ความสลัวปกคลุมทั่วบริเวณแล้ว.. น้ำในอ่างดำมืด สายลมที่โบกเพียงบางๆกลับพัดแรงขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ล่วงไปในยามค่ำ
ม่อนแจ่มเคยกลัวความมืด.. ทว่า ในตอนนี้ ไม่น่ามีอะไรทำให้เขาหวาดกลัวได้มากไปกว่า ‘ความจริง’
คนที่ไม่ใคร่จะให้ความสำคัญกับสติมาถึงจุดที่ต้องตั้งสติอย่างมากที่สุด ..เขาไม่อาจอยู่ตรงนี้ได้ตลอดคืน และแม้ตัดสินใจให้ลุงสมส่งไว้ที่นี่ ก็ใช่คาดหวังจะใช้เวลายาวนานเกินไป
เขาแค่.. ต้องการเวลา แค่ต้องการสถานที่ ต้องการ.. ความทรงจำบางอย่างที่ควรละทิ้งไป
ความหมายของอ้อมกอดในวันนั้นคืออะไร..
มันคือคำตอบของความเป็นไปในวันนี้ใช่หรือเปล่า “มาทำอะไรอยู่ที่นี่”..
ความคิดชะงัก สติที่รวบรวมมาค่อนชั่วโมงทำท่าจะกระโดหนีลงน้ำ ..เสียงนี้ที่ไม่ต้องหันดูก็รู้ว่าใคร
“กลับหอซะ มืดแล้ว” น้ำเสียงเข้มเปล่งออกมา และม่อนแจ่มก็ต้องพยายามอย่างมากให้น้ำเสียงของเขาราบเรียบได้พอๆกัน
..
“ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ร่างเล็กหันกลับหลัง ร่างกำยำที่คุ้ยเคยมาเทอมกว่ายืนอยู่ตรงหน้าในความสลัว ร่างกำยำนี้ที่ผูกพันลึกซึ้งไปแล้วทั้งกายและใจ..
พชรหันหลังกลับเพื่อเดินนำไปยังมอเตอร์ไซค์โมตาร์ดที่จอดไว้ด้านนอก แต่แขนแกร่งถูกรั้งไว้ ยื้อให้ต้องหันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง
“พชร”
ม่อนแจ่มเอ่ยชื่อที่คงเรียกบ่อยที่สุดแล้วในชีวิต ..พยายามกล้าหาญให้มากที่สุดที่จะสบดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
“กูมีอะไรจะถาม”
พชรยืนนิ่ง ..ไม่อาจคาดเดาสิ่งที่จะออกมาจากเรียวปากอิ่มตรงหน้า
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย กัดริมฝีปากน้อยๆ ..ด้วยไม่แน่ใจว่าจะเริ่มที่คำถามไหนก่อนดี เพราะค่อนชั่วโมงมานี้ เขามีคำถามมากมายเหลือเกิน
..
“คุณแม่พชรมีพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันมากๆบ้างหรือเปล่า..”
อะไรนะ..พชรนิ่งฟัง
ม่อนแจ่มไม่ทวนซ้ำ ได้แต่มองตาเพื่อย้ำคำ
แน่นอนว่าคำตอบคือไม่.. แต่พชรไม่ได้ปล่อยให้คำนั้นหลุดออกจากปาก ..เขายังไม่ค่อยเข้าใจ
“พชรไม่ตอบ..” ม่อนแจ่มทำเหมือนแค่รายงานความเป็นไปของสถานการณ์
“งั้นถามใหม่.. คุณแม่พชรเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า..”
หัวใจแกร่งเต้นเร็วขึ้น..
ไม่.. มารดาไม่เคยเปลี่ยนชื่อ แต่ว่าทำไม..
“พชรไม่ตอบ..” ม่อนแจ่มรายงานอีกครั้ง พยายามใช้แต่เหตุผล ละทิ้งอารมณ์เสียให้ได้
“งั้นถามใหม่.. คุณแม่พชรชื่อนิภาจริงๆ หรือพชรตั้งใจโกหก..”
หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน..
ใบหน้าคมไม่ได้นิ่งอีกแล้ว ริมฝีปากเผยอออกจากกันน้อยๆ และมันคงนำไปสู่คำถามต่อไป..
“พชรไม่ตอบ.. งั้นถามใหม่..” ม่อนแจ่มมองลึกเข้าไปในดวงตา
“คุณแม่พชรชื่อเพชรลดา เพชรหละปูน ใช่ไหม..”
พชรพูดไม่ออก..
ขาแข็งแรงก้าวถอยหลัง.. และนั่นก็คือคำตอบสำหรับม่อนแจ่ม ..พชรรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว..
ฟันซี่เล็กกระทบกันกึก และม่อนแจ่มก็กัดมันไว้ ไม่ปล่อยให้หลุดเสียงสะอื้นออกไปในตอนนี้และดวงตาก็ควรต้องแห้งผากไม่มีอณูของหยาดน้ำใดๆ
แม้จะคาดคำตอบไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริง มันก็เหมือนจะไม่อาจทำใจ.. แต่ถ้าจะเจ็บแล้ว ก็เจ็บให้สุดในตอนนี้เลยเถอะ
“พชรเกิดวันจันทร์ที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปีอะไร”
..
คิ้วหนาเลิกขึ้น ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของคำถามนี้เลย ม่อนแจ่มจึงต้องอธิบาย
“กูแค่จะได้รู้.. ว่าควรต้องเรียก
พี่หรือ
น้อง”
ริมฝีปากหน้าเม้มเข้าหากัน ลมหายใจแรงตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ขณะที่คนตรงหน้ายังคงพูดต่อไป
“แต่กูคิดว่าคงเป็นพี่ ไม่ใช่น้องหรอก เพราะมึงน่าจะเกิดก่อน”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” พชรปราม ..คำแรกที่ออกมาจากปากหลังคำถามมากมายเหล่านั้น
เขาไม่คิดว่าจะทนฟังไหวอีกแล้ว ตนเองเคยผยองในความเข้มแข็งของจิตใจและความแข็งแกร่งของร่างกายเสมอ
ไม่คิดว่าเวลานี้ ตอนนี้ จะอ่อนแอได้ขนาดที่รับฟังถ้อยคำจากริมฝีปากบางนั้นไม่ได้
“ไป” มือขาวเรียวจับข้อมือหนากว่าเอาไว้ ตั้งท่าจะฉุดนำไปที่ใดก็ไม่รู้
“ไปไหน”
“ไปพบคุณพ่อ”
“ไม่”
“หมายความว่ายัง
ไม่” ม่อนแจ่มตวัดเสียงถามห้วนๆ
“หมายความว่ากูไม่ต้องการไป” พชรตอบห้วนพอกัน แม้ว่าน้ำเสียงจะสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“มันไม่ใช่เรื่องว่ามึงต้องการหรือไม่ต้องการ มันคือเรื่องที่มึงเป็นลูกชายอีกคนของคุณพ่อ!” ม่อนแจ่มตวาด
“และคุณพ่อต้องทราบเรื่องนี้ ท่านต้องรับผิดชอบต่อมึง” ม่อนแจ่มจับมือพชรแน่นไม่ยอมปล่อย
“กูไม่ต้องการความรับผิดชอบอะไร” พชรมองไปทางอื่น
“หมายความว่ายังไงไม่ต้องการ” ม่อนแจ่มถามซ้ำ “มึงไม่ต้องการให้คุณพ่อรู้ว่ามึงเป็นลูกอย่างนั้นหรือ”
“ใช่..”
“แล้วคุณน้าเพชรลดาล่ะ” ม่อนแจ่มแค่นเสียงถาม “ท่านไม่ต้องการด้วยหรือเปล่า”
พชรนิ่ง..
แน่นอนว่ามารดาไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ แต่นั่นมันก็ก่อนที่เธอจะทราบว่าถูกหลอกลวง ..ว่าพชร ลูกชายของเธอคือเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของนายพจน์ ประดิษฐาพงศ์
เธอมอบเช็คใบนั้นให้เขามา.. เธอไม่ได้ปรามเขาอย่างจริงจังเมื่อจะมาหานายพจน์.. จะเพราะอะไรหากไม่ได้ต้องการให้พ่อลูกได้รู้จักกัน.. ให้นายพจน์รับรู้ว่าเขาและเธอมีพยานรัก ..ซึ่งก็คือพชรคนนี้
และนั่นคือความทุกข์สาหัสของพชรตลอดเวลานับแต่คืนเช็คให้ระมิงค์ไป ..ความทรยศต่อมารดาตัวเอง..
แล้วตอนนี้ ลูกชายของระมิงค์กำลังจับข้อมือเขาไว้ ร้องขอแกมบังคับให้ไปพบนายพจน์ ..นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“ใครบอก” พชรเอ่ยออกมาในที่สุด
“บอกอะไร” ม่อนแจ่มไม่เข้าใจ
“ก็ที่กำลังพูดอยู่นี่ ใครบอกอะไรมา” พชรถามซ้ำ
“ไม่มีใครบอกหรอก” ม่อนแจ่มแค่นเสียง กึ่งน้อยใจ กึ่งสังเวชตัวเอง “ใครจะมาบอกอะไรกู”
“แล้วทำไม-”
“คำถามมึงนี่กูต้องตอบไหม? ในเมื่อทีมึง ยังไม่เคยตอบอะไรกูเลย”
ตามองตา.. สองคนมองกัน.. แล้วก็เป็นพชรที่ถามย้ำ “ไปรู้อะไรมา ใครบอก ตอบกูเดี๋ยวนี้ ม่อน!”
บ้าเอ๊ย.. ม่อนแจ่มอยากจะตั๊นหน้าพชร
เสียงนี้จะมาเรียกชื่อเขาตอนนี้ทำไม.. สั่งเพราะคิดว่าเขาต้องทำตามอย่างนั้นหรือไง..
ก็ได้.. ม่อนแจ่มไม่ได้นิสัยเหมือนพชรอยู่แล้ว
“ไม่มีใครบอกอะไรกูทั้งนั้น! กูเห็นรูปคุณแม่มึงในลิ้นชักโต๊ะทำงานคุณพ่อ กูจำท่านได้
คนในรูปชื่อเพชรลดา เพชรหละปูน เป็นชื่อเดียวกับที่คุณพ่อถามถึง แล้วมึงก็หน้าตาเหมือนคุณพ่อกูซะขนาดไอ้ดิลมันยังเห็นชัดเลย แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา กูเห็นมึงเครียด มึงเป็นทุกข์ แล้วรวมกันทั้งหมดนี้ มึงคิดว่ากูโง่นักหรือไง!”
ถ้อยคำที่อัดอั้นในใจพร่างพรูออกมา น้ำตาเอ่อท้นคลอหน่วยอีกครั้ง
“ม่อน..”
“อย่า!” มือเรียวปล่อยข้อมือแกร่ง ยกขึ้นเบรก ไม่ต้องการได้ยินคำเรียกชื่อในตอนนี้
“เพราะว่ากูมันเป็นคนขี้ขลาด เพราะว่ากูอ่อนแอใช่ไหม มึงถึงต้องยอมรับมันไว้คนเดียว” ม่อนแจ่มมองตา
“มึงไม่พูด ไม่บอก ไม่เตือนกูเลยพชร มึงปล่อยให้เรา..”
ไม่จริง.. อีกเสียงในใจเถียงถ้อยคำนี้
พชรไม่ได้ปล่อย..
พชรเป็นคนถอยห่าง..
พชรเป็นคนที่เอ่ยว่าไม่รู้จัก..
พชรบอกให้ม่อนแจ่มห้ามปราม..
“บอกให้กูปล่อย..”
“บอก.. เดี๋ยว.. นี้..”
..
“พชร”“กูขอโทษ” พชรรู้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงเรื่องอะไร
“ไม่ต้อง!” ม่อนแจ่มสวนขึ้น “ไม่ใช่ความผิดของมึง ..คนเดียว”
แต่เรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
..มัน เกิด ขึ้น ไม่ ได้ อีกม่อนแจ่มท่องซ้ำไปซ้ำมา คว้าข้อมือหนาไว้อีกครั้งอย่างตัดสินใจ
“ไปพบคุณพ่อกับกู”
“ไม่ได้”
“ทำไม!”
"นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะม่อน!"
"ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆไง มึงถึงต้องไป"
"มึงจะให้กูเดินโทงๆเข้าไปในบ้านมึง บอกว่าเป็นลูกพ่อมึงหรือ!" พชรย้อนถาม “มึงได้บอกคุณแม่มึงหรือยัง แล้วเขาว่ายังไง”
ม่อนแจ่มชะงัก..
ไม่ใช่เขาไม่คิดถึงมารดา คิดสิ.. และเพราะคิด มันถึงยิ่งเครียดสาหัสขนาดนี้..
พาลูกอีกคนไปพบคุณพ่อ ลูกที่เกิดกับภรรยาคนก่อนหน้า แล้วมารดาจะว่าอย่างไร
ม่อนแจ่มก้าวถอยหลัง.. หยาดน้ำตาอุ่นๆหยดลงสองข้างแก้ม
“ม่อน..” พชรก้าวตามมา
“ไม่ต้องปลอบใจกู!” ม่อนแจ่มเสียงพร่า แต่ก็ยังพยายามเข้มแข็งให้ได้
“ใช่ มันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่อ่อนไหว แต่มันไม่ยุติธรรมถ้ากูจะไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้มึงเป็นลูกไม่มีพ่อ แล้วคุณน้าเพชรลดา..”
มือเรียวปาดน้ำตาออก “มึงเลิกทำตัวเป็นพระเอกได้แล้ว กูเข้มแข็งกว่าที่มึงคิด รู้เอาไว้!”
บ้าเอ๊ย.. พชรหายใจแรง
“เข้มแข็งให้มันจริงก็แล้วกัน”
“อย่าดูถูกกันให้มากนัก พี่ชาย”
“อย่าเรียกกูแบบนั้น”
“มึงไม่อยากจะนับญาติเลยหรือไง”
“แล้วมึงอยากเป็นญาติกับกูงั้นสิ!”
“กูไม่ได้อยาก แต่มันเป็นไปแล้ว จะให้กูทำยังไงวะ!”
พชรไม่ตอบเรื่องนี้
แต่พูดเรื่องอื่น..
“ไป.. คุยกับแม่มึงก่อนเถอะ”
ไม่ใช่ไม่อยากบอก แต่แม้พชรบอกไป ม่อนแจ่มก็ต้องไปคุยกับมารดาตนอยู่ดี
เรื่องการกำเนิดเป็นเรื่องระหว่างม่อนแจ่มกับระมิงค์ มันเป็นสิทธิ์ของระมิงค์ที่จะพูด ที่จะบอกลูกชายของเธอเอง
พชรไม่อาจทำหน้าที่นั้นแทน.. เขาเป็นคนนอกในความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก
ถ้าม่อนแจ่มจะต้องรู้จริงๆ ก็ควรได้รู้จากปากระมิงค์เองเหมือนที่ตั้งใจไว้มาแต่ต้น..
พชรหวังว่า.. ความรู้สึกจะดีกว่ารู้จากคนนอก รวมถึงบาดแผลที่จะเล็กลงด้วย หากสองแม่ลูกค่อยๆคุยกัน
"ค่อยๆพูด ค่อยๆบอกไปว่ารู้จักกู ว่าเคยพบแม่กู แล้วคุณพ่อมึงถามถึง บอกสิ่งที่มึงรู้ สิ่งที่เป็นจริง ใจเย็นๆ.."
สายลมยังคงพัดมา.. เสียงพูดคุยห่างออกไปประปราย และความมืดก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
จังหวะหัวใจของคนทั้งคู่เต้นแรง ไม่ใช่จากความตื่นเต้นยินดี ทว่า จากความอึดอัดหนักหน่วงที่กำลังเผชิญอยู่นี้ และต้องเผชิญต่อไปอีก..
“พชร” เป็นม่อนแจ่มที่แจกแจงข้อสรุป
“กูจะพูดกับคุณแม่กูว่าคุณพ่อมีลูกอีกคน ส่วนมึง.. ก็พูดกับคุณแม่มึงว่ามึงพบคุณพ่อแล้ว จากนั้น เราจะไปพบคุณพ่อกัน พบในฐานะที่มึงเป็นลูกชายของท่าน”
พชรไม่ตอบ..
“พชร กูกำลังพูดกับมึงอยู่นะ”
“กูได้ยินแล้ว”
“ได้ยินก็ตอบสิเว้ย!” ม่อนแจ่มว้าก ..ความตึงเครียดครอบคลุมจิตใจคนสองคนทุกขณะ และบอกยากว่าของใครมีมากกว่ากัน
“เออ” พชรตอบกลับห้วนๆ “ก็ตามที่มึงว่านั่นแหละ”
“ดี” ม่อนแจ่มตอบห้วนกว่า
ดวงตาที่แห้งไปแล้วกำลังจะเอ่อท้นอีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลให้เขานึกดีใจที่บทสนทนาจบลงพอดีและจะได้หันหนีไปจากใบหน้าคมนี้เสียที
หันไป..
เดินไปเสียเดี๋ยวนี้
อย่างไรก็ตาม.. เรียวแขนถูกคว้าไว้
พชรออกแรงกระตุกเพียงนิดเดียว ร่างเล็กก็เซกลับมาปะทะแผ่นอกกว้าง แขนแข็งแรงโอบรั้งร่างเอาไว้ แต่ม่อนแจ่มไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติ
“ทำบ้าอะไร พชร!” ม่อนแจ่มดิ้นฮึดฮัด ทว่า แน่นอน มันไม่สัมฤทธิ์ผล
“พชร ปล่อยกู!” เสียงเล็กตวาดลั่น ..พยายามไม่ให้สั่น ..ทั้งร่างกายและน้ำเสียง
ไม่เอา..
ไม่ได้..
ไม่ใช่..
ไม่ควร..
“พชร-”
“สองนาที” เสียงเข้มขัดขึ้นก่อนจะถูกร้องขอให้ปล่อยอีกครั้ง
ม่อนแจ่มงุนงง เลิกคิ้วกับถ้อยคำนั้น แขนเรียวยังพยายามสลัดให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนที่ชะงักลงเมื่อพชรย้ำคำ
“ขอ.. สองนาที”
สองแขนแข็งแรงโอบกอดร่างเล็กแน่น หวังให้รอยกอดนี้ประทับอยู่ในความทรงจำ ให้สัมผัสอบอุ่นจากร่างกายของเขาไม่มีวันจางหายไปจากใจของอีกฝ่าย
ม่อนแจ่มไม่อยากตอบรับ.. ม่อนแจ่มอยากปฏิเสธ..
แต่มันก็แค่สองนาทีเท่านั้น แค่เวลาสั้นๆ ที่ไม่เคยนึกอยากให้สองนาทีไหนยาวนานเท่าสองนาทีนี้มาก่อนเลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .