PART II บทที่ 21
เลือก
Aut’s Part
“ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ครับให้ผมกลับไปทำงานเถอะครับ นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อมากเลยนะครับ”ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้สัปดาห์กว่าแล้วครับ แต่เจ้านายผมไม่ยอมให้ผมกลับไปทำงาน บอกอยากให้ผมพักต่ออีกสักหน่อย ทั้งที่ผมก็ดูแข็งแรง ปกติดีแล้ว
“งั้นผมให้คุณพักจนครบ 2 สัปดาห์แล้วค่อยมาทำงานปกติ ดีไหม งานนะปล่อยให้น้องๆ มันยุ่งมันเหนื่อยกันบ้าง ส่วนคุณก็พักให้เยอะๆ ก่อน ไม่ต้องรีบหรอกผมยังมีงานให้คุณทำอีกนาน”พอเจ้านายพูดมาขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อแล้วละครับ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน และผมก็รู้สึกอึดอัดกับการมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับ “คนอื่น”
“คนอื่น” ที่จริงๆ คือแฟนของผม ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนยากหรือมนุษยสัมพันธ์แย่นะครับ แต่การจะทำใจยอมรับคนที่ผมเพิ่งมีความทรงจำร่วมกับเค้าแค่ไม่กี่วันว่าเป็นแฟน สำหรับผมมันลำบากใจมาก ผมไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงความรู้สึกมันขัดแย้งกันไปหมด หนักสุดคือเราต้องนอนร่วมเตียงกันนี่แหละครับ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันแต่ละคืน มันดูประดักประเดิดไม่น้อยเลยทีเดียว
ตลอดหลายวันมานี้ผมเอาแต่พยายามนึก นึกถึงเรื่องราวที่ผมจำไม่ได้ ทั้งดูรูปทั้งดูประวัติการแชทต่างๆ เรียกว่าผมใช้ทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยกระตุ้นความจำของผมได้แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย ผมยังคงจำไม่ได้
หลังวางสายจากเจ้านายผมก็นั่งดูข้อความเก่าๆ เหมือนทุกวัน อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้ทุกประโยคแล้ว บทสนทนาที่เกิดขึ้นทุกวันระหว่างผมกับปาร์ตี้ ทุกข้อความที่พูดคุยผมสัมผัสได้จากตัวอักษรว่าผมคงรักผู้ชายคนนี้มาก แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่แปลกๆ อยู่ แม้ผมจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้ แต่มันเหมือนผมน้อยใจ หรือมีเรื่องกังวลอยู่ในแทบทุกตัวอักษรที่ส่งถึงกัน ยิ่งช่วงหลังๆ ก่อนที่ผมจะเกิดอุบัติเหตุ มันยิ่งดูมีอะไรให้น่าสงสัย นี่ระหว่างผมกับปาร์ตี้มันมีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ผมควรถามเค้าตรงๆ ดีไหมนะ แต่เท่าที่พูดคุยกันตอนนี้และสิ่งต่างๆ ที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ผมว่าเค้าเองยังดูจงใจปิดบังบางอย่างกับผมอยู่ อีกอย่างที่ผมยังติดใจก็คือเรื่องคุณแว่นเพื่อนของเค้านั่นแหละครับ
“ทานข้าว ทานยาด้วยนะ”ข้อความใหม่เด้งขึ้นมา ผมเลือกตอบรับเพียงสั้นๆ ให้เค้ารู้ว่าผมรับรู้แล้ว ในทีแรกปาร์ตี้จะลางานอยู่ดูแลผม แต่ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แน่ขนาดต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แล้วก็อยากที่บอกว่าถ้าต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงมันคงอึดอัดมากๆ เป็นแน่ ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ค่อยๆ หลับตาลงพยายามไม่คิดอะไรอีก แต่ว่าผมว่างขนาดนี้ผมจะห้ามสมองตัวเองไม่ให้คิดโน่นนี่ได้ยังไงกันละ
ผมอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน ตอนนี้ผมไม่มีรถใช้เพราะคันเดิมที่ใช้อยู่ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ดีไม่ดีไม่รู้จะซ่อมได้หรือเปล่า สภาพยับเยินขนาดนั้น แต่เห็นว่าที่ทำงานจัดรถคันใหม่ไว้ให้ผมใช้ทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนตอนนี้ก็คงต้องพึ่งแทกซี่ไปก่อน และแล้วผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ มันคือบ้านของผมเองเนี่ยแหละ แม้จะรู้ว่าตอนนี้หนุ่ยเช่าบ้านผมอยู่ ผมก็ไม่ได้กดกริ่งแต่อย่างใด ผมถือวิสาสะใช้กุญแจที่มีเปิดเข้าบ้านเองเพื่อไม่ต้องเสียเวลาให้หนุ่ยมาเปิดประตู
จากประตูรั้ว ผ่านเข้าประตูบ้าน ภาพที่ผมเห็นทำให้ต้องส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม นี่หนุ่ยคงทำงานจนดึกแล้วเผลอหลับไปอีกแล้วสินะ ผมเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ เพื่อให้เค้ารู้สึกตัว ภาพเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่คล้ายๆ แบบนี้ระหว่างผมกับเค้าผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมเองกลับดึกเพราะไปเลี้ยงลูกค้าบ่อยๆ ส่วนเค้าก็นั่งทำงานจนดึกดื่น และมักจะหลับรอผมที่ตรงนี้ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่ได้รอผม แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อเค้าเลยสักครั้งเช่นกัน
“มาได้ไงเนี่ย”คนเพิ่งตื่นคิ้วขมวด ถามผมด้วยเสียงงัวเงีย
“ไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวทำอะไรให้ทาน”ผมไม่ได้ตอบคำถามของเค้า แต่รีบดึงตัวเข้าลุกก่อนจะพลักให้ไปอาบน้ำ เพราะมั่นใจว่าเค้ายังไม่ได้กินอะไรแน่นอน เค้าแย้งผมอย่างที่ผมคุ้นว่าไม่หิว แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว ผมยิ้มขำให้กับคำพูดของเค้า แม้เค้าจะมีท่าทีแปลกใจกับการมาและการกระทำของผม แต่ผมมั่นใจว่าเค้าเองก็คงนึกถึงเหตุการณ์เดียวกันกับที่ผมนึกถึงอย่างแน่นอน ด้วยความที่หนุ่ยไม่ได้ทำงานประจำ เพราะงั้นงานเค้าจะไม่ค่อยเป็นเวลา วันทำงานปกติผมจะไม่ค่อยได้ดูแลเค้า แต่ถ้าวันหยุดก็จะเป็นแบบวันนี้เลย ปลุกเค้าไปอาบน้ำและเตรียมอาหารเช้าให้เค้า
หนุ่ยยอมไปอาบน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนผมเดินเข้าครัวอย่างคุ้นเคย จะไม่คุ้นได้ยังไงก็นี่มันบ้านผมนี่เนอะ โชคดีที่เปิดตู้เย็นแล้วยังพอมีอะไรให้ทำได้บ้าง แม้หนุ่ยจะไม่ใช่คนชอบทำกับข้าว แต่ผัก หมู ไข่ ก็มักจะมีติดอยู่เสมอ ซึ่งเค้าคงติดจากคำแนะนำของผมที่เคยบอกกับเค้านั่นแหละ แต่ก่อนเค้าชอบอ้างว่าทำกับข้าวไม่เป็นเลยขอกินอะไรง่ายๆ อย่างบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งมันขัดแย้งกับวิถีคนชอบทำกับข้าวอย่างผมมาก เลยต้องพบกันครึ่งทาง ถ้าผมไม่อยู่หรือไม่ว่างแล้วเค้าจะต้มมาม่าอะไรแบบนี้ ให้เอาหมู ผัก ไข่ อะไรพวกนี้ใส่ไปด้วย หรือยกระดับขึ้นมาหน่อยก็ให้เค้าต้มสุกี้ ซึ่งไม่ได้ทำยาก แค่โยนทุกอย่างลงหม้อต้ม ใส่ซุปก้อน เป็นอันจบ น้ำจิ้มก็ใช้ที่เป็นขวดไม่ต้องทำเอง นั่นคือสิ่งที่ผมเคยได้แนะนำแกมบังคับให้เค้าปรับเปลี่ยนวิธีการกิน ผมลงมือทำกับข้าวไปพร้อมคิดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่นานนักผมก็ทำอาหารอย่างง่ายๆ เสร็จ พร้อมๆ กับที่หนุ่ยอาบน้ำแต่งตัวลงมาจากชั้นสอง
“โหแค่ข้าวไข่เจียวหมูสับเองเหรอ ไอเราก็นึกว่าจะมีเมนูอะไรพิเศษให้เสียอีก”หนุ่ยบอกทีเล่นทีจริง เพราะเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าในตู้เย็นมันมีอะไรอยู่บ้าง และก่อนที่เค้าจะซักไซ้ผมอีกว่ามาที่นี่ทำไม ผมรีบบอกให้เค้ากินให้เสร็จก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ส่วนผมที่ทานก่อนที่จะมานี่เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งมองเค้ากินอยู่เงียบๆ
“อย่ามองแบบนี้ได้ไหม”เค้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมบอกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ หันหลบสายตาของผม นี่สายตาที่ผมมองเค้ามันแปลกหรือยังไง เค้าถึงบอกผมแบบนี้ แต่ผมก็ยังมองเค้าต่อไปเหมือนเดิม จนเค้าทานเสร็จรวบช้อนส้อมวาง และเงยหน้ามามองผมอีกครั้ง
“สรุปวันนี้มา มีอะไรหรือเปล่า แล้วก็หยุดมองด้วยสายตาที่น่าขนลุกนี่ได้แล้ว เพื่อนกันเค้าไม่มองกันแบบนี้นะ”ผมชะงักไปกับคำพูดของหนุ่ย เพราะทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มันไม่ใช่แค่ระหว่างผมกับหนุ่ย เมื่อกี้อาจด้วยความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ผมเผลอมองหนุ่ยด้วยสายตาที่มากเกินเพื่อนไปบ้าง แต่ที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกอย่างคือสายตาของคุณแว่นที่มองปาร์ตี้
“เฮ้ย เป็นไรเนี่ยอยู่ๆ ก็ตีหน้าเศร้า”หนุ่ยเรียกสติให้ผมกลับมาสู่บทสนทนา แต่ผมว่าผมไม่ได้เศร้านะ ผมแค่กำลังใช้ความคิดและไม่เข้าใจบางอย่างแค่นั้นเอง
“วันนั้นที่โรงพยาบาล เหมือนหนุ่ยจะพูดอะไรสักอย่างใช่ไหม”ผมนึกย้อนไปถึงวันที่คุณแว่นเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของผมกับหนุ่ย มันเหมือนมีบางอย่างที่หนุ่ยกำลังจะเล่าให้ผมฟัง
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่มีวันนึงอรรถมาระบายให้ฟัง ว่าตัวเองรู้สึกเป็นได้แค่ที่สองอะไรนี่แหละ แต่อรรถก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเท่าไหร่”ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่สองเนี่ยนะ แล้วที่สองของผมนี่เทียบกับใคร ตามที่รู้ตอนนี้ผมคบกับปาร์ตี้มาเป็นปีแล้ว ทำไมผมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นละ ปาร์ตี้เองเค้าก็คบผมมาเป็นปีแล้วแต่ยังไม่ลืมแฟนเก่าหรือไง แล้วใครคือแฟนเก่าของเค้ากันล่ะ
“คุณแว่นที่เราเจอที่โรงพยาบาลครั้งก่อน คือแฟนเก่าปาร์ตี้หรือเปล่า”ผมตั้งคำถามออกไป แต่หนุ่ยเองก็ให้คำตอบผมไม่ได้ เพราะหนุ่ยก็เพิ่งจะเคยเจอคุณแว่นครั้งแรกในวันนั้นเอง
“แต่ไม่น่าใช่หรอก คุณแว่นเค้ารู้จักอรรถไม่ใช่เหรอ แสดงว่าก่อนอรรถเกิดอุบัติเหตุ อรรถก็ต้องรู้จักเค้า ถ้าเค้าเป็นแฟนเก่าของแฟนอรรถจริงๆ อรรถน่าจะเล่าให้เราฟังตั้งแต่วันที่มาระบายตอนนั้นแล้ว”ความเห็นของหนุ่ยก็น่าสนใจ แต่ผมก็ยังคาใจเรื่องคุณแว่นนั่นอยู่ดี
“แล้วใครคือคนที่อรรถจะรู้สึกเป็นรองล่ะ”ผมพึมพำกับหนุ่ยแต่ก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง
“ทำไมถึงมาคิดเรื่องนี้เนี่ย ตอนนี้ไม่มีความสุขเหรอ”นั่นสินะ ผมมีความสุขหรือเปล่ากับชีวิตตอนนี้ ตอนฟื้นขึ้นมาทีแรกผมคิดว่าความทรงจำของผมที่หายไปมันไม่มีผลกระทบอะไรกับผมหรอก แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่แล้วล่ะ
“เอาตรงๆ คือมันรู้สึกอึดอัดที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะแฟน กับคนที่เหมือนเพิ่งรู้จักกัน”ผมบอกออกไปตามตรง หลังจากได้ฟังความรู้สึกผม หนุ่ยเองก็ดูลำบากใจที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะผมเองพอจะมีในใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อในเรื่องนี้
ผมเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกับหนุ่ยเป็นการอัพเดทชีวิตของเค้าหลังจากที่เลิกรากับผม ว่าเป็นยังไงบ้าง ผมขอเค้าว่าวันนี้ขออยู่นี่จนกว่าปาร์ตี้จะเลิกงาน เพราะผมบอกกับปาร์ตี้ไปแล้วว่าอยู่บ้านคนเดียวมันเบื่อ ขอออกมาหาเพื่อนคุย และขอมาดูบ้านตัวเองด้วย เป็นอันว่าทั้งวันผมกับหนุ่ยก็นั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตของหนุ่ยหลังจากที่เราสองคนเลิกกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผมยังไม่เคยรู้มาก่อน หลังๆ มันเลยกลายเป็นว่ารากลับมาพูดคุยถึงช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันเสียมากกว่า
“แฟนอรรถมาแล้วมั้ง ไปดูดิ”เวลาล่วงเลยมาจนเย็น เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น นี่ผมคุยเรื่องราวจิปาถะกับหนุ่ยเสียจนลืมเวลาไปเลย เท่าที่คุยกับหนุ่ย ผมว่าส่วนหนึ่งที่เราสองคนเลิกกันมันคงเพราะเรื่องเวลาว่างด้วย การที่ลักษณะงานที่ต่างกันของเรา เวลาว่างหรือเวลาที่จะให้กันมันเลยไม่มี แล้วเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะปรับอะไรเข้าหากัน มันเลยจบลงไปอย่างง่ายๆ
“อ้าว อรรถ ไปเปิดประดูดิ เหม่ออะไรเนี่ย”หนุ่ยเรียกสติผมอีกครั้ง คงเพราะมัวแต่คิดอะไรในหัวทำให้ช่วงนี้ดูจะเหม่อบ่อยเป็นพิเศษ หวังว่าพอกลับไปทำงานผมจะไม่ทำให้งานเสีย
เป็นปาร์ตี้จริงๆ ที่กดกริ่ง เค้ายืนยิ้มรอผมอยู่แล้ว ผมส่งยิ้มกลับไปตามมารยาท พร้อมตรงไปเปิดประตูรั้วให้เค้า เค้ารีบถามไถ่ผมถึงอาการของผมในวันนี้ ซึ่งผมก็บอกไปตามตรงว่าไม่ได้ต่างจากทุกๆ วัน ดีหน่อยก็วันนี้ไม่เบื่อเท่าทุกวัน
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”ผมรั้งเค้าไว้ ก่อนที่จะเข้าบ้าน เพราะอยากจะคุยอะไรกับเค้าตามลำพังสักหน่อย เราสองคนเลยยังนั่งอยู่ที่สวนด้านหน้าบ้าน เค้ามีสีหน้าสงสัยอย่างชัดเจนว่าผมจะคุยอะไรกับเค้า ผมคิดเรื่องนี้มาวันสองวันแล้วละครับ
“ผมอยากย้ายกลับมาอยู่บ้านนี้”เค้าดูไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจกับสิ่งที่ผมบอก หรือว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกผิดไป
“นึกว่าเรื่องอะไร ของใช้เราสองคนก็มีอยู่นี่อยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้เลยคงยังไม่ได้นะ เรามีบางอย่างที่ต้องกลับไปเอาที่บ้านนู้นอีก”นั่นไง เค้ากำลังเข้าใจว่าผมชวนเค้าย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ที่ผมกำลังจะบอกคือผมจะแยกกันอยู่กับเค้า ก่อนมานี่ผมยังแค่ลังเลนะครับ จนพอได้มาคุยกับหนุ่ย เรื่องที่หนุ่ยบอกว่าผมเคยระบายว่ารู้สึกตัวเองเป็นแค่ที่ 2 ไม่ใช่ที่ 1 ในใจของปาร์ตี้
“ผมหมายถึง แค่ตัวผมคนเดียว”ผมบอกออกไปตามตรง ซึ่งมันก็ทำให้เค้าหน้าเสียไปเหมือนกัน ผมรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ อาจจะดูว่าผมเห็นแก่ตัวที่เอาความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าลำบากต้องมาพะวงกับผม หรือถ้าเอาแบบแย่สุดๆ คือถ้าผมไม่มีวันจำเรื่องราวที่หายไปได้ ซึ่งผมว่ามันมีแววจะเป็นแบบนั้น เค้าเองก็คงไม่มีความสุขที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเค้าอย่างผม
“นี่ไม่ใช่การบอกเลิกใช่ไหม”เค้าถามผมเสียงแผ่ว ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นการทำร้ายเค้า แน่นอนนี่ไม่ใช่การบอกเลิก แต่ผมก็ไม่อยากให้เราทั้งคู่ผูกมัดกันไว้ จากนี้ไปเราอาจยังดูแลกันและไปมาหาสู่กัน ที่ต่างไปก็แค่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมอธิบายกับเค้าอย่างที่ได้คิดไว้
“แล้วทำไมต้องแยกกันด้วย”ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องปิดบังความรู้สึก ผมบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าผมรู้สึกอึดอัดใจยังไง แต่เรื่องคุณแว่นที่ผมสงสัยหรือเรื่องความรู้สึกที่ผมเคยมาระบายกับหนุ่ย ผมเลือกที่จะไม่พูดออกไป เพราะแม้จะมีผลกับการตัดสินใจของผมแต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับการตัดสินใจ เค้ายังดูจะยังไม่ค่อยอยากยอมรับกับสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป
“งั้นผมขอถามคุณว่า ระหว่างคนที่คุณรักกับคนที่รักคุณคุณจะเลือกอยู่กับใคร”ผมแค่อยากเปรียบให้เค้าเห็นภาพว่าสำหรับผม ผมคงเลือกอยู่กับคนที่ผมรัก เพราะถ้าฝืนอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รักผมก็ไม่รู้ว่าวันนึงจะรักเค้าได้หรือเปล่า ผมรู้ว่ามุมมองเค้าอาจจะไม่เหมือนกับผม ก็แค่อยากให้เค้าเข้าใจในมุมของผมเท่านั้นเอง
“รู้อะไรไหม คำถามนี้อรรถเคยถามเราแล้วครั้งนึง และเราเลือกที่จะไม่ตอบ”เค้าตอบคำถามของผมด้วยประโยคที่ย้อนบอกเรื่องราวในอดีตกับผม แล้วทำไมผมถึงต้องถามคำถามนี้กับเค้ากันนะในครั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้นทำไมเค้าถึงเลือกที่จะไม่ตอบผม
“แล้วถ้าผมขอให้ตอบในครั้งนี้ คุณจะเลือกอยู่กับใคร”เค้ายิ้มฝืนๆ กลับมาที่ผม
“ถ้าเป็นเรา เราเลือกอยู่กับคนที่รักเรา”ผมไม่รู้ว่านี่เค้าตอบแบบนี้เพราะอยากให้ผมอยู่กับเค้าเหมือนเดิม หรือว่านี่คือสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ แล้วตอนเค้าตัดสินใจคบกับผม เค้ารักผมหรือเลือกคบเพราะแค่ผมรักเค้ากันนะ
ปาร์ตี้กลับไปแล้ว โดยที่ไม่ได้เข้าบ้านมาเจอหนุ่ยด้วยซ้ำ แม้เค้าจะไม่เห็นด้วยกับผมในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายผมก็ขอให้เค้าเคารพในการตัดสินใจของผม และอีกอย่างเราสองคนก็ยังคงสถานะแฟนไว้เหมือนเดิม เพียงแต่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมว่าทั้งผมและเค้าคงต้องการเวลาในการทบทวนหลายๆ อย่างว่าเราสองคนควรเดินไปในทิศทางไหนต่อ
“อ้าว แฟนอรรถล่ะ”หนุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ผมเข้าบ้านมาเพียงลำพัง
“กลับไปแล้ว”ผมตอบเสียงเรียบ
“หมายความว่ายังไง”หนุ่ยรีบเข้ามาถามอย่างตกใจ จนผมต้องบอกให้ใจเย็นๆ และเล่าเรื่องที่ผมเพิ่งพูดกับปาร์ตี้ไป หลังจากฟังจบดูหนุ่ยจะกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หนุ่ยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจแบบนี้ของผม เค้ารีบต่อสายถึงปาร์ตี้โดยไม่ได้สนใจจะฟังคำอธิบายจากผมอีก
“คุณตี้ใจเย็นๆ นะครับ ถ้าไม่สบายใจยังไงผมจะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วที่สุด”ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่โดนหนุ่ยชี้มือให้เงียบไว้ทำให้ผมทำได้เพียงนั่งฟังเงียบๆ
“เอาแบบนั้นเหรอครับ”เหมือนทั้งคู่กำลังตกลงอะไรบางอย่าง แต่ผมก็คงต้องรอฟังจากหนุ่ยอีกที
“ไม่ใช่หรอกครับ...ถึงเค้าจะจำคุณไม่ได้ แต่คุณก็รู้จักเค้านิครับ คุณก็แค่ต้องมาทำให้เค้ารู้จักคุณใหม่แค่นั้นเอง มันอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณรักเค้ามากพอ ผมว่ามันไม่น่าจะเกินความสามารถของคุณ ที่จะทำให้เค้าตกหลุมรักคุณอีกครั้ง”ว้าว นี่ถ้าไม่ได้ยินกับหู ผมคงไม่เชื่อว่านี่คือคำพูดของหนุ่ย ก็รู้นะครับว่าเค้าก็ไม่ถึงขนาดกับไม่แคร์คนรอบข้างเลย แต่สิ่งที่เค้ากำลังทำ มันดูขัดกับบุคลิกที่เคยคุ้น
“เค้าว่าไงบ้าง เค้าจะกลับมาทำให้เราตกหลุมรักเค้าใหม่ไหม”ผมแกล้งแซวหนุ่ยขำๆ แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ขำกับผมเลย เพราะเล่นมองผมด้วยสาตาเขียวปัดขนาดนี้
“ไม่ตลก”นี่โหมดกำลังไม่พอใจจริงๆ สินะ
“เราก็มีเหตุผลของเราไง”หนุ่ยถอนหายใจ พร้อมกับเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ เค้าไม่เห็นจำเป็นต้องทำเหมือนโมโหผมขนาดนี้เลยนี่นา
“เราบอกว่าจะย้ายออก เพราะไม่อยากให้เค้าคิดมากที่เราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่เค้าอยากให้เราอยู่ต่อเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลืออรรถได้ เค้าไม่อยากให้อรรถอยู่คนเดียว”หนุ่ยเล่าไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“เอาน่าเดี๋ยวทุกอย่างมันต้องดีขึ้น”ผมบอกออกไปเพื่อให้หนุ่ย ไม่เป็นกังวลนัก
“กลัวว่าทุกอย่างมันจะยิ่งแย่นี่สิ คุณตี้ก็คงกำลังเสียใจไม่น้อย น้ำเสียงที่คุยตะกี้ก็ฟังสั่นๆ เชียว แยกกันอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างกับเลิกกันหรอกนะอรรถ”
TBC
มาต่อคร๊าบบบ
ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร๊าบบบ
ติชมได้เหมือนเดิม
นี่ก็เรียกว่าเข้าสู่ช่วงปลายๆ เรื่องแล้ว
ถ้าไม่คลาดเคลื่อน PART II ก็คงมี 30 ตอนเท่ากับ PART แรก
อีกนิดก็จะจบแล้ว แต่ แต่ กว่าจะขุดมาแต่ละตอนก็นะ
ยังไงก็รอติดตามกันต่อหน่อยนะคร๊าบบบ