ตอนที่ 11 สำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคี จ้าวเฟยหลงพร้อมด้วยสามพี่น้องตระกูลหลินเดินตามผู้นำทางไปยังสำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคีซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวงเมื่อก้าวผ่านประตูใหญ่ที่มีรูปปั้นพยัคฆ์ขนาดมหึมาน่าเกรงขามสองตัวตั้งตระหง่านเฝ้าประตูอยู่เข้าไป ก็พบกับหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณอันเป็นตึกใหญ่สำหรับชุมนุมศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีในวาระพิเศษต่างๆ และเป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์คนสำคัญของหอพยัคฆ์อัคคี รอบๆ หมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเป็นหมู่ตึกพยัคฆ์หมอบ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ระดับต่างๆ ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ
ถัดไปด้านหลังเล็กน้อยเป็นหมู่ตึกทิพยโอสถเป็นสถานที่ซึ่งทำหน้าที่ในการดูแลรักษาเหล่าศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกฝนและทำหน้าที่ในการแจกโอสถสำหรับสนับสนุนการฝึกฝนพลังยุทธ์ ถัดจากนั้นลึกเข้าในไปด้านในติดกับภูเขาสูงลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่ตึกอัคคีศักดิ์สิทธ์ ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้ามมีเพียงประมุขและเหล่าผู้อาวุโส รวมทั้งเหล่าศิษย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานของดอกบัวเพลิงโลกันตร์สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ประจำหอพยัคฆ์อัคคีนั่นเอง
เมื่อจ้าวเฟยหลงก้าวพ้นประตูของหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเข้ามาก็เห็นจินอวี่ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายใจ หากแต่เมื่อเหลือบสายตามาเห็นเป็นจ้าวเฟยหลง ก็พลันหันหน้าหนีไปอีกทาง พลางทำท่าจะเดินจากไป เดือดร้อนจ้าวเฟยหลงต้องรีบวิ่งเข้าไปหาพลางกอดแขนไว้แน่น ไม่ว่าจินอวี่จะสะบัดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ส่งสายตาออดอ้อนพลางออกปากพูดเสียงอ่อย
“ศิษย์พี่รองข้ากลับมาแล้ว ข้าทราบความผิดแล้ว ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ อย่าได้โกรธข้าเลยนะ” พลางทำตาปริบๆ อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก แล้วใครเขาจะใจแข็งโกรธเคืองได้ลงคอ
“โอ๊ย!!!ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้ายอมรับผิดแล้ว ศิษย์พี่รองยกโทษให้ข้าด้วย” จ้าวเฟยหลงร้องโอดโอย ราวกับเจ็บปวดนักหนาเมื่อถูกจินอวี่บิดเข้าที่พุงน้อยๆ นั้น เรียกเสียงหัวเราะจากผู้อาวุโสสองคนรวมทั้งหานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง จนจินอวี่จึงจำต้องหยุดชะงักปล่อยมือออก เมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับศิษย์น้อง เงยหน้าขึ้นพลางสิ่งยิ้มแหยอย่างละอายส่งให้ผู้คนรอบข้างเมื่อนึกได้ว่าพวกตนเสียมารยาทต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส
“เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า ตามข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสองก่อน” ประโยคแรกกัดฟันกระซิบบอกศิษย์น้อง พวกเดินนำไปยังผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนคอยอยู่
“เฟยหลง รีบมาคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งผู้อาวุโสเหอเชียนและผู้อาวุโสอันดับห้าผู้อาวุโสซือหม่าอัน” จินอวี่แนะนำผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนยิ้มมองมายังจ้าวเฟยหลงอย่างชื่นชม
“ผู้เยาว์จ้าวเฟยหลงคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้า” จ้าวเฟยหลงประสานมือค้อมตัวคำนับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม จนเรียกสายตาเอ็นดูจากทั้งสองได้เป็นอย่างดี
หอพยัคฆ์อัคคีแม้จะมีเทพโอสถอวิ้นหยางทำหน้าที่เป็นประมุข หากแต่ในความเป็นจริงแล้วตัวอวิ้นหยางนั้นให้ความสนใจและหลงใหลเกี่ยวกับการหลอมโอสถมากกว่า จึงมอบหมายให้ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดทำหน้าที่ในการดูแลหอพยัคฆ์อัคคี โดยมีเสียนหยางศิษย์คนโตของเขาเป็นผู้ช่วย ส่วนตนเองก็ปลีกตัวไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการหลอมโอสถอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา บนดินแดนฟ้าไพศาล ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดจึงถือเป็นบุคคลสำคัญอย่างแท้จริงของหอพยัคฆ์อัคคี ที่ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าศิษย์นับพันคน
“ฮ่าๆๆ ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม หอพยัคฆ์อัคคีคงถึงคราวที่จะได้ผงาดขึ้นมาอยู่เหนือสำนักอื่นแล้ว” ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งหัวร่อฮาๆ กล่าววาจาจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่จากน้ำเสียงกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด
“ฮ่าๆๆ ศิษย์ของท่านประมุขช่างยอดเยี่ยมนัก ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่กลับมีพลังยุทธ์ระดับราชันย์ขั้นสูง อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับมหาราชันย์แล้ว นับว่าท่านประมุขมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก” ผู้อาวุโสอันดับหน้าเอ่ยขึ้นบ้าง
“อา…นายน้อยท่านมีพลังยุทธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ยินดีด้วยนายน้อย ยินดีกับท่านด้วย”หานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบสาวเท้าเข้ามาหาจ้าวเฟยหลง สายตาจับจ้องมองนายน้อยของตนด้วยความซาบซึ้งยินดี
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย ผู้เยาว์ไม่กล้ารับ” จ้าวเฟยหลงน้อมกายรับคำชมจากผู้อาวุโสทั้งสองแล้วจึงหันมากล่าววาจากับผู้ติดตามทั้งสาม
“ท่านอาทั้งสาม ขออภัยที่ทำให้พวกท่านเป็นห่วง”
“เพียงได้เห็นนายน้อยกลับมาอย่างปลอดภัยก็นับว่าเพียงพอแล้ว” หานเฟิงรีบเอ่ยขึ้น
“อา…ข้าพาน้องชายทั้งสามคนมาด้วย พวกเจ้าเข้ามาเร็ว” เมื่อหลินซี หลินซูและหลินซินอี้เข้ามาคำนับเหล่าผู้อาวุโสแล้วเสร็จ จ้าวเฟยหลงก็บอกเล่าชะตากรรมของทั้งสามให้ทุกคนรับรู้ พร้อมกับขอร้องให้ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้าช่วยชี้แนะแนวทางการฝึกฝนพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง
แม้หอพยัคฆ์อัคคีจะมุ่งเน้นศึกษาพลังยุทธ์ธาตุไฟ แต่ใช่ว่าจะไม่มีตำรับตำรายุทธ์ระดับสูงธาตุอื่นมิเช่นนั้นจะมีแนวทางในการหักหาญเอาชัยผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุอื่นได้อย่างไร อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งสองเป็นผู้มีประสบการณ์ในการฝึกฝนพลังยุทธ์จึงไม่ยากที่จะให้คำแนะนำแก่สามพี่น้องตระกูลหลิน นับว่าช่วยแก้ปัญหาให้กับจ้าวเฟยหลงไปหนึ่งอย่าง เรื่องต่อไปที่จ้าวเฟยหลงวางแผนไว้ว่าจะต้องดำเนินการคือการเสาะหาผลึกธาตุสัตว์อสูรธาตุลม ธาตุดินและธาตุน้ำ เพื่อปรุงกลั่นเป็นโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง
จากนั้นไม่นานทุกคนที่เห็นว่าจ้าวเฟยหลงและสามพี่น้องตระกูลหลินเพิ่งเดินทางมาถึงอาจจะเหน็ดเหนื่อย ก็ปล่อยให้พวกเขาแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ไม่วายที่จินอวี่จะเดินตามจ้าวเฟยหลงมาพลางบ่นกระปอดกระแปดจนจ้าวเฟยหลงผล็อยหลับไปจึงหยุดยั้งลงได้
------------------------------------------------------------
ช่างเป็นเช้าที่ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย เพราะจ้าวเฟยหลงกำลังหงุดหงิด แต่ก็ทำได้แค่เพียงรีบเร่งเดินหนีมาหลบอยู่ที่ศาลากลางน้ำแห่งนี้เท่านั้น เพราะเหตุใดนะหรือ? หึ ก็เพราะคนกลุ่มนั้นอย่างไรเล่า
“ศิษย์น้องเฟยหลง!!!ศิษย์น้องเฟยหลง!!! ศิษย์น้องเฟยหลงหายไปไหนแล้ว เพราะพวกเจ้านั่นแหละ เป็นเพราะพวกเจ้าทำให้ศิษย์น้องรำคาญจนต้องหนีไป ข้ายังไม่ได้ทำความรู้จักกับศิษย์น้องเลย น่าเสียดายจริงๆ”
“เป็นเพราะพวกท่านต่างหากเล่า หากพวกท่านไม่รุมล้อมเข้ามา ข้าคงมีโอกาสพูดคุยกับศิษย์น้องบ้างแล้ว”
“พวกเราก็อยากทำความรู้จักศิษย์น้องเหมือนกันนะ จะปล่อยให้ท่านคุยกับศิษย์น้องคนเดียวได้อย่างไรเล่า”
เห็นเหล่าศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีกลุ่มหนึ่งเกือบสิบคนเดินไปพลางเถียงกันไป ผ่านศาลาหลังนั้นไป คล้อยหลังไม่นาน จ้าวเฟยหลงก็พลิ้วร่างลงมาจากขื่อคานของศาลา สองเท้าแตะพื้นอย่างแผ่วเบาพลางทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความจริงเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นสักนิด เพียงแต่เป็นความรู้สึกไม่คุ้นชินที่จะต้องถูกล้อมรอบด้วยผู้คนเสียมากกว่า อีกทั้งยังไม่ใช่คนสนิท เขาก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรก็เท่านั้น
ส่วนอีกเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดก็คงจะเป็นศิษย์พี่จินอวี่ของเขานั่นแหละ พอศิษย์พี่ใหญ่มาก็ถึงกับลืมเลือนศิษย์น้องคนนี้ ปล่อยให้เขาต้องรับมือกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นแต่เพียงลำพัง ส่วนตนเองออกไปเที่ยวในเมืองกับศิษย์พี่ใหญ่สองคน ไม่แม้แต่จะชักชวนเขาสักคำ คิดแล้วมันน่าน้อยใจนัก
“ฮึ…กลับมาข้าจะไม่ยอมคุยกับท่านเลย คอยดูเถอะ” จ้าวเฟยหลงกอดอก ทำปากยื่นบ่นพึมพำราวกับว่ามีจินอวี่อยู่แถวนั้นด้วย
“ฮ่าๆ ใครช่างกล้าทำให้ศิษย์น้องเฟยหลงอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า”สิ้นเสียงเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีในชุดสีแดงเพลิงด้านหลังเสียบไว้ด้วยกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง รูปร่างสมส่วน บ่าไหล่กว้างดูงามสง่า ใบหน้างดงามหล่อเหลาจนไม่อาจมองข้ามได้ รอยยิ้มแต้มเต็มใบหน้านั้นมองดูสดใส จังหวะการก้าวเดินเข้ามาดูมีราศี โดยรวมแล้วนับว่าเป็นบุรุษรูปงามอย่างน่าริษยาคนหนึ่ง
จ้าวเฟยหลงเหลือบมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ จากพลังยุทธ์ที่เขาสัมผัสได้เป็นพลังยุทธ์ของหอพยัคฆ์อัคคีในระดับจ้าวยุทธ์ขั้นกลางคาดว่าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่ง ไม่ปล่อยให้จ้าวเฟยหลงได้สงสัยนานไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็เอ่ยปากกล่าววาจา
“ฮ่าๆ ดูเหมือนศิษย์น้องจะอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าให้ศิษย์พี่คนนี้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ โอ๊ะ…ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเหวินเจี้ยนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอันดับสอง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง” ปากกล่าววาจาหากแต่สายตาพราวระยับคู่นั้นกลับกวาดมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่เหวินเจี้ยน” แม้จะข้องใจกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมา แต่แค่เพียงไม่นานจ้าวเฟยหลงก็สลัดความรู้สึกแปลกๆ นั้นไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คาดว่าเป็นเขาที่คิดมากเกินไป
“ว่าแต่ศิษย์น้องเฟยหลงยืนทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียว”
“เอ่อ…ข้าเพิ่งเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็เลยมาเดินเล่นแถวนี้”
“เช่นนั้นหรือ หากไม่รังเกียจให้ศิษย์พี่คนนี้พาเจ้าเดินชมรอบๆ หอพยัคฆ์อัคคีดีหรือไม่” เหวินเจี้ยนเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มชวนมอง
“ข้าไม่อยากรบกวนท่าน”
“โอ้…หาได้รบกวนไม่ศิษย์น้อง ศิษย์พี่คนนี้เต็มใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเจ้าคงจะต้องพักอยู่ที่นี่อีกสักระยะ การได้รู้จักที่ทางเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร” จ้าวเฟยหลงยังคงลังเล หากแต่เมื่อคิดได้ว่าก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด การได้เดินชมรอบๆ ก็คงดีกว่ายืนอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงจึงขอให้เหวินเจี้ยนนำพาชมหอพยัคฆ์อัคคี
เหวินเจี้ยนนับว่าเป็นชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรีสังเกตได้จากการที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่พบเจอต่างก็แวะทักทายเขา รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสดใส สายตาพราวระยับคู่นั้นชวนให้ใครๆ ต่างก็หลงใหล น้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นน่าฟัง บอกเล่าชี้ชวนให้จ้าวเฟยหลงได้รู้จักทุกซอกทุกมุมของหอพยัคฆ์อัคคีด้วยความเพลิดเพลิน
เหวินเจี้ยนพาจ้าวเฟยหลงมาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง จากป้ายที่พาดขวางไว้เหนือประตูทำให้ทำให้ทราบว่าที่นี่คือหมู่ตึกพยัคฆ์ผยอง จากคำบอกเล่าของเหวินเจี้ยน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝึกยุทธ์ของเหล่าศิษย์หอพยัคฆ์อัคคี ในหมู่ตึกขนาดใหญ่แห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่จัดเก็บตำรายุทธ์ขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง ซึ่งมีทั้งตำราการฝึกฝนพลังยุทธ์ ตำราทักษะยุทธ์ และตำราการใช้อาวุธหลายหมื่นเล่ม นับว่าเป็นศูนย์รวมความรู้ที่สั่งสมมาหลายร้อยปีของหอพยัคฆ์อัคคีแห่งนี้
ส่วนการฝึกฝนพลังยุทธ์ขั้นสูงนั้นเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าผู้อาวุโสจะทำการคัดเลือกศิษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในแต่ละทักษะยุทธ์แล้วเป็นผู้ถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง ชั้นที่สองของหมู่ตึกพยัคฆ์ผยองเป็นห้องสำหรับให้เหล่าศิษย์ฝึกฝนพลังยุทธ์ สั่งสมลมปราณ โดยแบ่งกั้นเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ หลายร้อยห้อง ส่วนชั้นล่างสุดที่ทั้งสองกำลังเกินเข้าไปนั้นเป็นลานประลองขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับให้เหล่าศิษย์ใช้เป็นสถานที่ประลองเพื่อทดสอบความก้าวหน้าของพลังยุทธ์และเพื่อจัดลำดับของเหล่าศิษย์ซึ่งการประลองนั้นจะจัดขึ้นปีละครั้งในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของชีวิต หากแต่ในวาระอื่นลานประลองแห่งนี้ก็เปิดให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ประมือกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เสมอ
เมื่อเหวินเจี้ยนและจ้าวเฟยหลงปรากฏตัวขึ้น เหล่าศิษย์หลายสิบคนที่กำลังประมือกันอยู่ต่างก็หยุดยั้งลง ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่
“ศิษย์พี่เหวินเจี้ยน!” เสียงร้องเรียกเหวินเจี้ยนด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างในชุดสีขาวไหววูบ ในชั่วพริบตาก็เห็นชายหนุ่มในชุดยาวสีขาวผู้หนึ่งก้าวมายืนอยู่เคียงข้างเหวินเจี้ยนชายหนุ่มผู้นั้นดูไปอายุราวสิบแปดปี รูปร่างบอบบางท่วงท่าสง่างาม ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้างดงามดุจดั่งอิสตรี หากแต่สายตาคู่สวยนั้นกลับจับจ้องมองเพียงเหวินเจี้ยนไม่วางตาราวกับว่าผู้อื่นเป็นเพียงก้อนหินที่วางประดับอยู่อย่างไร้ความหมาย
“ศิษย์น้องลู่เหวิน พวกเจ้ากำลังฝึกฝนกันอยู่อย่างนั้นหรือ”เหวินเจี้ยนหันไปถามอีกด้วยร้อยยิ้ม
“ใช่แล้วศิษย์พี่ ท่านมาได้เวลาพอดี ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากท่านบ้าง… แล้วท่านพาผู้ใดมาด้วย” พูดพลางยกสองมือจับแขวนเหวินเจี้ยนเอาไว้ราวกับจะออดอ้อน เมื่อพูดจบก็ตวัดสายตาเขม่นมองจ้าวเฟยหลงอย่างไม่เป็นมิตร
จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย สักพักก็จุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื่มน้ำล้มสายชูอยู่เป็นแน่ (ดื่มน้ำส้มสายชู แผลงเป็น หึงหวง) เหอะ…ช่างคิดได้ว่าเขาจะยื้อแย่งบุรุษด้วย แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งยังไม่คิดจะชมชอบบุรุษด้วยกันสักนิด
“อา…ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าขอแนะนำให้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง ซึ่งเดินทางมาจากดินแดนฟ้าไพศาล” เหวินเจี้ยนเอ่ยแนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน”
“ศิษย์น้องเฟยหลง ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับศิษย์น้องไป่ลู่เหวิน ศิษย์คนรองของผู้อาวุโสที่เจ็ด”
“ข้าจ้าวเฟยหลง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ไป่ลู่เหวิน” จ้าวเฟยหลงแย้มยิ้มทักทายอีกฝ่าย
“เหอะ…ที่แท้ก็ศิษย์จากสาขานอก ไม่เห็นมีความจำเป็นสักนิดที่ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนจะต้องพามาแนะนำด้วยตนเองเช่นนี้” ไป่ลู่เหวินแค่นเสียงกล่าววาจา สายตามองจ้าวเฟยหลงอย่างนึกดูแคลน
“เอ่อ…ไม่ใช่เช่นนั้น”
“ไม่เป็นไรศิษย์พี่เหวินเจี้ยน…”เหวินเจี้ยนไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย จ้าวเฟยหลงก็กล่าวตัดบทในทันที กับคนที่สายตาแคบสั้นรู้จักแต่ประเมินผู้อื่นจากภายนอกเช่นนี้ เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
“ศิษย์น้องเฟยหลงมาพอดีเลย พวกมาประลองแลกเปลี่ยนพลังยุทธ์ระหว่างศิษย์สำนักใหญ่กับศิษย์สาขานอกกันดีหรือไม่” ศิษย์คนผู้หนึ่งเอ่ยปากเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
“ฮ่าๆ เป็นความคิดที่ดี ให้ศิษย์พี่คนนี้ได้ขอคำแนะนำจากศิษย์น้องเป็นคนแรกเป็นอย่างไร”เสียงอื้ออึงด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ เมื่อไป่ลู่เหวินเสนอตัวเป็นคนแรก หากสังเกตจะพบสายตาที่ฉายแววมุ่งร้ายออกมาแวบหนึ่ง
“อ่า...ศิษย์พี่ลู่เหวิน ให้พวกเราคนใดคนหนึ่งประลองทดสอบพลังยุทธ์ของศิษย์น้องเฟยหลงก็น่าจะเพียงพอแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาประลองด้วยตนเองเลย” ศิษย์ผู้หนึ่งเสนอความเห็นอย่างประจบประแจง
“ศิษย์น้องลู่เหวิน ข้าว่าคงไม่ดี…”
“ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนในเมื่อศิษย์พี่ลู่เหวินให้เกียรติข้าเช่นนี้ แม้ข้าจะอ่อนด้อยก็คงทำได้แค่ฝืนใจรับการทดสอบนี้ หากแต่ข้ามุ่งฝึกฝนในสายแพทย์โอสถ พลังยุทธ์จึงไม่แข็งแกร่งนัก หวังว่าศิษย์พี่จะเมตตาออมมือให้ด้วย” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบพลางจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
------------------------------------------------------------