PART II บทที่ 9
คนแรก
Sharp’s Part
“ชาร์ป”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียง ก่อนจะพบใครคนนึงยืนยิ้มให้ผมอยู่ ใครคนนึงที่ผมไม่ได้เจอมานาน และเกือบจะลืมเค้าไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
“กลิ้ง...หวัดดี”ผมเอ่ยทักทายกลับไปพร้อมกับเชื้อเชิญให้เค้านั่ง เค้าคือใครนะเหรอครับ เค้าเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนมัธยม และเป็นคนที่ผมเคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางเพศด้วย หรือจะบอกว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเคยมีอะไรด้วยก็ว่าได้ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาไปมากกว่านั้น หลังจากเรียนจบมัธยม ต่างคนก็ต่างเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนละที่ ผมก็ไม่ได้เจอและติดต่อเค้าอีกเลย
“นี่ชาร์ปมาคนเดียวเหรอ”เค้าถามด้วยความสงสัย ทันทีที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม เค้าดูเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนเค้าดูเป็นเด็กเรียน ขี้อาย พูดน้อย ดูเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ แต่วันนี้เค้าดูเป็นสไตล์ผู้ชายออฟฟิศ ที่ท่าทางกระฉับกระเฉง ดูไม่เหนียมอายอย่างแต่ก่อน ก็คงไม่แปลกที่เค้าจะเปลี่ยนไป คนเราพอโตขึ้น ได้เจออะไรหลายๆ อย่าง เจอสังคมใหม่ๆ มันก็คงต้องเปลี่ยนไปบ้างตามกาลเวลา แล้วนี่ผมก็ไม่ได้เจอเค้าจะเป็น 10 ปีแล้วด้วย
จริงๆ ในตอนนั้นที่เรามีความสัมพันธ์ทางกายเกินเลยกันมากกว่าเพื่อน มันก็มาจากผมนี่แหละครับ ตอนนั้นการเรียนของผมมีอยู่วิชานึงที่ค่อนข้างย่ำแย่ เรียกว่าห่วยที่สุดในห้อง นั่นคือวิชาภาษาอังกฤษ ทั้งที่วิชาอื่นๆ โดยเฉพาะพวกวิชาคำนวณผมทำได้ดีมาก ผมเลยปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นในตอนนั้นว่าจะทำยังไงดี คือผมไม่อยากเรียนพิเศษที่เป็นทางการอะไรมาก อาจารย์เลยเสนอให้ผมหาบัดดี้ที่เก่งภาษาอังกฤษ แน่นอนครับ กลิ้งคือคนที่ผมเลือกและขอให้อาจารย์ช่วยพูดให้เค้ายอมช่วยติวผม
ตอนแรกเค้าก็ไม่อยากยุ่งกับผมสักเท่าไหร่ และเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก จนตอนแรกผมคิดว่าเค้าเกลียดขี้หน้าผมหรือเปล่า แต่พอได้มาสนิทกับเค้าจริงๆ ทำให้ผมเริ่มสังเกตบางอย่าง จนรู้ว่าเค้าเป็นเกย์ และเขินที่จะต้องใกล้ชิดหรือทำตัวสนิทสนมกับผม พอผมรู้แบบนั้นผมกลับยิ่งนึกสนุก อยากแกล้งเค้า ผลจากการที่ผมแกล้งทำเป็นหมากยอกไก่กับเค้าบ่อยๆ มันกลายเป็นว่าเค้าเกิดชอบผมขึ้นมาจริงๆ
ทีแรกเค้าก็ไม่ได้พูดออกมา แต่การแสดงออกของเค้ามันชัดเจนจนผมเองก็รู้สึกได้ ส่วนความรู้สึกของผมในตอนนั้น แม้จะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมมีความรู้สึกทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย แต่ระหว่างผมกับกลิ้งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับเค้าขนาดนั้น เพียงแต่ว่าความอยากรู้อยากลองมันทำให้ผมกับเค้ามีอะไรเกินเลยกันไป ซึ่งมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่นานนักเพราะผ่านไปสักพัก กลิ้งกลับต้องการที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนกับผม เค้าต้องการใช้คำว่าแฟนกับผม
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าเลยจบลง เค้าไม่ยอมคุยกับผมอยู่เกือบปี แต่สุดท้ายเราก็ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ว่าผมให้เค้ามากกว่าเพื่อนไม่ได้ และวันนึงผมก็ยังคิดที่จะแต่งงาน แม้เราจะเหมือนเข้าใจกันแล้ว แต่ส่วนนึงที่เค้ากับผมไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังจากเรียนจบ ก็คงมีเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุก็เป็นได้
“เอ้า ว่าไง มัวแต่เหม่อคิดอะไรเนี่ย”เค้าถามผมย้ำอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อ เพราะมัวแต่คิดไปถึงเรื่องในอดีตของเราทั้งคู่
“เรามาคนเดียว มีอะไรให้คิดนิดหน่อย เลยอยากออกมาผ่อนคลายบ้าง แล้วนี่กลิ้งมากะใครอ่ะ”ผมย้อนถามกลับ
“เรามากะเพื่อนที่ทำงาน พอดีเพื่อนๆ อยากมาเที่ยวภูเก็ต เลยบังคับให้เราพามา พรุ่งนี้เย็นๆ ก็กลับกรุงเทพฯ แล้ว”เค้าตอบพร้อมชี้ไปที่โต๊ะอีกด้านนึงของร้านที่มีคนนั่งอยู่ประมาณ 5-6 คน เค้ายังบอกอีกว่าตอนนี้เค้าทำงานที่โรงแรมอยู่ในกรุงเทพฯ ผมเองก็บอกเล่าในส่วนของผมไปเช่นกันว่ากลับมาอยู่ที่ภูเก็ตนี่เกือบปีแล้ว
“แล้วนี่โสดเหรอถึงต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวเนี่ย”ผมยิ้มรับแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปขอจานช้อนและแก้วจากเด็กเสิร์ฟ ที่ยกอาหารมาวางที่โต๊ะ
“ว่าไงตกลงโสดหรือไม่โสด ถ้าไม่โสดเราจะได้กลับไปนั่งกับเพื่อน”ถ้าเป็นเมื่อก่อนคำพูดแนวทีเล่นทีจริงแบบนี้จะออกมาจากปากผม แล้วเค้าเองที่จะเป็นฝ่ายเงียบ และเขิน แต่ตอนนี้แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกเขินอะไร ทว่ากลับกลายเป็นเค้าที่มาพูดเล่นแบบนี้ เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนไปอย่างที่ใครๆ ว่าสินะ
“ก็ตั้งแต่โดนถอนหมั้นนี่ก็ เกือบปีแล้วมั้งที่โสด”ผมตอบกลับไปสบายๆ
“ถอนหมั้น”เค้าขมวดคิ้วถามผมกลับ ผมเริ่มเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับชะเอม ว่าเลิกรากันเพราะอะไร ตามด้วยเรื่องราวระหว่างผมกับน้องปลาแต่ผมเลือกที่จะเล่าข้ามในส่วนความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้ กลิ้งไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมาเค้ารับฟังผมอย่างตั้งใจจนกระทั่ง
“แล้วทำไมชาร์ปถึงบอกเรื่องที่เคยมีอะไรกับผู้ชายให้เค้าฟังละ”แน่นอนว่าถ้าผมอยากแต่งงานจริงๆ ก็คงปิดบังเรื่องนี้ไว้ ซึ่งมันก็คงไม่มีใครรู้ หากแต่ตอนนั้นในใจผมคิดอะไรถึงพูดอออกไป ผมยังไม่เข้าใจตัวเอง แต่ถ้าถามตอนนี้ผมคงตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นเพราะปาร์ตี้ นี่ถ้าผมเล่าเรื่องตี้ให้กลิ้งฟังเค้าก็คงจะ ไม่เอ่ยถามคำถามนี้กับผม เพราะคงเดาได้อยู่แล้ว
ผมไม่ได้ตอบคำถามกลิ้ง แต่หันมาสนใจจานยำวุ้นเส้นที่วางอยู่ตรงหน้ามาพักนึงแล้ว ผมเลือกตักเฉพาะหอมแดง ออกมาวางที่จานของผม ผมจำได้ว่าอีกคนที่ผมกำลังนึกถึงอยู่ตอนนี้ เค้าชอบกินและผมเคยช่วยตักให้เค้า ซึ่งเป็นการชอบกินอะไรที่ดูแปลกมากสำหรับผม เพราะผมว่ามันไม่เห็นจะอร่อยเลยสักนิด
ผมตักหอมแดงที่อยู่ในจานเข้าปาก มันไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ แต่ทำไมผมถึงได้ยิ้มออกมาเวลาที่รับรู้ถึงรดชาดของหอมแดง ตอนนี้เค้าจะทำอะไรอยู่ เค้ากับแฟนมีความสุขดีอยู่หรือเปล่า บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าอยากจะลองแย่งเค้า หรือทำให้เค้ากับแฟนเลิกกัน ซึ่งผมก็เกือบทำไปแล้วจริงๆ ตอนล่าสุดที่ผมได้เจอกับเค้า แล้วไปส่งเค้าที่บ้านครั้งนั้น
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”คำพูดที่บอกกับเค้าแผ่วเบานั้น ผมไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะผมที่สัมผัสใบหน้าเค้าอยู่ ค่อยๆ เลื่อนไปที่ท้ายทอยของเค้าดึงให้หน้าของเค้าชิดเข้ามาหาผม จนหน้าผากเราชนกัน จมูกของเราทั้งคู่เบียดไปมา จนรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย เขาพยายามจะขืนตัวออก
“อย่าทำแบบนี้”น้ำเสียงเค้าเบาหวิว จนผมไม่ได้รู้สึกว่าเค้าจะปฏิเสธอย่างจริงจัง ผมออกแรงเพิ่มอีกเพียงนิดเดียวก็สามารถรั้งให้ริมฝีปากของเค้าและผมสัมผัสกันแล้ว เค้าพยายามขัดขืนแต่แล้วสุดท้ายผมก็รู้สึกได้ว่าเค้าตอบรับรสจูบของผม แต่ความรู้สึกผมมันก็ตีกันปนเปไปหมด ผมรู้ว่าตัวเองทำผิด เพราะตอนนี้เค้ามีเจ้าของอยู่ แต่ผมก็โหยหาสัมผัสที่เคยมีกับเค้า
“พอเถอะ”เค้าผลักผมออกอย่างแรงจนเกือบกระแทกประตูรถ เค้ามองผมด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา และตอนนี้เองที่ผมได้สติว่าไม่ควรทำแบบนี้ ผมควรรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
“ขอโทษ”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิดจริงๆ
“เพื่อนกันเค้าไม่ทำอะไรกันแบบนี้หรอกนะ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ก็อย่าล้ำเส้นแบบนี้อีก”พูดจบเค้าก็เปิดประตูรถเดินลงไปทันทีโดยไม่ได้รอให้ผมได้พูดอะไร ผมมองเค้าเดินจากไปก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา มันคงต้องจบลงแบบนี้จริงๆ สินะ
“ชอบเหรอ”เสียงของคนที่นั่งตรงข้ามผมปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ผมเลิกคิ้วมองกลิ้งอย่างไม่เข้าใจว่าเค้าหมายถึงอะไร เพราะเมื่อสักครู่ผมไม่ได้ฟังที่เค้าพูด มัวแต่นึกถึงอีกคนอยู่
“หอมแดงนั่นไง ไม่ยักรู้ว่าชาร์ปชอบกิน เมื่อก่อนจำได้ว่าเขี่ยทิ้งตลอดนิ”ผมก้มมองหอมแดงในจานแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ไม่ได้ชอบหรอก เราว่ามันไม่อร่อยเลยสักนิด แต่เวลากินแล้วมันทำให้นึกถึงคนๆ นึงที่เค้าชอบกิน”ผมตอบพร้อมยิ้มให้กับคนถาม ก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม นี่ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นเค้าก็คงดี ทั้งบรรยากาศแบบนี้ มีแอลกอฮอล์แบบนี้ แถมยังมีอะไรที่เค้าชอบกินมันยิ่งทำให้ผมคิดถึงเค้า
“เราขอเดานะ ว่าคนที่ชอบทานหอมแดงเนี่ย ไม่ใช่ ทั้ง 2 คนที่ชาร์ปเลิกไป”กลิ้งคาดเดาพร้อมยิ้มแปลกๆ มายังผม
“ทำไมคิดงั้นละ”
“ก็เวลาชาร์ปพูดถึงแฟนเก่าที่เล่าให้เราฟัง กับพูดถึงคุณหอมแดงนี่ แววตาชาร์ปมันดูต่างกันชัดมาก”เค้าโน้มตัวเข้ามาหาผมเหมือนพยายามจับสังเกตบางอย่างก่อนจะบอก ว่าแต่นี่ผมแทบยังไม่ได้พูดถึงคนชอบกินหอดแดงนี่เลยด้วยซ้ำ แค่บอกว่ามีคนชอบกินแค่นั้น แต่เค้าสังเกตรายละเอียดผมได้มากขนาดนั้นเชียว
“คุณหอมแดงนี่ไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม”นี่ผมเป็นคนดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ หรือว่าเค้าเดาเก่งกันแน่ แต่ผมเลือกที่จะเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรออกไป เรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้ ผมคิดว่าคงให้คนรู้น้อยเท่าไหร่คงจะยิ่งดี เพราะผมเองก็คิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ได้อยากให้ใครรู้สักเท่าไหร่
“ชักรู้สึกอยากจะรู้จักคุณหอมแดงนี่ขึ้นมาแล้วสิ”เค้าพูดออกมาขำๆ แล้วก็ไม่ได้เซ้าซี้ผมอีก บทสนทนาของเรากลับมาที่เรื่องชีวิตการทำงาน หรือถามไถ่ถึงเพื่อนเก่าๆ ของพวกเรา ผมก็ไม่รู้ว่าการที่ได้เจอกลิ้งวันนี้เป็นผลดีหรือผลเสียกับผมมากกว่ากันแน่ จากตอนแรกส่วนที่ดีคือผมไม่ต้องฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว แต่ส่วนที่มันแย่ตามมาก็คือ กลิ้งดันทำให้ผมยิ่งคิดถึงอีกคนมากขึ้นไปอีก แถมด้วยอาการตึงๆ จากการดื่มเข้าไปเยอะนี่อีก
“ยังไม่รีบกลับใช่ไหม เดี๋ยวขอไปคุยกับเพื่อนแปป เดี๋ยวมานั่งด้วย”เราคุยกันเรื่อยเปื่อยจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเค้าไม่ได้มาคนเดียว หากแต่มีกลุ่มเพื่อนมาด้วยอีกหลายคน ผมบอกให้เค้าไปนั่งกับเพื่อนตามสบายได้เลย แม้เค้าจะชวนผมไปร่วมโต๊ะด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมอยากรู้จักใครเพิ่มสักเท่าไหร่หรอกครับ กลิ้งเลยเดินกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะเพียงคนเดียว ส่วนผมขอเสียมารยาทที่ไม่แม้แต่จะเดินไปทำความรู้จักกับเพื่อนของเค้า
“พี่สูบบุหรี่ตรงนี้เลยได้ใช่ไหม”ผมเอ่ยถามจากเด็กเสิร์ฟ เพราะตอนแรกผมก็กะจะลุกไปหาทีสูบบุหรี่เหมือนกัน แต่เห็นมีบางโต๊ะที่นั่งสูบที่โต๊ะเลย ก็เลยลองถามดู เผื่อจะได้ไม่ต้องลุกไปไกล ซึ่งเด็กเสิร์ฟก็อนุญาตนะครับว่าสูบบุหรี่ที่โต๊ะได้ แต่ผมดันเหลือบเห็นสายตาจากโต๊ะที่ถัดไปจากผมเล็กน้อย มองผมด้วยสายตาที่ไม่ได้พอใจสักเท่าไหร่ ที่กำลังจะจุดบุหรี่ ผมเลยตัดสิน ไม่สูบเสียดีกว่า
ผมหันมาสนใจกับเครื่องของผม พยายามดื่มด่ำกับเสียงเพลงสบายๆ จากทางร้าน ผมเผลอพูดชื่อเพลงออกมาทุกครั้งที่ เสียงเพลงจบลงและมีเพลงใหม่ขึ้นมา ประหนึ่งว่าตอนนี้ผมกำลังเล่นเกมทายเพลงกับใครบางคนอยู่ คนที่รู้จักเพลงเยอะแยะไปหมด จนบางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เค้าเอาเวลาที่ไหนไปฟังเพลงเยอะแยะขนาดนั้น แต่หลังจากที่ได้รู้จักตัวเค้ามากขึ้น และได้เข้าไปในชีวิตของเค้ามากขึ้นถึงได้รู้ว่า เสียงเพลงแทบจะอยู่ในทุกลมหายใจของเค้าเลยมั้ง ตั้งแต่ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ขับรถ หรือบางทีทำงาน ยังเห็นเค้าใส่หูฟัง แถมเค้าเป็นคนความจำดีสุดๆ
“ต้องหมกหมุ่นขนาดไหนถึงจะจำรายละเอียดได้ขนาดนี้”ผมเคยแกล้งแซวเค้าเรื่องนักร้องคนนึง ที่ผมแค่จะถามว่าใครเป็นคนร้องเพลงๆ นึง ปรากฏว่าเค้าเล่าให้ผมฟังได้หมดเลยว่าเจ้าของเพลงนั้น เป็นใครมาจากไหน มีผลงานอะไร คบใครอยู่บ้าง สนิทกับใคร นั่นแหละครับ คนเราต้องหมกหมุ่นขนาดไหนถึงจะรู้ละเอียดได้ขนาดนั้น ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงเวลาที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ผมว่าเค้าดูมีความสุขที่ได้เล่า แม้บางทีสิ่งที่เค้าเล่าผมฟังแล้วจะจำไม่ค่อยได้ก็เถอะ ก็คนเรามันมีอะไรที่สนใจไม่เหมือนกันนี่เนอะ แต่ผมก็ชอบฟังเค้าพูดนะครับ
“ยิ้มอะไร คนเดียวนิ”กลิ้งกลับมาที่โต๊ะผมอีกครั้ง พร้อมกับกระเป๋าสายใบเล็กๆ ของเค้า และเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนๆ ของเค้าที่มาด้วยกัน กำลังทยอย ออกจากร้าน สงสัยจะพากันกลับแล้ว
“จะกลับกันแล้วเหรอ”ผมทำปากบุ้ยใบไปทางกลุ่มเพื่อนของเค้าที่กำลังออกจากร้าน
“เพื่อนเรา อยากพักผ่อนกัน แต่เราอยากไปต่อ”เค้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ครับ ถ้าแค่เพื่อนๆ เค้ากลับแล้วตัวเค้าไม่กลับนั่นอาจจะดูไม่มีอะไร คงแค่เหมือนจะนั่งดื่มกับเพื่อนเก่าอย่างผมต่อ แต่การที่เค้าชวนผมไปต่อด้วยน้ำเสียงและสายตาที่แฝงความนัย แถมตามมาด้วยเท้าเค้าที่ยื่นมาเขี่ยเท้าผมอยู่ใต้โต๊ะนี่อีก มันชัดเจนเหลือเกินว่าเค้าจะสื่ออะไร
“กลิ้งไม่เห็นบอกเลย ว่าตอนนี้โสดหรือไม่โสด”ผมถามกลับไปด้วยท่าทางไม่ได้ต่างจากเค้าอย่างท้าทาย
“ทำไม ถ้าไม่โสดจะไม่ยอมไปต่อกับเราหรือไง”พูดจบเค้าก็ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ย้ายมานั่งข้างๆ ผมหันมองรอดูว่าเค้าจะทำอะไร เค้ายิ้มเหมือนคนที่เป็นต่อ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้ามาหาผม แล้วก็กระซิบที่ข้างหูผม
“ไม่เจอกันตั้งนาน เราน่าจะไปรื้อฟื้นอะไรกันสักหน่อยดีไหม”
TBC
ตอนนี้เพิ่มตัวละครเข้ามาอีก 1
ไม่รู้ว่าจะจบง่ายขึ้น หรือยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม
ยังไงฝากติดตามด้วยนะคร๊าบบบ