[จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)  (อ่าน 99988 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 18
ห่วง


Sharp’s Part
ผมตัดสินใจอยู่นานหลังจากรู้ข่าวเรื่องแฟนของปาร์ตี้ ว่าจะโทรหาเค้าดีไหม ในส่วนของรายระเอียดผมก็ทราบจากไอ้เหมาเกือบหมดแล้วละครับ ฟังแล้วก็หนักเหมือนกัน ถึงแฟนเค้าไม่ได้มีบาดแผลอะไรตามร่างกายที่รุนแรง แต่กลับมีปัญหาที่ความทรงจำ นี่ถ้าเป็นผมอยู่ๆ ถูกคนที่ตัวเองรักจำไม่ได้ ก็คงไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันแหละครับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและฟังดูเหลือเชื่อ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องยอมรับ ผมอยากจะโทรไปให้กำลังใจเค้าในฐานะเพื่อนคนนึง แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำได้แค่นั่งจ้องมองโทรศัพท์มาครึ่งค่อนวันแล้ว

“ตี้เค้าเป็นไงบ้างละลูก”คุณแม่ที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดินเข้ามาถามไถ่ผม แต่ถ้าแม่สังเกตสักนิดจะรู้ว่านี่ผมยังนั่งอยู่ที่จุดเดิม ตั้งแต่เช้าที่แม่ออกไปโรงแรม จนตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ไปไหน ถ้าถามว่าทำไมผมไม่โทรไปหาเค้าเลยก็จบ ไม่เห็นมีอะไรยาก แต่สำหรับผม มันยากที่จะพูดยังไงให้เค้ารู้สึกว่าเราแค่ให้กำลังใจกับเค้าแค่ในฐานะเพื่อน เพราะในใจผมก็ยังมองเค้าเป็นเพื่อนอย่างสนิทใจไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับเค้าอย่างเดิมให้ได้

บางเสี้ยวนาทีผมก็คิดนะครับ คิดแบบไม่สนใจความถูกผิด ว่าการที่แฟนตี้จำเค้าไม่ได้มันก็ดี อาจจะทำให้เค้าสองคนเลิกกันก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นความคิดไม่ดีในมุมเล็กๆ ของจิตใจด้านมืด แต่ผมคงยังเลวขนาดนั้นไม่พอ เพราะถ้ามองให้ถ้วนถี่การที่มันเป็นอย่างตอนนี้ตี้เค้าก็คงเสียใจมากพออยู่แล้ว

“เห็นเหมาบอกว่าไม่สู้ดีเท่าไหร่ครับ”ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากให้แม่จับผิดว่าทำไมผมยังไม่โทรไปถามไถ่เพื่อน แม่ผมเดินมานั่งลงข้างๆ ผม พร้อมสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ก็อย่างที่เคยบอกแหละครับว่าแม่ผมเอ็นดูปาร์ตี้อยู่พอสมควร ยิ่งมาทราบเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเค้ากับแฟนเลยยิ่งนึกเป็นห่วง

“ไม่น่ามาเกิดเรื่องแบบนี้เลยเนอะ นี่ถ้าวันนึงเกิดพ่อเค้าจำแม่ไม่ได้ขึ้นมา แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อ ยังไงลูกก็ให้กำลังใจเพื่อนเยอะๆ นะ ฝากบอกด้วยว่าแม่เองก็เอาใจช่วยให้แฟนเค้าหายเร็วๆ หรือมีอะไรอยากให้เราช่วยก็ไม่ต้องเกรงใจนะบอกมาได้เลย”แม่กุมมือผมพูดพร้อมด้วยน้ำตาเริ่มปริ่มๆ แต่พยายามกลั้นเอาไว้ แม่ถามเรื่องทั่วๆ ไปกับผมอีกเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปเตรียมเข้าครัว เพื่อทำอาหารเย็น

ผมจ้องมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง จ้องชื่อคนที่เพิ่งอยู่ในบทสนทนาของผมกับแม่เมื่อสักครู่ จริงๆ ผมจำเบอร์ของเค้าได้ตั้งแต่ตอนที่เราเคยตกลงว่าจะไม่บันทึกชื่อของอีกฝ่ายในตอนนั้น เพื่อป้องกันการจับผิดจากไอ้เหมา แต่หลังจากที่เราไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกันอีกแล้ว ผมก็กลับมาบันทึกเบอร์เป็นชื่อเค้า แบบปกติเหมือนเดิม ผมค่อยๆ แตะนิ้วลงไปที่หน้าจอสัมผัส สัญญาณบ่งบอกว่าสายได้เชื่อมต่อไปยังเค้าแล้ว ทำให้ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เสียงรอสายดังอยู่นาน นานจนผมนึกว่าเค้าคงจะไม่รับสายผม แต่ในที่สุดเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น

“ว่าไงชาร์ป”แต่พอเสียงเค้ารับสาย ผมดันชะงักเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเตรียมคำพูดมาดีแล้ว ที่จะคุยกับเค้าพอเอาเข้าจริงดันพูดไม่ออกซะงั้น

“ฮัลโหล ได้ยินหรือเปล่า”เค้าถามย้ำอีกครั้ง แม้ช่วงเวลาที่ผมเงียบจะยังไม่ได้กินเวลานาน แต่มันก็คงผิดปกติของการที่เป็นฝ่ายโทรมาแล้วยังเงียบเสียงอยู่

“ดะ..ได้ยิน ได้ยิน”ผมบอกออกไปตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบปรับอาการตัวเองให้เป็นปกติ ได้แต่นึกขำตัวเองว่ากลายเป็นคนที่ประหม่าแบบนี้ไปตั้งแต่เมื้อไหร่ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนรู้จักเค้าทีแรก เป็นผมเสียอีกที่พูดจาหยอกเย้าเค้าโดยไม่ได้เคอะเขิน และเป็นเขาที่เหมือนจะเขินกับสิ่งที่ผมทำ ทว่าตอนนี้มันกลับ สลับกันโดยสิ้นเชิง เค้าดูนิ่ง น้ำเสียงที่ผมได้ยินยากที่จะคาดเดาว่าเค้ารู้สึกอย่างไร ถ้าจากที่ไอ้เหมาบอกกับผมมา เค้าคงกำลังทำตัวให้ปกติ พยายามกดความเสียใจไว้ไม่แสดงออกมามากนัก

“คุณอรรถเป็นยังไงบ้าง”นี่คงเป็นคำถามที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้นบทสนทนาในครั้งนี้ พอบทสนทนาเริ่มก็รู้สึกว่าผมจะกังวลทำไมอยู่ตั้งนานเพราะต่อให้ผมจะรู้สึกยังไงกับเค้า หรือโทรมาในฐานะอะไร สำหรับเค้าผมก็คงแค่เพื่อนคนนึง เพื่อนที่เหมือนกับความรู้สึกของผมที่ให้กับกลิ้ง แม้จะเคยมีสัมพันธ์ทางกายกัน กลิ้งอาจจะมีความรู้สึกให้ผมมากกว่าเพื่อน แต่ผมไม่ได้รู้สึกมากกว่านั้น เช่นกันกับผมที่ความรู้สึกกับปาร์ตี้ มันเปลี่ยนไปจากแค่ sex friends เกินเลยมากกว่านั้น ส่วนปาร์ตี้กลับคงไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับผม

“ก็อาจต้องอยู่โรงพยาบาลอีก 2-3 วันเพื่อตรวจซ้ำแล้วก็รอผลอีกบางส่วน ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงแล้วแหละ ยกเว้น...”เสียงเค้าเงียบลงและหยุดไป มันก็คงเป็นเรื่องที่ทำใจยากอยู่ไม่น้อยแหละครับ กับสิ่งที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ แน่นอนว่าคุณอรรถเองก็น่าสงสารไม่แพ้กัน แต่ถ้าตามความรู้สึกส่วนตัว ผมก็ต้องเห็นใจปาร์ตี้มากกว่าอยู่แล้ว

“เรารู้เรื่องมาจากไอ้เหมาบ้างแล้วแหละ ตี้ไม่ต้องกังวลมากหรอก หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามีโอกาสหาย เราเชื่อนะว่ายังไงคุณอรรถจะต้องหาย”ไม่ใช่ว่าผมพูดไปเพียงเพราะให้ดูดี หรือให้เค้ารู้สึกดีแค่นั้นนะครับ ผมพูดเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคุณอรรถหาย ปาร์ตี้เองก็ไม่ต้องมาเศร้าแบบนี้ การเห็นเค้ามีความสุขมันก็ย่อมดีกว่าเห็นเค้าทุกข์ใจอยู่แล้วจริงไหมครับ

“อื้อ เราก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”เค้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจะยังเป็นกังวลอยู่ ผมนึกถึงใบหน้าของเค้าว่าตอนนี้ สีหน้าเค้าจะกำลังเศร้าแค่ไหน ผมยากปลอบเค้านะครับ แต่ไม่รู้คำพูดหรือความรู้สึกที่ผมอยากจะสื่อออกไป มันจะไปถึงเค้าหรือเปล่า

“เฮ้ย คุณอรรถเค้ารักตี้จะตายไป อีกไม่นานยังไงเค้าต้องจำตี้ได้แหละ”แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปมันจะเป็นจริงหรือเปล่า ผมก็แค่อยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้นนี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเดินเข้าไปกอดให้กำลังใจเค้าแล้ว จริงๆ ถ้ากลายมาเป็นผมที่จำเค้าไม่ได้ทุกอย่างมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ผมเองก็ไม่ต้องมารู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เค้าเองก็อาจจะไม่ต้องลำบากใจเวลาเจอผม เค้ากับแฟนก็ยังรักกันด้วยดีต่อไป

“ขอบใจนะ”น้ำเสียงที่เค้าตอบกลับมาฟังดูผ่อนคลายขึ้น ทำให้ผมเองก็พลอยเผลออมยิ้มออกมา อย่างน้อยการที่ได้คุยกับผมแล้วเค้าสบายใจขึ้นบ้าง แบบนี้ผมก็รู้สึกดีแล้วครับ ระหว่างผมกับเค้าให้มันเป็นแบบนี้ก็คงดีที่สุดแล้ว ผมคงต้องทำใจยอมรับให้ได้อย่างจริงจังเสียที การได้เป็นเพื่อนที่คอยห่วงใยกันมันก็เกินพอแล้ว

“เออ แม่เราฝากบอกด้วยว่า ขอให้คุณอรรถเค้าหายไวๆ แล้วก็ถ้ามีอะไรอยากให้พวกเราช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ผมบอกเล่าเกี่ยวกับแม่ผมอีกเล็กน้อยให้เค้าฟัง ซึ่งเค้าเองก็ฝากขอโทษแม่ผมที่ตัวเค้าบ่ายเบี่ยงคำชวนของแม่ผม ให้มาเที่ยวที่บ้านหลายครั้งแล้ว แต่ละครั้งแม่ผมก็คงเข้าใจว่าปาร์ตี้เค้าไม่ว่างติดงาน ไม่มีเวลา แต่จริงๆ แล้วทั้งผมและเค้าเองน่าจะรู้อยู่ลึกๆ ว่าเหตุผลที่เค้าไม่ยอมมาสักที มันน่าจะมาจากตัวของผมนี่แหละ

“เดี๋ยวเราลองคุยกับอรรถดูก่อนแล้วกันนะ เพราะคิดไว้เหมือนกันแหละว่าต้องหาเวลาพาเค้าไปพักผ่อน ให้สมองได้ผ่อนคลายอย่างที่คุณหมอแนะนำ ลองไปที่ใหม่ๆ ดูบ้างเผื่ออะไรๆ มันอาจจะดีขึ้น”ก็ไม่รู้เค้าตอบกลับตามมารยาทหรือเปล่า เพราะผมเสนอให้เค้าพาแฟนมาพักผ่อนที่ทางโรงแรมของที่บ้านผม แถมด้วยการมาเจอแม่ผมด้วย ที่เสนอแบบนี้ผมไม่ได้คิดอะไรมากกว่าให้เค้ากับแฟนได้มาพักผ่อนนะครับ ผมให้กำลังใจเค้าอีกนิดหน่อย ก่อนจะวางสาย แล้วคิดทบทวนบางอย่าง

“คุยกับตี้เค้าเหรอลูก”แม่ผมที่ไม่รู้มาตั้งแต่ตอนไหนเอ่ยทักผมขึ้น เพราะกำลังคิดอะไรอยู่ผมเลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครเข้ามา ผมพยักหน้ารับคำผู้เป็นแม่

“เห็นว่าคุณแรรถเค้าต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล อีก 2-3 วันนะครับ”ผมเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ทราบมาให้ผู้เป็นแม่ฟัง

“งั้นชาร์ปไม่ไปเยี่ยมเพื่อนหน่อยละ”เป็นสิ่งที่ผมเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันแหละครับ แต่ก็ยังกังวลทั้งเรื่องงานของผมเองที่รับผิดชอบอยู่ รวมทั้งเรื่องที่ติดค้างในใจของผมด้วย เลยไม่มั่นใจว่าผมควรไปเขอเค้าหรือเปล่า

“ก็คิดๆ อยู่และครับ แต่คงต้องดูงานก่อนว่าช่วงนี้ติดอะไรหรือเปล่า”ผมตอบออกไปตามตรง คือตอนแรกก็ยังลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี พอแม่มาพูดอย่างนี้ผมก็คงตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแหละครับ

“แหม ทำยังกะพ่อกับแม่จะดูแทนไม่ได้ ไปไม่กี่วัน ฝากพ่อกับแม่ดูก็ได้ ลูกก็ไปเยี่ยมเพื่อน ไปดูบ้านที่กรุงเทพฯ ด้วย หรือถ้ายังบ้างานอีกก็ เอางานที่ต้องไปประสานกับลูกค้าที่ทำสัญญากับเราไว้ไปติดต่อที่กรุงเทพฯ ด้วยก็ได้”อันนี้เริ่มออกแนวประชดแล้วครับแม่ผม ไอ้ผมก็ไม่ได้บ้างานอะไรขนาดนั้น เพียงแต่การใช้ชีวิตที่นี่ผมก็มีแต่งาน มันก็ไม่รู้จะเอาเวลาไปทุ่มให้กับอะไร อีกอย่างพอได้ทำงานมันก็ทำให้เลิกคิดเรื่องของอีกคนไปได้บ้าง

“แม่ดีใจนะที่เห็นลูกตั้งใจ ทำงาน แต่บางทีก็ไม่ต้องโหมให้มันหนักมากก็ได้”พอผมไม่ตอบโต้ ไม่ปฏิเสธก็ยิ่งย้ำเข้าไปอีก นี่ถ้าคุยกันต่อคงไม่พ้นโยงเข้าเรื่องหาแฟนให้ผมอีกเป็นแน่ ผมเลยต้องรีบชิ่งขอตัว บอกกับแม่ว่าจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ผมปลีกตัวไปจัดการงานต่างๆ ที่คาดว่าจะต้องฝากให้คนอื่นดูในช่วงที่ไม่อยู่ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะอย่างที่แม่ผมบอกว่างานแทบทุกอย่าง พ่อกับแม่ผมก็จัดการได้อยู่แล้ว

เป็นอันว่าผมจัดการเคลียร์งานทุกอย่างด้วยความรวดเร็วพร้อมด้วยการจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายของวัน ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินเรียบร้อย เหลืออีกประมาณ 30 นาทีก็จะถึงเวลาเครื่องออก ผู้คนดูไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ คงเพราะไม่ค่อยมีใครเลือกขึ้นเครื่องดึกขนาดนี้

“มึงไม่ได้คิดอะไร ไม่ดีใช่ไหม”ไอ้เหมาที่พอรู้ว่าผมจะขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ ก็ตั้งคำถามกับผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในเจตนาดีของผม แต่ก็ว่ามันไม่ได้หรอกครับ จากสิ่งที่มันรับรู้เกี่ยวกับผม มันก็คงอดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้ ไอ้เหมาเสนอตัวที่จะมารับผมที่สนามบินเมื่อถึงกรุงเทพฯ แต่ผมปฏิเสธ เพราะกว่าจะถึงก็ปาเข้าไปตี 1 แล้ว ผมกลับแทกซี่เห็นจะสะดวกกว่า

“แล้วพรุ่งนี้ให้กูไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหรือเปล่า”จริงๆ ก็ไม่ได้ซีเรียสนะครับกับการไปเผชิญหน้าเค้า เพราะผมก็ตั้งใจจะไปหาเค้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ไปในฐานะเพื่อนคนนึงแค่นั้น ผมบอกไอ้เหมาออกไปว่า พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที ถ้ามันสะดวกจะไปได้ก็ไป แต่ถ้าติดธุระหรืออะไร ผมไปเองคนเดียวกะได้

หลังวางสายจากไอ้เหมาไม่นานก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เที่ยวบินรอบดึกวันนี้คนดูเบาบางพอควร ผมเดินผ่านพนักงานต้อนรับ ตรงไปยังที่นั่งตามที่ระบุอยู่ในตั๋วโดยสาร ยกกระเป๋าเก็บเรียบร้อยผมก็นั่งลงคาดเข็มขัด ข้างๆ ผมเป็นที่ว่างยังไม่มีใครมา ด้วยความที่ผมเลือกที่นั่งด้านในสุดเลย ค่อยๆ หลับตาลงเพราะเริ่มรู้สึกง่วงอยู่เหมือนกัน แม้จะใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงนิดๆ แต่ก็พอให้พักสายตาได้บ้างเหมือนกันแหละครับ ขอพักเอาแรงสักนิดละกัน ผมผลอยหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนเครื่องกำลังจะลง

“ตื่นแล้วเหรอ”ผมที่ยังตื่นไม่เต็มตาหันมองเจ้าของเสียงที่ทักทายผมอย่างงงๆ จำได้ว่าตอนจะหลับไม่ได้มีใครนั่งอยู่ข้างๆ แต่พอตื่นมาก็พบว่าที่นั่งข้างๆ ผมมันไม่ว่างแล้ว

“อ้าวกลิ้ง มาไงเนี่ย”ผมเอ่ยทักทายคนที่โผล่มาแบบผมไม่ได้คาดคิด

“พอดีไปทำธุระที่ภูเก็ตนิดหน่อยนะ ส่วนที่มานั่งตรงนี้ ทีแรกเรานั่งอีกที่แต่เห็นว่าเป็นชาร์ป และที่นั่งก็ว่างอยู่เลยขอแอร์ย้ายมานั่งตรงนี้ เห็นหลับอยู่เลยไม่อยากรบกวน”เค้าอธิบายเสียยืดยาว

“อ๋อ”ผมรับรู้อย่างมึนๆ เพราะยังเหมือนตื่นไม่เต็มตา และไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้าด้วยแหละครับ

“แล้วนี่ชาร์ปมากรุงเทพฯ ทำอะไรเหรอ”ดูเป็นคำถามที่เค้าไม่ได้อยากรู้คำตอบอย่างจริงจังสักเท่าไหร่ เพราะสายตาเค้าที่มองมายังผม มันดูเต็มไปด้วยความหมายอื่น แถมมือของเค้าที่วางลงบนหน้าขาของผมอีก เค้าค่อยๆ ขยับมือที่วางอยู่บนขาผมลูบไปมาช้าๆ

“เรามาเยี่ยมเพื่อนนะ พอดีเพื่อนประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล”ผมคงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดถึงขั้นว่า มาเยี่ยมแฟนของเพื่อนอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ และดูกลิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจอยากรู้รายละเอียดนั้นสักเท่าไหร่ด้วย มือเค้ายังวางอยู่ที่ขาผมเหมือนเดิม สายตาก็มองผมไม่กระพริบ นี่ที่ผมพยายามปฏิเสธเค้าครั้งก่อน มันคงไม่เป็นผลสินะ

“แล้วนี่ชาร์ปอยู่กรุงเทพฯ กี่วันเหรอ”เค้ายังคงถามคำถามผมต่อแม้จะชะงักไปเล็กน้อยที่ผมจับมือเค้าออกจากหน้าขาของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าการมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ของผมคงวุ่นวายกว่าทุกครั้งเสียแล้ว หลังจากเครื่องลงจอดแล้ว แทนที่ผมจะได้แยกย้ายกับกลิ้ง เค้าดันเอารถมาจอดที่สนามบินและอาสาจะไปส่งผมที่บ้าน แม้ผมจะปฏิเสธยังไงก็ไม่ฟัง สุดท้ายไอ้ผมก็เลยต้อง ปล่อยเลยตามเลยให้เค้ามาส่งที่บ้าน แถมระหว่างทางเค้าก็พยายามจะให้ผมหาเวลานัดทานข้าวกับเค้าสักมื้อในระหว่างที่ผมอยู่กรุงเทพฯ นี่ถ้าวันนี้ผมลืมความเกรงใจและให้ไอ้เหมามารับ เรื่องอาจจะไม่ยุ่งยากขนาดนี้ก็เป็นได้ แต่ยังไงเสียผมก็ยังไม่ตกปากรับคำอะไรกับที่เค้าเสนอมาสักอย่างแหละน่า

“ขอบคุณที่มาส่งนะ ขับรถกลับดีๆ ละ”ทันทีที่ถึงบ้านผมรีบหยิบกระเป๋าและลงจากรถ กล่าวลาเค้าอย่างรวบรัดตัดตอน

“ชาร์ป”เสียงเรียกชื่อผมทำให้ต้องหันกลับไปมอง แม้จะไม่อยากพูดคุยอะไรต่อสักเท่าไหร่ กลิ้งเดินลงจากรถตรงมาหาผมที่กำลังไขกุญแจรั้วบ้าน

“นี่ก็ดึกมากแล้ว คอนโดเราก็อยู่ไกล ขอค้างที่นี่สักคืนได้ไหม”





TBC

อิรุงตุงนังกันต่อไป

ขอบใจที่ยังติดตามนะคร๊าบบบบ

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
วุ่นวายแน่นวนนน

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เริ่มวุ่นๆซะแล้วชาร์ปเอ้ย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้ออออ.   อะไรจะบังเอิญไปซะทุกเรื่อง.  อย่าดราม่าเยอะสิ.   

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 19
สงสัย



Aut’s Part
“ก็อย่างที่หมอเคยบอกนะครับว่ามีโอกาสที่ความทรงจำของคนไข้จะกลับมา แต่หมอไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเมื่อไหร่”ผมนั่งนิ่งฟังผู้เป็นหมอตอบคำถามของปาร์ตี้ หรือคนที่บอกว่าเป็นแฟนผมนั่นแหละครับ เค้าดูอยากให้ความทรงจำผมกลับมามากๆ ซึ่งก็คงอยากให้ผมจำเค้าได้นั่นแหละครับ มันก็คงจะแปลกอยู่ไม่น้อยถ้าเรายังจะคบกันต่อโดยที่ผมยังรู้สึกว่าเค้าเป็นคนแปลกหน้าอยู่

คุณหมออธิบายอะไรอีกนิดหน่อยก่อนจะปลีกตัวออกไป ปาร์ตี้เดินมาหยุดตรงหน้าผม เค้าไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กำลังมองผมนิ่ง นี่เค้าคงไม่ร้องไห้อีกหรอกนะ จริงๆ ก็ไม่อยากเห็นเค้าเศร้าหรอกนะครับแต่บอกตามตรงว่าพอผมจำเค้าไม่ได้ ความรู้สึกว่าผมรักเค้า หรือความรู้สึกที่ว่าเค้ารักผม มันเลยเหมือนเท่ากับศูนย์ ในเมื่อพอผมไม่รู้สึกทุกอย่างที่เค้าแสดงออกมาผมเลยมองว่ามันไม่จริง แล้วยิ่งเหมือนเค้ามีบางอย่างที่ไม่ได้บอกผม เลยยิ่งทำให้ผมมีแต่ความสงสัยและไม่เข้าใจในตัวเค้า ปกติเวลาผมคบกับใคร สิ่งหนึ่งที่มักเป็นข้อตกลงในการคบกันของผมคือ ความจริงใจ และพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง

“สมมติถ้าผมจำคุณไม่ได้”ผมตัดสินใจลองถามออกไป เพราะถึงคุณหมอจะบอกว่าผมมีโอกาสที่จะจำได้ ซึ่งมันก็แค่โอกาสมันไม่ได้ยืนยันว่าผมจะจำได้ และจากที่นั่งคิดนอนคิดผมไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตผมเองจะมีปัญหากับการที่สูญเสียความทรงจำบางส่วนนั่นไป เรียกว่าถ้าผมไม่มีทางจำได้ขึ้นมา ผมว่าผมก็คงไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร หรือต่อให้คนตรงหน้าผมเนี่ยจะขอเลิกกับผม ผมก็คงไม่น่าจะต้องตัดสินใจยากอะไร เพราะยังไงผมก็ไม่รู้จักเค้าอยู่แล้ว ถ้าจะมีใครที่ต้องเสียใจกับการที่ผมจำเรื่องราวไม่ได้ก็คงมีแค่ปาร์ตี้ แค่คนเดียว

“อรรถไม่อยากจำเราได้เหรอ”เค้าถามผมกลับมาเสียงสั่น ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลง จะว่าเห็นใจเค้าไหมผมก็เห็นใจนะครับ แต่ถ้าผมยังจำเค้าไม่ได้แล้วเราสองคนคบกันต่อไป แล้วให้เค้าทนอยู่กับผมที่ในตอนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกรักเค้า และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะรักเค้า หรือผมอาจไม่มีความรักให้เค้าเลย สู้ยอมให้เค้าเจ็บเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ นี่เป็นสิ่งที่ผมเองก็แค่คิดกับตัวเองนะครับ เพราะจะให้พูดออกไปมันก็ดูจะกระทันหันไปสำหรับเค้า

“มันก็...”

“ก็ดูแข็งแรงดีนิ นึกว่าจะมาเจอสภาพแขนหัก ขาเดี้ยง ซี่โครงทะลุซะอีก”เสียงของผู้มาใหม่พูดแทรกขึ้น บทสนทนาระหว่างผมกับปาร์ตี้จำต้องหยุดลง บุคคลที่มาใหม่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ผมเท่าไหร่ ผมคลี่ยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่ก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน แต่ทว่าปาร์ตี้กลับดูหน้าเจื่อนๆ ลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผมละสายตาจากปาร์ตี้หันไปมองหนุ่ย คนที่ในความทรงจำบอกว่าเค้าคือแฟนผม

“หวัดดีตี้”เค้าหันไปทักทาย ซึ่งปาร์ตี้เองก็พยักหน้าทักทายแบบผ่านๆ นี่แสดงว่าสองคนนี้รู้จักกัน แล้วทั้งสองคนนี้ไปรู้จักกันได้ยังไง ผมแนะนำให้รู้จักกันเหรอ แฟนเก่ากับแฟนใหม่ ผมยังนึกภาพไม่ออกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ต้องมาแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน แต่ก็นั่นแหละครับ ขนาดว่าผมเลิกกะหนุ่ยตอนไหนหรือคบกับปาร์ตี้ตอนไหนผมยังไม่รู้เลยนี่เนอะ

“อย่ายิ้มให้แบบนี้ได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”หนุ่ยเดินเข้ามาหาผมพร้อมบอก ส่วนปาร์ตี้ขยับถอยออกไปเล็กน้อย ว่าแต่รอยยิ้มผมมันผิดปกติตรงไหนทำไมหนุ่ยต้องทำท่าขนลุกขนาดนั้นด้วย

“เราเลิกกันแล้วใช่ไหม”ผมถามย้ำกับหนุ่ยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่หนุ่ยกลับยิ้มขำๆ พร้อมหันไปมองปาร์ตี้ ผมเห็นปาร์ตี้พยักหน้าส่งสัญญาณให้หนุ่ย แสดงว่าก่อนมานี่หนุ่ยกับปาร์ตี้คงคุยกันเรื่องอาการของผมมาบ้างแล้วสินะ

“เลิกกันจนเราสองคนต่างฝ่ายต่างมีคนใหม่แล้ว”นั่นสินะ จริงๆ ถ้าตามความจริงมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมผมถึงรู้สึกใจหวิวๆ แปลกๆ ที่มาได้ยินจากปากของหนุ่ยเอง หรือผมยังหวังอะไรอยู่

“เฮ้ย ซึมอะไรละ แค่ความทรงจำหาย เดี๋ยวก็ดีขึ้น เดี๋ยวก็จำได้เองแหละน่า”ผมส่งยิ้มแห้งๆ กลับให้หนุ่ยเพราะผมไม่ได้กังวลเรื่องความจำเท่าไหร่เลย แต่ที่ผมกำลังรู้สึกคือมันยังมีความรู้สึกตกค้างในใจเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างผมกับหนุ่ยนี่สิ

“แค่รู้สึกเบื่อๆ การอยู่โรงพยาบาลแล้วแค่นั้นแหละ นี่ก็แข็งแรงดีแล้วไม่รู้ทำไมไม่ให้ออกสักที อยากกลับบ้าน อยากไปทำงานแล้วเนี่ย”ผมรีบปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริง หรือผมต้องคิดใหม่เสียแล้วกับสิ่งที่ว่าการสูญเสียความทรงจำมันไม่มีผลอะไรกับผม อย่างน้อยความรู้สึกตอนนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมคงต้องเจอเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดอีกมากตามมาแน่ๆ

“คุณหมอไม่ได้ห้ามออกนอกห้องใช่ไหม”หนุ่ยเหมือนถามผมแต่หันไปรอคำตอบจากปาร์ตี้ เค้าก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ นิดหน่อยว่าหนุ่ยถามทำไม

“งั้นไปเดินทัวร์โรงพยาบาลกัน”หนุ่ยหันมาฉีกยิ้ม พร้อมเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินตาม ซึ่งปาร์ตี้เองก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผมเดินตามออกมาเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าระหว่างผมกับหนุ่ยตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันขนาดไหน แถมที่เค้าบอกว่าเราต่างคนต่างมีแฟนใหม่หลังจากเลิกกัน แสดงว่าตอนนี้เค้าเองก็คงมีคนของเค้าอยู่

“หยุดทำไม เป็นอะไรหรือเปล่า”เค้าหันกลับมามองผมที่หยุดเดิน ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ค่อยๆ แกะมือเค้าออกจากข้อมือของผม

“อรรถเดินเองได้”ผมตอบออกไปเสียงเรียบ เค้าส่งเสียงหัวเราะน้อยๆพร้อมรอยยิ้มขำๆ กลับมาที่ผม ก่อนจะเริ่มเดินหน้าต่อ ผมว่าบรรยากาศโรงพยาบาลมันมีอะไรน่าจรรโลงใจให้มาเดินเล่นหรือไงเนี่ย ก็เห็นมีแต่คนป่วย บรรยากาศออกจะน่ากระอักกระอ่วนเสียด้วยซ้ำ เค้าเดินนำผมไปเรื่อยๆ จนถึงร้านกาแฟ ใช่ครับผมก็เพิ่งรู้ว่าในตัวอาคารของโรงพยาบาลมีร้านกาแฟด้วย ก็เหมือนร้านกาแฟเล็กๆ ที่ไม่ได้ต่างจากข้างนอกมากนักหรอกครับ มีโต๊ะให้ลูกค้านั่ง 4-5 ตัวเห็นจะได้ เราสองคนเลือกที่นั่งมุมนึงด้านในของร้าน ก่อนเค้าจะเดินไปสั่งกาแฟกับพนักงาน ส่วนผมปฏิเสธ เพราะไม่มั่นใจว่าสภาพร่างกายผมควรดื่มกาแฟได้หรือยัง นี่ยังใส่ชุดคนไข้อยู่เลย แค่พยาบาลยอมปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านนี่ก็ดีมากแล้วมั้ง

“น่าจะมีอะไรอยากคุยกับเราใช่ไหม”ผมพยักหน้าตอบรับ เพราะจริงๆ ก็มีคำถามมากมายที่อยากจะรู้ระหว่างผมกับเค้า จริงๆ ออกจะมากกว่าคำถามที่ผมมีกับปาร์ตี้เสียอีก คงเพราะกับปาร์ตี้ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเค้าอยู่แล้ว มันเลยไม่รู้สึกที่จะอยากรู้อะไร แต่กับหนุ่ยมันเหมือนค้างคาอยู่หลายอย่างเหลือเกิน

“ทำไมเราสองคนถึงเลิกกัน ทะเลาะกัน หรือใครมีคนอื่นเหรอ”ผมตั้งคำถาม เพราะก็ยังนึกเหตุผลของการเลิกราระหว่างเราไม่ออก หนุ่ยมองผมยิ้มๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่าง

“เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้เลิกเพราะใครไปมีคนใหม่ เราสองคนจากกันด้วยดี เพียงแค่วันนึงเราสองคนถึงจุดอิ่มตัว และไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว เราก็ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตส่วนตัว”ต่างคนต่างหมดรักกันอย่างนั้นเหรอ ผมยอมรับว่าเราก็ไม่ได้รักกันหวานหยด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกับเหตุผลการเลิกกันของเราสองคนสักเท่าไหร่

“แล้วหนุ่ยกับแฟน ไปกันได้ดีไหม”เค้าหัวเราะให้กับคำถามของผม  แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แปลกออกไป

“เลิกกันแล้ว”ผมค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยกับคำตอบ เพราะดูท่าทีที่แสดงออกมาของหนุ่ย ดูไม่ได้เสียใจอะไรกับสิ่งที่กำลังบอกว่าเลิกกับแฟน แม้ผมจะรู้ว่าหนุ่ยไม่ค่อยแคร์หรือใส่ใจอะไรมากนัก แต่ถ้ายังมีความรู้สึกดีๆ กับคนที่พูดถึงอยู่อาการของหนุ่ยจะไม่ออกมาแบบนี้ แสดงว่าคงจบกันด้วยไม่ดีสักเท่าไหร่

ความสงสัยผมค่อยๆ คลี่คลายเมื่อหนุ่ยเริ่มเล่าว่า เค้ากับผมเพิ่งกลับมาเจอและติดต่อกันใหม่เมื่อไม่นานนัก โดยสาเหตุมาจากการที่หนุ่ยทะเลาะและเลิกกับแฟนนั่นแหละครับ เลยมาขออยู่บ้านผมชั่วคราวเลยทำให้หนุ่ยรู้จักกับปาร์ตี้ด้วย ออกจะฟังเป็นเรื่องแปลกๆ อยู่สักหน่อยที่ผมยอมให้แฟนเก่าและแฟนใหม่มาอยู่ร่วมกันได้

“ก็ตอนนี้อรรถกับแฟน ไม่ได้อยู่บ้านอรรถไง”เค้าแย้งผม เมื่อผมแสดงความเห็นว่าถ้าผมคบกับคนนึงอยู่ ผมคงไม่ยอมให้คนเก่าเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมอีก แม้จะบริสุทธิ์ใจ แต่มันก็ต้องให้เกียรติคนปัจจุบันของเราเองด้วย หรือว่านี่คือเรื่องที่ผมได้ยินปาร์ตี้คุยกับเพื่อนของเค้า หรือผมยังมีใจให้หนุ่ย เลยทำตัวเว้นระยะห่างจากเค้างั้นเหรอ

“เราสองคนไม่ได้มีการเขี่ยถ่านไฟเก่าใช่ไหม”ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยค้างคา ดูหนุ่ยเองก็ตกใจกับคำถามของผมเหมือนกัน คงไม่คิดว่าผมจะถามอะไรแบบนี้ออกมา

“เฮ้ย ไม่มีเราเคยบอกแล้วไงว่าไม่มีทางคิดย้อนกลับไปหาอะไรที่เดินออกมาแล้ว”เคยบอกแล้วตอนไหนละ ตอนที่อยู่ในช่วงความทรงจำผมหาย แล้วไอ้การที่เค้ามาขออยู่บ้านแฟนเก่าอย่างผมเนี่ยก็ดูย้อนแย้งกับสิ่งที่เค้าบอกผมอยู่นะ แต่ถ้าเค้าปฏิเสธ แล้วระหว่างผมกับปาร์ตี้มีอะไรอีกที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น

“แล้ว...ระหว่างอรรถกับแฟนละ เรารักกันดีไหม”หนุ่ยนิ่งลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังได้ยินคำถามของผม ถึงหนุ่ยจะเพิ่งมารู้จักกับปาร์ตี้ แต่การที่เค้าเข้ามาอยู่ในบ้านของผม แล้วผมกับปาร์ตี้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังนี่ หนุ่ยก็คงพอจะมีอะไรเล่าให้ผมฟังบ้างแหละที่ตัวเค้าสังเกตได้ ผมรู้ว่าหนุ่ยเก็บรายละเอียดของคนอื่นได้ดีในระดับหนึ่ง มันเป็นความสามารถของเค้าที่จะว่าดีก็ดี แต่บางครั้งก็เป็นความสามารถที่ไว้ใช้หาประโยชน์ใส่ตัวเองเสียมากกว่า

“ทำไมถามแบบนี้”แค่เค้าย้อนถามผมแบบนี้มันก็เหมือนจะชัดแล้วนะว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมเลิกคิ้ว รอให้เค้าพูดต่อ แต่พอดีกับจังหว่ะที่กาแฟมาเสิร์ฟที่โต๊ะ หนุ่ยหันไปรับแก้วมาและยกขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ จนผมต้องถามย้ำให้เค้าเล่าในมุมมองของเค้าว่า เห็นความสัมพันธ์ของผมกับแฟนเป็นยังไงบ้าง

“อรรถกับแฟนก็...รักกันดีนะ พูดตามตรงเรารู้สึกว่าอรรถแคร์เค้ามาก คงรักมากด้วยแหละ ส่วนแฟนอรรถเราก็ว่าเค้านิสัยดี ดูเค้าก็รักอรรถนะ แต่ว่า...”

“คุณอรรถ เอ่อหวัดดีครับ”บทสนทนาของผมกับหนุ่ยถูกขัดจังหว่ะโดยใครคนนึง คนที่คงรู้จักผม แต่ผมมองแล้วผมไม่รู้จักเค้าแน่ๆ ชายหนุ่มที่สูงพอๆ กับผม ใบหน้าดูได้รูปจัดว่าดูดีทีเดียวแต่ติดตรงที่ใส่แว่น และการแต่งตัวสบายๆ ทำให้เค้าดูดีแบบจืดๆ ไปหน่อย ผมไม่ใช่คนที่ชอบตัดสินคนจากการแต่งตัวหรอกนะครับ เพียงแต่มันติดเป็นนิสัยจากการที่ผมเองต้องติดต่อกับคนค่อนข้างเยอะ เลยชอบมองรายละเอียดการแต่งตัวของแต่ละคน

“เรารู้จักกันเหรอครับ”ผมถามออกไปตามตรงพร้อมหันไปขอความเห็นจากหนุ่ย ว่ารู้จักผู้ชายคนนี้ไหม แต่หนุ่ยเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่รู้จักเช่นกัน

“อ๋อโทษที ลืมแนะนำตัว ผมชาร์ปครับ เป็นเพื่อนกับตี้ จะมาเยี่ยมคุณอรรถแหละครับ กะลังจะขึ้นไปห้องพักผู้ป่วยใน แต่บังเอิญเห็นก่อนเลยเข้ามาทักนี่แหละครับ”เพื่อนของปาร์ตี้งั้นเหรอ นี่มีเพื่อนเค้าคนไหนบ้างที่รู้จักกับผมเนี่ย แล้วนี่ผมต้องกลับขึ้นไปห้องผู้ป่วยให้เค้าเยี่ยมใช่ไหมครับเนี่ย

“เอ่อ คุณชาร์ปใช่ไหมครับ ผมหนุ่ยนะครับเป็นเพื่อนอรรถเค้า ยังไงฝากอรรถเค้ากลับขึ้นห้องไปด้วยแล้วกันครับ คุณตี้อยู่ข้างบนแหละครับ ผมกำลังว่าจะกลับพอดีเลย ยังไงขอตัวก่อนนะอรรถ”อ้าวไหงงี้ละเนี่ย อยู่ๆ หนุ่ยก็พูดเองเออเอง เตรียมตัวจะกลับไปเสียดื้อๆ นี่ผมกับเค้ายังคุยกันไม่จบเสียด้วยซ้ำ แถมดูมีอะไรที่หนุ่ยกำลังจะบอกผมเสียด้วย

“งั้นก็กลับดีๆ ละกันนะ ไว้มีอะไรอยากถามแกจะโทรไปละกัน นี่อรรถมีเบอร์หนุ่ยแล้วใช่ไหม”ผมถามย้ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังมีเบอร์ติดต่อหนุ่ยหรือเปล่า พอเห็นหนุ่ยพยักหน้าก็ค่อยโล่งใจ เพราะคงมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะถาม

“ไปเลยไหมครับ”ผมหันมองนายแว่นที่มาขัดจังหว่ะบทสนทนาระหว่างผมกับหนุ่ย นี่ผมชักจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนี่หน่อยๆ แล้วสิ ระหว่างทางกลับห้องพักฟื้นเค้าก็ถามไถ่อาการผม เหมือนกับที่คนอื่นๆ ที่มาเยี่ยมผมนั่นแหละครับ เค้าคือกลุ่มเพื่อนสนิทกับคนที่มาเยี่ยมผมวันก่อน ที่เป็นแฟนกัน แต่ที่ผมแปลกใจคือ เค้าอยู่ที่ภูเก็ต แต่มาเยี่ยมผมถึงนี่ นี่ผมกับเค้าสนิทกันขนาดนั้นเหรอ แม้เค้าจะบอกว่าเมื่อก่อนทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่ก็เถอะ

“พอดีขึ้นมาติดต่องานที่กรุงเทพฯ ด้วยแหละครับ เลยแวะมาเยี่ยม อีกอย่างก็เป็นห่วงตี้เค้าด้วย”ถ้าแค่บอกว่ามาทำงานเลยถือโอกาสมาเยี่ยมผม มันก็ไม่แปลกนะครับ แต่ที่บอกว่าห่วงแฟนผม ทำไมผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ หรือผมคิดมากไป เค้าเป็นเพื่อนกัน แถมเพื่อนดันโดนแฟนจำไม่ได้อีก ก็คงต้องห่วงกันเป็นธรรมดา ไม่น่าจะมีอะไรหรอกมั้ง ผมพยายามบอกกับตัวเอง

“หวัดดีตี้”พอเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไอ้ความรู้สึกที่ผมคิดว่าแปลกมันกลับยิ่งรู้สึกชัดขึ้น ดูปาร์ตี้มีอาการตกใจเล็กน้อยที่เจอผู้ชายคนนี้ ก่อนจะรีบปรับตัวให้ดูปกติ ส่วนคนที่มาพร้อมผม ก็ดูเกร็งๆ แปลกๆ เหมือนกันตอนทักทาย มันให้ความรู้สึกต่างจากเพื่อนคนก่อนของปาร์ตี้ที่มาเยี่ยมผม นี่ระหว่างสองคนนี้มันมีอะไรหรือเปล่านะ




TBC

แวะมาต่ออีกตอนคร๊าบบบบ

แต่เนื้อเรื่องก็ยังวนๆ ไม่ไปไหนเท่าไหร่

 :z3:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครเลย

 :katai1:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
อรรถคงสังเกตอะไรได้แน่นอน
เพราะตี้จะมีอาการแปลกๆ เวลาเจอชาร์ป

เอาไงต่อดีล่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ boworange

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
 :a5: อ่านแล้วติดงอมแงม.




ปล...... คนแต่งอย่าใจร้ายกับตี้นักเลย  :sad4:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ไม่ไปไหนเลย :serius2:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
สงสารปาร์ตี้ แต่อรรถก็จำอะไรไม่ได้ อรรถคิดระแวงความสัมพันธ์ของชาปกับตี้แล้ว
  รออ่านต่อคับ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ armize

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสาร ตี้จัง

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 20
ยุ่งเหยิง




Sharp’s Part
“เอาตรงๆ นะกลิ้ง เราไม่ค่อยสะดวก อย่าหาว่าเสียมารยาทเลยนะ ยังไงเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวขอบคุณแทนวันหลังละกันนะที่มาส่งเนี่ย”พอรู้แหละครับว่าเจตนาของเค้าคืออะไร และผมคงต้องบอกกับเค้าตรงๆ แสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยจะได้ไม่เป็นการให้ความหวัง เพราะถ้าปล่อยไปมันก็จะเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย

“เท่าที่รู้ตอนนี้ชาร์ปก็ไม่มีใครนิ จะปฏิเสธเราทำไม เราไม่ได้ขอเป็นแฟนซะหน่อย แค่ขอนอนด้วย หมายถึงนอนค้างเฉยๆ ไม่ต้องมองแรงขนาดนี้ก็ได้”ดูเหมือนเค้าจะกำลังสนุกกับการกระทำทีเล่นทีจริงนี้ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเต็มที ทั้งเพลียทั้งง่วง นี่คงต้องรีบสลัดเค้าให้หลุดโดยเร็ว อาจจะดูเสียมารยาทหน่อย ก็อย่างที่บอกแหละครับ ว่าไม่อยากให้เค้ามามีความหวังอะไรในตัวผมอีก

“อย่าทำแบบนี้เลยกลิ้ง เราให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนจริงๆ กลิ้งเข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อนที่เราบอกใช่ไหม”ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียง สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าจริงจังสุดๆ เมื่อก่อนเราสองคนอาจเคยใช้คำว่าเพื่อนที่มันดูไม่ปกติ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลาหรือถลำลึกกับผม มากไปกว่านี้อีกแล้ว

“โอเคๆ เรายอมแพ้ กลับก็ได้ แต่ว่าก่อนชาร์ปกลับภูเก็ตต้องเลี้ยงมื้อเย็นเรา มื้อนึงตกลงไหม”นั่นแหละครับกลิ้งถึงยอมกลับไปแต่โดยดี แต่ทั้งสีหน้า คำพูด รอยยิ้มของเค้าดูไม่ได้ยอมรับกับสิ่งที่ผมบอกสักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะผมอยู่นี่แค่ไม่กี่วัน ผมกับเค้าคงไม่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเจอคนอื่นที่ดีกว่าผม หรือไม่ก็ให้เค้าเลิกหวังในตัวผมโดยไว

ทว่าการอยู่กรุงเทพฯ ไม่กี่วันของผมเนี่ยคงจะไม่ได้สงบสุขเป็นแน่ นี่กลิ้งเค้าได้นอนกี่ชั่วโมงกัน เมื่อคืนกว่าจะยอมกลับไปนั่นก็จะตี 2 อยู่แล้ว แถมเช้าวันนี้ผมตื่นมา ก็อาจไม่เรียกว่าเช้ามาก แต่เค้ามาจอดรถที่หน้าบ้านผมแล้ว หรือว่าเค้าไม่ได้กลับคอนโดกันแน่

“มาทำไรแต่เช้า หรือไม่ได้กลับ”หลังจากมองเห็นผ่านหน้าต่างว่าเค้ามาจอดรถหน้าบ้าน ผมเลยลงมาเปิดประตูพาเค้าเข้าบ้าน ผมตั้งคำถามพร้อมมองเค้าด้วยสายตาจับผิด แต่เค้ากลับยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย และผมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพชุดที่ดูจะหมิ่นเหม่นิดหน่อย ด้วยความที่อยู่คนเดียวผมก็ใส่แค่บอกเซอร์นอน นี่ก็แค่หยิบเสื้อกล้ามใส่ลวกๆ เดินลงจากห้องนอนมาเลยเพราะไม่ได้คิดอะไร แต่พอเจอสายตาจากกลิ้งที่มองผมอย่างมีเลศนัย ก็ทำเอารู้สึกแปลกๆ จนต้องดึงชายเสื้อตัวเองให้ต่ำลงอีกนิด

“วันนี้เราว่าง เห็นว่าชาร์ปจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล แล้วชาร์ปก็ไม่มีรถ เลยจะมาอาสาขับรถให้ไง”ดูท่าว่ากลิ้งจะไม่ยอมถอยง่ายๆ เสียแล้ว ไอ้ผมที่เพิ่งตื่นสมองก็ยังทำงานไม่เต็มที่ เลยไม่รู้จะแก้เกมเค้ายังไงดี นี่คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนละกัน

“งั้นก็ตามสบายแล้วกัน ขอเราไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวลงมา”ผมรีบกลับขึ้นชั้นสอง อาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอย่าเรียกว่าแต่งตัวเลย เพราะผมเลือกเสื้อผ้าชุดสบายๆ หัวก็ปล่อยให้ยุ่งๆ ไปแบบไม่ต้องเซ็ตอะไร กะว่าให้เป็นชุดที่ดูไม่พร้อมจะไปไหนต่อให้ มากที่สุด เพราะถ้ากลิ้งออกตัวมาขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่กะจะไปส่งผมโรงพยาบาลหรอกครับ คงกะพาผมไปที่อื่นต่อด้วยแน่ๆ

“ขอเราขึ้นไปคนเดียวแล้วกันนะ”เมื่อถึงที่หมายและเห็นว่ากลิ้งเหมือนจะตามผมไปด้วย ทั้งที่ตอนนั่งมาในรถผมก็บอกแล้วว่าให้เค้ามาส่งเฉยๆ เดี๋ยวผมนั่งแทกซี่กลับเอง แน่นอนว่ากลิ้งไม่ฟังผมหรอกครับ ตอนนี้อันดับแรกคงต้องไม่ให้เค้าตามผมขึ้นไปเยี่ยมคุณอรรถ จากนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ผมก็คงไม่ขนาดแอบหนีเค้ากลับหรอกครับ อันนั้นก็จะดูแย่ไป

ยังดีที่กลิ้งยอมรอข้างล่าง ผมปลีกตัวเพื่อจะหาลิฟท์ขค้นไปยังห้องพักฟื้นตามที่เหมาได้บอกไว้ แต่พอเข้าตึกโรงพยาบาลมา ยังไม่ทันที่ผมจะหาลิฟท์เจอ สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นคนป่วยที่ผมกำลังจะมาเยี่ยม คุณอรรถนั่งคุยกับใครสักคน น่าจะพื่อนเค้าแหละครับ ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปทักไหม กลัวจะเป็นการเสียมารยาท แต่สังเกตุดูก็ไม่น่าจะคุยธุระสำคัญอะไร อีกอย่างถ้าขึ้นห้องไปตอนนี้ผมก็ไม่เจอคนที่จะมาเยี่ยม และอาจจะต้องอึดอัดกับการอยู่กับปาร์ตี้ 2 คน หรือถ้าปาร์ตี้ไม่อยู่ คุณอรรถก็น่าจะจำผมไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจว่าทักเค้าน่าจะดีกว่า

และก็จริงที่เค้าจำผมไม่ได้ แถมมองผมหัวจรดเท้าอีก รู้หรอกครับว่าไม่ได้แต่งตัวดี แต่เล่นมองกันแบบนี้ก็ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปเหมือนกันนะครับเนี่ย อีกอย่างการเข้ามาทักอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือของผม เหมือนจะสร้างความไม่พอใจให้คุณอรรถอยู่บ้างเหมือนกัน แล้วพอผมมาทักเพื่อนเค้าก็ขอตัวกลับเลย ทั้งที่เหมือนจะยังคุยกันไม่จบ

ระหว่างทางจากร้านกาแฟ ที่เดินคุยกันมา เรียกว่าผมพูดเป็นส่วนมากจะถูกกว่า ทั้งที่ฟังจากไอ้เหมามาบ้างแล้วแต่ก็ยังอดใจหายแทนปาร์ตี้ไม่ได้ ดูคุณอรรถจะไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับปาร์ตี้เลย รวมทั้งคนรอบข้างปาร์ตี้อย่างพวกผม แล้วแบบนี้ทั้งสองจะคบกันต่อยังไง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงห้องพักฟื้นของคุณอรรถ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป คงเพราะเสียงเปิดประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องอย่างปาร์ตี้ เดินมาดูพอดี เค้าดูชะงักเล็กน้อยที่เห็นผมมาด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้บอกไว้ก่อนว่าจะมาวันนี้

“หวัดดีตี้”ชัดเลยว่าอาการผมไม่ปกติ มันเหมือนทำตัวไม่ถูกที่มาเจอเค้า ทั้งที่คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้วแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณอรรถจะทันสังเกตุเห็นไหม นี่ผมก็รีบปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติอย่างเร็วแล้ว จริงๆ ตอนคุยกันมาผมก็มีหลุดพูดว่าห่วงปาร์ตี้ด้วยแหละครับ แต่เห็นว่าคุณอรรถก็ไม่ได้ทักท้วงหรือถามอะไรผม ผมเลยนิ่งๆ ไว้

“ไม่เห็นบอกว่าขึ้นมากรุงเทพฯ”เค้าเดินมาจูงมือคุณอรรถไปนั่งที่เตียง พร้อมพูดถามไถ่ผมไปด้วย

“พอดีมาต้องมาติดต่องานกะทันหัน เลยแวะมานี่แหละ”ผมจงใจโกหกออกไป เพราะถ้าบอกออกไปตรงๆ ว่าตั้งใจมานี่มันก็คงจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย ทั้งในมุมของคุณอรรถและปาร์ตี้เองด้วย

“แม่เราฝากมาเยี่ยมด้วยนะ แถมฝากบอกอีกว่าให้ตี้กับคุณอรรถ ไปเที่ยวพักผ่อนที่โรงแรม มีการบอกจะเป็นสปอนเซอร์ให้ด้วย ยังไงถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ยินดีต้อนรับนะ คุณอรรถด้วยนะครับ”ผมบอกกับทั้งคู่ แต่ดูคุณอรรถจะยิ้มฝืนๆ ยังไงบอกไม่ถูกครับ หรือว่าเค้าอยากจะพักผ่อนกันละเนี่ย ผมเลยพูดคุยถามไถ่อาการอีกเล็กน้อย ก็กะว่าจะขอตัวกลับ

“ยังไงก็หายไวๆ แล้วกันนะครับ เอาใหม่ดีกว่า ยังไงก็จำปาร์ตี้ให้ได้ไวๆ นะครับ ถ้ามีโอกาสคงได้ไปดื่มด้วยกันเหมือนแต่ก่อน”ผมบอกก่อนจะขอตัวกลับ

“คุณไปส่งเพื่อนหน่อยดีกว่า ผมอยู่คนเดียวได้”ผมหันไปจะปฏิเสธ แต่คุณอรรถก็ยังยืนยันวันให้ปาร์ตี้เดินออกมาส่งผม ผมได้แต่หันไปยิ้มให้คุณอรรถอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังสรรพนามที่เค้าใช้คุยกับปาร์ตี้ ยิ่งทำให้ผมนึกห่วงความรู้สึกของปาร์ตี้ ผมกับปาร์ตี้เดินคู่กันออกมาเงียบๆ เงียบจนเริ่มรู้สึกว่าจะอึดอัด

“ตี้/ชาร์ป”พอจะหาเรื่องคุยก็ดันพูดขึ้นมาพร้อมกันเสียนี่ ทั้งผมและเค้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กัน ผมเลยเปิดโอกาสให้เค้าเป็นฝ่ายพูดก่อน เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญจะพูดอยู่แล้ว ผมก็แค่หาเรื่องจะคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูอึดอัดก็เท่านั้น

“ยังไงก็ขอบใจอีกทีนะที่อุตส่าห์มา จริงๆ ไม่ต้องลำบากบินมาก็ได้ เราเกรงใจ”แม้น้ำเสียงจะดูจริงจังแต่ท่าทีของตี้เองก็ดูผ่อนคลายขึ้น ผมหันไปยิ้มจางๆ ให้เค้า แต่เค้าเองกลับหลบสายตาผมทำเป็นมองไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรหรอก พอดีต้องมาติดต่องานด้วยแหละ”เค้าหันมามองผมเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แน่ละก็ผมโกหกนี่นา เรื่องงานที่ผมใช้เป็นข้ออ้างยังไม่ได้มีแผนจริงจังอะไรเลยในตอนนี้

“แล้วนี่ไปติดต่องานมาแล้ว หรือจะไปติดต่องานด้วยชุดนี้ล่ะ”แล้วผมกับเค้าก็ต่างหัวเราะออกมา ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกจะไม่ปฏิเสธการคาดเดาของเค้า เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเค้าผมก็แทบลืมทุกอย่าง บางทีการได้เห็นเค้ามีความสุข ผมก็คงเป็นสุขเช่นเดียวกับเค้านั่นแหละครับ

“แล้วเมื่อกี้ชาร์ปจะพูดอะไรเหรอ”เราเดินคุยกันจนมาใกล้จะถึงทางออกแล้ว จริงๆ เค้าไม่จำเป็นจะต้องให้เค้าเดินมาถึงนี่ แต่ผมก็ปล่อยให้เค้าเดินคุยมา เพราะผมเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่กับเค้าอีกสักนิด แม้จะเพิ่มมาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ

“เราแค่จะบอกว่าเราเอาใจช่วย ชีวิตคนเราก็คงต้องเจอบททดสอบที่ผ่านเข้ามากันทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น”ผมพยายามบอกเค้าด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดเพราะอยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้น แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกล่าวลาจริงๆ สักทีเราเดินมาจนสุดทางแล้ว ผมและเค้าหยุดมองหน้ากัน ผมตัดสินใจก้าวเข้าหาเค้า ก่อนจะสวมกอดเข้าไปโดยที่เค้าไม่ทันตั้งตัว

“เข้มแข็งไว้นะ”ผมตบเบาๆ ที่ไหล่เค้า 2 ทีก่อนจะคลายอ้อมก่อน เค้าดูเหวอไปนิดๆ คงเพราะไม่คิดว่าผมจะกอด ผมโบกมือให้เค้าอีกครั้งก่อนจะหันหลัง เดินตรงไปยังจุดที่กลิ้งจอดรอผมอยู่ ผมไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก และเค้าเองก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรกับผมอีกเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ได้ ผมยังทำใจเป็นแค่เพื่อนกับเค้าไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันนึงผมจะทำได้

“คนนี้หรือเปล่าคือคุณหอมแดงของชาร์ป”แสดงว่ากลิ้งเห็นที่ปาร์ตี้เดินมาส่งผม และคงเห็นที่ผมกอดลานั่นแล้วด้วย แถมนับว่าเดาเก่งเสียด้วยว่าปาร์ตี้คือใคร หรือว่าผมแสดงออกชัดไปว่ารู้สึกยังไง เค้าเคยไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยาก ผมไม่ได้ตอบคำถามของกลิ้ง แต่เปลี่ยนเป็นบอกจุดหมายปลายทางต่อไปของผมให้เค้ารู้แทน

“เค้าก็ดูปกติดีนิ ไหนว่าป่วย”กลิ้งยังคงวนเวียนกับคำถามเดิม และคิดว่าต่อให้ผมเลี่ยงยังไงเค้าก็คงต้องถามผมเช่นเดิมแน่ๆ

“แฟนเค้าโดนรถชน”ผมตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้

“อย่างงี้นี่เอง”กลิ้งพูดเหมือนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดีแล้ว ผมเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยเลือกที่จะเงียบ จุดหมายปลายทางของผมต่อไปคือบ้านไอ้เหมา ที่จริงวันนี้ก็เป็นวันทำงานของมันนะครับ แต่เห็นว่าใกล้สิ้นปีแล้ววันหยุดเหลือก็เลยลาอยู่บ้านเฉยๆ ทีแรกมันก็ว่าจะไปเจอผมที่โรงพยาบาลแหละครับ แต่ผมอยากใช้มันเป็นตัวสลัดกลิ้งเลยให้มันรออยู่บ้าน เพราะคิดว่ากลิ้งคงไม่ถึงขนาดจะเฝ้าผมที่บ้านของไอ้เหมาหรอกครับ

“ตกลงใครมาส่งมึงว่ะ ทำไมมึงต้องทำหน้าเหมือนหนีผีมาขนาดนี้”ไอ้นี่ก็ปากหมาพูดซะผมดูแย่เลย อีกอย่างกลิ้งก็ไม่ได้เหมือนผีสักหน่อย นี่ผมต้องยืนยันนะครับว่าจะไม่เบี้ยวนัดเลี้ยงข้าวเค้าเย็นนี้ถึงยอมถอยทัพกลับไปตั้งหลัก ส่วนผมนะเหรอครับ คาดว่าเย็นนี้ต้องลากไอ้เหมาไปเป็นไม้กันหมาด้วยแหละครับ ไม่งั้นคืนนี้ผมไม่รอดแน่นอน ผมรีบบอกไอ้เหมาว่าไม่ต้องรีบร้อน ยังไงซะคืนนี้มันก็ต้องได้รู้จักกลิ้งอยู่แล้ว

“แล้วไปเยี่ยมแฟนไอ้ตี้มาเป็นไงมั่ง”ผมอธิบายรายละเอียดตั้งแต่กลิ้งไปรับผมที่บ้านมาส่งโรงพยาบาล เจอคุณอรรถนั่งคุยกับเพื่อน อ๋อผมเพิ่งรู้จากไอ้เหมาว่าเพื่อนคุณอรรถที่ชื่อหนุ่ยคือ แฟนเก่าของคุณอรรถที่ตอนนี้เช่าบ้านคุณอรรถอยู่ ก็ดูมีความซับซ้อนอยู่เหมือนกัน แถมที่ไอ้เหมาเคยเล่าให้ฟังด้วยว่าเคยเห็นคุณอรรถกับแฟนเก่าไปนั่งดื่มด้วยกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ปาร์ตี้เคลียร์กับคุณอรรถไปรึยัง

“ไอ้เชี่ยแว่นนี่มึงไปกอดแฟนเค้าแล้วเค้าจะไม่คิดว่ามึงเป็นชู้กับแฟนเค้ารึไงว่ะ”แต่พอผมเล่าถึงช่วงท้ายๆ ไอ้นี่ก็เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มาเลยครับ

“มึงฟังกูไหมเนี่ยไอ้บ้า กูบอกแล้วไงว่ากอดให้กำลังใจแบบเพื่อน อีกอย่าง กูไปกอดต่อหน้าเค้าที่ไหนกันล่ะ”ผมว่าผมก็บอกชัดไปแล้วนะครับว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง โอเคผมอาจจะยังไม่ได้กอดแบบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจเต็มร้อย แต่ผมก็ยังไม่ได้ขนาดจะคิดให้เค้าสองคนมีปัญหาหรอกนะครับ

“เออๆ ว่าแต่มึงจะอยู่กี่วันเนี่ย นี่ๆ มึงรอเดี๋ยว นี่กูเตรียมของไว้ต้อนรับมึงด้วย”ไอ้เหมาหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วเบียร์วุ้น ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมบอกว่าแก้วเบียร์วุ้น ถ้านึกไม่ออกนะครับว่าแก้วเบียร์วุ้นเป็นยังไง ให้นึกถึงแก้วที่มีโลโก้เบียร์แล้วใส่น้ำที่ก้นแก้วแช่ช่องฟรีซ ให้ที่ก้นแก้วเป็นน้ำแข็งนั่นแหละครับ ตามด้วยการแช่เบียร์ให้เย็นมากๆ เช่นกันทีนี้ตอนเปิดขวดก็ใช้เหรียญเคาะที่ก้นขวด ตอนเทออกมาเบียร์ก็เป็นวุ้นพร้อมดื่มอย่างเย็นชื่นใจ แต่ว่าคนธรรมดาที่ไหนเค้าทำกันละครับแบบนี้

“มึงนี่เข้าขั้นแอลกอฮอลิซึ่มไหมเนี่ย ถึงขั้นทำขนาดนี้”ผมบอกมันพร้อมส่ายหน้าหน่ายๆ อีกอย่างนะครับ ดูเวลานี่ยังไม่เที่ยงเลยด้วยซ้ำ ละมันชวนผมดื่มตั้งแต่ตอนนี้เนี่ยนะ

“ดื่มให้กับความโสดของกู”จากที่ตอนแรกผมยังคิดจะห้ามไอ้เหมานะครับ แต่ตอนนี้ผ่านมาจนบ่ายคล้อย เรียกว่าเย็นแล้วจะถูกกว่าครับ ผมกับไอ้เหมาพลัดกันดื่มไปแก้วแล้วแก้วเหล้า แต่ดูเหมือนเบียร์มันผุดขึ้นมาเองรึไงไม่รู้ ดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด นี่ไอ้เหมามันเหมาเบียร์มาทั้งห้างหรือไงเนี่ย

“แต่ของกู ดื่มสละโสดโว้ยยย”ไอ้เหมาบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ เพราะเริ่มเมามากแล้ว คิดๆ แล้วก็ชักอิจฉามันอยู่นะครับ จากที่ตอนแรกเหมือนผมจะเป็นคนได้แต่งงานก่อน แต่สุดท้ายผมอาจจะไม่ได้แต่งเลย ส่วนไอ้เหมากับแพทจะแต่งในอีกไม่ช้านี้

แล้วผมกับไอ้เหมาก็ดื่มกันจนเรียกว่าเมาหัวราน้ำแล้วครับ ตอนนี้แทบจะไม่มีสติอยู่แล้วครับ นี่ผมไม่ได้เมาแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะเนี่ย ทีแรกก็ว่าจะไม่ดื่มมากมายอะไรขนาดนี้นะครับ แต่พอเริ่มสตาร์ทแถมด้วยหลายๆ เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ยิ่งได้พูดได้คุยกับไอ้เหมา เราทั้งคู่ก็ดันยิ่งดื่มกันเพลิน

“ทำไมเละเทะกันขนาดนี้เนี่ย”เสียงของแพทแว่วๆ ออกมาเพราะผมเมาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว และดูเหมือนไอ้เหมาเองก็สภาพไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่ นี่แพทจะโมโหหรือเปล่าเนี่ย ที่ไอ้เหมาลางานมาสำมะเลเทเมากับผมเนี่ย

“แบบนี้ไม่น่าจะไปทานข้าวกันได้แล้วละค่ะ”นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีก




ผมรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความมึนๆ รู้สึกหนังตามันหนักเหลือเกิน ไม่น่าดื่มหนักขนาดนั้นเลย แต่เดี๋ยวก่อนทำไมฝ้าเพดานบ้านไอ้เหมามันเหมือนบ้านผมจังเลยเนี่ย ผมค่อยๆ กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง นี่มันห้องนอนที่บ้านผมนี่นา แล้วผมกลับมาที่นี่ได้ยังไง แถม

“เฮ้ย”ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้นเลย ใครมาส่งผมละเนี่ย แล้วถอดเสื้อผ้าผมทำไม จะว่าไอ้เหมาก็ไม่น่ามีสติพาผมมาถึงบ้านได้ จะว่าแพทก็คงแบกผมไม่ไหว แล้วนี่มาถึงบ้าน ผมละเมอถอดเสื้อผ้าตัวเอง หรืออะไรเนี่ย งงไปหมดแล้ว แต่ความสงสัยของผมก็กำลังจะได้รับคำตอบ เพราะประตูห้องน้ำเปิดออกมาพร้อมกับ

“กลิ้ง”ผมรู้สึกใจหายแว๊ปขึ้นมาทันที นี่มันคงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นอย่างที่ผมกำลังคิดใช่ไหม กลิ้งเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ และอยู่ในสภาพที่หมิ่นเหม่ ไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะตัวเค้าก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันกายอยู่เพียงผืนเดียว

“เมื่อคืน...เราสองคน”ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในถังขยะข้างๆ เตียง

“เราสองคนมีเซกส์กัน”สมองผมตื้อขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากกลิ้ง




TBC

ถ้าคิดว่าที่ผ่านมามันยุ่งยากแล้ว

ขอบอกว่าคุณคิดผิดฮ่ะ  :a5:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5



 :เฮ้อ:


อะไรกันนักหนาเนี่ย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้ออ.  อีกลิ้งนี้น่ารำคาญจริงๆ ส่วนคนแต่วนี้น่าโมโหอะไร ดราม่าไปนะ. ดราม่ามากเกินจริงอะ.  แล้วเรื่องจะจบลงยังไง เฮ้อ.  ยิ่งอ่านยิ่งท้อ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กลิ้ง นี่ตื๊อจริงๆ น่ารำคาญมากๆ
ชาร์ป จะมีเซ็กส์กับกลิ้ง จริงหรือไม่จริง
รู้สึกชาร์ป ไม่น่าต้องรับผิดชอบ
เพราะเป็นความตั้งใจของกลิ้งฝ่ายเดียว
ชาร์ปเมา แล้วกลิ้งเสนอตัวเองเข้าหา
แล้วชาร์ป ก็บอกกลิ้ง ชัดเจนว่าคิดแค่เพื่อน
เอาละสิ ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ชาร์ปเอ้ยย 555 กลิ้งก็ไม่ยอมง่ายๆ คนแรกของกลิ้งนี่ลืมยากใช่มั้ย
  รออ่านตอนต่อไปคับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Who

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-4
อีกลิ้งเป็นบุคคลที่โคตรน่ารำคาญเลย
เอาจริงๆขนาดผู้หญิงอย่างเรายังมองว่าแม่งโครตแรด
มันจะเงี่_นอะไรขนาดนั้น...เงี่_นมากก็ไปซื้อกินสิ
นี่ผู้เขาก็ไม่เอายังเสนอตัวอยู่นั่น
หนักสุดดักปล่ำตอนเมาอีก ไม่รุ้แม่งมีโรคอะไรป่าว
ไปตรวจเลือดเลยแว่น

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เสียตัว..เสียใจ
 :ling2:

ทำแว่นยังงี้ได้ไงฮ้าาาา..กลิ้ง
ฮ่าฮ่า
 :hao6:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
วุ่นวายจนน่ารำคาญ

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
ไม่ชอบกลิ้งเลยอ่ะ น่ารำคาญ แล้วจะยังไงต่อเนี่ย
ปาร์ตี้ก็กำลังเครียดเรื่องอรรถเลย เฮ้อ ยุ่งเหยิงจริง

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 21
เลือก




Aut’s Part
“ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ครับให้ผมกลับไปทำงานเถอะครับ นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อมากเลยนะครับ”ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้สัปดาห์กว่าแล้วครับ แต่เจ้านายผมไม่ยอมให้ผมกลับไปทำงาน บอกอยากให้ผมพักต่ออีกสักหน่อย ทั้งที่ผมก็ดูแข็งแรง ปกติดีแล้ว

“งั้นผมให้คุณพักจนครบ 2 สัปดาห์แล้วค่อยมาทำงานปกติ ดีไหม งานนะปล่อยให้น้องๆ มันยุ่งมันเหนื่อยกันบ้าง ส่วนคุณก็พักให้เยอะๆ ก่อน ไม่ต้องรีบหรอกผมยังมีงานให้คุณทำอีกนาน”พอเจ้านายพูดมาขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อแล้วละครับ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน และผมก็รู้สึกอึดอัดกับการมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับ “คนอื่น”

“คนอื่น” ที่จริงๆ คือแฟนของผม ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนยากหรือมนุษยสัมพันธ์แย่นะครับ แต่การจะทำใจยอมรับคนที่ผมเพิ่งมีความทรงจำร่วมกับเค้าแค่ไม่กี่วันว่าเป็นแฟน สำหรับผมมันลำบากใจมาก ผมไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงความรู้สึกมันขัดแย้งกันไปหมด หนักสุดคือเราต้องนอนร่วมเตียงกันนี่แหละครับ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันแต่ละคืน มันดูประดักประเดิดไม่น้อยเลยทีเดียว

ตลอดหลายวันมานี้ผมเอาแต่พยายามนึก นึกถึงเรื่องราวที่ผมจำไม่ได้  ทั้งดูรูปทั้งดูประวัติการแชทต่างๆ เรียกว่าผมใช้ทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยกระตุ้นความจำของผมได้แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย ผมยังคงจำไม่ได้

หลังวางสายจากเจ้านายผมก็นั่งดูข้อความเก่าๆ เหมือนทุกวัน อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้ทุกประโยคแล้ว บทสนทนาที่เกิดขึ้นทุกวันระหว่างผมกับปาร์ตี้ ทุกข้อความที่พูดคุยผมสัมผัสได้จากตัวอักษรว่าผมคงรักผู้ชายคนนี้มาก แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่แปลกๆ อยู่ แม้ผมจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้ แต่มันเหมือนผมน้อยใจ หรือมีเรื่องกังวลอยู่ในแทบทุกตัวอักษรที่ส่งถึงกัน ยิ่งช่วงหลังๆ ก่อนที่ผมจะเกิดอุบัติเหตุ มันยิ่งดูมีอะไรให้น่าสงสัย นี่ระหว่างผมกับปาร์ตี้มันมีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ผมควรถามเค้าตรงๆ ดีไหมนะ แต่เท่าที่พูดคุยกันตอนนี้และสิ่งต่างๆ ที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ผมว่าเค้าเองยังดูจงใจปิดบังบางอย่างกับผมอยู่ อีกอย่างที่ผมยังติดใจก็คือเรื่องคุณแว่นเพื่อนของเค้านั่นแหละครับ

“ทานข้าว ทานยาด้วยนะ”ข้อความใหม่เด้งขึ้นมา ผมเลือกตอบรับเพียงสั้นๆ ให้เค้ารู้ว่าผมรับรู้แล้ว ในทีแรกปาร์ตี้จะลางานอยู่ดูแลผม แต่ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แน่ขนาดต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แล้วก็อยากที่บอกว่าถ้าต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงมันคงอึดอัดมากๆ เป็นแน่ ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ค่อยๆ หลับตาลงพยายามไม่คิดอะไรอีก แต่ว่าผมว่างขนาดนี้ผมจะห้ามสมองตัวเองไม่ให้คิดโน่นนี่ได้ยังไงกันละ

ผมอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน ตอนนี้ผมไม่มีรถใช้เพราะคันเดิมที่ใช้อยู่ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ดีไม่ดีไม่รู้จะซ่อมได้หรือเปล่า สภาพยับเยินขนาดนั้น แต่เห็นว่าที่ทำงานจัดรถคันใหม่ไว้ให้ผมใช้ทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนตอนนี้ก็คงต้องพึ่งแทกซี่ไปก่อน และแล้วผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ มันคือบ้านของผมเองเนี่ยแหละ แม้จะรู้ว่าตอนนี้หนุ่ยเช่าบ้านผมอยู่ ผมก็ไม่ได้กดกริ่งแต่อย่างใด ผมถือวิสาสะใช้กุญแจที่มีเปิดเข้าบ้านเองเพื่อไม่ต้องเสียเวลาให้หนุ่ยมาเปิดประตู

จากประตูรั้ว ผ่านเข้าประตูบ้าน ภาพที่ผมเห็นทำให้ต้องส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม นี่หนุ่ยคงทำงานจนดึกแล้วเผลอหลับไปอีกแล้วสินะ ผมเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ เพื่อให้เค้ารู้สึกตัว ภาพเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่คล้ายๆ แบบนี้ระหว่างผมกับเค้าผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมเองกลับดึกเพราะไปเลี้ยงลูกค้าบ่อยๆ ส่วนเค้าก็นั่งทำงานจนดึกดื่น และมักจะหลับรอผมที่ตรงนี้ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่ได้รอผม แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อเค้าเลยสักครั้งเช่นกัน

“มาได้ไงเนี่ย”คนเพิ่งตื่นคิ้วขมวด ถามผมด้วยเสียงงัวเงีย

“ไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวทำอะไรให้ทาน”ผมไม่ได้ตอบคำถามของเค้า แต่รีบดึงตัวเข้าลุกก่อนจะพลักให้ไปอาบน้ำ เพราะมั่นใจว่าเค้ายังไม่ได้กินอะไรแน่นอน เค้าแย้งผมอย่างที่ผมคุ้นว่าไม่หิว แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว ผมยิ้มขำให้กับคำพูดของเค้า แม้เค้าจะมีท่าทีแปลกใจกับการมาและการกระทำของผม แต่ผมมั่นใจว่าเค้าเองก็คงนึกถึงเหตุการณ์เดียวกันกับที่ผมนึกถึงอย่างแน่นอน ด้วยความที่หนุ่ยไม่ได้ทำงานประจำ เพราะงั้นงานเค้าจะไม่ค่อยเป็นเวลา วันทำงานปกติผมจะไม่ค่อยได้ดูแลเค้า แต่ถ้าวันหยุดก็จะเป็นแบบวันนี้เลย ปลุกเค้าไปอาบน้ำและเตรียมอาหารเช้าให้เค้า

หนุ่ยยอมไปอาบน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนผมเดินเข้าครัวอย่างคุ้นเคย จะไม่คุ้นได้ยังไงก็นี่มันบ้านผมนี่เนอะ โชคดีที่เปิดตู้เย็นแล้วยังพอมีอะไรให้ทำได้บ้าง แม้หนุ่ยจะไม่ใช่คนชอบทำกับข้าว แต่ผัก หมู ไข่ ก็มักจะมีติดอยู่เสมอ ซึ่งเค้าคงติดจากคำแนะนำของผมที่เคยบอกกับเค้านั่นแหละ แต่ก่อนเค้าชอบอ้างว่าทำกับข้าวไม่เป็นเลยขอกินอะไรง่ายๆ อย่างบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งมันขัดแย้งกับวิถีคนชอบทำกับข้าวอย่างผมมาก เลยต้องพบกันครึ่งทาง ถ้าผมไม่อยู่หรือไม่ว่างแล้วเค้าจะต้มมาม่าอะไรแบบนี้ ให้เอาหมู ผัก ไข่ อะไรพวกนี้ใส่ไปด้วย หรือยกระดับขึ้นมาหน่อยก็ให้เค้าต้มสุกี้ ซึ่งไม่ได้ทำยาก แค่โยนทุกอย่างลงหม้อต้ม ใส่ซุปก้อน เป็นอันจบ น้ำจิ้มก็ใช้ที่เป็นขวดไม่ต้องทำเอง นั่นคือสิ่งที่ผมเคยได้แนะนำแกมบังคับให้เค้าปรับเปลี่ยนวิธีการกิน ผมลงมือทำกับข้าวไปพร้อมคิดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่นานนักผมก็ทำอาหารอย่างง่ายๆ เสร็จ พร้อมๆ กับที่หนุ่ยอาบน้ำแต่งตัวลงมาจากชั้นสอง

“โหแค่ข้าวไข่เจียวหมูสับเองเหรอ ไอเราก็นึกว่าจะมีเมนูอะไรพิเศษให้เสียอีก”หนุ่ยบอกทีเล่นทีจริง เพราะเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าในตู้เย็นมันมีอะไรอยู่บ้าง และก่อนที่เค้าจะซักไซ้ผมอีกว่ามาที่นี่ทำไม ผมรีบบอกให้เค้ากินให้เสร็จก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ส่วนผมที่ทานก่อนที่จะมานี่เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งมองเค้ากินอยู่เงียบๆ

“อย่ามองแบบนี้ได้ไหม”เค้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมบอกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ หันหลบสายตาของผม นี่สายตาที่ผมมองเค้ามันแปลกหรือยังไง เค้าถึงบอกผมแบบนี้ แต่ผมก็ยังมองเค้าต่อไปเหมือนเดิม จนเค้าทานเสร็จรวบช้อนส้อมวาง และเงยหน้ามามองผมอีกครั้ง

“สรุปวันนี้มา มีอะไรหรือเปล่า แล้วก็หยุดมองด้วยสายตาที่น่าขนลุกนี่ได้แล้ว เพื่อนกันเค้าไม่มองกันแบบนี้นะ”ผมชะงักไปกับคำพูดของหนุ่ย เพราะทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มันไม่ใช่แค่ระหว่างผมกับหนุ่ย เมื่อกี้อาจด้วยความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ผมเผลอมองหนุ่ยด้วยสายตาที่มากเกินเพื่อนไปบ้าง แต่ที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกอย่างคือสายตาของคุณแว่นที่มองปาร์ตี้

“เฮ้ย เป็นไรเนี่ยอยู่ๆ ก็ตีหน้าเศร้า”หนุ่ยเรียกสติให้ผมกลับมาสู่บทสนทนา แต่ผมว่าผมไม่ได้เศร้านะ ผมแค่กำลังใช้ความคิดและไม่เข้าใจบางอย่างแค่นั้นเอง

“วันนั้นที่โรงพยาบาล เหมือนหนุ่ยจะพูดอะไรสักอย่างใช่ไหม”ผมนึกย้อนไปถึงวันที่คุณแว่นเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของผมกับหนุ่ย มันเหมือนมีบางอย่างที่หนุ่ยกำลังจะเล่าให้ผมฟัง

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่มีวันนึงอรรถมาระบายให้ฟัง ว่าตัวเองรู้สึกเป็นได้แค่ที่สองอะไรนี่แหละ แต่อรรถก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเท่าไหร่”ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่สองเนี่ยนะ แล้วที่สองของผมนี่เทียบกับใคร ตามที่รู้ตอนนี้ผมคบกับปาร์ตี้มาเป็นปีแล้ว ทำไมผมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นละ ปาร์ตี้เองเค้าก็คบผมมาเป็นปีแล้วแต่ยังไม่ลืมแฟนเก่าหรือไง แล้วใครคือแฟนเก่าของเค้ากันล่ะ

“คุณแว่นที่เราเจอที่โรงพยาบาลครั้งก่อน คือแฟนเก่าปาร์ตี้หรือเปล่า”ผมตั้งคำถามออกไป แต่หนุ่ยเองก็ให้คำตอบผมไม่ได้ เพราะหนุ่ยก็เพิ่งจะเคยเจอคุณแว่นครั้งแรกในวันนั้นเอง

“แต่ไม่น่าใช่หรอก คุณแว่นเค้ารู้จักอรรถไม่ใช่เหรอ แสดงว่าก่อนอรรถเกิดอุบัติเหตุ อรรถก็ต้องรู้จักเค้า ถ้าเค้าเป็นแฟนเก่าของแฟนอรรถจริงๆ อรรถน่าจะเล่าให้เราฟังตั้งแต่วันที่มาระบายตอนนั้นแล้ว”ความเห็นของหนุ่ยก็น่าสนใจ แต่ผมก็ยังคาใจเรื่องคุณแว่นนั่นอยู่ดี

“แล้วใครคือคนที่อรรถจะรู้สึกเป็นรองล่ะ”ผมพึมพำกับหนุ่ยแต่ก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

“ทำไมถึงมาคิดเรื่องนี้เนี่ย ตอนนี้ไม่มีความสุขเหรอ”นั่นสินะ ผมมีความสุขหรือเปล่ากับชีวิตตอนนี้ ตอนฟื้นขึ้นมาทีแรกผมคิดว่าความทรงจำของผมที่หายไปมันไม่มีผลกระทบอะไรกับผมหรอก แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่แล้วล่ะ

“เอาตรงๆ คือมันรู้สึกอึดอัดที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะแฟน กับคนที่เหมือนเพิ่งรู้จักกัน”ผมบอกออกไปตามตรง หลังจากได้ฟังความรู้สึกผม หนุ่ยเองก็ดูลำบากใจที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะผมเองพอจะมีในใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อในเรื่องนี้

ผมเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกับหนุ่ยเป็นการอัพเดทชีวิตของเค้าหลังจากที่เลิกรากับผม ว่าเป็นยังไงบ้าง ผมขอเค้าว่าวันนี้ขออยู่นี่จนกว่าปาร์ตี้จะเลิกงาน เพราะผมบอกกับปาร์ตี้ไปแล้วว่าอยู่บ้านคนเดียวมันเบื่อ ขอออกมาหาเพื่อนคุย และขอมาดูบ้านตัวเองด้วย เป็นอันว่าทั้งวันผมกับหนุ่ยก็นั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตของหนุ่ยหลังจากที่เราสองคนเลิกกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผมยังไม่เคยรู้มาก่อน หลังๆ มันเลยกลายเป็นว่ารากลับมาพูดคุยถึงช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันเสียมากกว่า

“แฟนอรรถมาแล้วมั้ง ไปดูดิ”เวลาล่วงเลยมาจนเย็น เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น นี่ผมคุยเรื่องราวจิปาถะกับหนุ่ยเสียจนลืมเวลาไปเลย เท่าที่คุยกับหนุ่ย ผมว่าส่วนหนึ่งที่เราสองคนเลิกกันมันคงเพราะเรื่องเวลาว่างด้วย การที่ลักษณะงานที่ต่างกันของเรา เวลาว่างหรือเวลาที่จะให้กันมันเลยไม่มี แล้วเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะปรับอะไรเข้าหากัน มันเลยจบลงไปอย่างง่ายๆ

“อ้าว อรรถ ไปเปิดประดูดิ เหม่ออะไรเนี่ย”หนุ่ยเรียกสติผมอีกครั้ง คงเพราะมัวแต่คิดอะไรในหัวทำให้ช่วงนี้ดูจะเหม่อบ่อยเป็นพิเศษ หวังว่าพอกลับไปทำงานผมจะไม่ทำให้งานเสีย

เป็นปาร์ตี้จริงๆ ที่กดกริ่ง เค้ายืนยิ้มรอผมอยู่แล้ว ผมส่งยิ้มกลับไปตามมารยาท พร้อมตรงไปเปิดประตูรั้วให้เค้า เค้ารีบถามไถ่ผมถึงอาการของผมในวันนี้ ซึ่งผมก็บอกไปตามตรงว่าไม่ได้ต่างจากทุกๆ วัน ดีหน่อยก็วันนี้ไม่เบื่อเท่าทุกวัน

“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”ผมรั้งเค้าไว้ ก่อนที่จะเข้าบ้าน เพราะอยากจะคุยอะไรกับเค้าตามลำพังสักหน่อย เราสองคนเลยยังนั่งอยู่ที่สวนด้านหน้าบ้าน เค้ามีสีหน้าสงสัยอย่างชัดเจนว่าผมจะคุยอะไรกับเค้า ผมคิดเรื่องนี้มาวันสองวันแล้วละครับ

“ผมอยากย้ายกลับมาอยู่บ้านนี้”เค้าดูไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจกับสิ่งที่ผมบอก หรือว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกผิดไป

“นึกว่าเรื่องอะไร ของใช้เราสองคนก็มีอยู่นี่อยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้เลยคงยังไม่ได้นะ เรามีบางอย่างที่ต้องกลับไปเอาที่บ้านนู้นอีก”นั่นไง เค้ากำลังเข้าใจว่าผมชวนเค้าย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ที่ผมกำลังจะบอกคือผมจะแยกกันอยู่กับเค้า ก่อนมานี่ผมยังแค่ลังเลนะครับ จนพอได้มาคุยกับหนุ่ย เรื่องที่หนุ่ยบอกว่าผมเคยระบายว่ารู้สึกตัวเองเป็นแค่ที่ 2 ไม่ใช่ที่ 1 ในใจของปาร์ตี้

“ผมหมายถึง แค่ตัวผมคนเดียว”ผมบอกออกไปตามตรง ซึ่งมันก็ทำให้เค้าหน้าเสียไปเหมือนกัน ผมรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ อาจจะดูว่าผมเห็นแก่ตัวที่เอาความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าลำบากต้องมาพะวงกับผม หรือถ้าเอาแบบแย่สุดๆ คือถ้าผมไม่มีวันจำเรื่องราวที่หายไปได้ ซึ่งผมว่ามันมีแววจะเป็นแบบนั้น เค้าเองก็คงไม่มีความสุขที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเค้าอย่างผม

“นี่ไม่ใช่การบอกเลิกใช่ไหม”เค้าถามผมเสียงแผ่ว ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นการทำร้ายเค้า แน่นอนนี่ไม่ใช่การบอกเลิก แต่ผมก็ไม่อยากให้เราทั้งคู่ผูกมัดกันไว้ จากนี้ไปเราอาจยังดูแลกันและไปมาหาสู่กัน ที่ต่างไปก็แค่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมอธิบายกับเค้าอย่างที่ได้คิดไว้

“แล้วทำไมต้องแยกกันด้วย”ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องปิดบังความรู้สึก ผมบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าผมรู้สึกอึดอัดใจยังไง แต่เรื่องคุณแว่นที่ผมสงสัยหรือเรื่องความรู้สึกที่ผมเคยมาระบายกับหนุ่ย ผมเลือกที่จะไม่พูดออกไป เพราะแม้จะมีผลกับการตัดสินใจของผมแต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับการตัดสินใจ เค้ายังดูจะยังไม่ค่อยอยากยอมรับกับสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป

“งั้นผมขอถามคุณว่า ระหว่างคนที่คุณรักกับคนที่รักคุณคุณจะเลือกอยู่กับใคร”ผมแค่อยากเปรียบให้เค้าเห็นภาพว่าสำหรับผม ผมคงเลือกอยู่กับคนที่ผมรัก เพราะถ้าฝืนอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รักผมก็ไม่รู้ว่าวันนึงจะรักเค้าได้หรือเปล่า ผมรู้ว่ามุมมองเค้าอาจจะไม่เหมือนกับผม ก็แค่อยากให้เค้าเข้าใจในมุมของผมเท่านั้นเอง

“รู้อะไรไหม คำถามนี้อรรถเคยถามเราแล้วครั้งนึง และเราเลือกที่จะไม่ตอบ”เค้าตอบคำถามของผมด้วยประโยคที่ย้อนบอกเรื่องราวในอดีตกับผม แล้วทำไมผมถึงต้องถามคำถามนี้กับเค้ากันนะในครั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้นทำไมเค้าถึงเลือกที่จะไม่ตอบผม

“แล้วถ้าผมขอให้ตอบในครั้งนี้ คุณจะเลือกอยู่กับใคร”เค้ายิ้มฝืนๆ กลับมาที่ผม

“ถ้าเป็นเรา เราเลือกอยู่กับคนที่รักเรา”ผมไม่รู้ว่านี่เค้าตอบแบบนี้เพราะอยากให้ผมอยู่กับเค้าเหมือนเดิม หรือว่านี่คือสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ แล้วตอนเค้าตัดสินใจคบกับผม เค้ารักผมหรือเลือกคบเพราะแค่ผมรักเค้ากันนะ

ปาร์ตี้กลับไปแล้ว โดยที่ไม่ได้เข้าบ้านมาเจอหนุ่ยด้วยซ้ำ แม้เค้าจะไม่เห็นด้วยกับผมในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายผมก็ขอให้เค้าเคารพในการตัดสินใจของผม และอีกอย่างเราสองคนก็ยังคงสถานะแฟนไว้เหมือนเดิม เพียงแต่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมว่าทั้งผมและเค้าคงต้องการเวลาในการทบทวนหลายๆ อย่างว่าเราสองคนควรเดินไปในทิศทางไหนต่อ

“อ้าว แฟนอรรถล่ะ”หนุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ผมเข้าบ้านมาเพียงลำพัง

“กลับไปแล้ว”ผมตอบเสียงเรียบ

“หมายความว่ายังไง”หนุ่ยรีบเข้ามาถามอย่างตกใจ จนผมต้องบอกให้ใจเย็นๆ และเล่าเรื่องที่ผมเพิ่งพูดกับปาร์ตี้ไป หลังจากฟังจบดูหนุ่ยจะกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หนุ่ยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจแบบนี้ของผม เค้ารีบต่อสายถึงปาร์ตี้โดยไม่ได้สนใจจะฟังคำอธิบายจากผมอีก

“คุณตี้ใจเย็นๆ นะครับ ถ้าไม่สบายใจยังไงผมจะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วที่สุด”ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่โดนหนุ่ยชี้มือให้เงียบไว้ทำให้ผมทำได้เพียงนั่งฟังเงียบๆ

“เอาแบบนั้นเหรอครับ”เหมือนทั้งคู่กำลังตกลงอะไรบางอย่าง แต่ผมก็คงต้องรอฟังจากหนุ่ยอีกที

“ไม่ใช่หรอกครับ...ถึงเค้าจะจำคุณไม่ได้ แต่คุณก็รู้จักเค้านิครับ คุณก็แค่ต้องมาทำให้เค้ารู้จักคุณใหม่แค่นั้นเอง มันอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณรักเค้ามากพอ ผมว่ามันไม่น่าจะเกินความสามารถของคุณ ที่จะทำให้เค้าตกหลุมรักคุณอีกครั้ง”ว้าว นี่ถ้าไม่ได้ยินกับหู ผมคงไม่เชื่อว่านี่คือคำพูดของหนุ่ย ก็รู้นะครับว่าเค้าก็ไม่ถึงขนาดกับไม่แคร์คนรอบข้างเลย แต่สิ่งที่เค้ากำลังทำ มันดูขัดกับบุคลิกที่เคยคุ้น

“เค้าว่าไงบ้าง เค้าจะกลับมาทำให้เราตกหลุมรักเค้าใหม่ไหม”ผมแกล้งแซวหนุ่ยขำๆ แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ขำกับผมเลย เพราะเล่นมองผมด้วยสาตาเขียวปัดขนาดนี้

“ไม่ตลก”นี่โหมดกำลังไม่พอใจจริงๆ สินะ

“เราก็มีเหตุผลของเราไง”หนุ่ยถอนหายใจ พร้อมกับเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ เค้าไม่เห็นจำเป็นต้องทำเหมือนโมโหผมขนาดนี้เลยนี่นา

“เราบอกว่าจะย้ายออก เพราะไม่อยากให้เค้าคิดมากที่เราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่เค้าอยากให้เราอยู่ต่อเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลืออรรถได้ เค้าไม่อยากให้อรรถอยู่คนเดียว”หนุ่ยเล่าไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

“เอาน่าเดี๋ยวทุกอย่างมันต้องดีขึ้น”ผมบอกออกไปเพื่อให้หนุ่ย ไม่เป็นกังวลนัก

“กลัวว่าทุกอย่างมันจะยิ่งแย่นี่สิ คุณตี้ก็คงกำลังเสียใจไม่น้อย น้ำเสียงที่คุยตะกี้ก็ฟังสั่นๆ เชียว แยกกันอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างกับเลิกกันหรอกนะอรรถ”




TBC

มาต่อคร๊าบบบ

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร๊าบบบ

ติชมได้เหมือนเดิม

นี่ก็เรียกว่าเข้าสู่ช่วงปลายๆ เรื่องแล้ว

ถ้าไม่คลาดเคลื่อน PART II ก็คงมี 30 ตอนเท่ากับ PART แรก

อีกนิดก็จะจบแล้ว แต่ แต่ กว่าจะขุดมาแต่ละตอนก็นะ  :z3:

ยังไงก็รอติดตามกันต่อหน่อยนะคร๊าบบบ

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
แยกกันอยู่แบบนี้ก็อาจจะดีนะ
บางทีจะได้ติดอะไรๆให้มันชัดขึ้น

ตอนนี้เริ่มเข้าใจชื่อเรื่องล่ะผิดที่ใคร นั่นสิ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครผิด
บางทีอาจจะไม่มีคนผิดก็ได้


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แยกกันอยู่แบบนี้ก็อาจจะดีนะ
บางทีจะได้ติดอะไรๆให้มันชัดขึ้น

ตอนนี้เริ่มเข้าใจชื่อเรื่องล่ะผิดที่ใคร นั่นสิ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครผิด
บางทีอาจจะไม่มีคนผิดก็ได้
อืมม.....คิดเหมือนกัน
อยากให้คิดได้ทั้งสองคน
่เอ๊ยยย.........สี่คน สิ
อรรถ ตี้ ชาร์ป และกลิ้ง(ตื๊อชาร์ปเหลือเกินน่ารำคาญ)
ชาร์ป ใจแข็งซะที ต้ดกลิ้งอกจากวงโคจร ณ บัดนาว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ AuyAaiz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มัวหมอง :seng2ped:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด