ตอนที่ 20 เพื่อนที่แสนดี (เหรอ)แต่ผมงงว่าที่มันพูดหมายความว่ายังไง ผมก็เคยแปลกใจเหมือนกันที่ทำไมคนหล่อๆหญิงปลื้มอย่างผม ถึงไม่มีแฟนซักทีช่วงที่เรียนมหาลัย
แต่ที่จริงตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่หรอกครับ สนุกเฮฮากับเพื่อนๆไปวันๆชีวิตก็มีความสุขดี แถมไอ้ตี๋..ถึงมันจะหล่อเลือกได้ แต่มันก็ไม่เห็นมีที่ท่าว่าอยากจะมีแฟนทั้งที่มีทั้งหญิงและชายมาชอบมันเยอะแยะ วาเลนไทน์ทีมันได้ทั้งดอกไม้เอยช็อคโกแลตเอยเป็นกะตั๊กจนต้องเอามาแจกเพื่อนๆในกลุ่มให้ช่วยกิน แถมมันดันมาติดแงกอยู่กับผมเหมือนเหาฉลามขี้ปลาทองยังไงยังงั้น
แล้วจริงๆแล้วสาเหตุที่ผมไม่มีแฟน....นี่เป็นเพราะมันเหรอ แล้วที่มันพูดเหมือนดูเป็นบุญเป็นคุณเหลือเกินที่ช่วยผมไม่ให้ตูดบาน อันนี้ก็ไม่เห็นจะเข้าใจ แถมยังมาเรียกผมว่าไอ้โง่อีก กูนะ....ได้เกียรตินิยมอันดับสองนะเว้ยแต่มึงอ่ะไม่ได้ มาหาว่ากูโง่ได้ไง
แต่ตอนนี้หิวมากๆครับน้ำตาลในเลือดต่ำเตี้ยพาลทำให้สมองไม่แล่น เดี๋ยวขอกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาชำระความกับมัน ไอ้ตี๋เดินออกจากห้องน้ำหลังล้างหน้าเสร็จแล้ว
“เออ...กูว่าไปกินข้าวก่อนเหอะ เดี๋ยวกูค่อยมาเคลียร์กับมึง” ผมยังไม่ขอบใจมันหรอกที่ช่วย ต้องกลับมาคุยก่อนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“อาร์ม มึงมานี่ซิ” ดูไอ้ตี่มันสั่งอ่ะ แต่ขาผมก็เดินไปหามันนะ
ผมยืนตรงหน้ามัน ไอ้ตี๋เอามือสองข้างวางบนไหล่ผม โน้มหน้าลงมาที่คอโดยไม่ทันตั้งตัว พอมันหาตำแหน่งเหมาะๆได้ที่คอด้านขวา มันก็เอาลิ้นมาเลียแล้วเม้มปากค่อยๆดูดจากเบาแล้วแรงขึ้น ผมดิ้นขัดขืนทันทีแต่มือมันจับไหล่ผมไว้แน่นไม่ให้ดิ้น ผมเลยแหกปากลั่น
“ไอ้ตี๋ นี่มึงทำอะไรวะ
ปล่อยกู!!!” มันปล่อยแล้ว แถมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่
“กูประทับรอยแสดงความเป็นเจ้าของไง นี่กูช่วยมึงนะ”
ผมตาถมึงอยากจะเตะมันมาก นี่ผมขอให้มันช่วยเหรอ แล้วมันเป็นหมารึไง.....หมาที่มันฉี่แสดงอาณาเขตความเป็นเจ้าของตามเสาไฟฟ้านั่นแหละ
ผมเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าและเพื่อสำรวจรอยที่คอ โห.... นี่ไอ้ตี๋มันดูดไม่ยั้งปากเลยอ่ะ รอยมันชัดมากๆ นี่มันกะจะให้เป็นรอยไปทั้งอาทิตย์เลยหรือไงวะ แถมผมใส่เสื้อยืดอีกจะขยับขึ้นไปปิดก็ไม่ได้ ฮึม....กลับมาต้องเคลียร์กันยาว
พวกผมเดินมาเจอพี่สองคนที่ล็อบบี้ ตกลงพวกเราเลือกได้ร้านอาหารอินเดียใกล้ๆโรงแรม ระหว่างคุยกันผมลอบมองหน้าพี่แนทพี่แดน แต่พี่แนทไม่ยอมมองผมเลย แต่ก็ดี...จะได้ไม่เห็นรอยที่คอ ส่วนพี่แดนนี่สิ...หันมามองแล้วจ้องที่คอผมแถมยิ้มล้อเลียนอีก ผมอยากจะเอาหน้ามุดพรมที่พื้นจัง แต่นี่พี่แดนไม่รู้สึกแปลกบ้างรึไงที่ไอ้ตี๋บอกว่าเป็นแฟนผม
ถึงร้านอาหาร พนักงานพาเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเป็นแบบสี่เหลี่ยมนั่งข้างละสองคน พี่แนทนั่งกับพี่แดนฝั่งหนึ่ง ส่วนไอ้ตี๋รีบเข้ามานั่งประกบแล้วดันผมไปนั่งด้านซ้ายของมัน ผมเลยนั่งประจันหน้าพี่แดน ส่วนมันนั่งตรงข้ามพี่แนท อืม...... จากมุมนี้ ถ้าพี่แนทหันมาคุยกับผมต้องเห็นรอยที่คอแน่ๆ ไอ้ตี๋มึง...มึงกะให้พี่แนทเห็นรอยที่คอด้านขวากูให้ได้ใช่มั้ย....ไอ้เพื่อนเลววว
พนักงานยื่นเมนูให้ แล้วเอาน้ำมาเสิร์ฟ ผมก้มหน้าก้มตามองรายการอาหารเพราะหิวมาก ไอ้ตี๋มันมาแล้วครับ มันเอาหลังมือมาเกลี่ยที่แก้มขวาผม
“อาร์มเป็นไงมั่ง หน้าคล้ำลงต้องเยอะ สงสัยโดนแดดแรงแน่ๆเลย” ผมเงยหน้าขึ้นมามองมัน อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไรต่อ
“แล้วนี่ดูซิคอก็ดำ อาร์มอ่ะ.....ไม่ค่อยดูแลตัวเอง เดี๋ยวคืนนี้เค้าทาครีมบำรุงให้นะ ผิวจะได้กลับมาใสปิ๊งเหมือนเดิม อาร์มก็รู้หนิว่าเค้าชอบแบบขาวๆ”
มันพูดพร้อมเอานิ้วลากจากแก้มลงมาที่คอผม แถมวนๆตรงที่เป็นรอยดูด
ผมได้ยินเสียงสำลักน้ำพรวด
หันไปมองก็เห็นพี่แนทไอแคกๆรีบหยิบผ้ามาเช็ดปาก เหลือบมองไอ้ตี๋ก็เห็นมันยิ้มมุมปากแบบเจ้าเล่ห์ รู้นะว่ามันแกล้ง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมหน้ามันด้านอย่างงี้ มันไม่อายคนอื่นบ้างรึไง ขนาดผมแค่คนฟังยังอยากจะอวก
หลังสั่งเสร็จพนักงานเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟ เป็นแผ่นแป้งชิ้นใหญ่รูปสามเหลี่ยมคล้ายแผ่นโรตีที่ไม่ราดนมข้นเรียกว่า ’นัน’ (Naan) ให้บิจิ้มกับน้ำจิ้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน แผ่นนันนี้คนอินเดียทางเหนือจะใช้จิ้มกินกับพวกแกงเหมือนที่เรากินข้าวกับแกง
ระหว่างนั่งรออาหาร พี่แดนก็ชวนคุยฆ่าเวลา ก็คุยเรื่องทั่วๆไปแหละครับ ถามว่าตี๋เรียนจบที่ไหนทำงานรึยัง จะมาอเมริกานานเท่าไหร่ แต่พี่เค้าก็มีมารยาทนะครับไม่ซอกแซกถามเรื่องที่ผมกับไอ้ตี๋เป็นแฟนกัน ไอ้ตี๋ก็ตอบคำถามพี่เค้าไปเรื่อยๆ แต่มันนี่แหละที่จงใจเล่าเรื่องตอนเรียนมหาลัยแถมพล่ามเป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมาเป็นแฟนผมได้ยังไง รวมถึงวีรกรรมความรักของมันกับผมที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคค่านิยมของสังคมไทยแบบหวานหยดย้อยน้ำตาลเรียกพี่ ผมฟังแล้วยังขนลุกน้ำตาซึมไปกับรักแท้อันบริสุทธิ์ที่มันมีให้
นี่มันเขียนบทได้เก่งจริงๆ....ไปลอกพล็อตละครน้ำเน่าเรื่องไหนมารึเปล่าวะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงนี่คงรักมันหัวปักหัวปำแบบถวายชีวิตแน่ๆ
เฮ....อาหารมาแล้วน่ากินมากๆ
ผมสั่ง Chicken tikka masala กับ Garlic Naan ผมขอเรียกมะซาหละไก่แล้วกัน (ชื่อจำง่ายดีครับ มัสมั่น – มะซาหละ) หน้าตามันคล้ายๆแกงมัสมั่นไก่ของไทย แต่ของเค้าแทนที่จะใส่กะทิแบบเราเค้าใส่โยเกิร์ตแทน อันที่จริงอาหารอินเดียที่เป็นแกงแทบทุกชนิดเค้าจะใส่โยเกิร์ต ซึ่งต่างจากของไทยเราที่แกงจะใส่กะทิ (มียกเว้นพวกแกงน้ำใส)
ผมว่านี่เป็นวัฒนธรรมการกินของประเทศต่างๆที่น่าสนใจมาก ลองคิดดูสิครับอาหารอเมริกันเค้าจะเน้นใส่เนย ใส่แม่งในอาหารเกือบทุกอย่างจนผมเอียนเนยไปเลย ขนาดเฟรนช์ไฟร์ฝรั่งบางคนแทนที่จะจิ้มซอสมะเขือเทศมันยังจิ้มเนยเหลวกิน ผมเคยลองอาหารเช้าแบบทางใต้ของอเมริกาที่เรียกว่า ‘กริทซ์’ (Grits) มันเป็นข้าวโพดบดต้มกับเนยแต่งรสนิดหน่อยด้วยเกลือ ลักษณะเหมือนข้าวต้มแหยะๆ คิดดูสิเหมือนกินข้าวต้มใส่เนยกินแล้วแทบแย่เลี่ยนมากๆ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมคนอเมริกันถึงได้อ้วนเอาอ้วนเอา
ส่วนอาหารอินเดียนี่ก็เน้นใส่โยเกิร์ต ขนาดน้ำมะม่วงปั่นที่ผมกินอยู่นี่มันยังใส่มะม่วงปั่นกับโยเกิร์ตเลย (แต่ก็อร่อยดีครับ) นึกไปนึกมา....เลยคิดเล่นๆว่ากลับจากซานฟรานคราวนี้ ผมจะลองทำแกงเขียวหวานใส่โยเกิร์ตดูไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไงแต่มันก็น่าจะโอเคนะ มาถึงอาหารไทย นี่เลย.....กะทิเป็นตัวชูโรงไม่ว่าจะเป็นแกง ห่อหมก ต้มยำ ต้มข่าไก่ รวมถึงขนมไทยแทบทุกชนิดต้องมีกะทิร่วมด้วย พวกฝรั่งมันไม่ค่อยรู้จักหรอกครับกะทิ (coconut milk) ของบ้านเรา มันรู้จักแต่น้ำมะพร้าว (coconut juice)
กินกันเสร็จ ไอ้ตี๋รีบแย่งจ่ายส่วนของผมกับมัน ผมก็ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวค่อยไปคืนเงินมันที่หลังก็ได้
***********************************
กลับถึงห้องสี่ทุ่มผมรีบอาบน้ำก่อน แล้วมานั่งรอไอ้ตี๋อาบน้ำ พร้อมคิดไปด้วยว่าจะคุยกับมันยังไงดี มันก็เป็นเพื่อนผมมานานนะคอยช่วยเหลือผมมาตลอด สมัยก่อนก็ไม่เห็นมันจะทำอะไรขนาดนี้ แต่นี่อะไรไปกระตุ้นมันวะถึงได้ทำอะไรประหลาดๆแบบนี้ได้ ซักพักไอ้ตี๋ก็เดินออกมา
“ตี๋ มึงมานั่งนี่ซิ กูมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตบแปะๆที่เตียงที่ผมนั่งอยู่
“เรื่องที่มึงพูดตอนก่อนกินข้าว หมายความว่ายังไง” ผมถามจ้องหน้าไอ้ตี๋เขม็ง กะไม่ให้มันโกหกผม
“เรื่องไหน เรื่องที่กูดูดคอประทับรอยมึงเหรอ” นี่.....มึงทำเป็นเฉไฉอีกนะ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นไอ้บ้า ก็เรื่องที่มึงบอกว่ามึงกันท่ากู ทำให้กูไม่มีแฟน แถมยังช่วยไม่ให้กูตูดบานอีก ไหนอธิบายมาหน่อยซิ”
“นี่มึงไม่รู้จริงๆเหรอ รึว่าแกล้งโง่” ไอ้นี่เนี่ย...เดี๋ยวปั๊ด
“กูไม่รู้จริงๆกูถึงถาม กูก็เคยสงสัยเหมือนกันที่คนหล่อๆอย่างกูทำไมไม่มีแฟนซักที แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกขวนขวายอยากมีแฟน กูเลยไม่ได้คิดหาสาเหตุ แต่ตอนนี้กูเริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร” ผมตอบแล้วมองตามัน แบบว่าตอนนี้กูรู้แล้วว่าเป็นเพราะมึง
“ที่ตอนนั้นมึงไม่รู้สึกอยากมีแฟนเพราะมึงมีกูอยู่ข้างๆตลอดเวลาไง แต่ตอนนี้มึงเรียนจบ กูไม่ได้อยู่ใกล้ๆมึงอีกแล้ว มึงคงเริ่มรู้สึกเหงาและอยากมีใครมาอยู่ข้างๆใช่มั้ย มึงถึงคิดเรื่องมีแฟน” มันถามผมนัยน์ตาหมองลงเล็กน้อย
“เฮ้ย.....ไม่ใช่อย่างนั้น มึงมารู้ใจกูได้ไงว่าตอนนี้กูอยากมีแฟน มึงคิดไปเอง” ผมรีบปฎิเสธมัน ก็จริงนี่...ผมไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนตอนนี้ซักหน่อย
“กูไม่เชื่อ ตอนกูโทรศัพท์เข้าเครื่องพี่แนทครั้งแรก ตอนมึงอาบน้ำหน่ะ กูรู้สึกไม่ชอบมาพากลยังไงไม่รู้ พี่เค้าพูดเหมือนหวงๆมึง แถมยังถามซักกูเยอะแยะไปหมด กูเลยบอกไปซะเลยว่าเป็นแฟนมึง หึ....หึ สะใจกูจริงๆ” :laugh3:จากตาเศร้าไอ้ตี๋เปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วตอนนี้
“พี่แนทเกี่ยวอะไรด้วยวะ พี่เค้าเป็นเพื่อนพี่โอมนะ แถมพี่เค้ายังขอเป็นพี่ชายกูเลยเพราะเค้าเป็นลูกคนเดียวไม่มีน้อง แล้วกูนะเป็นผู้ชายแมนทั้งแท่ง มึงอ่ะคิดอกุศล” ผมยังไม่อยากบอกมันครับว่าพี่แนทเป็นเกย์และเป็นแฟนพี่โอม เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัว
“มึงอ่ะไม่เคยรู้ตัวมึงเล้ยยยไอ้อาร์ม จากการวิเคราะห์ของกูประมวลได้ว่า เกย์ทุกคนที่รู้จักมึงต้องชอบมึงร้อยเปอร์เซนต์ ส่วนไอ้พวกที่ลังเลไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเกย์รึเปล่า ร้อยละแปดสิบต้องกลายเป็นเกย์ถ้าได้รู้จักมึง ส่วนพวกชายแท้นี่....ถ้าได้พูดคุยรู้จักสนิทสนมกับมึง ร้อยละห้าสิบจะกลายเป็นเกย์แบบไม่รู้ตัวเพราะมาหลงรักมึง เข้าใจมั้ย
” โห.....ใช้ได้ใช้ได้.
...ของเค้าแรงดีจริงๆ เอ้ย....ไม่ใช่....นี่ไอ้ตี๋มันหมายความว่าอะไรวะ
“นี่กูผู้ชายนะ.....แถมหล่อหญิงปลื้มขนาดนี้ มึงไม่ต้องมาอำกู” ผมไม่เชื่อมันหรอก
“กูจะโกหกมึงทำไม มึงนะชอบคิดหลอกตัวเอง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหน้าตามึงนะหวานน่าเอ็นดูขนาดไหน แถมใสซื่อขี้อ้อนไม่ร่านไม่แรด นิสัยง่ายๆไม่เรื่องมากเหมือนพวกผู้หญิงหลายๆคน” ผมอึ้ง.....อึ้ง....และอึ้ง
ไม่จริง....มันไม่จริงใช่ไหม (นี่เจ้าอาร์มยังหลอกตัวเองไม่เลิก)
“มึงรู้มั้ย.....ตอนเรียนน่ะ กูปวดหัวแค่ไหนที่ต้องคอยกันมึงจากพวกเกย์และไอ้เถื่อนๆคณะเรา (ผมเรียนวิศวะครับ) แถมด้วยไอ้พวกเกย์และหญิงคณะอื่นๆที่มาติดต่อกูให้ช่วยแนะนำกับมึงให้หน่อย ในคณะนี่ถึงกับตั้งเป็นแฟนคลับมึงเลยนะเว้ย แต่กูไม่เคยบอกมึงหรอก” ผมยังอึ้งอยู่ครับ ไร้คำพูดที่จะไปตอบโต้มัน
“มึงอ่ะวันๆมาขลุกอยู่กับกู ไม่ค่อยสนใจเพื่อนกลุ่มอื่น แถมกูวางท่ากันอย่างกับหมาหวงเจ้าของเลยไม่มีคนกล้าเข้าใกล้มึง มึงเลยไม่เคยรู้ วาเลนไทน์ที่เห็นกูได้ดอกไม้ช็อคโกแลตเป็นเข่งๆน่ะ มันของมึงซะแปดสิบเปอร์เซนต์ ฮ่า.....ฮ่า....” โอ๊ยยย......ผมเพิ่งรู้ความจริงวันนี้เอง ไอ้ตี๋......ไอ้เพื่อนชั่ว มาหลอกผมว่าดอกไม้เอยช็อคโกแลตเอยเป็นของมัน
“ถ้ากูไม่ทำแบบนี้ ป่านนี้มึงนะตูดบานขี้ไม่ต้องเบ่งแล้ว” ไอ้บ้า....พูดย้ำอยู่ได้
“เออ.....ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว แต่กูขอร้องเหอะ มึงเลิกทำเป็นแฟนกูต่อหน้าพี่แนทพี่แดนได้มั้ย” ผมถามพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนมัน ไอ้ตี๋มองตาผมแต่ยังไม่ยอมตอบอะไร ชักหวั่นๆใจยังไงพิกล
*******************************************
มีรูป Chicken tikka masala มาฝากค่ะ ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้และยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง [attachment deleted by admin]