Chapter 38
| Past
ไอหมีควายไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่หันไปมองหน้านิดก่อนจะพาผมเข้ามาในห้องเป้าหมาย ผมได้แต่มองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจระคนเจ็บปวด มันจะพาผมมาทำไม พามาถึงห้องที่มันอยู่กับพี่ตองน่ะหรือเเถมตัวพี่ตองยังอยู่ที่นี่อีก เรื่องราวมันชักสับสนมากขึ้นเรื่อยๆจนผมมึนงงไปชั่วขณะ
แต่ไม่มีเวลาให้ผมคิดหรือปะติปะต่อเรื่องนานไอหมีควายก็วางผมลงบนเตียงเบาๆ ลูบหัวผมนิดก่อนจะก้มลงมากดจูบแผ่วเบาโดยไม่มีสัญญาณว่าจะลุกล้ำไปมากกว่านี้ เป็นผมเสียเองมากกว่าที่ชะชากคอมันเข้ามาใกล้ก่อนจะเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปก่อนอย่างที่ไม่เคยทำ
ไอหมีควายดูจะตกใจอยู่ไม่มากก็น้อยเมื่อผมเอ่ยปากร้องขออย่างที่ควบคุมความต้องการของร่างกายตัวเองไม่ได้แต่มันก็ไม่พูดอะไรจับผมลอกคราบอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มลงมากระซิบข้างหูว่าจะช่วยให้สบายตัว..
------------------------------------------
ไม่รู้ว่าผมปลดปล่อยไปกี่น้ำ แต่มันทำให้ผมเพลียจนหลับไปเลย ไอหมีควายก็ไม่ทำอะไรผมอย่างที่พูดจริงๆแม้ผมจะปีนป่ายตัวมัน เรียกร้องครวญครางปานจะขาดใจมันก็ทำแค่กัดฟันกรอดแล้วใช้มือช่วย...ปากก็ด้วย
ผมสะลึมสะลือตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำสนิทเสียเเล้ว ผมเพิ่งสังเกตว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องทึบแต่อีกฝั่งเป็นม่านผืนใหญ่ ข้างกายผมไม่มีร่างอุ่นๆที่ครั้งสุดท้ายที่ผมยังคงสติได้อยู่ผมจำได้ว่ามันโอบกอดผมไว้แน่นพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังเเล้วสบายใจให้พักซะ
ถึงแม้ฤทธิ์ยานรกนั่นจะหายไปแล้วแต่ก็ยังทิ้งอาการมึนๆตกค้างไว้อยู่ ผมลุกขึ้นเซๆเล็กน้อยเพราะหน้ามืดดีที่เอามือยันเตียงไว้ได้ทันไม่งั้นคงได้เอาหัวฟาดพื้น ซวยซ้ำซวยซ้อนไปอีก
ผมยังไม่เปิดประตูออกไปข้างนอก สมองอันน้อยนิดบอกผมว่าผมควรลองประติประต่อเรื่องราวอันน่าสับสนนี้ให้ได้ก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยังค้างคาใจ ผมตัดสินใจเดินมาเลิกผ้าม่านออกนิดก่อนจะต้องยืนเหวอไปกับภาพข้างหน้า
วิวของเมืองกรุงยาวค่ำคืนที่ผมไม่เคยได้มีโอกาศมองมันจากที่สูงๆขนาดนี้มาก่อน และจากมุมนี้ทำเลนี้ คอนโดนี้ต้องแพงหูฉี่อย่างเเน่นอน ถึงระหว่างเข้ามาผมจะซุกอกไอหมีควายหนีอายก็เถอะ แต่ภาพพร่าๆที่ยังติดตาอยู่เล็กน้อยยังพอบอกได้ว่าที่นี่ต้องหรูมากในระดับหนึ่ง
และถ้าที่เขาบอกว่ายิ่งสูงก็ยิ่งแพง ห้องนี้ก็คงเป็นห้องที่แพงที่สุดในที่นี้เเล้วล่ะ
แกร็ก..
เสียงเปิดประตุทำเอาผมสะดุ้ง หันไปมองก็พบไอหมีควายที่เดินเข้ามาพร้อมกะละมังใบเล็กๆพร้อมผ้าชุบน้ำ
"Do you feel better? Hurt anywhere? You should sleep more your health is not to good. Did you sleep late last night?(ปวดตรงไหนไหม นายน่าจะนอนพักอีกซักนิด ร่างกายนายคงเพลียมาก ดูท่าทางวันที่ผ่านมาจะนอนน้อยด้วย)"
มันเดินเข้ามาใกล้ วางกะละมังไว้ตรงหัวเตียง คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างกังวลพร้อมทั้งยื่นมือมาแตะหน้าผากผม
ผมพูดไม่ออก การปฏิบัติที่มันทำต่อผมยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน สายตาเป็นห่วงเป็นใยนั่นไม่ว่ามองผมก็เชื่อว่าเป็นของจริง พอเรื่องมันชักพาสับสนยิ่งกับคำพูดมันก่อนหน้านี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นยังไงกันแน่ ผมเลยไม่กล้าเเสดงท่าทีอะไรมากเพราะผมยังคิดไม่ออกเลยว่าผมควรจะคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันแน่
ผมไม่รู้ว่าผมยังควรโกรธมันต่อไป ตัดพ้อน้อยใจอย่างที่เผลอทำไปบนรถ หรือว่าจะกลับมาเป็นเหมือนปกติ เป็นแฟนกันเหมือนเดิม
ก็ดูท่าทีที่มันทำตอนนี้สิ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ปวดหัวนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร"ผมตอบไปตามคำถาม ส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง แต่มันก็ยังคงจับผมไปนอนบนเตียงแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบผ้าชุบน้ำมาบีบหมาดๆ
"ไม่ต้องๆ I can do it"ผมปฏิเสธทันที ถ้ามันมาเช็ดให้ตอนหลับก็จะไม่ว่าอะไรนะ แต่นี้ผมตื่นเต็มตาลืมตาจ้องหน้ามันปิ๊งๆแถมผมก็ไม่ได้เเขนขาหักหรือเป็นง่อยจะใหัคนอื่นมาทำมันก็แปลกๆ
แต่มันกลับมองผมดุๆซะงั้น
"Anyway, What's happened?(ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่)"มันเป็นฝ่ายเอ่ยถามขณะที่เริ่มลงมือเช็ดตัวให้ผม ผมที่ยังอารมณ์ไม่ค่อยคงที่มองกลับด้วยสายตาขุ่นๆที่มีความน้อยใจใส่ไปเต็มที่อย่างไม่รู้ตัว
"กูควรจะถามมากกว่าไหม"
ปากพล่อยอีกแล้วไอธีร์เอ้ย...
ทั้งๆที่บอกตัวเองว่าอย่างี่เง่า อย่าตัดพ้อน้อยใจ ประชดประชันเหมือนนางเอกในละครตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผมกลับทำอย่างที่คิดไว้ไม่ได้เลย
"Thee...I don't know what I'm doing wrong so you have to tell me. If you dislike anything you can tell me or ask.I will tell you everything honestly.(ธีร์...ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไรผิด ฉะนั้นนายต้องบอกฉันเข้าใจไหม มีอะไรไม่พอใจก็ถามได้เลย ฉันพร้อมจะตอบนายทุกอย่างอยู่แล้ว)"แต่มันกลับใช้วิธีน้ำเย็นเข้าลูบ มันไม่ร้อนตามผมที่ตอนนี้เผลอทำหน้าหงิกไปแล้ว มันทำหน้าเหมือนอยากให้เข้าใจใช่น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นบอกผมไม่ดังนัก แต่ในน้ำเสียงอุ่นๆในนั้นกลับทำให้ใจผมอ่อนยวบอย่างน่าประหลาด
และนั่นทำให้ผมหลุบตาต่ำ ก่อนจะตัดสินใจถาม
"เมื่อวานนี้ ยูกับพี่ตอง come to this hotel ใช่ไหม?"
มันชะงักมือที่กำลังเช็ดตามแขนผมอยู่ คิ้วทั้งสองข้างมันเคลื่อนเข้าหากันทันทีเมื่อจบประโยค นั่นทำให้ผมกลับไปก้มหน้าไม่กล้ามองหน้ามันอีก
"You see it?(นายเห็น?)"
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ผมหวังว่ามันจะแก้ตัวอะไรออกมาแต่ก็ไม่ มันเงียบไปพักใหญ่จนใจผมเสียเงยหน้าไปมองมัน
มันนั่งกอดอกอยู่บนเตียงเฉียงๆ สายตามันมองมาที่ผมนิ่งจนผมอยากจะร้องไห้ ให้ตายเถอะ พูดอะไรออกมาซักนิด ผมต้องการคำตอบไม่ใช่ความเงียบ
นี่ผมจะร้องจริงๆแล้วนะเว้ย!
"หึ"
แต่เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาเบาๆทำให้ผมถึงกับชะงัก น้ำตาที่เตรียมพร้อมหลั่งถึงกับแห้งเหือด พอมองไปที่ต้นตอของเสียงก็พบรอยยิ้มบางๆระคนเอ็นดู
"ไม่ขำ"
มันไม่ได้ว่าอะไรกับคำพูดและใบหน้าอันบูดบึ้งของผม มันขยับเข้ามาใกล้ ดึงตัวผมเข้ามากอดแน่นๆจากนั้ยก็เริ่มอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
"First of all, From you said I have to assure you that Tong is not my ex-boyfriend."(ก่อนอื่นเลย จากที่ฉันฟังนายมาฉันขอยืนยันอีกครั้งว่าตองไม่ใช่แฟนเก่า)"
"แล้วเรื่องเฟิร์สเลิฟ?"ผมย้อนถามอย่างสงสัย น้ำเสียงเเละท่าทางของมันทำเอาผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่นั้นก็ไม่ได้ความว่าผมไม่ต้องการความกระจ่างในเรื่องนี้
"Uh-huh, He is my first love but not my boyfriend the easiest way to say is one-sided love.(อือฮึ เขาเป็นรักแรกแต่ไม่ใช่แฟนเก่า จะว่าไงดีล่ะ แอบรักข้างเดียว?)"ผมดันมันออกมาเพราะอยากเห็นสีหน้า ตอนเเรกคาดว่าจะเจ็บปวดอยู่บ้างแต่ไม่เลย มีเพียงร้อยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมาเท่านั้น ซึ่งนั้นทำเอาผมงงเข้าไปใหญ่
"แล้วทำไมถึงต้องมาตามหา เเล้วถ้ามาตามหาอยู่จะมาคบผมทำไม" นี่ผมงงจริงจังไม่พึ่งสแตนด์อินมาก โอเค ผมอาจจะสมองช้า แต่ผมว่าเรื่องมันขัดๆกันแปลกๆ ถ้ามาตามหา ก็ต้องพุ่งไปที่คนๆนั้นป่ะวะ ไม่งั้นก็กลายเป็นว่ามาตามแบบเจอก็ดีไม่เจอกูก็ไม่เป็นไรงี้เหรอ
"I never think it before that I would met you but I like like Tee--Tong until high-school and When I know that I'm fall in love it's last year so I decide to tell him. (ที่มาเจอนายนี่ไม่ได้คิดมาก่อนจริงๆ แต่ฉันชอบที...ตอง มาตั้งแต่สมัยเรียนเเล้ว แต่พอรู้ตัวว่าตกหลุมรักไปเต็มๆก็เกือบจะเป็นปีสุดท้าย และฉันก็ไม่ลังเลเลยที่จะสารภาพกับเขา)"
"..."
"Do you know what is he said? He told my that I wasn't really love him. It's funny right ? when have someone told me that he know me than myself. By the way, It isn't false at all. Did you know he is psychiatrist. Actually, his character is match since he was in high-school. But I don't agree that he know me than myself then I was dispute with him. So Tong have an idea that if I feel to him the same way when I graduate I have to fly to Thailand. But I have to clear my live and bussiness before then I late about 5 years but it be fitting with his graduation. (แต่รู้ไหมเขาตอบฉันว่าไง? เขาบอกว่าฉันไม่ได้รักเขาจริงๆหรอก ตลกไหมล่ะ ที่มีคนบอกว่ารู้ดีมากกว่าตัวฉันเอง แต่ก็นั่นแหละ มันก็ไม่ผิดนักหรอก นายรู้ใช่ไหมว่าตองเป็นจิตแพทย์ ที่จริงบุคลิคเขาให้ตั้งแต่สมัยเรียนเเล้วเขามองคนเป็น รู้ว่าใครควรปฏิบัติตัวเเบบไหนใส่ แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะรู้ก็ไปมากกว่าตัวฉันเองเลยเถียงกับ ตองเลยบอกว่าถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิมเมื่อเรียนจบให้บินมาหาเขา เขาจะรอ แต่พอจบฉันก็ยุ่งกับอะไรหลายๆอย่าง พอลงทุนเปิดคลีนิคเป็นของตัวเองเลยต้องรออะไรๆให้มันลงตัวก่อน พอวางใจเลยบินมาที่นี่ เลทหลายปีเลยล่ะ แต่มันก็พอดีกับที่เขาเรียนจบน่ะนะ)"
"แล้วก็มาเจอผม?"
"But the unexpected event is I've got one short roommate that we can't communicate clearly. In that situation I still can't contact Tong so I decided to live with you. First I think that it would have problem about communication. By the way, when I saw you try to talk with me it's so cute and I can't denied that you are my type. When time have pass I was fall deeper. (แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันคือฉันดันได้รูมเมทตัวเตี้ยๆคนหนึ่งที่สื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่มานี่สิ ทั้งตอนนั้นก็ยังติดต่อตองไม่ได้เลยตัดสินใจอยู่ไปเรื่อยๆ ตอนเเรกคิดว่าคงมีปัญหาพอควรกับการสื่อสาร แต่ก็นะ เห็นนายพยายามแล้วมันน่ารักดี จะว่าไปนายก็ดันตรงเสป็คฉันจริงๆนั่นแหละ พออยู่ด้วยกันเลยเริ่มหวั่นไหว)"
"..."
ผมได้แต่เงียบฟังมันพูด ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องทุกคำพูดแต่พอจับใจความได้อยู่ โดยเฉพาะที่มันบอกว่าผมเตี้ยกับความกากอังกฤษของผมเลยอดบุ้ยหน้าใส่ไม่ได้ ให้มันยกมือขึ้นมาขยี้ผมผมเบาๆ
"I feel ashamed but I have to say that when I with one recklessly kid I forgot the my aim why I come to Thailand. Until my feelings is stronger so I ask you to be by boyfriend. Did you remember the day I got drunk? That day I meet Tong again and I was confusing. I have had tell myself before that the word love that I give it to him is the same but I can't denied that I love him like brother. Tong didn't blame me but I feeling guilty to him because he've really waiting me for about 10 years. (จะให้พูดก็แอบละอายใจตัวเองนิดหน่อย แต่บอกได้เลยว่าช่วงที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเด็กป้ำๆเป๋อๆมันทำเอาฉันลืมเป้าหมายของการมาไทยครั้งนี้ไปเลย จนความรู้สึกมันเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ตัดสินวจขอนายเป็นแฟน จำวันที่ฉันเมาได้ไหม วันนั้นฉันเจอตองอีกครั้งและสับสนในตัวเองมาก ฉันเคยสะกดจิตตัวเองว่าคำว่ารักที่เคยมีให้เขายังเหมือนเดิม แต่ทำยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันรู้สึกกับเขาเหมือนพี่ชายน้องชายที่พึ่งพาได้เท่านั้น ตองไม่ได้ว่าอะไรฉัน แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ดีเพราะเขารอฉันจริงๆโดยไม่มีใครตั้งเกือบ10ปีเชียวนะ )"
เดี๋ยวนะ จะว่าไปผมก็ไม่เคยถามอายุมันเลยนี่น่าพอประโยคเมื่อกี้บอกว่ารอ10ปีทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเขาบอกว่าเป็นเพื่อนกับพี่ตอง...อายุก็ต้องเท่ากัน จากคำนวณดูแล้ว
โอ้มายบุ้ดด้า! นี่เขาจะสามสิบเเล้วน่ะสิ!
"ไม่ได้ให้มาพูดเรื่องนี้ซักหน่อย แล้วเรื่องโรงแรมนี้ล่ะ ทำไมไม่บอกกันตรงๆ ธุระๆอยู่นั่นแหละ ทำไมต้องมีลับลมคมใน แถมรอยแผลนั่นอีก"ผมดึงตัวเองกลับมาที่ความข้องใจหลัก ในที่สุดก็กล้าถามมันไปตรงๆเสียที ตอนนี้ล่ะ ถ้ามันไม่มีเหตุผลดีๆ ผมก็ควรเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว
"This...I think you should see by your eye.(เรื่องนี้...ฉันว่าตามมาให้เห็นกับตาดีกว่า)"
เขาตอบคำถามที่ผมอยากรู้มากที่สุดโดยการลุกขึ้นแล้วฉุดให้ผมลุกตาม สีหน้ายิ้มๆเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นซีเรียสโดยฉับพลัน
ผมเดินตามมันออกไปเงียบๆ ก่อนที่มันจะตรงไปยังอีกห้อง ที่ก่อนหน้านี้พี่ตองเคยออกมา ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผมว่าเรื่องมันชักจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ตอนแรก
สิ่งแรกที่ผมได้เห็นคือห้องนอนสีขาวเรียบๆที่กว้างกว่าห้องเมื่อกี้พอสมควร แต่ทั้งห้องกลับมีเพียงนอนสีขาวหลังใหญ่อยู่ตรงกลางเพียงอย่างเดียวไร้ของตกแต่งชิ้นอื่น
ข้างๆเตียงนั่นมีพี่ตองนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ประเด็นคือผมเห็นมีคนนอนอยู่บนเตียงที่ผมเห็นหน้าไม่ชัด ไอหมีควายจูงมือผมเข้าไปใกล้เตียงนั่นก่อนที่ภาพของคนไม่คาดฝันจะปรากฏอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา ผมก็เเทบจะกระโจนเกาะขอบเตียงเรียกคนตรงหน้าอย่างตกใจ
"เฮีย!"
-----------------
อ้าวเฮ้ย... คราวนี้พี่หมีแกเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเเล้วนะคะ เล่าแบบยาวเหยียดชนิดที่ว่าขี้เกียจทรานสเลตกันเลยทีเดียว สรุป...ไม่ใช่แฟนเก่าค่ะ นางเเอบรักเขาข้างเดียว แต่ตองนี่ฉลาดไง เขาดูออกว่านางเเค่หลงเฉยๆเหมือนอารมณ์ชั่ววูบเลยบอกว่าถ้ารู้สึกเหมือนเดิมตอนเรียนจบให้บินมาหา ซึ่งพี่หมีก็มาค่ะ แต่ความรู้สึกที่มันเคยล้นอกเมื่อวันวานก็เบาบางก็เดิมมาก อันนี้ยังไม่ได้บรรยายฝั่งพี่หมีเลยอาจจะยังไม่ชัดเจนเเบบร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เขาพูดด้วยความจริงใจจริงๆนะ ลดโทษเขาหน่อยเถอะ
เอาล่ะ แก้ตัวให้พี่หมีเสร็จแล้ว มาต่อกันที่ประเด็นที่ว่า'ธุระ'ที่หมีเอามาอ้าง และทำให้บักธีร์แคลงใจ และพอไปๆมาๆดันมาโผล่โรงเเรมกำลังจะถูกเปิดเผยแล้วค่ะ มีใครจำ'เฮีย'คนนี้ของธีร์ได้ไหมเนี่ย คุณโคลด์เป็นคนที่โผล่มาในตอนเเรกๆเลย เป็นทั้งเจ้านาย ทั้งยังเป็นคนที่ยื่นขอเสนอให้ไอหมีควายมาอยู่กับธีร์ และยังเป็นพระเอกของเรื่องจัสทอยที่ตอนนี้ยัดไหไปแล้ว สำหรับคนที่เคยอ่านเรื่องน้องทอยมาก่อนคงรู้ดีว่าพี่แกมีปัญหาอะไร คงพอเดาๆกันได้ ส่วนใครยังไม่รู้...ก็รอเฉลยกันตอนหน้า
ใกล้เคลียร์เเล้วค่ะ แต่คงต้องดัดนิสัยกันเสียเล็กน้อย มีคนบอกว่าเรากำลังสั่งสอนพี่หมีที่เป็นพวกเหมือนจะดีแต่พอไม่ถามก็ไม่ตอบ คิดว่าโอเคเเล้ว มีระยะห่างระหว่างกันเล็กน้อยพอให้คิดถึงกับพอให้ต่างคนต่างมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างไม่ก้าวก่ายกับบักธีร์ที่ปกติจะเป็นคนคิดน้อยมากๆแต่พอมีแฟน การทำตัวที่เหมือนรักแต่ยังมีระยะห่างทำให้เขาไม่มั่นใจ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองรู้จักเขาจริงๆหรือ มันทำให้ธีร์เริ่มคิดมากแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะพื้นฐานนิสัยของน้องค่อนข้างชัดเจนเนอะ คือเป็นพวกถ้าไม่บอกกูก็ไม่ถามทำนองนี้ กลัวโดนมองว่าตัวเองงี่เง่าน่ารำคาญ เราเชื่อว่าหลายคนเข้าใจน้องในจุดนี้นะ
แล้วก็มีคนบอกอีกอย่าง เหตุการ์ณตอนนี้จะเรียกว่าเกิดจาก culture shock ก็ไม่ผิดนัก ต่างประเทศ ต่างสังคม ต่างไลฟ์สไตล์ ก็ตามนั้น ถ้าจะหาคนผิดก็ผิดทุกคนล่ะค่ะในที่นี้ ก็ต้องปรับตัวกันต่อไป แก้ไขให้เข้ากับอีกฝ่ายให้ได้ ชีวิตคู่ถึงจะยืนยาวเนอะ
ปล.ทอร์คยาวมาก ถ้าอ่านจบนี่คาราวะเลยค่ะ ฮ่า