CHAPTER 29: What Love Is Like เสียงโหวกเหวกดังใต้อาคารเรียน ในเวลาเกือบสี่โมงเย็นซึ่งส่วนใหญ่เลิกเรียนลงมาก่อนเวลาเล็กน้อย
หนุ่มสาวเสื้อน้ำเงินและเสื้อนักศึกษาสีขาว บ้างนั่ง บ้างนอน บ้างเดินสวนกันประปราย
โต๊ะนี้ก็เช่นกัน เมษา เมถุน พีระศิลป์และกวีกานต์เป็นผู้ถือครอง
“ไอ้ม่อนแม่งช้าว่ะ กูจะชวนไปอาร์ทติส เย็นนี้ประชุมจัดนิทรรศการเนี่ย”
พีระศิลป์บ่น มองนาฬิกาอย่างมีอารมณ์ “เดี๋ยวโบกแม่งเลย เตี้ยนั่น”
“อย่าโบกดีกว่า” เมถุนแนะนำ และเมษาก็เห็นด้วย
“ถูก กูไม่กล้ามีเรื่องกับไอ้ม่อนหรอก”
“อะไร? ทำไมของพวกมึง” ไอดิลเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมาถามด้วยความฉงน
ไม่เคยมีประวัติว่าม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกลมีพิษสงอะไรมาก่อนเลยนี่นา
“มึงไม่รู้อะไร..” เมษารีบบอกและเสริม “กิ๊กไอ้ม่อนอยู่มนุษยฯ แล้วไม่ใช่มนุษยฯธรรมดานะเว้ย แม่งเป็นมนุษย์ครึ่งยักษ์!”
ห๊ะ..
อะไร
ยังไงนะ?
ไอดิลพยายามจับประเด็น ขณะเมษาเอ่ยต่อ
“นี่ถ้าเมื่อบ่าย ไอ้ม่อนไม่ได้บอกว่าพวกกูเป็นเพื่อน แต่บอกว่าเป็นคู่อริ เหี้ย กูกับไอ้เมถคงโดนกระทืบตายคาคณะไปแล้ว”
เดี๋ยว เดี๋ยว..
ไอดิลยังไม่รู้เรื่อง
“พวกมึงพูดถึงใคร?”
“ก็คนที่มาหาไอ้ม่อน ที่ชื่อพชรน่ะ”
พรวด!หนุ่มสิ่งแวดล้อมสำลักน้ำ
อะไรนะ? เอาใหม่ซิ
“พชรเหรอ..”
“ช่าย.. พชร” เมถุนตอบรับพร้อมเสริมบรรดาศักดิ์ “พชร มนุษยฯปรัชญา”
..และนั่นทำให้สมาชิกเตียงบนห้องสามสามแปดผุดลุกขึ้นยืน ตะโกนลั่น
“พชรมาหาไอ้ม่อนเหรอวะ? ที่คณะเนี่ยเหรอ!”เดี๋ยว..
“มึงก็รู้จักท่านพชรนี่เหรอ ไอดิล?” เมษาถาม สีหน้าอยากรู้อยากเห็น ค่อนข้างต้องการประเด็นเพิ่มเติม
ทว่า เพื่อนต่างสาขาวิชาไม่ตอบ กลับถามซ้ำ
“พชรมาหาไอ้ม่อนเหรอ ไอ้เมษหนึ่ง ไอ้เมถสอง มึงบอกกูมาเร็ว!”
“เออ.. ก็ ใช่” เมถุนพยักหน้ายืนยัน “มาที่ภาคเมื่อเที่ยง แล้วก็รอถึงบ่ายสอง ประมาณนั้น”
“เหี้ยยย!”
ไอดิลสบถ แต่หน้ายิ้ม แทบจะวาดลีลาเต้นไปรอบๆโต๊ะ ทั้งเอ่ย ทั้งสบถ ทั้งโห่ฮิ้วอย่างเมามันส์จนเพื่อนนักศึกษาหันมามองเป็นตาเดียว
“ไอ้เหี้ย พชรไปรีบูทอะไรมา ทั้งๆที่ทุกวันกูแทบจะหมอบกราบให้มันยอมรับความรู้สึกตัวเอง แม่งเอ๊ย! คุณพระคุณเจ้าประทานจริงๆ โว้วว! ต้องรีบบอกหมอกด่วนๆ”
..
..
“เป็นอะไรของมึงน่ะ..”
ม่อนแจ่มที่เพิ่งตามมาสมทบที่โต๊ะหรี่ตากับท่าทีประหลาดของคู่ซี๊
ไอดิลจะปาร์ตี้ขนมอีกแล้วหรือไง? เขาไม่เอาด้วยหรอกนะ ไม่มีอารมณ์
อย่างไรก็ตาม เพื่อนรักหันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์แกมหาเรื่องใส่
“ข่าวล่ามาแรงขนาดนี้ มึงไม่บอกกูสักคำเลยนะครับ เพื่อนม่อน..”
..
..
“มันแค่ อ..เอานาฬิกามาให้กู” ม่อนแจ่มกัดริมฝีปากน้อยๆ หน้าแดงจัด ยื่นข้อมือให้ไอดิลดูสั่นๆหลังจากถูกรบเร้าเสียหลายคำ
ไอดิลก้มมองนาฬิกาข้อมือ
ก็.. ใช่..
นี่นาฬิกาของม่อนแจ่ม ไอดิลจำได้
แต่..
“มึงจะบ้าเหรอไอ้ม่อน เอานาฬิกามาให้เนี่ยนะ..”
“เอ้อ ก็..” ม่อนแจ่มอึกอัก
“มันบอกว่า เออ.. กูจะได้ดูเวลาง่ายๆน่ะ คือ.. กูวางทิ้งไว้บนโต๊ะไง”
“โอ๊ย!” ไอดิลโคลงศีรษะ
“ถ้ามันห่วงเรื่องนั้น มันฝากกูมาให้ก็ได้ไหม มึงจะวางบนโต๊ะ ข้างตู้ หรือใต้เตียง กูก็เอามาให้ได้ทั้งนั้นแหละ”
ม่อนแจ่มนิ่งไป ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี..
ไอดิลทั้งอยากขำ ทั้งอยากร้องไห้ “ทีงี้ เสือกไม่คิดเข้าข้างตัวเองขึ้นมานะ เพื่อนกู”
เอาเถอะๆ.. ไอดิลไม่อยากบ่น เขาอยากรู้ต่อ
“แล้วพชรว่าไงอีก?”
“ก็.. ก็แค่นั้นแหละ”
เฮ้ย ไม่ได้สิ!
“ไอ้ม่อน มึงไม่รู้หรือไง ทุกวันนี้ ชีวิตกูในห้องสามสามแปดเป็นยังไง?” ไอดิลกระตุ้น
“แม่งสงัดเงียบ วิเวกโหวงเหวง วังเวงอย่างกับพักอาศัยในสุสาน เพราะงั้น พชรพูดอะไรบ้าง บอกกูมาให้หมด เอาทุกคำเลยนะมึง”
อ..
ม่อนแจ่มอ้าปากค้าง
จริงสินะ.. ในห้องสามสามแปดก็มีแต่เขากับไอดิลพูดกันสองคนเป็นส่วนใหญ่ ขาดเขาไป ไอดิลคง..
แต่ยังไงก็เถอะ.. ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย
“พชรพูดแค่นั้นจริงๆ ..ไม่ได้ว่าอะไรอีก”
ห๊ะ..
“เดี๋ยวนะ.. กูขอสรุป” คนรอฟังสีหน้าผิดหวัง
“พชรอุตส่าห์มาหามึงถึงคณะ ..เพื่อเอานาฬิกามาให้ บอกว่ามึงจะได้ดูเวลาง่ายๆ ..แค่นี้เหรอวะ”
“ฮื่อ..” ม่อนแจ่มพยักหน้า
โอย.. ไอดิลอยากจะลาตาย
“ไป” เขาคว้าแขนม่อนแจ่ม
“ไปไหน”
“กลับหอ”
“ม..ไม่เอา”
“กลับเถอะ” ไอดิลย้ำ
“พชรอยู่หอตลอดตอนนี้น่ะ เช้าก็ออกไปช้า เย็นก็กลับมาเร็ว แล้วแทบไม่ออกจากห้องไปไหนเลยด้วย”
..
..
ม่อนแจ่มทำหน้าไม่ถูก
ปกติพชรออกจากห้องก่อนใคร ..และกลับเข้ามาเป็นคนสุดท้ายเสมอ
แบบนี้..
ไม่ต้องบอกก็รู้..
“พชรรอมึง ไอ้ม่อน”
ม่อนแจ่มกัดริมฝีปาก
เขารู้ แต่ว่า..
"กูไม่ไป"
ม่อนแจ่มไปไม่ได้..
จะให้กลับไป ..ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..เหมือนไม่มีความจริงใดต้องรับผิดชอบ
ต้องยอมรับว่า.. ม่อนแจ่มยังไม่อาจทำใจ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ฮึ่ย!”ไอดิลเคาะประตูห้องสามสามหก และทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็เดินกระแทกเท้าสวนเข้าไป จนเจ้าของห้องต้องเอ่ยปากถาม
“ไปหงุดหงิดอะไรมา หืม?”
“ก็ไอ้สองคนนั้นน่ะสิ!”
สองคนนั้น?
ไอหมอกหรี่ตา แต่แล้วก็นึกได้..
“พชรกับม่อนเหรอ?”
ไอดิลพ่นลมหายใจ “จะใครซะอีก”
“คราวนี้ทำไมอีกล่ะ” ไอหมอกเข้ามาตบไหล่ ไล่เรียงประเด็นที่คนรักพร่ำบ่นมาหลายวัน
“พชรนอนหลับบนเตียงม่อน? ม่อนทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก? ม่อนวาดรูปพชร? พชรมองรูปที่ม่อนวาด?”
หงึ!
“พชรไปหาไอม่อนที่คณะ” ไอดิลบอกสถานการณ์ล่าสุดให้รู้
“เฮ้ย อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ”
“ตอนแรกกูก็คิดงั้นล่ะ..”
เอ่อม..
“แล้วตอนหลัง..?”
“มึงรู้ไหมมันไปทำไม” ไอดิลตั้งคำถาม หน้าตาเอาเรื่อง
“ไป เอ่อ..” คนถูกถามขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าควรคาดคะเนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไอดิลไม่รอฟังคำตอบ ด้วยจริงๆไม่ได้ต้องการถาม เพียงแต่ต้องการเล่าและระบายความอึดอัด
“มันเอานาฬิกาไปให้ไอ้ม่อน”
นาฬิกา?
ไอหมอกเลิกคิ้วงุนงง ไอดิลจึงย้ำ เอานิ้วจิ้มข้อมือตนเอง
“นาฬิกาน่ะ นาฬิกาที่ไอ้ม่อนใส่ประจำ”
อ้อ..
โอเค.. นั่นก็เป็นเรื่องราวดีๆนี่นา
“แล้ว.. ยังไงต่อ” ไอหมอกตั้งคำถามปลายเปิด ..เปิดโอกาสให้ไอดิลระเบิดออกมา
“แล้วก็ไม่ยังไงต่อ! แล้วก็แค่นั้น! มันเอานาฬิกาไปให้ บอกว่าไอ้ม่อนจะได้ดูเวลาง่ายๆ มันพูดแค่เนี้ย หมอก มึงรู้ไหม..”
..
“ทุกวันกูเห็นพชรดูรูปที่ไอ้ม่อนวาด จ้องผนังอยู่ได้เป็นชั่วโมง มันนอนเตียงไอ้ม่อน มัน มันคิดถึงไอ้ม่อน!”
..
“มันอุตส่าห์ไปถึงคณะแล้ว แต่มึงดูสิ่งที่มันทำ มันเอานาฬิกาไปให้ บอกไอ้ม่อนจะได้ดูเวลาง่ายๆ กูอยากจะบ้าตาย!”
ฮ่ะๆ..
ไอหมอกพยายามกลั้นหัวเราะ ขณะทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจและพร้อมรับฟัง
“ไอ้ม่อนก็อีก..” ไอดิลพล่ามต่อ
“ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ทั้งวัน นี่พชรอุตส่าห์มาหา แม่งก็เสือกไม่เข้าข้างตัวเองสักนิด ดันเชื่อว่าแค่เอานาฬิกามาให้
กูชวนกลับหอก็ไม่มา ทั้งๆที่มันก็คิดถึงพชรแทบจะบ้าอยู่แล้ว โอ๊ย ทำไมสองคนนั้นไม่พูดกันตรงๆให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปนะ”
“ดิ้ล.. ไม่เอาน่า” ไอหมอกช่วยสงบสติอารมณ์ แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ทันฟัง
“เอ้อ! กูนึกออกแล้ว ว่าจะทำไงดี” ไอดิลปิ๊งไอเดีย “หมอก มึงสอนพชรจีบไอ้ม่อนหน่อย!”
ห๊ะ..
“สอนจีบเนี่ยนะ”
“ก็ใช่ไง” ไอดิลยืนยัน “พชรพูดไม่เก่ง จีบก็คงไม่เป็นด้วย มึงสอนมันหน่อยสิ”
“ดิ้ล..” ไอหมอกลากเสียง เตือนความจำ “พชรกับม่อนน่ะเขาไปถึงไหนกันแล้วนะ”
“ถึงไหนล่ะ?” ไอดิลเถียง “มึงดูมันสองคนสิ ไม่เห็นถึงไหนสักอย่าง กูว่ามึงสอนพชรดีกว่า แบบว่า.. พูดยังไง จีบยังไง อะไรง่ายๆที่ใครเขาทำกันอะ แบบ.. แบบตอนที่มึงจีบกูไง”
ฮ่ะๆ!
ไอหมอกหัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว จนไอดิลขมวดคิ้ว
“หัวเราะทำไม”
“นี่ดิ้ล..” ไอหมอกพยายามอธิบาย “กูเข้าใจนะว่าม่อนเป็นเพื่อนรักมึง มึงอยากให้ม่อนสมหวัง”
“ก็ใช่ไง”
“..ก็เลยจะให้กูสอนพชรจีบม่อนเป็นเรื่องเป็นราว”
“ถูกต้องนะครับ” ไอดิลพยักหน้ารับหงึกหงัก
“แต่.. มึงรู้หรือเปล่าว่าม่อนรู้สึกยังไงกับพชร”
รู้สิ..
ไอดิลรีบบอกอย่างมั่นใจ “ก็ไอ้ม่อนมันรั-”
“ใช่” ไอหมอกยกมือขึ้นทาบปิดปากไอดิลไว้
“แล้วตั้งแต่เริ่มต้นที่ม่อนรู้สึกแบบนั้นกับพชร กูก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”
..
“กูไม่เกี่ยว มึงไม่เกี่ยว คนเดียวที่เกี่ยวกับความรู้สึกม่อนคือพชร” ไอหมอกยักไหล่
“ม่อนรู้สึกแบบนั้นกับพชร ก็เพราะพชรคือพชร เพราะพชรเป็นแบบนั้น เพราะสิ่ง เพราะแบบที่พชรเป็น แล้วมึงจะให้กูพยายามเตี๊ยมหรือโน้มน้าวให้พชรเป็นแบบอื่นได้ยังไง?”
ก็ใช่..
แต่..
“พชรมันไม่ค่อยพูด กูเลยคิดว่าเราควรช่วย..”
“มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อพชรไม่พร้อมพูด แล้วแม้แต่ม่อนเองก็อาจจะยังไม่พร้อมฟัง?”
ไอดิลคิดตาม..
“จำคำที่ม่อนฝากไว้คืนนั้นได้ไหม? ม่อนบอกว่า ม่อนกับแม่ขอโทษพชรสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แปลว่านี่เป็นเรื่องที่มีครอบครัวเข้ามาเกี่ยว ซึ่งมันละเอียดอ่อน ตรงนี้ กูว่าต้องเห็นใจ ต้องให้เวลา”
ไอหมอกเอ่ยแค่นั้น หลีกเลี่ยงที่จะเสริมว่า.. วันที่พชรไหว้วานให้เขานั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเจ้าตัวเพื่อรับมารดาที่บาดเจ็บ แล้วขี่มอเตอร์ไชค์กลับมายังหอพักให้นั้น ..ไอหมอกไปที่ PP Group ซึ่งจากคำบอกเล่าของไอดิลตั้งแต่ต้นเทอม ..นั่นคือบริษัทบิดาของม่อนแจ่ม ..คงมีอะไรบางอย่างระหว่างสองครอบครัว
“อยู่ที่คณะ กูก็สงสารไอ้ม่อน พอกลับมาห้อง กูก็สงสารพชร” ไอดิลเล่าสีหน้าหงอย
“กูไม่รู้ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง..”
“กูเข้าใจ” ไอหมอกยิ้ม บีบไหล่หนักๆ
“แต่ปัญหาเป็นของเขานะ เราช่วยแก้ไม่ได้หรอกดิ้ล ที่ทำได้คือทำหน้าที่ของเพื่อน ดูแลให้กำลังใจเพื่อน ไม่ว่าจะกับม่อนที่คณะ หรือพชรที่ห้อง”
..
..
“อื้อ..” ไอดิลถอนใจ พยักหน้าในที่สุด “..หวังว่าพวกมันจะเข้าใจกันเร็วๆนะ”
“แล้วอะไรบอกมึงว่าสองคนนั้นไม่เข้าใจกัน?” ไอหมอกเห็นต่าง
“ก็..” ไอดิลอึกอัก
“การที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันหรือไม่ได้พูดอะไรกันตรงๆน่ะเหรอ”
..
“ไม่รู้สินะ กูกลับคิดว่า.. ม่อนกับพชรเข้าใจกันดี..”
.
.
“ฮื่อ..” ไอดิลเชื่อ
“แต่กูก็อยากเข้าใจด้วยคนไง”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“อืม..” เสียงเข้มครางในลำคอ ดวงตาลืมขึ้นในแสงไฟนีออนสาดสว่างทั่วห้อง
“กูเปิดไฟทำมึงตื่นหรือเปล่า โทษที”
เสียงไอดิล..
พชรค่อยๆยันตัวลุก มองเห็นรูมเมทสิ่งแวดล้อมยืนอยู่ใกล้สวิชต์ไฟ ดวงหน้าคมส่ายไปมาช้าๆ
“เปิดได้เลย”
เขานอนผิดเวลาเอง ไม่ใช่ความผิดไอดิล นี่มันมืดแล้ว เขาสิ ควรต้องเกรงใจถ้าไม่ให้เปิดไฟ
“กูซื้อข้าวมาฝากนะ อยู่บนโต๊ะมึง เอ้อ.. หรือจะให้วางโต๊ะไอ้ม่อน?”
ไอดิลไม่ใคร่แน่ใจ เพราะเหมือนเคย พชรนอนบนเตียงม่อนแจ่ม ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง โต๊ะที่ใกล้ตัวพชรที่สุดก็คือโต๊ะม่อนแจ่มนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม พชรส่ายหน้าอีกครั้ง ..คำว่า ‘ม่อน’ ได้ยินทีไรก็รู้สึกหน่วงในหัวใจได้มากมายนัก
“ไม่ต้องซื้อมาเผื่อทุกวันก็ได้” เสียงเข้มค่อยๆเอ่ย “เกรงใจ”
“ไม่ได้หรอก” ไอดิลส่ายหน้าดิก “ไอ้ม่อนห่วงมึงมาก กูไม่ทำไม่ได้ เดี๋ยวไอ้ม่อนโบก”
พชรชะงักไป..
นี่คือ.. ไอดิลตั้งใจจะพูดถึงม่อนตลอดเวลาเลยใช่ไหม
ร่างสูงก้มศีรษะเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเตียง คว้าผ้าขนหนูที่ระเบียงมาพาดบ่า มือจับลูกบิดประตูเปิดห้อง
ทางเดินค่อนข้างโล่ง แล้วพชรก็ไม่เคยรู้สึกว่าหอสามชายเงียบเชียบขนาดนี้มาก่อนเลย..
“พชร” ไอดิลเรียกไว้ก่อนที่ร่างกำยำนั้นจะผ่านประตูออกไป
สีหน้าเรียบเฉยหันกลับมามอง เลิกคิ้วน้อยๆ
“พ่อกูมาเชียงใหม่ พรุ่งนี้เย็นๆ ถ้ามึงอยู่หอก็ไปหวัดดีพ่อกูหน่อยนะ”
ได้สิ.. เขายินดีอยู่แล้ว
แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก แต่เพื่อนร่วมห้องเป็นคนดีมีน้ำใจ พชรเต็มใจอยู่แล้วที่จะไปทักทายบิดาของไอดิล
พชรพยักหน้ารับ
แค่นั้น.. แล้วหิ้วถุงผ้าร่มไปห้องน้ำ
ไอดิลถอนหายใจมองตามหลัง
ชีวิตหอในของเขาเข้าขั้นวิกฤตเอาจริงๆในตอนนี้
นอกจากม่อนแจ่มจะออกไปอยู่คอนโดกับมารดาแล้ว พชรที่อยู่ด้วยก็พูดกันแทบนับประโยคได้ ก็มีเพียงบทสนทนาสองสามประโยคเช่นนี้เท่านั้นเองต่อหนึ่งวัน
นี่ดีนะ ที่พ่อๆของเขาจะขึ้นมาเยี่ยม ไม่อย่างนั้น ไอดิลคงบ้าตายแน่ๆ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“พ่อออออ!”ไอดิลตะโกนลั่นหอสามชาย อาจจะดังไปถึงหอสามหญิง เมื่อบุคคลที่รอคอยปรากฎกายตรงหน้า
“ขอบคุณพ่อมากที่มาเยี่ยมผม พ่อได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้!”
ร่างเล็กโผเข้ากอดบิดาทั้งสองแนบแน่น
บิดาซึ่งคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งและอีกคนติดจะเตี้ยกว่าเขาเสียแล้วตอนนี้
“ชีวิตหอในมันโหดร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง?”
หนุ่มใหญ่นาม ‘ทิวทัศน์’ หัวเราะหึหึ เอามือยีหัวลูกชาย
ไอดิลโทรบ่นให้ฟังมาตลอดอาทิตย์แล้วว่าเจ้าตัวกำลังประสบกับปัญหาอะไรสักอย่าง เหมือนต้องปะทะกับ ‘เกรียนเงียบ’ และ ‘เกรียนซึมเศร้า’ หรืออะไรที่ฟังคล้ายๆอย่างนั้น
“สวัสดีครับ” ไอหมอกยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ซึ่งพยักหน้าตอบรับ
“ลูกสบายดีนะ”
หนุ่มใหญ่อีกคนนาม ‘กรกฎ’ ยิ้ม มือขาวเสยผมยุ่งที่ลงมาปรกหน้าผาก พลางมองสำรวจลูกชาย
ไอดิลเองก็ยิ้มตอบเริงร่า พยักหน้าหงึกหงัก
“ฝันก็สบายดีใช่ไหม”
“ดีครับ คุณพี่หมอโอเพิ่งจะมาเยี่ยมอาทิตย์ที่แล้วเอง”
“เพื่อนสนิทลูกล่ะ คนที่ทำลูกเวียนหัว?”
“มันไม่อยู่หอแล้วครับ อยู่คอนโดกับแม่” ไอดิลหน้างอด้วยเหตุผลบางประการ
“เรียนอะไรนะ เพื่อนลูกคนนั้น ชื่ออะไรแจ่มๆ” กรกฎขมวดคิ้ว นึกถึงบทสนทนากับลูกชายที่ไม่ค่อยมีสมาธิฟังนัก เพราะคนบางคนมาวุ่นวายกับร่างกายเขาแทบจะตลอดการคุย
“ม่อนแจ่มครับ เรียนวิศวฯเครื่องกล”
“แล้วอีกคนล่ะ? คนที่ทำลูกเวียนหัวเหมือนกัน”
“พชรครับ” ไอดิลเสริม “พชร มนุษยฯปรัชญา!”
“น่ากลัวมาก..” ทิวทัศน์พึมพำและรีบเสมองไปทางอื่นเมื่อโดนกรกฎถลึงตาใส่
“อื้อๆ อยู่ข้างล่างหอ อืม.. สวัสดีพชร”
ไอดิลกดวางโทรศัพท์ หันมามองบิดาทั้งสอง
“พชรอยู่พอดี ผมขออนุญาตชวนมาสวัสดีพ่อนะ ผมเคยเจอแม่พชรแล้ว เคยเจอพ่อไอ้ม่อนด้วย อยากให้เพื่อนได้เจอพ่อผมเหมือนกัน”
..
..
‘พชร มนุษยฯ ปรัชญา’ ไม่มีอะไรเหมือน ‘กรกฎ มนุษยฯ ปรัชญา’ ในความเห็นของทิวทัศน์
ไล่ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาไปจนถึงลักษณะท่าท่าง ทว่า กลับเกรียนเหมือนกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผิดกันที่กรกฎนั้นเกรียนพูดไม่รู้เรื่อง ส่วนพชรนั้น เกรียนไม่พูดอะไรเลย..
“พชร นี่พ่อหล่อ”
ไอดิลผายมือไปยังคนตัวสูงในเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นและกางเกงยีนส์สีดำ แล้วทำเช่นเดียวกันกับคนตัวเตี้ยกว่าที่อยู่ในเสื้อคลุมลายสก็อตและกางเกงยีนส์ที่เก่าจนไม่รู้ว่าในอดีตมันเคยเป็นสีอะไร
“นี่พ่อน่ารัก”
“สวัสดีครับ” มือแกร่งยกขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ซึ่งยกมือขึ้นรับไหว้เขาเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอ ‘พ่อหล่อ’ และ ‘พ่อน่ารัก’ ที่ไอดิลมักจะกล่าวขวัญถึง ซ้ำยังได้รับการบอกเล่ามาว่าหนึ่งในสองพ่อเป็นรุ่นพี่ภาควิชาปรัชญาของพชรเอง ..และอะไรบางอย่างทำให้พชรรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่ารูมเมทหมายถึงพ่อคนไหน
“อาจารย์ระบัดใบยังสอนอยู่ไหม?” กรกฎถามยิ้มๆ และพชรก็พยักหน้ารับ
อาจารย์ผู้ใหญ่วัยใกล้เกษียนผู้ถูกถามถึงยังคงสอนอยู่และพชรเองก็ได้เรียนกับท่าน จริงๆแล้ว.. ก็ท่านเองนั่นแหละที่เดินมาเตือนพชรไม่ให้หลับในห้องสอบเพราะมีคนตื่นมาทำไม่ทันทุกปีตอนสอบไฟนอลเทอมก่อน
“ตามหาปรัชญาหรือยังล่ะ?”
พชรหลุดเสียงไอราวกับอะไรติดคอ “เอ่อ.. กำลังครับ”
..นี่เขาตามหากันมาตั้งแต่รุ่นพ่อไอดิลเลยหรือ? “ตอนตามหาปรัชญาไม่ปลื้มเท่าไหร่..”
ทิวทัศน์เอ่ยยิ้มๆ เหล่มองคนรักอย่างมีความหมาย “แต่ตอนเอาไปส่งนี่ ..ชื่นใจ”
กรกฎกลอกตาไปมา “เกรงใจอายุมึงบ้างทัศน์”
“สี่สิบสองวัยกำลังดี” ทิวทัศน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่
“ถ้าใช้ภาษานิยายมึงก็ประมาณว่า..
ราตรีนี้ยังเยาว์ แต่สำหรับกูแปลว่า..
เอาเมียได้อีกนาน”
“ไอ้ทัศน์!” กรกฎส่งเสียงว้ากลอดไรฟัน “ลูกก็อยู่ เพื่อนลูกก็อยู่ มึงสร้างภาพบ้างก็ได้มั้ง”
“จะมาสร้างอะไรล่ะ กูกำลังชี้ทางสว่างให้น้องพชรอยู่”
“อย่าให้เขาไปทางเดียวกับมึงเลย”
“ทางของกูมันเป็นยังไง”
“มันอินดี้ ไม่น่าเฉียดกรายเข้าใกล้”
“แล้วเกรียนคนไหนมันเข้ามาใกล้ซะจนชิดล่ะ กูอยากจะรู้”
..ฯลฯ..
ไอดิลกับไอหมอกกลั้นหัวเราะ มองหน้ากันยิ้มๆอย่างเคยชินสถานการณ์
ส่วนพชรได้แต่มองผู้ใหญ่ทั้งสองสลับกันไปมา
มิน่าล่ะ ไอดิลถึง..
ถึงอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน พชรไม่แน่ใจว่าอยากนิยาม
บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยที่เคยคุ้นทำให้หนุ่มใหญ่ทั้งสองผ่อนคลายลง
อย่าใช้คำว่า‘แก่’ เลย ทิวทัศน์คิดว่าถ้าเป็นกรกฎนั้นคงใช้คำว่า ‘มากประสบการณ์’ จะดูดีกว่า
ดวงตาสีเข้มกวาดมองไปทางหน้าหอสามชาย เรื่อยไปจนถึงบาทวิถีใกล้หอนาฬิกา ยิ้มน้อยๆให้คืนวันเก่าๆที่นึกถึง
เคยมีเด็กปีหนึ่งเกรียนๆคนนึงยืนอ้วกอยู่ใต้เสาไฟ..
“ไอดิลเรียนหนักไหม? ทำกิจกรรมอะไรเล่นบ้างหรือเปล่าล่ะ”
กรกฎหันมาถามลูกชาย พักการเถียงกับทิวทัศน์ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำต่อเนื่องมาแล้วกว่ายี่สิบปีไว้ชั่วคราว
“หนักใช้ได้เลยครับ ถ้าว่างๆก็ไปชมรมดนตรีไทย สอนเป่าขลุ่ย ไปวรรณศิลป์ หาหนังสือเก่าๆอ่าน แล้วก็ไปอาร์ทติส ดูไอ้ม่อนวาดรูป”
‘ม่อน’
คำนั้นของลูกชายทำให้เด็กหนุ่มปรัชญาชะงักนิ่ง ดวงตาคมกล้าวูบไหวไปทันที ราวกับนั่นเป็นคำที่มีความหมายบางประการสำหรับเขา
ทิวทัศน์มองดวงตาคมที่เสมองไปทางคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นอย่างพินิจพิจารณา รวมเข้ากับที่ไอดิลโทรมาบ่นให้ฟังเกือบตลอดอาทิตย์ ..เจ้าตัวมีปัญหากับการที่รูมเมท ‘ไม่ค่อยพูด’
“เอาให้แน่ใจ..” คนเป็นผู้ใหญ่เอ่ยลอยๆ
“ถ้าแน่ใจแล้ว ..ก็พูดๆบอกๆไปเถอะ”
..
“ลองได้พูดสักครั้ง จากนั้นรับรอง สบ๊าย อยากพูด อยากบอกทุกวันเองนั่นแหละ”
ไม่รู้เลยว่าพ่อหล่อของไอดิลหมายถึงอะไรหรือกำลังพูดกับใคร ทว่า พชรก็มอง มองเข้าไปในดวงตาพ่อหล่อหรือคุณทิวทัศน์ ซึ่งมองกลับมายิ้มๆ ก่อนจะละไป
“ไปไอดิล พ่อจะไปรังเก่าเสียหน่อย เจ้าถิ่นใหม่ตามมาอารักขาเลย ให้ไว!”
“ย่อมได้!” ร่างเล็กสิ่งแวดล้อมรับคำอย่างกระตือรือร้น คล้องแขนบิดาร่างสูงพาเดินตรงไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์..
“พ่อพูดได้ใจดิ้ลมาก!” คนเป็นลูกชายกระซิบอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ
“ฮ่ะๆ” ทิวทัศน์หัวเราะน้อยๆ
“ไม่ได้มีความหมายอะไรมากหรอกลูก พ่อไม่รู้เรื่องของเขา อะไรหลายๆอย่างมันคงมากกว่าที่เรารู้”
ไอดิลพ่นลมหายใจ พ่อหล่อพูดคล้ายๆไอหมอก แต่ยังไงก็เถอะ..
“แล้วมันจะทำไมนักหนาล่ะพ่อ พชรกับไอ้ม่อนไม่ใช่แค่มีใจให้กันนะครับ มันสองคนมีอะไรกันแล้วนะพ่อ ทำไมถึงไม่พูด ไม่บอกกันตรงๆก็ไม่รู้” ไอดิลขมวดคิ้วมุ่น
เหอะ.. เหอะ..“เคยมีอะไรกันไม่ได้ทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้นหรอกนะ” ทิวทัศน์หัวเราะแห้งแล้ง
“ก็มีอะไรกันแล้วนั่นแหละ มันถึงได้ยากกว่าเดิม”
“อ้าว เหรอครับ แล้วแบบนี้จะทำยังไงล่ะพ่อ?”
“ก็ไม่ต้องทำยังไง” ทิวทัศน์ตบไหล่ลูกชาย “นั่นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา ลูกอย่าเครียดมากไป”
ไอดิลถอนใจยาว “หมอกก็พูดงี้”
“หมอกพูดถูก”
“ผมก็ไม่ได้อยากอะไรนะพ่อ แต่ม่อนมันเพื่อนรักผม ผมสงสารมัน พชรน่ะไม่ยอมพูด ไม่พูดมาตั้งแต่ต้นเลย”
“อืม..” ทิวทัศน์ครุ่นคิด
“พ่อก็ไม่รู้นะว่าพชรนี่เอาจริงๆแล้วเป็นคนแบบไหน แต่.. มันก็มีคนบางคนนะ ที่ใช้เวลากว่าจะรู้จักความรู้สึกของตัวเอง หรือถึงรู้แล้ว ก็อาจไม่รู้ว่าจะสื่อสารเป็นคำพูดได้ยังไง แต่ถ้าหากความรู้สึกนั้นคือ ‘รัก’ ไม่ว่าเขาจะพูดเมื่อไหร่ นับจากที่เขาพูดออกไป เขาจะรักษาคำพูดนั้นเอาไว้ตลอดชีวิต”
..
..
“ที่พ่อหล่อพูดว่า พูดๆ บอกๆไปเถอะ.. หมายถึงบอกอะไรหรือครับ?”
พชรเอ่ยถามค่อยๆ
กรกฎเลิกคิ้ว พิจารณารุ่นน้องร่วมภาควิชา
คิดทบทวนอย่างตัดสินใจ ก่อนจะเลือกตอบสั้นๆ ..ตรงไปตรงมา
“บอก ..รัก”
“รัก..”เสียงเข้มทวนคำ
รักหรือ?พชรต้องยอมรับว่า.. เขาไม่เคยคิดถึงคำนี้มาก่อนเลย
น่าประหลาด แต่เขาแทบจะ ไม่รู้จักมันเอาเลยจริงๆ
ก็ใช่.. ที่รู้จัก ‘รัก’ ที่มาควบคู่กับคำอื่น อย่าง.. ‘เพื่อนรัก’ ‘น่ารัก’ หรือแม้แต่ ‘คนรัก’
ทว่า ‘รัก’ คำเดียว.. น่าแปลกที่พชรไม่เคยจะมาสังเกตว่ามันหมายถึงอะไร
“แล้วแค่ไหนหรือครับ ..ที่เรียกว่ารัก?”
แค่ไหนที่เรียกว่ารัก..กรกฎละสายตาจากเด็กหนุ่ม มองไปตามทางเดินจากหอสามชายสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ซึ่งหนึ่งร่างสูงและหนึ่งร่างเล็กเดินเคียงกันในสายลมยามเย็น ..ที่เดียวกับที่ไอหมอก คนรักของลูกชายมองไป
“ถ้าสิ่งที่เราปรารถนาที่สุดคือความสุขของเขา ถ้า.. เรายอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีให้กับเขาได้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ..ไม่ใช่สิ่งของ แต่มันคือความรู้สึก ความห่วงใย ความหวังดี ความซื่อสัตย์ และ.. ไม่ใช่แค่มอบให้อย่างเดียว บางที มันอาจรวมถึงการยอมสละบางอย่างที่เรายึดถือด้วย”
..ยอมสละบางอย่างที่ยึดถือ
..มอบความรู้สึกที่เป็นบวกทั้งหลายให้
..ปรารถนาให้มีความสุข
ถ้า.. แบบนั้นคือ.. รัก“แต่.. มันน่าจะต้องใช้เวลานานไม่ใช่หรือครับ กว่าที่จะ ..รักใครสักคน”
“เป็นคำถามที่ดี” กรกฎหัวเราะออกมาน้อยๆ “แต่ตอบไม่ได้”
ความรักเริ่มต้นที่บางอย่าง.. ซึ่งนำไปสู่บางอย่าง..
จุดเริ่มต้นและพัฒนาการของความรักเป็นเรื่องลึกลับ
ไม่มีกำหนดการ
ไม่มีมาตรฐาน
ไม่มีกฎเกณฑ์
“มันเป็นเรื่อง ‘เฉพาะคนสองคน’ ” กรกฎสรุป “คนอื่นตอบไม่ได้”
..
“ลองถามตัวเองดู ..ว่าเขามีความหมายแค่ไหน สำคัญกับพชรยังไง แล้วพชรแลกอะไรได้บ้างเพื่อให้เขามีความสุข
แค่นั้น.. พชรก็คงได้คำตอบอยู่แล้ว ว่ารักหรือเปล่า”
ใบหน้าคมสันก้มลงเล็กน้อย..
มีความหมายแค่ไหน
สำคัญยังไง
และแลกอะไรได้บ้าง
ถ้าคำตอบคือ.. ทุกอย่าง..
เวลาเพียงไม่กี่เดือนจะทำให้รักใครสักคนได้ไหม..
แล้วรักที่ว่าเริ่มต้นมาจากอะไร..
จากรอยยิ้มสดใส..
จากดวงตาเป็นประกาย..
จากคำพูดเซ้าซี้ ท่าตี ท้าต่อย..
จากการมองมาในความมืด..
จากเสียงเรียกชื่อ ‘พชร’ ซ้ำๆ
จากความพยายามกล้าหาญทั้งที่หวาดกลัว..
เอาจริงๆ.. พชรก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
เขารู้แค่ ..ใช่..
ถ้าทั้งหมดที่รู้สึกนั้นเรียกว่ารัก ..เขาก็กำลัง ..รัก..
“ถ้ารักแล้ว.. ก็..มันเป็นอะไรที่ต้องพูด ต้องบอก.. ถูกไหมครับ ถ้าตามที่พ่อหล่อว่าเมื่อกี้”
“ก็..” กรกฎลังเล “ทำนองนั้น”
“มีคำกล่าวว่า Action speaks lounder than words.” พชรอ้างอิง
“ใช่” กรกฎผงกหัว “คำพูดไม่มีความหมายถ้าปราศจากการกระทำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน”
..
“ถ้างั้น.. รักที่ออกมาจากปากก็อาจจะเป็นแค่คำ ผมหมายถึง.. มันเป็นแค่คำ”
“ใช่” กรกฎพยักหน้าอีกครั้ง “แต่มันเป็นคำสำคัญ”
..
“พูดในฐานะคนที่ใช้คำทำงาน.. คำเป็นสิ่งมหัศจรรย์นะพชร
คำไม่ใช่จู่ๆเกิดขึ้นเอง คำมีคนคิด คำมีคนใช้ คำมีคนสืบต่อ และมันจะมีความหมายที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อมันทำหน้าที่สะท้อนความรู้สึกแท้จริงที่อยู่ในใจเราออกมา ..เมื่อมันได้สอดรับกับการกระทำทั้งหมดทั้งมวลที่เราทำลงไป”
สองบุรุษปรัชญาเงียบกันไปหลายอึดใจ แล้วก็เป็นรุ่นน้องที่เอ่ยออกมาก่อน
“เมื่อวานซืน.. มีคนบอกผม.. ไม่ว่าในใจจะรู้สึกแค่ไหน ได้ทำอะไรต่างๆมากมายยังไง สุดท้าย.. การยืนยันความรู้สึกให้ชัดเจนด้วยคำพูดเป็นสิ่งจำเป็น”
รุ่นพี่ยิ้ม “งั้นวันนี้ พชรก็คงรู้แล้วสิ ..ว่าจะยืนยันด้วยคำพูดคำไหน”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอบคุณทุกการติดตามเหมือนทุกครั้งน่อ