[จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)  (อ่าน 99960 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 14
ตอบหรือดื่ม


Aut’s Part
“ตื่นได้แล้ว”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก ตามด้วยสัมผัสเบาๆ ที่แก้มของผม เค้ายิ้มรอผมอยู่แล้ว รอยยิ้มนั้นทำให้ผมต้องยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ เค้าสวมเสื้อยืดตัวเดิมจากเมื่อคืน คงเพราะเค้าก็เพิ่งตื่นไม่นาน และคงคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆ มาใส่ก่อนอย่างลวกๆ ส่วนผมที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มนี่คงยังไม่ได้สวมอะไร ซึ่งก็เป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนเรามีค่ำคืนที่เร่าร้อนมาด้วยกัน ผมใช้สองแขนฉวยโอกาสที่เค้าเผลอโอบร่างของเค้า แนบเข้าหาตัว แล้วค่อยๆ พลิกให้เค้ามาอยู่บนตัวผม

“เล่นอะไรเนี่ย ลุกได้แล้ว”เค้าพยายามดิ้น แต่สู้แรงผมไม่ได้ ผมแกล้งเค้าอีกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เค้าลุกออกจากตัวผม เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายหันมาชี้ผมอย่างคาดโทษ แต่ผมก็ไม่ได้สลดหรอกนะครับ ผมแกล้งส่งยิ้มกวนๆ กลับไปให้เค้า หลังจากเค้าปิดประตูเข้าห้องน้ำ ผมก็พ่นลมหายใจออกมา เหมือนย้ำกับตัวเองว่าแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันที่โรงแรมในหัวหิน โรงแรมเดิมที่ผมเคยมากับเค้า ที่ผมและเค้าเกือบจะมีอะไรกันครั้งแรก แต่สุดท้ายเค้ากลับปฏิเสธผม เล่นเอาผมเสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว ในตอนนั้น

เหตุที่ตอนนี้ผมกับเค้ามาอยู่ที่หัวหินนี่ก็เป็นผลมาจากคืนวันที่เราไปฉลอง วันครบรอบนั่นแหละครับ หลังจากที่เค้าบอกกับผมว่า ให้ผมมั่นใจ แต่จนถึงตอนนี้เรื่องต่างๆ มันก็ยังคงรบกวนจิตใจผมอยู่เช่นเดิม ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนจะวิ่งกลับเข้ามาในความคิดผมอีกครั้ง

“อยากให้อรรถมั่นใจ ไม่ว่ายังไงอรรถก็คือคนที่เราเลือกนะ”ท่าทีที่จริงจังของเค้า ทำให้ผมเชื่อได้ไม่ยากครับ ว่าผมคือคนที่เค้าเลือกจริงๆ นั่นแหละ ผมคงไม่ค้านเค้าในจุดนี้เพราะมันก็ชัดเจนมาเป็นปีแล้ว เค้าเอื้อมมือมากุมมือผม ผมก้มมองสองมือของเค้าที่จับมือผมอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้า เค้ายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่เหมือนทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเค้ายังเหมือนเดิม เหมือนเดิมไม่ได้ต่างจาก 1 ปีก่อนเลย ผมค่อยๆ ละสายตาจากเค้า เบนสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือของเค้า

“อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอรรถจะเป็นคนที่ตี้รักใช่ไหม?”นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป เพราะยังไม่พร้อมรับในผลที่อาจจะตามมา หากว่าผมพูดออกไปแบบนั้น ผมกลับทำเพียงรับคำ แล้วก็ยิ้มให้เค้าเท่านั้นเอง

“งั้นเราไปต่างจังหวัดกันไหม ไปพักผ่อน ค้างคืน เราไม่ได้ไปเที่ยวกันนานแล้ว ถือโอกาสรวบยอดเลยดีไหม อรรถว่าไง”เค้าเสนอซึ่งผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยไม่น้อยเลยทีเดียว การได้ไปใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันมันอาจจะช่วยให้ผมเองรู้สึกดีขึ้น ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น ผมเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าผมจะรับกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

กว่าเราสองคนจะจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จก็เลยเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว ทั้งผมและเค้าอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสบายๆ กับกางเกงขาสั้น เราเลือกที่จะทานอาหาร ที่โรงแรมเพราะไม่อยากเสียเวลาออกไปหาร้านอีก นี่ก็หิวกันจนไส้จะกิ่วกันอยู่แล้ว ดีที่โรงแรมนี้อยู่ติดกับชายหาด ทำให้เราได้นั่งทานมื้อเที่ยงไปพร้อม ดื่มด่ำกับเสียงคลื่น แม้แดดจะแรง แต่ก็มีลมเบาๆ ทำให้วันนี้ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่

“เบียร์หน่อยไหม”เสียงเค้าเอ่ยถามหลังจากอาหารบนโต๊ะถูดจัดการโดยเราสองคนไปจนเกลี้ยง ว่าแต่นี่เพิ่งจะบ่าย นี่เค้าจะดื่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอเนี่ย ผมถามย้ำว่าเค้าไม่อยากไปทำอย่างอื่นเหรอ อย่างเล่นน้ำทะเล หรือกิจกรรมอะไรริมหาด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ว่าร้อน ขอนั่งจิบเบียร์ฟังเสียงคลื่นแบบนี้จะดีกว่า สุดท้ายผมก็ต้องดื่มเบียร์เป็นเพื่อนเค้า เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งผ่านลำคอของเราทั้งคู่ พร้อมๆ กับบทสนทนาต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาประกอบการดื่ม

บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวระหว่างเรา ตั้งแต่ผมเคยสนใจเค้าแต่ตอนนั้นผมยังคบกับหนุ่ยอยู่ เรื่อยมาจนได้ทำงานด้วยกัน ได้ทำความรู้จัก จนพัฒนาความสัมพันธ์ แม้จะมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ดูมีความหมายกับเราสองคน แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ส่งผลให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของเค้ากับอีกคนด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่เรารู้จักกันแรกๆ มันก็มีหลายเหตุการณ์ที่ผมได้รับรู้ระหว่างเค้ากับคุณแว่น แถมตอนนี้ผมก็ยังรับรู้ได้ว่าเค้าพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงคุณแว่นตรงๆ มันทำให้ความกังวลของผมที่เหมือนจะหายไป กลับมาอีกครั้ง

“เมาแล้วเหรอ ทำไมดูนิ่งๆ ไป”คงเพราะเห็นอาการที่แปลกไปของผม ทำให้เค้าเอ่ยถามออกมา เค้ายังคงถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมส่งยิ้มจางๆ กลับให้เค้าและส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะถึงจะดื่มไปพอสมควร แต่มันก็ยังไม่ได้มากขนาดจะทำให้เมาอะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันมีความรู้สึกเหนื่อยใจแทรกเข้ามาในความรู้สึกของผม ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมช่วงนี้ ผมต้องมากังวลอะไรขนาดนี้กับความรู้สึกของเค้าที่มีต่อคุณแว่น ทั้งที่ก่อนมานี่ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก

อยากมาใช้เวลาร่วมกับเค้า ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาวุ่นวายใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนผมจะทำไม่ได้ จริงๆ เรื่องของคนอื่นที่ว่าตอนนี้ก็มีอยู่ 2 คน ที่ผมมองว่าเป็นปัญหากับความสัมพันธ์ของผมและปาร์ตี้ คนแรกก็หนุ่ย ซึ่งรายนี้แม้ทีแรกผมมีความกังวลอยู่มากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมว่ามันเหลือแค่ความรำคาญใจมากกว่า หนุ่ยดูไม่น่าจะมาสร้างปัญหาใหญ่อะไรกับผม ส่วนอีกคนก็คุณแว่นที่ดูแล้วตอนนี้มีอิทธิพลกับเราทั้งคู่ กับตี้เค้าคือคนที่ตี้ยังลบออกจากใจไม่ได้ ส่วนกับผมเค้าคงเป็นคู่แข่งที่หน้ากลัว เป็นคู่แข่งที่เหมือนพร้อมที่จะเขี่ยตัวจริงอย่างผมออกไปได้ทุกเวลา

“เล่นเกมกันไหม”ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม ซึ่งไม่รู้ว่าที่ผมตัดสินใจจะทำต่อจากนี้มันจะส่งผลดีกับความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่า

“เอาดิ ว่าแต่เกมอะไร”เค้าดูมีท่าทีสนใจในสิ่งที่ผมชวน ผมอธิบายเกมง่ายๆ ที่ไม่มีอะไรซับซ้อน เกมที่จะทำให้ผมได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น มันไม่ได้มีอะไรมากก็แค่ผลัดกันถามตอบ แต่ต้องตอบตามความจริง ห้ามโกหกถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็ดื่มให้หมดแก้ว แน่นอนถ้าเค้าซื่อสัตย์พอและตอบตามความจริงทุกอย่าง ผมคงได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น หรือต่อให้เค้าเลือกไม่ตอบโดยเลือกการดื่มแทน มันก็คงทำให้ผมเดาคำตอบได้ไม่ยาก

“จูบแรกตอนอายุเท่าไหร่”หลังจากเค้าเข้าใจกติกาแล้วผมเป็นฝ่ายเริ่มตั้งคำถามก่อน ผมเลือกที่จะถามอะไรที่เป็นเรื่องไม่สำคัญก่อน ส่วนคำถามที่ผมตั้งใจอยากรู้จริงๆ คงเก็บไว้ทีหลัง ไม่ให้ดูจงใจมากเกินไป และดูเหมือนปาร์ตี้เองก็คงยังไม่เอะใจอะไรกับเกมที่กำลังเริ่มขึ้นนี้

“อย่าว่าเราแก่แดดนะ”เค้ายิ้มเขินๆ ก่อนจะเกริ่นออกมาว่าเลือกที่จะตอบคำถามของผม ท่าทางของเค้าทำเอาผมแทบจะรอฟังไม่ไหวว่าเค้าเคยจูบครั้งแรกตั้งแต่ตอนไหน ถ้าให้ผมเดาจากอาการนี่คงสัก ม.ต้น แน่ๆ

“9 ขวบ”

“ห๊ะ”ผมเบิกตาโพลง 9 ขวบ ตอนนั้นผมยังวิ่งไล่เตะกับเพื่อนอยู่เลย แต่เค้าเคยจูบแล้วอะไรจะรวดเร็วปานนั้น

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่การจูบในแบบที่อรรถเข้าใจแน่ๆ แต่มันก็คงเรียกว่าจูบแหละ คือเรากับเพื่อนแค่มีความอยากรู้ ตามประสาเด็กแหละ แล้วมีเพื่อนเรามันมาชวนว่าลองจูบกันดูไหม แบบที่เคยเห็นในทีวี ไอ้เราก็ด้วยความอยากรู้ ก็เออออไป ทีแรกก็ปากแตะๆ กัน แล้วก็...”เค้าหยุดเล่าหันมามองผม เหมือนถามความเห็นว่าจะให้เล่าต่อไหม แน่นอนว่าผมให้เค้าเล่าต่อ เพราะดูๆ ไปสมัยเด็กนี่เค้าคงแสบใช่ย่อย

“ก็...ดูดปากกัน แต่พอลิ้นแตะกันเท่านั้นแหละ ผละออกจากกันแทบไม่ทัน มันเป็นความรู้สึกแหยะๆ ของเด็ก 9 ขวบที่ได้ลิ้มรสน้ำลายคนอื่นเป็นครั้งแรก”เค้าพูดพร้อมทำท่าขนลุกจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะฟังดูจูบแรกของเค้ามันไม่ได้โรแมนติค จนทำให้ผมรู้สึกอิจฉาหรือหึงคนที่ได้จูบแรกของเค้าไปเลย

“แล้วได้สานสัมพันธ์กันต่อไหม”ผมแกล้งถามเค้ากลั้วเสียงหัวเราะ

“สานสัมพันธ์อะไรละ ยังเด็กกันขนาดนั้น แถมตอนงานแต่งไอ้เพื่อนคนนี้ ยังมีคนขุดเรื่องนี้มาแฉในงานแต่งให้คนเอ็นดูกันทั้งงาน เรางี้อายจนแทบจะมุดใต้โต๊ะ แล้วใครแฉรู้ไหม เจ้าสาวที่ก็เป็นเพื่อนเราตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เอามาเล่าขำๆ ให้แขกฟังทั้งงาน”โหนี่ถือเป็นประสบการณ์จูบแรกที่เค้าคงไม่มีทางลืมจริงๆ แต่ผมก็ยังหยุดขำไม่ได้ นี่ไม่อยากคิดเลยว่าแขกในงานแต่งเพื่อนเค้านี่จะขำวีรกรรมในวัยเด็กของเค้าขนาดไหน

“หยุดขำเลย ตาเราถามบ้าง อรรถเคยมีอะไรกับผู้หญิงหรือเปล่า”แหมทำเป็นหรี่ตามองผม คงคิดว่าผมเคยคบแต่ผู้ชาย เลยจะมาบลัฟผมหรือเปล่าเนี่ย เพราะเราต่างคนก็ต่างเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าของกันและกันให้อีกฝ่ายฟัง แน่นอนเราทั้งคู่ต่างเคยมีแฟนเป็นผู้ชายกันมาเท่านั้น แต่ในเรื่องของเซกส์ เราก็ไม่เคยลงรายละเอียดถามเรื่องของอีกฝ่ายเลย

“เคย...คำถามต่อไปนะ”ผมตอบไปตามตรง พร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ ใส่เค้า พร้อมเตรียมจะถามคำถามใหม่กับเค้า แต่เค้าทำท่าตกใจที่ผมไม่เล่าอะไรต่อจากคำถามที่ตอบไป แน่นอนเค้าทักท้วงผมไว้ ยังไม่ให้จบประเด็น

“เฮ้ย...ได้ไงอธิบายก่อนดิ ทีเรายังอธิบายจูบแรกเลยว่าเป็นมายังไง”

“อ้าวอรรถก็ไม่ได้ขอให้ตี้อธิบายนิ ตี้เป็นคนพูดออกมาเองนะ”ผมยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า ที่จริงมันก็ไม่ใช่คำถามซีเรียสอะไรนะครับ ผมเพียงแค่อยากแกล้งเค้าแค่นั้นแหละครับ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ความรู้สุกผม ไม่วกกลับไปกังวลเรื่องอื่น แต่มาโฟกัสที่การเล่นสนุกกับเค้าแทน

“โหยขี้โกงอ่ะ”เค้าทำท่าไม่พอใจ มองผมตาขวาง จนผมต้องเป็นฝ่ายยอมเค้า อธิบายรายละเอียดประเด็นนี้อีกรอบ

“อ่ะๆ โอเคเล่าก็ได้ แม้ว่าอรรถจะรู้ตัวนะว่าชอบผู้ชายด้วยกันมากกว่าที่จะชอบผู้หญิง แต่ตอนวัยรุ่นมันก็มีความอยากรู้อยากลองตามประสานั่นแหละ จนตอนจบ ม.ปลายเพื่อนมันก็ชวนกันทั้งกลุ่ม ไปขึ้นครูเพื่อยืนยันว่าทุกคนได้เปิดซิงกันหมดแล้ว อรรถก็ไปกับเค้าแค่นั้นแหละ”ผมเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ที่ก็ดูไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอกนะครับ แถมไม่ได้ดูว่าควรเอาเป็นเหยี่ยงอย่างด้วย แต่ด้วยวัย ณ ตอนนั้นที่ยังติดเพื่อน เพื่อนว่าไงว่ากัน ก็ถือว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างนึงที่เคยผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรนะครับ

“หูวนี่เล่นครูบาอาจารย์เลยเหรอ”เค้าแกล้งทำท่าตกใจแบบโอเวอร์ล้อเลียนผมอย่างน่าหมั่นไส้

“นั่นมุกเหรอ คนที่มี First kiss ตั้งแต่ 9 ขวบนี่ไม่น่าจะไม่เข้าใจคำว่าขึ้นครูนะ”ผมแกล้งแหย่เค้ากลับ และเหมือนจะได้ผล เพราะพ่ออดีตนักรักปากสว่านวัย 9 ขวบ ส่งค้อนให้ผมเสียวงใหญ่จนหลบแทบไม่ทัน ก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันอย่างสนุกสนาน คำถามดำเนินไปเรื่อยๆ โดยแต่ละคำถามก็ยังไม่ได้เข้าประเด็นในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้อย่างในทีแรก จนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะยังถามในแบบที่ตั้งใจไว้ หรือปล่อยเป็นเกมสนุกๆ ต่อไปแบบนี้

“อ่ะตาอรรถถามแล้ว คำถามสุดท้ายแล้วกันเนอะ เพราะเรานั่งกันนานจนเบียร์เค้าจะหมดแล้วเนี่ย ขนาดเลือกตอบกันทุกคำถามนะเนี่ย”อย่างที่เค้าบอกแหละครับ แม้จะไม่มีใครเลือกดื่ม แต่การเลือกตอบทุกครั้งของเรา ก็ยังยกแก้วดื่มกันจนลืมเวลา นี่ก็บ่ายคล้อยจนพระอาทิตย์จะตกอยู่แล้ว ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งอย่างตัดสินใจ ว่าควรจะถามสิ่งที่อยู่ในใจหรือไม่

“ว่าไงไม่ถามแล้วเหรอ”เค้าเร่งผมอีกครั้ง แต่ก็ดูไม่ได้จริงจังมากนัก ผมทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่าควรถามออกไปไหม ถ้าถามไปแล้ว ผมจะพร้อมรับคำตอบนั้นหรือเปล่า หรือถ้าผมปล่อยไว้ให้มันค้างคาในใจแบบนี้ อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมก็ได้คำตอบให้ตัวเอง

“ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเราตี้จะเลือกใคร”แม้จะไม่ใช่คำถามตรงๆ อย่างที่คิดจะถามในครั้งแรก แต่ผมว่าคำถามนี้ก็คงให้ผมได้กระจ่างในบางอย่าง และอาจช่วยให้ผมได้ใช้ในการตัดสินใจอะไรหลังจากนี้ก็เป็นได้ ผมจ้องมองเค้าด้วยสายตาจริงจัง เค้าเองก็มองกลับมาที่ผม เหมือนกำลังครุ่นคิดเช่นกัน

คำถามนี้ของผม ทำให้ปฏิกิริยาของเค้าเปลี่ยนไปจากคำถามก่อนๆ จากปกติเค้าจะตอบแทบในทันที ผิดกับคำถามนี้ที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตอบคำถามผม อย่างตรงไปตรงมา หรือจะเลือกดื่มเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าเค้า เค้าเหลือบสายตามองแก้วเบียร์ ก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือหยิบแก้วเบียร์ ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

“คำถามนี้เราขอเลือกดื่มแล้วกันนะ”





TBC



ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลย หายไปนานเป็นเดือนเลย

เก๊าขอโต้ดดดด ทั้งติดขัดเรื่องเวลา (ข้ออ้าง)

พอว่างก็ฟีลไม่มา แต่จากนี้จะไม่หายนานขนาดนี้อีก แน่นอนฮ่ะ (เชื่อได้ไหม)

ยังไงกะขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามให้กำลังใจ

ติชมได้เช่นเดิม หรือจะด่า เชิญลงที่ ตี้หรือคุณแว่น

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคร๊าบ
 :bye2:

ออฟไลน์ yanggi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 o22 เลือกดื่มแบบนี้....ควรคิดว่าไงอ่ะ

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
อ่านแล้วหน่วง....กำลังคิดว่าจะทนอ่านต่อได้ไหม ฮืออออ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คำตอบตี้ ที่เลือกดื่มแทน
ถึงตี้ไม่ตอบ มันก็ตอกย้ำอรรถอยู่ดี
คิดอีกแง่ อรรถก็ยังได้อยู่กับตี้ ได้ใกล้ชิด
คราวนี้ก็อยู่ที่อรรถแล้ว
ว่าจะยังไงต่อ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ จั๊กหล่ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากรู้ตี้จะลงเอยกะใคร

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 15
พ่อแม่ลูก


Sharp’s Part
“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด 1 ปี อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปนานๆนะ”ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องประโยคนี้อยู่นานแค่ไหนแล้ว ประโยคที่มีรูปของผู้ชายสองคนยืนกอดคอกันและฉากหลังเป็นท้องทะเล ผู้ชายสองคนที่ดูเหมาะสมกัน และเค้าใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว 1 ปีเต็ม เค้าทั้งคู่ไม่ใช่ใครที่ไหนหนึ่งคนก็ปาร์ตี้ เพื่อนผม เพื่อนที่ผมคงใช้คำนี้ได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ ส่วนอีกคนก็แฟนเค้า ไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะอีกหลายคอมเมนต์ใต้รูปนี้ต่างแสดงความยินดีกับทั้งคู่แทบทั้งสิ้น

“รูปใครละลูก”เสียงผู้เป็นแม่ที่ดังมาจากหลังผม ทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติที่สุด ก่อนวางโทรศัพท์มือถือในมือและหันไปส่งยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ที่มายืนอยู่หลังผม ผมกางแขนออกโอบเอวของผู้เป็นแม่เข้ามาในอ้อมกอด ซบหน้าอ้อนกับเอวของแม่เหมือนเด็กๆ แม่ผมคงแปลกใจที่เห็นผมทำแบบนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มโต จากบ้านไปเรียนที่อื่นจนทำงาน ผมก็แทบไม่เคยได้กอดแม่อีกเลย

“เหงาเหรอลูก”สัมผัสแผ่วเบาลูบที่ศีรษะของผม แม่ลูบเบาๆ เลื่อนมาที่ท้ายทอยก่อนจะตบที่บ่าของผม ให้เงยหน้ามองแม่ที่รอให้ผมตอบคำถามที่เพิ่งเอ่ยกับผม

“มันก็มีบ้างแหละครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าบรรดาลูกสาวเพื่อนๆ แม่ผมขอเว้นไว้ก่อนนะครับ”ผมรีบออกตัวเพราะเกรงว่าแม่ผมจะจัดสาวๆ ชุดใหญ่ส่งมาให้ผมดูตัวอีก เสียงหัวเราะเบาๆ จากแม่ถูกส่งออกมาด้วยความเอ็นดูลูกชายอย่างผม แม้ผมจะโตจนสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว แต่ผมก็ยังคงเป็นลูกน้อยของแม่เสมอ เวลาอยู่กับแม่ทีไรมันเหมือนกลับไปเป็นเด็กเสียทุกครั้ง ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะกำลังโหยหาการใช้ชีวิตอิสระของตัวเอง หรือตอนมีคนรักก็เช่นกัน ผมเองตอนคบกับชะเอมก็มีปัญหากับแม่จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แถมตอนนั้นผมดันเข้าข้างฝั่งแฟนมากกว่าแม่ตัวเองเสียด้วยซ้ำ

“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานกับเค้าบ้างเนี่ย”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่จริงจังนัก แต่ผมก็สัมผัสได้นะครับว่าแม่ก็คงอยากเห็นผมเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัว มีหลานตัวเล็กๆ ให้ท่านได้ชื่นใจ จริงๆ และแม่ก็คงเห็นความรู้สึกผิดในแววตาผมเช่นกัน เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น

“เห็นรูปแวปๆ ใช่ปาร์ตี้กับแฟนหรือเปล่าที่ชาร์ปดูรูป”แต่เรื่องที่แม่พยายามเบี่ยงประเด็นนี่มันดูไม่ได้ช่วยปรับความรู้สึกผมสักเท่าไหร่เลย แม่หยิบมือถือของผมไปดูหน้าจอที่ยังค้างอยู่ที่โพสต์ของปาร์ตี้ แม่ผมค่อนข้างเอ็นดูปาร์ตี้ เพราะเค้าเป็นคนที่ช่างเอาใจคนแก่ หาเรื่องคุยได้ถูกอกถูกใจแม่ผมมากเชียวแหละครับ แม่ผมยังเคยแอบพูดเล่นกับผมว่า นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิงคงให้ผมจีบเค้าไปแล้ว

“คู่นี้เค้าก็ดูน่ารักดีเนอะ ไม่ชวนเค้ามาเที่ยวบ้านเราบ้างละ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่แม่ให้ผมชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อย่างไอ้เหมากับแพทคงได้มาอีกเป็นแน่ แต่กับปาร์ตี้ผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะยินดีมาหรือเปล่า

“รอบนี้เค้าไปฉลองวันครบรอบกับแฟน ก็คงอยากสวีทกัน ถ้ามาบ้านเราเดี๋ยวแม่ก็ไปเป็น กขค เค้าอีกเอาไว้คราวหน้าผมจะชวนเพื่อนๆ มาถล่มบ้านเราให้ครบทีมเลยแล้วกันนะครับ ทั้งไอ้เหมา ทั้งแพท ทั้งปาร์ตี้กับแฟน ชวนมากันให้หมดเลยดีไหมครับ”ผมทำตัวให้ดูร่าเริงขึ้นเป็นปกติ ตอบออกไป เพื่อไม่ให้แม่จับสังเกตได้อีกว่าผมกำลังมีเรื่องที่คิดไม่ตก

“อ้าวนี่แม่จะมาตามเราไปทานข้าวเย็น คุยนู่นนี่นั่นเสียลืมเลย ป่ะๆ พ่อเค้ารอแย่แล้ว”พอนึกขึ้นได้ว่าที่จริงมาตามผมไปกินข้าว แม่ผมก็ลากผมมายังโต๊ะกินข้าวด้วยความรวดเร็ว อาหารหน้าตาน่าทานถูกวางเรียงรายส่งกลิ่นยั่วน้ำลายมาแต่ไกล ตรงหัวโต๊ะมีคนหน้าบึ้งหนึ่งคนที่ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ พ่อผมเองแถมดูเหมือนตอนนี้จะเริ่มโมโหหิวเสียแล้ว

“มาๆ กับข้าวจะเย็นหมดแล้วเนี่ย มัวไปตามกันถึงไหนปล่อยพ่อรอตั้งนาน”พ่อผมบอกเสียงดุหน่อยๆ แต่พ่อผมก็ทำขรึมไปอย่างนั้นแหละครับ จริงๆ ไม่มีอะไร บางครั้งก็วางฟอร์มให้ดูเป็นผู้นำต่อหน้าลูกน้อง หารู้ไม่ว่าลูกน้องเค้ารู้กันทั่วว่าเมียพ่อ หรือแม่ผมนี่แหละ ใหญ่สุดของที่นี่แล้ว

“ทำเรื่องโปรโมทเรือแล้ว เป็นไงบ้างละชาร์ป ผลตอบรับดีไหม”จริงๆ เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันเท่าไหร่นะครับ ช่วงแรกๆ ที่ผมกลับมาอยู่บ้านก็ยังทานพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่หรอกครับ แต่พอให้ผมเริ่มดูในส่วนธุรกิจเรือยอร์ช ผมก็ต้องทุ่มเวลาให้กับตรงนั้น จนบางทีกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา เลยไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ ส่วนเรื่องงานพอเริ่มเข้าที่เข้าทางพ่อกับแม่ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในส่วนที่ให้ผมรับผิดชอบอีก จะมีก็แต่ถามไถ่บ้างเป็นครั้งคราวเหมือนตอนนี้เท่านั้นแหละครับ

“ก็ดีครับ สมัยนี้สื่อออนไลน์มันไปเร็ว พอจับจุดถูกมันก็จะไหลไปของมันเอง ตอนนี้ยอดจองเรือเราวันเสาร์-อาทิตย์ตอนนี้เต็มยาวไปถึงปีหน้าแล้วครับ”ผมบอกเล่าผลลัพท์ในสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงทุนไป พ่อเองก็มีสีหน้าพอใจอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดตอนแรกพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำกับการที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโปรโมทธุรกิจ เพราะค่าลงทุนค่อนข้างสูงและอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ตอนนี้ผลตอบรับมันออกมาแล้ว ทำให้พ่อเองก็เริ่มเปิดใจกับวิธีการทำงานของผมมากขึ้น ทีแรกพ่อก็จะสอนวิธีบริหารงานในแบบของพ่อแหละครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากท่าน เพราะผมก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่บางอย่างผมก็อยากจะปรับให้มันเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางอย่างที่พ่อเคยใช้ในอดีต บางอย่างมันก็ต้องมาประยุกต์ให้เหมาะกับยุคนี้เท่านั้นเองครับ

“งานก็ลงตัวแล้ว แฟนละทีนี้ นี่อายุอานามเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บรรดาสาวๆ ที่แม่เค้าใส่พานมาให้เลือกนั่นไม่สนใจบ้างเหรอ”ผมแทบหลุดขำกับสิ่งที่พ่อพูด ทีแรกก็เหมือนจะกดดันผมอยู่หรอกนะครับ แต่ประโยคหลังนั่นแอบประชดแม่ผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย เพราะแม่ผมก็เอื้อมมือไปตีแขนพ่อเบาๆ อย่างงอนๆ เหมือนกันครับ

บรรยากาศการทานข้าวของครอบครัวเราวันนี้ดูจะอบอุ่นกว่าทุกวัน นี่สินะที่เป็นตัวอย่างครอบครัวที่ผมเคยคิดไว้ อาจเพราะแบบนี้ผมเลยฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นจะสร้างครอบครัวให้ได้เหมือนพ่อกับแม่ของผม

“พ่อกับแม่มารักกันได้ยังไงครับ”ทั้งคู่หันมามองผมแทบจะพร้อมกัน คงจะงงที่อยู่ๆ ทำไมผมถึงถามแบบนี้ แต่ผมก็แค่อยากรู้ว่าความรักของทั้งคู่เป็นมายังไง นี่ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่ยักกะจำได้ว่าทั้งสองเคยเล่าให้ฟัง หรือเคยเล่าตอนเด็กๆ แล้วผมจำไม่ได้ ส่วนตอนโตผมก็สนใจอย่างอื่นเสียมากกว่า เลยไม่ได้มาสนใจในเรื่องนี้

“แม่เค้าหนีตามพ่อมา”พูดจบก็หัวเราะออกมาจนแม่ผมเอื้อมมือไปฟาดที่แขนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะบอกผมว่าที่พ่อพูดมามันไม่ใช่ความจริง ให้แม่เป็นคนเล่าจะดีกว่า ผมก็ตั้งใจรอฟัง

“จริงๆ แล้วพ่อเค้าฉุดแม่มา”เอาเข้าไปครับพ่อกับแม่ผมจะเอาฮากันไปถึงไหน แล้วก็ดูหัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ สนุกกันมากสินะครับเนี่ยกับการได้อำลูก จนผมต้องถามย้ำอีกรอบว่าจริงจังกันหน่อย

“พ่อกับแม่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็เพื่อนของเพื่อนอีกที ทีแรกก็ไม่ได้สนิทกัน แต่แม่ไม่ค่อยชอบหน้าพ่อเค้าเท่าไหร่ตอนนั้นเค้าเจ้าชู้”แม่เริ่มเล่าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พ่อก็อมยิ้มฟังสิ่งที่แม่กำลังเล่า ทั้งสองคงมีความสุขที่ได้ย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกัน

“จนมีโอกาสได้ไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน ไปกันกลุ่มใหญ่เลย แรกๆ ก็เดินขึ้นพร้อมๆ กัน แต่พอเริ่มเหนื่อยก็เริ่มกระจายกันเรื่อยๆ พวกเพื่อนๆ ที่แม่สนิทดันแข็งแรงกันเหลือเกินปล่อยให้แม่รั้งท้าย เพราะไม่เคยเดินไกลขนาดนั้นมาก่อน ก็ได้พ่อนี่แหละช่วยถือของ ช่วยลากแม่ขึ้นไปจนถึงข้างบน ก็เลยเริ่มสนิทและคุยกันมากขึ้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงกับชอบนะ แค่ประทับใจเฉยๆ อีกอย่างตอนนั้นพ่อเค้ามีสาวๆ เข้ามาพัวพันเยอะ”พูดมาถึงตรงนี้แม่ก็หันไปมองพ่ออย่างหมั่นไส้ เป็นภาพที่ผมว่าน่ารักดีครับ

“จริงๆ พ่อเริ่มสนใจแม่เค้าตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ แล้วแหละ”พ่อผมพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

“คือรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ดูไม่พอใจอะไรเราอยู่ เลยกลายเป็นสังเกตเค้าจนเผลอชอบไปอย่างไม่รู้ตัว พอกลับจากภูกระดึงก็เลยคิดจะจีบแม่เค้าจริงจัง ตอนนั้นเลิกคุยกะคนอื่น แต่จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด”ผมนั่งฟังไปยิ้มไป จริงๆ มันก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวจีบกันะครับ แต่พอมาเป็นเรื่องราวที่เป็นจุดกำเนิดของเรา มันทำให้ดูพิเศษขึ้นมาในทันที เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จัก รักกันและทำให้เราได้เกิดมา

“แม่เริ่มใจอ่อนจริงๆ ตอนรู้ว่าพ่อเค้าชอบไปบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนั้นเหมือนเรามองภาพเค้าเป็นคนเจ้าสำราญ เที่ยวเล่นไปวันๆ พอมารู้อีกมุมมันเลยแบบว้าว แต่ก็ยังไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์นะ จนเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน ก็คิดว่าคงไม่เจอกันอีกแล้วแหละ จนวันนึงต้องไปงานแต่งของเพื่อนในกลุ่ม ก็เจอกัน พ่อเค้าก็เดินมาคุย คุยกันเยอะมากตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน จนวนมาเรื่องที่ต่างคนต่างยังไม่มีใคร แม่ก็ถามว่าทำไมเค้าถึงยังไม่มีใคร และเพราะคำตอบในวันนั้นทำให้เราอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้”เล่ามาถึงตรงนี้แม่ผมเริ่มน้ำตาคลอ แต่มันคงเป็นน้ำตาแห่งความสุขแหละครับ

“พ่อตอบว่าไงเหรอครับ”ผมหันไปหาผู้เป็นพ่อแทน ซึ่งพ่อเองก็ยิ้มรออยู่แล้ว

“ก็บอกไปว่าแม่คือคนที่ใช่สำหรับพ่อแล้ว เลยไม่คิดมองใครอีกและก็เชื่อว่าวันนึงจะต้องได้กลับมาเจอกัน”คนที่ใช่งั้นเหรอ แล้วเราทุกคนจะรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าใครคือคนที่ใช่สำหรับเราแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเจอคนที่ใช่และใครคนนั้นก็มองว่าเราคือคนที่ใช่เช่นกัน

“พ่อครับ แม่ครับ ถ้าในที่สุดแล้วผมไม่สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างพ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวผมไหม”ผมถามออกไปเสียงนิ่ง แม้ผมไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่ามุมมองของผมมันเริ่มเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าจากนี้ผมจะได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่า ภาพใบหน้าของใครคนนึงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม เค้าเป็นคนที่เข้ามาทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองอีกครั้ง

ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมปาร์ตี้ถึงเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ผมเคยมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในเรื่องที่จะสร้างครอบครัว แต่พอผมเป๋จากชะเอม มันก็ไม่น่าทำให้ผมเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดมันเป็นเพียงการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากสังคมรอบข้าง ที่มันไม่ได้มาจากความรู้สึกของผมจริงๆ

“ยังไงที่ลูกคิดว่ามันจะไม่สมบูรณ์”แม่ผมหันมาถามอย่างสบายๆ แต่ท่าทีของแม่ก็ทำเอาผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่าจริงๆ แม่คิดยังไงกับคำถามของผม

“ก็สมมติผมอาจจะอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีใครอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีหลานตัวเล็กๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้ม”ผมปรับการพูดให้ดูไม่จริงจังนัก แต่ยังอยากพยามจะหยั่งเชิงถึงบางอย่างว่าพ่อกับแม่ผมจะมีมุมมองกับสิ่งที่ผมกำลังตัดสินใจ ซึ่งมันก็เป็นแค่การตัดสินใจอีกรูปแบบนึงแค่นั้น

“พูดเหมือนมีใครอยู่ในใจ หรือกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า”พ่อผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับมาบ้าง แต่สิ่งพ่อผมถามมาจะว่ามันใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ได้ ความรู้สึก ณ ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรอใครไหม และหมายถึงปาร์ตี้ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่อีกใจผมก็รู้ว่าเค้าอยู่กับคนที่เหมาะสม และคนที่เค้าเลือกแล้ว อีกอย่างเค้าเองก็อาจไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก มันทำให้ผมแทบไม่มีหวังที่จะรอ หรือจะให้เข้าไปแทรกกลางระหว่างเค้าและคนของเค้ายิ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ

“หรือถ้าท้ายที่สุดคนที่ผมเลือกจะเดินเคียงข้าง ไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังไหมครับ”ผมไม่ได้ตอบคำถามของพ่อ แต่ตั้งคำถามกลับไป คำถามที่ผมยังยึดเอาปาร์ตี้มาเป็นส่วนประกอบของคำถาม ทั้งที่เรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันไม่ได้จะสามารถมาพัฒนาอะไรต่อได้อีกเลย

“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมต้องย้ำกับการที่คิดว่าแม่กับพ่อจะผิดหวังในตัวลูกขนาดนี้”แววตาสงสัยฉายชัดมาจากแม่ของผม บางครั้งผมก็คิดนะครับว่าหรือควรพูดตรงๆ กับท่านทั้งคู่ถึงความสัมพันธ์กับแต่ละคนของผม รวมทั้งปาร์ตี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แน่นอนผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าท่านทั้งสองจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่

“เปล่าครับ ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเลยลองถามๆ ดู”ผมว่าคงต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจน่าจะดีกว่า ตั้งแต่เรื่องราวของผมกับน้องปลาตอนนั้นทั้งคู่ก็เสียใจกับการกระทำของผมมากพอแล้ว

“นี่แม่กดดันเรามากไปหรือเปล่า ชาร์ปฟังแม่นะ แม่ยอมรับว่าก็อยากมีหลาน อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ถามว่าถ้าไม่เป็นแบบนั้นแม่จะเสียใจไหม ผิดหวังไหม มันก็ต้องมีแหละ แต่ถ้าลูกแม่ตัดสินใจทำอะไร เลือกอะไรแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วยอยู่แล้ว ลูกจำไม่ได้เหรอตอนชะเอม ทีแรกแม่ไม่อยากยอมรับเค้า แต่เพราะลูกรักเค้า อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข แม่ก็ยินดี หรือตอนถอนหมั้นกับน้องปลา ไม่เคยโทษลูกเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ก็ดีกว่าฝืนอยู่ด้วยกันไปแล้วมาเลิกราทีหลัง สรุปแม่แค่อยากเห็นลูกแม่มีความสุข ถ้าชาร์ปมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขแล้ว และไม่เคยผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้เลย”ผมว่านี่ผมคงโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งคู่

“ขอบคุณนะครับแม่ พ่อด้วย”ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก






TBC


ตอนนี้อาจไม่มีอะไรมากนะครับ

แค่มาขยายให้เห็นว่าชาร์ปจะตัดสินใจต่อไปทางไหน

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
สายไปแล้วหรือเปล่า?

 :เฮ้อ:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อ้างถึง
ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก

ดีใจด้วยนะชาร์ป ที่ตัดสินใจได้แล้ว
อย่าไปพรากคู่รักเค้ามาเลย..มันจะเป็นบาปติดตัว

เอาใจช่วยให้ชาร์ปได้เจอแม่ของลูก เร็วๆนะ
ชาร์ปจะได้เลิกเหงาซะที
 o13

ด้านปาร์ตี้กับอรรถคงจะไม่มีอะไรแล้วนะ
เอ๊ะ หรือว่า..จะมีจากหนุ่ย
 
ตี้คงเศร้าตายเลย
ถ้าเรื่องนี้ นายเอกมีแต่ทุกข์โศก

100 แล้วนะ
หุหุ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 16
ใคร



Aut’s Part
“อรรถ อรรถ ฟังอยู่ป่ะเนี่ย”เสียงคนที่อยู่ข้างๆ แว่วเข้ามาในหู ผมกำลังคิดถึงสิ่งที่เค้าไม่ยอมตอบคำถามของผมอยู่เลยไม่ได้ฟังในสิ่งที่เค้าพูด แม้ผมจะเผื่อใจไว้แล้วบ้าง แต่พอมาเจอสถานการณ์จริงแบบนี้ มันก็รู้สึกแย่นิดหน่อยแหละครับ การที่เค้าไม่ตอบผมว่ามันก็คือคำตอบนั่นแหละครับ เพราะถ้าเค้าเลือกอยู่กับคนที่รัก และคนนั้นคือผม มันจะมีเหตุผลอะไรที่เค้าจะไม่ตอบคำถามผม แต่พอเค้าไม่ตอบก็แสดงว่าเค้าเลือกผมเพราะผมรักเค้า

“ตี้ว่าไงนะ”ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่รู้เลยว่าเค้าพูดอะไรกับผม ตอนนี้เราอยู่ที่ชายหาดกันครับ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เราสองคนนั่งบนพื้นทรายเงียบๆ กันมาสักพักแล้ว เหมือนต่างฝ่ายต่างกำลังใช้ความคิด หรืออาจจะเป็นผมเองคนเดียวที่กำลังคิดเรื่องระหว่างเรา ส่วนเค้าดูทำเหมือนไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เหมือนไม่ได้สังเกตว่าอาการผมแปลกไปหรือเปล่า

“ขึ้นไปอาบน้ำไหม จะได้ไปทานมื้อเย็นกัน”ผมพยักหน้า พยายามปรับอารมณ์และสีหน้าให้มันดูปกติ เรามานี่เพื่อฉลองวันครบรอบ มันควรเป็นวันที่มีความสุข ผมควรจะมีความสุขสิ ผมค่อยๆ ยิ้มให้กับเขา ไม่รู้ว่าผมฝืนทำได้ดีแค่ไหนแต่กะคงไม่ได้แย่เพราะดูอีกฝ่ายก็ยังยิ้มกลับมาให้ผมเช่นกัน เราทั้งคู่กลับขึ้นห้องอาบน้ำแต่งตัว และกลับลงมาทานมื้อเย็นริมทะเล ฟังเสียงคลื่น ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าจะโรแมนติก และผมเองก็แสร้งทำตัวว่ามีความสุขกับบรรยากาศในคืนนี้นะครับ

แต่ในใจริงๆ กลับสับสนวุ่นวายไปหมด เวลาที่เคยผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลับดูว่าเดินช้าลงอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกับความรู้สึกของผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือเหมือนตี้กำลังพยายาม พยายามที่จะทำดีกับผม แม้เค้าจะพยายามทำตัวปกติ แต่ผมก็พอจะมองออกว่าเค้าเอาใจผมมากกว่าเดิม วันนี้เราไม่ได้ดื่มกันมากนัก เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ แล้ว

จากการทานมื้อค่ำที่เหมือนจะโรแมนติก ต่อเนื่องมาถึงค่ำคืนที่ร้อนแรงของเรา ที่มันยิ่งชัดเจนว่าตี้พยายามทำให้ผมประทับใจ เค้าแทบจะใช้ทุกอย่างที่มีมาให้ผมพอใจ นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมก็คงมีความสุขมากๆ เลยทีเดียว แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง ผมยอมรับนะครับว่าเรื่องเซกส์มันก็ยังมีผลกับความสัมพันธ์ แต่เมื่อถึงจุดนึงความรู้สึกที่มีให้กันต่างหากที่มันสำคัญกว่า และเป็นอันว่าทริปหัวหินครั้งนี้ เหมือนความรู้สึกตีกลับไปคล้ายครั้งแรกที่ผมเคยมากับเค้า ครั้งนั้นเค้าทำผมเสียความมั่นใจ ที่อยู่ๆ เค้าก็ปฏิเสธผมกลางคัน มาครั้งนี้แม้เค้าจะไม่ได้ปฏิเสธผม แต่มันกลับให้ความรู้สึกแย่กว่าครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ

“พี่อรรถ พี่อรรถครับ”ผมค่อยๆ หันไปตามแรงเขย่า ถึงได้รู้สึกตัวว่าสายตาแทบทุกคู่ในห้องประชุมกำลังมองมาที่ผม นี่ผมเผลอเหม่อในการประชุมอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย รุ่นน้องที่เป็นคนเขย่าแขนผมทำท่าบุ้ยใบ้ให้ผมหันไปยังหัวโต๊ะ แน่นอนว่าเจ้านายกำลังมองมาที่ผมด้วยเช่นกัน ผมทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกผิดที่มัวแต่คิดเรื่องส่วนตัวในเวลาทำงานจนไม่มีสมาธิ

“นี่ผมใช้งานคุณหนักเกินไปหรือเปล่า วีระเกียรติ ลูกค้าก็ชอบเจาะจงมาเสียจริงว่าเป็นไปได้อยากจะขอมือดีอย่างคุณ ช่วงนี้ก็หนักคงไม่ค่อยได้พักผ่อนสิเนี่ย”อ้าวนายผมก็มองไปมุมนั้นอีก แม้งานผมจะค่อนข้างเหนื่อยบ้าง แต่เรียกว่าผมออกจะชินแล้วมากกว่าครับ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นผลกระทบจากงานโดยตรงเท่าไหร่

“ไม่หรอกครับ”ผมรีบบอกปัด

“อย่ามาปฏิเสธเลย ผมดูรายงานเดือนนี้แล้ว คุณรับโปรเจกต์ซ้อนหลายงานเลยทีเดียว เรียกว่ารับแทบจะทุกงานที่ลูกค้าเจาะจงมา”อันนี้ก็พูดเกินไปครับ เพราะหลายๆ งานก็มีคนอื่นรับผิดชอบหลักๆ อยู่แล้ว ผมแค่เข้าไปช่วยดูนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่ผมรู้สึกอยากอยู่กับเพื่อนร่วมงานมากกว่าที่จะอยากรีบกลับไปเจอปาร์ตี้ ยิ่งเรายังอยู่กันที่บ้านเค้า ผมยิ่งรู้สึกอคติกับบ้านที่เค้าเคยให้อีกคนทิ้งความทรงจำไว้ จะว่าผมงี่เง่าผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ถ้าเป็นเรื่องของคุณแว่นเนี่ยผมทำตัวเป็นคนมีเหตุผลไม่ได้จริงๆ อีกอย่างปาร์ตี้เองก็ไม่ได้ให้ความมั่นใจกับผมเลยในเรื่องนี้

แล้วถามว่าทำไมผมไม่ชวนเค้ากลับไปอยู่บ้านผม ก็อย่างที่รู้ว่าบ้านผมหนุ่ยได้ยึดครองไปแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็ผิดที่ผมเองด้วยแหละครับ ไม่ยอมบอกเค้าให้เด็ดขาดว่าไม่ให้อยู่ มาตอนนี้มันเลยยุ่งยากไปแล้ว อีกอย่างที่ผมเลิกไล่หนุ่ยคงเพราะตัวหนุ่ยเองก็ชัดเจนว่าไม่ได้จะมาสร้างความวุ่นวายให้ความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้ ส่วนที่มันวุ่ยวายอยู่ตอนนี้คงเพราะพวกผมสองคนเสียเอง หรือไม่แน่อาจมีแค่ผมที่ร้อนรนอยู่คนเดียว
“ยังไงก็พักผ่อนเยอะๆ แล้วกัน อะไรปล่อยให้น้องๆ ทำได้คุณก็ให้เด็กๆ ทำกันไปก็ได้ ร่างกายคนเรามันมีลิมิตเจ็บไข้ได้ป่วยไป มันจะไม่ดี ลาหยุดไปพักผ่อนบ้างก็ได้”ผมไม่ได้แย้งอะไรอีก เพราะคนอื่นๆ ในที่ประชุมก็ช่วยกันเสริมมาหมดว่าควรทำงานหนักเกินไป บ้างก็แซวผมว่ามัวทำแต่งานเดี๋ยวแฟนก็งอนหรอก ผมชะงักนิดหน่อยพอมีคนพูดถึงปาร์ตี้ แต่ก็พยายามไม่ให้ผิดสังเกตมาก ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมันกระทบกับงานอีก จากนี้ผมคงต้องพยายามตัดเรื่องส่วนตัวออกไปให้หมดแล้วละครับในตอนที่ทำงาน

การประชุมดำเนินต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะสรุปว่าใครต้องไปปรับปรุงหรือแก้ไข อะไรในเดือนที่ผ่านมา ก็เป็นอันจบการประชุมสรุปงานประจำเดือนนี้ ประชุมจบทันเวลาเลิกงานพอดีเป๊ะ แต่ก็ยังมีบางคนที่ต้องเคลียร์งานต่อ หรือบางคนที่ต้องไปเลี้ยงลูกค้า ส่วนผมหลังจากโดนนายพูดขนาดนั้น แทบจะโดนดึงงานออกไปทั้งหมด เลยว่างแหละครับ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความถึงปาร์ตี้ซึ่งมีข้อความจากเค้าส่งถึงผมอยู่ก่อนแล้ว

“กลับบ้านกี่โมง ให้รอกินข้าวหรือเปล่า”ผมเปิดอ่านข้อความแต่ยั้งมือที่กำลังจะพิมพ์ตอบว่าเสร็จงานแล้วไว้ก่อน ผมเงยหน้ามองกลุ่มรุ่นน้อง 3-4 คนที่กำลังจะออกไปเลี้ยงลูกค้า ก่อนจะเลือกบอกปาร์ตี้ว่า วันนี้ผมคงกลับดึกเพราะต้องไปเลี้ยงลูกค้า อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยอยากเจอเค้ามากนัก ซึ่งมันก็เลี่ยงได้ยากเพราะเราก็อยู่บ้านเดียวกัน ที่พอทำได้ก็อย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้ คือกลับตอนเค้าหลับ และตื่นตอนเค้าออกจากบ้านแล้ว ปาร์ตี้เองก็คงสังเกตได้ และกำลังพยายามเป็นฝ่ายขยับเข้าหาเพื่อลดช่องว่างที่ผมสร้างไว้

เดิมทีผมพร้อมไล่ตามเค้าเสมอ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อย ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมเลิกรักเค้าหรือผมอยากจะเลิกกับเค้านะครับ ผมเพียงแค่อยากพักตั้งหลักนิดหน่อย แล้วค่อยลุยต่อ ขอเพียงไม่นานที่ผมจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ผมเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามกลุ่มรุ่นน้องไป

“พี่อรรถนี่ก็นะ นายเพิ่งจะบ่นไปว่าให้พักผ่อนยังจะตามพวกผมมาอีก”บรรดารุ่นน้องของผมเริ่มบ่นเมื่อโดนผมใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าห้ามทุกคนปฏิเสธไม่ให้ผมมาเลี้ยงลูกค้าด้วย

“เอาน่านี่ลูกค้าวีไอพี พี่ต้องมารับรองเป็นพิเศษ แถมรายนี้ซื้องานเพราะพี่มาหลายรอบแล้ว เค้าคงแฮปปี้ที่พี่มาด้วยแหละน่า”ผมเริ่มอวดอ้างสรรพคุณตัวเองเพื่อให้น้องๆ ไม่มีข้อโต้แย้งในการที่ผมจะร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย แม้จะยังมีการบ่นกระปอดกระแปดอยู่บ้าง แต่พอลูกค้ามา พวกเราก็ปรับโหมด ให้บรรยากาศสนุกสนานเพื่อให้โดนใจลูกค้าให้มากที่สุดแหละครับ เพราะการเลี้ยงรับรองลูกค้าของพวกเราก็มีผลตามมาหลายอย่าง แต่หลักๆ ก็เรื่องยอดขายนี่แหละครับ

บรรยากาศครึกครื้นเริ่มแผ่วลง เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนเกือบถึงเวลาที่ร้านจะปิด หลายๆ คนโดนฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำพิษ ทั้งเมาทั้งหลับ ผมเลยจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่าย และจัดแจงทีมงานฝั่งพวกผมว่าใครจะไปส่งใครจะกลับยังไง ส่วนบรรดาลูกค้าเค้ามีรถตู้มารับเรียบร้อยหายห่วง

“ขับรถดีๆ พี่เจอกันพรุ่งนี้”รุ่นน้องคนที่สติยังดีที่สุดบอกลาผมก่อนจะขับรถออกไป ส่วนผมไม่ได้ดื่มมากเท่าไหร่ เรียกว่าแทบไม่ดื่มเลยด้วยซ้ำครับ เพราะไม่ได้อยากเมาและรู้ว่าต้องขับรถกลับ ผมยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา นี่ก็ตี 2 กว่าแล้วป่านนี้ปาร์ตี้คงหลับไปแล้ว ผมเองตอนนี้ก็ง่วงเต็มที คงต้องรีบกลับไปพักผ่อน การที่นอนดึกแทบทุกวัน แม้จะตื่นสายได้ แต่ร่างกายก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่านอนไม่พอ มันเป็นอาการที่ผมเองก็ไม่ชินสักที ทั้งๆ ที่ใช้ชีวิตเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว ผมเลิกคิดเรื่องต่างๆแล้วขับรถออกจากร้านที่ใช้เป็นสถานที่รับรองลูกค้า แต่ออกมาได้เพียงนิดเดียวผมก็ต้องแปลกใจกับสายที่โทรหาผม

“ปาร์ตี้”ผมมองชื่อที่โชว์บนหน้าจอ ปกติถ้าผมบอกว่ากลับดึกเค้าจะไม่เคยโทรหาผมแบบนี้ หรือจะเป็นผมเองที่ทำผิดในครั้งนี้ ผิดที่ทำเป็นเย็นชาใส่เค้า

“อรรถใกล้จะกลับยัง”น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยของเค้าทำให้ผมแทบจะลืมทุกเรื่องที่ขุ่นข้องอยู่ในใจ อย่าบอกว่าเค้ายังไม่นอนเพราะยังรอผมกลับนะ เพราะตัวเค้าต้องทำงานแต่เช้า ไอ้ผมกลับดึก นอนดึกแต่ตื่นสายได้ เพราะเข้างานตอนไหนก็ได้ ถ้าไม่ได้มีนัดกับลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะนัดลูกค้าช่วงบ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว

“อรรถกำลังกลับ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอน บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ”น้ำเสียงผมบอกออกไปดุๆ นิดหน่อย แต่ที่พูดไปก็เพราะห่วงเค้านั่นแหละครับ ผมถอนหายใจเบาๆ โดยพยายามปิดไม่ให้เค้าได้ยิน ที่ถอนหายใจนี่คือกำลังคิดว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ ความสัมพันธ์ของเรามันควรไปกันได้ด้วยดีสิ ผมจะมาทำให้มันยิ่งแย่ไปทำไม

“เรานอนแล้ว แต่ตื่นมาเข้าห้องน้ำเห็นว่าอรรถยังไม่กลับเลยโทรถามดู”ผมตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ ซึ่งผมรู้ทันทีว่าเค้าพูดไม่จริง เพื่อให้ผมสบายใจแค่นั้น เราอยู่ด้วยกันมาเป็นปีทำไมผมจะไม่รู้ว่าเค้าไม่เคยตื่นมาระหว่างคืนแบบนี้เลย

“อือ ยังไงนอนต่อเลยนะ อีกเดี๋ยวอรรถก็ถึงแล้ว”ผมตอบกลับเค้าไปด้วยความห่วงใย ผมอมยิ้มกับตัวเองเริ่มผ่อนคลายขึ้น กับสิ่งที่กังวลอยู่ในใจ ผมคือคนที่เค้าเลือกแล้ว และจากที่สังเกตได้เค้าก็พยายามเช่นกันที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ให้ไปต่อได้ สิ่งที่ผมต้องให้เค้าคือเวลาสินะ การจะลบใครไปจากใจจนหมดสิ้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าลองเป็นผมเองจะให้ตัดเค้าไปจากใจ มันก็คงไม่ง่ายเช่นกัน

“ขับรถดีๆ นะ”เค้าบอกก่อนจะวางสายไป และไม่ทันตั้งตัวผมรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงจากทางด้านหลัง ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงวัตถุปะทะกันดังก้องในหัวผม ความรู้สึกเหมือนผมกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ ดับลงเป็นความมืด



“พี่อรรถ พี่อรรถฟื้นแล้ว เฮ้ยทุกคนพี่อรรถฟื้นแล้ว ใครเรียกหมอที”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อของผม บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างมายืนรายล้อมผมที่นอนอยู่บนเตียง ผมมองทุกคนงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จากสภาพแวดล้อมที่เห็นผมน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วนี่ผมเป็นอะไร ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีรุ่นน้องคนนึงช่วยประคอง และปรับเตียงขึ้น ผมเริ่มสำรวจตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่นา ดูมีรอยถลอกนิดหน่อย แต่ทำไมที่ทำงานผมแห่กันมาเยอะขนาดนี้ แถมนั่นเจ้านายผมก็มาด้วย

“ผมบอกแล้วว่าให้พักผ่อนเยอะๆ นี่พูดยังไม่ทันข้ามคืนก็เกิดอุบัติเหตุจนได้ แต่ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก”เจ้านายเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ ว่าแต่ผมเกิดอุบัติเหตุงั้นเหรอ ผมค่อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าว่าผมไปทำอะไรมา

“ครับ”ผมรับคำเจ้านายพร้อมกับที่สมองกำลังพยายามนึกถึงอุบัติเหตุที่เจ้านายผมพูดถึง แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อรุ่นน้องคนนึงก็พูดขึ้น

“คิดแล้วก็เหมือนปาฏิหารย์เนอะ โดนสิบล้อเบรคแตกชนจนกระเด็นไปมุดใต้รถพ่วงอีกที สภาพรถเยินขนาดนั้น แต่ตัวพี่อรรถมีแค่รอยถลอกนิดหน่อย นี่พี่แขวนพระอะไนเนี่ย จะได้ไปหามาแขวนบ้าง”สิ้นคำพูดของรุ่นน้อง ทุกคนในห้องก็หัวเราะออกมา แต่ตัวผมกับต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะกำลังงงว่าทำไมผมนึกเหตุการณ์ที่ทุกคนกำลังพูดถึงไม่ได้

“เป็นไรหรือเปล่าพี่ ทำไมหน้าเครียดๆ”รุ่นน้องคนเดิมเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นอาการของผม คนอื่นๆ ก็เงียบและหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน ผมบอกกับทุกคนออกไปว่าผม นึกไม่ออกกับเหตุการณ์ที่ทุกคนกำลังพูดถึงว่าสาเหตุที่ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ยังไง ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ผมพูด และต่างพากันชี้ตัวเองถามกับผมว่าจำพวกเค้าได้ไหม แน่นอนว่าผมจำทุกคนได้ จำตัวเองได้ รวมถึงข้อมูลส่วนตัวของตัวเองก็จำได้ทุกอย่าง ที่ผมจำไม่ได้คือที่ทุกคนบอกว่าเมื่อวานผมไปเลี้ยงลูกค้ากับพวกรุ่นน้อง และเกิดอุบัติในตอนที่กำลังกลับบ้าน

“เดี๋ยวหมอก็มา ค่อยลองคุยกับหมอดูอีกทีก็ได้ อย่าเพิ่งกังวลเลยพี่ ผมเคยมีเพื่อนคนนึงมอไซต์ล้มหัวฟาดฟุตบาท มันก็จำเหตุการณ์วันที่ตัวเองเกิดอุบัติเหตุไม่ได้เหมือนกัน มันบอกว่าเหมือนความทรงจำช่วงนั้นมันหายไป จำได้แค่ตอนฟื้นที่โรงพยาบาลแล้ว”ตอนแรกผมก็กังวลนะครับ แต่พอได้ฟังแบบนี้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงแล้วแหละมั้ง รอแค่ให้หมอมาดูอาการของผมอีกครั้ง

ทุกคนต่างเข้ามาให้กำลังใจผม และส่วนใหญ่ก็บอกว่าดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมากถือว่าฟาดเคราะห์ ทุกคนลงความเห็นว่าจะรอคุณหมอมาดูอาการผมก่อนค่อยจะแยกย้ายกันกลับ นี่ก็เห็นว่ามากันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ตอนนี้ก็จะ 8 โมงเช้าแล้ว ส่วนผมก็ให้แฟนผมดูแลต่อ จริงสิมัวแต่คุยกับทุกคนที่นี่จนลืมไปว่าเค้าตกใจหรือเปล่าที่ผมเกิดอุบัติเหตุ แต่เห็นว่าลงไปซื้อของเตรียมมาอยู่เฝ้าผมเดี๋ยวก็คงขึ้นมา

เสียงเปิดประตูห้องทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง ทีแรกผมก็นึกว่าเป็นคุณหมอที่จะมาดูอาการผม แต่คนที่เดินเข้ามากลับเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เค้าเดินตรงมาที่เตียงพร้อมกับยิ้มให้ผม

“พี่ตี้มาเป็นพยาบาลให้แบบนี้ พี่อรรถอาจจะอยากอยู่โรงพยาบาลยาวหรือเปล่านา”ผมมองหน้าผู้มาใหม่พร้อมกับความไม่เข้าใจที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้จักเค้าเป็นอย่างดี แต่ทำไมผมไม่ยักกะจำได้ว่าเค้าเป็นใคร


TBC

มาต่อคร๊าบบ

ฝากติดตามกันต่อด้วยนาอย่าเพิ่งทิ้งกันกลางทาง

เรื่องอาจจะลากเข้าดราม่าไปบ้าง กะอาจต้องเตรียมใจกันนิดนึง เหอๆ

เพราะคงอึนๆ กันไปอีกหลายตอน
 :z3:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อรรถจำตี้ไม่ได้ดีแล้ว ชาร์ปจะได้ไปหาตี้เอง อรรถจำได้แต่หนุ่ยเท่านั้น
  รอ รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แรงกระแทกที่ศีรษะ ทำให้อรรถจำตี้ไม่ได้
อรรถ คงหายเครียดเรื่องตี้ไปเลย
อาจจะคิดว่ายังรักกับหนุ่ยอยู่
เข้าล็อก จับคู่หรือเปล่านะ
ตี้ เลยลอยออกจากอรรถ โดยอัตโนมัติ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ จั๊กหล่ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อร๊ายยย นานๆมาต่อทียังมาทำให้ค้างอีก

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ห๊าาา จำตี้ไม่ได้ ไปกันใหญ่ละแบบนี้ สงสารอรรถอะ ได้ตัวแต่ไม่เคยได้ใจ ม๊ายยยยยยยยยย
เอาจริงๆ นะ ถ้าอรรถต้องเลิกกับตี้ แล้วให้ตี้กลับไปมีความสุขกับคุณแว่น คงตลกน่าดูอะ เหอะ !!

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
อรรถจำตี้ไม่ได้หรอ!!! แย่แล้ว ตี้จะทำยังไงละนี่
เฮ้อออ~

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
PART II บทที่ 17
คนแปลกหน้า



Aut’s Part
“เราเป็นแฟนกัน”ผมทวนประโยคเดิมอีกครั้งกับคนที่เค้าบอกกับผมว่าเค้าคือคนรักของผม แถมคนอื่นๆ ยังช่วยยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง ตอนแรกผมยังคิดว่าทุกคนรวมหัวกันอำผมเสียอีก แต่พอได้รับการยืนยันจากคุณหมอ พร้อมด้วยผลสแกนสมองของผม มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ผมเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

“จากข้อมูลที่ได้ตอนนี้ อาการของคุณคือสูญเสียความทรงจำบางส่วน ถ้าจะพูดให้ชัดคือความความทรงจำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของคุณหายไปเกือบหมด สาเหตุก็เกิดจากตอนที่เกิดอุบัติเหตุคงมีการกระแทกที่ศีรษะ จากผลการสแกนสมองจะเห็นว่ามีเลือดออกในสมองนิดหน่อย แต่น้อยมากจนเกือบจะไม่เห็น”นั่นคือสิ่งที่คุณหมออธิบายให้ผมฟัง ผมได้แต่มึนๆ งงๆ กับเรื่องราวที่ได้รับฟัง ใครจะไปคิดว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้

“แล้วผมจะหายไหมครับ”สิ่งที่เป็นใครก็คงต้องถาม ว่าท้ายที่สุดไอ้เรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อเนี่ยมันจะยังมีปาฏิหารย์ขึ้นได้อีกหรือเปล่า

“โดยปกติแล้วการสูญเสียความทรงจำในลักษณะนี้ไม่ได้ทิ้งรอยโรคไว้ในสมอง ก็ถือว่ามีโอกาสที่จะหาย เพียงแต่อาจต้องใช้เวลา ซึ่งหมอเองก็ตอบไม่ได้ว่านานแค่ไหน 1 เดือน ครึ่งปี หรืออาจจะ 2-3 ปี 10 ปีมันเป็นไปได้หมด สมองคนเราบางทีก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ แต่บางครั้งก็อัศจรรย์จนเราคาดไม่ถึง”นี่ผมควรจะรู้สึกยังไงดี ไอ้ความทรงจำที่หายไปนี่มันมีอะไรสำคัญๆ บ้างละเนี่ย

“การฟื้นความจำก็คงต้องอาศัยคนใกล้ชิดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ พยายามอย่ากดดันให้นึกในสิ่งที่ยังจำไม่ได้ ควรหากิจกรรมที่แปลกใหม่ทำเพื่อเป็นการฝึกสมอง แต่ทั้งนี้ก็แทรกเรื่องราวเก่าๆ หรือรูปถ่ายให้ดูบ้างเพื่อเป็นการกระตุ้น”คุณหมออธิบายอะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังอีก บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าผมจะหาย เพราะชีวิตจริงมันคงไม่เหมือนละคร ที่หัวกระแทกความจำเสื่อม พอโดนกระแทกอีกทีแล้วจำได้ ซึ่งแน่นอนข้อนี้หมอก็ยกตัวอย่างให้ผมฟังเหมือนกัน และถ้าจะหายจริงๆ มันก็มีวิธีการรักษาที่ใช้ไฟฟ้าในการกระตุ้นสมอง ซึ่งในเคสของผม หมอไม่แนะนำ เพราะยังไงผมก็ยังมีความทรงจำที่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติ

“เราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบ 1 ปีไปไม่กี่วันนี่เอง”เสียงของอีกคนเรียกให้ผมหันไปสนใจเค้า ผมละความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหมอบอก และหยิบโทรศัพท์มือถือที่เค้ายิ่นมาให้ผม บนหน้าจอแสดงรูปคนสองคนพร้อมข้อความที่โพสต์ลงสู่โซเชียลเน็ตเวิร์คบอกว่าเป็นวันครบรอบอย่างที่เค้าบอกจริงๆ และในนั้นก็เป็นรูปผมกับเค้า ผมว่าจุดนี้แหละที่ดูจะเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตมากที่สุด ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว และจากที่ฟังผมกับคนตรงหน้านี้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันแล้วด้วย

ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งพยายามนึกให้ออก แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย ผมยอมรับนะครับว่าเค้าเป็นคนที่น่ารัก ถ้าผมไม่มีแฟนผมคงจีบเค้าแล้ว แต่ในความทรงจำที่ผมมีตอนนี้คือผมเป็นแฟนกับหนุ่ย แม้ผมกับหนุ่ยจะไม่ได้รักกันหวานหยดอะไรแต่ผมก็คงไม่คิดจะนอกใจคนที่ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนอยู่ ทว่าอยู่ๆ วันนึงผมกลับตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเลิกกับหนุ่ยแล้ว และมีอีกคนมาเป็นแฟน

“ผมกับคุณ...เอ่อ...ตี้ใช้ไหมครับ”เค้ามีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ผม ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่กำลังไม่รู้จะเอายังไงต่อไป ผมที่ต้องมามีแฟนซึ่งเราเหมือนไม่รู้จักเค้าเลย กับเค้าที่มีแฟนที่จำเค้าไม่ได้ ขนาดชื่อเค้าผมยังต้องถามย้ำ ถ้าบอกว่าเราสองคนเป็นแฟนกันผมคงเป็นแฟนที่แย่มากเลยสินะเนี่ย

“เราสองคนมาคบกันได้ยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่านี่เค้ามาจีบผม หรือผมไปจีบเค้ากัน ส่วนหนึ่งก็อยากทำตามคำแนะนำของคุณหมอด้วยแหละครับ เผื่อว่าเรื่องราวในอดีตจะช่วยกระตุ้นให้ผมนึกอะไรออกบ้าง จริงๆ ผมอยากจะให้เค้าแนะนำตัวเองใหม่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้เค้าก็คือคนแปลกหน้าสำหรับผม เค้าเป็นใครมาจากไหนผมก็จำไม่ได้ ทำไมเราสองคนถึงมาเจอกันได้ หรือทำไมผมถึงเลิกกับหนุ่ย เค้ารู้จักหนุ่ยไหม ผมควรถามเรื่องหนุ่ยกับเค้าหรือเปล่า การถามเรื่องแฟนเก่าจากคนที่เป็นแฟนใหม่อาจจะดูเหมาะ ผมมีคำถามที่ตีกันอยู่ในหัวมากมายไปหมด

“เริ่มจากตรงไหนดีละ”เขาดึงเก้าอี้มานั่งที่ข้างๆ เตียงที่ผมนอนอยู่ ทำท่าครุ่นคิด พอได้สังเกตเค้าใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่น่ารักมากๆ เลยครับ เค้าไม่ได้บอบบางน่าทะนุถนอมอะไรแบบนั้นนะครับ จะว่าหล่อก็หล่อแหละครับ แต่ผมว่าเค้าน่ารักมากกว่า ดูบุคลิกต่างจากหนุ่ยอยู่มากเลยทีเดียว นี่ผมเปลี่ยนสเปคได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เท่าที่ผมจำได้ตอนที่คบกับหนุ่ยผมก็ไม่ได้มองใครอื่นอีกหรอกครับ แสดงว่าผมคงเลิกกับหนุ่ยไปสักพักแล้วค่อยมาคบกับเค้า

ผมพิจารณาใบหน้าเรียวของเค้าจนลืมไปว่ารอให้เค้าเล่าเรื่องการมาคบกันของเราอยู่ ผมเผลอมองริมฝีปากของเค้าที่ก็เกิดคำถามตามมาว่า ผมเคยสัมผัสริมฝีปากนั้นมาแล้วใช่ไหม หรือผิวหน้าเรียบเนียนของเค้านั้นผมเคยลูบไล้หรือเปล่า แล้วถ้าผมขอสัมผัสเค้าทั้งที่ผมยังจำเค้าไม่ได้นี่เค้าจะยอมหรือเปล่า หรือเค้าจะคิดว่าผมฉวยโอกาส แต่เราสองคนเป็นแฟนกันนี่นา แถมย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว เราคงไม่ใช่แค่นอนจับมือกันใสใสแบบวันแรกรุ่นหรอกมั้ง

“ถ้าเอาแบบรู้จักกันอย่างเป็นทางการก็คงเริ่มจากการที่เราเป็นลูกค้าอรรถ”เสียงของเค้าหยุดความคิดผมไว้ก่อนที่มันจะยิ่งไปไกลกว่านี้ เค้าเป็นลูกค้าผมงั้นเหรอ แสดงว่าคงเป็นโปรเจคที่ใช้ระยะเวลาพอสมควร ถึงทำให้ผมกับเค้าพัฒนาความสัมพันธ์มาจนถึงจุดที่ใช้คำว่าแฟนได้ ว่าแต่เค้าบอกว่ารู้จักอย่างเป็นทางการ แสดงว่าผมกับเค้าเคยเจอกันมาก่อนที่จะมาทำงานด้วยกันหรือยังไงกันนะ ผมกำลังจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เราทั้งคู่ต่างหันไปมองทางประตูว่าเป็นใคร เค้าไม่ได้ลุกไปดู เพราะการเคาะประตูในโรงพยาบาลแบบนี้ถ้าห้องไม่ได้ล็อคทุกคนก็คงเปิดเข้ามาเลยอยู่แล้ว

ผู้มาใหม่เป็นชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักแต่ดูเหมือนตี้จะรู้จักผู้มาใหม่ เพราะต่างกล่าวทักทายกัน ผมเดาว่าสองคนที่มานี้คงเป็นแฟนกัน และคงไม่ใช่เพื่อนผม แต่จริงๆ ตี้เค้าก็เหมือนรู้จักเพื่อนร่วมงานผมทุกคน แล้วถ้าคนที่ทำงานผมเพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วงที่ความทรงจำผมหายไป นี่ผมก็จะจำเค้าไม่ได้ด้วยสินะ กลุ่มที่ผมเจอตอนฟื้นขึ้นมานั่นก็มีแต่คนเก่าๆ หรือสองคนนี้จะเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักไม่นาน

“เป็นไงบ้างครับคุณอรรถ”ชายหนุ่มผู้มาใหม่เข้ามาถามไถ่ผม จากสรรพนามที่ใช้ให้ผมเดาสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนตี้เสียมากกว่า

“นอกจากจำแฟนตัวเองไม่ได้ และก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จักพวกคุณ ที่เหลือก็ปกติดี”พูดจบแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ผมพูดจากวนเค้ามากไปหรือเปล่า อีกอย่างสีหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมก็ยิ่งเจื่อนลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่จะให้ทำยังไงได้ละครับ ก็ในความรู้สึกผมตอนนี้ทั้งสามคนตรงหน้าดูเป็นใครก็ไม่รู้สำหรับผม ความหงุดหงิดเล็กๆ ในใจผมมันเลยส่งคำพูดที่ออกจะกวนบาทานิดๆ นั่นออกมา แล้วอีกอย่างกับตี้ถึงแม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่าเค้าน่ารัก แต่ความรู้สึกจริงๆ เค้าก็เป็นคนที่ผมเพิ่งรู้จักวันนี้ จะให้รักเค้ากะทันหันอย่างนี้ผมก็คงยังทำให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ แถมด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่ฝังในหัวผมตอนนี้คือผมเป็นแฟนหนุ่ย ถ้ารักกับตี้ตอนนี้ ผมก็จะรู้สึกว่านอกใจหนุ่ย นี่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะขอให้เค้าตามหนุ่ยมายืนยันกับผมต่อหน้าเสียด้วยซ้ำ ว่าระหว่างผมกับหนุ่ยมันจบไปแล้ว

“สงสัยคงต้องทำความรู้จักกันใหม่ ผมเหมาครับแล้วนี่ก็แพทแฟนผม เราสองคนเป็นเพื่อนกับปาร์ตี้”จากคำแนะนำตัวทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดว่าแฟนผมชื่อปาร์ตี้ ไม่ใช่ตี้เฉยๆ ส่วนสองคนที่เป็นเพื่อนเค้าเนี่ยผมรู้จักมักจี่พวกเค้าขนาดไหนกันนะ แต่ดูจากที่เพื่อนๆ ฝั่งผมดูรู้จักมักคุ้นกับปาร์ตี้มากพอสมควร ผมเองก็คงคุ้นเคยกับเพื่อนๆ ของเค้าเช่นกันแหละมั้ง แล้วแบบนี้ผมจะต้องเจอเพื่อนเค้าอีกหลายคนหรือเปล่าเนี่ย มันดูเป็นความรู้สึกที่ดูพิลึกพิลั่นเหมือนกันนะครับ ที่จะมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมเรา นี่ก็ไม่รู้ว่าหมอจะให้ผมอยู่นี่อีกกี่คืน

หลังจากเพื่อนของปาร์ตี้แนะนำตัวเสร็จก็เข้าสู่สเต็ปการเยี่ยมคนป่วยแหละครับ ส่งมอบของเยี่ยม ปลอบคนป่วยอวยพรให้หายไวๆ ซึ่งเค้าก็ทำถูกแหละครับไม่ได้ผิดอะไร แต่แค่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะดีขึ้นอย่างที่พวกเค้าอวยพร นี่ไม่รู้เพราะอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดกว่าที่เคยเป็น ตอนนี้ทั้งสามคนพูดอะไรผมก็ได้แค่เออๆ ออๆ ไปผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจหรือคิดตาม บางแวปก็อยากให้เค้ารีบๆ กลับไปสักที ซึ่งนี่มันดูไม่ใช่อารมณ์ปกติหรือนิสัยของผมเลย ปกติผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนะครับ ยิ่งอาชีพการงานของผมแล้ว การมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับทุกๆ ดูจะมีผลดีกับอาชีพของผม และเท่าที่จำได้ผมก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด คงเพราะเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้แหละ ทำให้ผมมีอาการหงุดหงิดอย่างที่เป็นอยู่

ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แต่ไม่ได้ง่วงหรือจะนอนหรอกนะครับ แค่จะแกล้งหลับให้คนเยี่ยมไข้เกิดความเกรงใจและกลับไปสักที อีกอย่างที่หลับตานี่ก็เพื่อสงบสติด้วยแหละครับ ผมพยายามตัดสิ่งที่ทั้งสามกำลังพูดคุยออกไป แต่ใบหน้าของปาร์ตี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผม ใบหน้าที่ตกใจ และถามย้ำผมซ้ำไป ซ้ำมาว่าผมจำเค้าไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ครั้งแรกที่เค้ารู้ว่าผมจำเค้าไม่ได้ เค้าเหมือนจะร้องไห้ นั่นสินะเค้าก็คงเสียใจเป็นธรรมดา ที่ตอนนั้นผมจำทุกคนได้ยกเว้นเค้าซึ่งควรจะเป็นคนสำคัญที่สุดของผมด้วยซ้ำ เค้าคงรักผมอยู่มากทีเดียวแหละ แต่จากนี้ผมละ ผมจะรักเค้าได้เหมือนเดิมที่เคยรู้สึกกับเค้าหรือเปล่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมรักเค้ามากขนาดไหนกันนะ มันจะเหมือนที่ผมเคยรู้สึกกับหนุ่ยหรือเปล่า ความคิดผมหยุดลงเมื่อภาพของหนุ่ยซ้อนทับเข้ามาแทนภาพของปาร์ตี้

“อ้าวเราก็คุยกันเพลินจนแฟนมึงหลับไปแล้วเนี่ย งั้นยังไงกูกลับก่อนดีกว่าเนอะ”ผมหันมาสนใจบทสนทนาของปาร์ตี้กับเพื่อนของเค้าอีกครั้ง โดยที่ยังไม่ได้ลืมตา นี่อีกเดี๋ยวเค้าก็คงกลับกันแล้วสินะ

“ยังไงก็ขอบใจนะมึงที่มาเยี่ยม แพทด้วย แล้วก็อย่างที่บอก ฝากบอกพี่วิชาญอีกรอบว่ากูขอเวลาดูอรรถเค้าก่อน แค่ถ้ามีงานด่วนอะไรก็สายตรงหากูได้ตลอดเดี๋ยวกูทำส่งไปให้”เสียงพูดคุยเหมือนกำลังห่างออกไป ผมค่อยๆ หรี่ตามองก็เห็นทั้งสามคนกำลังเดินไปทางประตู ผมค่อยๆ พ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก

“มึงโอเคแน่นะ ยังไม่ทันได้เคลียร์กันดีๆ ก็ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”ผมหูผึ่งในสิ่งที่กำลังได้ยิน ทั้งที่บทสนทนาเกิดขึ้นห่างจากผมออกไปพอควรด้วยคงไม่อยากให้ผมรับรู้ด้วยหรือเปล่า ว่าแต่มีอะไรต้องเคลียร์ หมายถึงเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้หรือเปล่า

“เอาจริงๆ กูยอมให้เค้าทำตัวเหมือนเว้นระยะห่างกับกูแล้วกูมีตัวตนกับเค้า มันก็คงดีกว่าการที่กูกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเค้าไปแบบนี้”เว้นระยะห่างงั้นเหรอ ผมเนี่ยนะทำตัวเหินห่างกับเค้า แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องทำแบบนั้น ไหนว่าเราเพิ่งไปฉลองวันครบรอบกันมา ตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้ามันคือยังไงกันแน่ สถานการณ์ตอนนี้คือเรายังรักกันดีหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ แว่วมาจากจุดที่พวกเค้าคุยกัน คงเป็นปาร์ตี้ที่ร้องไห้ เค้าร้องเพราะผมจำเค้าไม่ได้ หรือว่ามีเหตุผลอื่นอีกที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อสักครู่ ที่ทำให้เค้าต้องร้องไห้ออกมา

“เข้มแข็งไว้สิวะมึง หมอก็บอกแล้วว่ามีโอกาสหาย”ความรู้สึกสับสนในหัวของผมพุ่งระดับสูงมากขึ้นไปอีก ถ้าผมจำเรื่องราวทั้งหมดได้เร็วๆ ก็ดีสินะ จะได้ไม่ต้องมาคิดมากให้ปวดหัวแบบนี้ เสียงพูดคุยเบาลง เหมือนเป็นการปลอบโยนของเพื่อนๆ เค้า ซึ่งผมฟังไม่ค่อยชัดแล้ว ผ่านไปสักพักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เพื่อนของปาร์ตี้คงไปแล้ว เสียงเท้าของเค้าเดินกลับมาหาผม และก็มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง

“เราสองคนยังรักกันดีอยู่หรือเปล่า”ผมยิงคำถามที่สงสัยออกไป โดยเป็นการบอกใบ้ว่าผมได้ยินในสิ่งที่เค้าคุยกับเพื่อน เค้าสูดหายใจเข้าฟอดใหญ่ก่อนจะเดินมาข้างๆ เตียง เค้าเอื้อมมือข้างหนึ่งมาประสานกับมือของผม ก่อนที่สายตาของเค้าจะประสานมาที่สายตาของผม

“บอกแล้วไงว่าเราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบกันไป”เหมือนเค้าจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ผมก็ไม่ได้ค้านอะไรเค้า เค้าค่อยๆ ยกมือที่ประสานกับมือผมอยู่ขึ้นไปแนบที่ใบหน้าของเค้า ใบหน้าที่ตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเค้า เค้าคงรักผมมากจริงๆ สินะผมว่าผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เค้าไม่ยอมบอกกับผม

“ตลอดเวลาที่คบกันผมเป็นแฟนที่ดีไหม”แม้จะมั่นใจว่าตัวผมเองก็ทำตัวเป็นแฟนที่ดีทุกครั้งเวลาที่สร้างความสัมพันธ์กับใคร แต่สิ่งที่ผมได้ยินเค้าคุยกับเพื่อน มันทำให้ผมเขว เพราะในสิ่งที่เพื่อนเค้าพูดรวมถึงสิ่งที่ออกจากปากเค้า มันเหมือนกับว่าผมเองก็มีส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีปัญหา เค้าพยักหน้าแทนคำตอบ แถมด้วยน้ำตาของเค้าที่ดูเหมือนมันจะยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม โดยที่เค้าไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีก ผมค่อยๆ แกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเค้า ผมใช้สองมือของตัวเองปาดเช็ดน้ำตาบนหน้าเค้า แต่ยิ่งผมเช็ดเค้ากลับยิ่งร้องมากกว่าเดิมเสียอีก

“ผมทำให้คุณเสียใจบ้างหรือเปล่า”เค้าส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของผม โดยที่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล

“งั้นการที่ผมจำคุณไม่ได้นี่คงเป็นเรื่องแรกสินะที่ผมทำให้คุณเสียใจ”ทั้งที่ตั้งใจจะปลอบเค้า แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันจะยิ่งไปตอกย้ำในสิ่งที่เค้ากำลังเสียใจอยู่ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เอื้อมมือดึงเค้าให้ซบลงมาที่ไหล่ของผม จากนี้ทั้งผมและเค้าคงต้องเจอเรื่องที่ยากลำบากอีกมาก และไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย

“อย่างน้อยการที่ผมจำคุณไม่ได้แต่ยังปลอดภัย มันก็คงดีกว่าการที่คุณไม่ได้เจอผมอีกเลย จริงไหม”





TBC

สงสารทุกคนเลย

 :o12:

ขอบคุณทุกคนที่คิดตามเช่นเคยนะฮ่ะ

เรื่องราวจะอิรุงตุงนังกันยังไงต่อ รอติดตามกันนะคร๊าบ


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ชาร์ปยังว่าง..อยู่ไหม
อรรถเค้าไม่รักปาร์ตี้แล้ว
เอาแต่จะกลับไปหาหนุ่ยอย่างเดียวเลย

เออ..อยู่คนเดียวก็ได้ว้อยยยย
ไม่เห็นจะตาย
หุหุ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
บททดสอบของปาร์ตี้ อรรถกับหนุ่ย ชาร์ปก็มาปลอบใจปาร์ตี้เร็วๆนะ ฮ่าๆ
 รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
หนูจะตายแล้วววว :mew4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ก็อย่างที่ว่า ถึงจำไม่ได้แต่รู้ว่าปลอดภัยมันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

อีกเรื่องคือจะทำยังไง ถ้ายื้ออยู่แบบทั้งที่อีกฝ่ายยังจำไม่ได้
คือถ้าอีกฝ่ายสมัครใจมันก็ดีไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนใจอรรถไม่ได้อยากจำเกี่ยวกับตี้ได้เลยแฮะ
อีกทางก็คือปล่อยอรรถไป ตี้ก็อยู่จฃของตี้เริ่มต้นใหม่

เห้อ เศร้า..

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เหมือนอรรถ ไม่อยากจำ  แต่แบบนี้ดีกว่าตายอีก  สงสาร

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สมองเราช่างมหัศจรรย์
กลไกทางสมองของอรรถ ปกป้องอรรถ
โดยการลบความทรงจำที่ทำให้อรรถ เจ็บปวด
ตี้ ก็คงเจ็บปวดกับการที่รู้ว่าอรรถ ลืมตี้เพราะเหตุใด
แต่แบบนี้ ก็คงดีกว่าฟื้นขึ้นมา
แล้วยังเศร้าที่ตี้ไม่รัก
อาจถึงเวลาที่ตี้ ทบทวนตัวเอง
ว่าควรพูดกับอรรถ ตรงๆ ได้แล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
TT
พันกันไปหมดดดดดด

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด