CHAPTER 32: Hello “ขอบคุณ พชร”ม่อนแจ่มเอ่ย เสียงก้องเล็กน้อยในหมวกกันน็อค ก่อนกระโดดตุ๊บลงจากรถและพยายามถอดสายรัดออก
คนถูกขอบคุณไม่ได้ตอบรับ แต่มือบิดกุญแจดับเครื่อง เท้าเตะขาตั้งจอดรถ ช่วยปลดสายรัดหมวกกันน็อคให้คนบนพื้น ก่อนปลดของตัวเองออกบ้าง และนั่นทำให้ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว
“เฮ้ย เดี๋ยว ม..มึงจะขึ้นไปด้วยเหรอ?”
“ใช่” พชรตอบเรียบๆ
“แต่นี่มันห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้วนะ” ม่อนแจ่มค้าน “เดี๋ยวหอปิด”
“ก็เพราะมันห้าทุ่มกว่าแล้วนั่นแหละ..”
พชรตอบแค่นั้น ส่งสัญญาณให้ร่างเล็กนำทางไป
ทว่า ม่อนแจ่มไม่ขยับ พชรจึงต้องพ่นลมหายใจ อธิบายความจำเป็นอย่างเสียมิได้
“กูพาลูกเขามาป่านนี้ ก็ต้องไปส่งให้ถึงสิ”
ม่อนแจ่มพ่นลมหายใจบ้างและย้ำอีกครั้ง “พชร กู-เป็น-ผู้ชาย นะ”
มันไม่เกี่ยวกับม่อนแจ่มเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง..
ในความรู้สึกพชร ..มันเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ ณ บัดนี้ ผู้ใหญ่รับรู้แล้ว
“นำไป”
เสียงเข้มกลับไปใช้วิธีการ ‘สั่ง’ ตามถนัด ใบหน้าคมเริ่มเข้มขึ้นอย่างดุดุ ม่อนแจ่มจึงต้องเดินนำเข้าประตูใหญ่ และแตะคีย์การ์ดเปิดประตูสู่ลิฟต์ แม้จะไม่เต็มใจเท่าไรนัก
..ก็อก ก็อก..ภายหลังเสียงเคาะ ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูห้องก็เปิดออก ม่อนแจ่มรอให้มารดามาเปิดแม้ตัวเองจะมีคีย์การ์ดอีกหนึ่งใบก็ตาม
“ม่อน” ระมิงค์ชะงักนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำหลัง “..พชร”
คนถูกเรียกชื่อทั้งสองยกมือไหว้ทำความเคารพและระมิงค์เองก็ยกมือตอบกลับ
“ผมมาส่งม่อนครับ” พชรเอ่ยถ้อยคำเดียวกับเย็นวันนั้นที่ระมิงค์ยังคงจำได้
เธอยิ้มนิดหนึ่ง พยักหน้ารับรู้ หลีกทางให้ทั้งสองคนเดินเข้ามา
“ผมขอโทษครับ” เสียงเข้มปฏิเสธอย่างสุภาพ “พอดีต้องรีบกลับให้ทันหอปิด”
ระมิงค์หันหลังมองนาฬิกา เกือบห้าทุ่มครึ่งแล้วนี่นะ..
“ขอบใจมากที่มาส่งม่อน” เธอหันกลับมามองเด็กหนุ่ม
พชรพยักหน้าตอบกลับ หันมองตาม่อนแจ่มเป็นเชิงอำลา ยกมือไหว้ระมิงค์อีกครั้ง แล้วหันหลังย่างเท้ากลับไปทางลิฟต์
“..พชร” เสียงเนิบเรียกไว้ เจ้าของชื่อจึงหันมาเลิกคิ้วนิดหนึ่ง “ครับ?”
“แม่เราดีขึ้นหรือยัง ..ข้อเท้ายังเจ็บหรือเปล่า”
..
ดวงตาคนพูดสบกับคนฟัง และพชรก็รู้ว่าระมิงค์ถามด้วยความห่วงใย น่าบังเอิญที่มันเป็นคำถามเดียวกับของม่อนแจ่มเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง
“ดีขึ้นแล้วครับ ..ขอบคุณ”
ร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงอำลาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลัง มิวายได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งดุ๊กดิ๊กตามมา
หืม?
ม่อนแจ่ม..
ร่างเล็กวิ่งนำตรงไปที่ลิฟต์ แล้วแขนสั้นก็เอื้อมกดเปิดรอไว้ ยิ้มหวานให้เมื่อพชรเดินมาถึงซึ่งก็ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเทียบกับที่ม่อนแจ่มวิ่งมา
“ขี่รถดีๆนะ” ม่อนแจ่มสั่งความ
พชรเกือบจะยิ้ม แต่ก็เพียงพยักหน้า มือใหญ่ยกขึ้นแตะบนศีรษะเล็กสองครั้งแสดงอาการรับคำ
“แม่นึกว่าม่อนจะค้างที่หอเสียอีก” ระมิงค์เอ่ย เมื่อก้าวนำลูกชายเข้ามาภายในห้อง
“อืม.. อะ..” ม่อนแจ่มอึกอักขึ้นมา ใบหน้าแดงน้อยๆ
“ม่อนขอโทษที่กลับช้าครับ”
“เปล่า แม่ไม่ได้ว่า” ระมิงค์ส่ายหน้า ส่งรอยยิ้ม “จริงสิ ม่อนไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนนี่ใช่ไหม”
ก็.. นั่นก็ใช่ แต่ม่อนแจ่มไม่ได้คิดจะค้างตั้งแต่แรกอยู่แล้ว..
“หรือว่าเป็นห่วงแม่?” ระมิงค์เลิกคิ้ว
ม่อนแจ่มก้มหน้า ตอบคำถามยากขึ้นมา
“คุณแม่ทานข้าวแล้วหรือครับ”
เขาถามเรื่องอื่น รู้สึกผิดที่ไม่ได้โทรมาถามไถ่มารดาเลย
“แม่ทานที่ร้านข้างล่างแล้วจ้ะ”
ร่างระหงเดินเข้ามาแตะไหล่ ดึงลูกชายที่ยังแต่งชุดนักศึกษาเรียบร้อยให้นั่งลงบนโซฟาด้วยกัน
“แม่โตป่านนี้แล้วนะ แล้วก็ไม่ได้แก่หง่อมดูแลตัวเองไม่ได้เสียหน่อย” มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ส่งผ่านความรู้สึก
“อย่าให้แม่รู้สึกผิดกับม่อนมากไปกว่านี้เลย”
..
ม่อนแจ่มเงยหน้ามอง ผู้เป็นมารดาเองก็มองตอบ เอ่ยอย่างจริงจัง
“ถ้าอยากกลับไปอยู่หอ ก็ไปเถอะนะ”
“แล้ว.. คุณแม่อยากกลับบ้านหรือเปล่าครับ” ม่อนแจ่มถามอย่างลังเล พลางรีบเสริม
“แต่ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นไร ถ้าคุณแม่อยู่ที่นี่ ม่อนจะอยู่กับคุณแม่ด้วย ม่อนเต็มใจครับ”
“แม่อยู่ที่ไหนก็ได้” ระมิงค์พูดจริงๆ “..ขอให้ม่อนได้อยู่ที่ที่ม่อนมีความสุขก็แล้วกัน”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หอพักชาย อาคาร ๓ป้ายอักษรม่วงตั้งอยู่เยื้องๆด้านซ้ายมือนี้แล้ว ร่างกำยำบนเบาะหลังจึงสั่งความกับคนขับรถคนสนิท
“สมเข้าบริษัทก่อนเลย รีบเอาเอกสารให้รวิดานะ เสร็จเมื่อไหร่ฉันค่อยโทรไป”
“ครับ คุณท่าน” สมรับคำ ลงมาเปิดประตูรถให้เจ้านาย
นาน.. นานมากๆสักครั้งหนึ่ง นายพจน์จึงจะไม่เข้าบริษัทตอนเช้า
วันนี้เขาทำงานที่บ้าน แล้วเสร็จจึงให้สมมาส่งที่นี่ก่อน
ไม่แน่ใจนักว่าจะได้พบคนที่อยากพบหรือไม่ แต่ใจนายพจน์ก็อยากจะมาเยี่ยมให้ได้สักครั้ง
ค่อยเข้าบริษัททีหลังก็ได้ แม้จะต้องติดตามงานจนเย็นย่ำติดค่ำก็ไม่เป็นปัญหา นายพจน์ชินเสียแล้ว
ร่างหนาในชุดสูทค่อยๆก้าวเข้ามาในอาณาบริเวณหอพัก
เกือบสามสิบปีผ่านมาแล้ว สมัยที่เขาเป็นนักศึกษาปริญญาตรี นายพจน์ก็เรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นเดียวกัน ในคณะอุตสาหกรรมเกษตร
ชั้นปีที่หนึ่ง จำได้ว่ามีคนรถขับรับ-ส่งระหว่างบ้านและมหาวิทยาลัย กระทั่งชั้นปีถัดๆไป เขาก็ขับรถไป-กลับด้วยตนเอง พักอาศัยอยู่ที่บ้านประดิษฐาพงศ์มาตลอด จนไปศึกษาต่อต่างประเทศนั่นแหละ ถึงได้อยู่หอพักเหมือนคนอื่นๆ
เขาไม่เคยพำนักในหอพักมหาวิทยาลัยนี้ ไม่มีประสบการณ์เลยว่ามันเป็นเช่นไร จึงให้แปลกใจนัก เมื่อม่อนแจ่มเอ่ยก่อนเข้ามหาวิทยาลัยว่าตนเองจะไปเป็น 'เด็กหอ'
ไม่ใช่หอพักด้านนอกที่พรั่งพร้อมความสะดวกเสียด้วย แต่เป็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยเอง
นายพจน์เงยขึ้นมองอาคารเก่าๆนั้น..
ที่นี่คงเป็นที่ซึ่งเด็กหนุ่มจากต่างสถานที่ ต่างครอบครัวได้มาพบปะ รู้จัก อยู่ร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง และนั่นก็ทำให้เกิดโอกาสที่จะได้ดูแลช่วยเหลือกัน ..นำไปสู่ความผูกพันและมิตรภาพ เช่นที่ลูกชายได้พบ..
..ลูกชายทั้งคู่..
เพ็ญมาศบอกว่าม่อนแจ่มอยู่ห้องสามสามแปด
แล้วในบรรดาห้องทั้งหมดในหอนี้ ..ม่อนแจ่มอยู่ห้องเดียวกับพชร ..ทั้งสองเป็นรูมเมทกัน
ลูกของเขาอยู่ห้องเดียวกัน..
“คุณพ่อ นี่พชรครับ ..พชร มนุษยฯ ปรัชญา”นายพจน์จำถ้อยคำแนะนำนี้ได้..
มีคนกล่าวว่าความบังเอิญกับพรหมลิขิตนั้นมีเพียงเส้นบางๆกั้นอยู่.. ซึ่งนายพจน์ก็เห็นด้วยว่ามันน่าจะบางมากจริงๆ
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเลยเที่ยงวันไปไม่กี่นาที..
ร่างกำยำเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป เขาเคยมาที่หอสามชาย แต่ก็อยู่ข้างหน้า ไม่เคยเดินเข้ามาข้างในเช่นนี้
สายตาคมมองซ้ายขวาสำรวจ ..มีโรงอาหาร ห้องอ่านหนังสือ บันไดนำสู่ชั้นบน
หน้าบันไดมีเก้าอี้ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เป็นของพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งนั่งประจำโต๊ะที่มีรางไม้เสียบบัตรอยู่เบื้องหน้า
“มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
ป้ายามเลิกคิ้วนิดหนึ่ง วันๆพบเจอแต่นักศึกษา มีผู้ปกครองมาบ้างก็จริง แต่เธอไม่เคยเห็นผู้ปกครองคนไหนใส่ชุดสูทมาอย่างนี้
“ผม.. มารอลูกน่ะครับ” นายพจน์ชี้แจง
“โทรหาไม่ติดหรือคะ? แล้วลูกคุณอยู่ห้องไหนคะ”
“สามสามแปดครับ..”
..
..
“ยังไม่มีใครอยู่ในห้องตอนนี้ค่ะ” ป้ายามส่งสายตาไล่สำรวจและเสริม “ถ้าเขาไม่ลืมเสียบบัตรนะคะ”
นายพจน์พยักหน้าเข้าใจ เอ่ยขอบคุณ ก่อนหันมองซ้ายขวาอีกครั้ง และตัดสินใจไปนั่งลงที่ม้านั่งยาวหน้าโรงอาหาร
ดวงตาคมมองไปยังประตูหอ.. เขาไม่รู้ว่าคนที่รอคอยจะเดินผ่านเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ก็ดีที่เขามาในตอนนี้ เขาสามารถรอและมีหวังจะเจอ แต่ถ้ามาตอนเย็น อาจจะไม่ทันเจอก็ได้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ..
นายพจน์มองบันไดสลับไป แม้จะเป็นวันธรรมดาและเป็นช่วงเวลาเรียน ก็มีนักศึกษาเข้าออกกันประปรายตลอดบ่าย
เขามองเข้าไปในโรงอาหารบ้าง ซึ่งเงียบลงหน่อยเมื่อคล้อยบ่าย ..นี่คงเป็นที่ที่ลูกๆมาทานข้าว
ริมฝีปากหนาเผลอยิ้ม ..ช่วงวัยนี้ เขารู้สึกว่าเป็นช่วงวัยที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
เยาว์วัย.. แต่ความเป็นผู้ใหญ่ก็อยู่ใกล้นิดเดียว..เขานึกดีใจที่ม่อนแจ่มไม่เอาอย่างเขา คือให้รถที่บ้านมาส่งเรียนและรับกลับ แต่เลือกที่จะอยู่หอพัก ดูแลตัวเอง พบเจอเพื่อนใหม่ เรียนรู้ชีวิตในแบบที่ไม่คุ้นเคย
ม่อนแจ่มผ่านมา ..และคงจะผ่านไปได้อย่างงดงาม
นายพจน์คิด ..คิดไปเรื่อยๆ คิดแล้วหยิบโทรศัพท์มากดส่งข้อความบอกม่อนแจ่มเสียหน่อยว่าเขาอยู่ที่นี่
เมื่อวานเขายังไม่ได้พบม่อนแจ่มเลย เพราะระมิงค์บอกว่าเจ้าตัวขอไปหอพักก่อนและจะกลับคอนโดเอง
นายพจน์ไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้หน้าบึ้ง ..เขาคิดถึงเหตุผลที่ม่อนแจ่มมาหอ
และถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด ซึ่งออกจะมั่นใจว่าไม่ ..มันก็คือเหตุผลเดียวกันกับที่นายพจน์มาในวันนี้นั่นแหละ
มันไม่ใช่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นอะไรเลย..
ก็แค่นายพจน์นั่งมองประตูหอ เหมือนที่มองมาแล้วสี่ชั่วโมงเต็ม
แล้ว.. เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมสันถอดแบบออกมาจากเขา ในมือข้างหนึ่งถือกุญแจรถ ก็เดินผ่านประตูเข้ามาในเวลาเลยสี่โมงมาราวสักห้านาที
พชรชะงักอยู่หน้าประตู.. มองเห็นหนุ่มใหญ่ในชุดสูทซึ่งนั่งอยู่ในทันที
ก่อนที่จะค่อยๆก้าวต่อ.. จนขาแข็งแรงมาหยุดยืน
ใบหน้าคมประหลาดใจ และ.. ไม่รู้สิ เขาไม่คิดว่าจะเจอนายพจน์ที่นี่.. ตรงนี้..
มันไม่เหมือนกับครั้งแรกที่พชรเห็นนายพจน์ที่หอสามชาย ครั้งนั้น บุรุษวัยห้าสิบยืนอยู่นอกอาคาร ข้างรถเบนซ์สีดำเป็นมันวาวและมีคนขับรถยืนอยู่เคียงกาย
แต่วันนี้.. ตอนนี้.. ชายผู้นี้อยู่ภายใน อยู่เพียงผู้เดียว กำลังนั่ง ..เหมือนนั่งมานานแล้ว ..เหมือนรอใครสักคน
ใจพชรประหวัดไปถึงช่วงเวลาสั้นๆและบทสนทนาไม่ยาวนักที่ PP Group วันนั้น ..ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกว่ามันมีความหมายขึ้นมา
มือแกร่งยกขึ้นประนม ก้มศีรษะลงน้อยๆ
แม้ไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘สวัสดีครับ’ แต่อวัจนภาษาก็หมายความว่าอย่างนั้น
นายพจน์ลุกขึ้นยืน.. รู้สึกว่าน้ำหนักตัวของเขามากกว่าทุกวัน
การที่เด็กหนุ่มตรงหน้ายกมือไหว้เป็นครั้งที่สอง ..อากัปกิริยาที่แม้เด็กธรรมดาที่ไหนก็ทำกัน ทว่า มันมีความหมายมากมายเหลือเกิน
มีความหมายเพราะนี่คือพชร นี่คือลูกชายที่มีสิทธิ์โกรธขึ้งและไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแสดงความเคารพคนอย่างเขา
พชรเป็นคนดี.. มีน้ำใจ.. สุภาพ.. มีมารยาท.. เรียบร้อย.. ม่อนแจ่มพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เอ่ยถึงคนตรงหน้า สรรพคุณเยอะแยะจนแทบจำได้ไม่หมด
ดูเหมือนม่อนแจ่มคิดว่าพชรเป็นทุกอย่างที่บุรุษที่ดีพึงจะเป็น
“ม่อนรักพชร ..ม่อนรักลูกชายคุณพ่อ”นายพจน์อดไม่ได้ที่จะยิ้ม..
การที่พชรเป็นคนดีก็คงเป็นเหตุผลที่ม่อนแจ่มรัก หรืออาจจะเพราะม่อนแจ่มรัก ..พชรจึงดีทุกอย่างในสายตาม่อนแจ่มก็เป็นได้
นายพจน์ไม่แน่ใจว่าข้อไหนเกิดก่อนหลัง หรืออาจค่อยๆเกิดไปพร้อมๆกัน
ดวงตาหนุ่มใหญ่พิจมองลูกชาย ยกมือไหว้ตอบพร้อมกับเอ่ยทักทาย
“สวัสดี พชร”
..
ลมหายใจเจ้าของชื่อสะดุดนิดหนึ่ง
‘สวัสดี พชร’ เป็นวลีที่อีกผู้หนึ่งซึ่งนามสกุลประดิษฐาพงศ์เช่นเดียวกับคนตรงหน้า เอ่ยอยู่ได้ซ้ำๆตลอดระยะเวลาพักอาศัยในหอสามชายแห่งนี้
“เลิกเรียนแล้วหรือ..”
“..ครับ”
“อืม" นายพจน์ครางรับในลำคอ รู้สึกว่าพชรตอบแบบฉลาดๆ ในขณะที่เขาถามแบบโง่ๆ
“มีธุระอะไรหรือครับ”
..
นายพจน์ชะงักไปนิดหนึ่ง
ธุระอะไรหรือ?ก็.. คงแค่.. ธุระของคนแก่นิดๆหน่อยๆเท่านั้น
“พชรสบายดีนะ”
นายพจน์คิดว่ามันก็คงเป็นคำถามโง่ๆอีกนั่นแหละ แต่มันก็เป็นคำถามที่เขาอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่ว่าจะถามส่งๆไปอย่างนั้น
..
“ครับ”
นั่นคือคำตอบสั้นๆที่คาดได้
“คุณพจน์.. ขอถามข่าวแม่หน่อยได้ไหม”
นายพจน์ไม่ลืมที่จะใช้สรรพนามที่ถูกต้องสำหรับแทนตนเอง “แม่อาการดีขึ้นหรือยังครับ..”
“ดีขึ้นแล้วครับ” พชรตอบเรียบๆพร้อมกับพยักหน้า
“ยังไงก็.. ต้องไม่ประมาทนะ ให้แม่พักก่อน อย่าเพิ่งลงน้ำหนักเท้าเยอะ แม่มีคนดูแลหรือเปล่าครับ ..ที่บ้าน”
“มีครับ”
..
นายพจน์หลุดยิ้มอ่อนๆกับคำตอบสั้นๆเหล่านั้น ก่อนจะเอ่ยต่อตามที่ตั้งใจ..
“พรุ่งนี้วันศุกร์ คุณพจน์จะไปรับม่อนกลับบ้านนะ คุยกับคุณระมิงค์แล้ววันนี้”
พชรเบิ่งตาขึ้นนิดหนึ่ง “ม่อนตกลงหรือครับ?”
เมื่อนายพจน์พยักหน้าแทนคำตอบ ริมฝีปากหนาจึงยกขึ้นอย่างยินดี
ใช่.. เขาบอกม่อนแจ่มเมื่อคืนว่าให้กลับบ้านเมื่อเจ้าตัวสบายใจ แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าตราบที่ม่อนแจ่มยังอยู่คอนโดราวกับไม่มีบ้านช่องนั้น ..เขาไม่สบายใจเลย
“แต่วันแรกๆ ม่อนน่าจะอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาที่บ้านก่อนน่ะนะ เท่าที่ฟัง” นายพจน์เสริม “ถ้าม่อนพร้อมกลับมาอยู่หอวันไหน คุณพจน์จะมาส่งเอง”
..
“คุณพจน์บอกพชรนะ พชรจะได้สบายใจ”
พชรมองตาคนพูด..
ใจปิติ แต่ก็รับคำเพียงเบาๆ “ขอบคุณครับ”
นายพจน์เงียบไป ..ดูเหมือนหมดคำจะพูดแล้ว
เป็นเรื่องออกจะตลกที่เขามารอสี่ชั่วโมงเพื่อพูดไม่ถึงสิบนาที แต่ทั้งหมดนี้มีคุณค่า ..ไม่ใช่คุ้มค่า แต่มีคุณค่า..
เขารอนานกว่านี้ก็ได้ พูดน้อยกว่านี้ก็ได้ ..แค่พชรพูดด้วย แค่พชรยกมือไหว้ มันก็มีคุณค่ามากมายเหลือเกินแล้ว
“คุณพจน์กลับก่อนนะครับ พชรดูแลตัวเองด้วย” เสียงเข้มเอ่ย ริมฝีปากหนายิ้มออกมา
ร่างกำยำค่อยๆเดินช้าๆออกไปตามทางเดิน แม้ที่จริง.. จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาอยากพูดกับเด็กหนุ่ม
“ไว้.. ถ้ายังไง คุณพจน์ขออนุญาตไปเยี่ยมพชรกับแม่ที่บ้านบ้างจะได้หรือเปล่า”ทว่า นายพจน์ก็เก็บคำขอนั้นเอาไว้ในใจ ..เขาไม่อยากรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ทำให้อึดอัดหรือลำบากใจเร็วเกินไปนัก
สู้ให้พชรได้พบเห็นเขา จนคุ้นเคยพอที่จะเข้าใกล้ได้มากกว่านี้น่าจะดีกับความรู้สึกลูกชายมากกว่า
จู่ๆ ดวงตาคมก็ปริ่มหยาดน้ำ เขารีบกระพริบไล่มันไปเสีย พจน์ ประดิษฐาพงศ์ไม่ต้องการร้องไห้
เขาดีใจที่ได้เจอลูกชาย เป็นบุญที่เด็กหนุ่มอุตส่าห์ยกมือไหว้ ยอมพูดคุย และเขายังได้มีโอกาสทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ว่า.. เขาอยู่ตรงนี้ ส่วนพชรจะต้องการมันแค่ไหน เรื่องนั้นไม่สมควรคาดหวัง พชรมีความสุขกับชีวิตตนเองอยู่แล้วและอาจไม่ต้องการสิ่งที่ไม่เคยมี ข้อนั้น เขาเข้าใจดี
นายพจน์ก้มมองตัวเอง อะไรดลใจให้เขาไม่ถอดสูทนะ ความเคยชินละกระมัง
หน้าคมส่ายไปมาน้อยๆทั้งดวงตายังโศก มือทำท่าจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาสม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
ราวกับการที่คนรถกลับมารับ ..การที่เขาย่างเท้าขึ้นไปนั่งในรถเบนซ์คันเดิมจะพาเขากลับไปเป็นนายพจน์คนเดิมซึ่งทำลายความรู้สึกล้ำค่าที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ..นายพจน์จะกลับเองแล้วกัน
นั่นอย่างไร..
รถสี่ล้อแดง นายพจน์เคยนั่งสมัยเป็นนักศึกษา
มือแกร่งค่อยๆยกขึ้นโบกรถ รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เพราะไม่เคยทำมานานแล้ว ทว่า วันนี้เขาอยากเข้าบริษัทในแบบที่เปลี่ยนไป
ร่างใหญ่ค้อมตัวลง บอกผ่านหน้าต่างที่ลงกระจกเมื่อคนขับชะลอรถจอดเทียบ
“ไป PP Group ครับ”
..
เมื่อโชเฟอร์ทำหน้างง เสียงเข้มจึงเสริม “อยู่ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปางน่ะครับ เลยไทวัสดุไป”
คนขับรถส่ายหน้า พึมพำว่าไกล ไม่ไป พยักพเยิดไปด้านหลังที่มีนักศึกษารอให้ไปส่งจำนวนหนึ่ง
ชะรอยคนขับอยากจะวนส่งเพียงรอบๆมหาวิทยาลัยแถวนี้กระมัง ..นายพจน์ทำความเข้าใจ
ดวงตาคมมองภาพที่เห็นจากหน้าประตูหอพัก.. เขาเดินตามกลับมาเพราะลืมยกมือไหว้ลาผู้อาวุโสกว่า และต้องเลิกคิ้วงงๆเมื่อบุรุษผู้มาเยี่ยมเยือนกำลังยืนโบกรถโดยสารและดูเหมือนจะถูกปฏิเสธ ขายาวก้าวตามทางทอดไปสู่ฟุตบาท เอ่ยถามเมื่อหยุดด้านหลัง
“คนรถของคุณพจน์ไม่มาด้วยหรือครับ”
คนถูกถามสะดุ้งน้อยๆ หันกลับมา “พชร”
..
“เอ้อ.. ให้เขาเข้าบริษัทไปแล้ว ก็เลยไม่อยากจะให้มารับอีก ..ว่าจะไปเองน่ะ”
พชรขมวดคิ้ว พิจมองชุดสูทของคนตรงหน้าที่ดูขัดกับวิธีการจะกลับเข้าบริษัทอย่างไม่ตั้งใจ
“ช่วงรถติด รถแดงคงไม่อยากจะออกไปสายนู้น” นายพจน์พึมพำ หันกลับไปมองถนน เล็งรถแดงคันอื่น
เด็กหนุ่มมองผู้ใหญ่ตรงหน้า อดนึกถึงม่อนแจ่มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคืน ขานั้นก็จะกลับรถแดงเหมือนกัน
..
เกือบจะเป็นเรื่องตลก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพชรจึงถามออกไป
เพราะบุรุษผู้นี้เป็นบิดาม่อนแจ่ม ..เพราะบุรุษผู้นี้เป็นบิดาเขา ..หรืออาจทั้งสองประการ
“คุณพจน์นั่งมอเตอร์ไซค์เป็นไหมครับ?”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มือเรียวกำโทรศัพท์แน่น.. อดจะรู้สึกตื่นเต้นแทนปลายสายไม่ได้ ใจเขาเต้นแรงมาก ไม่เกินจริงเลยถ้าจะบอกว่าเพิ่งจะได้ยินได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์
“ป่านนี้คงใกล้กลับถึงหอแล้วล่ะ..”ม่อนแจ่มพยักหน้ารัวๆ ..ดีใจ ดีใจมาก
ถึงแม้เขาจะเลิกเรียนช้า จนมาไม่ทันเห็นคุณพ่อเจอกับพชร พูดคุยกับพชร..
แต่พชรไปส่งคุณพ่อ
พชรไปส่งคุณพ่อ!มันคงจะเป็นภาพประหลาดยิ่งนัก ม่อนแจ่มนึกจิตนาการได้เลย คุณพ่อคงจะใส่ชุดสูทอย่างปกติ แต่ที่ผิดปกติคือท่านซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์โมตาร์ด ซึ่งคนขี่คือพชร
โธ่ ทำไมม่อนแจ่มไม่ได้เห็นนะ!
“ดูแลตัวเองด้วยม่อน พรุ่งนี้พ่อไปรับกลับบ้าน”“ขอบคุณครับ คุณพ่อ” ม่อนแจ่มรับคำกับปลายสาย สไลด์วางโทรศัพท์ แล้วจ้องมองประตูอย่างรอคอย
พชรไปส่งคุณพ่อ.. โอ๊ย พชรไปส่งคุณพ่อ! ม่อนแจ่มรอจะเจอพชรไม่ไหวแล้ว
ไม่รู้สิ.. มันมีความหมาย มีความหมายมากจริงๆ
เพราะม่อนแจ่มเคยเรียนรู้มาก่อนว่าการกระทำ ‘แบบนั้น’ มันจะทำให้รู้สึกอย่างไร เขาจึงคาดได้ว่าสำหรับคุณพ่อแล้วมันจะยิ่งมีคุณค่ามหาศาลเพียงใด
..ก็อก ก็อก..สิ้นเสียงเคาะ.. ประตูก็เปิดออก ผู้มาใหม่ชะงักนิดหนึ่งเมื่อมองเห็นร่างเล็กที่คุ้นเคยอยู่ภายในห้อง
ทว่า คนอยู่ก่อนไม่ชะงัก ม่อนแจ่มลุกขึ้นยืน พุ่งเข้าใส่ร่างสูงในชุดนักศึกษา สองแขนเรียวโอบกอดเอวหนาเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนเอาไว้แน่น
พชรยืนนิ่งสนิท.. ทั้งงุนงง.. ทั้งใจเต้นแรง..
ใช่.. ที่กอดกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้ง พชรเป็นคนรวบร่างอีกฝ่ายเข้าหาลำตัว
แต่นี่.. เป็นม่อนแจ่ม
แล้วยัง.. พุ่งเข้ามาใส่ไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัวแบบนี้ มันก็ต้องมีใจสั่นกันบ้าง
“เป็นอะไร..”
ปกติไม่ชอบถาม แต่เห็นทีครานี้คงต้องถาม โดนกอดแบบงงๆ ทั้งที่ประตูห้องก็ยังเปิดค้างอยู่เลย
ม่อนแจ่มไม่มีคำจะตอบ แขนยังโอบกระชับ แก้มเนียนซบกับอก
นาน.. กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรประเจิดประเจ้ออยู่..
อะ..
ม่อนแจ่มผละลำตัวออก มองเห็นเพื่อนร่วมหอสองสามคนเดินผ่านไปพลางหันกลับมามอง ใบหน้าขาวจึงร้อนขึ้นมาทันที
“ข..ขอโทษ” เสียงเล็กตะกุกตะกัก กลืนน้ำลาย มือยกขึ้นเกาหัวอย่างไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน
พชรเองก็เขินเหมือนกัน แต่พอเห็นคนเขินกว่าจึงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย ร่างกำยำก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามาในห้อง ดึงประตูปิด กดล็อคเสีย
“ตกลงเป็นอะไร?” พชรย้ำคำถาม ตาคมมองพิจใบหน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อ
“ก็..” ฟันเล็กกัดริมฝีปาก “ไม่รู้ คือ.. มันพูดไม่ถูก เมื่อกี้โทรหาคุณพ่อ แล้ว..”
อ้อ.. เรื่องนั้นพชรเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นเดียวกัน ไม่แน่ใจนักว่าเข้าใจความรู้สึกม่อนแจ่มแค่ไหน
ทว่า ในแววตาภายใต้กรอบแว่นแดงคู่นั้นมันบ่งบอกความรู้สึกที่ยิ่งกว่าดีใจ ..ความรู้สึกที่เต็มล้นออกมาจนพชรรู้สึกร่วมกับมันได้ด้วย
เขาไปส่งนายพจน์.. เหตุการณ์นี้เห็นจะมีก็แต่เขากับนายพจน์ที่เกี่ยวข้อง แต่ม่อนแจ่มทำท่าราวกับเพิ่งจะเกิดสิ่งดีสิ่งพิเศษขึ้นกับตัวเองโดยตรง
น่ารักจริง..“ม่อน..” เสียงเข้มค่อยๆเอ่ยเรียก
“อื้อ.. พชร” ม่อนแจ่มตอบรับ
“พรุ่งนี้ ไม่ต้องเข้ามาหอนะ”
ห๊ะ..
ม่อนแจ่มขมวดคิ้วมอง ปากอ้าน้อยๆอย่างตื่นตระหนกและไม่คาดคิด เสียงเข้มจึงอธิบายเหตุผลให้คลายใจ
“กูจะกลับลำพูน”
อ้อ..
ม่อนแจ่มตกใจหมด
พรุ่งนี้วันศุกร์นี่นะ พชรคงมีงานสวนที่ต้องกลับไปจัดการอย่างที่เป็นมาเสมอ ..ม่อนแจ่มพยักหน้าเข้าใจ
“มึงกลับบ้าน แล้ว.. เอ่อ.. จะเจอคุณพ่อกูด้วยหรือเปล่า”
“เจอ” พชรตอบสั้นๆ ..ยังไม่อยากเสริมว่า ..ก็เจออยู่ทุกครั้งนั่นแหละ เพราะอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน
ม่อนแจ่มอ้าปากค้างไว้อีกที ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อดี
..
“แล้วกูจะบอกท่านให้นะ ..ว่าลูกอยากมาเยี่ยม”
ม่อนแจ่มยิ้ม..
พชรเองก็ยิ้มตอบ..
“พรุ่งนี้ เลิกเรียนแล้วก็กลับคอนโดไปเก็บของเถอะ” เสียงเข้มเอ่ยต่อ
“คุณพจน์บอกว่า.. จะกลับบ้านแล้วใช่ไหม”
รอยยิ้มบนใบหน้าขาวจางลงไป ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ ทว่า ลำคอค้างก้มไว้เช่นนั้น ไม่ยอมเงย ตาใสหลุบมองพื้นเบื้องล่าง
พชรปลดเป้ลงจากบ่า สองมือแกร่งจับไหล่คนตรงหน้าไว้ เอ่ยย้ำคำที่เคยพูดมาก่อน
“นั่นคือบ้านที่มึงเกิดและเติบโตมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนั้นได้”
ม่อนแจ่มพยักหน้า..
“มึงไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ..ไม่เลย”
ม่อนแจ่มยังคงพยักหน้า..
“แต่ถ้ามันยังจะเกิดความรู้สึกไม่ดีอะไรขึ้นมา..”
มือขวาของพชรละจากไหล่บางขึ้นมาเชยปลายคางมนของคนก้มให้เงยขึ้นสบสายตา ..แล้วตนเองก็โน้มใบหน้าคมลงไปหา
“ขอให้จำความรู้สึกนี้เอาไว้..”
..รู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ม่อนแจ่มมั่นใจว่าไม่มีทางลืมแน่นอน..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
(ต่อรีฯด้านล่าง)