร้อมใช้สองมือจับกุมมือเรียวบางเอาไว้ แต่ใบหน้าของกันตพิชย์ก็ยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น

“กันต์ครับ พี่ถามว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหนกันต์ก็ไม่บอกพี่ เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เนี่ย พี่ไม่เชื่อนะครับ” ผมพยายามหลอกล่อถามร่างโปร่งตรงหน้าของผม
 
“กันต์เงียบตั้งแต่เมื่อคืนพี่รู้สึกได้ แต่พี่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้กันต์มีอาการแบบนั้น กันต์บอกพี่ว่าปวดท้องพี่ก็เชื่อ แต่มาตอนเช้าพี่ยังเจอหน้ากันต์ที่เป็นแบบนี้แล้ว กันต์จะให้พี่เชื่อหรือครับว่ากันต์ยังไม่หายปวดท้อง ทั้งที่กันต์ก็บอกว่าไม่ปวดแล้ว บอกพี่มาเถอะครับ”
“เอ่อ ..คือว่า ผม ผม แค่คิดอะไรงี่เง่านิดหน่อยครับ”

“อะไรที่ว่างี่เง่าล่ะครับ เล่าให้พี่ฟังได้ไหม” พยายามตะล่อมเด็กแล้วครับตอนนี้  ยอมอดทนรอแม้ว่าร่างตรงหน้าจะเงียบไปนาน ก่อนที่จะมีเสียงออกจากปากของร่างโปร่ง

“คือผม ผมเป็นอะไรไม่รู้ แค่ไม่อยากให้คุณยิ้มให้ใคร” ร่างโปร่งของกันตพิชย์กัดริมฝีปากล่างของตัวเองทันทีที่พูดจบประโยคที่ทำเอาผมอึ้งไป พร้อมริมฝีปากที่ค่อย ๆ เผลอรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี
 
“ไหนกันต์ว่าอะไรนะครับ ไม่อยากให้พี่ยิ้มให้ใครจริงเหรอครับ แล้วใครที่ว่ามันใครกันล่ะครับ”

“ก็คุณรรินทร์ไงครับ เมื่อคืนคุณภูคุยกันสองคนไม่สนใจพวกเราเลย” ใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ ที่เอ่ยความในใจออกมาให้ผมได้ยิน

“พี่แค่คุยกับเพื่อนเท่านั้นเองครับ ไม่ได้ละเลยกันต์กับเด็ก ๆ เสียหน่อย”

“แต่ก็ยิ้มกับหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีเกินไปนะครับ”

“กันต์หึงพี่เหรอ” ผมยิ้มใส่ตาคนข้างหน้า ที่ตอนนี้หน้าแดงไปแล้วหลังจากที่ได้ยินคำถามที่ผมถามออกไป คงเพิ่งนึกได้ว่าอาการที่ตัวเองเป็นนั้นเขาเรียกกันว่าหึง

“ผมเปล่าสักหน่อย ใครจะไปหึงคุณภูกันล่ะครับ” อ้าว ก้มหน้างุดลงไปอีกแล้วครับ คราวนี้ไม่ผมไม่ยอมหรอกนะ จึงใช้นิ้วเชยคางมนขึ้นมา

“อาการแบบนี้แหล่ะ เขาเรียกว่าหึงครับ เหมือนกับที่พี่หึงแล้วก็หวงรอยยิ้มของกันต์ ไม่อยากให้ยิ้มให้ใคร หรือแม้แต่ไม่อยากให้ใครมายิ้มให้กันต์ด้วย” ผมก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าเนียนอีกนิด ดวงตาที่จ้องกลับมาเบิกกว้างเหมือนตกใจกับคำพูดของผม

ใบหน้าน่ารักที่ขึ้นสีแดงจนทำให้ผมอดใจไม่ไหว ก้มลงไปหอมแก้มแดงนั้นเบา ๆ  ตอนนี้แค่หอมแก้มมันไม่พอสำหรับผมแล้วละครับ ใครใช้ให้คนตรงหน้าน่ารักแบบนี้กันเล่า เล่นหึงกันแบบไม่รู้ตัวแบบนี้ผมก็ยิ้มสิครับ

ลากไล้จมูกไปตามแก้มเนียนจนมาถึงปลายจมูกโด่งแล้วเลยมาถึงแก้มอีกด้าน สูดดมความหอมหวานของร่างโปร่ง เลื่อนริมฝีปากไปที่มุมปากบางของกันตพิชย์พร้อมดูดริมฝีปากล่างเบา ๆ ลิ้นร้อนของผมไล้เลียไปตามริมฝีปากบางทั้งขบเม้มแต่ยังไม่ได้รุกเร้าเข้าไปด้านใน

มือเรียวที่ตอนนี้ยกมาจับแน่นที่แขนเสื้อผมพร้อมเสียงครางในลำคอเบา ๆ ซึ่งพอได้ยินเสียงของร่างโปร่งยิ่งทำให้ผมจูบรุกเร้าขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นร้อนที่พยายามแทรกผ่านริมฝีปากบางยังทำหน้าที่มันอย่างไม่หยุด จนร่างบางยอมเปิดปากให้ผมได้รุกเข้าไปข้างใน ความหวานของกันตพิชย์ทำให้ผมยังใจไว้ไม่อยู่ นอกจากจะใช้ลิ้นควานหาลิ้นของอีกคน เพื่อดูดดึงเอาความหวานจากโพรงปากนั้น

ลิ้นร้อนรุกไล่ลิ้นของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ กันตพิชย์หายใจแรงขึ้นยิ่งทำให้ผมต้องการความหวานมากกว่านี้จึงใช้มือข้างหนึ่งสอดไปที่ท้ายทอยร่างโปร่งแล้วหมุนปรับใบหน้าให้ได้องศาที่ถนัดมากยิ่งขึ้น แล้วเมื่อรับรู้ได้ว่าลิ้นเล็กที่ผมเกี่ยวกระหวัดเพื่อดูดเอาความหวานเอาไว้เริ่มจะขยับตอบรับการรุกไล่ของผม ซึ่งทำให้ผมใจพองฟูคับอกทีเดียว

จูบที่ตอบกลับมาอย่างคนไม่เคยจูบมาก่อน ลิ้นเล็ก ที่พยายามจะผลักดันลิ้นผมยิ่งทำให้อารมณ์ผมเตลิดมือที่จับปลายคางร่างโปร่งเอาไว้เลื่อนลงมาที่เอวสอดเข้าไปข้างในแล้วไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนนั้น ส่วนลิ้นที่ผมไล่จูบคนตรงหน้าอย่างหวังจะสูบพลังจากร่างโปร่งให้มากกว่านี้แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายใกล้หมดลมหายใจผมจึงละริมฝีปากออกมาจากริมฝีปากอ่อนนุ่มแล้วก้มไปไล่เลียติ่งหู กัดเม้มเบาๆ ให้ได้ยินเสียงครางอืออ ดังออกมาพร้อมเสียงหอบหายใจเพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด

ระหว่างที่ให้อีกคนสูดเอาลมหายใจเข้าปอดจมูกโด่งพร้อมลิ้นร้อนก็ดูดเลียเรื่อยลงมาตามซอกคอรับรู้ได้ว่าความหอมที่มาจากกลิ่นตัวของคนตรงหน้านี้ทำเอาผมยังสติไม่อยู่ คิดได้ดังนั้นก็ประกบจูบเอากับริมฝีปากของร่างโปร่งอีกรอบ รอบนี้ผมใช้ลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นของอีกคนอย่างไม่ลดละ ดูดเอาความหวานจากปากเล็กนั้นให้มากที่สุด พร้อมกับการจูบกลับมาของร่างโปร่ง มือที่เกาะเสื้อผมไว้แน่นกลับเลื่อนขึ้นไปคล้องคอผม

ลิ้นที่ตอบกลับมาทำเอาผมส่งเสียงในลำคอด้วยความพึงพอใจ จะว่าผมเอาเปรียบก็ได้นะครับใครใช้ปากนี้หวานอย่างนี้จนมันทำให้ผมต้องล่วงเกินชายหนุ่ม พอผมจูบจนร่างโปร่งแทบจะหมดลมหายใจไปอีกรอบก็ผละออกมาใช้ปลายจมูกแตะเข้ากับปลายจมูกของอีกคนพร้อมยิ้มใส่ตาคู่นั้น

กันตพิชย์ที่ตอนนี้คงได้สติได้แต่นั่งหน้าแดงจัดเหมือนว่าแก้มจะระเบิด ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น แต่ดูท่าว่าอีกคนจะเขินขึ้นสูงสุดได้แต่ก้มหน้าซุกกับอกผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง ผมก็ได้แต่กอดร่างนั้นไว้แน่นพร้อมกดจมูกลงไปที่กลุ่มผมหอม

“กันต์ครับ เงยหน้ามามองหน้าพี่หน่อยสิครับ อายหรอไงหืมมมม”

“ฮึ่ยยย..ใครจะไม่อายกันล่ะครับ อยู่ ๆ ก็มาทำแบบนี้”

“ก็กันต์หึงน่ารักนี่ครับ จนพี่อดใจไม่ไหวต้องรังแกกันต์นี่”

ผมอมยิ้มพลางดันร่างโปร่งนั้นออกไปเพื่อที่จะได้มองหน้าได้อย่างชัดเจน พอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งทำให้ผมต้องใช้กำลังในการอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่รังแกอีกฝ่ายอีกรอบ

“นี่ห้องครัวนะครับ เดี๋ยวเด็ก ๆ เข้ามาเจอจะทำยังไง”

“เด็ก ๆ ไม่เข้ามาหรอกครับ เห็นนั่งเล่นเกมส์กันอยู่”

“นั่นแหล่ะ ต่อไปก็ห้ามทำอะไรแบบนี้ด้วยนะครับ”

“งั้นสรุปว่าตอนนี้กันต์ไม่โกรธพี่แล้วใช่ไหม พี่ขอโทษนะคับที่ทำให้กันต์รู้สึกว่าพี่ละเลย แต่พี่ดีใจนะที่ทำให้กันต์หึงออกมาได้”
มือเรียวยกขึ้นตีทีไหล่ผมแรง ๆ ทีนึง

“โอ้ยยย พี่เจ็บนะครับตีพี่ทำไมเนี่ย”

“ก็คุณภูพูดอะไรล่ะครับ”

“หืมม อะไรครับ ที่ว่าพี่ดีใจนะหรอ ก็ดีใจจริง ๆ นี่นา งั้นยกเลิกเรื่องเมื่อคืนที่คุยกันเลยนะ ที่ว่าพี่จะจีบกันต์น่ะครับ” พอผมพูดจบใบหน้าเรียวก็เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมจ้องตาผมเขม็งเลยทีเดียว

“อ๋อ ได้จูบไปแล้วเลยไม่อยากจีบแล้วเหรอครับ” อ้าว ๆ เดี๋ยว ๆ ครับ

“ไม่ใช่ครับ ฟังพี่ก่อนสิ ที่พี่บอกว่าไม่จีบแล้วก็เพราะว่าพี่จะขอกันต์เป็นแฟนครับ”

“กันต์ครับ เป็นแฟนพี่ภูนะครับ มาเป็นคนสำคัญอีกคนของพี่นะครับ”

ผมใช้มือประคองใบหน้าเรียวให้มองตรงมาที่ผม   ใบหน้าของกันตพิชย์เงยขึ้นมาตาเรียวเบิกกว้าง ก่อนที่นิ่งไปทำเอาผมนิ่งรอฟังคำตอบจากปากบางอย่างใจจดจ่อ

“ให้พี่ได้ดูแลกันต์กับตุลย์นะครับ มาเป็นครอบครัว มาเติมเต็มหัวใจให้พี่นะครับ”

“ครับ” เสียงตอบตกลงที่แผ่วเบาพร้อมกับสายตาที่พยายามจะหลบตาผม ทำเอาผมยกยิ้มแล้วก้มลงจูบปากแดงที่บวมเจ่อจากการจูบของผมเมื่อกี้ แต่ครั้งนี้ผมเพียงแต่จูบเบา ๆ แล้วดึงร่างบางมากอดเอาให้แน่น รับรู้ได้ว่าอีกคนยกมือขึ้นมากอดตอบผมเช่นเดียวกัน
เมื่อผละออกจากกันตพิชย์ผมก็ลุกขึ้นจากท่านั่งคุกเข่า แล้วจูงมือกันต์ให้เดินออกมาจากห้องครัวเพื่อไปหาเด็ก ๆ ที่นั่งเล่นเกมส์กันอยู่หน้าทีวี

เสียงเดินของเราสองคนคงทำให้เด็กทั้งสองรู้ตัวและหันมามอง สายตาของเด็กทั้งสองมองไปที่มือที่ผมจับจูงมือของอีกคนให้เดินตามมา ทำให้เห็นรอยยิ้มของทั้งคู่ ผมเดินมานั่งที่โซฟาแล้วดึงให้ร่างโปร่งนั่งลงข้าง ๆ กันแต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

“เล่นอะไรกันครับ” กันตพิชย์ถามน้องฟ้าที่หันไปสนใจเกมส์ต่อ

“เกมส์ต่อคำครับ น้ากันต์เล่นไหมครับ”

“ไม่ล่ะ น้านั่งดูดีกว่าครับ”

“น้ากันต์ตุลย์หิวแล้วครับ วันนี้เรามีอะไรกินกันอ่ะ” เสียงตุลย์ที่บ่นหิวออกมา

“นี่เพิ่งเลยบ่ายมานิดเดียวเองนะ แล้วเพิ่งกินข้าวเที่ยงไปด้วยหิวไวไปไหมอ้วน”

“ก็มันย่อยไปหมดแล้วนี่ครับ น้ากันต์ก็รู้ว่าตุลย์กำลังโต ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตกว่าน้องฟ้าแล้วดูแลน้องฟ้าได้ไง”

“ครับ ๆ น้ารู้แล้ว อยากกินอะไรกันล่ะ”

“พิซซ่า ปีกไก่ เป๊ปซี่” ร่ายรายการมาเชียว

“แต่ว่าทำไมคุณลุงต้องจับมือน้ากันต์ไว้ด้วยครับ” ตุลย์ถามให้กับคำถามที่เล่นเอาร่างโปร่งหน้าขึ้นสีแดงอีกรอบพร้อมกับพยายามที่จะดึงมือตัวเองออกจากมือผมที่จับอยู่แน่นหนา

“ปล่อยก่อนสิครับคุณภู เด็ก ๆ เห็นกันหมดแล้ว”

“ลุงจับมือแฟนลุงไม่ได้หรือยังไงครับตุลย์”

“คุณภู!!!! พูดอะไรครับหยุดเลยนะ” เสียงดังของอีกคนดังขึ้นพลางใช้มืออีกข้างเอื้อมมาตีแขนผมเบา ๆ

“พูดเรื่องจริงนี่ ก็กันต์รับปากเป็นแฟนพี่แล้ว ทำไมพี่จะบอกน้องฟ้ากับตุลย์ไม่ได้ล่ะครับ”

“คุณพ่อบอกว่าน้ากันต์เป็นแฟนคุณพ่อหรอครับ” น้องฟ้าถามอีกรอบพร้อมทำตาโต ใบหน้าเล็ก ๆ ก็กลายเป็นสีแดงไปด้วย

“ครับน้องฟ้า ตอนนี้น้ากันต์ยอมตกลงเป็นแฟนพ่อแล้ว”

“อ้าว ไหนว่าคุณลุงจะจีบน้ากันต์ก่อนไง แล้วทำไมข้ามไปเป็นแฟนเลยล่ะครับ” ตุลย์ทำหน้างงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป

“ก็ตอนแรกจะจีบไง แต่เปลี่ยนใจแล้วจีบมันช้าไม่ทันใจ”

“คุณภูเลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ มันน่าอายออก”ใบหน้าของคนที่นั่งข้าง ๆ ผมตอนนี้คงร้อนจนแทบจะระเบิดแล้วมั้งเนี่ย ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนา

“ถ้าอย่างนั้นตุลย์ขอน้องฟ้าเป็นแฟนเลยได้ไหม ตุลย์กลัวจีบแล้วช้าเสียเวลา”

“เฮ้ย!! ไม่ได้น้องฟ้ายังเด็ก ตุลย์ก็ยังเด็ก ยังเป็นแฟนกันไม่ได้”

ผมตกใจคำขอของตุลย์ อย่าคิดมาใช้แผนเดียวกันนะตุลย์ ผมไม่ยอมให้น้องฟ้าเป็นของคนอื่นง่าย ๆ หรอก แม้ว่าจะเป็นหลานชายกันตพิชย์ก็เหอะ

“อะไรกันอ่ะ ทีคุณลุงยังเป็นแฟนน้ากันต์ได้เลย แล้วทำไมตุลย์ถึงเป็นแฟนน้องฟ้าไม่ได้”ใบหน้าอ้วนกลมทำหน้าบูดปากยื่น ส่วนน้องฟ้านะนั่งหน้าแดงแข่งกับคนข้างผมไปเรียบร้อยแล้วครับ

“เอาไว้ตุลย์โตกว่านี้ แข็งแรงกว่านี้  พอจะปกป้องน้องฟ้าได้ก่อนนะครับ ตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีนะ”
ตุลย์พยักหน้ารับอย่างจำยอม คงเพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังเด็กนั่นเองถึงได้ยอมง่าย ๆ

“แต่ถ้าตุลย์โตแล้วตุลย์จะจีบน้องฟ้า ตอนนั้นตุลย์จะไม่ให้ใครมาแย่งน้องฟ้าไปจากตุลย์นะครับคุณลุง”
“ได้ ลุงรับปากตุลย์” ผมรับคำตุลย์ที่กลับมายิ้มกว้างอีกรอบ

“น้ากันต์โทรไปสั่งพิซซ่าได้แล้วครับ เดี๋ยวเขามาส่งช้าน้องฟ้าจะหิว”

“อ้าว เอาน้องฟ้ามาอ้างอีกนะตุลย์” กันตพิชย์ร้องเสียงหลงกับการเปลี่ยนเรื่องของหลานชายเพราะกลับมาหาเรื่องกินได้ไวจริง ๆ

ผมนั่งมองบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ รอยยิ้มของร่างโปร่งที่เข้ามาเพื่อเติมในส่วนที่ขาดหายไปให้ชีวิตผมกลับมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน ความสุขนี้ที่ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าเอามาไว้ข้างกาย และผมก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อปกป้องความสุขเหล่านี้ให้นานเท่านาน

*******************************************************************************************

คุณภูตัดสินใจไม่จีบแล้วก็น้ากันต์เล่นหึงออกมาแบบนี้ ตามประสานักธุรกิจ ต้องคว้าเอาโอกาสดี ๆ แบบนี้ไว้ก่อน

รวบรัดขอเป็นแฟนเลย

ตอนตะล่อมถามน้ากันต์ก็ยอมแทนตัวเองว่าพี่ด้วย ลูกล่อลูกชนมาเต็ม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-7
4 จี เร็วแรง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รวดเร็วทันใจ

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
คุณภูน่ารักอะ แทนตัวเองว่าพี่ด้วย กรี๊ดๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แล่วๆ ๆ ๆ ๆ  เขาขอเป็นแฟนกันแล้ว
กรี้ดๆ ๆ ๆ ๆ  อิจฉานะขอบอก
 :z2: :z2:

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 29 อธิษฐาน

เช้าวันจันทร์วันนี้เป็นวันลอยกระทง ตุลย์บอกว่าวันนี้ที่โรงเรียนมีงานลอยกระทง แล้วให้เด็ก ๆ ทำกระทงร่วมกับผู้ปกครองด้วย คุณภูบอกเอาไว้แล้วว่าเช้านี้จะมารับที่บ้าน เราไปส่งเด็ก ๆ ที่โรงเรียนก่อนจะเข้าออฟฟิศไปเคลียร์งานช่วงเช้า ช่วงบ่ายเราสองคนถึงจะไปโรงเรียนเด็ก ๆ อีกรอบเพื่อที่จะไปทำกระทงร่วมกัน แต่ผมนึกถึงเมื่อวันเสาร์คุณภูมาที่บ้านพร้อมน้องฟ้า วันนั้นผมที่รู้สึกได้ว่าตัวเองสับสนในความคิดบางอย่างเกี่ยวกับร่างสูง

นั่งคิดนอนคิดก็ยังไม่สามารถที่จะหาคำตอบให้ตัวเองได้ เช้าในอีกวันผมจึงได้หน้าตาซีดเซียวเพราะนอนไม่หลับแต่ก็ยังฝืนตัวเองลุกขึ้นมาในเช้าวันเสาร์

หลังจากได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ผมก็พบว่าคุณภูกับน้องฟ้ามายืนอยู่ที่หน้าบ้าน ร่างสูงบอกว่าพาน้องฟ้ามาเล่นกับตุลย์ซึ่งผมก็เปิดประตูให้สองพ่อลูกบ้านข้างเคียงเข้ามาข้างใน

ผมไม่กล้ามองหน้าร่างสูง ได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ได้ยินแต่เสียงทุ้มที่บอกออกมาว่าเราต้องคุยกันแล้วคุณภูก็จูงมือผมเดินเข้าไปที่ห้องครัว ดันผมให้นั่งลงที่เก้าอี้ส่วนตัวเองก็นั่งคุกเข่าลงข้างหน้าผม

ผมตกใจที่ร่างสูงนั่งท่านั้นแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา จนกระทั่งปลายวนิ้วจากมือใหญ่นั้นยื่นมาเชยคางผมขึ้นไปให้เห็นใบหน้าเคร่งเครียดของอีกคน ดวงตาผมมองสบกับดวงตาคมเข้มทำให้ผมหวั่นไหวไปอีกรอบกับการจ้องมองมา

“กันต์ครับ พี่ถามว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหนกันต์ก็ไม่บอกพี่ เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เนี่ย พี่ไม่เชื่อนะครับ” ผมตกใจกับสรรพนามใหม่ที่คุณภูใช้เรียกตัวเองกับเรียกผม จึงได้แต่เบิกตากว้างแต่ยังกัดริมฝีปากไว้แน่น

คุณภูที่ยังเรียกแทนตัวเองว่าพี่ยังคงตะล่อมถามผม คำถามนั้นทำให้ผมเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าร่างสูงเป็นห่วงผมจริง ๆ เขาต้องการคำตอบแบบไหนถ้าผมตอบเขาไปตามที่ผมรู้สึกเขาจะโกรธจะเกลียดผมหรือเปล่า ความคิดนี้ยังตีกันวุ่นอยู่ในหัว

หลังจากที่ตัดสินใจบอกความรู้สึกที่เมื่อวานมันกวนใจผมจนทำให้ผมสับสนวุ่นวายใจอยู่อย่างนี้ รอยยิ้มกว้างอย่างยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคุณภู ผมไม่รู้ว่าคุณภูยิ้มทำไม

“กันต์หึงพี่เหรอ” ร่างสูงของคุณภูที่ถามคำถามนี้ออกมาทำให้ผมตกใจอีกรอบ พลางคิดว่าไอ้ที่ผมเป็นอย่างนี้เขาเรียกว่าหึงเหรอ อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ผมเลยไม่รู้ว่านี่เรียกว่า การหึงหวง

ได้แต่ปฏิเสธไปแล้วใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาไม่กล้ามองสบตาคมเข้มที่ตอนนี้ทอดมองอย่างเป็นประกายด้วยความยินดี

“อาการแบบนี้แหล่ะ เขาเรียกว่าหึงครับ เหมือนกับที่พี่หึงแล้วก็หวงรอยยิ้มของกันต์ ไม่อยากให้ยิ้มให้ใคร หรือแม้แต่ไม่อยากให้ใครมายิ้มให้กันต์ด้วย”

ยิ่งได้ยินคุณภูพูดมันก็ทำให้ผมหน้าร้อนแทบจะระเบิดออกมาด้วยความอาย ทำไมถึงได้แสดงอาการแบบนี้ออกไปนะ อายมั้ยล่ะนั่นไอ้กันต์

ผมรับรู้ว่าใบหน้าผมถูกดันให้เงยขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าหล่อก้มลงมาใกล้เรื่อย ๆ ผมได้แต่นิ่งจนกระทั่งริมฝีปากบางเฉียบของร่างสูงสัมผัสมาที่แก้มผมแล้วลากไล้ลงมาที่ริมฝีปาก ลิ้นร้อนทำหน้าที่ไล่เลียจนผมเผลอตัวเปิดริมฝีปากจากนั้นร่างสูงก็ส่งลิ้นเข้ามาข้างในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดดูดดึงลิ้นเล็กของผมอย่างเร่าร้อน

ผมที่ทำได้เพียงยกมือขึ้นมาเกาะแน่นที่ไหล่อีกคนพร้อมหลับตาให้ร่างสูงจูบอย่างดูดดื่ม ไม่รู้นานเท่าไรจนกระทั่งผมใกล้จะหมดลมริมฝีปากของคุณภูถึงได้ผละออกไป

ใบหน้าร้อนผ่าวได้แต่ก้มหน้าฝังตัวเองไปกับอกของอีกคนเท่านั้น  ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่าทำไมผมถึงอยากได้รอยยิ้มของคุณภู รอยยิ้มที่ผมไม่อยากให้ใครได้ไป หรือแม้แต่ไม่อยากให้ใครมายิ้มให้ร่างสูง จึงได้แต่ยิ้มออกมากับอกแกร่งนั้น แต่ประโยคที่ได้ยินแว่ว ๆ ว่าจะไม่จีบผมแล้วทำให้ผม เงยหน้าขึ้นไปจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง ใจหายวูปลงไปเรียบร้อยแล้ว หรือว่าที่ผมยอมให้เขาจูบง่าย ๆ มันจะทำให้เขานึกรังเกียจ

แต่คุณภูก็รีบบอกออกมาว่าที่ไม่อยากจีบแล้วเพราะไม่อยากรอแล้วจึงขอข้ามขั้นตอนไปเป็นการขอเป็นแฟนเลยดีกว่า เพราะว่ามันมีสิทธิ์อะไรมากกว่าเช่นการหวง หึง หรือแม้แต่การห่วงใย

ทำเอาผมได้แต่อึ้งไปไม่คิดว่าจะถูกขอเป็นแฟนจากผู้ชายร่างสูงคนนี้ แต่สุดท้ายความคิดที่ผมสับสนมันได้ให้คำตอบแล้วว่าผมคงจะชอบคุณภูนั่นเอง และคำตอบของผมทำให้ร่างสูงก้มลงมากดริมฝีปากเบา ๆ ทีนึงแล้วกอดผมแน่นจนจมไปกับอกกว้างซึ่งผมก็ยินดีที่จะโอบกอดร่างสูงของคุณภูเช่นกัน

เวลาประมาณบ่ายสองโมงเราก็มาถึงโรงเรียนเด็ก ๆ แล้วเดินไปที่ห้องเรียนทันที ร่างสูงของคุณภูที่เดินอยู่ข้าง ๆ ทำให้ผมเดินอมยิ้มไปตามทาง แม้ว่าคุณภูตอนที่อยู่ข้างนอกจะไม่เหมือนกันตอนที่อยู่กันสองคนแต่ผมก็เข้าใจว่าเพราะบุคลิกร่างสูงเป็นเช่นไรนั่นเอง ยังไงก็ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบเฉย ต่างกับตอนที่อยู่กับน้องฟ้าหรือตอนที่อยู่กับผม ร่างสูงของคุณภูจะดูผ่อนคลายกว่าเวลาทำงาน

ภายในโรงเรียนมีการประดับตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศเทศกาลลอยกระทง ผมเดินไปหยุดที่ทางเข้าห้องเรียนภายในห้องเด็ก ๆ กำลังวุ่นวายกับกระทงของตัวเองกับบรรดาผู้ปกครองที่ช่วยกันทำ ผมเดินตามหลังร่างสูงของคุณภูไปที่โต๊ะเรียนของน้องฟ้ากับตุลย์

ตุลย์ที่หันมาเห็นก่อนจึงเรียกร้องอย่างดีใจ ตามมาด้วยน้องฟ้าที่หันมายิ้มกว้างให้กับร่างสูง

“เดี๋ยวผมเดินไปยกเก้าอี้มาให้นะครับคุณภู” ผมสะกิดแขนของคุณภู แล้วชี้ไปทางเก้าอี้ที่อยู่อีกผนังของห้อง

“ไม่ต้องกันต์อยู่ที่นี่แหล่ะ เดี๋ยวพี่ไปยกมาให้เอง” จากวันนั้นสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวผมกับแทนร่างสูงก็เปลี่ยนไป บอกแล้วก็เดินไปที่ริมผนังห้องที่มีเก้าอี้สำรองตั้งเรียงรายกันอยู่

ผมมองดูอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะ ที่มีทั้ง ใบตอง ต้นกล้วยที่ถูกตัดไว้เพื่อทำฐานของกระทง ดอกไม้ที่อยู่ในตะกร้าเล็ก อุปกรณ์ที่ทั้งหมดทางโรงเรียนเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้นักเรียนทุกคน

“ไหนทำกันไปถึงไหนแล้วครับให้น้ากันต์ดูหน่อยสิ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ที่คุณภูยกมาให้

“ตุลย์ยังไม่ได้เริ่มเลย คุณครูเพิ่งให้เราไปรับอุปกรณ์ทำกระทงกันครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็รอน้ากันต์มาก่อนไง”   ตุลย์บอกแล้วชี้ไปทางกองใบตอง

“น้องฟ้าอยากได้แบบไหนครับ  มาน้ากันต์สอนให้ครับ” ผมขยับมือไปหยิบเอาใบตองที่ว่างอยู่มาพลิก ๆ ดูว่าจะเริ่มทำกระทงแบบไหนกันดี ส่วนคุณภูนะเหรอครับ นั่งมองเฉย ๆ เท่านั้นแหล่ะ

“ฟ้าอยากได้กระทงอันเล็ก ๆ ก็พอครับ”

“ตุลย์อยากได้กระทงชนมปังอ่ะ” เสียงตุลย์ดังทันทีที่น้องฟ้าพูดจบ

“ไม่มีขนมปังหรอกตุลย์ เรามีแค่ใบตองกับดอกไม้เพราะงั้นทำได้แค่กระทงใบตอง”

“คุณภูทำกระทงเป็นหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เป็นช่วยเช็ดใบตองให้หน่อยครับ” ผมหันไปถามร่างสูงที่ยังนั่งเฉยพลางมองของบนโต๊ะนิ่ง ๆ

“ไม่เคยทำมาก่อนนะ ปีที่ผ่าน ๆ มาก็พาน้องฟ้าไปซื้อแล้วก็ลอยแถว ๆ หมู่บ้านนั่นแหล่ะ งั้นเดี๋ยวช่วยเช็ดใบตองแล้วกัน”

ถึงใบตองที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้จะดูสะอาดแล้ว แต่ผมก็ยังจะเช็ดเองอีกรอบเพื่อให้เด็ก ๆ ได้หัดทำไปด้วย เริ่มจากตอนนี้ทุกคนนั่งเช็ดใบตองคนไม้คนละมือ ส่วนผมก็หยิบเอาต้นกล้วยที่ถูกตัดไว้มาพลิกดูว่าจะใช้ด้านไหนเป็นด้านบนด้านไหนเป็นด้านล่าง

“เสร็จแล้วครับสะอาดเอี่ยมอ่อง” เสียงตุลย์เรียกให้ผมเงยหน้ามามองทุกคนอีกครั้ง

“เสร็จแล้วเราจะฉีกใบตองเป็นแผ่นเล็กแล้วเอามาพับเพื่อทำกลีบกระทงนะครับ” ผมหยิบใบตองที่เช็ดทำความสะอาดแล้วมาฉีกเป็นตัวอย่างให้ทุกคนดู

“เริ่มจากฉีกใบตองให้มีขนาดกว้าง 1.5 - 2 นิ้วนะครับ แบบนี้” ผมฉีกใบตองให้ได้ขนาดตามที่ต้องการแล้วตัดหัวท้ายให้เท่ากัน เริ่มจากเอามือจับจุดกึ่งกลางของใบตองไว้ แล้วเริ่มจากพับลงโดยที่ปลายด้านหนึ่งพับลงมาประมาณ 3 รอบ ให้รอบที่สามของใบตองตรงที่มีรอยพับมาอยู่ตำแหน่งที่ตรงกลางที่ตั้งฉากพอดี แล้วทำอีกด้านให้เหมือนกัน จะได้ใบตองที่พับเป็นกลีบมีมุมด้านบนเป็นจุดแหลม ทำแบบนี้มาซ้อนกัน 3 ชั้น

เด็ก ๆพอเห็นตัวอย่างก็ลงมือทำตามรวมถึงร่างสูงของคุณภูด้วย ที่อยากจะลองทำเหมือนกัน ผมมองท่าทางการพับกลีบใบตองของทุกคนแล้วก็ได้แต่อมยิ้มบาง ๆ กับความตั้งใจนั้น ซึ่งมีบ้างที่ถูกรื้อออกมาเพื่อพับใหม่เพราะยังไม่พอใจกับมัน

“น้ากันต์ มันไม่สวยเหมือนน้ากันต์พับเลยอ่า” ตุลย์บ่นออกมาพลางทำปากยื่น

“ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะว่าตุลย์ตั้งใจทำไงครับ พระแม่คงคาท่านจะได้รับรู้ว่าตุลย์ตั้งใจทำถวายท่าน”

“งั้นตุลย์ทำเอง” พอได้ครบ 3 กลับผมก็จับมาซ้อนแล้วเย็บให้เป็นชิ้นเดียวกันวางรวมกันไว้สำหรับชิ้นที่เสร็จแล้วเพื่อรอที่จะนำเอาติดที่ต้นกล้วยที่เป็นฐานกระทง

“น้ากันต์ครับ นี่ของฟ้า” น้องฟ้ายื่นกลับที่ตัวเองพับเสร็จแล้วให้ผม ซึ่งผมก็ยิ้มแล้วรับเอามาเย็บซ้อนกันไว้ให้

“น้องฟ้าพับสวยแล้วครับ” ผมมองดูกลีบที่น้องฟ้าพับแล้วเอ่ยชมทำให้แก้มของน้องขึ้นสีระเรื่อ พร้อมรอยยิ้มเขิน

“อันนี้ของพี่” นี่ก็เป็นอีกคนที่ยื่นกลีบใบตองมาให้แต่คำว่าพี่ที่ได้ยินทีไรก็ทำให้ผมเขินอายได้ทุกครั้ง

“คุณภูพับสวยครับ ไม่เคยทำจริง ๆ เหรอ”

“ไม่เคยหรอก ครั้งแรกที่มานั่งทำกระทงเลยล่ะ”

เราใช้เวลาพอสมควรกับการพับกลีบใบตองแล้วมาเย็บรอไว้ เมื่อได้ปริมาณมากพอแล้ว ผมก็หยิบเอาฐานกระทงมาอันนึงเพื่อจะประกอบกันเป็นกระทงใบตอง  โดยใช้กลีบที่เย็บเข้ากันไว้ 3 ชั้นมาติดที่ด้านข้างของฐานแล้วใช้ตะปูเข็มกดเพื่อยึดกลีบใบตองไว้กับฐาน

“อ่ะ ทีนี้น้องฟ้ากับตุลย์ลองทำดูนะครับ ไม่ยากหรอก เอากลับใบตองมาวางติดไว้ตรงด้านข้างแบบนี้เลยครับ”

เด็กทั้งสองคนรับเอากลีบใบตองมาติดที่ฐานกระทงของตัวเองส่วนผมกับคุณภูคอยนั่งมองดูทั้งสองคนทำพร้อมกับช่วยเหลือเล็กน้อย แต่อยากให้เด็ก ๆ ทำเองมากกว่า

“ระวังปลายตะปูด้วยนะครับมันแหลม” เสียงทุ้มของคุณภูเอ่ยเตือนขึ้นตอนที่น้องฟ้ากำลังจะหยิบเอาตะปูเข็มขึ้นมาปักยึดใบตองไว้

ขั้นตอนการประกอบกระทงใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้เพราะเด็ก ๆ ตั้งใจกันมาก จับพลิกจับหมุนให้มันได้ระยะห่างสำหรับการจะติดกลีบใบตองซึ่งผมก็ไม่ได้เร่งเพียงแค่รอดูเท่านั้น

“เย้ เสร็จแล้ว ของตุลย์เสร็จแล้วน้ากันต์ สวยมั้ยครับ” ตุลย์หันมาบอกพร้อมยิ้มแป้น โชว์ผลงานกระทงใบแรกของตัวเอง

“สวยครับ ไหนดูของน้องฟ้าสิ ใกล้เสร็จแล้วนี่ครับ” กระทงของน้องฟ้ายังไม่เสร็จเพราะน้องค่อย ๆ ทำ ซึ่งเราก็มรีบด้วย คุณภูก็ช่วยบางอย่างแต่ส่วนมากจะให้น้องฟ้าทำเองเสียมากกว่า

ซี่งตอนนี้เด็ก ๆ คนอื่นในห้องเรียนก็ทำกระทงเสร็จกันเกือบหมดแล้ว เสียงพูดคุยดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะบรรยากาศมีความสนุกอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นเดี๋ยวน้าปักธูปกับเทียนให้ แล้วตุลย์ใส่ดอกไม้ในกระทงนะ”

“ได้เลยน้ากันต์”

“แล้วเขาให้ลอยกันได้ตั้งแต่กี่โมงครับ”

“5 โมงเย็นครับครูบอกว่าไม่ให้มันมืดไป แต่มีประกอดหนูน้อยนพมาศด้วย ห้องเราส่งน้องฟ้าครับ”

“หืมมม มีประกวดด้วยเหรอ ทำไมไม่เห็นบอกพ่อละครับน้องฟ้า” คุณภูหันไปถามน้องฟ้า

“ก็เขาเพิ่งเลือกกันเมื่อเช้าครับ คุณครูบอกว่าแค่ให้มาเดินโชว์พร้อมกระทงที่ทำ แล้วให้เพื่อน ๆ โหวตเท่านั้นเองครับ”

“น้องฟ้าน่ารักกระทงก็สวยต้องได้อยู่แล้วจริงมั้ยครับคุณลุง เนอะน้ากันต์เนอะ” ตุลย์เป็นฝ่ายสนับสนุนอย่างเป็นทางการในการประกวดครั้งนี้ หึหึ

สี่โมงเย็นเมื่อทุกคนทำกระทงกันเสร็จแล้วก็เป็นการประกวดหนูน้อยนพมาศ ซึ่งมีเวทีที่หอประชุมเป็นที่ประกวด ทั้งนักเรียนทั้งผู้ปกครองพากันเดินไปรวมกันตัวเพื่อดูการประกวดของเด็ก ๆ

คุณครูประจำชั้นมารับน้องฟ้าพร้อมกระทงไปเตรียมตัวที่หลังเวที ทำให้พวกเราต้องหาที่นั่งเพื่อคอยให้กำลังใจน้องฟ้าอยู่ข้างล่าง เมื่อได้เวลาคุณครูที่ทำหน้าที่พิธีกรก็เดินออกมาตรงกลางเวทีกล่าวต้อนรับและเริ่มการประกวด เสียงเรียกชื่อเด็กที่เข้าประกวดให้ออกมาเดินพร้อมกระทง ผ่านไปได้ 5 คน ชื่อที่เรียกต่อไปเป็นชื่อของน้องฟ้า พอสิ้นเสียงก็เห็นร่างเล็ก ๆเดินมาจากด้านข้างของเวทีพร้อมกับกระทงในมือ น้องฟ้ายิ้มอาย ๆ แล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นที่เดินแล้วเพื่อรอผู้เข้าประกวดที่ยังไม่ได้ออกมา

เด็กที่เข้าประกวดมีทั้งหมด 10 คน แต่ละคนก็น่ารักน่าหยอกกันทั้งนั้น ผลการนับคะแนนจะนับจากการโหวตที่มีการแจกกระดาษให้โหวตตั้งแต่เริ่มงาน นักเรียน 1 ใบต่อ 1 คะแนน จากนั้นจึงรวบรวมเพื่อประกาศผล จะมีคนได้รางวัลสองคนคือเด็กผู้หญิงหนึ่งคนกับเด็กผู้ชายอีกหนึ่งคน

ใช้เวลารอนับคะแนนไม่นานผลออกมาปรากฏว่าฝ่ายหญิงเป็นเด็กจากห้อง 2 หน้าตาน่ารักเพราะเป็นลูกครึ่งไทยกับญี่ปุ่น ส่วนฝ่ายชายเป็นไปตามคาด น้องฟ้าของเราได้ไป แต่พอมายืนมองคู่กันแบบนี้ผมก็นึกว่าให้รางวัลเด็กผู้หญิงสองคนไปซะได้ก็ความน่ารักสูสีกันมากทั้งสองคน

น้องฟ้าเดินลงมาหาคุณภูพร้อมกับยิ้มให้ คุณภูก็ก้มลงยิ้มรับลูกชายพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่

“เก่งมากครับลูกได้รางวัลมาด้วย งั้นเราไปลอยกระทงกันดีกว่าครับเดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”

เราเดินออกจากหอประชุมมาที่สระน้ำที่ทางโรงเรียนจัดไว้เพื่อให้นักเรียนและผู้ปกครองไว้ลอยกระทงร่วมกัน คุณภูเดินนำมาที่สะพานไม้ที่ทำยื่นเข้าไปในสระน้ำเพื่อให้สะดวกในการลงไปลอยกระทง คุณภูนั่งลงพร้อมกับน้องฟ้า

“น้องฟ้าถือกระทงดี ๆ ครับพ่อจะจุดเทียนกับธูปให้ ตุลย์ด้วยครับ”

“น้องฟ้ากับตุลย์อธิษฐานนะครับ ขอขมาและขอบคุณพระแม่คงคา ที่ทำให้เรามีน้ำใช้กับน้ำดื่ม อะไรที่ไม่ดีขอให้ลอยไปสายน้ำนี้ด้วยนะครับ” เมื่อกระทงทั้งสองถูกจุดไฟขึ้นผมก็บอกน้องฟ้ากับตุลย์ให้ตั้งใจในคำขอขมาและขอพร จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็ทำตาม

“คุณพ่อก็อธิษฐานด้วยสิครับ” น้องฟ้ายื่นกระทงให้คุณภู ซึ่งคุณภูก็ยิ้มแล้วรับเอามาอธิษฐาน

“นี่ของน้ากันต์ด้วยครับ” ตุลย์ก็ยื่นมาให้ผมเหมือนกัน ผมยิ้มแล้วรับเอากระทงมาหลับตาอธิษฐานรวมถึงขอพรอีกด้วย

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับดวงตาของคุณภูที่มองมา “กันต์อธิษฐานอะไร”

“ก็ขอขมากับขอพรพระแม่คงคาปกตินี่แหล่ะครับคุณภู ว่าแต่ถามทำไมครับ” ผมทำหน้างงสงสัย

“ก็แค่อยากรู้ว่าคำอธิษฐานมีพี่ด้วยหรือเปล่าเท่านั้นแหล่ะ” ร่างสูงยิ้มให้ผมก่อนจะยื่นมือมาทางผม

“คุณภูจะเอาอะไรครับ” ผมยังทำหน้างง สงสัยจึงได้ถามออกไป

“กระทงอันนั้นไง ขอพี่อธิษฐานด้วยสิ อยากลอยใบเดียวกับกันต์” พอผมได้ยินก็ยิ้มอย่างเขินนิด ๆ แล้วยื่นกระทงใบน้อยให้ร่างสูงซึ่งคุณภูก็รับไป

“น้ากันต์ ตุลย์ลอยกระทงใบเดียวกับน้องฟ้าได้มั้ยครับ อันนี้ยกให้คุณลุงกับน้ากันต์ไปเลย” เสียงตุลย์ร้องขอทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าซึ่งตุลย์ก็ทำหน้าอ้อน พลางพยักหน้าขึ้นลงหงึก ๆ หวังให้ผมตอบรับ

“ได้ครับ ตุลย์ขยับมาใกล้น้องฟ้าแล้วลอยกันได้แล้วครับมา” เมื่อได้ยินคำอนุญาตของคุณภู มืออวบอ้วนของตุลย์ก็ยื่นไปจับกระทงของน้องฟ้าอีกข้าง ใบหน้าของน้องฟ้าหันมายิ้มตาหยีให้กับตุลย์แล้วทั้งสองก็ปล่อยกระทงให้ลอยไปพร้อมกับวิดน้ำใส่เบา ๆ แล้วเด็ก ๆ ก็ถอยออกไปยืนข้าง ๆ ร่างสูงที่นั่งคุกเข่า

“กันต์ขยับมาใกล้ ๆ สิครับมาลอยกระทงได้แล้ว” คุณภูเรียกผมให้ขยับเข้าไปใกล้เพื่อจะได้ลอยกระทงใบที่ตุลย์ยกให้ พอผมเอื้อมมือไปจับฐานกระทงคุณภูก็ปล่อยมือออกทำให้ผมหันไปมองหน้าหล่อเหลาของคุณภูว่าทำไมถึงปล่อยมือไม่อยากลอยกระทงกับเขาเหรอ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ก็รับรู้ได้ถึงมือใหญ่จับซ้อนเข้ามาหลังมือของผม

รอยยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ผมทำให้ผมยิ้มรับ ผมปล่อยกระทงให้ลอยไปในสระใหญ่ มองดูกระทงสองใบลอยติดกันไปข้างหน้าไม่ห่างกัน

ร่างสูงลุกขึ้นหลังจากเราลอยกระทงเรียบร้อยแล้ว คุณภูก้มลงไปอุ้มน้องฟ้าแล้วอีกมือก็ยื่นมาหงายฝ่ามือไว้ข้างหน้าผม ผมมองมือใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองรอยยิ้มของคุณภูที่ส่งมาให้แล้วก็ตัดสินใจยื่นมือไปวางไว้บนมือใหญ่ที่อบอุ่น คุณภูกระชับมือแน่นพร้อมกับเดินออกจากท่าน้ำ ส่วนมืออีกข้างของผมก็จับตุลย์ไว้อีกข้าง  วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขอีกวันนึง วันที่ยอมรับให้ใครอีกคนเข้ามาเพื่อดูแลกันและกัน

 
ต่อข้างล่างค่ะ

 


ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ต่อจากข้างบนค่ะ

RRRRRR…..  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเมื่อเวลาหกโมงเย็น ผมหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายจากชายหนุ่มอีกคนที่ช่วงนี้คอยตามรับตามส่งผมเกือบทุกวัน ดังที่เจ้าตัวเคยรับปากเอาไว้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่วันที่เจ้าตัวจะโทรมาบอกว่าติดธุระหรือติดงานอยู่จึงไม่ได้มารับ ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ใครมีงานก็ทำงานครับ ผมกลับเองได้อยู่แล้ว

“ครับ” ตอบรับสั้น ๆ กลับไป

“วันนี้คุณเลิกงานกี่โมง ผมจะได้ไปรับ” เสียงอีกฝั่งถามออกมาถึงเวลาที่ผมจะเลิกงาน ซึ่งผมก็เลิกไม่ตรงกันสักวันเพราะช่วงนี้ต้องเร่งทำโครงการใหม่

“น่าจะประมาณ 2 ทุ่ม คุณจะมากี่โมง”

“2 ทุ่มเหรอ โอเค รออยู่นั่นแหล่ะเดี๋ยวไปรับ” พูดจบก็วางสายไป ผมจึงได้สนใจกับงานข้างหน้าต่อเพราะยังติดพันไม่อยากทิ้งไว้เพราะอีกนิดเดียวแบบก็เสร็จแล้วเลยรีบทำ

นั่งทำงานจนได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกรอบเงยหน้ามาดูนาฬิกาจึงพบว่าอีกฝ่ายน่าจะมาถึงแล้ว จึงเอื้อมมือไปกดรับสาย

“ถึงแล้วเหรอครับ คุณรอผมก่อนนะอีก 5 นาทีผมเก็บของก่อน” ผมบอกให้คนปลายสายรับรู้แล้ววางโทรศัพท์พร้อมกดปิดคอมพิวเตอร์กับเรียงแบบซ้อน ๆ กันไว้บนโต๊ะทำงานเสร็จแล้วคว้าเอากระเป๋าสะพายมา เดินผ่านโต๊ะพวกเพื่อน ๆ ผมที่ยังนั่งทำงานกันอยู่สองสามคน มันก็เงยหน้ามา

“ไงไอ้พายโทรศัพท์ดังแล้วรีบเลยนะมึง” ไอ้เอกร้องทักทำให้พวกที่นั่งอยู่เงยหน้ามาร้องแซวกันทั้งหมด

“แหม ๆ อกหักแค่ไม่กี่เดือนมึงก็มีสาวคนใหม่มาควงแล้วเหรอวะ แต่อย่างว่าแหล่ะเนอะ ไอ้คนหน้าตาดี คารมณ์ดีแบบมึงหายังไงก็ได้ ผิดกับไอ้หิน หน้าตาขี้เหร่เสือกจนอีก ชาตินี้ก็หาไม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เสียงไอ้ต้นตะโกนออกมาแต่ท้ายประโยคหันไปกัดไอ้หินที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีแฟน และไม่มีวี่แววว่าจะมีด้วย ไม่ใช่มันหน้าตาขี้เหร่อย่างที่ไอ้ต้นบอกหรอกนะครับ มันก็หน้าตาดีนั่นแหล่ะ แต่ว่ามันไม่สนใจจีบสาวเท่านั้นเอง แล้วเรื่องจนก็ไม่ใช่อีกเพราะบ้านมันขายวัสดุก่อสร้างในต่างจังหวัดเป็นร้านใหญ่ทีเดียว แต่มันยังไม่อยากไปทำงานที่บ้านเลยมาเป็นลูกจ้างแบบนี้แหล่ะ

“เออ  ๆ กูกลับก่อนพวกมึงก็กลับบ้านดี ๆ ละกัน ได้ข่าวว่าวันนี้ลอยกระทงเมียพวกมึงไม่งอแงกันเหรอวะ”

ผมที่ร้องทักเรื่องวันสำคัญอีกวันนึงของผู้หญิงออกไปครับ เทศกาลแบบนี้พวกเธอจะมาออดอ้อนให้บรรดาพวกผมที่เป็นคุณแฟนพาเธอไปลอยกระทง

“เออดิ มึงไม่รู้อะไรนี่โทรมาหลายรอบแล้วกูว่าเดี๋ยวจะออกไปเหมือนกัน เดี๋ยวเกิดงอนขึ้นมากูง้อยาวอีกขี้เกียจเดินตามตอนยอมเป็นเบ๊ถือของแม่งเหนื่อย ยอมใจเลยเดินได้ตั้ง 4-5 ชั่วโมง กูยอมออกไปตอนนี้ดีกว่า” ไอ้เอกนินทาแฟนมันแล้วลงมือเก็บของ

ผมจึงหัวเราะแล้วโบกมือลาพวกมัน ออกมาที่ลานจอดรถที่อีกคนจอดรอรับอยู่แล้ว มาถึงก็เห็นสปอร์ตสองที่นั่งคันดำหรูจอดอยู่ทีเดิมเป็นปนะจำที่มารอรับผม

ผมจึงเดินไปเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ซึ่งก็คือคุณไตรทศหนุ่มหล่อ CEO บริษัทสายการบินผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของท่านประธาน หลังจากวันที่รถชนกันคุณทศซึ่งก็มัดมือชกผมด้วยการรับส่ง แทนที่จะให้อู่รถส่งรถมาให้ผมใช้แทนรถที่เข้าอู่

ซึ่งผมก็ยอมตกลงไปแบบไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่ก็ดีผมจะได้ไม่เหนื่อยขับรถเองแถมได้นั่งรถสปอร์ตอีกด้วยนะครับ

ชายหนุ่มหันมามองหน้าผมก่อนที่จะเลื่อนมือมาขยับเกียร์เพื่อขับรถออกจากลานจอด วันนี้ชายหนุ่มดูเหนื่อย ๆ คงงานยุ่ง

“วันนี้งานคุณเยอะเหรอ ถ้าเหนื่อยไม่ต้องมารับผมก็ได้นะผมกลับเองได้” ผมหันไปบอกกับร่างสูงที่นั่งหลังพวงมาลัย

“อืม งานเยอะแต่ไม่เหนื่อยเท่าไรหรอก เป็นเรื่องปกติบางวันดึกกว่านี้อีก”

“นั่นแหล่ะ ถ้าไม่ว่างก็แค่โทรมาบอก ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณมาเหนื่อยกับการต้องตามรับส่งผมหรอกนะครับ ถึงไม่มีรถใช้ผมก็มาทำงานได้”

“อืม วันไหนไม่ว่างจริง ๆ จะโทรมาบอกแล้วกัน คุณทานข้าวยัง ไปทานข้าวกันก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้าน” ไตรทศเอ่ยชวนผมซึ่งผมก็เริ่มจะหิวจึงไม่ได้ปฏิเสธ ร้านอาหารที่เราแวะจึงเป็นร้านแถวทองหล่อ ร่างสูงบอกว่าร้านนี้อร่อย เพราะเป็นร้านประจำที่ชอบมาทาน

วันนี้เป็นวันเทศกาล ผู้คนต่างยิ้มแย้มกันถ้วนหน้า ร้านรวงเปิดไฟคึกคัก รถบนท้องถนนค่อยข้างติดคงเนื่องมาจากวันลอยกระทงผู้คนต่างพากันออกมาเพื่อดูบรรยากาศและลอยกระทงตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เขาจัดให้มีงาน ส่วนผมปีนี้คงไม่ได้ลอยกับใครเขาหรอกก็เพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นาน แล้วก็ไม่ได้คิดจะชวนใครไปลอยด้วย

อ้อ มีอยู่คนนึงเมื่อเช้าโทรไปแล้วแต่กันต์บอกว่ามีงานที่โรงเรียนตุลย์ แต่ว่าเจ้าตัวจะไปกับคุณภูด้วยเพราะน้องฟ้าเรียนอยู่ที่เดียวกัน จะชวนไปสักหน่อเลยต้องชะงักแทบไม่ทัน

มาถึงร้านอาหารก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว และตอนเข้ามาที่จอดรถเต็มแต่ชายหนุ่มก็วนไปยังด้านหลังร้านที่มีช่องจอดรถที่เหมือนจะมีเว้นว่างไว้ให้เข้าไปจอดได้

คนภายในร้านเต็มทุกโต๊ะ บรรยากาศร้านอาหารน่านั่งเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนดูแล้วราคาคงจะแพง นี้ถ้าให้ผมเข้ามากินเองคงไม่มีวันเข้ามาร้านแบบนี้หรอกครับดูแล้วคงจะดูดเงินในกระเป๋าผมหมดตัวแน่

พนักงานเดินนำไปที่โต๊ะที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เรานั่งกันเรียบร้อยพนักงานก็ยื่นเมนูมาให้ ผมรับมาเปิดอ่านดูราคาแล้วแทบกลืนน้ำลายไม่ลง ถ้าสั่งมานี่มีแววว่าจะต้องกินมาม่าทั้งเดือนแน่เลย

เอาวะไหน ๆ ก็มาแล้ววันนี้ไอ้ทายจะได้กินอาหารอิตาเลี่ยนร้านหรูก็วันนี้แหล่ะ  ทุกทีกินแต่ข้าวร้านตามสั่งกับอาหารร้านลาบ นึกถึงเงินในกระเป๋าจะพอมีจ่ายค่าอาหารวันนี้หรือเปล่า

“คุณจะทานอะไรก็สั่งเอาเองนะ” ร่างสูงหลังจากสั่งอาหารที่ตัวเองจะทานแล้วก็มองมาทางผมพร้อมกับบอกว่าให้สั่งเอง ผมจึงสั่งแค่  Fettuccine alfredo จานเดียวเผื่อไว้ก่อน คุณทศเงยหน้ามามองแค่แว่ปเดียว

“วันนี้คุณไม่ไปลอยกระทงกับแฟนคุณเหรอ” ผมเอ่ยปากถามคุณทศออกไป ซึ่งหลายวันที่ชายหนุ่มต้องขับรถรับส่งผมทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น ผมก็ไม่ได้โกรธอีกฝ่ายแล้ว แต่ช่วงนั้นมันโมโหนี่ครับ ใครก็ไม่รู้มาขับรถชนรถผมไอ้รถคันนี้ผมขับถนอมมากเพราะเก็บเงินซื้อเอง

“ไม่มีแฟนจะให้ไปลอยกับใครล่ะ แล้วคุณล่ะไม่มีคนไปลอยด้วยเลยทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ รึไง”

“ผมไม่เชื่อคุณหรอก แบบคุณน่าจะมีผู้หญิงมาชวนเยอะล่ะสิ แล้วผมโสดครับตอนนี้เพิ่งโดนทิ้งมา ยังไม่อยากหาห่วงมาผูกคออีกรอบ”

“ก็มีแต่ไม่ไป ขี้เกียจ เบื่อ ๆ ด้วย แค่เรื่องงานก็จะยุ่งตายแล้ว ต้องรีบเคลียร์งานเพราะจะไม่อยู่ไทยสักเดือน ต้องไปช่วยงานที่อิตาลี”

เมื่ออาหารมาเสริฟเราต่างคนต่างนั่งทานกันไปเงียบ ๆ จนอาหารหมดเราสองคนถึงกลับมาพูดคุยกันอีกรอบ ไม่ใช่ว่าอะไรหรอกนะครับนั่งเฉย ๆ มันเงียบซึ่งผมมันคนพูดมากถ้าอยู่กับเพื่อน แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยหรอกนะ แต่กรณีของไตรทศที่ต้องเจอกันอีกบ่อย ๆ ก็เลยอยากรู้เรื่องอีกฝ่ายด้วย

เนื่องจากยังสงสัยในสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองกันตพิชย์ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะถามในข้อข้องใจนั้น  แต่ว่าผมก็ยังไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้เจอกับกันตพิชย์อีกหรือเปล่านอกจากวันนั้น

ไตรทศเรียกพนักงานมาเช็คบิลค่าอาหารซึ่งผมก็หยิบกระเป๋าเงินมาเปิดแล้วยื่นแบงค์สีเทาให้ร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาในแบบลูกครึ่งเพียงแค่มองมาแล้วส่ายหัว

“ไม่ต้องผมเลี้ยงเอง เพราะผมเป็นคนชวนคุณแวะทานข้าว เอาไว้มื้อหน้าคุณค่อยเลี้ยงผมคืน” มือใหญ่ดันมือผมที่ยื่นเงินให้กลับคืนมา

“คุณรู้จักกันต์ตั้งแต่สมัยเรียนเหรอะ” ระหว่างนั่งรถออกจากร้านอาหารไตรทศก็เอ่ยถามขึ้นมาทำให้ผมต้องหันไปมองอีกคนอย่างชั่งใจ นี่คงจะเริ่มอยากรู้เรื่องของกันต์แล้วล่ะสิ

“ก็ตั้งแต่กันต์เข้าปีหนี่ง ถึงจะอยู่กันคนละคณะ แต่ก็อยู่ชมรมเดียวกัน ทำกิจกรรมด้วยกันมาตลอดเลยสนิทกันมากเป็นธรรมดา ว่าแต่คุณถามทำไม”

“แค่อยากรู้ แปลกใจว่ามารู้จักกันได้ยังไง เหมือนจะคนละไลฟ์สไตล์”

“แล้วตอนนี้กันตพิชย์มีแฟนที่คบกันอยู่หรือเปล่า”

“ก็คงจะมีคนจีบอยู่บ้างละมั้ง กันต์มันน่ารักเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว นิสัยดี ใครได้เป็นแฟนก็คงจะโชคดี คุณสนใจกันต์รึไง”

“ถ้าบอกว่าสนใจ คุณคิดว่าไงล่ะ”

“ผมว่าคุณอย่าไปยุ่งกับกันต์ดีกว่าเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีคนที่ดีน่าจะสนใจกันต์ คุณไม่น่าจะใช่คู่แข่งของเขาหรอกนะ” ผมบอกให้ชายหนุ่มเลิกความคิดที่สนใจในตัวกันต์ซะดีกว่า เพราะผมก็มองเห็นว่าคุณภูเวลาที่มองกันต์สายตามีแววอ่อนโยนพาดผ่านในดวงตาคู่นั้น ซึ่งถ้าเป็นคุณภูผมก็จะยินดีมากกว่าผู้ชายที่ดูเป็นเพลย์บอยตัวพ่ออย่างไตรทศ ที่ควงสาวไม่ซ้ำหน้า

“ในเมื่อกันต์ยังไม่ได้ตกลงรับปากว่าจะเป็นแฟนใคร แล้วนายจะเดือดร้อนไปทำไม หรือว่านายจะหวงเอาไว้เอง”น้ำเสียงมีแววเย้ยหยันเล็ก ๆ ทำเอาผมฉุนขึ้นมานิดหน่อย

“ใช่ผมหวง ทั้งหวงทั้งห่วงกันต์ ใครจะไปอยากให้ผู้ชายอย่างคุณเข้ามาวุ่นวายกับน้องผมกันล่ะ”

“เฮ้ยๆ คุณพูดดี ๆ นะ ผู้ชายอย่างผมนี่มันยังไง ผมยังโสดอย่างน้อยจะไปกับใครที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าผมได้รักใครผมก็ไม่เคยนอกใจแฟนนะ แล้วที่บอกว่าน้องนะ ตัวเองอยากเป็นพี่ชายจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะมาในรูปแบบแฝงตัวก็ได้ใครจะไปรู้จริงมั้ย”

“คุยกับคุณนี่มันจะคุยกันได้ไม่นานเพราะปากคุณเนี่ย  ขับรถไปเลยแล้วก็หยุดความคิดที่จะจีบกันต์ได้แล้ว”

“สรุปว่าที่คุณขวางผมนี่เพราะคุณแอบรักรุ่นน้องตัวเองว่างั้นเหอะ” ยังไม่จบ ๆ แล้วไอ้ประโยคที่หลุดออกมาจากปากมันหมายความว่ายังไง  ผมจึงหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอยู่

“ถ้าใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง ผมว่าคุณอย่าเข้ามายุ่งดีกว่า”

“รอดูต่อไปแล้วกันว่าผมจะยุ่งหรือไม่ยุ่ง” จากนั้นในรถก็เงียบแต่เมื่อเส้นทางที่ขับผ่าน มีป้ายไฟสว่างไสวอยู่ริมทาง แล้วรถก็หันหัวเข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่ดูก็รู้ว่ามันคือวัด วัดที่มีงานลอยกระทง

“คุณเลี้ยวเข้ามาทำไมในวัด” ผมหันไปถามคุณทศซึ่งอีกฝ่ายก็หันมามองก่อนจะมองหาที่ว่างเพื่อจอดรถ

“อ้าว ก็วันนี้วันลอยกระทงนี่คุณ แวะมาลอยกระทงกันก่อนกลับบ้านมันจะเป็นไรไป ไหน ๆ ก็ไม่ได้ไปกับใครแล้ว วันนี้มาลอยกับคุณก็คงดีเหมือนกัน” เมื่อได้ที่จอดรถ ชายหนุ่มก็ดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงไป

“ลงมาได้แล้วเพทาย”

ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเปิดประตูลงไปด้านนอก มองดูรอบ ๆ เห็นผู้คนค่อนข้างมากเดินกันขวักไขว่แม้ว่าจะเกือบเที่ยงคืนแล้วตาม เพราะเราเสียเวลาแวะทานข้าวกับการจราจรที่ติดขัด ป่านนี้ก็ยังไม่ถึงบ้าน ดีเหมือนกันมาดูบรรยากาศงานวัดบ้างก็ดีไม่ได้มานานแล้ว

“ไปหากระทงลอยกันดีกว่าคุณ” เสียงทุ้มที่ดังออกมาจากร่างสูง แล้วก็เดินนำหน้าทำให้ผมต้องเดินตามอีกคนอย่างช่วยไม่ได้  ระหว่างทางมีร้านค้าตั้งอยู่เรียงรายซึ่งขายทั้งขนม เครื่องดื่ม เต็มไปหมด ถึงแม้จะต่างจากบรรยากาศเมื่อสมัยยังเด็ก แต่ก็ยังได้อารมณ์งานวัดบ้าง

“นี่คุณเคยมางานวัดแบบนี้เหรอ”ผมสงสัยจึงได้ถามออกไป

“เคยมาสมัยเรียนครั้งนึง พวกเพื่อน ๆ มันชวนกันไปงานลอยกระทงนี่แหล่ะ ก็สนุกดี”

“ผมนึกว่าคุณจะไปลอยในผับเสียอีก”

“อันนั้นก็ไปประจำอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้ลอยหรอก ได้อย่างอื่นมากกว่า หึหึ” ผมน่าจะรู้นะว่าเขาหมายความว่ายังไง

“ดึกแล้วกระทงจะหมดหรือยังเนี่ย คุณช่วยมองหาหน่อยสิว่ายังเหลืออีกหรือเปล่า” ใบหน้าหล่อเหลาพยายามมองหาร้านค้าที่ยังพอจะมีกระทงขาย

“ไม่น่าจะเหลือแล้วมั้งดึกแล้วนี่”

“นั่นไง ๆ อยู่ตรงนั้นมีกระทงอยู่” เสียงร้องขึ้นดังอย่างดีใจที่ยังพบว่ากระทงยังขายไม่หมด แต่เมื่อเดินไปถึงบนโต๊ะที่มีกระทงเหลืออยู่เพียงอันเดียว มองไปรอบ ๆ พบว่ามีสายตาของคนหลายคนมองมาทางร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งอย่างสนใจคงเพราะมีใบหน้าที่หล่อเหลาและส่วนสูงที่สูงเกินกว่าคนทั่วไปทำให้ร่างนั้นโดดเด่นขึ้นมา

“เหลือกระทงอยู่ใบเดียวเองเหรอครับ” เสียงทุ้มถามแม่ค้า ซึ่งน่าจะเป็นเด็กมัธยมมาช่วยผู้ปกครองขายของ

“ค่ะพี่เหลืออยู่ใบเดียวแล้ว ร้านอื่นก็หมดแล้วด้วยเพราะวันนี้คนมาเยอะเลยขายดี พี่สุดหล่อซื้อไปลอยใบเดียวกับแฟนพี่ก็ได้ค่ะ คนเป็นแฟนกันเขาไม่ลอยคนละใบหรอกเพราะถ้ามันแยกกันเขาว่ามันเป็นลางไม่ดีนะคะ”

เสียงเด็กสาวที่ขายกระทงอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้างส่งมาให้แต่ที่ทำผมตะหงิดคือ การที่เรียกผมว่าเป็นแฟนของอีกคนนั่นเอง

“พี่ไม่ได้เป็นแฟนกันครับ เป็นเพื่อนกัน” ผมเอ่ยปฏิเสธออกไปอย่างเร็ว

“เอ๋ จริงเหรอคะ หนูไม่เคยเห็นเพื่อนผู้ชายมาลอยกระทงกันแค่สองคนเลยนะคะ จะมีก็แต่เป็นแฟนกัน” ยังย้ำอีกว่าแฟนกัน ใครมันจะไปเป็นแฟนผู้ชายด้วยกันเล่าครับ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

“ใบเดียวก็ใบเดียวลอยด้วยกันก็ได้ กี่บาทครับ” ไตรทศสอบถามราคาแล้วยื่นเงินตามจำนวนที่แม่ค้าวัยใสบอก

“ขอให้มีความสุขนะคะ พี่ผู้ชายก็ยอมรับว่าเป็นแฟนพี่ลูกครึ่งเหอะสงสารพี่เขาออกดูสิน่าหงอยไปหมดแล้วเนี่ย”

ดูยังไงหน้าอีกคนถึงได้หงอย นี่มันหน้าระรื่นต่างหากเล่า รอยยิ้มถูกส่งจากคนข้างกายผมทำเอาสาวเจ้าถึงกับยิ้มหน้าแดงไปเลย

“นี่ถ้าพวกพี่ไม่ได้เป็นแฟนกันนะหนูจะขอไลน์ไปจีบแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอางั้นเลยเหรอครับ แต่ไม่ได้หรอกนะคนนี้เขาหวง” คุณทศหัวเราะพร้อมกับทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องหันขวับกลับไปมองแล้วทำตาดุใส่อีกคน ที่ตอนนี้เดินหนีไปพร้อมกับกระทงในมือทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปเดินตามแต่หูก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดเบา ๆ มาจากแม่ค้าขายกระทงแว่วมา

“คุณไปบอกน้องเขาแบบนั้นทำไม เดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดกันพอดี” ผมที่ตามมาโวยเอากับคนทีเดินนำหน้า

“หืม..ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นคุณจะไปคิดมากอะไร มา ๆ ลอยกระทงกันได้แล้ว”

“ว่าแต่คุณมีไฟแช็คมั้ย ผมไม่ได้เอามาไม่คิดว่าจะมาลอยกระทง” ใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มพร้อมถามหาไฟเพื่อจุดเทียน

“ไม่มีแต่รอแป๊บเดี๋ยวไปยืมให้” หันไปมองเห็นคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังยืนจุดธูปเทียนกันอยู่ผมเลยเดินเข้าไปหาพร้อมทั้งส่งเสียงทักทายก่อนจะยืมไฟแช็คมา ซึ่งทั้งคู่ก็ยินดีให้ยืม

“อ่ะนี่ไฟ คุณรีบจุดเดี๋ยวผมจะเอาไปคืนน้องเขา”

มือใหญ่เริ่มจุดธูปเทียนในกระทง แสงเทียนที่ส่องสว่างกระทบใบหน้าหล่อเหลายิ่งทำให้คนตรงหน้าดูน่ามองมากยิ่งขึ้น เมื่อผมเดินไปคืนไฟแช็คแล้วเดินกลับมามือใหญ่ก็ยื่นกระทงใบน้อยมาตรงหน้า

“อธิษฐานขอขมากับขอพรสิ”

“ไม่อ่ะ คุณลอยไปเหอะ ไม่อยากแย่งพรคุณ” ผมปฏิเสธปล่อยให้ลอยคนเดียวไปดีกว่า

“อ้าว ไม่ได้สิคุณมาด้วยกัน ก็ต้องลอยด้วยกัน เร็ว ๆ สิ รีบอธิษฐานเร็ว” อีกฝ่ายไม่ยอมยังยื่นกระทงอยู่อย่างนั้น ทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะที่ฐานของกระทงเพื่ออธิษฐานแก่พระแม่คงคา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกคนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากกระทงใบน้อยเช่นกัน

หลับตาอธิษฐานก่อนที่จะลืมตามาก็ยังพบกับดวงตาสีแปลกของชายหนุ่มที่ยังคงส่งยิ้มมาให้ จ้องมองไปในน้ำเห็นเงาของพระจันทร์ดวงโตส่งกระทบผิวน้ำเป็นคลื่น เขาว่ากันว่าวันนี้ดวงจันทร์จะโคจรใกล้โลกที่สุดในรอบ 68 ปี ถ้าพลาดดูปีนี้อาจจะต้องรออีก 18 ปีเลย

นึกขึ้นได้จึงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเห็นพระจันทร์ที่ว่าลอยเด่นส่องแสงสว่างดวงโตสมกับเป็นซุปเปอร์ฟลูมูนเลย เมื่ออีกคนมองเห็นผมแหงนหน้ามองฟ้า ก็มองตามพร้อมทั้งส่งเสียงออกมา

“ดวงโตจริง  ๆ เลยนะ คุณมาลอยกระทงกันก่อนเดี๋ยวค่อยดูใหม่”

เสียงเรียกทำให้ผมหันกลับมามองกระทงที่ยังอยู่ในมือแกร่งเหมือนจะรอให้ผมยื่นมือไปปล่อยกระทงด้วยกัน สายตากดดันนั้นทำให้ผมต้องถอนใจอีกรอบ เอาวะลอยก็ลอย จึงยื่นมือไปแตะที่ฐานกระทงพร้อมกับปล่อยกระทงลงไปใสสระน้ำขนาดใหญ่ มือใหญ่วิดน้ำไล่กระทงให้ลอยไปกลางสระ

ปีนี้เป็นปีที่ผมคิดเอาไว้ว่าจะไม่ลอยกระทงแต่ทำไมมันถึงได้มีเรื่องให้ต้องลอย แถมไอ้คนที่ลอยด้วยกันปีนี้ดันเป็นผู้ชายไปเสียได้ คิดว่าคงเป็นปีเดียวและปีสุดท้ายที่จะได้ลอยกระทงแบบนี้ ปีหน้าตั้งใจไว้เลยว่าจะหาผู้หญิงมาลอยกระทงด้วยให้ได้คอยดูสิ



************************************************************************************



นึกว่าจะไม่ทันลอยกระทงซะแล้ว นี่ปั่นแทบหูลูบ



แอบปั่นในเวลางานด้วยดีนะนายไม่เห็น 555

ออฟไลน์ angelhani

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ทศนางชอบทายแต่แรกใช่ไหมคะ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
ทายปีหน้าทายจะไม่ได้ลอยกระทงกับผู้หญิงแล้วละเพราะทายจะได้ผัวแล้วละสิ :katai2-1: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด