ตอนที่ 9 เผชิญหน้า
โต๊ะริมหน้าต่างนั้นนั่งไว้ด้วยบุรุษสามคน เป็นบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวขลิบเงินดุจคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นกับผู้ติดตามทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้าของผลึกธาตุกิเลนเพลิงที่เคยพบกันที่เมืองจันทร์กระจ่างนั่นเอง จ้าวเฟยหลงกลอกตาไปมาตลบหนึ่งพลันฉีกรอยยิ้มขึ้นแต้มเต็มใบหน้างาม สาวเท้าเข้าหาคนทั้งสามนั้นทันทีคิดว่าข้าจะเกรงกลัวพวกท่านเช่นนั้นหรือ ฝันไปเถอะ หึ!
“อา…ได้พบเจอกันสักครั้งนับเป็นวาสนา แต่พวกเราได้พบเจอกันครั้งแล้วครั้งเล่าถือเป็นโชคชะตานำพาให้พานพบอีกทั้งวันนี้ยังบังเอิญได้พบเจอกันอีก ให้ข้าได้มีโอกาสเลี้ยงสุราอาหารพวกท่าน ถือเป็นการขอขมาในการไม่รู้ความของข้าได้หรือไม่”
จ้าวเฟยหลงพูดพลางส่งยิ้มพิมพ์ใจอันงามหยดย้อยให้ สายตาพลันสบเข้ากับดวงตาคมดุของชายหนุ่มชุดขาวขลิบเงินที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ประกายตานั้นสวยงามดุจดั่งอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดบนผืนแผ่นดิน จ้าวเฟยหลงถึงกับในเต้นตึกตักราวกับว่ามีกองมโหรีมาบรรเลงอยู่ภายในนั้น จำต้องรีบรั้งสายตากลับมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“จ…เจ้า” บุรุษในชุดบัณฑิตที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะ ถลึงตาจ้องมองจ้าวเฟยหลงอย่างดุดัน เหมือนจะเอ่ยปากพูดสิ่งใดหากแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสบเข้ากับสายตาดุจจะห้ามปรามของชายหนุ่ม
“หากเจ้ามีความจริงใจ ไหนเลยจะไม่ได้” เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังดังขึ้นจากปากชายหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ บนใบหน้าคมคายนั้น เป็นรอยยิ้มบางเบาที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ เป็นรอยยิ้มที่เจือด้วยเสน่ห์อันแสนจะเย้ายวนใจ จ้าวเฟยหลงถึงกับถูกสะกดตรึงตราจับจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่อาจละสายตา
“พี่ใหญ่!ท่านเป็นไรไปหรือ” หลินซินอี้จับแขนจ้าวเฟยหลงพลางร้องเรียกแผ่วเบา
“อา…” จ้าวเฟยหลงสะท้านตื่นจากอาการหวั่นไหวในใจยังสั่นรัวไม่หายหันไปเห็นเป็นสามพี่น้องตระกูลหลินที่เดินตามมายืนอยู่เคียงข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สายตาทั้งสามคู่มองมายังเขาด้วยความเป็นห่วง หางตาเหลือบเห็นชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนจะกลั้นยิ้มอย่างยากเย็น
“นี่!!!พวกท่านไม่คิดจะเชิญพวกเราร่วมโต๊ะหรือไรกัน”จ้าวเฟยหลงส่งเสียงดังแก้เก้อ วงหน้าสวยถึงกับขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดูนักในสายตาชายหนุ่ม
อวี้เหวินหลางลอบมองใบหน้างดงามนั้นด้วยความพึงพอใจ เป็นความพึงพอใจตั้งแต่เมื่อแรกพบสบตาที่เมืองจันทร์กระจ่าง เขาชอบดวงตากลมโตที่สุกใสแวววาวอย่างมีชีวิตชีวานั้นยิ่งนัก
“เช่นนั้นก็นั่งด้วยกันเถอะ”อวี้เหวินหลางหัวร่อพลางเชิญอีกฝ่ายอย่างนึกขำแกมทึ่งในความใจกล้าของจ้าวเฟยหลง
ฮึย!!! จ้าวเฟยหลงได้แต่ค้อนให้ฝ่ายนั้นไปทีหนึ่ง พลางเบ้ปากให้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ในสายตาอีกคนกลับน่าดูยิ่ง
เมื่อเสี่ยวเอ้อจัดที่นั่งเพิ่มให้เสร็จโต๊ะริมหน้าต่างนั้นก็กลายเป็นโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดอีกทั้งยังน่ามองที่สุด ผู้คนที่เดินขึ้นมายังชั้นบนแห่งนี้จำต้องหยุดเท้าลงเหม่อมองมายังโต๊ะนี้อยู่บ่อยครั้ง มีทั้งสายตาของบุรุษที่มองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาเลื่อมใสและมีทั้งสายตาของบรรดาสตรีที่มองตาด้วยความหลงใหล
หากแต่คนทั้งเจ็ดที่นั่งอยู่กลับไม่ได้รับรู้ถึงแววตาเหล่านั้น เด็กน้อยตระกูลหลินทั้งสามคนตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารอันโอชะบนโต๊ะนั้นด้วยความหิวโหย ส่วนจ้าวเฟยหลงก็คอยคีบอาหารใส่จานให้พวกเขาด้วยความเอ็นดู นานๆ จึงจะคีบใส่ปากรับประทานบ้าง จนลืม
“คู่อริ” ทั้งสามที่จ้องมองมาด้วยแววตาแตกต่างกันไป
“มีอะไร ทำไมจ้องข้าเช่นนั้น” จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามเมื่อเหลือบเห็นสายตาชายหนุ่มที่มองอยู่
“เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าจ้าวเฟยหลง ส่วนสามคนนี้หลินซี หลินซูและหลินซินอี้เป็นน้องชายข้าเอง แล้วพวกท่านเป็นใครกัน” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่เอ่ยจากปากเรียวงามนั้นน่าฟังยิ่ง
“ข้าอวี้เหวินหลาง ส่วนสองคนนี้เป็นหย่งสือกับเหยียนจวิ้น”อวี้เหวินหลางพูดพลางชี้ไปยังผู้ติดตามทั้งสอง คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ดูกล้าแกร่งสมชื่อหย่งสือยิ่ง ส่วนเหยียนจวิ้นเป็นบุรุษในชุดบัณฑิตก็ส่งกลิ่นอายอันเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถดุจดั่งบัณฑิตผู้คงแก่เรียน นับว่าตั้งชื่อได้เหมาะสมนัก จ้าวเฟยหลงคิดค่อนขอดอยู่ในใจ
ผู้คนที่เคยออกท่องเที่ยวบนผืนแผ่นดินนี้จะทราบว่านามอวี้เหวินหลางผู้นี้มีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งดินแดนวายุอัสนี ดินแดนที่มีพื้นที่และอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนผืนปฐพีแห่งนี้อีกทั้งอวี้เหวินหลางยังได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน
เขาเกิดมาพร้อมกับพลังก่อกำเนิดระดับสูง เป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาโดยตรงของประมุขพรรคเทพวายุ พรรคที่ได้ชื่อว่ามีพลังยุทธ์ธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุด ความสำเร็จของเขานับว่าไม่ธรรมดาด้วยวัยเพียงยี่สิบปีเขาสามารถบรรลุถึงระดับมหาราชันย์เป็นที่สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน จนเป็นที่คาดหมายกันว่าอวี้เหวินหลางผู้นี้จะเป็นผู้ที่นำพาพรรคเทพวายุผงาดขึ้นเป็นค่ายพรรคอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินได้ในไม่ช้านี้เป็นแน่ ปัจจุบันอวี้เหวินหลางอายุได้ยี่สิบสี่ปีมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับมหาราชันย์ขั้นต้น นับว่ามีความสำเร็จเหนือกว่าผู้เยาว์ทั้งหลายบนดินแดนทั้งเจ็ดนี้
“โอ…เขาคือ
องค์ชายแห่งสายลมอวี้เหวินหลาง”
“นับว่าสง่างามยิ่งกว่าคำร่ำลือนัก”เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นจากโต๊ะใกล้เคียง สายตาหลายสิบคู่ลอบมองมายังชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง
“เจ้ากลับไม่รู้จักข้า?เช่นนั้นเป็นว่าเจ้าคงเพิ่งเคยออกมาท่องเที่ยวแล้ว”อวี้เหวินหลางเอ่ยขึ้นอย่างนึกแปลกใจ เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟยหลงยังคงสนใจอาหารตรงหน้าไม่ได้รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อของเขาเช่นคนอื่นๆ
“ข้าต้องรู้จักท่านด้วยหรือ” จ้าวเฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คิ้วขมวดครุ่นคิด หรือว่าเขาจะเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ดูจากรูปร่างอันหล่อเหลาสง่างามเช่นนี้ก็อาจจะเป็นไปได้จ้าวเฟยหลงพยายามนึกถึงชื่ออวี้เหวินหลางจากความทรงจำ
จากเรื่องราวของค่ายพรรคและผู้คนบนแผ่นดินที่อาจารย์เคยเล่าให้ฟังก็ไม่มีชื่อนี้ปรากฏอยู่ หางตาพลันเหลือบไปเห็นสายตาจากโต๊ะข้างเคียงที่มองมายังเขาด้วยแววตาสมเพชในความโง่งมนั้น จ้าวเฟยหลงถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา หรือข้าจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักเขา
“องค์รัชทายาทแห่งดินแดนวายุอัสนีให้เกียรติมาเยือนเมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคี พวกเราให้การต้อนรับช้าไปต้องขออภัยอย่างยิ่ง” เสียงก้องกังวานดังขึ้นจากบันไดทางขึ้นชั้นบนของเหลาตะวันฉายเรียกสติของจ้าวเฟยหลงกลับมา สิ้นเสียงปรากฏบุรุษหนุ่มในชุดสีเหลืองทองลายกิเลนเดินเข้ามาอย่างองอาจ ด้านหลังเป็นกองกำลังในชุดสีแดงเพลิงที่ทยอยกันผู้คนในห้องนั้นออกไปจนหมดสิ้นคงเหลือแต่เพียงผู้คนบนโต๊ะริมหน้าต่างตัวนั้น
“พวกเราเพียงเดินทางมาท่องเที่ยวยังดินแดนเทวะอัคคีแห่งนี้ ด้วยเกรงจะเป็นการรบกวนจึงไม่ได้แจ้งให้ทราบต้องขออภัยด้วย วันนี้องค์ชายเสียนหยางถึงกับเดินทางมาด้วยตนเองนับว่าให้เกียรติข้าอวี้เหวินหลางเกินไปแล้ว”เห็นอวี้เหวินหลางลุกขึ้นประสานมือยกยิ้มกล่าววาจากับเสียนหยางอย่างทระนง กิริยาวาจาที่แสดงออกนับว่าเหมาะสมกับศักดิ์ฐานะของรัชทายาทของดินแดนแห่งหนึ่ง
“หากไม่ขัดข้องขอเชิญท่านพร้อมด้วยผู้ติดตามไปพำพักที่วังหลวงด้วยกัน องค์ราชาของเราทราบข่าวการมาเยือนของท่านแล้วและกำลังรอคอยท่านอยู่ส่วนศิษย์น้องจ้าวเฟยหลงข้าจะให้คนนำทางเจ้าไปยังสำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคี ศิษย์น้องจินอวี่รอคอยเจ้าอยู่ที่นั่นเนิ่นนานแล้ว”เสียนหยางประสานมือกล่าววาจากับอวี้เหวินหลาง พลางหันมาบอกกล่าวกับจ้าวเฟยหลง
“ท่านคือ???”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามด้วยสงสัย
“ฮ่าๆๆ ข้าเสียนหยางเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”
“อา…ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบท่านว่าแต่ศิษย์พี่รองมาถึงสำนักใหญ่นานเพียงใดแล้ว ข้าจะต้องถูกศิษย์พี่รองโกรธเป็นแน่ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านช่วยข้าด้วย”รอยยิ้มด้วยความยินดีผุดขึ้นส่งประกายเจิดจรัสถึงกับทำให้อวี้เหวินหลางและเสียนหยางนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ หากแต่ในชั่วพริบตาใบหน้าก็กลับกลายเป็นม่อยลงเมื่อคิดได้ว่าจะต้องถูกศิษย์พี่รองโกรธเคืองที่ตนเองก่อเรื่องราวเอาไว้ ทุกความรู้สึกฉายชัดบนใบหน้างามอย่างไร้เดียงสา ช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาผู้มองชม
“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้จักก่อเรื่องราวก็ต้องรู้จักรับผิดชอบด้วยตนเองสิ่งของที่เจ้าหยิบฉวยไปจากผู้อื่นอยู่ที่ใด นำออกมาส่งคืนแก่เจ้าของเถอะ”เสียนหยางปั้นหน้าดุบอกศิษย์น้อง
จ้าวเฟยหลงเบ้ปากเหลือบตามองไปยังอวี้เหวินหลาง ปากขมุบขมิบบ่นพึมพำไม่ได้ใจความ พลางล้วงกล่องไม้ออกมายื่นให้
“ข้าคืนให้ท่าน ข้าไม่ได้จะขโมยของท่านสักหน่อย”แต่ใครใช้ให้ท่านแย่งชิงกับข้าก่อนเล่า ประโยคหลังบ่นพึมพำแผ่วเบา แต่มีหรือผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงเช่นอวี้เหวินหลางและเสียนหยางจะได้ยิน
“ศิษย์น้อง!ยังไม่รีบขออภัยองค์ชายอีก” เสียนหยางจำต้องปั้นหน้าดุ แม้ในใจจะรู้สึกน่าหัวร่อกับนิสัยซุกซนไม่ยอมคนของศิษย์น้องผู้นี้เป็นอย่างที่จินอวี่พร่ำบ่นให้ฟังทุกประการ
“ไม่ต้องแล้ว ผนึกธาตุชิ้นนี้หากเจ้าต้องการ ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า” อวี้เหวินหลางยิ้มบอกอย่างใจดี
“องค์ชาย!แต่ว่า…”
“เหยียนจวิ้นเจ้าไม่ต้องพูด ข้าตัดสินใจแล้ว”
ควรทราบว่าผลึกธาตุกิเลนเพลิงเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากชิ้นหนึ่ง ด้วยกิเลนเพลิงเป็นสัตว์อสูรวิญญาณธาตุไฟชั้นสูง ที่ปรากฏตัวขึ้นไม่บ่อยครั้งนักมีถิ่นพำนักอยู่ในส่วนลึกของดินแดนหมื่นอสูร อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งจึงยากยิ่งที่จะสังหารมันได้ แม้เมืองหลวงดินแดนเทวะอัคคีจะเป็นตลาดกลางในการแลกเปลี่ยนผนึกธาตุสัตว์อสูรแต่ก็ใช่ว่าจะหาซื้อวัตถุธาตุระดับสูงได้ง่ายๆ
“หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้มัน ข้าไม่ต้องการแล้วก็ได้”ด้วยเป็นแพทย์โอสถที่รู้ซึ้งถึงสรรพคุณอันยิ่งใหญ่ของผลึกธาตุชิ้นนี้ จ้าวเฟยหลงที่เห็นถึงความลำบากใจของเหยียนจวิ้นจึงตัดใจส่งคืนให้อีกฝ่าย
“สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราไม่ใช่ผลึกธาตุสัตว์อสูร ขอเจ้ารับมันไว้ได้ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้าที่ข้ามอบให้เจ้าเถอะ หากไม่มีมันพวกเราคงไม่ได้รู้จักกัน”อวี้เหวินหลางพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“เช่นนั้นขอบคุณท่านยิ่งนัก แล้วสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับท่านคือสิ่งใด หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าจะช่วยหามันให้กับท่าน”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามขึ้น พร้อมอาสาช่วยเหลือด้วยท่าทางจริงจัง
“ขอบอกกล่าวโดยไม่ปิดบัง ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถที่สำนักแพทย์โอสถหลวงจัดขึ้น ด้วยหวังที่จะเชื้อเชิญแพทย์โอสถระดับสูงสักคนไปช่วยรักษาคนสำคัญของข้า ยิ่งหากได้มีโอกาสได้เข้าพบปรมาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงด้วยแล้วยิ่งเป็นการดี” สายตาของอวี้เหวินหลางเมื่อพูดถึงคนสำคัญเอ่อล้นไปด้วยความรักความห่วงใยจน คนที่ฟังอยู่รู้สึกได้
“เช่นนั้นข้าจะรับผนึกธาตุชิ้นนี้ไว้ ส่วนเรื่องแพทย์โอสถที่ท่านต้องการข้าจะช่วยท่านเองถือเป็นการตอบแทนสำหรับของขวัญที่มอบให้ และเป็นการขออภัยที่ได้ล่วงเกินพวกท่านด้วยความไม่รู้ความของข้า” จ้าวเฟยหลงขันอาสา
อวี้เหวินหลางเมื่อคิดได้ว่าหอพยัคฆ์อัคคีนั้นมีทั้งผู้ที่ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟอันแข็งแกร่งและผู้ฝึกฝนเป็นแพทย์โอสถ แม้จะไม่รู้ว่าจ้าวเฟยหลงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดในหอพยัคฆ์อัคคีแต่เป็นที่แน่ใจว่าเมื่อขันอาสาเช่นนี้จะต้องมีหนทางช่วยเหลือเขาเป็นแน่จึงตอบรับด้วยความยินดี
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี เสียนหยางจึงเชิญอวี้เหวินหลางกับผู้ติดตามทั้งสองเดินทางเข้าวังหลวงและจัดคนนำทางจ้าวเฟยหลงกับสามพี่น้องตระกูลหลินไปยังหอพยัคฆ์อัคคี
---------------------------------------------------------------
ตอนนี้สั้นๆ นะทุกคน
คิดว่าเฟยหลงน้อยของเราจะไฝว้เหรอจ๊ะ
เฟยหลงเป็นห่วงน้องๆ ก็เลยอาศัยความเกรียนเอาตัวรอดไปก่อน
ไว้เจอกันใหม่วันอาทิตย์จ้า....
ไปเที่ยวเกาะสมุย 3 - 4 วันจ้า