11th Night :เลยเถิด
[/b]
เสียงขลุกขลักผสมกับบทสนทนาแซดแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วเข้าหู แม้จะไม่ดังมาก แต่ระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานของมันก็ปลุกตุลย์ให้ตื่นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ร่างโปร่งพลิกตัวบนเตียง ยกแขนปิดตาจากแดดยามเช้าที่ทอดผ่านรอยต่อม่าน พลางครางในคออย่างงัวเงีย
เมื่อคืนคงดื่มมากไปสักหน่อย พออาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับสนิททั้งที่ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ยังไม่สร่างดี เช้านี้เลยตื่นมาพร้อมอาการหนักหัวชวนให้รำคาญตัวอย่างบอกไม่ถูก
แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่น่ารำคาญเท่าเสียงดังปึงปังจากชั้นล่างที่ปลุกเขาตื่นในเช้าวันเสาร์ตอนหกโมงหรอก...อยากล้มตัวลงนอนหลับต่อด้วยความง่วงงุ่น แต่ก็รำคาญใจจนหลับไม่สนิท
พลิกตัวไปมาได้ครู่เดียว ตุลย์ก็จำใจต้องลุกขึ้นเดินลงไปชั้นล่าง กะชะโงกหน้าผ่านระเบียงบันไดดูให้คลายสงสัยหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นต้นเสียง แทนที่จะได้คำตอบ เขากลับได้เครื่องหมายคำถามเพิ่มมาแทนเสียนี่
ด้านล่างมีชายแข็งแรงสองสามคนกำลังวุ่นกับการขนย้ายถ่ายสิ่งของจากมุมห้องนั่งเล่นไปข้างนอก ใกล้ๆ กันนั้นคือหญิงวัยกลางคน ยืนชี้นิ้วกำกับอยู่ไม่ห่าง ซึ่งถ้าจำไม่ผิด เธอคือหนึ่งในแม่บ้านที่ศานนท์จ้างไว้ดูแลตอนกลางวัน
พอเธอเหลือมาเห็นเขายืนละล้าละลังอยู่ตรงชานบันไดไม่ลงมาสักที ก็เอ่ยทักด้วยเสียงหวานสุภาพ
“คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ ข้างล่างเสียงดังรบกวนไปไหม”
อยู่ๆ ถูกเรียกด้วยสรรพนามยอยก ตุลย์ก็อดประหม่าไม่ได้
“เอ่อ... คุณศานนท์ไม่อยู่เหรอครับ?”
“ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วค่ะ มีอะไรกับคุณชายหรือเปล่าคะ”
เขาส่ายหน้าเบาๆ
ศานนท์จะไปไหนก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมถึงขนของออก...?”
ถามพลางมองตามชายคนที่ยกลังกระดาษด้านในบรรจุขวดจำนวนหนึ่งออกไปอย่างงุนงง แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าบางอย่างในห้องได้หายไป...
ตำแหน่งเคยเป็นที่ตั้งของบาร์ บัดนี้กลายเป็นพื้นกระเบื้องวางเปล่าไม่เหลือแม้เหล้าสักขวด กระทั่งตู้แช่ไวน์ที่เคยวางตรงมุมห้องก็กำลังถูกสองคนที่เหลือช่วยกันยกออกไปต่อหน้าต่อตา!
“............”
ตุลย์ได้แค่ยืนนิ่ง มองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นด้วยอารมณ์ว่างเปล่า และฟังคำตอบซ้ำเติมความจริงตรงหน้า
“อ๋อ เมื่อเช้าคุณชายสั่งให้รื้อบาร์ออกน่ะค่ะ เห็นว่า ‘เป็นปัญหา’ ‘ดูแลยาก’ เลยไม่อยากให้เอาไว้ต่อ คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ ป้าทำให้ตื่นไหม...”
สมองเขาเบลอจนฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา จับใจความคำพูดของแม่บ้านได้อย่างขาดๆ หายๆ แต่พอได้สติความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือ ‘โมโห’
ศานนท์ คุณมันบ้าไปแล้ว!ถึงจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพฤติกรรมการดื่มของเขาเป็นทุนเดิม ประกอบกับผลจากความปากพล่อยเมื่อวานที่ทำให้อะไรๆ ติดจะวุ่นวายไปสักหน่อย แต่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ที่นึกอยากจะแก้เผ็ดเขาก็สั่งให้คนขนบาร์ขนเหล้าออก ทั้งที่รู้ว่าเขาต้องใช้มันเพราะทำแบบนี้มานานจนติดเป็นนิสัย
นี่มันเหล้านะครับ ไม่ใช่ถุงกระดาษรักโลกที่เวลาคิดจะเลิกใช้ก็แค่เอาไปโยนทิ้ง! หักดิบกันดื้อๆ แบบนี้คิดจะฆ่าเขาหรือไง!?“แล้วของที่เหลือจะถูกขนไปไหนต่อเหรอครับ”
เรื่องนั้นป้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณชายโทรไปนัดคนมาขนของด้วยตัวเอง... อ๋อ แต่ก่อนไปท่านกับชับไว้ว่า
ถ้าคุณสงสัยอะไรให้โทรไปถามท่านได้ค่ะ”“.............”
ได้ฟังแบบนั้นตุลย์ก็หน้ากระตุก
คิดว่าทำแบบนี้แล้วเขายอมถอยให้ง่ายๆ เหมือนทุกครั้งเหรอ หึ สำหรับเรื่องนี้ยังเร็วไป!ด้วยเหตุฉะนั้น ตุลย์จึงอารมณ์กรุ่นๆ ไปตลอดวัน พอตกดึกก็ยิ่งครึ้มหนักจนลงมานั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประบายความหงุดหงิดขณะรอเจ้าของบ้านไปพลาง คืนนี้เขาเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะทานข้าวซึ่งติดกับกระจก เพราะจากมุมนี้ตุลย์สามารถมองเห็นไปถึงประตูรั้วด้านหน้า และเมื่อไหร่ที่หนุ่มใหญ่เปิดรั้วเข้ามา เขาก็จะเห็นทันที
ไม่ทันได้ฟุ้งซ่านไปไกล ประตูอัตโนมัติค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับไฟหน้ารถซีดานที่ฝ่าความมืดเข้ามา เห็นแบบนั้นเขาก็เด้งตัวขึ้น ออกมายืนรอ ไม่นานก็มีเสียงกุกกักหน้าประตู ก่อนคนที่เขาเฝ้ารอจะเปิดเข้ามาด้านในดังคาด
หนุ่มใหญ่ดูไม่แปลกใจนักที่เห็นเขายืนกังก้าอยู่ตรงหน้า
“ดึกแล้ว ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ หืม?” ว่าพลางถอดสูทพาดบนโซฟาแล้วคลายเน็กไทด์
“ยัง” เขาตอบห้วน “คุณก็น่าจะรู้อยู่ว่าเพราะอะไร... อยู่ๆ คุณย้ายบาร์ออก ทำไมไม่บอกผมก่อนสักคำ”
“ฉันก็แค่ไม่เห็นว่ามันเกิดประโยชน์อะไรถ้าจะเอาไว้ต่อ”
ตุลย์มุ่นคิ้วมองคนที่ตีหน้านิ่งราวกับไม่สนใจอะไร
“อยู่ๆ คุณทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยเหรอ? ก็ถ้าคุณไม่พอใจเรื่องเมื่อคืน คุณพูดมาตามตรงก็ได้นี่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากใจให้แต่แรกอยู่แล้ว”
“............”
“ก็ได้ เอาเป็นว่าทั้งหมดเป็นความผิดผม และผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่”
ศานนท์มองหน้าเขาเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ผิดกับตุลย์ที่เริ่มเสียการควบคุมอารมณ์มากขึ้นทุกที จวนจะหมดความอดทนกับการเงียบใส่กัน สุดท้ายหนุ่มใหญ่ก็เอ่ยสั้นๆ
“ฉันก็ไม่ได้ขนไปทิ้งจนไม่เหลืออะไรในตู้ไว้ให้เธอนี่?”
มานึกขึ้นได้ว่าหงุดหงิดจนไม่ได้เปิดดูตู้เย็นเลยตั้งแต่เช้า คราวนี้เขาจึงเป็นฝ่ายเงียบ เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็นดูของข้างใน ขณะที่ในใจก็หวังลึกๆ ว่าจะเจอเครื่องดื่มอะไรให้ชื่นใจสักขวดสองขวด แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เขาพบพลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเสียนี่!
นม... น้ำส้ม... ผลไม้... สลัด...
นี่มันแหล่งรวมเมนูเพื่อสุขภาพหรือไง!?ตุลย์ฉีกยิ้มค้าง คว้านมติดมือออกมา พลางหักห้ามใจไม่ให้บีบขวดพลาสติกแตกคามือก่อน
“ดื่มมากๆ คงจะสุขภาพดีนะ คุณว่าไหม”
“มันก็ดีกว่าตัวเธอมากกว่าไวน์พวกนั้นนะ...”
“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าคุณซื้อมาดื่มเองซะอีก อายุปูนนี้แล้วน่าจะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ?”
“.............”
ถูกตอกกลับเรื่องอายุแบบไม่ทันตั้งตัว หนุ่มใหญ่ก็ออกอาการอึ้งๆ ไปบ้าง แต่คงเริ่มชินกับวาจาถากถางของเขาแล้วล่ะมั้ง เพราะแค่อึดเดียวก็พูดต่อ
“มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่เธอก่อไว้เมื่อคืน ฉันไม่คิดจะปล่อยให้เธอดื่มติดๆ กันแบบนั้นไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เสียสุขภาพ พอนึกขึ้นได้ก็โทรให้คนมาเอาออกตั้งแต่เนิ่นๆ”
“แต่คุณก็รู้ว่าผมต้องการมัน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะ...”
คราวนี้หนุ่มใหญ่ถอนหายใจแรงทั้งที่ยังฟังไม่จบ เหมือนหมดอารมณ์จะสรรหาข้ออ้างมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาเต็มที เลยสรุปให้เสร็จสับเป็นประโยคง่ายๆ
“ถึงเธอจะว่ายังไง ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจย้ายมันกลับเข้ามาหรอก”ซึ่งก็นับว่าได้ผล เมื่อมันหยุดปากเขาได้ชะงัด...
ตุลย์เม้มปากแน่น เคี้ยวฟันกรอดๆ อย่างฉุนเฉียว ก่อนจะถอนใจเฮือกแล้วเดินขึ้นข้างบนไป ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งเพราะรู้ว่ายืดเยื้อไปก็พาลจะเสียแรงเปล่า
คืนนั้นเขานอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่สนิททั้งคืนจนเกือบฟ้าสาง รุ่งเช้าก็ตื่นมาด้วยสีหน้างัวเงียพร้อมขอบตาคล้ำพอๆ กับหมีแพนด้า ได้ส่องกระจกดูสารรูปตัวเองปุ๊บ ในใจก็ชักกรุ่นโมโหขึ้นมาราวกับถ่านเก่าที่ยังไม่มอดไฟ
อุตส่าห์พูดตรงๆ ให้เข้าใจแล้ว แต่ศานนท์ก็ทำเฉย วิธีนี้ไม่ได้ผล เขาก็ต้องหาจนได้สักวิธีแหละน่า!และแล้วยุทธการลักลอบก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ศานนท์ออกไปทำงานในช่วงสายของวันนั้น ความหงุดหงิดงุ่นง่านทำให้ตุลย์นั่งไม่ติดจนสุดท้ายก็ต้องแว่บออกไปร้านสะดวกซื้อ
ด้วยความที่ตัวบ้านตั้งอยู่ในเขตผู้คนพลุกพล่านใกล้กับคอนโด และมหาวิทยาลัย มันจึงใกล้กับมินิมาร์ทต่างๆ และห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นนักศึกษาและคนทำงาน ผลพลอยได้จากเรื่องนี้คือ มีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการไม่ขายสาย ทำให้ไม่สามารถคัดกรองลูกค้าได้ละเอียด จึงไม่ยากที่เขาจะฉวยโอกาสนี้ซื้อไวน์ออกมาขวดสองขวด โดยอาศัยเนียนๆ ไปกับความชุลมุนนั้น
และเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว ตอนที่กลับมาถึงบ้าน ตุลย์ก็ไม่ลืมจะยื่นถุงขนมทานเล่นที่ซื้อระหว่างทางให้หญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งกับงานปัดกวาด ถือเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่ามันจะคล้ายกับการติดสินบนไม่ให้ปากโป้งเรื่องที่เขาแอบซื้อเหล้ามากกว่าก็ตาม
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย วิธีไหนเขาก็ไม่เกี่ยงหรอก...คิดแบบนั้นก็ทำให้ตุลย์สบายใจมากพอจะหยิบไวน์ขึ้นมาเปิดฝาเกลียวด้วยมือเปล่า พลางนึกว่าดีแค่ไหนที่ห้ามใจไม่ให้เลือกแบบฝาโลหะมางัดขอบโต๊ะราคาแพงแก้เผ็ดเจ้าของบ้าน
...ความรู้สึกแรกเมื่อของเหลวแตะลิ้นคือรสเปรี้ยวหวานที่กระจายในโพรงปาก ตามด้วยกลิ่นร้อนๆ ขึ้นจมูกแบบแอลกอฮอล์ที่เขาโปรดปรานหนักหนา มันทำให้สดชื่นราวกับได้พลังชีวิตกลับคืน และสำคัญคือ สมองที่มึนตื้อตลอดสองวัน กลับมาโปร่งโล่งสบายราวกับหินที่ถ่วงอยู่ด้านในค่อยๆ ระเหยเป็นธาตุอากาศ
ตุลย์นั่งกระดิกเท้าจิบไวน์ไปพลางอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดเต็มโซฟาอย่างง่วงๆ เมื่อดื่มไปประมาณหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายต้องพลิกตัวตะแคงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเป็นเพื่อนด้วยความเคยชิน
ตุลย์กดอ่านแชทกลุ่มที่ค้างอยู่ก่อนจะพบว่าจีจี้ส่งรูปเคลื่อนไหวตลกๆ มา เลื่อนลงมาอีกหน่อยก็เป็นข้อความคุยโต้ตอบกันระหว่างสาวเจ้ากับแม็ก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้จนต้องกดส่งสติ๊กเกอร์รัวๆ คั้นข้อความแต่ละอัน แล้วหัวเราะเมื่อจู่ๆ ทั้งแชทกลุ่มกลายเป็นสงครามกดสติ๊กเกอร์ใส่กันซะอย่างนั้น
ฝ่ายแม่บ้านคงกลัวว่าเขาจะเหงาเพราะอยู่คนเดียว ก่อนกลับเธอจึงไม่ลืมเปิดม่านทิ้งไว้เป็นเพื่อนให้แสงแดดลอดเข้ามาบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ลืมขอบคุณตามมารยาท
หลังจากกระดกไวน์ไปอีกอึก หนังตาก็เริ่มหย่อนจนต้องวางโทรศัพท์ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะอดนอนจากเมื่อคืน ไม่นานตุลย์ก็จมสู่ห้วงแห่งภวังค์ที่กาลเวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
บางครั้งก็มีเรื่องราวแล่นเข้ามาในหัวราวกับม้วนหนังที่ถูกกรอซ้ำ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนลืมตาขึ้นมามองเห็นภาพเพดานบ้านหลังเดิมก่อนที่จะหลับ
ในขณะที่ความจริงและความฝันเป็นดังสีน้ำค่อยๆ ไหลมาปะปนกัน ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ
แม้กระทั่งความฝัน ศานนท์ก็ยังโผล่มาในหัวเขาเหรอเนี่ย?ไม่เข้าใจนักว่าทำไมหนุ่มใหญ่ถึงต้องขมวดคิ้วและจ้องกลับมาด้วยแววตาแสนสงสัยราวกับใบหน้าเขามีอะไรผิดปกติ และเหมือนจะคิดเช่นนั้นจริงๆ มือหนาจึงเอื้อมมาแตะขมับ ก่อนจะจูบซ้ำ ฝากสัมผัสร้อนชื้นไว้บนผิวหน้า ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆ จะเปลี่ยนเย็นชืดตอนอีกฝ่ายถอนหน้าออกไป
อดคิดไม่ได้ว่าช่างสมจริงจนน่าใจหาย
ศานนท์ค่อยๆ ยกแขนเขาไปจูบ ดูดเม้มเบาๆ จนรู้สึกจักกะจี้ ทั้งที่ยังไม่ละลายตาจากกัน ดวงตาคู่นั่นจ้องมองเขาเหมือนเคย ทว่าครั้งนี้มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกคล้ายเห็นใจ เอือมระอา แต่ก็ขบขันในทีเดียวกัน
บางทีเขาอาจดื่มมากไปและกำลังเมา ถึงได้รู้สึกว่าสีหน้านั้นช่างดูมีเสน่ห์น่าสัมผัสทั้งที่ฝันอยู่...แต่แล้วจู่ๆ คนตรงหน้ากลับถอนหายใจ
“เธอนี่จริงๆ เลย ฉันอุตส่าห์ย้ายบาร์ออกไปแล้ว ก็ยังดั้นด้นไปหาซื้อมาจนได้ ทำไมไม่ฟังกันบ้างนะ...”
.....!?ตุลย์สะดุ้งตื่นเต็มตาเมื่อสิ้นประโยค แม้กระพริบตาติดๆ แล้วมโนภาพของคนเบื้องบนยังไม่ท่าทีว่าจะหายไป
ศานนท์กลับมาแล้ว? ทำไมไวนักล่ะ!?ยังไม่ทันปรับตัวเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดี วินาทีต่อมาเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นขวดเปล่าใกล้ๆ เขาก็สรรหาคำพูดมาแก้ตัวต่อไม่ออก
“คือผม....”
แต่เหมือนว่าความลับจะไม่มีในบ้านหลังนี้...“อื้ม มีคนบอกฉันแล้วว่าเธอแอบไปซื้อมาตอนเที่ยง...”
ไม่ว่าเปล่าแต่สอดมือลูบผิวกายใต้เสื้อยืดลดหลั่นมาตามลำตัวและสะโพก พอถูกเล้าโลมสัมผัสร่างช้าๆ อย่างเอาใจ ตุลย์ก็หมดความคิดจะปฏิเสธ
ทีแรกเขาไม่คิดว่าศานนท์จะกล้าทำอะไรมากกว่าการกอด ลูบไล้และจูบนัวเนียกันบนโซฟา เนื่องจากม่านยังเปิดทิ้งอ้าซ่าชนิดที่ถ้าตั้งใจมองก็เห็นไปถึงข้างนอกได้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อหนุ่มใหญ่ถลกกางเกงเขาลง แล้วทิ้งน้ำหนักกายลงมากอดก่าย ปรนเปรอด้วยจูบซ้ำอีกครั้ง
ตุลย์ครางเบาๆ รู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำมันตอนที่แก่นกายถูกชิงไปกอบกุมด้วยความร้อนจากอุ้งมือ แล้วรั้งให้เสียดสีกับส่วนนั้นของหนุ่มใหญ่ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับฝ่ามืออารมณ์เสียวซ่านก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งสรรพางค์ รู้สึกดีจนยอมปล่อยตัวเองไปกับรสชาติแสนวาบวามที่ศานนท์มอบให้ ซึ่งฝ่ายนั้นเองก็พอใจมาก ตอนที่เขาชักมีอารมณ์ เริ่มไล่จูบหยอกเย้า เกี่ยวก่ายแขนตามร่างอีกฝ่าย
เอาเข้าจริงแล้วการเล้าโลมคู่นอนไปพร้อมกันก็นับว่าเป็นทริคที่ไม่เลว เพราะนอกจากต่างฝ่ายจะรู้สึกดี พอเริ่มเข้าขากันได้ อารมณ์ของพวกเขาทั้งคู่ก็พุ่งสูงเร็วอย่างน่าใจหาย
ไม่นานศานนท์รั้งสะโพกตุลย์เข้าหาในท่านอนหงาย แล้วหยัดกายให้แก่นกายทั้งสองเสียดสีกันเป็นจังหวะแนบแน่นหนักหน่วง หาได้อ่อนหวานซาบซ่านเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่ลืมปรนเปรอเขาด้วยการคลึงนิ้ววนเวียนตรงปลายส่วนอ่อนไหวไม่ห่าง
พอสติเริ่มขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ตรรกะและเหตุผล’ สมองเขาก็สั่งให้ลืมเรื่องที่เปิดม่านทิ้งไว้ไปโดยปริยาย...
ตุลย์รั้งต้นคออีกฝ่ายลงมาต่ำ เกี่ยวขาคล้องสะโพกหนุ่มใหญ่รั้งตัวเองให้เสียดแนบชิดยิ่งขึ้น แล้วกระซิบด้วยเสียงขาดห้วงเพราะแรงหอบ
“คุณ... ผมอยากได้มากกว่านี้”
ราวกับรอท่าอยู่แล้ว ศานนท์เอื้อมมือไปคว้าบางอย่าง จากนั้นหูก็ได้ยินเสียง ‘คลิ๊ก’ เบาๆ ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะโน้มลงจูบปากเขาเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่ ขยับต้นขาให้แยกออกกว้างขึ้น และดันบางอย่างที่จ่อจดอยู่ตรงปากทางเข้ามา...
แล้วตุลย์ก็สะดุ้งกับ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ที่สอดใส่เข้ามาในร่าง เพราะมันทั้งแข็งและเย็นเฉียบไปถึงกระดูกจนต้องครางในคอประท้วง พยายามยันตัวเองขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลเพราะรู้สึกไม่ดีสุดๆ แต่พื้นที่แคบของโซฟาก็บีบให้เขาขยับได้ตัวยาก
ยิ่งพอ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ประจักรแก่สายตา เขาก็ถึงกับหน้าเหยทำอะไรไม่ถูก
ไม่ใช่แก่นกายที่เชื่อมระหว่างเขากับหนุ่มใหญ่ แต่เป็นขวดที่มีไวน์อยู่เต็ม! ----------------------
อย่าด่าเค้าว่าสัปดน 555+ มุกนี้คิดไว้นานแล้ว มุกสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยค่ะ ถถถถถ
หนูตุลย์มีเหล้าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมานานตั้งแต่แต่สมัยธวัตค่ะ พอเป็นเรื่องนี้นางเลยดื้อเอามากๆ ถถถถ
ตอนหน้ามี NC ต่อ พยายามเขียนให้ถึงอารมณ์ ฮือๆๆ แต่มันยากเหลือเกิน
ส่วนเรื่องความล่าช้าของการอัพ ...เราจะหยุดพูดเรื่องนี้กันสักพัก... #ร้องไห้หนักมาก
กราบทุกท่านอีกครั้งค่า ลืมเลาก็ไม่เป็นไร เลาเข้าใจได้เพราะมาช้าจริงๆ #ปีนี้จะจบไหมเนี่ย!
>>READ11.2<<