CHAPTER 31: When You Say Nothing at All นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงอีกครั้งและอีกวัน.. ขาเรียวย่างช้าๆเข้ามาสู่บริเวณหน้าหอสามชายที่เคยเป็นถิ่นพำนัก
Kawasaki D-Tracker 250 ป้ายทะเบียนลำพูนจอดอยู่เช่นเดียวกับเมื่อวาน แต่นั่นก็ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าผู้เป็นเจ้าของจะอยู่ข้างบน
ม่อนแจ่มเงยมองอาคารเก่าราวระเบียงม่วงอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก
เมื่อวาน เขาลังเลไม่แน่ใจ ทว่า วันนี้ เขาไม่มีความสงสัยใดๆในการที่จะไปห้องสามสามแปดเลย
“หายไปหลายวันเลยนะ กลับบ้านหรือ?”
ป้ายามทัก ยกมือรับไหว้ ม่อนแจ่มพยักหน้า ส่งยิ้มให้ ก่อนเสียบบัตรไว้ในช่องของห้องสามสามแปด ซึ่งมีบัตรอีกใบหนึ่งเสียบอยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้ระบุชื่อ ‘กวีกานต์ ทัศนศุภกฤษณ์’ ซึ่งขณะนี้ ม่อนแจ่มรู้ดีว่ายังอยู่ที่คณะ
บัตรอีกใบเป็นของพชร เพชรหละปูน ซึ่งเมื่อวานตอนกลับมากับไอดิล เขาก็ลืมสังเกตไปเลยว่าไม่มีบัตรของใครเสียบไว้ก่อนหน้า
และนั่นก็หมายความว่า ..ตอนนี้พชรอยู่ข้างบน..
จริงอยู่ ที่บางทีบัตรก็ไม่ใช่เครื่องการันตีเหมือนกัน เพราะบ่อยครั้งที่ชาวนักศึกษารีบไปรีบมา เสียบบ้างไม่เสียบบ้าง ไม่ได้ใส่ใจนักที่จะระบุตัวตน ทว่า พชรไม่ใช่แบบนั้น เจ้าตัวเป็นคนเคารพกฎระเบียบ แล้ว.. ป้ายามเองก็พูดตรงกันเมื่อม่อนแจ่มหยิบบัตรของพชรขึ้นมาพิจมองอยู่หลายอึดใจ
“เขาขึ้นไปเป็นชั่วโมงแล้วจ้ะ”
..
ม่อนแจ่มยิ้มให้ป้ายาม ผู้ซึ่งมีความสามารถในการจำนักศึกษาผู้พำนักได้ทุกคน อย่าหวังว่าถ้าไม่ได้อยู่หอนี้แล้วจะทำเนียนขึ้นไปได้ง่ายๆ ขอโทษเถอะครับ จำได้หมด และจากที่ถามเพื่อนๆหลายหอ ก็ปรากฎว่ามีความสามารถแบบเดียวกันนี้ทุกคน
ม่อนแจ่มเสียบบัตรสีน้ำเงินของพชรไว้ที่เดิม มองบันไดก่อนค่อยๆก้าวขึ้นไป
มือขาวยกขึ้นกำน้อยๆ เมื่อหยุดหน้าประตูที่คุ้นเคย ..ชั่งใจนิดหนึ่งว่าควรเคาะหรือไม่
ไอดิลบอกว่พชรมักจะหลับ ยกเว้นเมื่อวานที่เจ้าตัวยังไม่กลับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงความมีมารยาทดีของคนในห้อง ม่อนแจ่มคิดว่าต้องทำให้เหมือนกัน
..ก็อก ก็อก..ไม่มีเสียงใดจากภายใน ม่อนแจ่มจึงล้วงหยิบกุญแจมาไขลูกบิด ค่อยๆผลักประตูเข้าไปช้าๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่ป้ายามว่า ..พชรอยู่ในห้องและคงขึ้นมาเป็นชั่วโมงแล้ว
แล้วก็เป็นอย่างที่ไอดิลว่าด้วย ..เพราะพชรหลับอยู่จริงๆ
เพียงแต่.. ไอดิลไม่เคยบอกว่าพชรหลับตรงไหน
ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างน้อยๆ เมื่อองศาหน้าประตู มองเห็นเตียงล่างของตัวเองเป็นสิ่งแรก ..และนั่นก็คือที่ที่พชรนอนอยู่ ..พชรนอนบนเตียงเขา
ม่อนแจ่มยืนนิ่งไปหลายอึดใจ เพ่งมองแล้วเพ่งมองอีก ก่อนจะค่อยๆก้าวเข้ามาภายใน ปิดประตูอย่างแผ่วเบา
ร่างเล็กวางกระเป๋าลงบนพื้น วางแฟ้มน้ำตาลไว้บนนั้นอีกที เดินไปหน้าเตียง ทรุดนั่งลงช้าๆ พิจมองคนบนเตียง
ใบหน้าคมเรียบเฉยดูผ่อนคลายในยามหลับ.. เปลือกตาปิดสนิท.. ลมหายใจสม่ำเสมอ.. ม่อนแจ่มมองจ้องราวกับจมอยู่ในภวังค์
เอาจริงๆนะ.. เขาคิดถึงพชรมาก ..และไม่มีทางบอกได้ว่ามากแค่ไหน
เขาเคยมองพชรหลับมาก่อนแล้ว.. เช้าวันหลังจากเป็นของกันและกัน ..พชรก็หลับสนิทแบบนี้ และเขาก็มองพชรด้วยสายตาแบบเดียวกันนี้
ม่อนแจ่มละสายตานิดหนึ่ง เหลียวมองรอบๆห้อง..
กระเป๋าพชรวางอยู่บนเก้าอี้เขา เอกสารประกอบการเรียนของพชรก็วางอยู่บนโต๊ะเขา
ในห้วงความคิดแทบจะจินตนาการร่างกำยำที่เดินเข้ามาในห้องแบบง่วงๆ มือวางเอกสาร วางประเป๋า ปลดเนคไทม่วงพาดไว้กับเก้าอี้ เอาชายเสื้อออกนอกกางเกง และ.. ล้มตัวลงนอนบนเตียงนี้ เตียงที่ม่อนแจ่มนอน.. เตียงที่เคยนอนกับม่อนแจ่ม..
พชรเหนื่อยมากไหม.. ม่อนแจ่มอยากจะถาม
ดวงหน้าคมคล้ำแดดดูอิดโรยและอ่อนล้า ทำให้มือเรียวเล็กค่อยๆวางทาบบนหน้าผาก ..หวังใจว่าอุณหภูมิร่างกายจะปกติดี
ใช้ได้.. พชรไม่ป่วย
ร่างกำยำนอนหงาย แขนแข็งแรงข้างซ้ายแนบลำตัว ข้างขวาคว่ำฝ่ามือทาบอยู่บนหน้าท้อง
พชรเป็นคนเรียบร้อย ..ม่อนแจ่มอดคิดไม่ได้
แม้แต่ท่านอนยังเรียบร้อย ไม่เหมือนเขาที่ตื่นมาไม่เคยจะเป็นท่าเดียวกับตอนล้มตัวลงนอนเลย
มือขาวเลื่อนไปวางทาบมือใหญ่บนหน้าท้องที่กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆตามจังหวะการหายใจนั้น
ม่อนแจ่มไม่เคยลืมสัมผัสมือข้างถนัดของพชร ..ข้างเดียวกับที่พ่ายแพ้เขาในการงัดข้อ ข้างเดียวกับที่จูงกลับห้องตอนไฟดับ ข้างที่ประทับลงบนฝ่ามือเขาเพื่อปลอบโยนตอนที่ร่างกายเจ็บปวด ..ข้างที่บีบไหล่ บอกให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรเป็นความผิดของเขาทั้งนั้น
และ.. ม่อนแจ่มรู้สึกขอบคุณทุกอย่างที่มาจากคนคนนี้
“เมื่อไหร่ขอพชรแต่งงานครับม่อน?”เฮ้ย..
ม่อนแจ่มสะดุ้ง มัวแต่จมอยู่ในความคิดความรู้สึกของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู
“ชู่ว์!” นิ้วชี้ยกขึ้นทาบริมฝีปากส่งสัญญาณให้ไอดิล ซึ่งยักไหล่ให้เขาอีกที
“นี่ ไอ้พีฝากมาให้มึง”
พีระศิลป์? ฝากอะไรมา
ม่อนแจ่มขมวดคิ้ว รับเศษกระดาษมาจากไอดิล
ม่อนแจ่ม วิศวฯเครื่องกล วันศุกร์ 14.30-16.00
อ้อ..
แล้วเขาก็นึกได้ เวรเฝ้านิทรรศการชมรมนั่นเอง
“กูบอกไอ้พีว่ามึงกำลังมีปัญหาหัวใจให้เลือกเวรไกลๆให้ เลยได้มาวันสุดท้าย ช่วงสุดท้ายพอดี ไอ้พีฝากบอกว่าเก็บกวาดด้วย”
“อื้อๆ” ม่อนแจ่มพยักหน้าเข้าใจ ไอ้พีนะไอ้พี
“มานานแล้วหรือ?” ไอดิลถาม เหล่มองฝ่ามือม่อนแจ่มที่ทาบไว้บนมือพชร
“ก็ ..อื้อ” ม่อนแจ่มพยักหน้า พลางเงยมองคู่ซี๊ “ไอ้ดิ้ล พชรหลับ เอ่อ..”
เขาไม่แน่ใจนักว่าจะถามอย่างไรดี ดันเรียบเรียงคำไม่ค่อยจะถูกขึ้นมา
“มันนอนเนี่ยแหละ ตั้งแต่มึงไม่อยู่ ..ถ้าจะถามแบบนั้นละก็” ไอดิลรู้ใจ แล้วเสริมพลางพยักพเยิดไปที่เก้าที ที่เตียงที
“กลางคืนนั่งนี่ บ่ายนอนนั่น ทุกวัน”
อะ..
ม่อนแจ่มพยักหน้าเข้าใจ
“ถ้าอะไรๆมันไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไป ก็อย่าทรมานตัวเองกันนักเลยวะ” มือบางของไอดิลบีบไหล่เล็กของม่อนแจ่มเบาๆ
“มันคิดถึงมึง ..มึงก็รู้”
ใช่..
ม่อนแจ่มรู้
“กูไปข้างนอก ไม่ก็อยู่ห้องหมอกนะ” ไอดิลสั่งความ
“ขอบใจ ไอ้ดิ้ล”
ม่อนแจ่มหันมองไอดิลที่คล้อยหลังผ่านประตูไป รู้สึกเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอเพื่อนคนนี้
รอยยิ้มน้อยๆประดับบนริมฝีปากอิ่ม ก่อนที่จะหันกลับมามองคนบนเตียง
นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่นั่งอยู่แบบนั้น.. มองพชรอยู่แบบนั้น..
จนแสงสีส้มจางๆสาดสะท้อนผ่านหน้าต่างเข้ามาแล้ว ..จะว่าไป ม่อนแจ่มก็ง่วงเหมือนกันนะนี่
ขอหน่อยเถอะ.. จากที่นั่งบนพื้น ร่างเล็กเลื้อยๆขึ้นไปบนเตียง มีพื้นที่เหลือเพียงน้อยนิดแต่ก็ยังกว้างพอ เขานอนตะแคงซ้ายอยู่ใกล้ๆพชร
แว่นแดงยังทำหน้าที่ของมันบนดวงตาและม่อนแจ่มก็ไม่อยากถอดออก ..ไม่ต้องการให้ภาพใบหน้าคมสันพร่าเลือนไป..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เมื่อร่างกายพักผ่อนพอใช้ได้ สติจึงกลับมาเมื่อยามค่ำจัด เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้น
ก็เหมือนทุกวันตลอดอาทิตย์นี้ พชรมองเห็นเพดานเตียงในความสลัวเป็นสิ่งแรก ..อย่างไรก็ตาม จากรัศมีหางตาบ่งบอกให้รู้ว่า เขาไม่ได้นอนอยู่คนเดียว
พชรเกือบจะตกใจ..
ปกติไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่ในความมืด ยามงัวเงียเพิ่งลืมตา การเห็นร่างอีกร่างนอนอยู่ข้างๆ มันน่าประหลาดพิลึก
ทว่า ที่ไม่ตกใจก็เพราะลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดท่อนแขนอยู่นี้ รวมทั้งไออุ่นที่คุ้นเคยในความรู้สึกด้วย
หน้าคมเอี้ยวขวาหันมองให้ชัดเจน
พชรถึงกับต้องเพ่ง..
ถ้าไม่เพราะเสียงลมหายใจที่ได้ยินชัดเจน เขาคงคิดว่าความสลัวภายในห้องเล่นตลก
แต่นี่มันไม่ใช่..
เปลือกตาปิดสนิทภายใต้กรอบแว่นที่แม้มืดก็บอกได้ว่าเป็นสีแดง
..ม่อนแจ่ม..
พชรแทบจะไม่กล้าขยับตัว..
นี่มัน.. อะไร.. เขางุนงง
ทำไมจู่ๆม่อนแจ่มมานอนอยู่ตรงนี้?
แว่นตาที่ยังอยู่บนใบหน้าผิดวิสัยคนนอนหลับบอกได้ว่าก่อนดวงตาคู่งามจะปิดลง ได้จับจ้องบางสิ่งอยู่ และสิ่งนั้นก็คือเขา ..ตัวพชรเอง..
ม่อนแจ่มนอนตะแคงซ้ายหันหน้าเข้าหาเขา แขนข้างหนึ่งถูกศีรษะทับอยู่ หนุนต่างหมอน อีกข้างแตะไว้ที่ข้อศอกเขา และแม้เจ้าตัวจะตัวเล็กนิดเดียวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่เตียงซึ่งเหลือจากการที่คนตัวใหญ่อย่างเขานอนหงายในท่วงท่าสบายๆนั้นเหลือไม่พอ ม่อนแจ่มจึงต้องนอนตัวลีบหมิ่นเหม่จะตกเตียง
ร่างกำยำค่อยๆขยับไปใกล้ผนัง พลิกตัวตะแคงขวา ตามองคนที่หลับใหล
นี่ถ้าม่อนแจ่มพลิกนอนหงายขึ้นมา เจ้าตัวตกเตียงแน่นอน ท่อนแขนใหญ่จึงยกขึ้นพาดเอวคอดกันไว้ ไม่ได้ทิ้งน้ำหนัก แต่สัมผัสไว้เบาๆ พอให้คว้าทันถ้าอีกฝ่ายทำท่าจะขยับ
ภายในห้องมืดสลัว แต่แสงไฟทางเดินที่ส่องเข้ามาทางช่องแสงติดฝ้าเพดานก็ทำให้มองเห็นอะไรๆได้ชัดเจน
ม่อนแจ่มยังคงแต่งชุดนักศึกษาเรียบร้อย ผูกเนคไท เข็มขัดคาดเอว และแม้แต่ชายเสื้อก็ไม่ได้เอาออกนอกกางเกง ต่างจากเขาซึ่งปลดทั้งเนคไท ทั้งเข็มขัด และชายเสื้อก็ออกมาอยู่นอกกางเกงให้นอนหลับอย่างสบายๆ
พชรมองใบหน้าขาวที่จมอยู่ในภวังค์ ..เอาจริงๆ เขาคิดถึงสีหน้าแบบนี้เหลือเกิน
เขาคุ้นเคยกับการมองม่อนแจ่มนอนหลับมาตลอดหลายเดือน
ในค่ำคืน เจ้าตัวก็หลับใหลไปพร้อมแว่น พชรยังเป็นคนเดินมาถอดและถือโอกาสพิจมองใบหน้าเรียวใกล้ๆ
ตื่นเช้า.. ในแสงแดดจางๆที่ส่องลอดเข้ามา เขาก็เห็นม่อนแจ่มยังหลับอยู่ ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวออกไปเรียน
ทว่า นี่มันนานกี่วันแล้วที่ไม่ได้เห็น
พชรรู้มาตลอดว่าคิดถึงม่อนแจ่ม แต่ไม่เคยบอกได้เลยว่ามากแค่ไหน
ม่อนแจ่มก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน..
ไม่เช่นนั้น เจ้าตัวคงไม่มานอนอยู่ตรงนี้
ว่าแต่.. นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว?
ม่อนแจ่มมาอยู่ที่นี่ บอกมารดาเจ้าตัวหรือยัง คุณระมิงค์จะเป็นห่วงหรือเปล่า
พชรก้มมองข้อมือเล็ก มีนาฬิกาที่คุณพจน์เคยมอบให้และเขาเป็นคนใส่กลับคืนคล้องอยู่บนนั้น ทว่า พชรมองหน้าปัดไม่เห็นจึงบอกเวลาไม่ได้ แต่ก็น่าจะราวๆทุ่มหนึ่ง เพราะจากหลายวันที่ผ่านมา เขารู้สึกตัวตื่นในเวลาประมาณนี้
พชรไม่ได้ทำอะไร นอกจากนอนมองใบหน้าหลับใหลของคนนอนข้างๆที่ดูเหมือนจะไม่มีทางมองได้เต็มอิ่ม
ฝ่ามือแกร่งทาบไว้กับเอวคอด ..คิดถึงความทรงจำที่มีร่วมกัน ความผูกพันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าทางร่างกายหรืออารมณ์
จนกระทั่ง.. ได้ยินเสียงครางในลำคอเบาๆ และเปลือกตาภายใต้เลนส์แว่นก็ค่อยๆลืมขึ้น
ม่อนแจ่มสะดุ้งน้อยๆเมื่อตื่นมาสบกับดวงตาสีเข้มที่เหมือนจะโดดออกมาจากความสลัวที่รายรอบตัวเป็นสิ่งแรก
“พชร” เสียงเล็กเรียกชื่อ ..บอกได้ยากว่าตั้งใจเรียกหรือมันเป็นเพียงคำประจำตัวที่เปล่งออกมาอย่างเคยชิน
“อืม..” พชรครางรับ ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีใครขยับตัว
“ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้” เสียงเข้มถามเบาๆและม่อนแจ่มก็ตอบไปซื่อๆ
“ก็.. คือ.. นี่เตียงกู”
เออว่ะ.. พชรชะงักไป
จริงๆด้วย นี่คือเตียงม่อนแจ่ม เจ้าตัวนอนบนเตียงของตัวเอง เขาสิ.. นอนอยู่ตรงนี้แทนที่ตั้งกี่วันมาแล้ว
“กูขอโทษ” พชรขยับตัวลุก พยักหน้าอย่างขออภัย
มันก็น่าเสียมารยาทมากจริงๆที่พชรมานอนเตียงม่อนแจ่มโดยไม่ได้ขออนุญาตเลย
“เฮ้ย ไม่เป็นไร!” ร่างเล็กตกใจกับปฏิกิริยา ขยับลุกตาม แล้วก็เกือบจะลงไปนอนวัดพื้น หากแขนแข็งแรงไม่ได้รวบร่างเอาไว้ให้เข้ามาแนบชิดกันได้ทัน
ม่อนแจ่มใจเต้น ลมหายใจกระชั้นขึ้น อธิบายตะกุกตะกัก
“กูไม่ได้หมายความว่าไม่ให้มึงนอน ..นอนได้” เสียงเล็กเสริม “นอนทุกวันเลยก็ได้”
พชรเกือบจะยิ้ม แต่ก็ต้องใช้ฟันขบริมฝีปากไว้
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็.. เมื่อตอนเย็น”
“แล้วนี่ แม่ยังไม่มารับอีกหรือ”
“บอกคุณแม่แล้วว่าวันนี้กลับช้า ..จะมาหอก่อน”
พชรนิ่งไปนิดหนึ่ง ..คุณระมิงค์คงเข้าใจในสิ่งที่ม่อนแจ่มหมายถึง
มาหอก่อน หมายถึง.. มาหาพชรก่อน
และในเมื่อมาตั้งแต่เย็น ม่อนแจ่มก็คงนอนอยู่ท่านี้อย่างน้อยๆก็ร่วมสองสามชั่วโมง
“ปวดแขนหรือเปล่า?”
“ก็.. นิดนึง”
พชรคลายมือที่โอบเอว ละมาสัมผัสเรียวแขนเล็กข้างซ้ายที่ม่อนแจ่มหนุนแทนหมอน นวดให้คลายเมื่อยเบาๆ
“มาทำไมไม่ปลุก”
“ก็.. ไม่อยากปลุก”
ม่อนแจ่มส่ายหน้า ..พชรเห็นตัวเองหลับหรือเปล่าเถอะ ดูต้องการการพักผ่อนเสียขนาดนั้น จะปลุกลงได้ยังไง
“แล้วนี่.. หิวหรือยัง”
ค่ำจัดป่านนี้แล้ว..“ก็..” ม่อนแจ่มเผลอเอามือลูบท้อง ศีรษะพยัก “หิว”
“กินอะไร กูไปซื้อมาให้” พชรอาสา แต่ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก
“ไม่เอา ..ไปกินด้วยกันได้ไหม”
อ่า..
นั่นสินะ ..ไปกินด้วยกันคงดีกว่า
“งั้นก็.. ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ”
ม่อนแจ่มค่อยๆขยับลงจากเตียง ก่อนที่พชรจะตามลงมา ค้อมศีรษะไว้ด้วย
มือใหญ่กดเปิดสวิชต์ไฟให้ห้องสว่าง ..คนสองคนเห็นกันชัดเจนขึ้น ..หยุดมองกันชั่วขณะ
มันราวกับว่าพวกเขาพบกันอยู่ทุกวัน ..มองกันแบบนี้ ในห้องนี้ทุกวัน
แต่อีกทีหนึ่ง.. ก็เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้พบกันมานานแล้ว และผ่านความรู้สึกที่เหมือนว่าจะไม่ได้พบกันในห้องนี้อีกเลย ..เฉียดที่จะไม่ได้ยืนมองกันแบบนี้อีกแล้ว
“พชร..”
ม่อนแจ่มเรียกอีกครั้ง ทั้งที่ยังไม่มีอะไรจะพูด
ความรู้สึกมันมากเกินไปจนเขาไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แต่พชรเข้าใจและแววตาที่มองมาก็บอกชัดว่าไม่ได้รู้สึกต่างกันเลย
ร่างกำยำขยับเข้ามาใกล้ โอบไหล่เล็กแนบลำตัว กอดกระชับแน่นจนอีกฝ่ายแทบจะจมหายไปในแผ่นอก ฝ่ามือใหญ่อีกข้างทาบเรือนผมประทับน้ำหนักลง
ม่อนแจ่มซบหน้ากับกลิ่นกายที่คุ้นเคย มือข้างหนึ่งทาบอกพชร อีกข้างยกขึ้นกอดเอวหนาตอบรับสัมผัส
คิดถึง..
คิดถึงมากเหลือเกิน..
อ้อมกอดพชรอบอุ่นเหมือนที่เคยรู้สึก จริงจังอย่างที่ยังจำได้
อ้อมกอดนี้บอกว่าพชรคิดถึง.. บอกว่าไม่เป็นไร.. ปลอบโยน.. ปลอบใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทั้งสองคนได้ผ่านกันมา
“คุณน้าลดาดีขึ้นหรือยัง พชร”
ม่อนแจ่มถามอู้อี้ ..ภาพสุดท้ายของมารดาเจ้าของหัวใจที่เขาเห็นคือท่านมีผ้าพันข้อเท้าและม่อนแจ่มก็อยากจะถามถึงมาหลายคราแล้ว
“ดีขึ้นมาก” เสียมเข้มตอบ “มึงไม่ต้องกังวล”
..ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น..
พชรละออกมานิดหนึ่งพอให้มองหน้าอีกฝ่ายได้
แววตาม่อนแจ่มยังคงมีความรู้สึกผิดเร้นอยู่ ทว่า ก็ไม่ได้ชัดแจ้งเหมือนที่เห็นเมื่อวาน
วันนี้.. มันมีความผ่อนคลาย มีความมั่นใจ มีประกายเกือบจะเป็นแบบเดิมที่เคยมองเห็นเสมอ
พชรโน้มหน้าลงไป อยากจะมองให้ชัดขึ้น ..หรืออาจจะอยากสัมผัสริมฝีปากอิ่มที่อยู่ใต้จมูกรั้น และคราวนี้ ม่อนแจ่มก็ไม่ได้หลบเลี่ยง.. ไม่ได้คัดค้านอะไรเลย.. กลับแหงนหน้าขึ้น เต็มใจกับอะไรก็ตามที่พชรจะทำ
“โอ๊ะ!”ประตูเปิดออก ..แล้วก็เป็นไอดิลที่อุทานตกใจ พลางละล่ำละลั่กเมื่อตระหนักว่าอะไรเป็นอะไร
“เหี้ย ท..โทษ กูขอโทษ!”
คืออย่างนี้.. ไอดิลรออยู่ที่ห้องหมอกนานแล้ว เขาอยากเข้ามาหยิบขลุ่ยไปเป่าพร้อมหมอกเล่นกีต้าร์ แต่ตราบเท่าที่ไฟยังไม่เปิด เขาก็กลัวว่าจะขัดจังหวะส่วนตัวของรูมเมททั้งสอง ซึ่งเมื่อไฟเปิดแล้วเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ เขาเลยนึกว่าตัวเองน่าจะเข้ามาได้..
“กูขอเวลาแป๊ปเดียว”
ไอดิลวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามา ปีนขึ้นบันไดเตียงสองชั้น เอื้อมหยิบขลุ่ยใต้หมอนรวดเร็ว และออกจากห้องปิดประตูอย่างเร็วกว่า มิวายจะเปิดมาบอกอีกครั้ง
“คิดซะว่ากูเป็นแมงหวี่ บินเข้ามาและบินออกไปแล้ว” รูมเมทสิ่งแวดล้อมว่าหอบๆ สีหน้าสำนึกราวกับเพิ่งทำความผิดมหันต์ลงไป
“มึงสองคนต่อเลยนะ กูขอร้อง
..ต่อจากเมื่อกี๊เลย” ม่อนแจ่มกับพชรผละออกจากกัน มองไอดิล ก่อนจะหันมามองกันเองและหลุดหัวเราะอย่างเก้อเขิน
ไอดิลจะบ้าหรือ ..มันจะต่อได้ยังไงกัน!
ความขำไอดิลที่ดูบ้าๆบอๆ ทำให้ม่อนแจ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย หลังจากที่ตอนแรกรู้สึกว่าเป็นขี้ผึ้งเมื่ออยู่ในอ้อมกอดพชร
“ไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงเล็กเอ่ยชวน ซึ่งคนฟังก็พยักหน้า
แล้วก็เหมือนเคย พชรเป็นคนเปิดประตูค้างไว้ ปล่อยให้ม่อนแจ่มออกจากห้องก่อน แล้วถึงค่อยเดินออกบ้างและปิดประตูตามหลัง
ร่างเล็กหยุดหน้าห้องสามสามหก หันมองพชรเป็นทำนองขอให้รอ แล้วมือขาวจึงยกขึ้นเคาะ
“ไอ้ดิ้ล ไอ้ดิ้ล”
ไม่กี่อึดใจ.. เพื่อนรักก็โผล่ออกมา ม่อนแจ่มพยักหน้าทักทายหมอกที่นั่งกอดกีต้าร์อยู่ ณ กรอบประตูระเบียง
“กูจะไปกินข้าว มึงกินหรือยัง เอาอะไรไหม?”
ไอดิลส่ายหน้า มองม่อนแจ่มแบบไม่สบายใจ กระซิบใส่เบาๆ “ตกลงพวกมึงไม่ต่อเหรอ ..กูขอโทษว่ะ กูสัญญาว่าต่อไปจะเคาะประตู”
“ไม่เป็นไร มึงนี่” ม่อนแจ่มขำ ส่ายหน้าบางๆ บีบไหล่ไอดิลให้เจ้าตัวสบายใจ
ไม่เป็นไรหรอก.. ม่อนแจ่มพูดจริงๆ เขากับพชรยังมีเวลา ตราบที่ความรู้สึกยังมีให้กันแบบนี้
สองร่างเดินเคียงกันมาตามทางเดิน ลงบันได ไร้คำพูด
ม่อนแจ่มอมยิ้มอย่างไม่ตั้งใจ พชรไม่ได้ยิ้ม อย่างไรก็ตาม สีหน้าเรียบเฉยนั้นเป็นเรียบเฉยแบบผ่อนคลาย ไม่ใช่เรียบเฉยแบบแบกโลกดังหลายเดือนที่ผ่านมา
“พชร อยากกินอะไร” ม่อนแจ่มเอี้ยวหน้าหันมอง
“อะไรก็ได้”
..คำตอบยอดฮิต และสำหรับคนแบบพชรแล้ว ยิ่งไม่น่าแปลกใจที่จะตอบแบบนี้
“แล้ว.. จะกินที่ไหน” ม่อนแจ่มถามอีก
“ที่ไหนก็ได้”
เอ่อม..
“โรงอาหารไหม หรืออยากไปแถวหลังมอ?” ม่อนแจ่มพยายามตีกรอบให้แคบลงมา
“แล้วแต่เลย”
..
ม่อนแจ่มกลอกตาไปมา เลือกตัดสินใจเอง
“งั้นไปหลังมอละกันนะ”
ไม่ใช่อะไรหรอก กินที่โรงอาหารมันแป๊ปเดียวไง ม่อนแจ่มอยากกินนานๆ แหะๆ..
พชรพยักหน้ารับ เดินลิ่วๆนำไปที่ลานจอดรถ ล้วงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ทำท่าจะไปเอารถออกมารอ ทว่า ม่อนแจ่มวิ่งมารั้งแขนไว้
“พชร เดินไปได้ไหม”
หน้าคมหันมาเลิกคิ้ว “เดินหรือ?”
“ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากนั่งมอร์’ไซค์นะ” ม่อนแจ่มรีบปฏิเสธ กลัวพชรเข้าใจผิด
“คือ.. ถ้านั่งมอร์’ไซค์ เดี๋ยว.. เดี๋ยวมันถึงเร็วอะ กูอยาก แบบว่า..”
ม่อนแจ่มพูดตรงไปไหม? หรือมันไม่ตรงวะ?
“พชรเข้าใจใช่ไหม”
..
คนถูกถามพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ..เข้าใจดี
ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันน้อยๆ สะกดกลั้นรอยยิ้ม เสมองระยะทางกว่าจะถึงประตูใหญ่หลังมอ
“เดินไหวแน่นะ”
ให้ตายเถอะ ..ม่อนแจ่มโดนสบประมาทอีกแล้ว
“ให้กูเดินไปตีลังกาไปยังได้เลย ลองดูไหม?”
“อย่าลำบากเลย” พชรออกปากปฏิเสธคนช่างพูดเกินจริง
ร่างกำยำเดินทอดขาช้ากว่าปกวิสัย เพื่อไม่ให้อีกคนต้องเร่งฝีเท้าตามมากนัก แม้กระนั้น พชรก็สังเกตเห็น ม่อนแจ่มพยายามเดินเร็วเต็มฝีเท้าเพื่อเคียงข้างเขาให้ได้
“กูมีเพื่อนอยู่หอสี่ด้วยนะ” เสียงเล็กคุยขณะเดินผ่านหอสี่ชาย
“ชื่อไอ้พี อยู่ชมรมเดียวกัน มันวาดรูปเก่ง เรียนเอกเดียวกับไอ้ดิ้ล”
พชรพยักหน้า..
แล้วม่อนแจ่มก็พูดอีกเมื่อข้ามถนนมาถึงหน้าคณะตนเอง ป้ายใหญ่วิศวฯ ม.ช. เด่นอยู่ตรงหน้า
“ที่ภาคกูมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ชื่อไอ้เมษหนึ่งกับไอ้เมถสอง ชื่อออกเสียงเหมือนกัน แต่สะกดคนละตัวน่ะ เลยต้องเอาเลขเข้าช่วย จะได้รู้ว่าเรียกคนไหน ..ก็สองคนที่มึงเห็นวันนั้นน่ะแหละ”
อ้อ..
พชรพยักหน้า ..สองคนที่ผลักม่อนแจ่ม
นึกถึงข้อนี้ พชรพ่นลมหายใจหงุดหงิดนิดๆ ซึ่งม่อนแจ่มก็จับสังเกตความรู้สึกได้
“มึงอย่าโกรธเลย พวกมันนิสัยดีนะ แค่ขี้แกล้งไปหน่อย เพื่อนๆเรียกว่าแฝดนรก แต่ไม่ใช่แฝดจริงๆหรอก มันเป็นเพื่อนสนิท บ้านอยู่ติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วชื่อเล่นก็ดันเหมือนกันอีก เราเลยเรียกแฝด แล้วจากระดับความกวนตีน โดยเฉพาะไอ้เมษหนึ่ง พวกมันเลยได้บรรดาศักดิ์คำว่านรกเพิ่มไปอีกคำน่ะ”
อ่าฮะ..
พชรพยักหน้า ไม่ได้ให้ความเห็น ไม่ได้ถามเพิ่มเติม แต่ส่งสัญญาณให้รู้ว่ากำลังฟัง
ม่อนแจ่มหันมองสีหน้าเรียบๆของคนเดินข้างๆ “มึงไม่คุยอะไรบ้างเหรอ..”
ยังไงล่ะ..
ก็..
“ไม่รู้จะคุยอะไร”
ม่อนแจ่มทำหน้ายุ่งยากใจ
“กูพูดมากแบบนี้ มึงรำคาญหรือเปล่า”
ไม่.. พชรส่ายหน้า พร้อมกับหันมามองเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจในคำพูดของเขา
“พูดมาเถอะ ..กูถนัดฟัง”
อะ..
ริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้ม ..ทำไมคนไม่ค่อยพูด พูดแล้ว มันเขินจัง
ม่อนแจ่มรู้ว่าพชรไม่ได้ตั้งใจให้เขาเขิน พชรแค่บอกตรงๆอย่างที่เจ้าตัวเป็น
“ปกติ พชรชอบอ่านหนังสือใช่ไหม”
“ก็.. อ่านเวลาว่าง”
ม่อนแจ่มนึกถึงโต๊ะเขียนหนังสือใกล้เตียงเดี่ยวในห้องสามสามแปดที่มีหนังสือวางซ้อนกันอยู่หลายเล่ม
พชรก็คือพชร ไม่ทำงาน ก็ไปเรียน ไม่ไปเรียนก็อ่านหนังสือ ไม่เคยเห็นจะปล่อยเวลาว่างให้หมดไปเปล่าๆ
“หนังสือบนโต๊ะ ..ขอยืมอ่านบ้างได้ไหม”
พชรถึงกับต้องนึกตามสิ่งที่คนพูดหมายถึง
หนังสือบนโต๊ะ อ่า.. ใช่สินะ มีทั้งที่ประกอบการเรียนและที่หามาไว้อ่านเองด้วยชอบเนื้อหา
ม่อนแจ่มจะยืมอ่านหรือ? ก็.. ไม่มีปัญหานี่
“อยากอ่านเล่มไหนก็เอาไป”
ร่างเล็กรู้สึกว่าหัวใจมันพองฟูขึ้น
คือ.. มันก็เป็นคำอนุญาตธรรมดา มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้หนักหนาอะไรกับการที่เขาขอยืมหนังสืออ่าน แล้วพชรก็อนุญาต แต่ไม่รู้สิ มัน..
“อยากอ่านเล่มไหนก็เอาไป”ยังไงก็พิเศษ
หรือเพราะเป็นคำพูดของคนพิเศษ ..มันเลยพิเศษ
เป็นการเดินช้าๆที่รู้สึกว่าเร็วมาก.. แป๊ปเดียว ขาสองคู่ก็ก้าวมาถึงประตูใหญ่ที่มีรถเข้าออกเกือบตลอดเวลานี้แล้ว
ก่อนที่จะข้ามถนนไปยังฝั่งที่มีอาหารขายเรียงรายริมรั้ว กลับเป็นพชรที่จู่ๆพูดออกมา
“อย่าเดินมาคนเดียวนะ”
ยังไง..
ม่อนแจ่มหันมองคนพูดอย่างแปลกใจ พชรจึงย้ำ
“อย่าเดินมาแบบนี้คนเดียว”
“กูเป็นผู้ชายนะพชร” ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่คิดว่านั่นเป็นข้อจำกัดต่อคำขอของเขา
“รับปากกู”
ห๊ะ..
ม่อนแจ่มลังเลนิดหนึ่ง ขณะพชรหันมามองอย่างรอคำยืนยัน
คนตรงหน้าอาจไม่เคยตั้งใจบังคับเรื่องใดๆก็จริง แต่พูดก็พูดเถอะ.. ม่อนแจ่มว่าพชรถนัดมากเลยล่ะในเรื่องการ ‘สั่ง’
ใบหน้าเรียวยู่ยี่เล็กน้อย รู้สึกว่าการยอมจำนนรับปากว่าจะไม่เดินมาหลังมอคนเดียวราวกับตัวเขาเป็นสาวน้อยนั้นมัน..
พชรมักจะไม่พูดอะไรเสริม ม่อนแจ่มจึงต้องพยายามทำความเข้าใจคำพูดอีกฝ่ายเอาเอง
ร่างเล็กหันหลังกลับไปมองถนนมืดๆที่เดินผ่านมา จริงอยู่ที่มีไฟรายทาง ทว่า ก็ไม่ได้สว่างไสวเท่ากันทุกจุด ซ้ำหากดึกกว่านี้ก็คงเปลี่ยว ซึ่งอันที่จริงเพื่อนนักศึกษาหญิงก็ได้รับการเตือนไม่ให้เดินไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้วในตอนกลางคืน แต่.. ม่อนแจ่มเป็นผู้ชายนะ แม้จะตัวเท่าเปี๊ยกแต่ก็เป็นผู้ชาย
มือเรียวขยับแว่นนิดหนึ่ง หันกลับมามองพชรซึ่งสีหน้ายังคงเหมือนเดิม เรียบเฉย แต่รอคอย และในดวงตาคู่นั้น ม่อนแจ่มเห็นความเป็นห่วงเป็นใย..
ตอนที่สองเพื่อนเครื่องกลผลักเขา แววตาพชรไม่เหมือนเดิมเลย มันแข็งกร้าวและพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่ เหมือนว่าจะทนไม่ได้ ถ้าคิดว่าเขา ..ม่อนแจ่ม ต้องเจ็บตัว
แล้วตอนนี้.. พชรพูด เพราะพชรห่วง แล้วความห่วงใยก็คงไม่ได้จำกัดเพศ
“อื้อ” หน้าเรียวพยักหนักๆในที่สุด
“กูรับปาก”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .