PART II บทที่ 11
ความเมา
Sharp’s Part
“เมายัง”เสียงกระซิบที่ข้างหู ที่ดูจะเรียกว่าเสียงตะโกนเสียมากกว่า ตอนนี้ผมกับกลิ้งอยู่ที่ผับแห่งนึง โดยกลิ้งเป็นคนเลือก ก็ไม่รู้ว่าจะมาเบียดเสียดแออัดกันทำไมในนี้ แถมคุยกันก็ไม่ได้ยิน ต้องตะโกนใส่หูกันไปกันมา และแน่นอนว่าผมเริ่มไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่แล้ว ตอนแรกที่ตัดสินใจมาดื่มต่อกับเค้าก็คิดว่าคงไปนั่งดื่มสบายๆ แต่เค้ากลับบอกว่าถ้าจะนั่งแบบนั้นก็นั่งร้านเดิม ไม่เห็นต้องย้ายเลย และสุดท้ายเค้าก็เลือกร้านนี้ เพื่อจะได้ครึกครื้นหน่อย
“เดี๋ยวออกไปสูบบุหรี่แปปนะ”ผมเอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆ เค้าพร้อมตะโกนบอก แล้วก็เดินเบียดผู้คนที่กำลังขยับตามจังหวะเสียงเพลง ดูแต่ละคนที่มาที่นี่จะกำลังสนุกที่ได้ปลดปล่อยกับการดื่มจนเมาแล้วเต้นบ้าๆ บอ โดยไม่ต้องคิดอะไรอีก ด้วยความที่คนแน่นมากกว่าผมจะเบียดออกมาได้นี่แทบจะหายเมาเลยทีเดียว แต่จริงๆ ผมก็ยังไม่ได้เมาอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ทีแรก เข้าไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ เพราะเด็กเสิร์ฟบอกกับผมว่าสูบในห้องน้ำได้ พอเข้าไปจริงๆ นี่โอ้โห คือต่างคนต่างเข้ามาสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ควันบุหรี่ กลิ่นบุหรี่ที่ไม่มีทางจะระบายออก ก็ตลบอบอวลอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละครับ ถ้าใครไม่ชอบบุหรี่นี่คงเข้าห้องน้ำที่นี่ไม่ไหวแน่ๆ ขนาดผมเองเป็นคนสูบบุหรี่ เข้าไปยังแทบจะอ๊วกเพราะเมากลิ่นบุหรี่เลยครับ
“ฟู่”ผมพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอกหลังจากได้สูดอากาศข้างนอก จนเต็มปอด ผมเดินมาหยุดอยู่ที่บริเวณที่สูบบุหรี่ จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วก็เริ่มคิดว่านี่ผมมาทำอะไรที่นี่กันนะ นี่ถ้าผมชิ่งกลับก่อน จะดูเป็นการเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า ผมมาเพราะแค่อยากมาดื่มกับเพื่อนเก่า หรือที่ผมมานี่เพื่อหวังอะไรบางอย่าง คำพูดของกลิ้ง ที่ชวนผมมานี่แม้จะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ มันก็พอจะเดาออกว่าจะสื่อความหมายยังไง แล้วนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูโซเชี่ยลมีเดียว่าเพื่อนๆ ที่ผมรู้จักมีการอัพเดทอะไรกันบ้าง จริงๆ ก็เพื่อที่จะฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะยังไม่อยากกลับเข้าไปเบียดเสียดกับคนข้างในนั้นอีก ผมกดเข้า facebook และเข้า timeline ของใครคนนึงด้วยความเคยชิน แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหว ใหม่ๆ อะไร แต่ผมก็ยังคงเลื่อนดูรูปของเค้า ซ้ำไปซ้ำมา ตอนแรกที่ผมรู้จักเค้า เค้าเป็นคนที่อัพเดทอะไรบ่อยพอสมควร แต่หลังๆ มานี้ดูเค้าไม่ค่อยจะโพสต์อะไรมากนัก ไม่รู้ว่าเพราะเค้ามีความสุขในชีวิตจริงจนไม่มีเวลาจะมาอัพเดทโลกโซเชียล หรือว่าเริ่มไม่อยากให้คนอื่นรับรู้เรื่องส่วนตัวกันแน่ คนอื่นนี่ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ คงหมายถึงผมนี่แหละ
“ชาร์ป”เสียงของกลิ้งทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ ก่อนจะรีบปิดหน้าจอ เพราะกลิ้งเหมือนจะกำลังจ้องมองที่หน้าจอมือถือผม ว่าผมกำลังดูอะไรอยู่
“ตะกี้ดูอะไรอยู่อ่ะ”เค้าถามยิ้มๆ เหมือนกำลังจับผิดบางอย่างอยู่
“เปล่า”ผมไม่รู้ว่าเค้าทันได้มองเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอมือถือของผมชัดขนาดไหน แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธไว้ก่อน เพราะไม่คิดจะให้เค้ารับรู้ถึงเรื่องราวของปาร์ตี้เท่าไหร่นัก
“หายมานานขนาดนี้นึกว่าหนีกลับไปแล้วเสียอีก”เค้าบอกสบายๆ พร้อมเดินเข้ามาขอบุหรี่จากผม จุดขึ้นสูบ สายตาเค้ายังคงจ้องมองผมโดยที่แววตาของเค้า มันบ่งบอกชัดเจนเหลือเกินว่าตอนนี้คิดอะไรอยู่ แต่ผมยังคงแสร้งทำเหมือนไม่รู้ว่าสิ่งที่เค้าสื่อออกมามันคืออะไร
“ข้างในคนแน่น หายใจไม่ค่อยออกเลยออกมาพักข้างนอกนี่แหละ กำลังว่าจะเข้าไปพอดีเลย”แม้ใจจริงผมจะไม่อยากอยู่ต่อแล้ว แต่มันก็คงจะเสียมารยาทมากไปถ้าผมจะชิ่งกลับก่อนตอนนี้ เพราะงั้นเลยคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเค้าอีกสักพักแล้วกัน กลิ้งเหมือนคิดนิดนึงก่อนจะคัดสินใจ
“กลับไหมล่ะ ดูชาร์ปไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่”สงสัยผมจะแสดงสีหน้าชัดเจนเกินไปว่าไม่ค่อยชอบที่นี่ แต่ก็ดีครับ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเข้าไปอยู่แล้ว ว่าแต่นี่ผมกับเค้าจะแยกย้ายกันแค่นี้งั้นเหรอ จากสายตาที่เค้าส่งมาอย่างไม่ปกปิดนั่น คืนนี้มันไม่น่าจะจบแค่นี้นี่นา แต่ความสงสัยของผมก็อยู่แค่ไม่นานเค้าเอ่ยประโยคถัดมา
“หรือไปกินต่อที่ห้องเราดี”รอยยิ้ม น้ำเสียง แววตา ทุกอย่างที่ส่งมา เค้าไม่มีการปกปิดเลยว่าต้องการอะไร จริงๆ ตั้งแต่ผมตัดสินใจมาดื่มต่อกับเค้า ผมก็รู้อยู่แล้วแหละครับ ว่าคืนนี้มันจะไปจบที่ไหน เพียงแต่ตอนนี้ ผมยังต้องการอย่างนั้นอยู่ไหม ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้ผมเริ่มลังเล
“เอาดิ”ทั้งความเหงา และฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ผมเลือกที่จะตอบรับคำเชิญชวนนั้น กลิ้งยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะการตอบรับของผมมันก็คงทำให้เค้าตีความได้ว่ามันไม่ได้หมายถึงแค่การไปดื่มต่อที่ห้องพักของเค้า แต่มันทีความนัยแฝงมากกว่านั้น เราทั้งคู่ออกจากผับ และตรงไปยังโรงแรมที่เค้าพัก โดยไม่ลืมที่จะแวะซื้อเครื่องดื่มติดมาด้วย
พอถึงห้องพัก ผมสังเกตว่าห้องของเค้าน่าจะไม่ได้พักคนเดียว ซึ่งก็คงไม่แปลกเพราะเห็นเค้าก็มากับกลุ่มเพื่อน แต่ตอนนี้เพื่อนคนที่พักห้องนี้กับกลิ้ง คงโดนจัดแจงไปนอนห้องอื่นเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเลือกนั่งลงที่โซฟาซึ่งวางอยู่มุมนึงของห้อง แก้วเหล้าเพียวๆ 2 ใบที่เพิ่งรินเสร็จถูกยื่นให้ผมหนึ่งแก้ว และเค้าถือไว้อีกแก้ว เราต่างคนต่างยื่นแก้วมากระทบกันก่อนจะยกดื่มรวดเดียว
“ถามไรหน่อยดิ”เค้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ผม พร้อมยื่นแก้วเหล้าให้ผมอีกรอบ มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วของเค้าวางลงที่ต้นขาของผม และเริ่มลูบไปมาเบาๆ เมื่อเห็นผมไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสจากเค้า รอยยิ้มของเค้าก็ยิ่งเพิ่มความพึงพอใจมากขึ้นไปอีก
“คุณหอมแดงกับ คนในรูปที่ชาร์ปดูที่หน้าผับนั่น คนเดียวกันใช่ไหม”ผมไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่เค้าเดาถูก แต่ผมก็ไม่ได้ยอมรับตรงๆ ผมเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย การไม่ปฏิเสธของผมก็คงทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแล้วแหละว่าคนคนนั้นคือใคร
“และคงเป็นคนที่มีส่วนทำให้ชาร์ปต้องถอนหมั้นด้วยถูกไหม”เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ได้จะต้องการคำตอบ เพราะพอจบประโยค เค้าก็ก้าวขึ้นมานั่งที่ตักของผม ใบหน้าของเค้าโน้มเค้ามาหาผมชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของทั้งผมและเค้า กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากลมหายใจของเราทั้งคู่ ส่งกลิ่นให้ได้รับรู้และกระตุ้นอารมณ์ที่อยู่ภายใน
นิ้วเรียวของเค้าถูกยกขึ้นมาเกลี่ยไปกับใบหน้าผม แว่นผมค่อยๆ ถูกถอดออกไปวางไว้ด้านข้าง ใบหน้าผมเงยขึ้นเล็กน้อยตามแรงมือของเค้าที่สอดดึงไปตามแนวไรผม ของผม ริมฝีปากของเค้าค่อยๆ เลื่อนลงมาหาผมที่ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำของเค้า ผมเปิดปากแล้วจูบตอบเค้าอย่างไม่ยอมแพ้ จะด้วยความเมา หรือความเหงาความเปล่าเปลี่ยนก็ไม่ทราบได้ มันทำให้ผมไม่ได้ปฏิเสธเค้า ทั้งที่ในใจยังคงมีความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
กระดุมเสื้อผมเริ่มถูกปลดทีละเม็ด ทีละเม็ด การไม่ได้เจอกันนานเวลามันทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปมากจริงๆ กลิ้งที่เมื่อก่อนจะเขินอายในการเป็นฝ่ายเริ่มอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้เค้ากลับดูช่ำชองเปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้ว เค้าผละจากตัวผมเพื่อถอดเสื้อของตัวเค้าเอง ก่อนจะกลับมาแลกลิ้นกับผมอีกครั้ง
ผมยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกหวาบหวามที่ผมห่างหายมานาน แต่ผมกลับไม่ได้นึกถึงคนตรงหน้านี่เลย ภาพของใครอีกคนซ้อนทับเข้ามา จนผมเริ่มรู้สึกลังเลที่จะให้เรื่องนี้ดำเนินต่อ ผมเริ่มนิ่งพยายามตั้งสติเพราะอารมณ์ของผมตอนนี้มันก็เริ่มจะกระเจิงไปแล้วเหมือนกัน ผมเริ่มขืนตัวและผลักอีกคนออกเบาๆ
“พอเถอะ”และผมก็พูดออกไปในที่สุด ผมทำไม่ได้ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซกส์สำหรับผมมันคงแค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่ตอนนี้ทั้งที่ผมก็ห่างหายมานาน และมีความต้องการเช่นกัน แต่ความรู้สึกของผมกลับต่อต้านกันเองอยู่ภายใน
“ทำไมล่ะในเมื่อ...”สายตาเค้าที่มองผม เหมือนไม่เชื่อในการปฏิเสธของผม มือของเค้ายังคงวนเวียนอยู่ที่แผงอกของผม และค่อยๆ ลากต่ำลงไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าท้อง จนผมต้องรีบดึงมือนั้นไว้ก่อนทุกอย่างมันจะถลำไปมากกว่านี้ กลิ้งจ้องมองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจ
“เราเป็นเพื่อนกัน มันก็ไม่ควรจะเกินเลยไปมากกว่านี้”นี่คือสิ่งที่ผมควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ควรคิดตั้งแต่ก่อนที่จะเลยเถิดกับปาร์ตี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ปล่อยให้อารมณ์กับความใคร่อยู่เหนือเหตุผล เรื่องทุกอย่างอาจจะไม่ได้ เลยมาถึงจุดนี้ ระหว่างผมกับปาร์ตี้เราก็คงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่
“เมื่อก่อนเราก็เป็นเพื่อนกันเราก็ยังทำแบบนี้กันได้ ไม่เห็นชาร์ปจะมีปัญหาอะไรนิ”
“ตอนนี้ความคิด มุมมองของเรามันอาจจะเปลี่ยนไปมั้ง เมื่อก่อนเราอาจจะเคยคิดว่าเซกส์มันก็แค่คนสองคนที่มีความต้องการ หาความสุขร่วมกัน แต่พอเวลาผ่านไป เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ถ้ามันเป็นเซกส์กับคนที่เราชอบ คนที่เราคบเป็นแฟน มันเป็นอะไรที่แตกต่าง และมันดีกว่ามาก”ถ้าจะเอาให้ชัดผมคงต้องบอกว่าการมีอะไรกับคนที่เรารัก มันต้องมีความสุขมากกว่าอยู่แล้ว ผมน่าจะเอะใจให้ได้ตั้งแต่ตอนที่มีความสัมพันธ์กับปาร์ตี้ ไม่งั้นป่านนี้ ผมก็ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้
“งั้นเรามาคบกันไหมละ”นี่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผิดไป
“เราขอตัวกลับก่อนน่าจะดีกว่า”ผมไม่ได้ตอบอะไรเค้า หากแต่ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าอย่างลวกๆ เพื่อออกจากห้องนี้ก่อนที่เรื่องราวมันจะยุ่งยากไปมากกว่านี้ กลิ้งพยายามจะรั้งผมไว้ เค้าดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำ แน่นอนว่าการที่ผมยอมมากับเค้าในคืนนี้มันก็เหมือนเป็นการตอบตกลงไปแล้วว่าคืนนี้มันจะต้องจบลงที่เตียงนอน แต่แล้วผมกลับมาปฏิเสธเอาในตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
“ขอโทษนะ แต่เราทำไม่ได้จริงๆ”ผมกล่าวกับเค้าอีกครั้ง ก่อนจะหยิบแว่นที่ถูกถอดออกมาสวมและ ออกจากห้อง กลิ้งไม่ได้ตามมายื้อหรืออะไรผมอีก หวังว่าเค้าคงจะเข้าใจผม หรือถ้าเค้าจะโกรธ เกลียดผมอีกครั้ง ผมก็คงไปห้ามเค้าไม่ได้ ผมกดลิฟต์ลงจากชั้นที่อยู่ ตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ผมสตาร์ทรถ หากแต่ยังไม่ได้ขับออกไป
ความว้าวุ่นในใจทำให้ผมยังนั่งจ้องมองโทรศัพท์อย่างตัดสินใจ เวลาที่ปรากฏบนหน้าจอตอนนี้เกือบจะตี 1 แล้ว ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมแชทขึ้นมา เลื่อนหาชื่อคนที่ผมกำลังรู้สึกอยากคุยกับเค้า ใจจริงอยากจะโทรไปเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเวลาแล้วไม่รู้ป่านนี้เค้านอนไปรึยัง หรือจะไปรบกวนเวลาของเค้ากับแฟนด้วยก็อาจเป็นไปได้อีก ขนาดข้อความที่จะพิมพ์หาเค้าผมยังพิมพ์แล้วลบ อยู่หลายรอบ ด้วยความไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นประโยคคุยกับเค้ายังไง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เค้าจะตอบหรือคุยกับผมหรือเปล่า
“นอนยัง”เป็นข้อความที่ผมว่าพอจะเปิดประเด็นได้ดีที่สุดในเวลานี้ ผมตัดสินใจส่งไปด้วยความหวังว่าเค้าจะยังไม่นอนและตอบกลับผม นี่ถ้าเวลาปกติผมคงไม่กล้าที่จะติดต่อเค้าแบบนี้ แต่นี่ผมเมา และผมถือว่ามันคงเป็นข้ออ้างที่เพียงพอที่จะทักทายเค้าด้วยข้อความ คนเมาสามารถทำอะไรในสิ่งที่คนปกติไม่ทำ และถ้ามีผลอะไรตามมาก็ใช้ความเมานี่แหละในการบอกว่าทำไปด้วยความขาดสติ ผมรู้ว่ามันฟังดูแย่ ดูนิสัยไม่ดี แต่ผมคิดถึงเค้า และผมยินดีที่จะลองเสี่ยงรับกับผลที่จะตามมา
ผมยิ้มกว้างเมื่อข้อความที่ผมส่งไป แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว แต่ไม่นานผมก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววว่าข้อความจากอีกฝั่งจะตอบกลับมา ถ้าเค้าอ่านแสดงว่าคงยังไม่นอน คนที่นอนแล้วคงไม่ตื่นเพียงเพราะเสียงแจ้งเตือนจากข้อความแชทแน่นอน ผมตัดสินใจกดหาเบอร์โทรของเค้าก่อนจะกดโทรออก ถือว่าโชคดีที่แม้เค้าเหมือนจะไม่ได้อยากติดต่อกับผมตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่เค้าก็ไม่ได้ถึงขนาดบล็อคเบอร์หรือช่องทางการติดต่ออื่นๆ จากผม แม้จะคิดไว้ว่าเค้าอาจจะไม่รับสายจากผม แต่ในใจลึกๆ ก็ยังหวังว่าเค้าจะรับสายจากผม เสียงรอสายที่ดังในแต่ละวินาทีมันทำให้ผมลุ้นเสียยิ่งกว่าอะไร ภาวนาอย่าให้เค้ากดตัดสาย หรือสัญญาณตัดไปเฉยๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”เค้ารับ เค้ายอมรับสายผม แถมฟังจากน้ำเสียงแล้วเค้าน่าจะยังไม่นอน แต่น้ำเสียงของเค้านิ่งเสียจนผมเดาอารมณ์ไม่ถูกว่าตอนนี้เค้ารู้สึกยังไง แล้วประโยคทีเค้าถามผมนี่เหมือนบอกว่าถ้าไม่มีอะไรสำคัญโทรมาดึกขนาดนี้ผมอาจคอขาดได้
“ฮัลโหล ชาร์ป ได้ยินหรือเปล่า”ผมมัวแต่ตื่นเต้นที่เค้ายอมรับสาย จนพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
“ได้ยินๆ เราโทรมารบกวนหรือเปล่า”ผมรีบบอกก่อนที่เค้าจะวางสายไปเสียก่อน
“ถ้าคิดว่ารบกวนแล้วจะโทรมาทำไม หรือถ้าเราบอกว่ารบกวนนี่จะวางไหมละ”โอ้โห สงสัยจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่แล้วมั้งเนี่ย แม้จะเผื่อใจมาแล้วนะครับว่าเค้าอาจจะไม่ได้อยากคุยกับผม เหมือนที่ผมอยากคุยกับเค้า แต่พอมาเจอสถานการณ์จริง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บเบาเบาครับ
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวาง แล้วนี่ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ”ผมยังคงพยายามคุยกับเค้าด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเป็นไม่สนใจว่าเค้าไม่ได้อยากคุยกับผม แค่เค้ายอมรับสายผมนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ไม่รู้ว่าเค้ากลัวผมไปทำลายความสัมพันธ์ของเค้ากับแฟนหรือเปล่า แต่ถึงเค้าจะคิดแบบนั้นก็คงไม่แปลก เพราะคงไอ้ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ เพื่อนที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน เค้าคงไม่ทำกัน
“ถ้านอนแล้วจะคุยได้ไหมละ”คงเป็นผมที่บ้าอยู่ฝ่ายเดียวแหละครับ ตอนนี้น้ำเสียงของเค้ามันเหมือนรำคาญผมเสียเต็มประดาเสียแล้ว แต่มีหรือที่คนเมาอย่างผมจะยอมละความพยายาม บอกแล้วครับว่าคนเมาทำได้ทุกอย่างแหละ ที่คนปกติเค้าไม่ทำกัน
“โห ถามแค่นี้ทำไมต้องทำเสียงดุด้วย แล้วนี่...แฟนตี้นอนหรือยัง”ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงขับรถไปบ้านเค้าแล้ว ไม่ต้องมาถามถึงคนอื่นแบบนี้ แต่ตอนนี้ต่อให้ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็คงไปหาเค้าไม่ได้ เพราะเค้าไม่ใช่คนโสดเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
“ไปเลี้ยงลูกค้า ยังไม่กลับเลย ตกลงโทรมาดึกขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”เค้าคงเริ่มรู้สึกแล้วว่าผมไม่ได้มีเรื่องราวสำคัญอะไรในการโทรมาหาเค้าตอนนี้ แต่ถ้าจะเอาคำตอบจริงๆ จากผม ผมก็พอจะมีให้นะครับ ว่าผมโทรหาเค้าทำไม
“คือเรา...เราแค่...”ผมอ้ำอึ้งเพราะรู้ว่ามันไม่สมควรพูดออกไป
“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ เราวางสายนะ”และเค้าคงจะหมดความอดทน ในการคุยกับผมแล้ว
“เราแค่คิดถึงตี้”คงต้องโทษความเมาที่ทำให้ผมพูดออกไปในที่สุด ผมรู้ว่ามันผิด รู้ว่าตอนนี้มันสายเกินไปที่จะทำแบบนี้ แต่ผมขอแค่วันนี้ ตอนนี้ให้ผมได้ทำในสิ่งที่ อาจไม่ได้ถูกต้องกับการที่มาคิดถึงคนมีเจ้าของแบบนี้
“ชาร์ป...เราบอกแล้วไง ว่าถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันก็อย่าล้ำเส้นเราอีก”คงมีแค่คนเมาอย่างผมนี่แหละครับที่จะคิดหรือพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไป ส่วนคนที่ยังมีสติดีอย่างปาร์ตี้ในตอนนี้ ที่จริงเค้าอาจไม่ได้คิดเรื่องถูกหรือผิด เพียงแต่เค้าคงไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกก็เท่านั้นเอง
“เราก็แค่คิดถึง แบบเพื่อน โทรหาแบบเพื่อน...ไม่ได้เหรอ”ผมยังคงตีมึนแถไปอย่างข้างๆ คูๆ ไม่เคยคิดว่าวันนึงผมจะกลายมาเป็นคนทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ คิดๆแล้ว ผมตอนนี้ก็คงไม่ได้ต่างจากคนที่พยายามเป็นชู้กับแฟนคนอื่น มันก็ตลกดีนะครับ ที่คนเคยโดนสวมเขาอย่างผม จากที่เคยโดนชะเอมทำไว้กับผม แล้วผมเองก็ไม่ชอบที่ตัวเองโดนหลอก แต่สิ่งที่ผมทำตอนนี้มันแทบไม่ต่างกันเลยก็ว่าได้ ต่างก็เพียงอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยกับผม
“อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ถือว่าเราขอร้อง”ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เพราะอีกฝ่ายชิงวางสายไปแล้วเรียบร้อย ผมถอนหายใจอย่างนึกสมเพชตัวเอง จะโทรไปอีกครั้งก็คงไม่เหมาะแล้ว ผมเลยเลิกที่จะพิมพ์ข้อความส่งไปขอโทษเค้าแทน
“เราขอโทษ อย่าถือสาเลยนะ วันนี้เราคงดื่มหนักไปหน่อย”หลังจากส่งข้อความไปและคิดว่าเค้าคงไม่ตอบอะไรผมกลับมา ผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง กะว่าขอพักสายตาสักนิดแล้วค่อยขับรถกลับ
“ก๊อกๆ”เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นหลังจากที่ผมหลับตาลงแค่ไม่นาน และพอลืมตาขึ้นมาก็ต้องแปลกใจ กับสิ่งที่เห็น กลิ้งในชุดนอนที่สวมเสื้อคลุมทับอีกที ยืนรอให้ผมเลื่อนเปิดกระจกอยู่ข้างๆ รถ
“ทำไมยังอยู่นี่ละ”
TBC
ขอโต๊ดที่หายไปหลายวันนะคร๊าบบบ
แอบหนีไปเที่ยว แถมภารกิจก็เยอะคร๊าบช่วงนี้
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามนะคร๊าบบบ