PART II บทที่ 15
พ่อแม่ลูก
Sharp’s Part
“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด 1 ปี อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปนานๆนะ”ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องประโยคนี้อยู่นานแค่ไหนแล้ว ประโยคที่มีรูปของผู้ชายสองคนยืนกอดคอกันและฉากหลังเป็นท้องทะเล ผู้ชายสองคนที่ดูเหมาะสมกัน และเค้าใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว 1 ปีเต็ม เค้าทั้งคู่ไม่ใช่ใครที่ไหนหนึ่งคนก็ปาร์ตี้ เพื่อนผม เพื่อนที่ผมคงใช้คำนี้ได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ ส่วนอีกคนก็แฟนเค้า ไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะอีกหลายคอมเมนต์ใต้รูปนี้ต่างแสดงความยินดีกับทั้งคู่แทบทั้งสิ้น
“รูปใครละลูก”เสียงผู้เป็นแม่ที่ดังมาจากหลังผม ทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติที่สุด ก่อนวางโทรศัพท์มือถือในมือและหันไปส่งยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ที่มายืนอยู่หลังผม ผมกางแขนออกโอบเอวของผู้เป็นแม่เข้ามาในอ้อมกอด ซบหน้าอ้อนกับเอวของแม่เหมือนเด็กๆ แม่ผมคงแปลกใจที่เห็นผมทำแบบนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มโต จากบ้านไปเรียนที่อื่นจนทำงาน ผมก็แทบไม่เคยได้กอดแม่อีกเลย
“เหงาเหรอลูก”สัมผัสแผ่วเบาลูบที่ศีรษะของผม แม่ลูบเบาๆ เลื่อนมาที่ท้ายทอยก่อนจะตบที่บ่าของผม ให้เงยหน้ามองแม่ที่รอให้ผมตอบคำถามที่เพิ่งเอ่ยกับผม
“มันก็มีบ้างแหละครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าบรรดาลูกสาวเพื่อนๆ แม่ผมขอเว้นไว้ก่อนนะครับ”ผมรีบออกตัวเพราะเกรงว่าแม่ผมจะจัดสาวๆ ชุดใหญ่ส่งมาให้ผมดูตัวอีก เสียงหัวเราะเบาๆ จากแม่ถูกส่งออกมาด้วยความเอ็นดูลูกชายอย่างผม แม้ผมจะโตจนสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว แต่ผมก็ยังคงเป็นลูกน้อยของแม่เสมอ เวลาอยู่กับแม่ทีไรมันเหมือนกลับไปเป็นเด็กเสียทุกครั้ง ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะกำลังโหยหาการใช้ชีวิตอิสระของตัวเอง หรือตอนมีคนรักก็เช่นกัน ผมเองตอนคบกับชะเอมก็มีปัญหากับแม่จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แถมตอนนั้นผมดันเข้าข้างฝั่งแฟนมากกว่าแม่ตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานกับเค้าบ้างเนี่ย”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่จริงจังนัก แต่ผมก็สัมผัสได้นะครับว่าแม่ก็คงอยากเห็นผมเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัว มีหลานตัวเล็กๆ ให้ท่านได้ชื่นใจ จริงๆ และแม่ก็คงเห็นความรู้สึกผิดในแววตาผมเช่นกัน เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น
“เห็นรูปแวปๆ ใช่ปาร์ตี้กับแฟนหรือเปล่าที่ชาร์ปดูรูป”แต่เรื่องที่แม่พยายามเบี่ยงประเด็นนี่มันดูไม่ได้ช่วยปรับความรู้สึกผมสักเท่าไหร่เลย แม่หยิบมือถือของผมไปดูหน้าจอที่ยังค้างอยู่ที่โพสต์ของปาร์ตี้ แม่ผมค่อนข้างเอ็นดูปาร์ตี้ เพราะเค้าเป็นคนที่ช่างเอาใจคนแก่ หาเรื่องคุยได้ถูกอกถูกใจแม่ผมมากเชียวแหละครับ แม่ผมยังเคยแอบพูดเล่นกับผมว่า นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิงคงให้ผมจีบเค้าไปแล้ว
“คู่นี้เค้าก็ดูน่ารักดีเนอะ ไม่ชวนเค้ามาเที่ยวบ้านเราบ้างละ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่แม่ให้ผมชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อย่างไอ้เหมากับแพทคงได้มาอีกเป็นแน่ แต่กับปาร์ตี้ผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะยินดีมาหรือเปล่า
“รอบนี้เค้าไปฉลองวันครบรอบกับแฟน ก็คงอยากสวีทกัน ถ้ามาบ้านเราเดี๋ยวแม่ก็ไปเป็น กขค เค้าอีกเอาไว้คราวหน้าผมจะชวนเพื่อนๆ มาถล่มบ้านเราให้ครบทีมเลยแล้วกันนะครับ ทั้งไอ้เหมา ทั้งแพท ทั้งปาร์ตี้กับแฟน ชวนมากันให้หมดเลยดีไหมครับ”ผมทำตัวให้ดูร่าเริงขึ้นเป็นปกติ ตอบออกไป เพื่อไม่ให้แม่จับสังเกตได้อีกว่าผมกำลังมีเรื่องที่คิดไม่ตก
“อ้าวนี่แม่จะมาตามเราไปทานข้าวเย็น คุยนู่นนี่นั่นเสียลืมเลย ป่ะๆ พ่อเค้ารอแย่แล้ว”พอนึกขึ้นได้ว่าที่จริงมาตามผมไปกินข้าว แม่ผมก็ลากผมมายังโต๊ะกินข้าวด้วยความรวดเร็ว อาหารหน้าตาน่าทานถูกวางเรียงรายส่งกลิ่นยั่วน้ำลายมาแต่ไกล ตรงหัวโต๊ะมีคนหน้าบึ้งหนึ่งคนที่ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ พ่อผมเองแถมดูเหมือนตอนนี้จะเริ่มโมโหหิวเสียแล้ว
“มาๆ กับข้าวจะเย็นหมดแล้วเนี่ย มัวไปตามกันถึงไหนปล่อยพ่อรอตั้งนาน”พ่อผมบอกเสียงดุหน่อยๆ แต่พ่อผมก็ทำขรึมไปอย่างนั้นแหละครับ จริงๆ ไม่มีอะไร บางครั้งก็วางฟอร์มให้ดูเป็นผู้นำต่อหน้าลูกน้อง หารู้ไม่ว่าลูกน้องเค้ารู้กันทั่วว่าเมียพ่อ หรือแม่ผมนี่แหละ ใหญ่สุดของที่นี่แล้ว
“ทำเรื่องโปรโมทเรือแล้ว เป็นไงบ้างละชาร์ป ผลตอบรับดีไหม”จริงๆ เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันเท่าไหร่นะครับ ช่วงแรกๆ ที่ผมกลับมาอยู่บ้านก็ยังทานพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่หรอกครับ แต่พอให้ผมเริ่มดูในส่วนธุรกิจเรือยอร์ช ผมก็ต้องทุ่มเวลาให้กับตรงนั้น จนบางทีกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา เลยไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ ส่วนเรื่องงานพอเริ่มเข้าที่เข้าทางพ่อกับแม่ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในส่วนที่ให้ผมรับผิดชอบอีก จะมีก็แต่ถามไถ่บ้างเป็นครั้งคราวเหมือนตอนนี้เท่านั้นแหละครับ
“ก็ดีครับ สมัยนี้สื่อออนไลน์มันไปเร็ว พอจับจุดถูกมันก็จะไหลไปของมันเอง ตอนนี้ยอดจองเรือเราวันเสาร์-อาทิตย์ตอนนี้เต็มยาวไปถึงปีหน้าแล้วครับ”ผมบอกเล่าผลลัพท์ในสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงทุนไป พ่อเองก็มีสีหน้าพอใจอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดตอนแรกพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำกับการที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโปรโมทธุรกิจ เพราะค่าลงทุนค่อนข้างสูงและอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ตอนนี้ผลตอบรับมันออกมาแล้ว ทำให้พ่อเองก็เริ่มเปิดใจกับวิธีการทำงานของผมมากขึ้น ทีแรกพ่อก็จะสอนวิธีบริหารงานในแบบของพ่อแหละครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากท่าน เพราะผมก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่บางอย่างผมก็อยากจะปรับให้มันเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางอย่างที่พ่อเคยใช้ในอดีต บางอย่างมันก็ต้องมาประยุกต์ให้เหมาะกับยุคนี้เท่านั้นเองครับ
“งานก็ลงตัวแล้ว แฟนละทีนี้ นี่อายุอานามเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บรรดาสาวๆ ที่แม่เค้าใส่พานมาให้เลือกนั่นไม่สนใจบ้างเหรอ”ผมแทบหลุดขำกับสิ่งที่พ่อพูด ทีแรกก็เหมือนจะกดดันผมอยู่หรอกนะครับ แต่ประโยคหลังนั่นแอบประชดแม่ผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย เพราะแม่ผมก็เอื้อมมือไปตีแขนพ่อเบาๆ อย่างงอนๆ เหมือนกันครับ
บรรยากาศการทานข้าวของครอบครัวเราวันนี้ดูจะอบอุ่นกว่าทุกวัน นี่สินะที่เป็นตัวอย่างครอบครัวที่ผมเคยคิดไว้ อาจเพราะแบบนี้ผมเลยฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นจะสร้างครอบครัวให้ได้เหมือนพ่อกับแม่ของผม
“พ่อกับแม่มารักกันได้ยังไงครับ”ทั้งคู่หันมามองผมแทบจะพร้อมกัน คงจะงงที่อยู่ๆ ทำไมผมถึงถามแบบนี้ แต่ผมก็แค่อยากรู้ว่าความรักของทั้งคู่เป็นมายังไง นี่ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่ยักกะจำได้ว่าทั้งสองเคยเล่าให้ฟัง หรือเคยเล่าตอนเด็กๆ แล้วผมจำไม่ได้ ส่วนตอนโตผมก็สนใจอย่างอื่นเสียมากกว่า เลยไม่ได้มาสนใจในเรื่องนี้
“แม่เค้าหนีตามพ่อมา”พูดจบก็หัวเราะออกมาจนแม่ผมเอื้อมมือไปฟาดที่แขนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะบอกผมว่าที่พ่อพูดมามันไม่ใช่ความจริง ให้แม่เป็นคนเล่าจะดีกว่า ผมก็ตั้งใจรอฟัง
“จริงๆ แล้วพ่อเค้าฉุดแม่มา”เอาเข้าไปครับพ่อกับแม่ผมจะเอาฮากันไปถึงไหน แล้วก็ดูหัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ สนุกกันมากสินะครับเนี่ยกับการได้อำลูก จนผมต้องถามย้ำอีกรอบว่าจริงจังกันหน่อย
“พ่อกับแม่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็เพื่อนของเพื่อนอีกที ทีแรกก็ไม่ได้สนิทกัน แต่แม่ไม่ค่อยชอบหน้าพ่อเค้าเท่าไหร่ตอนนั้นเค้าเจ้าชู้”แม่เริ่มเล่าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พ่อก็อมยิ้มฟังสิ่งที่แม่กำลังเล่า ทั้งสองคงมีความสุขที่ได้ย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกัน
“จนมีโอกาสได้ไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน ไปกันกลุ่มใหญ่เลย แรกๆ ก็เดินขึ้นพร้อมๆ กัน แต่พอเริ่มเหนื่อยก็เริ่มกระจายกันเรื่อยๆ พวกเพื่อนๆ ที่แม่สนิทดันแข็งแรงกันเหลือเกินปล่อยให้แม่รั้งท้าย เพราะไม่เคยเดินไกลขนาดนั้นมาก่อน ก็ได้พ่อนี่แหละช่วยถือของ ช่วยลากแม่ขึ้นไปจนถึงข้างบน ก็เลยเริ่มสนิทและคุยกันมากขึ้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงกับชอบนะ แค่ประทับใจเฉยๆ อีกอย่างตอนนั้นพ่อเค้ามีสาวๆ เข้ามาพัวพันเยอะ”พูดมาถึงตรงนี้แม่ก็หันไปมองพ่ออย่างหมั่นไส้ เป็นภาพที่ผมว่าน่ารักดีครับ
“จริงๆ พ่อเริ่มสนใจแม่เค้าตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ แล้วแหละ”พ่อผมพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“คือรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ดูไม่พอใจอะไรเราอยู่ เลยกลายเป็นสังเกตเค้าจนเผลอชอบไปอย่างไม่รู้ตัว พอกลับจากภูกระดึงก็เลยคิดจะจีบแม่เค้าจริงจัง ตอนนั้นเลิกคุยกะคนอื่น แต่จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด”ผมนั่งฟังไปยิ้มไป จริงๆ มันก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวจีบกันะครับ แต่พอมาเป็นเรื่องราวที่เป็นจุดกำเนิดของเรา มันทำให้ดูพิเศษขึ้นมาในทันที เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จัก รักกันและทำให้เราได้เกิดมา
“แม่เริ่มใจอ่อนจริงๆ ตอนรู้ว่าพ่อเค้าชอบไปบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนั้นเหมือนเรามองภาพเค้าเป็นคนเจ้าสำราญ เที่ยวเล่นไปวันๆ พอมารู้อีกมุมมันเลยแบบว้าว แต่ก็ยังไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์นะ จนเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน ก็คิดว่าคงไม่เจอกันอีกแล้วแหละ จนวันนึงต้องไปงานแต่งของเพื่อนในกลุ่ม ก็เจอกัน พ่อเค้าก็เดินมาคุย คุยกันเยอะมากตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน จนวนมาเรื่องที่ต่างคนต่างยังไม่มีใคร แม่ก็ถามว่าทำไมเค้าถึงยังไม่มีใคร และเพราะคำตอบในวันนั้นทำให้เราอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้”เล่ามาถึงตรงนี้แม่ผมเริ่มน้ำตาคลอ แต่มันคงเป็นน้ำตาแห่งความสุขแหละครับ
“พ่อตอบว่าไงเหรอครับ”ผมหันไปหาผู้เป็นพ่อแทน ซึ่งพ่อเองก็ยิ้มรออยู่แล้ว
“ก็บอกไปว่าแม่คือคนที่ใช่สำหรับพ่อแล้ว เลยไม่คิดมองใครอีกและก็เชื่อว่าวันนึงจะต้องได้กลับมาเจอกัน”คนที่ใช่งั้นเหรอ แล้วเราทุกคนจะรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าใครคือคนที่ใช่สำหรับเราแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเจอคนที่ใช่และใครคนนั้นก็มองว่าเราคือคนที่ใช่เช่นกัน
“พ่อครับ แม่ครับ ถ้าในที่สุดแล้วผมไม่สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างพ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวผมไหม”ผมถามออกไปเสียงนิ่ง แม้ผมไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่ามุมมองของผมมันเริ่มเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าจากนี้ผมจะได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่า ภาพใบหน้าของใครคนนึงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม เค้าเป็นคนที่เข้ามาทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองอีกครั้ง
ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมปาร์ตี้ถึงเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ผมเคยมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในเรื่องที่จะสร้างครอบครัว แต่พอผมเป๋จากชะเอม มันก็ไม่น่าทำให้ผมเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดมันเป็นเพียงการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากสังคมรอบข้าง ที่มันไม่ได้มาจากความรู้สึกของผมจริงๆ
“ยังไงที่ลูกคิดว่ามันจะไม่สมบูรณ์”แม่ผมหันมาถามอย่างสบายๆ แต่ท่าทีของแม่ก็ทำเอาผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่าจริงๆ แม่คิดยังไงกับคำถามของผม
“ก็สมมติผมอาจจะอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีใครอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีหลานตัวเล็กๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้ม”ผมปรับการพูดให้ดูไม่จริงจังนัก แต่ยังอยากพยามจะหยั่งเชิงถึงบางอย่างว่าพ่อกับแม่ผมจะมีมุมมองกับสิ่งที่ผมกำลังตัดสินใจ ซึ่งมันก็เป็นแค่การตัดสินใจอีกรูปแบบนึงแค่นั้น
“พูดเหมือนมีใครอยู่ในใจ หรือกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า”พ่อผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับมาบ้าง แต่สิ่งพ่อผมถามมาจะว่ามันใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ได้ ความรู้สึก ณ ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรอใครไหม และหมายถึงปาร์ตี้ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่อีกใจผมก็รู้ว่าเค้าอยู่กับคนที่เหมาะสม และคนที่เค้าเลือกแล้ว อีกอย่างเค้าเองก็อาจไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก มันทำให้ผมแทบไม่มีหวังที่จะรอ หรือจะให้เข้าไปแทรกกลางระหว่างเค้าและคนของเค้ายิ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ
“หรือถ้าท้ายที่สุดคนที่ผมเลือกจะเดินเคียงข้าง ไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังไหมครับ”ผมไม่ได้ตอบคำถามของพ่อ แต่ตั้งคำถามกลับไป คำถามที่ผมยังยึดเอาปาร์ตี้มาเป็นส่วนประกอบของคำถาม ทั้งที่เรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันไม่ได้จะสามารถมาพัฒนาอะไรต่อได้อีกเลย
“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมต้องย้ำกับการที่คิดว่าแม่กับพ่อจะผิดหวังในตัวลูกขนาดนี้”แววตาสงสัยฉายชัดมาจากแม่ของผม บางครั้งผมก็คิดนะครับว่าหรือควรพูดตรงๆ กับท่านทั้งคู่ถึงความสัมพันธ์กับแต่ละคนของผม รวมทั้งปาร์ตี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แน่นอนผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าท่านทั้งสองจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่
“เปล่าครับ ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเลยลองถามๆ ดู”ผมว่าคงต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจน่าจะดีกว่า ตั้งแต่เรื่องราวของผมกับน้องปลาตอนนั้นทั้งคู่ก็เสียใจกับการกระทำของผมมากพอแล้ว
“นี่แม่กดดันเรามากไปหรือเปล่า ชาร์ปฟังแม่นะ แม่ยอมรับว่าก็อยากมีหลาน อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ถามว่าถ้าไม่เป็นแบบนั้นแม่จะเสียใจไหม ผิดหวังไหม มันก็ต้องมีแหละ แต่ถ้าลูกแม่ตัดสินใจทำอะไร เลือกอะไรแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วยอยู่แล้ว ลูกจำไม่ได้เหรอตอนชะเอม ทีแรกแม่ไม่อยากยอมรับเค้า แต่เพราะลูกรักเค้า อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข แม่ก็ยินดี หรือตอนถอนหมั้นกับน้องปลา ไม่เคยโทษลูกเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ก็ดีกว่าฝืนอยู่ด้วยกันไปแล้วมาเลิกราทีหลัง สรุปแม่แค่อยากเห็นลูกแม่มีความสุข ถ้าชาร์ปมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขแล้ว และไม่เคยผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้เลย”ผมว่านี่ผมคงโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งคู่
“ขอบคุณนะครับแม่ พ่อด้วย”ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก
TBC
ตอนนี้อาจไม่มีอะไรมากนะครับ
แค่มาขยายให้เห็นว่าชาร์ปจะตัดสินใจต่อไปทางไหน